รักเรา(ไม่)เท่ากัน
CHAPTER 11...ก่อนพายุเข้า...ทิวามองทิวทัศน์คุ้นตาด้านนอกผ่านกระจกรถยนต์ที่ติดฟิล์มค่อนข้างทึบ สารถีที่ชื่อรัตติกาลเลี้ยวโค้งเข้ามาจอดยังมุมอับสายตาบริเวณลาดจอรถ อันเป็นจุดนัดพบประจำในการไปรับไปส่ง ช่องจอดมีรถไม่กี่คัน เพราะอีกนานกว่าจะถึงเวลาเข้างาน รัตติกาลเคยบ่นออกมาบ้างเรื่องการเข้างานที่เช้าเกินความจำเป็น ทั้งฐานะและตำแหน่งที่มีไม่จำเป็นต้องมาก่อนเวลาขนาดนี้ก็ได้ แต่เขาชาชินกับการทำแบบนี้เสียแล้ว เขาไม่อยากให้การผ่อนตัวตามความสบายแล้วโดนว่าทีหลังได้
รัตติกาลเลยได้อานิสงค์เข้างานทันเวลาไปด้วย
“วันนี้ติดธุระนะ กลับเองได้มั้ย?” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นพร้อมกับฝ่ามืออุ่นที่เอื้อมมากอบกุมมือทิวาบนตักเอาไว้ ดวงตาคมทอดมองมาราวกับคนรู้สึกผิด
“ผมกลับห้องตัวเองได้รึเปล่า”
“หื๊อ! ไม่เอาสิ กลับห้องผมนะ”
ทิวาหรี่ตามองคนข้างกายกับน้ำเสียงกระเง้ากระงอดอย่างหน้าหมั่นไส้ เขาก็ถามไปเผื่อฟลุคเท่านั้นเอง ใจอยากจะกลับไปทำความสะอาดห้องที่ถูกปล่อยทิ้งร้างมาเป็นสัปดาห์ ฝุ่นคงจับหนาเป็นนิ้วได้แล้วมั้ง
“ผมไปนะ” จะดึงมือออกจากการกอบกุมแต่อีกฝ่ายก็ออกแรงยื้อยุดเอาไว้จนต้องส่งสายตาไม่พอใจขึ้นสบ แทนที่จะปล่อยมือแต่โดยดีกลับเอาแต่มองกลับมาอย่างคาดคั้น
“ยังไม่ตอบเลย”
เฮ้อ...
“รู้แล้ว เข้าใจแล้ว ปล่อยซะที”
“รู้ยังไง? เกิดเข้าใจไม่ตรงกันผมก็แย่สิ”
“คุณจะแย่ยังไง บ้าบอ”
“แย่ตรงที่จะไม่มีคุณข้างๆ นอนคนเดียวมันเหงาจะตาย”
ทิวาได้แต่นิ่งเงียบมองดูมือตัวเองถูกยกขึ้นสูงจนกระทั่งริมฝีปากนุ่มก้มลงมาประทับ การแสร้งตีหน้าตายและหลบสายตาคือหนทางที่ดีที่สุดในตอนนี้ เพราะเหมือนหน้าจะชาๆเห่อร้อนขึ้นมากับคำเลี่ยนๆ ทำได้แค่พยักหน้าหงึกหงักรับคำที่คนถามทวนขออีกครั้ง แค่เท่านั้นใบหน้าคมคายก็แย้มรอยยิ้ม พร้อมกับปล่อยมือเขาให้เป็นอิสระ
“เจอกันที่ห้องนะ”
ทิวาไม่ตอบรับอีกเช่นเดิม รีบออกจากรถไปอย่างรวดเร็ว เขามองซ้ายขวาด้วยความเคยชิน เพราะกลัวจะมีใครเห็น เพราะกลัวว่าใครจะสงสัย เมื่อเห็นว่าปลอดคน ร่างโปร่งก็รีบรุดเดินไปตามทางสู่อาคาร
ไม่ได้เฉลียวใจเลยว่ามีใครสักคนมองอยู่ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย
ทิวาเริ่มทำงานเร็วกว่าปกติเหมือนอย่างทุกวัน เซ็นเอกสาร ดูรายละเอียดของงบประมาณที่ฝ่ายผลิตเสนอ ว่างหน่อยก็เปิดดูโฆษณาของประเทศต่างๆ เพื่อประดับความรู้และแนวทาง พอคิดว่าจะเริ่มพักสายตาเสียหน่อย โทรศัพท์บนโต๊ะก็แผดเสียงเพลงขึ้น ทิวาถึงกับยิ้มออกเมื่อมองชื่อที่แสดงบนหน้าจอ
“ว่างรึไงถึงโทรมาหาได้”
//ใช่สิจ๊ะ พอมีเวลาแล้วพี่ก็นึกถึงน้องคนแรกเลย// วาจากวนอารมณ์แบบนี้มีอยู่แค่คนเดียวที่คอยวนเวียนในชีวิตมานาน
“เข้าเรื่องเหอะพี่หมอ มีเรื่องอะไรล่ะ”
//ใจร้ายว่ะไอ้ทิว กูแค่อยากนัดมึงไปกินข้าวกินปลาเท่านั้นเอง วันนี้ว่าง ไม่ได้เจอกันนานกูคิดถึง//
“ตอแหลตกนรกนะครับ”
//แร๊งงงง... เออ! หญิงแม่งเบี้ยวนัดกู มากินข้าวเป็นเพื่อนหน่อย//
“ก็แค่เนี๊ยะ”
//ไว้มึงเลิกงานแล้วโทรหากูทีนะ ค่อยนัดกันว่าที่ไหน//
วางสายไปราวกับคนรีบร้อนคุยกัน แต่รอยยิ้มยังติดตราอยู่บนใบหน้า จัญญา หรือว่าพี่หมอที่เขาเรียก เป็นเป็นคนจากครอบครัวใกล้เคียง บ้านใกล้กัน และเขาก็รู้จักตั้งแต่วันแรกที่ถูกบ้านใหญ่รับไปเลี้ยงดู จัญญาอายุมากกว่าเขา2ปี เป็นคนที่ห่ามอย่างไรก็อย่างนั้นเรียกว่าเถื่อนถ่อย ไร้อารยธรรม ผิดกับอาชีพที่ประกอบ แม้จะเป็นพี่แต่ก็เหมือนเพื่อนสนิท ยังมีอีกคนที่บ้านติดกันแต่ตอนนี้หลบลี้หนีหน้าสังคม
ทั้งสองคนเป็นที่พึ่งทางใจที่ดีที่สุด ยามที่อ่อนแรง เป็นเพื่อนสนิทที่สุด เป็นที่ปรึกษาที่แม้ไม่ดีที่สุด แต่ทำให้เขาสบายใจ แต่ก็นั่นแหละ... ไอ้เรื่องที่เขาเผชิญอยู่ ถึงอยากจะปรึกษาใครสักคนขนาดไหน ต่อให้สนิทกันแทบตาย แต่ก็กระดากอายเกินกว่าจะพูดออกมา มันมีแต่ต้องอดทนรอ... เพราะสัญญาที่รัตติกาลเคยบอกไว้มันก็ใกล้หมดลงทุกที
รัตติกาลไม่เคยรู้สึกมาก่อนในชีวิตว่าการเจอหญิงสาวหน้าตาดีสักคนมันจะทำให้กระอักกระอ่วนใจเช่นนี้ แค่เพราะตอนนี้เขามีคนที่ปักใจรักก็พอว่า แต่ยิ่งผู้หญิงตรงหน้าเป็นน้องสาวต่างมารดาของทิวาด้วยเนี่ยสิ กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเป็นยังไงก็เพิ่งจะรู้จัก
ใช่ว่ารัตติกาลอยากจะมานั่งทานอาหารกันสองต่อสองกับอติกานต์ แต่เป็นแม่ของเขาที่ยุยงไม่เลิกรา ทั้งที่การพบกันคราวที่แล้วก็น่าจะพอทำให้รู้นิสัยกันบ้าง แต่แม่เขาก็ยังอยากจะได้ลูกสะใภ้เป็นผู้หญิงคนนี้เหลือเกิน
‘ร้ายนิดๆสิดี จะได้ตามแกทัน’
นั่นคือเหตุผลที่คุณนายแม่ท่านยกมาอ้าง มาคราวนี้ก็เตรียมการนัดแนะให้เสร็จโดยไม่ถามความสมัครใจสักคำ ลูกที่ดีอย่างเขาจะทำอย่างไรได้นอกจากมาตามนัดและรีบๆทำให้มันจบ
“ดูคุณเดียวเหมือนไม่ค่อยเต็มใจมา” อติกานต์ถามเสียงเรียบ นิ้วเรียวสวยบรรจงจับที่ก้านแก้วสูง ขยับข้อมือเล็กน้อยจนไวน์สีแดงสวยในแก้วหมุนวนไปตามแรงเหวี่ยง “หรือว่าสองทำให้คุณเบื่อคะ”
“ไม่ใช่ข้อที่สองหรอกครับ”
“คิก ถ้าอย่างนั้นก็ข้อแรกสินะ แต่ดูเหมือนว่าเราคงต้องพบกันบ่อยขึ้น” แก้วไวน์ถูกวางลงตามเดิมโดยที่ยังไม่ได้ถูกจิบ ร่างบางพิงหลังกับพนัก มือประสานไว้บนตัก ช้อนสายตาขึ้นมองอย่างเชิญชวน “ทราบไหมว่าพวกคุณแม่พยายามจับให้เราคู่กัน”
รัตติกาลเหยียดยิ้ม เขาเดาความต้องการของผู้หญิงคนนี้ไม่ออก ท่าทีที่แสดงออกไม่ได้แสดงอาการพึงใจเขาแต่อย่างใด ยิ่งมองลึกเข้าไปในแววตา ยิ่งไม่มีเค้าความหลงใหลเจือจางแม้แต่น้อย แต่ทำไมกลับทำเหมือนต้องการสานสัมพันธ์
“มันเป็นแค่ความคิดของผู้ใหญ่ ถ้าคุณสองกับผมไม่เห็นด้วย มันคงไม่มีทางเป็นไปได้หรอกครับ”
“แล้วทำไมเราถึงต้องไม่เห็นด้วยล่ะคะ”
“คุณสองต้องการอะไรกันแน่ครับ”
“สองก็แค่อยากลองคบกับคุณเดียวดู คงยืดไม่น้อยเลยว่ามั้ยคะ”
ผู้หญิงคนนี้ร้าย... นี้คือสิ่งที่รัตติกาลคิดอยู่ในหัว ทุกคำพูดทุกประโยคราวกับจะปั่นหัวคนอยู่ตลอดเวลา แต่ที่เขาไม่ชอบใจที่สุดคือคนคนนั้นกลับเป็นตัวเขาคนนี้ เขาเกลียดคนมารยาสาไถ แต่ที่เกลียดยิ่งกว่าคือพวกที่คิดว่าตัวเองจะจูงจมูกใครก็ได้
“หึหึ คิดได้แค่นั้นเองหรือครับ” วาจาตอบกลับที่เปี่ยมด้วยความนุ่มนวล หากเอาคนฟังหน้าตึงขึ้นมาทันที รัตติกาลเหยียดยิ้มสมเพชอย่างไม่ปิดบัง “ได้บอกคุณป้าท่านไปรึเปล่าครับว่าคุณสองคิดแบบนี้”
ยิ่งเห็นริมฝีปากบางสีแดงระเรื่อขบเม้มอย่างขัดใจ เขายิ่งรู้สึกสนุกสนาน ผู้หญิงคนนี้คิดว่าตัวเองอยู่เหนือคนอื่นตลอดเวลา เพราะฉะนั้นแค่คำพูดเล็กๆน้อยๆก็คงกัดใจจนแทบอยากจะสาดไวน์ใส่เขาอยู่รอมร่อ
“แม่ผมท่านมองว่าคุณสองเพียบพร้อม ทั้งฐานะ การศึกษา แต่ท่านคงลืมไปว่านิสัยก็สำคัญ”
“คุณเดียว!” หลุดมาดในทันใด เรียกเสียงขบขันแก่เจ้าของชื่อ ร่างสูงพิงแผ่นหลังกว้างกับพนักเก้าอี้บ้างรอดูว่าอติกานต์จะแก้เกมส์กลับยังไง
“ทานเสร็จกันตั้งนานแล้ว ผมว่าน่าจะกลับกันสักที”
“ก็แล้วแต่คุณเดียวเถอะค่ะ” อติกานต์ตอบเสียงเรียบ “แต่ถ้านัดกันครั้งต่อไป คงไม่หนีหน้ากันนะคะ”
รัตติกาลแค่ยิ้มให้แทนคำตอบ ไม่เข้าใจเอาเสียเลยว่าผู้หญิงคนนี้ต้องการอะไรจากเขา แต่ก็เอาเถอะ ถ้าอยากจะเจอกันอีกเขาก็จะยอมมาเจอ คิดว่าจะเคี้ยวเขาได้ง่ายๆล่ะก็ผิดถนัดนะอติกานต์
หลังจากออกจากร้านอาหาร รัตติกาลก็จำต้องทำหน้าที่สุภาพบุรุษที่ดีโดยการเดินมาส่งหญิงสาวที่รถ ระหว่างทางที่เดินเคียงข้างกัน ไม่มีคำพูดคุยใด จะมีก็แต่การส่งยิ้มให้กันบ้างเล็กน้อยราวกับกำลังตวัดดาบใส่กัน
“ขอบคุณที่เดินมาส่งนะคะ” อติกานต์เอ่ยเมื่อมาหยุดยืนหน้าประตูรถ
“ไม่เป็นไรครับ เพราะรถผมก็จอดอยู่ไม่ไกล”
“คิก คิก” เสียงหัวเราะที่ท่าคนอื่นฟังคงจะดูเซ็กซี่แต่สำหรับรัตติกาลกลับดูน่าขนลุก มือบอบบางกระชากแขนของเขาให้เข้าหากะทันหัน และด้วยความไม่ตั้งตัว ตอนนี้สองร่างก็ยืนใกล้กันจนแทบจะเรียกว่าแนบชิด กลิ่นน้ำหอมราคาแพงหอมฟุ้งอบอวล เป็นกลิ่นที่คงยั่วเย้าเขาได้เมื่อก่อน แต่ตอนนี้กลิ่นกายของอีกคนกลับตราตรึงจนไม่มีใครเทียบเท่า
“คุณปากร้ายกว่าที่สองคิดไว้มาก” ท่อนแขนเรียวยกขึ้นโอบรอบลำคอเขา ดึงโน้มลงมาเล็กน้อยพอให้ใบหน้าเราใกล้กัน ท่อนแขนโอบกระชับแน่นขึ้นจนเรือนร่างแนบชิด อกนุ่มเบียดแนบกายเขา
มันเป็นท่าทางที่เขาเคยพบเจอจนชินชา ผู้หญิงมากหน้าหลายตามักใช้วิธีนี้ยั่วยวนเขา ซึ่งมักก็ได้ผล แต่ผู้หญิงคนนี้กลับทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองตายด้าน เพราะนอกจากจะไม่รู้สึกอะไรแล้ว กลับกันเขาดันเผลอคิดไปว่าถ้าเป็นทิวามายั่วเย้าเขาด้วยท่าทางแบบนี้บ้างจะเป็นยังไง
“ยิ่งร้ายยิ่งมีเสน่ห์ ยิ่งหน้าสนใจเข้าไปอีก” ริมฝีปากบางสวยเลื่อนเข้ามาใกล้ จนความนุ่มนวลแตะแต้มข้างริมฝีปาก เพียงแค่แผ่วเบา จากนั้นก็ผละออก อติกานต์ดันเขาออกห่างแต่ริมฝีปากยังคงยกยิ้มร้าย “ไว้เจอกันนะคะ”
รัตติกาลขยับตัวหลีกเส้นทางรถที่อติกานต์กำลังขับออกไป มองรถสีแดงคันหรูเคลื่อนตัวออกไปไกล จนหายลับไปกับทางแยก ร่างสูงหมุนตัวกลับไปอีกด้าน เพื่อเดินไปทางรถยนต์ส่วนตัวที่จอดไม่ไกล มือหนาล้วงกระเป๋ากางเกงเพื่อหยิบกุญแจรถออกมาเตรียมพร้อม หากเมื่อมองไปเบื้องหน้าให้ชัดเจนอีกครั้ง ความกังวลก็เข้าถาโถมจนร่างกายชะงักค้าง
ที่รถของเขา มีชายที่แสนคุ้นตายืนพิงท้ายรถอยู่ เรียวแขนที่มักจะโอบกอดเขายามเผลอไผลยกไขว้แนบชิดกับอก ดวงตาที่ราวกับเหยี่ยวจ้องมองเขาด้วยความว่างเปล่า
“ทิว...”
“อยากอธิบายอะไรให้ผมฟังรึเปล่า”
เสียงราบเรียบเอ่ยถามท่ามกลางความเงียบ รัตติกาลตัวชาวาบ เพราะทิวาคงเห็นอะไรเข้าถึงได้ถามแบบนี้ แต่มันไม่สำคัญว่าทิวาเห็นอะไร แต่เห็นแล้วคิดยังไงเนี่ยสิ
เขาเดินเข้าไปใกล้ “ผมคงต้องถามว่า คุณอยากให้ผมอธิบายในจุดไหน”
“จะบอกไว้นะ ผมไม่สนหรอกว่าคุณจะไปยืนดูดปากกับผู้หญิงที่ไหน แต่นั่นเป็นน้องสาวผม”
“ซึ่งผมก็อธิบายในจุดนั้นได้”
“งั้นก็ทำสิ”
“ไม่ใช่ที่นี่” คำตอบจากเขายิ่งทำให้ทิวาฮึดฮัดไม่พอใจ แต่ก่อนที่เขาจะทันได้ทำอะไร ร่างโปร่งก็ยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู
“พี่หมอ! ขอโทษผมมีธุระด่วนจริงๆ...ขอโทษ....ครั้งหน้านะ ผมเลี้ยงมื้อใหญ่เลย อื้อ...พูดมากจริงกูขอโทษแล้วไงครับ แค่นี้นะ”
แม้จะไม่ใช่เวลาที่เหมาะ แต่รัตติกาลก็ห้ามการยกยิ้มของริมฝีปากไม่ได้ เป็นครั้งแรกที่เคยได้ยินทิวาพูดจาสนิทสนมแบบนี้กับใครสักคน ให้เดาว่าคงคบกันมานานไม่ใช่น้อย เขารีบตีหน้านิ่งในทันทีที่ทิวาปรายตามองหลังจากวางสาย ตาเหยี่ยวเขม่นมองเล็กน้อยก่อนจะเก็บมือถือเข้ากระเป๋ากางเกง
“ขับกลับไปสิ ผมเอารถมา”
“ไปด้วยกัน พรุ่งนี้ผมจะให้คนมาเอารถคุณเอง” เขากดกุญแจปลดล็อก ทิวารีบก้าวเท้าไปยังฝั่งผู้โดยสาร เปิดปิดรุนแรงไม่เกรงใจราคา รัตติกาลก้าวขึ้นไปนั่งฝั่งคนขับ เหลือบมองคนที่นั่งข้างเคียงก็ให้ถอนหายใจ ทิวาดูจะโกรธเอามากๆ ใบหน้าที่แสนมีเสน่ห์เรียบเฉยจนหน้าหวาดหวั่น มีเพียงริมฝีปากที่เม้มแน่นที่ยังพอบ่งบอกอารมณ์ให้คนมองได้รับรู้
ต่อให้คืนนี้พายุจะพัดถล่ม เขาคงได้แต่ทำใจ[/color]
__________________________________________________
TBC._____________________________________________________________________________
ออกตัวล้อฟรีเลยว่า ตอนนี้อาจจะอ่านแล้วงงๆ มีส่วนไหนที่ต้องแก้ไขเม้นบอกกันได้เลย
ถ้าให้เปรียบล่ะก็ ตอนนี้ก็เหมือนกำลังตั้งหม้อรอน้ำเดือดละมั้ง ตอนหน้าเตรียมโยนมาม่าลงโครม(รึเปล่า?)
ขอบคุณที่ติดตาม และถามถึง แม้ไม่ได้ตอบแต่อ่านทุกเม้นอย่างตั้งใจ
รักคนอ่าน

รักคนเม้น
Untill we meet agaiN