- 3 -“เจ้าพี่กล่าวเช่นนี้หมายความเช่นไร แม้แต่พระปิตุลายังมิอาจรู้ถึงสาเหตุของกาลนี้ ใยหาความเอากับข้า ว่าแต่ท่านถือครองธรณีธาตุชันษาแก่กว่าข้า 5 ปี ใยจัดการองค์ชายวายุภักษ์ไม่ได้ เช่นนี้ยังกล้ากล่าวหาข้า”
เจอองค์หญิงสวนกลับอย่างไม่ยอมแพ้ องค์ชายผู้ถือทิฐิขบพระกรามแน่น ไม่มีพระดำรัสสวนถ้อยคำคืน
ด้วยพระองค์ตระหนักในความจริงดังล่าว
“พอกันทั้งสองคน เป็นถึงคู่หมั้นหมายเสร็จภารกิจสงครามจักเข้าพิธีอภิเษกในไม่ช้า
กลับทุ่มเถียงดุจทารกไม่ยอมเปลี่ยน เมื่อไหร่พวกเจ้าจักเลิกนิสัยเช่นนี้เสียที” พระปิตุลาทรงตำหนิสุรเสียงดุ
ทำเอาคู่กรณีปิดโอษฐ์เงียบทั้งคู่ แต่ดวงเนตรกับดื้อรั้น จนปัญญาพระปิตุลาจะห้ามปราม
คิดแต่เพียงถึงเวลาร่วมหอ ทั้งคู่จะลงรอยไม่หวังชนะคะคานเช่นที่เป็นอยู่...
“มาวางแผนยุทธพิธีสงครามกับข้าต่อเถิด เราจักรออีกไม่ได้”
“ข้าแปลกใจนัก เหตุใดเสด็จพ่อถึงเร่งพิชิตศึกในเร็ววัน ก่อนหน้าสู้รบยืดเยื้อยาวนาน 6 ปี มิเห็นท่านร้อนพระทัย”
องค์ชายธรณิณดำรัสถามความกับพระบิดา หลังพระองค์ทรงเห็นผู้เป็นบิดากังวลกว่าที่ผ่านมา
“ใครว่าข้ามิร้อนใจ เป็นเพราะพวกเจ้าล้วนไม่เอาไหน หากจัดการองค์ชายวายุภักษ์สำเร็จ
คงไม่ต้องเดือดร้อนข้าลงมาคุมทัพหน้าเช่นนี้ดอก ที่ข้าต้องใจเย็นรอให้ชลธารมีพลังเต็มเปี่ยมเสียก่อน
เพลามาถึงแล้วเราไม่อาจรออันใดอีก” พระปิตุลาให้เหตุผลพระโอรส โดยปิดบังความจริงสำคัญบางส่วนที่มิอาจให้ล่วงรู้ได้
นอกจากรำพึงภายในพระทัย ‘ข้ามิอาจให้พวกเจ้ารู้ บัดนี้ในไตรคานมีผู้ถือครองมหาธาตุอัคคี ทารกแฝดของชลธารหวนคืนมา
ขืนยังชักช้าไม่รีบลงมือ ทารกนั่นจักนำภัยพิบัติทำลายแผนการทั้งหมด ที่ข้ากับพระปิตุจฉาใช้เวลากว่าค่อนชีวิต’
ทั้งสามพระองค์จึงได้ร่วมวางแผน บุกโจมตีหน้าด่านนครไตรคาน ซ้ำมุ่งมั่นปิดฉากสงครามยาวนานครั้งนี้ ให้สำเร็จในคราเดียว..
พระปิตุลามั่นพระทัยนัก ไส้ศึกภายในทรงมอบหมายให้ทำหน้าที่ส่งข่าวถวายรายงานว่า องค์ชายมิได้ประจำการอยู่หน้าด่าน
ดังนั้นพลังของค่ายกลพายุดำย่อมถดถอย คงเหลือความร้ายกาจเพียงแค่ 7 ส่วน เหล่าแม่ทัพรักษาการหรือจักเป็นคู่มือ
องค์ชายธรณิณ องค์หญิงชลธารเล่า คนทั่วทั้งแผ่นดินต่างเกรงกลัวจนหัวหด..โอกาสนี้แล้วที่ต้องรีบฉกฉวยไว้
>
>
“จะให้ผมนอนฝั่งไหน” ผักตบถามเจ้าของห้อง อีกฝ่ายเพิ่งกลับมาถึงไม่นาน พระพักตร์ดูอิดโรยเหมือนมีเรื่องให้คิดหนัก
“แล้วแต่เจ้าเถอะ” พระองค์ตรัสตอบ
“คุณเป็นอะไรดูเครียดๆ” แทนที่ผักตบจะโมโหที่เจอคำพูดแบบนั้น เขากลับนึกเห็นใจอีกฝ่ายคงมีเรื่องหนักใจ
ถึงกับไม่สนว่าเขาจะนอนตรงไหน ตอบแบบขอไปทีเสียอย่างนั้น เขาไม่ใช่พวกเรื่องมาก
ติดที่ไม่รู้ว่าเจ้าของห้องมีที่นอนประจำฝั่งไหน นับเป็นครั้งแรกที่เขาต้องนอนร่วมกับคนแปลกหน้าตลอดคืนยันเช้า
องค์ชายประทับนั่งพระเก้าอี้ ค่อยรินน้ำชาใส่ถ้วยแล้วยกจิบช้าๆ ขณะทอดพระเนตรจ้องผักตบที่นั่งห้อยขาตรงเตียง
สวมกางเกงบอลขาสั้นเสื้อยืดตัวบางเสื้อผ้าที่เอาติดกระเป๋ามาด้วย ผักตบสบเนตรคมไม่คิดหลบ
รอฟังเจ้าชายซึ่งนั่งจิบน้ำชาจะพูดอะไร
“เจ้าสวมใส่อันใด แลดูเปิดเผยเนื้อหนัง” พระองค์ตรัสถาม
“อ้าว!..นี่มันเสื้อผ้าของผมเปิดเผยตรงไหน บ้านเมืองผมเขาใส่กันออกเยอะแยะ
คุณอย่าสนใจว่าผมใส่อะไรเลยดีกว่า ว่าแต่คุณมีเรื่องหนักอกหนักใจอะไรระบายให้ผมฟังได้นะ”
ผักตบไม่ทิ้งประเด็นที่อยากรู้ ตั้งแต่เขาได้รู้จักเจ้าชายองค์นี้ ยังไม่เคยเห็นพระพักตร์อีกฝ่าย
อมทุกข์คิดไม่ตกเหมือนตอนนี้มาก่อน ส่วนใหญ่เดาไม่ออกว่าคิดอะไรเสียมากกว่า
นี่กลับไม่เก็บอาการแม้แต่น้อย ทำให้เขาพลอยอยากรู้ไปด้วย
“เราได้รับรายงานข้าศึกยกทัพประชิดหน้าด่าน เตรียมบุกโจมตีในไม่ช้านี้แล้ว คนของเรารายงานว่า
หนนี้พระปิตุลาเสด็จมาคุมการรบเอง พร้อมองค์ชายธรณิณผู้ถือครองธรณีธาตุ
กับองค์หญิงชลธารผู้เรียกใช้เทพมหาธาตุได้ 2 ชนิดเหมือนดั่งตัวเจ้า ช่างเป็นเรื่องเกินกำลังเราเสียแล้ว”
คำตอบองค์ยุพราชหนุ่ม ทำเอาผักตบอึ้งไปได้เหมือนกัน คำว่าสงครามย่อมเป็นเรื่องหนักหนาอย่างที่สุด
“คุณ..กลัวแพ้” กว่าจะหลุดประโยคนี้ ผักตบพูดเบาเสียจนแทบเป็นกระซิบ
เขาเกรงกระทบความรู้สึกของคนฟัง แต่ก็อยากถามอยู่ดี
“นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ ปัญหาคือแพ้แล้วราษฎรจักเป็นยังไง ผู้คนจักบาดเจ็บล้มตายมากแค่ไหน
เราเชื่อพวกเขากรีฑาทัพมาพร้อมรบเช่นนี้ ย่อมมีหนทางทำลายค่ายกลพายุดำของเราแล้ว”
พระสุรเสียงหดหู่ที่ไม่อาจปิดกั้นของพระองค์ ทำให้ผักตบพลอยรู้สึกเศร้าตามไปด้วย
“ผมมีปืน..เหลือกระสุนอีกสองกล่อง 200 กว่านัด ช่วยล้มข้าศึกได้มากพอสมควร คงไม่หมดกองทัพ
แต่ก็น่าจะขู่พวกเขาให้กลัวได้ไม่ยาก ถ้านำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ คุณพาผมไปด้วยสิ” ผักตบเสนอทางเลือก
“เจ้ามีทักษะเพลงดาบ หอก ธนู ต่อสู้มือเปล่าหรือไม่” พระองค์ทรงรับสั่งถามเขากลับ
“ดาบ ธนูใช้ไม่เป็น แต่เรื่องสู้มือเปล่า มวยไทยผมพอตัวอยู่บ้าง”
สีพระพักตร์ดูงงงันคำพูดของผักตบ เขาจำต้องอธิบายเพิ่ม
“เป็นการต่อสู้ประชิดตัวคุณไม่รู้จักหรอก รับรองไม่ด้อยหรอกน่าสบายใจได้
สำคัญผมมีปืนคุณเห็นประสิทธิภาพของมันแล้วนี่” พูดพร้อมกับยักคิ้วยืนยันปิดท้าย
องค์ชายดูอึ้งไปกับท่าทางของผักตบอยู่พอสมควร
“เพียงแค่นั้นช่วยไม่ได้ดอก เจ้าอย่าลืมเราหยุดลูกปืนของเจ้าได้ด้วยเกราะมหาธาตุ
มีหรือฝ่ายศัตรูจะไม่สามารถกระทำเช่นกัน เช่นนี้ปืนของเจ้าก็มิอาจสำแดงอิทธิฤทธิ์อันใด”
เจอย้อนแบบนี้ผักตบหมดทางเถียง
“อย่าทำสีหน้าเช่นนั้นสิเจ้า เราดีใจที่เจ้าต้องการช่วยบ้านเมืองของเรา เพียงแต่เราอยากให้เจ้าคำนึงถึงตัวเอง
แค่การขี่ม้าเจ้ายังทำไม่ได้ ประสาอะไรกันกับการออกรบ..สู้พวกทหารเป็นกองทัพในสงครามหนอ”
พระองค์เห็นสีหน้าผักตบ พอจะดูออกเหมือนพระองค์ตัดกำลังใจ ทั้งที่เขาตั้งใจดีอยากช่วยรบกับข้าศึก
จึงทรงดำรัสปลอบตามมา
“เฮ้อ! บางทีคนเรานึกว่าตัวเองรู้มาก กลับจนหนทางในสภาวะที่ไม่รู้จะช่วยยังไง ตอนนี้ผมรู้สึกว่าความรู้ที่ร่ำเรียน
ซึ่งเจริญก้าวหน้ากว่าที่นี่นับเป็นพันปี ไม่ยักช่วยได้สักเท่าไหร่ พอจะมีวัสดุอุปกรณ์อะไรที่สามารถประดิษฐ์ระเบิดขวดไหม
รู้จักหรือเปล่าระเบิด ดินปืนอะไรแบบนี้คุณมีไหม ผมเรียนเอกวิทยาศาสตร์ เรื่องผสมสารเคมีประดิษฐ์ของพวกนี้
รับรองไม่มีปัญหา น่าจะช่วยได้มากทีเดียว ถ้าทำขึ้นมาให้เยอะกอปรกับวางแผนดีๆ ล่อข้าศึกมาในจุดที่เราต้องการ
อาจมีได้เปรียบพลิกสถานการณ์ได้บ้างน่า” ผักตบไม่ยอมถอยเสนอไอเดียใหม่ แม้นเจ้าชายจะทรงสดับฟังอย่างสนพระทัย
แต่พระองค์ก็ไม่เข้าใจในเรื่องที่ผักตบพูดถึง แผ่นดินนี้ไม่รู้จักระเบิด อาวุธที่พวกเขาคุ้นเคยล้วนเป็นหอก ดาบ ธนู มีด
จำพวกนั้น หามีระเบิด ปืน เกิดขึ้นมาแม้แต่น้อย จึงไม่แปลกที่พระองค์ไม่เข้าพระทัย
“เราไม่รู้เจ้ากล่าวถึงสิ่งใด ดินปืนคือสิ่งใดกัน” เจอแบบนี้ผักตบก็หมดทางไป ของพวกนี้อาจมีแต่มันต้องใช้เวลาหา
คนยุคนี้ยังไม่รู้ถึงคุณค่าทรัพยากรธรรมชาติ ถือเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องใช้เวลาในการประกอบมันขึ้น
“ช่างเถอะพูดไปก็เท่านั้น คุณมีทางออกหรือยัง ว่าจะจัดการยังไง”
เปลี่ยนมาสอบถามอีกฝ่ายแทน ว่ามีแผนการเตรียมไว้หรือเปล่า
“เราคงต้องเร่งเดินทางกลับหน้าด่าน” คำตอบจากยุพราชหนุ่ม
“ไปถึงแล้วยังไงต่อ คุณพูดเองว่าสู้พวกเขาไม่ได้ จะเอาอะไรไปสู้” อดถามไม่ได้ พูดเองแหม่บๆ ว่าอีกฝ่ายมีกำลังกล้าแข็ง
ไปถึงแล้วยังกับว่าอะไรมันจะดีขึ้นกว่านี้หรือก็ไม่ กลายเป็นเขาพูดตรงไปหรือเปล่า..
“อย่างน้อย ขวัญกำลังใจของเหล่าทหารก็ฮึกเหิมเมื่อมีเรานำทัพ” คำตอบไม่ตรงใจผักตบที่ต้องการ
ผุดลุกจากเตียงมายืนค้ำพระเศียรอย่างไม่ใส่ใจ มารยาทแบบนี้ผักตบไม่ทันได้คิด แต่ถึงกระนั้นองค์ชายวายุภักษ์
กลับไม่นึกตำหนิ พระองค์ทรงรู้ว่าผักตบไม่ได้ยึดถือขนบธรรมเนียมปฏิบัติแบบแผนเหล่านี้
จึงทรงนิ่งรอชมว่าบุรุษหน้าขาวจักทำอันใด
“ฟังผม..คุณไม่จำเป็นต้องพาตัวเองไปตาย โดยรู้อยู่เต็มอกว่าสู้ก็ตายเปล่า คนเราย่อมมีทางออกที่ดีกว่านั้น
บอกหน่อยเมืองหน้าด่านอยู่ไกลกว่าที่นี่มากไหม มีพลเมืองจำนวนเท่าไหร่ อพยพมาทันหรือเปล่า..
โดยใช้กองทัพทหารของคุณซึ่งประจำการที่นั่น อพยพพวกเขามารวมตัวที่วังหลวงให้หมด
ผมคิดว่าพื้นที่นอกกำแพงวังหลวงสามารถสร้างกระโจมที่พักให้พวกเขาอาศัยชั่วคราวก่อน แก้ไขสถานการณ์กันไป
ส่วนข้าศึกหลังพวกคุณถอนกำลังออกจากแนวตั้งรับมา พวกมันต้องแปลกใจไม่มากก็น้อย
คงไม่ตามมาทันทีหรอกน่า อย่างน้อยเราพอมีเวลาที่เหลือ ช่วงนี้ค่อยมาคิดวางกับดักต้อนรับกองทัพศัตรูดีกว่าไหม
อย่างแรกคุณไม่ต้องยกทัพไปตายเปล่า สุดท้ายราษฎรของคุณรวมทั้งวังแห่งนี้คงไม่พ้นถูกตีแตก
ผมยังไม่อยากเป็นเชลยสงครามของที่นี่ รับปากผมจะช่วยคุณหาวิธีรับมือจนสุดความสามารถ
ถึงแม้ผมจะไม่มีประสบการณ์สู้รบในสงครามมาก่อน ขอให้คุณสบายใจว่าผมเคยร่วมเดินขบวนประท้วงสารพัด
ที่เขาเรียกร้องสิทธิ ผมไปหาข้าวกินฟรี อาจมีค่าเหนื่อยบ้างเล็กน้อย คงไม่ต่างกับสงครามมากนักหรอก
เคยวิ่งหลบสลายการชุมนุมพวกแก็สน้ำตา ระเบิดปิงปองยังเอาตัวรอดมาได้ ไม่มีรอยฟกช้ำประสาอะไร
แค่ธนู ดาบ มีด ผมต้องช่วยคุณแก้ไขสถานการณ์ได้แน่นอน เชื่อใจผมไหมครับ..คุณเจ้าชาย”
จบประโยคสุดท้าย ผักตบก้มตัวต่ำจนใบหน้าอยู่ห่างองค์ชายวายุภักษ์ไม่ถึงคืบ
พร้อมกับจ้องสบพระเนตรคมที่มองตอบเขาไม่กะพริบ มีทำตาปริบๆ ติดล้อเล่นเพื่อลดความเครียดที่อีกฝ่ายแบกรับอยู่
ถือเป็นคนแรกที่ผักตบแสดงกิริยาท่าทางแบบนี้ให้เห็น นอกจากแม่เล็กของเขาเอง
พระองค์เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง ในคำบอกเล่าของผักตบที่พูดให้พระองค์ฟัง
แต่ไม่รู้ทำไม..ในพระทัยกลับรู้สึกมั่นใจว่าบุรุษหนุ่มผู้มีกลิ่นกายหอมประหลาดให้ความรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก
พูดจาน่าเชื่อถือสร้างความมั่นพระทัยให้พระองค์ โดยเฉพาะแววตาดำสนิทดั่งความมืดมิดของรัตติกาล
ที่กำลังจ้องสบเนตรพระองค์ ช่างดูมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวยิ่งนักเกินกว่าจะเป็นวาจาพล่ามพล่อยของบุรุษทั่วไป
สำคัญสีหน้าล้อเลียนที่พระองค์ไม่คิดว่าจะได้เห็นจากใบหน้าหล่อเหลา งดงามดุจภาพวาดในจินตนาการ
ที่กำลังหยอกเอินแกมท้าทายให้พระองค์รับปากอยู่นัยๆ
“เราจักทำตามที่เจ้าแนะนำ ให้กองทัพอพยพพลเรือนมาตั้งหลักยังนอกกำแพงนครหลวง
แต่เจ้าต้องคำนึงถึงแหล่งน้ำ หากเพิ่มจำนวนคนแหล่งน้ำที่มีอยู่เพียงสามแห่งจากทั้งหมด
จักแร้นแค้นเป็นสองเท่า เดิมเราคาดการณ์จักมีใช้ไปอีก 1 เดือน อาจเหลือไม่ถึง 8 ทิวา”
ปัญหาที่ผักตบแทบกุมขมับ เผลอถอนหายใจในระยะประชิดจนลมอุ่นเป่ารดพระพักตร์ขององค์ชายไปเต็มๆ
ฝ่ายรับสัมผัสเผลอหายพระทัยยาว เมื่อสัมผัสความหอมแปลกๆ ที่ผสมปนเปมาในอากาศ
หารู้ไม่ผักตบใช้น้ำหอมแบรนด์ดังที่ได้จากไฮโซคู่ควงซื้อมาให้ พระองค์ย่อมต้องกลิ่นพิเศษนี้เข้าไปจังๆ
ผักตบแค่เห็นว่าเขาทำได้เพียงเช็ดตัวทำความสะอาด ไม่สามารถอาบน้ำตามที่ต้องการได้
ออกจะดูเห็นแก่ตัวเกินไปในขณะที่ทุกคนต่างช่วยกันประหยัดน้ำที่ขาดแคลน
จึงฉีดน้ำหอมใส่ผ้าชุบน้ำเพื่อให้ร่างกายไม่มีกลิ่นตัว ผลจึงออกมาอย่างที่เห็น
พระพักตร์คมคายหล่อเหลาซับสีพระโลหิต พระอุระตรงด้านซ้ายกำลังเต้นเป็นจังหวะกระชั้นถี่
อย่างที่พระองค์ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
“เรื่องนี้ผมจนปัญญาครับเจ้าชาย รู้ไหมผมกับแม่ยอมปฏิเสธการอาบน้ำตามที่คุณได้รักษาคำพูด
สั่งมหาดเล็กและนางกำนัลเตรียมให้เรา หันมาเช็ดตัวแทนแล้วนะ ถ้าผมแก้ไขเรื่องน้ำท่าให้คุณได้
คงจะอาบให้ชุ่มปอดก่อน ปัญหานี้ผมไม่รู้จะหาทางช่วยยังไง” ผักตบพูดพร้อมกับยืดตัวตรงเต็มความสูง
ยักไหล่แบมือประกอบคำพูดไปด้วย
องค์ชายทอดเนตรกิริยาผักตบ พานแย้มสรวลขบขันพระอารมณ์ผ่อนคลายความเครียดลงทันที
พระองค์ไม่เคยเห็นท่าทางแบบนี้มาก่อน พานนึกเปรียบเทียบไม่ออก แลดูก้าวร้าวพร้อมกับดูดีจนมิอาจลงความเห็นชี้ชัด
ว่าเป็นกิริยาอันพึงกระทำหรือไม่ รู้แต่ผักตบทำแล้วทรงทำให้พระองค์รู้สึกขบขันอย่างบอกไม่ถูก
“หึหึ!..เจ้าผู้มากเล่ห์ กลับมีเพลาอับจนหนทางได้เช่นกันอีกหรือ”
พระองค์ทรงดำรัสสัพยอกแทน เพราะมิอาจสะกดกลั้นมิให้ขบขันเอาไว้ได้
“หัวเราะแล้วสิ เห็นผมจนหนทางดันขำ นี่แสดงว่ารอดูผมจนมุมอยู่สิท่า แบบนี่มันรอซ้ำกันนี่หว่าเจ้าชาย
สมควรช่วยดีไหมอีแบบนี้..หืม” ผักตบแกล้งแซวมุมปากยิ้มกระตุก
เขากลับไม่อาจละสายตาจากวงพักตร์หล่อเหลาของยุพราชหนุ่มได้
ตั้งแต่รู้จักเพศเดียวกันมา เพิ่งเห็นบุคคลตรงหน้าที่ยิ้มหัวเราะแล้วดูดีไปทุกองศาจนน่าอิจฉา
แต่ก็ทำให้มีความสุขตามไปด้วย ใบหน้าที่มักวางเข้มอยู่เป็นปกติยากที่จะเผยยิ้ม พอยิ้มเห็นฟันสวยดูผ่อนคลายลงสุดๆ
“เจ้าส่งมือมาให้เราตรวจหน่อย” จู่ๆ องค์ชายก็รับสั่งขึ้น
“เอาไปทำไมมือผม อย่าบอกว่าคุณดูดวงเป็น” พระองค์ทรงเลิกพระโขนงอย่างไม่เข้าใจที่ผักตบถาม
“หมายถึงดูดวงชะตาไง” เขาต้องอธิบายเพิ่มเติม
“เราไม่สามารถเช่นนั้นดอก แต่สามารถตรวจชีพจรดุจหมอหลวง” พระองค์รีบบอกให้ผักตบรู้ ทรงต้องการทำอะไร
“อ้าว!..นึกยังไงจะเอามือผมไปตรวจโรค” อดถามด้วยความสงสัย
“เราเพียงต้องการตรวจมหาธาตุในกายเจ้า” พอฟังแบบนั้นเขาถึงยอมยื่นมือไปให้ฝ่ายที่ขอจับชีพจรข้อมือ
องค์ชายจับนิ่งอยู่อึดใจใหญ่ ก่อนพระโขนงและพระเนตรจะกลอกไปมาเหมือนไม่ค่อยแน่พระทัย
ผักตบเห็นแบบนั้นรีบถามด้วยความสงสัย
“เป็นอะไร มหาธาตุในร่างผมผิดปกติตรงไหนอีกหรือเปล่า”
“ไม่ดอก เราแปลกใจใยกายเจ้ามีลมปราณของอิสตรีรวมอยู่ด้วย”
ได้ยินดังนั้นผักตบดึงมือกลับอย่างเร็ว ทำเอาฝ่ายที่จับอยู่พลอยงุนงงกิริยาที่เปลี่ยนแปลงกะทันหันเช่นกัน
“ขอโทษ!..คุณจับนานไปล่ะ” แก้ตัวน้ำขุ่นๆ
“เช่นนั้นเราต้องขออภัยเจ้าด้วย เจ้าช่างเป็นบุรุษที่มีปริศนาให้ค้นหามากนัก
มิเคยพานพบลมปราณในร่างบุรุษจักมีลมปราณของอิสตรี ไหลรวมประสานจนแยกแทบไม่ออก
ไม่ติดว่าเราซึ่งชำนาญด้านนี้คงมิอาจล่วงรู้ได้ เจ้ากลับมีลมปราณนี้อยู่ภายในกายด้วย ช่างแปลกดีแท้”
พระองค์ตรัสประหนึ่งเปรยกับตัวเอง
“พอเถอะ..ผมง่วงขอนอนล่ะ” ผักตบกลบเกลื่อนไม่กล้าสบเนตรคมที่มองเขาอย่างพินิจ พานหัวใจเต้นเร็วกว่าเดิม
กังวลอีกฝ่ายจะรู้ว่าเขาผิดปกติอย่างที่ตั้งข้อสงสัย รีบเดินหนีก้าวขึ้นเตียงขยับไปนอนหันหลังเฉย
ไม่ลืมคว้าผ้าห่มขนสัตว์หนาคลุมยันคอ ปิดตาหลับทั้งที่ในหัวกำลังสับสนไปกับความคิดที่ตีกันให้วุ่น...กังวลไปต่างๆ นาๆ
ก่นบ่นกับตัวเองไม่หยุด ‘จะรู้ไหมว้า! จะเก่งไปถึงไหน ขนาดหมอเก่งๆ ยังต้องเอกซเรย์ดูถึงสองรอบตรวจซ้ำอีกกว่าจะสรุป
นี่จับข้อมือไม่กี่วินาที ดันตั้งคำถามให้เสียวสันหลัง’ นั่นคือคำพูดที่ผักตบคุยกับตนเองในใจ
ส่วนฝ่ายที่ยังประทับเก้าอี้ ทอดเนตรมองแผ่นหลังกว้างบนเตียงบรรทมขนาดใหญ่ภายใต้ผ้าห่มหนานุ่ม
กลับกำลังครุ่นคิดถึงปมปัญหาที่พระบิดา พระอาจารย์ พระมารดา ทรงยกให้พระองค์เป็นผู้ตัดสินพระทัย
พระองค์ประมวลความรู้สึกกอปรกับเหตุผลต่างๆ ในพระทัยลำพังเงียบๆ
‘ผิวกายเจ้าไม่หยาบดังบุรุษพึงเป็น กลิ่นกายเจ้าแตกต่างที่คิดนัก
ร่างกายเจ้ามีลมปราณของอิสตรีซ้อนเร้น เจ้าคือผู้ใดกัน..ผักตบ?’
มาอัพตามนัดแล้วนะคะ ยาวได้ใจกันอีกตามเคย
เจอกันตอนหน้า วันอังคารนะคะ ขอบคุณสำหรับความห่วงใย
ตอนนี้สุขภาพดีขึ้นแล้วค่ะ มีไออยู่นิดหน่อย คิดว่าวันสองวันคงหาย
ขอบคุณอีกครั้งกับการติดตาม และคอมเม้นท์ที่เป็นฟีคแบ็คให้คนเขียน
สามารถนำไปเป็นแนวทางปรับปรุงงานเขียน รักคนอ่านทุกคนค่ะ