CHAPTER 20 ...รักเราไม่เท่ากัน...“เลิกกันเถอะ...”
รัตติกาลได้แต่กระพริบตาปริบๆกับวาจาเนิบนาบคล้ายคนละเมอ หากนัยน์ตาที่จ้องมองสบเขาอยู่นั้นกลับบอกให้รู้ว่าแม้จะมีแอลกอฮอล์อยู่ในร่างกายแต่ก็ไม่ได้ไร้สติเสียทีเดียว ดวงตาเหยี่ยวนั้นเด็ดเดี่ยวเกินกว่าที่เขาจะคิดว่าเป็นการล้อเล่น ไม่อย่างนั้น...อาจจะเป็นเขาที่เหนื่อยเกินไป อาจจะหูฝาด อาจจะหูแว่วไปเอง
แต่ริมฝีปากบางกลับเริ่มเอื้อนเอ่ยอีกครั้งด้วยถ้อยคำที่ต่างไปจากเดิมแต่ความหมายแทบไม่ต่างกัน
“จบเรื่องของเราได้แล้ว”
ร่างโปร่งขยับกายลุกขึ้นนั่ง แววตามั่นคงสมกับคำพูดที่ชัดเจน มือบางเอื้อมจับท่อนแขนเขาเบาๆราวกับจะเรียกสติเขาให้กลับเข้าร่าง
“พูดบ้าอะไรอยู่รู้ตัวรึเปล่า” เสียงเย็นเยียบที่ไม่ต่างจากความรู้สึกแทบจะรอดไรฟันออกมา รัตติกาลพยายามควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ได้มากที่สุด เขาไม่อยากผลีผลามทำอะไรลงไป แม้ในใจอยากจะกระชากคนสวยตรงหน้าเขย่าถามเสียให้รู้ดำรู้แดง
“รู้...เพราะรู้ไง ถึงได้พูดออกไป” ทิวายังคงตอบกลับด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ “อันที่จริง...คุณกับผมไม่ได้เป็นอะไรกันด้วยซ้ำ...เราไม่ได้คบกัน รู้ใช่มั้ย?”
รัตติกาลแค่นหัวเราะอย่างอดไม่ได้ ใบหน้าคมยื่นใกล้จนลมหายใจแทบจะรินรดอีกคน
“ใช่ ผมขอโอกาสกับคุณ และคุณก็ยังไม่เคยตอบตกลงที่จะคบกับผมอย่างจริงจัง” รอยยิ้มเหยียดประดับเค้าหน้าที่เริ่มเครียดขึง “แต่ว่านะทิว..ที่ผ่านมาเรามีอะไรกันบ่อยแค่ไหนคงไม่ลืมนะ บอกผมซิว่ามันหมายความว่ายังไง”
“หมายความว่าผมร่านเองล่ะมั้ง”
“ทิวา! มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” คำถามที่ไม่ต่างจากการหาคำตอบจากหนังสือนับพัน การเปลี่ยนแปลงกะทันหันที่เขาไม่รู้ว่าจะรับมือยังไงดี ทุกคำพูดในตอนนี้มันทำให้เมื่อเช้าเหมือนอยู่ในความฝัน เรากอดกัน จูบกัน ยิ้มให้กัน แต่ตอนนี้ใครคนนั้นกับทำราวกับว่ามันไม่สำคัญ
“ผมก็แค่...ไม่อยากยุ่งกับคุณอีกแล้ว”
“ผมไม่เชื่อ”
“ก็ไม่ต้องเชื่อ...แค่ยอมรับมันก็พอ” ทิวาหลบสายตาของเขาที่จ้องตอบ “คุณกลับไปเถอะ เลิกยุ่งกับผมได้แล้ว”
“คิดว่าผมจะยอมง่ายๆงั้นเหรอ” ฝ่ามือหนาจับไหล่บางทั้งสองข้างไว้แน่น ตรึงร่างของอีกฝ่ายให้หยุดอยู่กับที่ “คุณยอมให้ผมกอด ยินดีให้ผมเข้าไปข้างในตัวคุณ เวลาที่ผมบอกรักคุณมันเป็นเวลาที่คุณยิ้มได้น่ารักที่สุด คุณกอดผมด้วยสองมือ จูบผม หัวใจคุณเต้นเร็วยามที่เราใกล้ชิดกัน คุณเขินอายทุกครั้งเวลาที่ผมหอมแก้ม...คุณรักผมทิวา...ผมรู้ว่าคุณรักผม...สายตาที่คุณมองผมมันบอกแบบนั้น”
เขารู้ดี...
ทิวารักเขา ค่อยๆรักเขามากขึ้นทุกวันทุกวัน มันเป็นผลตอบแทนจากที่เขาทุ่มใจไปจนหมด แม้จะเล็กน้อย แม้จะค่อยเป็นค่อยไป แต่ในที่สุดความหวังก็เป็นจริงแล้ว เขาจะไม่ยอมปล่อยให้มันหลุดมือไปเด็ดขาด ต่อให้ต้องกลายเป็นคนเลวในสายตาทิวาอีกครั้ง เขาก็จะไม่ยอมเสียทิวาไป
“คุณรักผม...แค่รักของเรามันไม่เท่ากัน ผมรักคุณจากร้อยเพิ่มไปหมื่น แต่คุณเริ่มนับหนึ่งกับรักของเรา แล้วตอนนี้รักของคุณมันมากพอรึยัง รักมากพอที่จะไม่ทิ้งผมไปได้มั้ย”
“เดียว...อย่าทำให้เรื่องมันยากไปกว่านี้เลยนะ” ทิวาพยายามบิดหัวไหล่ออกจากการเกาะกุม หากรัตติกาลยิ่งเพิ่มแรงกดไม่ยอมให้ร่างบางเป็นอิสระ
“เพราะอะไรล่ะ คุณบอกเหตุผลให้ผมรู้ที”
“เพราะมันไม่ถูกต้อง ที่เราทำมันไม่ปกติ”
“ผมไม่สนใจ!” เสียงตวาดสะท้านก้องไปทั่วห้อง นัยน์ตาคมวาวโรจน์จนคนมองไม่อาจสบตาได้นาน ทิวาสูดหายใจเข้าเต็มปอด
“คุณต้องสน!” เสียงนุ่มแผดเสียงก้องไม่ต่างกัน “เพราะมันไม่ได้มีแค่เรา”
รัตติกาลชะงักกับเหตุผลชวนน่าสงสัย ตาคมหรี่ลงอย่างจับผิด มือที่ออกแรงกดบ่าอ่อนลงจนอีกฝ่ายใช้จังหวะผลักตัวเขาเต็มแรง ทิวารีบถดร่างออกจากเตียงไปยืนอีกฝั่ง แต่มันก็ไม่ได้ไกลเกินความสามารถที่เขาจะตามไปประกบ ร่างสูงสืบเท้าเข้าใกล้เรื่อยๆขณะที่อีกฝ่ายก็ถอยหลังหนีจนหมดหนทาง แผ่นหลังบางแนบกับประตูตู้เสื้อผ้าที่คนกดดันไม่รอช้าขวางหนทางออกซ้ายขวาด้วยสองมือที่ค้ำยัน
“คุณหมายถึงใคร?”
“ท...ทำไมเข้าใจอะไรยากอย่างนี้! แค่เลิกกันง่ายๆไม่ได้หรือไง”
“ถ้าคุณคิดว่ามันง่ายขนาดนั้น” เสียงที่เคยแข็งกระด้างพลันอ่อนลง ไม่ต่างจากใบหน้าคมที่ทอดแววหมองเศร้า แต่นั่นก็ยังน้อยกว่าใครอีกคนที่พยายามเบือนหน้าหนีหลบสายตากัน
“...แล้วคุณร้องไห้ทำไม...”
ทิวายกมือขึ้นสัมผัสใบหน้า ปลายนิ้วลูบไล้กับรอยชื้นบริเวณแก้ม เขาร้องไห้...ทำไมกัน?
มันเป็นเรื่องที่เขาตัดสินใจแล้ว ทำไปเพราะว่าดีที่สุดแล้ว เพราะคิดว่ายังไม่ถลำใจลงไปมากจนเกินรั้ง แต่เขาก็คิดตื้นเขินเกินไป เขาหลอกตัวเองให้เชื่ออย่างนั้น หลอกตัวเองว่าคนอย่างรัตติกาลไม่ได้มีอิทธิพลอะไรกับหัวใจของเขา หลอกไปทั้งๆที่อีกส่วนของความรู้สึกมันจมดิ่งหายไปกับความอ่อนโยน กับช่วงเวลาที่มีใครอีกคนอยู่ข้างกาย รัตติกาลทำให้เขาเกลียดการอยู่เพียงลำพัง...
‘ฉันขอร้องเธอ...ไปจากชีวิตลูกชายของฉันได้มั้ย?’
ไปจากรัตติกาลอย่างนั้นเหรอ
‘ลูกชายฉันควรจะมีชีวิตแบบปกติ แต่งงานมีครอบครัว มีลูกที่น่ารัก...เธอจะใจดำรั้งอนาคตเขาไว้เชียวหรือ?’
ชีวิตแบบปกติ...นั่นสินะ
‘ตอนนี้เดียวอาจจะแค่หลงไปกับเธอชั่วครู่ชั่วยาม แต่ฉันรอจนถึงวันที่พวกเธอเลิกกันไม่ได้หรอกนะ’
‘ถ้าเธอรักลูกชายฉันจริงๆก็ปล่อยเขาไป เห็นใจคนเป็นแม่อย่างฉันเถอะนะ เข้าใจฉันใช่มั้ยที่ต้องทำแบบนี้’
‘...ครับ...ผม...เข้าใจ...’
สมองเข้าใจ แต่มันกลับสลัดสิ่งที่ได้ยินทิ้งไม่ได้ เขาไม่สามารถทำงานหรือแม้แต่คิดเรื่องอะไรได้เลย เขาลางานครึ่งวัน ไปนั่งนิ่งๆริมแม่น้ำเพื่อฆ่าเวลา จนไปจบที่ร้านเหล้ากับจัญญาที่อุตส่าห์สละวันหยุดตัวเองมานั่งดื่มกับเขาเงียบๆ โดยไม่ซักถามอะไรสักคำแม้ว่าเขาจะดื่มแบบเอาเป็นเอาตายอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน โทรศัพท์ที่ตั้งระบบสั่นเอาไว้ยังคงทำงานอย่างไม่ละหน้าที่ มันสั่นถี่ยิบอยู่ในกระเป๋ากางเกง โดยที่เขารู้ว่ามันเป็นสายเรียกเข้าจากใคร...แต่เขาไม่อาจทนฟังเสียงคนคนนั้นได้ เพราะน้ำตามันเหมือนกับว่าพร้อมจะไหลลงมาได้ทุกเมื่อ “อย่าร้องไห้...”
เสียงทุ้มต่ำหากนุ่มนวลเกินกว่าจะคาดคิดว่าเสียงนี้ยามแผดเสียงก้องนั้นน่ากลัวเพียงไร ริมฝีปากนุ่มคุ้นเคยเลื่อนเข้าใกล้จนแตะแนบกับหางตา จูบซับร่องรอยเปียกชื้น ลมหายใจอุ่นร้อนรินรดจนร้อนผ่าว
“แม่ผมใช่มั้ย? แม่ผมไปหาคุณ...” ทิวาเลือกที่จะนิ่งเงียบ แต่นั่นกลับเป็นการย้ำความมั่นใจของรัตติกาล “ท่านพูดอะไรไม่ดีกับคุณรึเปล่า?”
“มันไม่เกี่ยวกับใคร แค่ผมไม่อยากอยู่กับคุณ ผมเบื่อคุณแล้ว ทำไมไม่...!!!” ริมฝีปากถูกช่วงชิงคำพูดที่ยังต่อไม่จบ ท่อนแขนแกร่งที่เคยค้ำขวางเลื่อนลงมาโอบรัดร่างเขาเสียแน่น ข้างหนึ่งรัดรอบเอวจนทิวาไม่อาจดิ้นหนี อีกข้างจับด้านหลังคอเขาไว้เพื่อให้ริมฝีปากเราบดเบียดแนบสนิท ทิวาได้แต่หลับตาปี๋ สองมือผลักดันไหล่หนาด้วยเรี่ยวแรงที่เหลือน้อยลงทุกที เขาไร้เรี่ยวแรงเพราะสุรา แต่ยิ่งกว่านั้นเขากำลังหมดสิ้นแรงเพราะรสจูบที่ตักตวงราวกลับไม่รู้อิ่ม มือที่เคยออกแรงปฏิเสธสิ้นฤทธิ์ลง มันวางแนบกับไหล่หนาปลายนิ้วนวดเฟ้นกล้ามเนื้อตึงแน่นอย่างเผลอไผล เขายอมที่ที่พลิกพลิ้วใบหน้าเพื่อตอบรับริมฝีปากแสนร้อนแรง
รัตติกาลเก่งอยู่เสมอที่จะทำให้หัวสมองของเขาขาวโพลนเพื่อหลงลืมสิ่งที่ตั้งใจ
“ผมรักคุณ...” เช่นเดียวกับคำๆนี้ที่มีอานุภาพเข้าขั้นร้ายแรง เขาเสียการควบคุมตัวเองเพราะเสียงทุ้มต่ำหากนุ่มนวลเหลือเกินยามเอื้อนเอ่ย ไม่ว่าจะฟังกี่ครั้งกี่หน...ทิวาก็เป็นผู้พ่ายแพ้เสียทุกทีไป
“เดียว...ผม...” เขาฝืนตัวเองให้ส่ายหน้าน้อยๆ ความอุ่นร้อนมันทำให้เขามึนเมายิ่งกว่าเหล้าที่ละลายไปกับกระแสเลือด
“อย่าทำกับผมแบบนี้...” รัตติกาลกระซิบเสียงพร่า โอบแผ่นหลังเขาด้วยสองมือจนกายเนื้อแนบชิดกัน “อย่าทิ้งผมเพราะคนอื่น ให้ทิ้งผมเพราะว่าคุณไม่รักเถอะ”
ถ้าหากว่าเป็นอย่างนั้น... เขาคงทิ้งรัตติกาลไม่ได้แน่นอน
รักตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ หากพอรู้ตัวอีกที ...ความเข้มแข็งที่เคยมีก็เริ่มหมดไป จากที่เคยผ่านค่ำคืนมาได้เพียงลำพังกลับเอาแต่โหยหาอ้อมกอดจากใครอีกคน เขากำลังอ่อนแอลงเรื่อยๆ สิ่งที่เขาเคยต้องการมาตลอด สิ่งที่เคยเคยล้มเลิกที่จะตามหา หากเมื่อได้มาถึงได้เข้าใจ รัก...มันทำให้สุขและทุกข์ได้ในเวลาเดียวกัน
แม้จะรักกัน แม้จะอยากอยู่ด้วยกัน แต่ทุกอย่างมันไม่ได้มีแค่เรา รัตติกาลคือลูกชายคนเดียว คือคนที่จะสานต่อสิ่งต่างๆ คือความฝันของคนที่อยากจะเป็นคุณปู่คุณย่า รัตติกาลรักเขามาก แต่มันมากพอที่จะยอมสร้างความช้ำใจให้มารดาหรือ และถ้ามันมากพอ....เราจะยังมีความสุขกันได้รึไง
ให้มันหยุดแค่นี้... สักวันคงลืมได้
ร้องไห้...คงไม่นาน...
“อย่าทิ้งผม...ขอร้อง...”
ทิวาเอื้อมมือขึ้นประครองใบหน้าคมเข้ม คนที่เคยเกลียด แต่กลับรักมากจนทรมานไปทั้งใจ ดวงตาคมรื้นด้วยม่านน้ำเจือจาง ไหวระริกแวววาวจนน่าหลงใหล ฝ่ามือบางลูบสัมผัสเสี้ยวหน้า เพื่อตราตรึงเข้าไปในความทรงจำก่อนจะประทับริมฝีปากกันและกัน หวานล้ำ แต่กลับขมขื่น
“เดียว... “ เสียงเรียกอ่อนโยนกระซิบผะแผ่วติดริมฝีปาก “กอดผม...”
สิ้นคำขอก็เหมือนร่างทั้งร่างถูกแรงรัดจากอรสรพิษตัวใหญ่ ร้อนรุ่มและอึดอัด แต่เขาพร้อมใจ
“คืนนี้...อยู่ด้วยกันนะ...มีแค่ผม คิดถึงแต่ผม”
แค่คืนนี้.... ค่ำคืนสุดท้าย...
ให้เขาได้เอ่ยคำลาผ่านการสัมผัส ให้เราได้กอดก่าย ลูบไล้ เหงื่อโทรมกายไปกับการร่วมรักที่เร่าร้อน
เพราะหลังจากคืนนี้ไป สิ่งแรกที่เขาจะทำ
...คือการลืม
●
●
●
มันวิเศษเหมือนทุกครั้ง หากแต่ครานี้มันเต็มไปด้วยอารมณ์ เราไม่ยับยั้งความต้องการที่ปะทุขึ้นมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า แค่ปล่อยให้มันเกิดขึ้นเหมือนเปลวไฟที่ลุกมอดไหม้ รอเวลามอดดับลง
มันส่งผลต่อร่างกาย เขานอนไม่หลับ แม้จะเหนื่อยแทบขาดใจ ร่างกายประท้วงไปทุกสรรพางค์ ช่องทางยังแสบร้อนเจ็บจนน้ำตาแทบไหล ร่างโปร่งยันกายขึ้นนั่ง มองเหม่อไปยังร่างหนาที่นอนเคียงข้าง สีหน้าอิดโรยแต่ก็ดูอิ่มเอิบ รัตติกาลเหมือนได้คำตอบที่ตัวเองพอใจจากการร่วมรักทั้งที่เขาไม่ได้ตอบรับคำขอร้องใดใดเลย แต่ก็นั่นแหละรัตติกาลเป็นคนเชื่อมั่นตัวเองและยินดีที่จะเข้าข้างตัวเองเสมอ
ความคิดนั้นมันทำให้ทิวายิ้มออก นิสัยที่เคยเกลียดแทบเป็นแทบตาย แต่กลับหลงใหลเพราะว่ามันแตกต่างจากเขา รัตติกาลเอาแต่ใจ แม้จะน่าเบื่อแค่ไหนแต่เขาก็ใจอ่อนยอมตามใจทุกที คนปากเบาที่เอ่ยคำรักง่ายดายแต่ทุกครั้งที่บอกกลับหนักแน่นให้จำฝังใจ คนที่อ่อนโยนจนทำให้ใจหวั่นไหว สายตาคมที่ราวกับจะตรึงเขาไว้ไม่ให้ไปไหน ฝ่ามืออุ่นแข็งแร่งที่คอยประครองยามเขาใกล้สิ้นแรง อ้อมกอดอบอุ่นราวกับที่พักใจ
“ฮึก..ฮึ..ก อึ๊...อึ..ก”
หยาดน้ำตารินหลั่งอาบสองแก้มอย่างสุดจะห้าม สองมือยกขึ้นปิดปากกลั้นเสียงสะอื้น ดวงตาเหยี่ยวเอาแต่จับจ้องร่างตรงหน้าให้นานที่สุดแม้ว่าม่านน้ำจะบดบังจนภาพพร่าเลือน ทิวาโน้มกายลง จรดริมฝีปากเข้ากับข้างแก้มสากแผ่วเบา
จูบสุดท้าย...
ผมจะลืมคุณ
●
●
●
ทิวาจากเขาไปแล้ว
ทิ้งเขาไปพร้อมกับกลิ่นหอมที่ยังอบอวลอยู่บนเตียง
ทิ้งให้เขาตื่นขึ้นมา แล้วพบว่าข้างกายว่างเปล่า
ทิ้งให้เขาหลอกตัวเองว่าอีกเดี๋ยวคนรักจะเดินกลับเข้ามา ทักทายด้วยจูบแรก เราอาจจะอาบน้ำด้วยกัน กินมื้อเที่ยงง่ายๆ ดูหนังสักเรื่อง หรือ นอนกอดกันบนที่นอน คุยเรื่อยเปื่อย แล้วผล็อยหลับกันไป
ทั้งๆที่เป็นเรื่องปกติที่จะทำ แต่ตอนนี้มันราวกลับเป็นหมอกควันที่เจือจางและสลายไป เขาได้แต่วิ่งวุ่นตามหา ทุกที่ที่รู้ ทุกคนที่รู้จัก ไม่อยู่ที่ใด ไม่มีใครรู้ ไม่มีแม้สักคน ไม่มีทิวาอยู่ที่ของเราอีกแล้ว แม้เสื้อผ้าจะยังมีเหลือทิ้งไว้ ข้าวของเครื่องใช้จะยังเหลืออยู่ แต่เจ้าของกลับจากไป
ทิวาแค่จากไป ทิ้งเขาไปหลังจากพร่ำบอกรักเขา คำรักที่แทนกอยู่ทุกอณูที่สัมผัส ไม่เฉลียวใจ ไม่ระแวงเลยสักนิดว่ามันจะออกมาในรูปนี้
“ฮึก...ฮึก...”
เขากำลังจะขาดใจ ยิ่งน้ำตารินไหลก็ยิ่งบีบหัวใจให้เจียนขาด
อยากจะร้องไห้ออกมาให้สุดเสียง แต่ก็ได้แต่กลั้นเสียงเอาไว้ เก็บกดมันจนเจ็บร้าวไปทั้งลำคอ เขาร้องมากกว่านี้ไม่ได้ เพราแค่นี้มันก็เหมือนว่าไม่ใช่เขาแล้ว ถ้ามันมากกว่านี้...รัตติกาลคงล้มจนยืนอีกไม่ไหว
“อึก..อึ...ก...ฮึ...ฮึก”
ทิวาเคยพูดกับเขาไว้ ในวันที่เรายังไม่รักกัน ...คุณจะต้องเจ็บเพราะผม... ประโยคนี้ที่ตอนนั้นเขาได้แต่ขำ แต่มันกลายเป็นจริงแล้ว
ในตอนนี้ เขาเจ็บอย่างที่ไม่เคยมีใครทำได้ ทรมาน เหมือนคนจมน้ำที่ได้แต่ไขว่คว้าหาอากาศหายใจ
ทิวาทิ้งเขาไปแล้ว
อากาศของเขาไม่มีแล้ว...
เขายังหายใจ...แต่หัวใจเหมือนตายลงไปทุกวินาที
_____________________________________________________________ TBC. __________________ รักคนอ่าน
รักคนเม้น
Untill we meet agaiN