ตอนที่ 4ชนนน บรรยากาศในรถเรียกได้ว่าไม่ต่างจากป่าช้า เพราะมันทั้งเย็นและเงียบ ยิ่งเหลือบมองคนข้างกายก็ให้นึกหนักใจ ด้วยตั้งแต่โดนผมลากขึ้นรถก็เหมือนลืมปากทิ้งไว้ที่ห้าง แถมยังเบือนหน้าออกนอกรถตลอดเวลาอีกด้วย ทำให้ผมไม่อาจเดาว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ จะโกรธหรือจะอายผมก็อยากรู้ เผื่อจะได้เตรียมรับมือถูก แต่พอผมได้มองกระจกส่องหลังก็ต้องส่ายหน้าอย่างเพลียๆให้กับเพื่อนเลิฟ
ไอ้นลินจ้องตากับผมในกระจกด้วยสีหน้ายิ้มพรายเจ้าเล่ห์สุดๆ ขนาดผมมองแวบเดียวยังเห็นลูกตาของมันวิบวับระริกไหวเลย ด้วยเป็นเพื่อนกับมันมานาน แปลได้อย่างเดียวว่าเจ้าตัวกำลังเจอเรื่องสนุกเข้าแล้ว และอยากมีส่วนร่วมใจแทบขาด แต่ยังดีที่มันยังรู้กาลเทศะไม่เค้นเอาความจริงกับผมตอนนี้ ไม่เช่นนั้นบรรยากาศภายในรถคงแย่กว่านี้
ตั้งแต่ประโยคของไอ้นลินที่ลานจอดรถ ที่ทำให้ผมรู้ซึ้งกับคำว่าสวรรค์ล่ม ผมยังไม่มีโอกาสพูดอะไรมากไปกว่าการชวนคนบนรถทั้งคู่กลับบ้านเลย แม้แต่การซักไซ้ถึงวิธีการเดินทางมาห้างของเบสวันนี้ เพราะผมทำเพียงกุมข้อมือของคนที่ใบหน้าซีดเซียวแทบไร้สีเลือด แต่ริมฝีปากกับเจ่อบวมด้วยฤทธิ์จูบ พาเดินกลับรถเท่านั้น
ยังดีที่เบสไม่มีขัดขืน ยอมก้มหน้าเดินตามแรงจูงของผมขึ้นรถ ท่ามกลางสายตาล้อเลียนปนอยากรู้ของไอ้นลิน ตอนนั้นผมค่อนข้างเบาใจว่า ไม่มีพยานรู้เห็นว่าผมปล้นจูบเบสนอกจากไอ้นลิน เผื่อว่าโทษที่คาดว่าจะได้รับจากคนข้างๆจะถูกลดหย่อนลงมาบ้าง
“ขอบใจว่ะนน เดี๋ยวกูโทรหา...‘เคลียร์กันดีๆนะโว้ย’...พี่เบสบาย นนขับรถดีๆนะ” ผมพยักหน้าพร้อมรับคำไอ้นลิน พลางเหลือบมองตามสายตาเพื่อนสนิทไปยังคนข้างกาย แต่ยังอดหนักใจไม่ได้ ด้วยไม่รู้จะได้เคลียร์ตามที่มันกระซิบบอกรึเปล่า ก็ขนาดไอ้นลินมันลาเจ้าตัวเค้ายังไม่หืออือ
จนรถเคลื่อนออกจากหน้าบ้านเรือนไทยมาสักพัก ผมจึงตัดสินใจหาที่เคลียร์ ด้วยไม่คิดจะปล่อยให้เรื่องมันค้างคาอยู่แบบนี้ แม้ผมจะยังไม่มีเหตุผลจะให้ หากเบสจะถามหาสาเหตุที่ผมจูบเจ้าตัว แต่จะว่ามันมาจากอารมณ์ล้วนๆก็ไม่ผิดนัก ก็ขึ้นอยู่กับว่ามาจากอารมณ์ไหนเท่านั้น ตอนนั้นผมรู้แต่ว่าผมอยากจูบผมก็จูบ คนตรงหน้าอยากมาทำท่าทางน่ารักใส่ผมก่อนทำไมล่ะ
ส่วนตอนนี้ผมพอจะรู้ตัวอยู่บ้างว่า ตัวเองกำลังฉีกยิ้มกว้างเพราะเริ่มตึงแก้มล่ะ เพียงแค่นึกถึงใบหน้าของเจ้าชายมาดหลุดที่กำลังแก้มแดงอ้าปากหวอ ผมกลับสุขใจพิลึก คงไม่มีใครได้เห็นอย่างผมแน่ๆ
“หึ!!” แน่ะ! หุ่นขี้ผึ้งมีปฏิกิริยาแล้วครับ มีพ่นลมผ่านจมูกแรงๆ เหมือนว่าหมั่นไส้ใครนักหนา แต่จะเป็นใครถ้าไม่ใช่ผม ก็เหลือแค่เราสองคนบนรถแล้วนี่ครับ
ผมหันหน้ามามองคนที่นั่งข้างๆ ก่อนรีบหันกลับมามองถนนตรงหน้าตามเดิม และผมเริ่มกลับมาอารมณ์ดีอีกครั้ง กับใบหน้าหล่อใสที่กำลังบูดสนิทดวงตาแข็งกร้าว ที่เหลือบมองผมชั่วแวบเช่นกัน แม้เจ้าตัวกำลังพยายามเก๊กนิ่งเหมือนช่วงเวลาที่ผ่านก็เถอะ
ยามอยู่กันสองคนทีไร ผมมักได้เห็นกัปตันทีมบาสรูปหล่อของใครๆ ในมุมที่คนอื่นไม่เคยเห็นและไม่เคยสัมผัสมาก่อน และไม่ว่าผมจะรู้สึกดีแค่ไหน แต่ผมไม่ควรปล่อยให้เจ้าของท่าทางเหล่านั้น ทวีความร้อนแรงขึ้น เพราะจากสายลมร้อนอ่อนๆ อาจจะกลายเป็นพายุเฮอริเคนก็ได้ และผมไม่อยากอยู่ท่ามกลางพายุลูกนั้นสักเท่าไหร่ ขอแค่เป็นสายลมอ่อนๆพอให้ชุ่มชื่นใจดีกว่า
“เราต้องเคลียร์กัน” เมื่อผมได้ที่จอดรถแล้ว ผมจึงหันมาบอกคนที่นั่งข้างๆ ซึ่งเจ้าของดวงตาวาวโรจน์ก็สะบัดหน้า หันมามองผมทันทีเหมือนกัน เล่นเอาผมใจหายวาบเชียวล่ะ แต่ผมก็ยังทำเป็นใจดีสู้เสือ ด้วยการยักคิ้วแสยะยิ้มใส่ดวงตาคู่นั้น
“มึง!!...อุ๊บ!.......เฮือก โว้ยยยย” คงเดากันไม่ยากใช่มั้ยครับ ว่าคนดื้อด้านเจอเข้ากับอะไร ถ้าไม่ใช่โดนผมฉกจูบเร็วๆ แถมด้วยการกัดริมฝีปากร้ายๆนั่นเป็นการสั่งสอน
‘แน่ะ! โวยวายใส่ไม่พอ มีเงื้อมือเงื้อไม้ คิดจะทำร้ายกันรึไง คนละชั้นกันเหอะ!’ แม้ผมจะเป็นรุ่นน้องแต่ก็แค่ปีเดียว และความสูงเราก็ไม่ต่างกันนัก แต่มันต่างกันตรงที่ขนาดความหนาของร่างกายนี่แหละ นักบาสรึจะเทียบนักรักบี้เยี่ยงผม กับแค่การล็อกแขนแห้งๆของนักบาสเข้ากับเบาะรถแค่นี้จึงไม่ใช่ปัญหา
“ใครมึง! บอกแล้วไงว่าไม่ชอบ! ถ้าได้ยินอีกไม่ว่าที่ไหน ผลจะออกมาไม่ต่างจากเมื่อกี๊...เอ๊ะ! หรือว่าเบสชอบให้นนจูบ” ผมทนไม่ได้กับภาพใบหน้าหล่อเหลาที่ซีดเซียว และมีแววตาตื่นตะลึงทันทีที่ผมตั้งใจตะคอกใส่ จึงจงใจปิดประโยคด้วยการล้อเลียนซะเลย พร้อมกับแกล้งยื่นหน้าเข้าหา จนปลายจมูกเราแทบชนกัน ด้วยผมต้องการหยอกเย้าให้แก้มใสกลับมามีสีสันอีกครั้ง
แต่กลับเป็นผมเองที่ชะงักค้างหาคำพูดไม่เจอ เพียงแค่ได้สบตาคมเข้มในระยะประชิด ดวงตาที่เคยทอประกายตื่นตระหนกกลับอ่อนแสงลง จนเหลือเพียงหน่วยตาดำขลับที่เรียบสนิท ดวงตาคู่นี้สามารถดึงความสนใจทั้งหมดของผมไว้ และทำได้เพียงแค่จับจ้องไม่วางตา บวกกลิ่นหอมอ่อนๆที่โชยจากเรือนกายที่ผมแนบชิดนั้น ลอยปะทะเข้าโสตประสาท ทำให้ริมฝีปากของเราที่มีระยะห่างเพียงฝ่ามือคั่น ถูกร่นระยะด้วยฝีมือผมอย่างไม่รู้ตัว แต่แล้ว...
“...ที่นายทำแบบนี้ เพราะเกลียดฉัน เรื่องน้องธันว์ใช่มั้ย” ผมที่กำลังแอบสูดกลิ่นฝ่ามืออุ่นเหมือนคนโรคจิต แทนการประทับจูบริมฝีปากสีสดอย่างที่ตั้งใจไว้แต่แรกนั้น ถึงกลับอึ้งเมื่อได้ยินประโยคดังกล่าว
ผมค่อยๆผละห่างจากฝ่ามืออุ่นข้างนั้น และคลายแรงยึดที่ข้อมืออีกฝ่ายลง ด้วยอยากเห็นสีหน้าแววตาคนพูดตอนนี้นัก ซึ่งผมก็ได้แต่ขัดใจเพราะเห็นเพียงเสี้ยวหน้าด้านข้างเท่านั้น ด้วยเจ้าของเบี่ยงหน้าหนีจูบของผมเมื่อครู่ ส่วนน้ำเสียงที่ได้ยินนั้นแม้จะแข็งกร้าว แต่กลับสั่นไหวในท้ายประโยค
ส่วนคำตอบของคำถามนั้น ผมสามารถตอบได้เลยด้วยซ้ำว่าที่ทำไปไม่ได้เกลียด ถ้าเกลียดจริง ผมมีวิธีอีกเยอะที่จะสั่งสอน ให้คนตรงหน้าเลิกวุ่นวายกับไอ้ธันว์อย่างเด็ดขาด แต่ที่ยังปล่อยไอ้คนหน้าขาวให้ลอยนวล คอยตามตอแยไอ้ธันว์อยู่นั้น เพียงแค่ผมนึกสนุกอยากจะก่อกวนอารมณ์มันเล่น ด้วยอยากเห็นเจ้าชายมาดเนี้ยบของใครๆ หลุดมาดแสนดีต่อหน้าตัวเองบ้างก็เท่านั้น พอมีครั้งแรกก็มีครั้งต่อๆไป และผมก็เหมือนเสพติดอาการเหล่านั้นอย่างไม่รู้ตัว
แรกๆแม้จะเริ่มด้วยความหมั่นไส้ในท่าทางมั่นใจที่เบสเข้าหาไอ้ธันว์ แต่ผมก็แน่ใจว่าไม่เคยมีสักครั้งที่ผมจะนึกเกลียดมัน จนกระทั่งเมื่อวานนี้ ตัวตนอีกด้านของเบสที่ผมสนใจแบบไม่รู้ตัวมาตลอดนั้น ได้สร้างความแปลกใจให้ผมมากกว่าเคย และมันยังดึงดูดความสนใจผมไว้ที่เจ้าตัวจนถึงตอนนี้ ทำให้ดีกรีความหมั่นไส้ที่มีกลับลดลงแทบไม่เหลือ แต่ผมยังไม่แน่ใจนักกับความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อเบสในเวลานี้ ว่าการที่ผมรู้สึกสนุกและสุขใจทุกครั้งที่ได้ยั่วแหย่ ผมมีความรู้สึกกับเจ้าตัวอย่างไรกันแน่
เบสหันหน้ากลับมามองผมอย่างช้าๆ ด้วยสีหน้าเรียบสนิท แววตาที่ผมสบด้วยก็จริงจังไม่มีแววหวั่นไหวอย่างที่ผมคิดไว้ ผมจึงขยับตัวกลับมานั่งหลังพวงมาลัยดีๆ พลางถอนใจอย่างช้าๆ ก่อนจะตัดสินใจหันมามองเบสอีกครั้ง และแอบหนักใจขึ้นมาดื้อๆ ด้วยดูเหมือนว่าเรื่องที่ผมทำไปจะถูกเข้าใจผิดไปอีกทางซะแล้ว
“ต่อไปอย่าทำแบบนั้นอีก อย่าเหยียบย่ำศักดิ์ศรีกันให้มากกว่านี้!” ผมสะดุ้งกับเสียงตะคอกท้ายประโยค ลำคอตีบตันขึ้นมาดื้อๆ ด้วยไม่คิดว่าการกระทำของตัวเองจะสร้างความเข้าใจผิดให้อีกฝ่ายขนาดนั้น
เมื่อแรกผมตัดสินใจแตะท่อนแขนที่โผล่พ้นแขนเสื้อ แต่เมื่อเห็นว่ามันมีอาการสั่นน้อยๆ ก็ให้หยุดสิ่งที่คิดไว้ และหดมือกลับมาทันที เมื่อสังเกตดีๆไม่เฉพาะแขนเท่านั้นที่สั่น แต่ตอนนี้คนตรงหน้าผมกลับมีอาการสั่นไปทั้งตัว มือทั้งสองข้างที่กุมกันไว้บนหน้าตักนั้นเกร็งแน่นจนสั่นเทิ้ม ริมฝีปากที่เคยตะคอกก็ถูกฟันขบไว้แน่นจนซีดขาว ส่วนใบหน้าก็แดงก่ำแทบระเบิด ดวงตาที่จ้องสบตาผมอย่างเอาเรื่องก็วาวโรจน์เรืองแสง เหมือนจะเผาร่างผมให้เป็นจุณ
ท่าทางและอารมณ์ของเบสในตอนนี้ ทำให้ผมรู้สึกผิดจับใจและเริ่มทำอะไรไม่ถูก ทำได้เพียงจ้องสบตาคู่เอาเรื่องตรงหน้าเท่านั้น และอยากตะโกนบอกนักว่าผมไม่เคยคิดเหยียบย่ำศักดิ์ศรีเค้าเลย แต่ขืนผมทำอย่างใจคิดตอนนี้ เหตุการณ์คงยิ่งย่ำแย่ไปกว่าเดิม
“ฉันจะเลิกยุ่งกับน้องธันว์ เพราะงั้นนายเองก็เลิกยุ่งกับฉันได้แล้ว” เชื่อมั้ยว่าแค่ประโยคที่เหมือนไม่มีอะไรนี้ กลับทำให้ผมใจหายวาบ เพียงแค่โดนสั่งให้เลิกยุ่งวุ่นวายกับเจ้าตัว
ผมจึงตัดสินใจยื่นมือแตะเข้าที่ท่อนแขนขาวๆที่สั่นน้อยๆนั่น ไม่ต้องบอกคุณๆก็น่าจะรู้ว่าปฏิกิริยาตอบสนองคืออะไร ถ้าไม่ใช่การสะบัดอย่างไม่ใยดี เล่นเอาผมติดอ่างหาคำพูดแก้ตัวให้ตัวเองไม่ได้เลย แต่อะไรก็ไม่เลวร้ายเท่าหยาดน้ำใสๆ ที่เอ่อคลอหน่วยตาที่ทอแสงเจิดจ้าแห่งความโกรธตรงหน้า
“บะ เบส คือ....เบส!!” ผมไม่คิดอะไรแล้ว ตัดสินใจรั้งร่างของคนที่น้ำตาหยดเข้าหาอกทันที
แรงขัดขืนมากมายมาพร้อมเสียงด่าทอดังลั่น แต่เวลานี้ไม่ทำให้ผมโกรธเจ้าของร่างในอ้อมกอดสักนิด มีแต่ผมจะยิ่งรัดและออกแรงไม่ให้ร่างแน่นๆนี้ผละห่าง ด้วยกลัวว่าหากปล่อยมือตอนนี้ ผมจะไม่มีวันได้เข้าใกล้คนๆนี้อีกเลย ซึ่งผมคงทนไม่ได้ แค่คิดผมก็รับความรู้สึกนั้นไม่ไหวแล้ว
“ปล่อย ปล่อยกูสิโว้ย เชี่ยนี่! ไอ้ห่านน ปล่อยกู! มึงไม่ปล่อยใช่มั้ย...ได้!?...งั่ม!!!”
“อ๊ะ!!!....โอ๊ยยยยย!!! เบสปล่อย ปล่อยหูนน นนเจ็บ!!!” นอกจากผมจะไม่ปล่อยแล้ว ผมยังเพิ่มแรงกอดรัดให้มากขึ้น แม้จะต้องร้องลั่นกับอาการเจ็บปวดที่หู กับฟันคมๆของคนในอ้อมกอดที่กัดหูผมเต็มแรง มีกระชากด้วยนั่น! คอยดูเถอะรอดไปเมื่อไหร่นะ ฮึ่มๆๆ!
“ฮึ่ยๆๆ ไอ้ดื้อด้าน ไอ้ควายถึก ไอ้นนบ้า!!” คำว่าบ้ามาเต็มๆหูเลยครับ มันสะท้อนก้องกลับไปมาอยู่ในหัว เล่นเอาผมหูอื้อ แต่ผมก็ไม่คลายแรงกอดรัดลงแม้แต่นิด
ตอนนี้หูข้างที่โดนกัดมันชาจนไร้ความรู้สึกไปแล้วล่ะ แต่ก่อนนั้นผมรู้สึกมีน้ำเหนียวๆไหลย้อยไปทางหลังหูด้วย สงสัยจะได้เลือดซะแล้ว แต่ถ้ามันจะใช้แลกกับความรู้สึกที่เบสเสียไปได้ ผมก็ยอมแลก
คนในอ้อมแขนเริ่มสงบลงแล้วครับ แต่ผมก็ยังไม่ไว้ใจและยังคงใช้แรงกอดรัดเท่าเดิม ก่อนจะค่อยๆผละหน้าออกจากไหล่กว้าง เพื่อสังเกตอาการของเบส แต่ผมก็เห็นเพียงกลุ่มผมดำสนิทที่ยุ่งเหยิงเท่านั้น ด้วยเจ้าตัวซบหน้าลงกับไหล่ของผม
นี่เป็นนิมิตหมายว่าพายุสงบลงแล้วใช่มั้ยครับ ผมสองจิตสองใจว่าจะคลายกอดเพื่อดูหน้าคนขี้โมโหดีมั้ย กลัวก็แต่พอคลายแรงกอดรัดลง หมัดตรงจะถูกส่งมาเสยปลายคางผมเองน่ะสิ แต่ความเป็นห่วงที่มีก็ชนะความกลัวครับ เพราะผมคลายแรงในอ้อมแขนลง เมื่อเห็นว่าไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้หรือการขัดขืน
ผมจึงค่อยๆจับหัวไหล่มนและดันออกจากอกตัวเองช้าๆ ก่อนเชยคางคนที่ก้มหน้าหลบตาขึ้น แต่แล้วใจผมก็ร่วงไปกองกับพื้น เพียงแค่เห็นน้ำใสๆอาบผิวแก้มซีดเซียว บนใบหน้าที่ไร้ความรู้สึกใดๆให้ผมอ่านได้ ว่าเบสกำลังอยู่ไหนอารมณ์ไหน ยิ่งการร้องไห้ที่ไม่มีแม้แต่เสียงสะอื้น ยิ่งทำให้ผมใจเสียขึ้นกว่าเดิม
“เบส!...เบสครับ นนขอโทษ จะกัดหู จะโวยวาย หรือจะต่อยนนเลยก็ได้ แต่หยุดร้องได้มั้ย...นะ นะครับเบสหยุดร้องก่อนนะ” ผมรู้ตัวเลยว่าตัวเองมีท่าทางร้อนรนพาลทำอะไรไม่ถูก นอกจากเอ่ยขอโทษด้วยน้ำเสียงละล่ำละลัก พร้อมเกลี่ยน้ำตาออกจากแก้มใสไปด้วย
สุดท้ายดวงตาที่เคยหลุบต่ำ แม้ผมจะพยายามทำทุกวิถีทางให้สบตาด้วย ก็เหลือบตาขึ้นมองกัน ผมจึงได้โอกาสฉีกยิ้มโชว์ฟันขาวที่ตัดกับผิวหน้า พร้อมกุมมือทั้งสองข้างของเบสไว้แนบอก และอ้อนวอนเค้าในแบบที่ผมไม่เคยอ้อนวอนใครหน้าไหนมาก่อน เพื่อให้หยุดพฤติกรรมบ่อนทำลายความมั่นคงทางอารมณ์ของผม อย่างการร้องไห้ลงสักที เพราะแค่นี้ใจผมก็สั่นไหวและเจ็บปวดไปด้วยแล้ว
“ฉันจะกลับบ้าน” แม้เสียงจะแข็งไปนิด ฟังเหมือนออกคำสั่งไปหน่อย แต่น้ำตาก็หยุดไหลเว้ยเฮ้ย แค่นี้ผมก็พอใจแล้ว
“ครับๆ นนไปส่งเบสเดี๋ยวนี้แล้ว” หลังจากรับคำด้วยความกระตือรือร้นแล้ว ผมก็ฉีกยิ้มใส่ตาคนหน้านิ่งที่กำลังหรี่ตาจ้องผมอย่างจับผิด พร้อมคราบน้ำตาเปรอะแก้ม และมุมปากผมแทบจะฉีกขึ้นไปถึงใบหู เพียงแค่แก้มซีดๆกลับขึ้นสีระเรื่อทันที ที่ผมใช้ปลายนิ้วเกลี่ยเช็ดคราบน้ำตาให้
ผมยังไม่ทันเช็ดคราบน้ำตาให้หมด เบสก็เบือนหน้าหนีผมไปมองนอกรถ ทิ้งไว้เพียงใบหูแดงๆให้ผมได้เห็นต่างหน้า แต่แค่นี้ก็ทำผมอารมณ์ดีถึงขั้นฮัมเพลงไปตลอดทาง และผมไม่คิดจะปล่อยมืออุ่นๆข้างขวาของคนเจ้าน้ำตา เพียงเพราะเจ้าของออกแรงกระตุกคืน แต่ไม่มีเสียงห้ามปรามจริงจังให้ผมต้องทำตามนี่ครับ
จนกระทั่งผมขับรถพาคนข้างกายมาเกือบถึงซอยเข้าบ้าน แต่เหลือบไปเห็นร้านอาหารเล็กๆข้างทางเข้า ก็ให้นึกขึ้นได้ว่าเลยเวลาอาหารกลางวันมาจนบ่ายแก่แล้ว ด้วยเกิดเรื่องวุ่นๆมากมาย
ยามผมเหลือบมองอีกคนก็ให้ยิ่งอารมณ์ดี เพราะคนที่ร้องไห้โวยวายเมื่อครู่ กลับมามีสีหน้าผ่อนคลาย ไม่หลงเหลือร่องรอยแห่งความเศร้าหมองแล้ว ผมเพิ่งรู้ตัวก็วันนี้ว่าคนๆหนึ่งสามารถมีอิทธิพลทางใจเหนือเจ้าของหัวใจอย่างผมได้ด้วย
“เบสทานข้าวเป็นเพื่อนนนก่อนกลับได้มั้ย” หลังจากผมหาที่จอดข้างทางได้ ผมก็หันมาขอร้องเจ้าของมืออุ่นในอุ้งมือตัวเองด้วยเสียงนุ่มๆ พร้อมระบายยิ้มที่คิดว่าดูดีใส่ตาคนที่เหล่เพียงหางตามามองกัน
แม้ท่าทางและคำพูดของผมจะดูงอนง้อและอ้อนวอน แต่ผมไม่พร้อมจะรับคำปฏิเสธ บวกกับผมเห็นว่าริมฝีปากสีสดเตรียมหลุดคำปฏิเสธออกมา ผมจึงรีบเปิดประตูรถและก้าวเร็วๆ เพื่อมาเปิดประตูฝั่งที่เบสนั่งอยู่ออก และรั้งข้อมือเจ้าตัวเบาๆให้ได้ทำตามความต้องการของตัวเอง
“นะครับ ทานข้าวกับนนหน่อย เลยมื้อกลางวันมานานแล้ว เดี๋ยวโรคกระเพาะนนกำเริบ” ใครใจแข็งกับชนนนตอนนี้ได้ก็ให้รู้ไปครับ
ผมจัดเต็มทั้งท่าทางและน้ำเสียงที่แสนออดอ้อน ซึ่งก็ถือว่าคุ้มครับ เพราะในเวลาต่อมาคนที่ผมอยากใช้เวลากับเค้าอีกนิด ก็ยอมก้าวขาลงจากรถมายืนเคียงข้าง แม้จะมาพร้อมเสียงขัดใจและสีหน้าบึ้งตึงไม่สบอารมณ์แค่ไหนก็ตาม แต่แค่นี้ผมก็พอใจแล้ว ได้ตัวมาก่อนก็ยังดี
“จิ๊!!...ปล่อยก่อน” ผมเหลือบตาลงมองไปยังมือตัวเองที่กุมทับข้อมือเจ้าของคำสั่งนิด แม้จะไม่อยากปล่อย แต่สุดท้ายก็ต้องยอมปล่อยอยู่ดี เพราะเบสดันทำท่าจะกลับไปขึ้นรถเหมือนเดิม
“ปล่อยแล้วครับ แค่นี้ก็ต้องงอนด้วย” ผมสะบัดค้อนน้อยๆใส่คนขี้หวง แค่จับข้อมือแค่นี้ทำหวงไปได้ ชิ!
“นน! มากไปแล้ว!” ผมต้องเสแสร้งตีหน้าหงอย ทั้งๆที่ต้องกลั้นยิ้มด้วยดีใจแทบตาย แต่ผมต้องรีบสาวเท้าเดินตามหลังเจ้าของร่างโปร่งที่เดินนำหน้าเข้าร้านไปก่อน ด้วยใบหน้าบูดสนิท ทั้งๆที่เพิ่งได้ระบายด้วยการตะคอกใส่ผมแล้วด้วยซ้ำ
คุณจะไม่ให้ผมดีใจจนแทบกระโดดได้อย่างไร ไม่ได้ยินเบสเรียกผมด้วยชื่อเหรอครับ ทั้งๆที่ก่อนหน้าแม้ผมจะบอกจะออกคำสั่งยังไง เบสก็ไม่ยอมเรียกผมว่านนสักครั้ง มีแต่เรียกผมว่านายๆอยู่นั่น หนักหน่อยก็มึงตามที่คุณได้ยินไป จนผมเกือบน้อยใจแล้วเหอะ แต่เมื่อครู่ชื่อของผมก็หลุดมาจากปากเจ้าตัวจนได้ แม้จะแข็งไปนิดห้วนไปหน่อยก็เถอะ แต่ผมก็พอใจแล้ว ถือว่ามีพัฒนาการก็แล้วกัน ซึ่งในอนาคตผมจะทำให้เจ้าตัวเค้าแทนตัวเองด้วยชื่อกับผมให้จงได้เลยคอยดู
ส่วนเรื่องที่เบสบอกให้ผมเลิกยุ่งกับเค้า ผมไม่มีทางทำตามสิ่งที่เค้าต้องการแน่ๆ เรื่องอะไรล่ะ มาทำให้ผมว้าวุ่นใจและสับสนแล้วแท้ๆ จนผมไม่รู้ว่าความรู้สึกที่ผมมีต่อเจ้าตัวน่ะคืออะไร ผมไม่มีทางเลิกยุ่งกับเบสอย่างแน่นอน
ผมจะเกาะติดเบสยิ่งกว่าปลิงดูดเลือด จนกว่าผมจะรู้ว่าผมรู้สึกอย่างไรกับเบสกันแน่ ถึงเวลานั้น ผมอาจจะปล่อยเค้าไป หรือไม่แน่อาจจะเกาะติดชีวิตเบสไปตลอดกาลเลยก็ได้
......................................
โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะนี่เค้าเคลียร์กันแล้วเหรอ เห็นแต่ไอ้ล่ำมันปล้ำจูบสุดหล่ออ่ะ

นายนนนี่มันทั้งกวนทั้งมึนเนอะ ถ้าเราเป็นเบส นนคงเจอหนักกว่านั้นแล้ว
มีใครสงสัยมั้ยว่าทำไมสุดหล่อนักบาสถึงดูยอมไอ้ล่ำดำถึกซะขนาดนั้น
นั่นสิ ทำไมกันน้อ!?

คงต้องรอติดตามกันค่ะว่าเพราะอะไร
ตอนนี้นนดูมึนๆงงๆสับสนในตัวเองอยู่ แต่ตอนหน้ามีหลายๆเหตุการณ์
ทำให้ไอ้ล่ำดำถึกมั่นใจขึ้นมา ว่าจะเดินหน้าจีบสุดหล่อ แต่จะมีเหตุการณ์อะไร
และนนจะเริ่มจีบยังไง ติดตามได้ในวันอาทิตย์ค่ะ
+1และเป็ดสำหรับทุกเม้นท์ ขอบคุณทุกการติดตามค่ะ
ปล.Merry X' Mas นะคะ ขอให้มีความสุขกับเทศกาลแห่งความสุขนี้ค่ะ
