CHAPTER 19 ...ลูกไก่ในกำมือ...เธอทำถูกแล้วใช่มั้ย?สิ่งที่ทำไปมันเป็นหนทางที่ถูกที่ควรไม่ใช่หรือไง...
แต่ทำไมยามมองใบหน้าสะสวยที่หม่นเศร้าอย่างเห็นได้ชัด เธอถึงได้รู้สึกว่าตัวเองทำผิดเหลือเกิน
คุณราตรีลอบถอนใจเป็นรอบที่ร้อย แต่ไม่ว่าจะเท่าไหร่ก็ดูเหมือนจะไม่เพียงพอแก่ความต้องการ ร่างที่เริ่มจะอวบพลิกไปมาบนที่นอนนุ่มด้วยระบบความคิดไม่ยอมปิดทำการตามเวลาที่ควรจะเป็น หัวสมองเธอครุ่นคิดมากมายในเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ทั้งวัน แต่นั่นยังไม่แย่เท่าความรู้สึกที่ราวกับมีบางอย่างกัดกร่อนอยู่ภายในพาลให้ใจโหวงเหวงอย่างบอกไม่ถูก ทั้งที่อายุก็ปาเข้าไปมากโขแต่ตอนนี้เธอรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กเล็กๆ เด็กที่ทำความผิดอะไรสักอย่างแต่ไม่กล้าบอกใคร
จะเรียกว่ามันเป็นสิ่งที่ผิดก็ไม่ได้ จะบอกว่าถูกต้องก็พูดได้ไม่เต็มปาก
แต่สิ่งหนึ่งที่เธอรู้ดีที่สุดและเป็นสิ่งเดียวที่เธอมั่นใจอย่างที่ใครก็ไม่อาจมาทำให้สั่นคลอนนั่นคือ เธอรักรัตติกาล... ลูกชายเพียงคนเดียว หัวแก้หัวแหวน เด็กน้อยที่เธอหลงรักหมดใจตั้งแต่แรกเห็นหน้า ลูกชายคนแรกและคนสุดท้าย
เพราะเหตุผลนั้นทำให้เธอย้ำกับตัวเองทุกครั้งที่เริ่มหวั่นไหว ว่าทุกสิ่งที่ทำ ทุกคำพูดที่ส่งออกไป ...เธอทำถูกแล้ว...
เธอและสามีปลงเสียแล้วกับการเปลี่ยนคู่นอนไม่ซ้ำหน้าของลูกชาย ความพร้อมทุกอย่างทำให้รัตติกาลมีภาษีดีกว่าคนอื่นจึงไม่แปลกถ้าจะมีใครต่อใครพากันหมายปอง แต่ลูกชายของเธอมีระบบการจัดการที่ดีมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เธอและสามีไม่เคยต้องมาปวดหัวกับบรรดานางเล็กๆที่ควงกันไม่กี่วันของรัตติกาลสักครั้ง และไม่เคยมีครั้งใดที่รัตติกาลจะพาใครมาแนะนำว่าเป็นคนรักอย่างเป็นทางการ อันที่จริงแล้วลูกชายเธอไม่เคยคบใครเกินสัปดาห์ด้วยซ้ำ
มันเลยทำให้ภาพนั้นติดตา
ภาพรอยยิ้มแสนจะอ่อนโยนของลูกชายที่มีต่อใครอีกคนนั้นยากจะลืมเลือน กิริยาท่าทางที่เห็นมันแสดงออกอย่างชัดแจ้งว่าใครคนนั้นสำคัญแค่ไหน ช่วงเวลาสามวันที่เธอได้ให้ไว้ ก็ไม่อาจแน่ใจว่าในที่สุดแล้วมันจะสมดั่งใจรึเปล่า ด้วยไม่แน่ใจ จึงทำให้เธอต้องไปหาคนคนนั้นด้วยตัวเอง ถ้าเธอสั่งลูกชายไม่ได้ ก็คงต้องให้อีกคนเป็นฝ่ายไปเสียเอง
มันง่ายดายอย่างไม่น่าเชื่อ แต่เป็นเธอเองที่หวั่นไหว
เธอไม่ควรไปเจอผู้ชายคนนั้น ไม่ควรเห็นหน้า ไม่ควรเห็นกิริยา หรือแม้แต่น้ำเสียง
ทิวา... เด็กคนนั้นฟังเธอพูดโดยไม่โต้แย้งแม้แต่น้อย รับฟังด้วยใบหน้าที่เศร้าเกินกว่าที่เธอคาดคิดไว้ ทุกน้ำเสียงตอบรับนุ่มนวล ไม่มีแววขุ่นเคืองสักนิดอย่างที่เธอจินตนาการไว้ว่าอาจจะต้องมีปากเสียงกัน
เป็นเด็กที่ดูเจียมเนื้อเจียมตัวเกินกว่าที่ควรจะเป็น
แต่คำพูดก็เปรียบเหมือนสายธารที่พอออกจากปากไปแล้วก็ยากที่จะเก็บกลับคืน
“คุณมีเรื่องอะไรรึเปล่า ถึงได้นอนไม่หลับแบบนี้”
เสียงจากคนนอนข้างเคียงดังขึ้นใกล้ๆ ส่งผลให้ความคิดหยุดชะงักในทันใด
“ขอโทษค่ะ ฉันทำให้คุณตื่นใช่มั้ย?”
“ผมยังไม่ได้นอนเลยต่างหาก แต่ก็พยายามนับเสียงถอนใจคุณแทนการนับแกะล่ะนะ” คุณวันชัยเอ่ยกลั้วหัวเราะ เธอพลิกตัวกลับไปมองสามีขยับกายขึ้นนั่งหยิบหมอนหนุนพิงหัวเตียงเพื่อเอนหลังลงไปก่อนที่แสงสว่างสีนวลจากโคมไฟตั้งโต๊ะจะสว่างขึ้นขับไล่ความมืดภายในห้องนอนกว้าง มือที่เหี่ยวย่นไปตามวัยตบที่ว่างข้างๆตัวเป็นเชิงเรียกหา คุณราตรีแย้มยิ้มเศร้า พาร่างไปนอนซบเคียงข้าง พาดแขนโอบสามีไว้หลวมๆ
“เกี่ยวกับเรื่องที่คุณหุนหันออกไปเมื่อตอนเช้ารึเปล่า?”
“ใช่ค่ะ”
“คุณว่ากลับมาจะเล่าให้ผมฟัง แต่ก็เห็นเอาแต่กลุ้มใจอยู่คนเดียว” ฝ่ามืออุ่นลูบผมเธอไปมาราวกับว่ากำลังปลอบเด็กน้อย “เรื่องใหญ่มากเลยเหรอ เจ้าเดียวไปทำอะไรไว้ล่ะ”
“ทำไมถึงคิดอย่างนั้นล่ะคะ”
“ก็มีแค่เรื่องลูกเท่านั้นแหละที่ทำให้คุณจะเป็นจะตายได้น่ะ”
“เฮ้อ... วันนี้ฉันพูดอะไรหลายๆอย่างออกไปค่ะ” คุณราตรีเริ่มระบายออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง “ทั้งที่คิดว่าดีแล้วก่อนที่จะทำ แต่ทำไม พอทุกอย่างจบลง ฉันถึงรู้สึกว่าตัวเองไม่ควรทำแบบนี้ก็ไม่รู้”
“สาเหตุคืออะไรล่ะ หืม?”
ผู้เป็นภรรยาเด้งตัวลุกขึ้นนั่ง สายตาคมจ้องมองสามีท่ามกลางแสงสลัว ตลอดชีวิตของคนใจเร็วคิดเร็วอย่างเธอก็มีสามีคนนี้คอยให้คำแนะนำและตักเตือนอยู่เสมอ สามีที่ใจเย็น มีเหตุมีผล แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังปล่อยให้ตัวเองทำตามความคิดก่อนเป็นอันดับแรกเสมอ และเมื่อมันเริ่มยุ่งยากคิดไม่ตก เธอถึงได้นึกถึงคู่คิดชั่วชีวิตคนนี้ เรื่องวันนี้ก็ไม่ต่างจากเรื่องอื่นๆสักเท่าไหร่ เธอคิด เธอทำ และมันแย่สำหรับตัวเอง...
“ตาเดียวน่ะค่ะ...ลูก...ลูกมีคนรักแล้ว”
“โธ่เอ๊ย! ไอ้ผมก็นึกว่าเรื่องอะไร” คุณวันชัยเห็นขันกับเรื่องกลุ้มขี้ปะติ๋วของภรรยา “ในที่สุดเจ้าเดียวก็คิดอยากจะหยุดกับใครสักคนแถมคุณเองก็อยากได้สะใภ้นี่นา แล้วจะมากลุ้มใจอะไร”
“แฟนลูกเป็นผู้ชายค่ะ”
เกิดความเงียบอยู่ชั่วอึดใจ สีหน้าของคุณวันชัยในตอนนี้คงไม่ต่างจากสีหน้าของเธอในครั้งแรกที่รู้เท่าไหร่ ประหลาดใจ ตกใจ และเสียใจ... แต่สามีทำได้ดีกว่าเธอมากนักที่เพียงแค่ยกมือขึ้นลูบหน้าลูบตาราวกับคนที่พยายามจะตื่น
“ผม...”
คำสั้นๆที่หลุดออกมาจากปาก คล้ายว่าอยากจะสื่อสารให้มากกว่านั้นแต่มันคงทำไม่ได้ในตอนนี้ คุณราตรีมองสามีที่ขยับร่างลงจากเตียง เขายืนลังเลเล็กน้อยเมื่อยืนได้เต็มความสูงราวกับต้องการจะพูดบางอย่างกับเธอเสียเดี๋ยวนี้แต่ก็ตัดสินใจเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ แม้จะรู้สึกเป็นห่วงแต่คุณราตรีก็ยังอดทนรอ เวลาผ่านไปเกือบสิบนาทีคุณวันชัยถึงได้เดินออกมา ร่างสูงของสามีก้าวขึ้นนั่งบนเตียงในตำแหน่งเดิม ใบหน้าจริงจังยามมองตรงมาพลอยทำให้เธอเคร่งเครียดมากกว่าเดิม
“เล่าให้ผมฟังที...”
เรื่องราวทุกอย่างค่อยๆพรั่งพรูออกมา นับตั้งแต่ที่อติกานต์ส่งข่าวที่เป็นจุดเริ่มต้นของความระแวง จนกระทั่งเธอได้พบกับทิวา คุณวันชัยรับฟังอย่างสงบ บีบมือให้กำลังใจเธอในช่วงที่เธอว้าวุ่นเกินจะพูดต่อ เขาไม่แทรกแซง ไม่แสดงความคิดเห็นใด เขาเพียงรอให้เธอพูดทุกอย่างที่เกิด และที่รู้สึกออกมาให้หมด
“ฉันควรจะทำยังไงดีคะ...”
“...ลูกชายคุณอนันต์งั้นเหรอ” เขาไม่ตอบคำถามเธอ แต่เริ่มตั้งคำถามเสียเอง “ฝ่ายนู้นเขารู้เรื่องรึเปล่า?”
“คิดว่าไม่ค่ะ ฉันเดาว่าพวกเขาคงอยากจะปิดไปตลอดเสียมากกว่า”
“ผมไม่เคยเห็นเด็กคนนั้นเลย คิดว่ามีแค่ลูกชายลูกสาวอย่างละคนซะอีก”
“เห็นหนูสองว่าเป็นลูกเมียน้อย ที่คุณอรดียอมรับมาเลี้ยงดูน่ะค่ะ”
“แล้วคุณคิดว่าเขาเป็นคนยังไง”
“ไม่รู้สิคะ ฉันพูดอยู่ฝ่ายเดียว แต่...เขาไม่เหมือนกับที่ฉันคิดไว้ เขาเหมือนเด็กดีคนนึง เฮ้อ...ฉันมองคนไม่เก่งหรอกค่ะ”
“ใครว่า...คุณมองคนเก่งยิ่งกว่าใคร ถึงได้เลือกผมมาเป็นสามีไง”
“บ้าจริงคุณชัย! ฉันยิ่งเครียดๆอยู่นะ”
แม้จะโมโหที่สามีดันมาอวยตัวเองไม่รู้เวลา แต่เขาก็ทำให้เธอยิ้มได้ในที่สุด ฝ่ามือใหญ่เลื่อนสัมผัสมือของเธอแผ่วเบาก่อนจะกอบกุมส่งผ่านความอบอุ่น ดวงตาที่อ่อนโยนอย่างไรเมื่อแรกพบ มาบัดนี้ก็ยังมองเธอด้วยแววตาคู่นั้นไม่เสื่อมคลาย
“คุณทุกข์ เพราะรู้ว่าลูกไม่มีความสุขกับสิ่งที่คุณทำไป” น้ำเสียงที่เอื้ออาทรไม่แพ้ความอ่อนโยนจากดวงตาเอื้อนเอ่ยเนิบนาบ “เราไม่อยู่ค้ำฟ้าหรอกนะคุณตรี ลูกต่างหากที่จะยังอยู่ต่อไป คุณอยากให้ลูกอยู่กับสิ่งที่ไม่ต้องการ หรืออยากให้เขาอยู่อย่างมีความสุขกับสิ่งที่รักล่ะ”
“คุณรับได้เหรอ ถ้า...ถ้าลูกจะเป็นแบบนั้น ความสัมพันธ์แบบนั้นมันฉาบฉวยไม่ยั่งยืนหรอก”
“มีความสัมพันธ์ไหนที่มันยั่งยืนบ้างล่ะ... สังคมมันเปลี่ยนไปมากจากสมัยเราสาวๆหนุ่มๆนะคุณ วัยรุ่นสมัยนี้รักเร็วเลิกเร็วกันจะตาย คุณอย่าไปยึดติดที่คำว่าเพศสิ จะรักกันได้นานแค่ไหนมันอยู่ที่คนสองคนต่างหาก”
“หมายความว่าคุณยอมรับได้ว่าลูกเป็นเกย์อย่างนั้นเหรอ”
“ผมยอม”
เหมือนคำตัดสินชี้ขาด คุณราตรีปล่อยหยาดน้ำร้อนไหลอาบแก้มเงียบๆ ไม่มีเสียงสะอื้นไห้แม้น้ำตาจะถูกซับด้วยนิ้วโป้งจากมือของสามีที่ร่วมสุขร่วมทุกข์กันมาเกินครึ่งชีวิต
“เดียวเป็นลูกผม นั่นคือเหตุผลเดียวที่ผมยอมรับได้”
“เหมือนฉันจะกลายเป็นนังแม่ใจร้ายถ้ายังคัดค้าน”
“คุณไม่ผิดที่รับไม่ได้ แต่ลูกก็ไม่ผิดที่จะเลือกรักใครสักคน”
“มาถึงขั้นนี้ฉันคงต้องทำใจใช่มั้ย”
“โถคุณตรี...” คุณชัยคว้าร่างเธอไปกอด ตบแผ่นหลังเบาๆปลอบใจ “รักลูกอย่างที่คุณรักมาตลอดเถอะนะ แล้วคุณจะไม่ต้องทนทำใจกับอะไรเลย”
“แต่ฉันบอกลูกไปแล้ว บอกกับทิวาไปแล้ว”
“เวลาสามวันที่คุณให้พวกเขา เราก็แค่รอ...เราจะได้รู้ว่าเจ้าเดียวมันจะจริงจังกับพ่อหนุ่มคนนั้นมากแค่ไหน”
สองสามีภรรยากอดกันและกันเหมือนเช่นทุกครั้งในยามที่ต้องก้าวผ่านบางเรื่องที่ยากเกินรับมือ คุณราตรีสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วผ่อนออกมาเพื่อปรับระดับอารมณ์ตัวเอง เธอจะพยายาม แม้ในตอนนี้ยังต้องทนอยู่ก็ตาม แต่เธอก็จะรอดูอย่างที่สามีว่า สองคนนั้นจะรักกันได้มากแค่ไหน...
...
...
...
รัตติกาลอยากจะบ้า!!
เขาได้แต่เดินหงุดหงิดงุ่นง่านมาตั้งแต่หัวค่ำ เขาทำอยู่แค่สองอย่าง ถ้าไม่คอยเอาแต่มองดูเวลาก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นเพื่อโทรออก แต่ไม่ว่าจะทำทางไหนมันก็เปล่าประโยชน์ ในเมื่อเวลายังคงเดินต่อไปเรื่อยๆ และคนที่เขาเพียรโทรหาก็ยังไม่ยอมรับสายสักที เขากำลังจะเป็นบ้า โมโหจนรับรู้ได้ถึงเลือดที่สูบฉีดในหัวใจ มันเต้นกระหน่ำรัวเร็ว ทั้งโมโห ทั้งเป็นห่วง
เขาไม่น่าตอบรับคำออกไปง่ายๆเลย ในยามที่ทิวาเพียงแค่โทรมาบอกว่าจะไปกินข้าวเย็นกับเพื่อน แค่เพราะเขาอยากเพิ่มพื้นที่ระหว่างกัน ไม่อยากให้ทิวารู้สึกอึดอัดไปมากกว่าเดิม คำตอบตกลงถึงได้ผ่านปากเขาไปอย่างง่ายดาย
แล้วไงล่ะ...
ทิวาหายเข้ากลีบเมฆ ถึงไม่ได้ปิดเครื่อง แต่ก็ไม่รับสาย ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน จะแค่สนุกจนลืมคนข้างหลังหรือว่าเกิดเหตุอะไร... เขาไม่รู้สักอย่าง ไม่รู้เบอร์เพื่อนสักคนที่พอจะสอบถามได้ว่าทิวาทำอะไรอยู่ ไม่รู้ว่าทิวาชอบไปที่ไหน หรือนั่งดื่มที่ไหนเป็นประจำ ไม่รู้ว่าเพื่อนที่ไปร่วมดื่มด้วยจะสนิทสนมกันแค่ไหน ไว้ใจได้หรือเปล่า จะมีใครทำเรื่องเลวระยำอย่างที่เขาเคยทำกับทิวามั้ย
ความไม่รู้กำลังฆ่าเขาทั้งเป็น
มันเกินเที่ยงคืนมานานแล้ว แต่เขายังนั่งไม่ติด เรื่องจะนอนให้หลับยิ่งเป็นไปไม่ได้ เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาอีกครั้งเพื่อกดเบอร์เดิมที่โทรมานับครั้งไม่ถ้วน เสียงสัญญาณรอสายดังช้าๆ ทิ้งช่วงราวกับจะปลิดปลิวความอดทนเขาไปทีละน้อย
และในที่สุด
//เอ่อ...ฮัลโหล//
เสียงจากปลายสายดังขึ้นเรียกสติของเขาให้พุ่งเป้าจดจ่อ หากแต่เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของทิวา ชายหนุ่มละโทรศัพท์ออกจากหูเพื่อดูเบอร์ให้แน่ใจอีกครั้งว่าไม่ได้กดพลาด และสองตาที่เห็นชื่อหราเต็มหน้าจอกลับยิ่งทำให้คิ้วเข้มที่ขมวดอยู่ยิ่งขมุกมุ่นเข้าไปใหญ่
“มือถือของทิวใช่มั้ย...คุณเป็นใคร!”
//ผมเป็นเพื่อน แล้วคุณเป็นใคร// เสียงกวนโมโหที่ย้อนถามกลับ ทำให้คนฟังแทบอยากจะโผล่ไปกระชากคอจ้องตาเสียเดี๋ยวนี้
“ทิวอยู่ที่ไหน”
//เมาเหมือนหมา หลับเหมือนศพอยู่ข้างๆผมเนี่ย// รัตติกาลกัดฟันแน่นกับคำตอบเผื่อแผ่ไม่ตรงประเด็น
“อยู่ที่ไหน”
//ก็ที่ห้องมันน่ะซี่//
“คุณรออยู่ที่นั่นนะ ผมจะรีบไป” ร่างสูงรีบเดินไปคว้ากระเป๋าเงินพร้อมกุญแจรถจากโต๊ะในทันทีที่รู้สถานที่
//เฮ้ยๆ จะมาทำไมมันดึกแล้ว//
“ผมเป็นแฟนทิวา แค่นี้พอมั้ย?” เขาตัดสายทันที ไม่อยากจะฟังเสียงกวนประสาทนั่นพล่ามอะไรอีก
ท้องถนนในยามค่ำคืนวันวันทำงานเป็นใจให้เขาเหยียบคันเร่งได้อย่างใจ รถยนต์สมรรถนะสูงเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วสาสมกับความใจร้อนของคนขับ ไม่นานเกินความอดทนเขาก็ได้มายืนอยู่หน้าห้องพักของทิวาที่มีโอกาสมาแค่ไม่กี่ครั้ง ประตูห้องไม่ได้ล็อกเอาไว้อย่างที่เขาจงใจเปิดแต่แรกแทนการเคาะประตู เพียงแค่เดินเข้าไปไม่กี่ก้าวเขาก็พบกับโซฟาที่ตั้งอยู่กลางห้อง มีใครสักคนนอนอยู่โดยมีปลายเท้าหนึ่งคู่ยื่นออกมา คาดว่าเสียงเดินของเขาจะทำให้เจ้าของเท้าปริศนารู้สึกตัว เพราะมันหดกลับแล้วเปลี่ยนเป็นร่างกายท่อนบนยืดขึ้นมาจากพนักแทน
นี่คงเป็นเจ้าของเสียงกวนโมโหที่ทำให้เขาหงุดหงิดได้แม้ไม่ต้องเห็นหน้า ผู้ชายที่ดุจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ผมรองทรงดูยุ่งเหยิง ใบหน้าขาวที่รับกับคิ้วเข้มได้อย่างลงตัว ริมฝีปากบางเหยียดยิ้มเจ้าเล่ห์ ไม่แพ้สายตาที่เหมือนจะมากด้วยเล่ห์กล
“คุณเองน่ะหรอที่ว่าเป็นแฟนทิว” เสียงที่ต่างไปเล็กน้อยจากที่ฟังทางโทรศัพท์เอ่ยขึ้น “ผมไม่ยักกะรู้ว่าทิวมันชอบผู้ชาย”
“เป็นพวกชอบสอดรู้รึไง”
“แรงอ่ะ...คนเป็นเพื่อนก็ต้องชอบเสือกเรื่องเพื่อนเป็นธรรมดา”
“ทิวอยู่ไหน” รัตติกาลพยายามนับหนึ่งถึงร้อยเพื่อระงับความโกรธที่ดูจะยิ่งพุ่งขึ้นสูงเพราะเสียงกวนๆของใครอีกคน
“เป็นแฟนกันแน่เหรอ ทำไมเพื่อนผมมันไม่ยอมรับสายคุณล่ะ”
คำถามยอกใจที่เขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าทำไม
“มันดื่มเป็นบ้าเป็นหลัง ตลอดเวลาที่คบกันมามันไม่เคยดื่มหนักขนาดนี้เลยนะ คุณไปทำอะไรให้ทิวไม่สบายใจใช่มั้ย”
“ผมเปล่า!!” เสียงตอบของเขาเกือบจะคล้ายเสียงตะโกน “ เมื่อเช้าเราก็ยังคุยกันดีดี ไม่ได้ทะเลาะอะไรกันเลย”
“งั้นมันคงบ้าไปเองสินะ” คำสรุปที่คล้ายจะเยาะแทบจะเป็นตัวพังทลายเขื่อนอารมณ์ ถ้าไม่มีคำพูดต่อไปมาขวางไว้ก่อน “ทิวอยู่ในห้อง และผมจะไม่ไปไหนจนกว่าเพื่อนผมจะตื่นด้วยสติครบถ้วน โอเค๊” พูดจบ คนกวนประสาทก็หายตัวลงไปกับโซฟาอีกครั้ง
รัตติกาลเดินไปยังห้องนอน เปิดประตูเข้าไปเบาๆ สายตาคู่คมจับจ้องไปที่เตียงกว้างที่มีร่างหนึ่งนอนคุดคู้อยู่ด้วยชุดเดิมที่เขาเห็นเมื่อเช้า ยังกับว่าไอ้คนข้างนอกแค่พากลับห้องแล้วโยนทิ้งเอาไว้เท่านั้น เขาเดินไปนั่งเคียงข้างคนหลับสนิท ใบหน้าสวยพริ้มหลับหากมีคราบน้ำตาเล็กน้อยประดับแพขนตาจนชุ่ม รัตติกาลเดาไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้นกับทิวา ทำไมถึงได้ไปดื่มเหล้าเมามาย ทำไมต้องร้องไห้แบบนี้ ชายหนุ่มคิดทบทวนทุกอย่างในหัว เขาได้ทำอะไรผิดไป หรือพูดเรื่องอะไรที่ทำให้ไม่สบายใจหรือเปล่านะ
“ทิว...”
รัตติกาลส่งเสียงเรียก มือหนาเขย่าท่อนแขนหมายจะปลุกให้คนเมาตื่นขึ้นมาคุยกันแม้สักนิดก็ยังดี
“ทิว!! ได้ยินผมมั้ย ตื่นขึ้นมา”
“อื้อ...” เสียงครางอู้อี้ กับมือไม้ที่ปัดป่ายเขาออกอย่างรำคาญแทบจะทำให้รัตติกาลกระชากคนรักขึ้นมาเขย่าให้ฟื้นสติแรงๆ
“ตื่นเดี่ยวนี้ทิว คุยกับผม”
“ม่าย...จานอน...”
ถ้าในยามที่อารมณ์ปกติ เขาคงจะมองดูว่าทิวาในยามที่พูดอู้อี้แบบนี้ดูน่ารักอยู่หรอก แต่ตอนนี้เขาอยากจะให้ทิวาได้สติเสียที!
“ทิวา!!!” เสียงตวาดก้อง ทำเอาอีกคนสะดุ้งตกใจ ทิวาลืมตาขึ้นมองเขาในทันที “มองผม คุยกับผม”
“เดียว...” ริมฝีปากบางพึมพำชื่อเขาคล้ายยังละเมอ
“ใช่ ผมเอง”
“เดียว...”
“บอกผมได้มั้ยว่าทำไม”
ทิวาไม่ตอบคำถาม เพียงแค่จ้องมองเขาด้วยดวงตาเหยี่ยวคู่สวย ฝ่ามือบางยื่นมาสางเส้นผมยุ่งๆของเขาแผ่วเบาก่อนจะเลื่อนมายังใบหน้า เขาแนบแก้มกับฝ่ามือนั้นอย่างเผลอไผล แค่สิ่งเล็กๆน้อยๆแบบนี้ก็ทำให้เขาคลายความโกรธลงได้อย่างไม่ยากเย็น ถ้าอยู่กันไปนานกว่านี้ ไม่แคล้วเขาคงกลายเป็นลูกไก่ในกำมือผู้ชายคนนี้เป็นแน่
ถ้าบีบก็ตาย ถ้าคลายก็รอด
แล้วตอนนี้ มือที่กำลูกไก่อย่างเขาอยู่กลับเริ่มออกแรงขยี้ โดยที่เขาไม่ทันได้ตั้งตัว
“เลิกกันเถอะ...”...
...
...
_____________________________________________________________ TBC. __________________ช้าไปรึเปล่าเน้อ แต่ก็มาแล้วนะจ๊ะ ดีใจที่ยังรออ่านกันอยู่
จากตอนล่าสุดเปรียบเทียบกับตอนอินโทร
เหมือนจะเป็นคนละคนกันนะ ที่คิดว่ารักมากกว่า
เป็นอะไรที่ทำให้เราละอายมากมาย คำตอบคือ ...ใช่ค่ะ....
ที่ตั้งใจไว้แต่แรกคือเดียวจะร้ายมาก ทิวาจะแบบว่าน่าสงสารสุดติ่ง แต่พอเขียนไปเรื่อยๆ...เราทำกับเดียวไม่ลง เราให้ผู้ชายคนนี้ร้ายขนาดนั้นไม่ได้ ขออภัยจริงๆค่ะ
มันเป็นข้อเสียของการคิดพล๊อตไว้ในหัวแล้วค่อยละเลงพิมพ์ เนื้อเรื่องมันเลยดิ้นได้ตามใจคนเขียน ซึ่งบางครั้งมันก็ไม่ดีเลยค่ะ
ถ้ามีโอกาสจะแก้ไขใหม่นะคะ...
รักคนอ่าน
รักคนเม้น
Untill we meet agaiN