สวัสดีค่ะ

พอดีวันก่อนได้รับข้อความแจ้งเรื่องการจัดส่งรางวัลที่ได้จากการโหวตเซ็งเป็ดอวอร์ด
เลยนึกได้ว่ายังไม่ได้ขอบคุณทุกคนอย่างเป็นทางการเลย (เดี๋ยวได้รับแล้วจะเอามาให้ดูในเพจนะคะ เห็นในรูปเป็นเป็ดม่วง ๆ)
ถือโอกาสนี้ขอบคุณเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ทุกคนนะคะที่ชอบเรื่องถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
มีหลาย ๆ คนยังคงเข้ามาอ่านมาคอมเมนต์ทั้งที่ก็ผ่านมาเป็นปีแล้ว เราอาจจะตอบกลับไม่ตอบกลับบ้างแต่ก็อ่านทุกคอมเมนต์นะ
ขอบคุณมากจริง ๆ ค่ะ โปรดรับตอนพิเศษตอนสั้น ๆ ตอนนี้เอาไว้ แทนคำขอบคุณจากเราด้วยนะคะ ^^
ตอนพิเศษนี้ (กับตอนที่แล้ว "เวลาเวียน") เป็นตอนพิเศษที่เขียนต่อจากตอนพิเศษตอนสุดท้ายในหนังสือ (ซึ่งไม่ได้ลงในเว็บ)
แต่เนื้อหาก็ไม่ได้ยากเกินจะคาดเดาว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง หวังว่าทุกคนจะชอบนะคะ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ได้ตามสะดวกค่ะ
....
ตอนพิเศษ : ขอบคุณที่รักกัน
เสียงผิวปากทำนองเพลง ‘เธอเห็นท้องฟ้านั่นไหม’ ผสานกับเสียงน้ำจากฝักบัวดังแว่วมาจากด้านหลังประตูสีขาว ไม่นานเสียงนั้นก็เงียบลง และเมื่อประตูเปิดออกอีกครั้งกลิ่นหอมของสบู่ก็อบอวลไปทั่วทั้งห้อง สายลมอ่อนพัดผ้าม่านผืนบางพริ้วไหวราวกับกระโปรงของสาวน้อยนักระบำ มีโมบายแขวนหน้าต่างเป็นเครื่องกำกับจังหวะ กรุ๊งกริ๊ง...กรุ๊งกริ๊ง หนักเบา ถี่ห่างก็แล้วแต่พระพายจะบัญชา ร่างสูงในชุดเสื้อยืดกางเกงเลเดินมาหยุดที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง สำรวจความเรียบร้อยของตนเองในกระจก จากนั้นจึงหยิบแว่นสายตาล้อมกรอบสีดำขึ้นมาสวม ลอบมองภาพของอีกคนที่ปรากฏบนผืนระนาบตรงหน้า พลันรอยยิ้มบาง ๆ ก็จุดขึ้นจนสังเกตได้
ตฤณกรเดินอ้อมไปอีกฝั่งทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงแต่น้ำหนักที่กดยวบลงนั้นไม่อาจเรียกความสนใจจากสายตาที่กำลังจดจ่ออยู่กับสิ่งที่รักได้ ดวงตาที่ฉาบด้วยแววแห่งความอ่อนโยนทอดมองคนที่กำลังนั่งหันหลังให้ผ่านกระจกแว่นสายตาพลางเอนหลังพิงหัวเตียงเอื้อมมือหยิบหนังสือขึ้นมาเปิดอ่าน พลิกหน้าไปมาจนกระดาษเสียดสีกันก็แล้ว แกล้งกระแอมไอจงใจให้เกิดเสียงดังก็แล้ว หวังจะเรียกร้องให้อีกฝ่ายหันกลับมาสนใจกันบ้างแต่สุดท้ายก็พบว่ามันไม่ได้ผลเลยแม้แต่น้อย แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหา ชายหนุ่มรู้ดีว่าควรจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร และแน่นอนว่าเขาจะต้องจัดการมันอย่างนุ่มนวลที่สุด
อาทิตย์ทัศน์จำต้องละสายตาจากจอ LCD ของกล้องดิจิทัลในมือเมื่อแขนแกร่งสอดรัดเข้ากับข้างลำตัว แผงอกแนบชิดกับแผ่นหลังให้ความรู้สึกอุ่นพอ ๆ กับลมหายใจของคนที่เพิ่งวางคางลงบนลาดบ่าของตนเอง ไม่ได้หันไปมองให้เต็มตาแต่ก็รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจ้องมองภาพในหน้าจอ LCD อย่างสนอกสนใจ เจ้าของกล้องยกมุมปากน้อย ๆ ก่อนจะดึงสายตากลับมายังจุดเดิม ปลายนิ้วเรียวกดปุ่มให้ภาพเลื่อนไปเรื่อยกระทั่งมาหยุดที่ภาพสุดท้ายซึ่งถ่ายโดยช่างกล้องมือสมัครเล่นที่ยังคงทำเนียนเบียดเข้ามาจนแก้มแนบกัน
“แอบถ่ายตอนไหนเนี่ย” ปากบางขยับบ่นพึมพำเมื่อเห็นภาพตัวเองในอิริยาบถที่ไม่ทันตั้งตัว
“ฝีมือใช้ได้หรือเปล่าล่ะ” ถามพลางกระชับวงแขนแน่น
"อืม...ก็ใช้ได้นะ ถ่ายรูปเก่งเหมือนกันนะเราน่ะ" อาทิตย์ทัศน์หัวเราะในลำคอพลางเอื้อมหยิบกระเป๋าหวังจะใส่กล้องคืนที่ แต่กลับถูกมือปลาหมึกรั้งเอาไปเสียก่อน
"ก็มีแฟนเป็นอาจารย์สอนถ่ายภาพนี่นา ถ้าถ่ายรูปไม่เก่งละก็ เสียชื่ออาจารย์จ้าแย่"
"ฟลุคมากกว่า"
ตฤณกรมองรอยบุ๋มที่ข้างแก้มของอีกฝ่าย น่าแปลกที่มองอย่างไรก็ไม่เคยนึกเบื่อเลยสักครั้ง ก่อนนี้ทำได้แค่แอบมอง แต่เดี๋ยวนี้จะมองเท่าไรก็ได้ เช้าสายบ่ายเย็นหรือแม้กระทั่งก่อนนอนเช่นนี้
"ฟลุคที่ไหนกัน ถ้าไม่เชื่อเดี๋ยวผมถ่ายให้ดูอีกก็ได้" พูดจบก็ยกกล้องในมือขึ้นก่อนจะลั่นชัตเตอร์บันทึกภาพรอยยิ้มที่ใคร ๆ เห็นไม่ได้บ่อยเอาไว้ "ดูสิ คนเป็นแบบก็หล่อ" ถือโอกาสล้มตัวลงนอนหนุนตักอุ่นเอาดื้อ ๆ
"ชอบจังเวลาเห็นจ้ายิ้ม" พูดไปยิ้มไปในขณะที่ตาก็มองภาพที่ปรากฏในจอ LCD ไปด้วย แม้จะไม่ใช่ภาพแสงแรกของดวงอาทิตย์ในยามเช้าที่โอบกอดทักทายทุกสรรพสิ่ง แต่ก็ทำให้โลกสว่างสดใสทุกครั้งยามได้มอง
“นอนดีกว่านะ” อาทิตย์ทัศน์กล่าวก่อนจะวางมือลงบนศีรษะของคนที่นอนอยู่บนตัก
“ยังไม่ง่วงเลย”
ทันทีที่พูดจบตฤณกรก็เงยหน้าขึ้นสบตาคนฟังที่ตอนนี้เสมองไปทางอื่นเสียแล้ว
“พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้า” อาทิตย์ทัศน์ตอบอ้อมแอ้ม หาทางออกด้วยการดึงกล้องจากมือหนามาเก็บใส่กระเป๋า อันที่จริงมันก็เป็นเพียงการสนทนาธรรมดา ๆ แค่นี้เอง ทำไมต้องหลบตา ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ไม่เข้าใจจริง ๆ แค่อีกฝ่ายบอกว่า ‘ยังไม่ง่วง’ จู่ ๆ แก้มก็ร้อนผ่าวขึ้นมาเฉย ๆ
“เฮ้อ...แทนที่พรุ่งนี้จะได้ไปเที่ยวด้วยกันเหมือนคู่อื่น ๆ เขา กลับต้องมาทำขนมอยู่บ้านเสียนี่”
“ขี้บ่นจริง” ส่ายหน้าน้อย ๆ ยกมือขึ้นบีบจมูกคนบนตักเบา ๆ “เรื่องขนมน่ะ คุณไปรับปากพัฒน์ไว้เองไม่ใช่เหรอ ผมต่างหากที่ต้องเป็นคนบ่น”
เมื่อได้ฟังดังนั้นตฤณกรก็ถอนใจอีกเฮือก นึกถึงเรื่องที่มาเป็นนายหน้าขอร้องให้อาทิตย์ทัศน์ช่วยสอนพัฒน์ทำขนม ยิ่งมารู้ทีหลังว่าเพื่อนจะทำสำหรับเป็นของขวัญเซอไพรส์สาวในนาทีสุดท้ายของวันวาเลนไทน์ก็ยิ่งปวดหัวหนัก นึกขึ้นมาได้ว่าตนเองก็อยากจะทำอะไรพิเศษ ๆ กับคนรักในวันนี้เช่นกัน
“ก็ผมไม่รู้นี่น่าว่ามันมีวัตถุประสงค์แอบแฝง คิดว่าอยากลองทำเฉย ๆ แล้วก็ดันจะมาทำในวันวาเลนไทน์ บ้าหรือเปล่า ไม่บอกกันก่อนแต่แรก”
“เอาเถอะน่า รับปากเขาไปแล้วนี่นา อีกอย่างผมก็ไม่ได้ติดธุระที่ไหนด้วย”
“จริง ๆ ปฏิเสธก็ได้แต่ไม่ปฏิเสธมากกว่า” ตฤณกรบ่นอุบ
“ทำไมขี้บ่นจัง”
“ก็วันวาเลนไทน์ทั้งที ผมก็อยากทำอะไรพิเศษ ๆ กับคนที่ผมรักแค่สองคนบ้างสิ”
“พูดอย่างกับจะรักกันแค่วันเดียว”
“ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย”
“ไม่ใช่อย่างนั้นแล้วมันยังไง”
“ไม่รู้! งอน! เห็นคนอื่นดีกว่าเรา” พูดจบก็รั้งมืออีกฝ่ายมาอังที่แก้มก่อนจะหลับตาลง
“เอ๊า!” อาทิตย์ทัศน์ได้แต่ส่ายหน้ายิ้ม ๆ ไม่รู้จะทำวิธีไหนให้ผู้ใหญ่เอาแต่ใจตัวเองหายงอน
...
วันต่อมาพัฒน์โผล่หน้ามาที่บ้านตั้งแต่เช้าพร้อมกับวัตถุดิบสำหรับทำ ‘เค้กช็อกโกแลตหน้านิ่ม’ ที่เขาตั้งอกตั้งใจจะทำให้รุ่นน้องที่ทำงานเป็นของขวัญในวันแห่งความรัก
“ตอนแรกผมว่าจะลองทำตามคลิปที่เขาโพสต์กันในเว็บ แต่คิดแล้วน่าจะไม่รอดแน่ เตาอบก็ไม่มี ก็เลยต้องมารบกวนอาจารย์จ้าน่ะครับ”
“ไม่รบกวนหรอกครับ” เจ้าของชื่อตอบอย่างมีไมตรี
“ถ้าอย่างนั้นเรามาเริ่มกันเลยดีกว่านะครับ” พูดจบพัฒน์ก็จัดการสวมผ้ากันเปื้อน หยิบวัตถุดิบออกมาวางเรียงตามที่เคยเห็นในรายการทำอาหาร
รถที่จอดอยู่หน้าบ้านกับเสียงพูดคุยกันที่ดังมาจากในครัวทำให้ตฤณกรที่เพิ่งกลับจากส่งแม่ของอาทิตย์ทัศน์ที่บ้านเพื่อนของเธอรู้ได้ทันทีว่าขณะนี้อาทิตย์ทัศน์ไม่ได้อยู่คนเดียว ร่างสูงเดินเข้าไปในครัวก่อนจะเอ่ยทักทายเพื่อนรักด้วยถ้อยคำที่ทำให้คนเป็นอาจารย์ต้องส่งสายตาปราม
“เสนอหน้ามาแต่เช้าเลยนะ”
“เออ ก็ไม่รู้ว่ามันทำยากง่ายขนาดไหนนี่หว่าเลยต้องรีบมา เดี๋ยวจะไม่ทันเวลาคืนนี้” หนุ่มร่างท้วมยักคิ้วกวน ๆ ก่อนจะหันไปยิ้มกับเจ้าของบ้านอย่างประจบ
“เริ่มกันเลยก็แล้วกันนะครับ เดี๋ยวผมจะเตรียมส่วนผสมเนื้อเค้กให้” พูดจบก็จัดการชั่งตวงวัดส่วนผสมทั้งแป้งเค้ก ผงฟู เบกกิ้งโซดา กลิ่นวานิลลา เกลือป่น ผงโกโก้ น้ำตาลทราย ตามสูตรที่กางอยู่บนโต๊ะ
พัฒน์จ้องมองอีกฝ่ายตาเขม็ง พยายามเก็บรายละเอียดให้มากที่สุดราวกับกลัวจะโดนถาม เมื่อส่วนผสมต่าง ๆ ถูกเตรียมไว้พร้อมแล้ว อาทิตย์ทัศน์ก็หันไปหยิบตะแกรงร่อนที่วางอยู่บนชั้นเหนืออ่างล้างจานส่งให้
“คุณพัฒน์เอาส่วนผสมพวกนี้ใส่ลงในตะแกรงแล้วก็ร่อนใส่อ่างนี้ไว้นะครับ พอเรียบร้อยแล้วก็ทำเป็นบ่อไว้ตรงกลาง เดี๋ยวเราจะต้องเติมน้ำ นมข้นจืด น้ำมะนาว น้ำมันพืช แล้วก็ไข่แดงพวกนี้ลงไปตีให้เข้ากัน”
เมื่อได้ฟังดังนั้นลูกศิษย์ก็ปฏิบัติตามคำสั่งอย่างตั้งใจ ตฤณกรได้แต่มองสองคนที่กำลังง่วนอยู่กับการทำขนมก่อนจะเดินออกไปนั่งทำงานที่โต๊ะเขียนแบบที่ถูกตั้งไว้ตรงระเบียงตั้งแต่เมื่อตอนย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ เงี่ยหูฟังเสียงพูดคุยกันที่ดังจากในครัวเป็นระยะ ๆ
“แล้วไข่ขาวนี่ล่ะครับอาจารย์จ้า”
“ผสมไข่ขาวกับครีมออฟทาทาร์ในโถนี่ครับ จากนั้นก็ตีด้วยความเร็วสูงจนมันขึ้นฟองหยาบ ๆ ก่อนแล้วค่อยเติมน้ำตาลทรายลงไป ตีให้มันตั้งยอด”
พัฒน์ทำตามที่บอก เพิ่งรู้ว่าการทำขนมไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับผู้ชายที่ถนัดแต่เรื่องการกินอย่างเขา เวลาผ่านไปไม่นานไข่ขาวและน้ำตาลที่ถูกตีผสมกันด้วยตะกร้อก็เริ่มเหนียวหนืดจนติดตะกร้อขึ้นมาเป็นยอดแหลม ๆ พัฒน์จึงเดาเอาว่านี่ละมั้งที่อาทิตย์ทัศน์เรียกว่าตีจนตั้งยอด
“ทีนี้เราจะตักไข่ขาวจากโถนี้ใส่ลงในอ่างแป้งที่เราพักเอาไว้ ค่อย ๆ คนตะล่อมให้มันเข้ากันนะครับ” ในส่วนนี้อาทิตย์ทัศน์ลงมือทำเอง ชายหนุ่มตักส่วนผสมของไข่ขาว ครีมออฟทาทาร์และน้ำตาลทรายที่ตีจนเข้ากันดีใส่ลงในอ่างที่ผสมแป้งพักเอาไว้ จากนั้นจึงใช้ตะกร้อคนตะล่อมอย่างเบามือ เมื่อเรียบร้อยเขาก็ปล่อยเป็นหน้าที่ของพัฒน์ในการตักส่วนผสมที่ได้ใส่ลงในพิมพ์ทรงกลม
“เราต้องอบกี่นาทีครับ”
“อืม ก็จนกว่าเค้กจะสุก ประมาณสามสิบห้านาทีน่ะครับ” อาทิตย์ทัศน์กล่าวขณะวางพิมพ์ขนมเค้กในเตาอบซึ่งปรับอุณภูมิไว้ที่ 180 องศาเซลเซียส
ตฤณกรเงยหน้าจากกระดานเขียนแบบอีกครั้งเมื่อจมูกได้กลิ่นหอมของขนมเค้กที่เพิ่งออกจากเตา ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนยืดเส้นยืดสาย พลันสายตาก็เหลือบไปเดินร่างท้วมพันผ้ากันเปื้อนที่นอนหลับอยู่บนโซฟา เห็นแล้วก็อดส่ายหน้าไม่ได้ เป็นนักออกแบบดี ๆ ไม่ชอบ ดันอยากจะเป็นเชฟ เมื่อร่างสูงโผล่หน้าเข้าไปในครัวก็เห็นอาทิตย์ทัศน์กำลังสไลด์เนื้อเค้กตามแนวขวางเป็นสองชิ้น บนเตามีหม้อใส่ส่วนผสมอะไรสักอย่างตั้งอยู่
“เหนื่อยไหม”
คนถูกถามส่ายหน้าน้อย ๆ ก่อนจะยกแขนเสื้อขึ้นซับเหงื่อที่ซึมอยู่กับไรผม “สนุกดี เพิ่งเคยทำครั้งนี้ครั้งแรก”
“เดี๋ยวผมจะไปปลุกไอ้หมูอ้วนให้มันมารับผิดชอบขนมของมัน” ยังไม่ทันจะหันหลังกลับ เสียงเรียกชื่อตัวเองก็รั้งให้หยุดอยู่กับที่เสียก่อน
“ตัง ไม่ต้องหรอก คุณมาชิมหน้าเค้กให้ผมดีกว่า” พูดจบอาทิตย์ทัศน์ก็หันไปตักหน้าเค้กที่ตั้งพักไว้บนเตาใส่ถ้วยเล็ก ๆ ส่งให้คนที่กำลังเดินเข้ามาใกล้
“กินได้แน่นะ”
“ได้สิ ระดับนี้แล้ว”
ตฤณกรสบตาคนพูดยิ้ม ๆ ใช้ปลายนิ้วจิ้มลงในของเหลวที่น้ำตาลเข้มที่ยังคงอุ่น ๆ ก่อนจะส่งเข้าปาก
“เป็นไงบ้าง”
ทำท่าคิดอยู่นานจึงตอบ “ไม่เห็นจะหวานเลย”
“ไม่หวานจริงเหรอ”
“อื้อ จริง”
“ใส่น้ำตาลลงไปตั้งเยอะแล้วนะยังไม่หวานอีกเหรอ นี่กลัวว่าจะหวานไปด้วยซ้ำ สาว ๆ ยิ่งไม่ชอบทานหวานกันด้วย ไหนผมลองบางซิ” เจ้าของร่างเล็กกว่ากล่าวก่อนจะใช้ปลายนิ้วเตะหน้าเค้กในถ้วย ตั้งใจจะส่งเข้าปากแต่กลับถูกคนตรงหน้าคว้าข้อมือเอาไว้ ตาคู่สวยไหวระริกจ้องมองอีกฝ่ายที่กำลังโน้มหน้าลงมา เพียงอึดใจเดียวริมฝีปากหยักก็เผยอออกก่อนจะลิ้มรสหวานอมขมจากปลายนิ้ว
“จ้าหวานกว่า” คนฟังรีบดึงมือออก ไม่คิดว่าในเวลาแบบนี้ก็ยังไม่เว้น
“ใช่เวลามาพูดเล่นไหมเนี่ย”
“พูดเล่นที่ไหนกัน พูดจริง ๆ” ตฤณกรหัวเราะชอบใจก่อนจะรวบเอวอีกฝ่ายเอาไว้
“ปล่อยเถอะ ผมจะชิมหน้าเค้ก”
“ก็ชิมสิ ผมก็ไม่ได้ห้ามนี่” ร่างสูงกล่าวพลางผละมือข้างหนึ่งออกก่อนจะแตะปลายนิ้วกับเนื้อครีมสีน้ำตาลเข้ม “ผมป้อนให้”
อาทิตย์ทัศน์สบสายตาแฝงความหมายที่ส่งประกายวิบวับก่อนจะมองปลายนิ้วของคนตรงหน้าที่กำลังยื่นเข้ามาใกล้สลับกัน จะแกล้งงับให้นิ้วขาด แต่ตฤณกรก็ดึงมือกลับเสียก่อนก็เลยต้องงับอากาศแทน
“ไม่ใช่ตรงนี้ แต่เป็นตรงนี้ต่างหาก” พูดจบนิ้วหนาก็แตะเนื้อครีมลงที่ริมฝีปากล่างของตนเองพลางยิ้มอย่างผู้กำชัยชนะ
“แผนสูง” คนจนมุมถอนใจ วางถ้วยใส่หน้าเค้กลงบนโต๊ะก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตามนุษย์เจ้าของเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวที่ยังคงยืนยิ้มไม่หุบ
“จะชิมกันสองคน หรือจะให้ผมเรียกไอ้พัฒน์มาดูวิธีชิมด้วย”
“ถ้ารู้ว่าเจ้าเล่ห์ขนาดนี้ไม่ยอมแต่งงานด้วยหรอก”
“ไม่ทันแล้วครับ ชิมเร็ว” พูดไปก็รั้งเอวสอบเข้ามาใกล้
อาทิตย์ทัศน์ส่ายหน้าน้อย ๆ ถึงมือจะพยายามดันอกอีกฝ่ายเอาไว้ตามสมองสั่งการ แต่ในใจกลับยอมไปแล้ว หน้าชวนมองเงยขึ้น จากนั้นก็เลื่อนเข้าไปใกล้ก่อนที่ริมฝีปากบางจะเผยอออกดูดดึงเนื้อปากนิ่มชิมความหวานปนขมอยู่เนิ่นนานแล้วผละออกในที่สุด
“เป็นยังไง หวานไหม”
“ก็หวานแล้วนี่นา ไหนบอกว่าไม่หวานไง” หัวคิ้วหนาขมวดมุ่นเมื่อเริ่มจะรู้ตัวว่ากำลังถูกหลอก
“จริงเหรอ ทำไมตอนผมชิมมันไม่หวานล่ะ ลองอีกทีไหมจะได้แน่ใจ”
“พอๆๆ ไม่ชิมแล้ว ๆ หวานแล้ว”
“แล้วกับผม อะไรหวานกว่ากัน” ตฤณกรกระซิบถาม
มีหรือที่อาทิตย์ทัศน์จะตอบ
ปล่อยให้รอยบุ๋มที่ข้างแก้มแดง ๆ ช่วยตอบแทนก็แล้วกัน ...
พัฒน์กลับไปเมื่อตอนบ่ายคล้อยพร้อมกับเค้กช็อกโกแลตหน้านิ่มก้อนโตฝีมือตนเองครึ่งหนึ่งฝีมือคุณครูครึ่งหนึ่ง ปล่อยหน้าที่เก็บกวาดไว้ให้เป็นภาระคนสอน แต่จริง ๆ แล้วจะว่าอย่างนั้นก็ไม่ถูก อาทิตย์ทัศน์เองต่างหากที่บอกว่าจะเก็บล้างทุกอย่างเอง ให้พัฒน์รีบไปเพราะเดี๋ยวจะไม่ทันเวลา ส่วนตฤณกรที่อาสาจะช่วยก็โดนไล่ออกมาจากครัวด้วยข้อหาทำตัวเกะกะ ชายหนุ่มจึงเดินคอตกออกมานั่งอ่านหนังสือที่โซฟาแทน สักพักก็เงยหน้ามองพัดลมเพดานที่กำลังหมุนเอื่อย ๆ กระทั่งผล็อยหลับไปในที่สุด
ผ้ากันเปื้อนถูกแขวนอยู่ในตำแหน่งเดิมส่วนข้าวของอุปกรณ์ทำขนมก็ถูกวางผึ่งไว้ข้าง ๆ อ่างล้างจาน ภายในห้องครัวสะอาดเอี่ยมราวกับก่อนหน้านี้ไม่ได้ถูกใช้งาน อาทิตย์ทัศน์เดินลงมาจากชั้นบนของบ้านหลังจากอาบน้ำอาบท่าเรียบร้อย ชายหนุ่มเดินไปยืนที่ระเบียงมองดูเหล่าปลาคาร์ฟสีสดที่กำลังแหวกว่ายอยู่ในน้ำ แปลกใจไม่น้อยเมื่อเห็นอุปกรณ์สำหรับเขียนสีน้ำวางอยู่บนเก้าอี้ไม้เตี้ย ๆ จานสีเก่า ๆ ฉาบทับด้วยสีเพียงไม่กี่สีที่ไหลซึมผสมกันและแห้งกรังเมื่อเวลาผ่านไป พู่กันขนาดต่าง ๆ เสียบแช่อยู่ในโหลแก้วที่มีน้ำสีตุ่น ๆ เกือบค่อน บนโต๊ะเขียนแบบมีกระดาษขนาดเท่ากับโปสการ์ดวางอยู่ เป็นภาพของดอกไม้สีหวานแต่เมื่อพลิกที่ด้านหลังกลับไม่พบข้อความใด ๆ
อาทิตย์ทัศน์ถือกระดาษแผ่นนั้นมานั่งลงที่โซฟา ทอดตามองเปลือกตาที่ยังคงปิดสนิท มือบางเอื้อมดึงแว่นสายตาออกวางบนโต๊ะ มองหน้าอีกฝ่ายให้ชัด ๆ เจ้าตัวจะรู้ไหมว่าตัวเขาเองก็ชอบดวงตาแสนอ่อนโยนคู่นั้นเหมือนกัน แต่พอได้สบประสานกันทีไรก็เป็นต้องเสมองไปทางอื่นอยู่ร่ำไป
“แอบมองอยู่ได้” ริมฝีปากหยักขยับคำนั้นออกมาทั้งที่ยังไม่ลืมตา
"ก็ไม่ได้ติดป้ายสักหน่อยว่าห้ามมอง"
เมื่อได้ฟังดังนั้นตฤณกรก็เปิดเปลือกตาขึ้นพร้อมกับกล่าวทันควัน “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีป้ายว่าห้ามกอดเหมือนกัน” พูดจบก็โถมตัวเข้าใส่จนอีกฝ่ายหงายลงไปกับโซฟา แขนแกร่งสอดเข้าข้างลำตัวรวบร่างกรุ่นกลิ่นหอมเสียแน่น เบียดเข้าหาก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาคนใต้ร่าง
“ทำไมไม่มองแล้วล่ะ ไม่ได้ติดป้ายห้ามมองสักหน่อย”
อาทิตย์ทัศน์ถอนใจอย่างมุมก่อนเบนสายตาหนี
"แน่ะ! ยังมองไปทางอื่นอีก ผมบอกคุณแล้วไงว่าให้มองแต่ผมคนเดียว" พูดพลางเอื้อมมือแตะปลายคางมนให้หันมาสบตากันอีกครั้ง ปากหยักขยับเข้าใกล้หวังจะครอบครอง ไม่ปล่อยให้ริมฝีปากบางได้เอื้อนเอ่ยคำท้วงติงใด ๆ แต่แล้วก็รู้สึกได้ถึงความสากของบางสิ่งที่อีกฝ่ายยกขึ้นมากั้นกลางป้องกันตนเอง
อาทิตย์ทัศน์ยิ้มอยู่ในดวงตาเมื่อเห็นคนช่างเอาเปรียบชะงักงัน หน้าคมถอยห่างออกไปมองดูกระดาษแผ่นนั้นมือของเขาอย่างแปลกใจ
“ขี้โกงนี่”
“ใครกันแน่ที่ขี้โกง”
“ก่อนจะหยิบมา ขออนุญาตเจ้าของเขาหรือยัง”
“ถึงไม่ขอก็รู้ว่าต้องให้”
‘คุ้นไหม?’
“เถียงคำไม่ตกฟากจริง ๆ” ตฤณกรโคลงศีรษะ กระชับวงแขนก่อนจะพลิกตัวนอนลงรั้งคนช่างยอกย้อนขึ้นมาอยู่บนอกอย่างมันเขี้ยว
“ตั้งใจว่าจะเขียนโปสการ์ดไปถึงเมื่อไรกัน"
"ก็ว่าจะเขียนไปเรื่อย ๆ น่ะ อีกหน่อยเวลาแก่ตัว ไปไหนไม่ไหวจะได้เอาออกมาอ่านไง" พูดจบก็วางมือบนศีรษะของคนในอ้อมแขนก่อนจะโยกเบา ๆ ราวกับเขาเป็นเด็กน้อย
อาทิตย์ทัศน์เอียงหน้าลงแนบกับอกกว้างฟังเสียงหัวใจของอีกฝ่าย ดวงตาคู่สวยจังคงจ้องมองไปยังภาพดอกไม้สีสวยในมือ
“แล้วใบนี้ล่ะ ไม่เห็นเขียนข้อความอะไรเลย”
“ใบนี้ตั้งใจว่าจะไม่เขียน”
“ทำไมล่ะ”
“ตั้งใจว่าข้อความในใบนี้จะพูดให้คุณฟังเอง เมื่อไรที่คุณหยิบมันขึ้นมา คุณก็จะถามผมว่าข้อความในโปสการ์ดใบนี้คืออะไร แล้วผมก็จะพูดให้คุณฟัง”
“แล้วจะจำได้เหรอ”
“จำได้สิ เพราะถามกี่ครั้งผมก็จะพูดเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแน่ ๆ คุณอยากฟังไหม”
“ไม่อยาก” คนถูกถามตอบเสียงห้วนก่อนจะยันตัวลุกขึ้นนั่ง แต่เจ้าของอ้อมกอดอุ่นก็ไม่วายลุกตามขึ้นมา สอดแขนรวบเอวสอบ วางคางลงบนบ่าไปพร้อม ๆ กัน
"แต่ผมอยากบอก รู้ตัวไหม คุณน่ะทำให้ทุกวันของผมมีความหมายนะ คุณทำให้วันเกิดของผมกลายเป็นวันสำคัญ เมื่อก่อนผมแทบจะไม่ได้ใส่ใจมันเลยด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าจะเกิดมาเพื่ออะไร จนกระทั่งมีคุณ"
"แล้ววันนี้ล่ะ"
"วันวันวาเลนไทน์น่ะเหรอ"
"อื้อ"
"อืม...คุณทำให้วันวาเลนไทน์ของผมไม่ใช่วันเหงา ๆ ที่ต้องคอยมองคนอื่นเขาเดินจับมือกันอีกต่อไป คุณทำให้ผมรู้ว่าผลลัพธ์ของการรอคอยมันมีค่ามากขนาดไหน"
"เสี่ยวจริง ๆ อยากรู้จังว่าคุณไปจำคำพูดเสี่ยว ๆ แบบนี้มาจากไหนนะ" พูดพลางเอียงคอหนีปลายจมูกโด่งที่แตะลงกับผิวแก้ม
“แล้วชอบหรือเปล่าล่ะ”
อาทิตย์ทัศน์เลือกที่จะไม่ตอบคำถามนั้น
“แล้ววันมาฆบูชาล่ะ”
“วันมาฆบูชา...” ตฤณกรทวนคำ “ก็...ทำให้ผมต้องคิดว่าจะทำให้คนห่างไกลศาสนาอย่างคุณเข้าวัดเข้าวาได้ยังไงกัน”
“วันประมงแห่งชาติล่ะ”
“ทำให้ผมรักน้ำ รักปลา จนอยากจะเลิกกินปลาแล้วเปลี่ยนมากินจ้าแทนไง พอใจไหม” พูดจบก็กดปลายจมูกลงบนซอกคอขาวก่อนจะสูดลมหายเข้าฟอดใหญ่ให้สาสม ช่างซักช่างถามดีนัก
ดวงอาทิตย์กำลังเคลื่อนลับขอบฟ้าในขณะที่ทั้งบ้านกลับเงียบเชียบลงอีกครั้ง เงียบ...เสียจนได้ยินเสียงเข็มวินาทีของนาฬิกาติดฝาผนังดังชัดเจน เงียบ...จนรู้สึกว่าเสียงของโมบายแขวนหน้าต่างซึ่งกำลังแกว่งไกวไปตามแรงลมเป็นเสียงที่ไพเราะที่สุดที่หูได้ยินอยู่ขณะนี้ อาทิตย์ทัศน์ก้มหน้ามองแขนแกร่งที่ยังโอบรัดรอบเอวไม่ห่าง บ่าข้างซ้ายยังรู้สึกถึงน้ำหนักจากปลายคางคนตัวใหญ่กว่าที่กดลงมา แผ่นหลังยังคงอุ่นเพราะสัมผัสจากแผงอกที่ขยับตามจังหวะการหายใจ นั่นทำให้รู้ว่ามีอีกคนที่ยังคงนั่งอยู่ตรงนี้ด้วยกัน
ยอมรับว่ามีหลายความรู้สึกก่อตัวขึ้นภายในใจนับตั้งแต่ตฤณกรก้าวเข้ามาในชีวิต กระทั่งสามารถทำลายกำแพงที่เขาสร้างขึ้นเพื่อป้องกันตนเองจากความรัก มันมากมายเสียจนจนไม่อาจจะเอื้อนเอ่ยออกมาบอกกันให้รู้ได้หมด
นอกจากคำพูดสั้น ๆ ...
“ขอบคุณนะ ขอบคุณที่รักกัน”
...จบ...