GoneOn Tantalum moopai หมูพูห์ ขอโทษนะครับเมื่อวานเข้าเล้าไม่ได้เลย ผมใช้เน็ตของทรูอ่ะ ไม่รู้ทำไม
ที่ทำงานใช้ tot ยังเข้าได้เลย มาโพสให้แล้วนะครับ

Rrmz`,, แอบทำไม อย่าไปแอบรักใครหล่ะ

มูมู่น้อย ระวังน้าเลือกมากจะเป็นอย่างบี ไม่เห็นคนที่รักเรามากอยู่ตรงหน้านี่เอง

FlukeHub อย่าพูดถึงปิงน้า พูดแล้วน้ำตาจะร่วง หือหือ เพื่อนๆสงสัยก็ลองไปอ่านบ้านพักอลเวงภาค2 นะครับ
ยอดเยี่ยมเช่นเดียวกัน

shell เอิ้กๆ
kirati69 เมื่อฟ้าแกล้ง ผมก็ยืนฝืนชะตา

between อ่าเหมือนผมเลยเชียร์บาสมาตั้งแต่แรก ไม่รู้ทำมาย

******************************************************************************
กุมภาพันธ์ ของปีเตอร์ คอป
[wma=300,50]http://f1.podcast.blog.webs-tv.net/upload2/new/e/e/a/eead8016b7c106b9153ec8acc1bbecfb.mp3[/wma]
**********************************************************************************
............ขอให้รักเรานั้น....นิรันดร ภาค 2….....( 6 )
ความรักของผมเกิดขึ้นเพียง 2 ครั้งในชีวิต
รักครั้งแรกของผมมาเร็วเกินไป….แต่รักครั้งสุดท้าย กลับมาสายเกินกว่าผมจะรู้ตัว
--------------------------------
หลังสิ้นเสียงของบาส ผมก็หันกลับไปมองเขาด้วยสายตาตกตะลึงกับสิ่งที่เขาพูดออกมา เพราะผมไม่คิดมาก่อนว่าสิ่งที่เขาอยากจะพูดกับผมคือสิ่งที่ผมเพิ่งได้ยินผ่านหูไปเมื่อครู่
“อย่าไปเลยนะ อยู่เป็นเพื่อนบาสที่นี่นะบี”
บาสพูดย้ำกับผมอีกครั้ง
“บาส....บีแค่ไปคุยกับเขาแป๊บเดียวเอง แล้วบีกับพี่หมอก็ไม่มีวันจะมีอะไรกันอย่างที่บาสคิดหรอก สบายใจเถอะนะ”
แม้ผมจะพูดออกไปอย่างนั้นแต่บาสก็ยังมีสีหน้าไม่มั่นใจนัก จนผมต้องถามเขาว่า
“บาสไม่เชื่อใจบีเหรอ”
“เชื่อสิ บาสเชื่อบีเสมอล่ะ ตกลง บีไปเถอะ ยังไงบาสก็รอบีมาตลอดอยู่แล้วนี่ หากต้องรออีกหน่อย มันจะเป็นไรไป”
หลังบาสพูดจบผมก็ได้แต่มองเขาด้วยความตื้นตัน ก่อนจะตอบบาสกลับไปว่า
“ขอบคุณนะบาส ขอบคุณมาก”
คำพูดขอบคุณที่ผมบอกบาสไปเมื่อครู่ไม่ได้เป็นคำขอบคุณต่อการที่เขายอมเชื่อใจผม หรือยอมให้ผมไปคุยกับพี่หมอ
หากแต่...นั่นคือคำขอบคุณที่ผมมอบให้กับ “ความรักอันมั่นคงที่เขามีให้ผมเสมอมา” ต่างหาก
เมื่อผมออกมาด้านนอก ผมก็พบว่าพี่หมอยังคงยืนรอผมอยู่ที่เดิมด้วยท่าทีกระวนกระวาย และเมื่อเขาเห็นผมเขาก็รีบเดินเข้ามาหาผมด้วยความดีใจก่อนที่จะพาผมไปคุยกันที่ร้านอาหารในโรงพยาบาล
“นึกว่าบีจะไม่ออกมาพบพี่แล้วเสียอีก”
“ทำไมล่ะ ก็บีบอกพี่ไว้แล้วนี่”
“ไม่รู้สิ พี่รู้สึกเหมือนกับว่าเพื่อนบีคนนั้นเขาไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ที่เห็นบีคุยกับพี่”
“แล้วทำไมเขาจะต้องคิดอย่างนั้นด้วยล่ะ”
ผมแกล้งถามไปอย่างงั้นทั้งๆที่ในใจก็รู้ดีว่าสิ่งที่พี่หมอคิดนั้นถูกต้องที่สุด
“ไม่รู้สิ พี่อาจจะคิดไปเอง”
“ใช่ พี่หมอน่ะชอบคิดอะไรไปเอง อย่างคิดว่าบีเป็นไข้หวัดธรรมดาอย่างเงี้ย”
“นี่ ต้องให้พี่ทำไงเนี้ย บีถึงจะลืมเรื่องนั้นไปได้”
“ไม่มีทางหรอก จ้างให้บีก็ไม่มีทางลืม”
ผมตอบกลับไปอย่างยิ้มๆ
“แล้วเรื่องที่พี่คิดไปเองเรื่องอื่นล่ะ บีลืมไปหรือยัง”
“เช่นเรื่องอะไรล่ะ”
“ก็เช่นเรื่องที่พี่เคยคิดไปเองว่า.........บีรักพี่”
คำพูดของพี่หมอประโยคนี้ทำให้ผมถึงกับหน้าถอดสี พลันอดคิดถึงเรื่องราวนับตั้งแต่วันแรกที่ผมเจอกับพี่หมอไม่ได้
“ตกลงว่าคงเป็นแค่ไข้หวัดธรรมดาน่ะครับ เดี๋ยวออกไปรอรับยาด้านนอกแล้วกัน”
“คับ ขอบคุณคับ”
ผมตอบกลับไปโดยอดแอบมองหมอหนุ่มหน้าตาดีที่เพิ่งตรวจโรคผมเสร็จไปเมื่อครู่ไม่ได้ แต่เมื่อเห็นเขาเอาแต่ก้มหน้าก้มตาเขียนใบสั่งยา ผมก็เลยตัดสินใจเดินออกไปรอจ่ายเงินและรอรับยาที่บริเวณโถงโรงพยาบาลด้านหน้า
ผมนั่งคอยไปอีกสักระยะ ผมก็ได้ยินเสียงประกาศเรียกชื่อผมแต่ทว่าเสียงนั้นกลับเป็นเสียงประกาศจากส่วนกลางของโรงพยาบาล ไม่ได้มาจากห้องชำระเงิน
“คุณปิติรัตน์ พิสิทธิ์อาชีวะกุล....กรุณามาที่ห้องตรวจ 2 ด้วยค่ะ….”
เมื่อได้ยินเสียงประกาศในครั้งแรกผมก็ยังคงนั่งอยู่อย่างลังเลเพราะไม่แน่ใจว่าชื่อที่ประกาศนั้นใช่ชื่อผมหรือไม่ จนกระทั่งผมได้ยินเสียงประกาศซ้ำเป็นครั้งที่ 2
“คุณปิติรัตน์ พิสิทธิ์อาชีวะกุล....กรุณามาที่ห้องตรวจ 2 ด้วยค่ะ….”
เมื่อมั่นใจว่าเขากำลังประกาศเรียกชื่อผมแน่ ผมจึงลุกขึ้นยืนอย่างงงๆ แล้วก็เดินไปห้องตรวจอีกครั้งอย่างสงสัยว่าผมต้องกลับไปที่ห้องตรวจอีกทำไม
“เชิญนั่ง”
เสียงของหมอสูงอายุคนหนึ่งบอกผมด้วยน้ำเสียงออกคำสั่งเมื่อผมเดินเข้าไปในห้องตรวจ ที่มีหมอหนุ่มหน้าตี๋คนเมื่อกี้ยืนอยู่ในห้องด้วยท่าทีสงบเสงี่ยม
“ช่วยอ้าปากกว้างๆ หน่อยนะครับ”
พูดจบเขาก็ค่อยๆเอาเหล็กบางๆมากดลิ้นผมเอาไว้แล้วนำไฟฉายมาส่องดูข้างใน
“นี่ไง คุณเห็นหรือเปล่าว่าคอเขาแดงมาก มีบวมตรงนี้ด้วย เห็นมั้ย”
“เห็นครับ”
“แล้วเนี้ยดูสิ เสมหะก็มี คุณจะบอกว่าเขาเป็นไข้หวัดธรรมดาได้ยังไง ลองดูสิ เห็นหรือเปล่า มันเป็นอาการไข้ที่เกิดจากคออักเสบ”
“ครับ”
หมอหนุ่มคนนั้นชะเง้อมองมาในคอของผมแล้วก็พยักหน้าแสดงความเห็นด้วย
“แล้วคุณได้ซักประวัติคนไข้หรือเปล่าว่าเขามีอาการยังไง เจ็บคอมั้ย ปวดหัวหรือเปล่า”
“เอ่อ ไม่ได้ถามครับ”
“ใช้ไม่ได้เลยคุณ มันเป็นกฎข้อแรกของหมอนะที่จะต้องซักประวัติคนไข้ให้ดีก่อนตรวจ แล้วเชื้อ.......”
เมื่อหมอสูงอายุคนนั้นเริ่มใช้ศัพท์เทคนิคทางการแพทย์ ผมก็เริ่มฟังไม่รู้เรื่องแล้วว่าเขากำลังคุยอะไรกัน อีกอย่างผมก็กำลังรู้สึกเมื่อยปากอย่างมากที่หมอยังให้ผมอ้าปากค้างเติ่งไว้อย่างนั้น ในขณะที่เขาได้แต่พร่ำสอนลูกศิษย์ถึงการวินิจฉัยโรคหัวข้อแล้วหัวข้อเล่า จนผมอดรู้สึกหงุดหงิดไม่ได้เมื่อรู้ว่าตัวเองได้กลายเป็นหุ่นทดลองมีชีวิตให้กับนักศึกษาแพทย์ไปแล้ว
“โอเค ครับ ขอบคุณมาก เดี๋ยวคุณกลับไปรอรับยาที่เดิมแล้วกัน”
เสียงสวรรค์ที่ดังขึ้นทำให้ผมรีบหุบปากลงอย่างดีใจ
“ขอบคุณครับ ”
ผมตอบขอบคุณหมอผู้ใหญ่ท่านนั้นไปแบบห้วนๆ แล้วก็เดินออกไปจากห้องในทันทีโดยแอบมองเห็นหมอหนุ่มหน้าตาดีคนนั้นหันมามองผมด้วยสายตาสำนึกผิด
หลังจากรับยาจากโรงพยาบาลแล้ว ผมก็รีบกลับไปยังหอพักนักศึกษามหาวิทยาลัยในศูนย์รังสิต พลางอดหงุดหงิดกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้
ก่อนหน้านี้...ผมเคยได้ยินมาบ้างแล้วถึงกิตติศัพท์ของโรงพยาบาลธรรมศาสตร์คลองหลวงแห่งนี้ที่มักจะใช้นักศึกษาเป็นหนูทดลองให้นักศึกษาแพทย์ได้ใช้เรียนรู้ แต่ผมก็ไม่เคยคิดว่าจะมาเจอกับตัวเอง
เมื่อมาถึงหอพัก ผมก็รีบทานยาแล้วหลับยาวเลยไปจนถึงตอนเย็นก่อนที่จะต้องตื่นขึ้นด้วยความงัวเงียเมื่อเพื่อนร่วมห้องมาปลุกผม
“บี มีคนมาหามึงแน่ะ”
เพื่อนร่วมห้องคนนี้บอกผมด้วยภาษาพ่อขุนที่เรามักจะคุยกันเป็นประจำ ดังเช่นเพื่อนผู้ชายคนหนึ่งเพราะมันเองก็ไม่รู้ว่าผมเป็นเกย์
“ใครอ่ะ”
ผมถามไปอย่างงัวเงีย
“ไม่รู้เหมือนกัน แต่ดูจากเสื้อที่ใส่ น่าจะเป็นเด็กแพทย์ว่ะ”
“เด็กแพทย์เหรอ ??? ”
ผมถามกลับไปอย่างงงๆ เพราะเท่าที่จำได้ ผมไม่เคยมีเพื่อนหรือคนรู้จักเรียนแพทย์ในธรรมศาสตร์เลย
“มึงเลิกสงสัยได้แล้ว เขารออยู่ข้างล่างแน่ะ”
ผมลุกขึ้นอย่างงๆ แล้วเดินไปล้างหน้าล้างตา ก่อนที่จะเดินลงไปชั้นล่างจนเห็นหนุ่มขาวตี๋ใส่แว่นคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงม้าหินอ่อนใต้หอพัก และทันทีที่เห็นหน้าเขาชัดๆ ผมก็เป็นฝ่ายทักเขาขึ้นมาทันที
“อ๋อ พี่หมอที่ตรวจผิดนี่เอง นึกว่าใคร”
ผมพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงประชดประชัน
“เอ่อ ครับ พี่มาขอโทษ”
“มาขอโทษ หรือมาดูให้แน่ใจว่าคนไข้ตายไปหรือยัง”
ผมยังไม่ยอมเลิกรา
“พี่มาขอโทษจริงๆ นะครับ พี่เสียใจ”
เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของรุ่นพี่คนนั้น ผมจึงเปลี่ยนน้ำเสียงในทันที
“ช่างมันเถอะ อย่างน้อยพี่ก็ไม่ได้จ่ายยาผิดนี่ เอ่อ แล้วพี่รู้ได้ไง ว่าบีอยู่นี่”
“ก็ในทะเบียนคนไข้ไงคับ แต่พี่เพิ่งรู้นี่ล่ะว่าน้องชื่อบี ส่วนพี่ชื่อปิงนะคับ ตอนนี้เรียนแพทย์ปี 4 แล้ว”
“คับ แล้วมีอะไรอีกมั้ย.”
ผมถามแล้วมองหน้าเขาอย่างหยั่งเชิงว่านอกจากมาขอโทษแล้วเขามีอะไรจะพูดอีกหรือเปล่าเพราะหากเขาเสร็จธุระแล้ว ผมจะได้ขึ้นไปนอนต่อ
“เอ่อ แล้วเป็นไงบ้างครับ เริ่มดีขึ้นหรือยัง”
“ไม่รู้สิ มันเพลียๆ แล้วก็ง่วงมาก”
“งั้นพี่ไม่รบกวนดีกว่า ไว้พี่มาเยี่ยมใหม่ น้องบีกลับขึ้นไปนอนต่อเถอะ”
“พี่ไม่ต้องมาแล้วก็ได้คับ ก็บียกโทษให้แล้วไง ไม่ต้องรู้สึกผิดขนาดนั้นหรอก”
“ไม่เป็นไรครับ พี่ทำแล้วสบายใจ งั้นวันหลังพี่มาใหม่นะ”
พูดจบพี่หมอก็เดินกลับออกไป และหลังจากวันนั้นพี่หมอก็แวะมาหาผมทุกวัน คอยซื้อน้ำ ซื้อขนมมาเยี่ยมไข้ผมไม่ได้ขาด จนแม้กระทั่งผมหายดีแล้วเขาก็ยังแวะเวียนมาหาผมสม่ำเสมอ แถมยังเริ่มแสดงออกอย่างเปิดเผยว่าเขาไม่ได้คิดกับผมเพียงแค่รุ่นพี่รุ่นน้อง หรือหมอกับคนไข้ธรรมดาเสียแล้ว
ในตอนนั้นเองผมก็ต้องยอมรับว่าเมื่อต้องมาใช้ชีวิตเป็นนักศึกษาน้องใหม่ที่ต้องจากบ้านมาไกลถึงมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต มันก็มีหลายครั้ง หลายคราที่ผมอดรู้สึกเหงาไม่ได้ ทำให้ผมเริ่มมีใจให้กับพี่หมอแล้วก็ลองตัดสินใจลองคบกับเขาดู
เผื่อถ้าผมโชคดี พี่หมอคนนี้อาจจะทำให้ผมลืมทีมได้
หลังจากนั้นแม้เราทั้งคู่ต่างไม่เคยเอ่ยปากว่าเราเป็นแฟนกัน แต่โดยพฤติกรรมแล้วมันก็ไม่สามารถมองเป็นอื่นได้ เพราะผมใช้เวลาอยู่กับพี่หมอมากกว่าบรรดาเพื่อนๆของผมเสียอีก เราทั้งคู่ต่างไปดูหนังด้วยกัน ทานข้าวด้วยกัน ไปออกกำลังกาย ไปว่ายน้ำ หรือแม้กระทั่งไปอ่านหนังสือสอบ จนดึกๆดื่นๆ ด้วยกัน
ตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่เราคบกัน ผมได้รับการดูแลเอาใจใส่จากพี่หมอเป็นอย่างมาก อายุที่เขามีมากกว่าผมถึง 4 ปีทำให้เขาคอยดูแลและให้ความรักกับผมเหมือนเขาเป็นทั้งเพื่อน แฟน และพี่ชาย จนผมอดคิดไม่ได้ว่าผมคงจะเริ่มต้นใหม่กับผู้ชายคนนี้ได้จริงๆ
แต่แล้วในวันหนึ่ง...พี่หมอได้มาหาผมที่หอพักเหมือนเช่นเคยแล้วก็ชวนผมออกไปขี่จักรยานเล่นกันภายในมหาวิทยาลัย
เขาขี่จักรยานโดยมีผมซ้อนท้ายไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาหยุดจอดนิ่งอยู่ที่ทางขึ้น.. “เนินวิศวะ” ซึ่งเป็นเนินลาดชันที่ยกสูงขึ้นไปยังลานหน้าทางเข้าตึกคณะวิศวกรรมศาสตร์
เด็กธรรมศาสตร์ที่มาเรียนที่ศูนย์รังสิตทุกคนต่างรู้ดีว่า “เนินวิศวะ” แห่งนี้เป็นที่ๆ นักศึกษาที่เป็นคู่รักกันมักจะมาใช้เป็นสถานที่ทดสอบความรักของตน โดยฝ่ายชายจะต้องขี่จักรยานนำพาฝ่ายหญิงข้ามเนินวิศวะที่สูงชันนี้ไปให้ได้โดยที่เท้าของทั้งคู่จะต้องไม่เตะพื้นแม้แต่ครั้งเดียว
เป็นความเชื่อที่เล่าสืบต่อกันมาว่า...หากคู่รักคู่ใดที่ไม่สามารถขี่จักรยานผ่านเนินวิศวะนี้ไปได้ แสดงว่าคู่รักคู่นั้นก็หาใช่คู่แท้และจะมีเหตุให้ต้องเลิกรากันไปในอนาคต
ผมไม่รู้ว่าเรื่องเล่านี้จะเป็นความจริงหรือไม่แต่ก็อดขำไม่ได้ที่เห็นคนที่อยู่ในสายวิทยาศาสตร์อย่าง.. “พี่หมอ” ..ดูจะเชื่อถือเรื่องเล่าในมหาวิทยาลัยนี้อย่างเอาจริงเอาจัง
“บี...พร้อมหรือยัง”
“พร้อมอะไรล่ะ”
“ก็พี่จะขี่พาบีข้ามเนินวิศวะไง อุตส่าห์ไปฟิตมาตั้งหลายวัน อย่าลืมนะ ยังไงบีก็ห้ามเอาเท้าเตะพื้นนะ”
“ไม่เอาอ่ะ บีไม่เอาด้วยหรอก”
“เหอะน่า เราทำได้แน่”
พูดจบพี่หมอก็บอกให้ผมเตรียมพร้อมแล้วเขาก็เริ่มนับ 1 ถึง 3 และก็ออกตัวขึ้นเนินวิศวะไป ส่วนผมก็ได้แต่พยายามทำตัวนิ่งและทำตัวให้เบาที่สุด
เมื่อครู่ก่อนที่พี่หมอจะเริ่มขี่จักรยานขึ้นมา ผมรู้สึกได้ว่าการขี่ขึ้นเนินวิศวะนี้ไม่น่าจะใช่เรื่องยากเลย แต่เมื่อลองขี่ขึ้นมาจริงๆแล้ว ผมกลับพบว่าเนินวิศวะนี้ มันสูงชันกว่าที่ผมคิดเอาไว้มาก รวมทั้งการพยายามทรงตัวโดยไม่ให้เท้าเตะพื้นนั้นเป็นเรื่องที่ทำได้ยากทีเดียว
ในตอนนั้นเองที่ผมอดชื่นชมคนที่เป็นตัวต้นคิดในการใช้เนินวิศวะเป็นสถานที่ทดสอบความรักไม่ได้ เพราะการที่จะขี่ข้ามพ้นเนินแห่งนี้ไปให้ได้จะต้องอาศัยกำลังกายและกำลังใจอย่างมากจากฝ่ายชาย และการช่วยทรงตัวอย่างพร้อมเพรียงจากฝ่ายหญิง นั่นหมายถึงว่าในระยะเวลาสั้นๆ คนต้องคู่ต้องทำงานประสานกันอย่างเป็นใจเดียวเพื่อจะพาความรักของพวกเขาข้ามเนินสูงชันนี้ไปให้ได้
แต่น่าเสียดายที่ขณะที่คู่ของผมกับพี่หมอเหลืออีกเพียงไม่กี่เซ็นติเมตรก็จะถึงจุดหมาย อยู่ดีๆ พี่หมอก็เสียหลักจนเราทั้งคู่ล้มลง
“บี เป็นอะไรหรือเปล่า”
พี่หมอรีบถามผมด้วยความเป็นห่วง
“เปล่า บีไม่เป็นอะไรหรอก พี่หมอล่ะ”
“พี่ก็ไม่เป็นไร งั้นเรามาลองกันใหม่นะบี”
“อย่าเลยพี่หมอ”
“ทำไมละ”
“บีแค่.....บีเหนื่อยน่ะ แล้วคืนนี้ บีมีรายงานต้องทำด้วย”
ผมแกล้งตอบไปอย่างนั้นทั้งๆที่ภายในใจผมกำลังรู้สึกไม่สบายใจเลย แล้วผมก็รู้ดีว่าต่อให้ลองอีกครั้งมันก็ไม่มีวันสำเร็จเพราะแค่ขี่ขึ้นมาให้ได้อย่างเมื่อครู่ พี่หมอก็คงใช้แรงไปแทบหมดแล้ว
“เหรอ งั้นพรุ่งนี้เรามาลองกันใหม่ก็ได้”
จริงๆผมอยากจะบอกเขาว่าผมไม่อยากมาทดสอบอีก แต่เมื่อเห็นท่าทีมุ่งมั่นของพี่หมอ ผมก็เลยไม่อยากทัดทานทั้งๆที่ผมรู้ดีว่าการทดสอบนี้จะทำได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น และเราก็เสียโอกาสนั้นไปแล้ว
ในคืนนั้นหลังจากที่พี่หมอมาส่งผมที่หอแล้ว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อตอนเย็นทำให้ผมได้กลับมาคิดถึงเรื่องของพี่หมอกับผมอย่างจริงจังเป็นครั้งแรก
ผมไม่ได้เชื่อถือเรื่องเล่าของเนินวิศวะอะไรนั่นหรอก เพียงแต่เหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้ผมได้นึกถึงคำว่า “เลิกกัน”
เป็นครั้งแรก รวมทั้งอดถามตัวเองไม่ได้ว่า...ผมรักพี่หมอจริงหรือเปล่า
ยิ่งคิดผมก็ยิ่งไม่แน่ใจเพราะในตอนนี้ผมรู้ดีว่าผู้ชายที่ผมรักอยู่เต็มอกยังคงเป็น... “ทีม” แล้วความรู้สึกที่ผมมีกับพี่หมอล่ะ มันคืออะไร
มันอาจจะไม่ใช่ความรัก ผมอาจจะแค่เหงา แล้วก็ชื่นชอบการเอาอกเอาใจใส่ที่พี่หมอมีให้จนมันทำให้ผมหลงคิดไปเองว่า...ผมรักเขา
นอกจากนั้นเมื่อได้คิดถึงคำว่า “เลิกกัน” ในใจของผมก็เกิดความกลัวขึ้นมาอย่างประหลาด
ประสบการณ์ที่เลวร้ายในอดีตได้ทำให้ผมเข็ดขยาดกับคำๆนี้เหลือเกิน
อุปาทานหรือความกลัวนี้ได้ทำให้ผมหาเหตุผลต่างๆนานาที่ทำให้ผมเชื่อได้ว่าในที่สุดแล้วผมกับพี่หมอก็ต้องเลิกกัน อาทิ พี่หมอเองเป็นหนุ่มตี๋หน้าตาดีแถมยังมีดีกรีเป็นถึงแพทย์ก็ย่อมมีทางเลือกให้เขามากมาย นอกจากนั้นตอนนี้เขาก็เรียนปี 4 แล้ว อีกเพียงไม่กี่ปีเขาก็ต้องเรียนจบไปก่อนผมและคงต้องไปใช้ทุนอยู่ต่างจังหวัด ผมจะรักษาความรักของเราไว้ได้ยังไงในเมื่อต้องอยู่ไกลกันขนาดนั้น
ยังไงๆผมกับพี่หมอคงต้องเลิกกันแน่ๆ แล้วถ้าวันนั้นมาถึงจริงๆ ผมจะเป็นยังไง
ผมยังไม่พร้อมจะเสียใจเป็นครั้งที่ 2 หากผมโดนทิ้งอีกครั้ง ผมคงเอาตัวรอดเหมือนที่แล้วมาไม่ได้แน่
ในคืนนั้นเองที่ความกลัวนี้ได้ทำให้ผมได้ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดที่จะยุติความสัมพันธ์ของผมกับพี่หมอลง
ดังนั้นในช่วงเย็นวันต่อมา เมื่อพี่หมอมารับผมเพื่อจะขี่จักรยานไปที่เนินวิศวะอีกครั้ง ผมก็รีบปฏิเสธอย่างแข็งขัน
“ทำไมล่ะ บีไม่ชอบเหรอ”
“ไม่ใช่หรอก บีแค่คิดว่าเราอาจจะ.....”
“อาจจะอะไร”
“เราอาจจะไม่เหมาะจะเป็นแฟนกันก็ได้ เรามาเป็นพี่น้องกันได้มั้ย”
“เกิดอะไรขึ้นเหรอบี เพราะเรื่องเมื่อวานเหรอ”
“ไม่ใช่หรอกพี่หมอ แต่บีแค่...บี.....”
“ทำไมล่ะ บีไม่ได้รักพี่เหรอ ”
“ใช่ บีไม่ได้รักพี่”
ผมตัดสินใจตอบไปตรงๆ
“อะไรนะ แล้วที่ผ่านมาล่ะ ถ้าบีไม่ได้รักพี่ แล้วเรื่องที่ผ่านมาของเรามันหมายความว่าอะไร พี่แค่ฝันไปอย่างงั้นเหรอ”
“พี่หมอ บีขอโทษ แต่บีมีคนที่บีรักอยู่แล้ว”
สิ่งที่ผมบอกพี่หมอไปไม่ใช่คำโกหกเพราะผมมีคนที่ผมรักอยู่แล้วจริงๆ เพียงแต่เขาคนนั้นได้เลิกรักผมไปแล้ว
“บี...มี..คนรัก...อยู่แล้วเหรอ”
“ใช่ บีรักเขามาตลอด แม้กระทั่งตอนที่บีอยู่กับพี่หมอ บีก็ยังรักเขาอยู่ บีถึงเป็นแฟนกับพี่หมอไม่ได้”
หลังผมพูดจบ พี่หมอก็ได้แต่มองผมด้วยสายตาที่ปวดร้าว ก่อนที่จะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า
“ทำไมบี ทำไมบีใจร้ายกับพี่อย่างนี้”
หลังจากผมตัดความสัมพันธ์กับพี่หมอไปในวันนั้น เขาก็ไม่เคยมาหาผมอีกเลย ผมได้ยินมาว่าเขาเสียใจมากจนถึงกับลาเรียนไปพักใหญ่ แต่ถึงกระนั้นผมก็ยังพยายามใจแข็งไม่ไปเจอเขา โดยคิดเอาเองว่าการที่เขาไม่ได้เจอผมนั่นแหละจะเป็นวิธีที่ทำให้เขาทำใจได้เร็วที่สุด
เป็นเวลาหลายปีที่เขาได้หายไปจากชีวิตของผมจนผมคิดว่าเราคงไม่ได้เจอกันอีก...จนกระทั่งวันนี้
“บี ใจลอยไปไหนอีกแล้ว”
“เปล่า บีแค่คิดถึงเรื่องเก่าๆ บีคงทำเลวกับพี่ไว้มาก”
“ไม่หรอก เรื่องความรักเนี้ย ใครจะไปบังคับหัวใจได้ พี่ไม่โทษบีหรอก แล้วตกลงเพื่อนบีคนนั้นเป็นแค่เพื่อนจริงหรือเปล่า”
“แค่เพื่อนจริงๆคับ ทำไมเหรอ”
“เปล่า พี่ก็แค่กลัวว่าเดี๋ยวประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย ถ้าบีรักเขาไม่ได้ก็อย่าไปให้ความหวังเขาล่ะ ไม่งั้นมันเจ็บปวดสุดๆเลยนะ”
ในคืนนั้นหลังจากที่ผมพาบาสกลับมาที่บ้านแล้ว ผมก็เก็บเอาคำพูดของพี่หมอเมื่อตอนเช้ามาคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ถ้าบีรักเขาไม่ได้ก็อย่าไปให้ความหวังเขาล่ะ ไม่งั้นมันเจ็บปวดสุดๆเลยนะ”
คำพูดนี้ของพี่หมอได้ทำให้ผมกลับมาถามใจตัวเองเป็นครั้งแรกว่าผมรู้สึกยังไงกับบาส
ผมยอมรับว่าช่วงหลายวันที่ผ่านมา โดยเฉพาะเมื่อได้รับรู้ความจริงจากบันทึกของบาส มันได้เริ่มทำให้ผมมีใจให้กับผู้ชายคนนี้เสียแล้ว
แต่แล้วทีมล่ะ....ผมยังรักทีมหรือเปล่า
ในทันทีโดยไม่ต้องคิดแม้แต่น้อย ผมก็บอกตัวเองได้ว่า.....ผมยังคงรักทีมสุดหัวใจ
ผมยังคิดถึงอ้อมกอดที่อบอุ่นของเขา ผมคิดถึงไหล่กว้างคู่นั้นที่ผมมักจะใช้พักพิงอิงแอบในยามเหนื่อยอ่อน ผมคิดถึงน้ำเสียงออกคำสั่งเวลาที่ผมไม่ยอมตามใจ ผมคิดถึงแววตาหึงหวงเวลาที่ผมไปไหนมาไหนกับชายอื่น ผมคิดถึงเสียงตวาดอย่างฉุนเฉียวเวลาผมทำอะไรขัดใจ ผมคิดถึงคำพูดหวานหูที่เขามีให้ผมเสมอ ผมคิดถึงรอยจูบละมุนที่แก้มที่เขามักจะแอบทำเวลาผมเผลอ
ผมยังคงคิดถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นเขา
ผมยังเราเขามาก ผมยังรักทีมมากจริงๆ
ในตอนนั้นเองที่ผมเริ่มคิดได้ว่าความรู้สึกที่ผมมีต่อบาส มันอาจจะไม่ใช่.... “ความรัก” ...แต่มันคงเป็นเพียงแค่...... “ความสงสาร”
หากผมจะทำดีกับบาสต่อไป เขาก็คงหนีไม่พ้นที่จะต้องมีชะตากรรมเดียวกับ....พี่หมอ
ผมจึงได้แต่บอกตัวเองอย่างแน่วแน่ว่า
“บาสต้องทนทุกข์ทรมานเพราะผมมามากพอแล้ว เขาไม่ควรจะต้องเจ็บปวดเพราะผมอีก เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะยังไง
.......ผมก็ต้องทำให้บาส.....เลิกรักผม...ให้ได้…….”
-----------------------------------------