“คุณแคมป์เบล นี่น้องชายของฉันเองค่ะ ชูเลย์” ลอร์เรนกล่าวแล้วเดินไปยืนข้างชายหนุ่มแปลกหน้าเจ้าของนามสกุลแคมป์เบล “ชูเลย์ นี่ไงว่าที่คู่หมั้นของฉัน ที่จริงแล้วฉันคิดจะแนะนำให้เธอรู้จักก่อนกลับจีน แต่น่าเสียดายที่เธอหนีกลับมาเสียก่อนฉันถึงต้องพาเขาดั้นด้นมาหาถึงนี่”
“อย่าพูดเหมือนผมลำบากใจที่จะมากับคุณสิ” ชายหนุ่มหัวเราะเสียงระรื่นหูก่อนหันกลับมาทางซูเล่ย “ผมยินดีที่ได้พบคุณนะครับ ลอร์เรนเล่าให้ผมฟังหลายอย่างเกี่ยวกับคุณ โดยเฉพาะเรื่องที่คุณเป็นน้องชายที่สนิทสนมกับเธออย่างกับเป็นคู่แฝด”
ซูเล่ยหน้าเจื่อนเล็กน้อยขณะฟังเรื่องราวที่ลอร์เรนนำไปเล่าให้ว่าที่คู่หมั้นฟัง
“แล้วพาคุณพ่อไปส่งถึงที่หรือเปล่าคะ?” หญิงสาวเอ่ยถาม
“อ๋อ ครับ พอไปถึงเขาก็ขอให้ผมกลับมาก่อนแต่หลงทางนิดหน่อยก็เลยมาถึงช้า”
“....พ่อ...มาด้วยหรือ?”
ลอร์เรนเลิกคิ้วสูง
“อะไรกัน ไม่ได้เจอกันหรอกหรือ? เขาโทรมาบอกฉันว่าถึงบ้านของเธอก่อนเธอกลับเสียอีก”
เมื่อนึกย้อนก็จำได้ว่าแม่พยายามจะบอกอะไรบางอย่างก่อนออกจากบ้าน บางที...ลามอนต์คงจะนั่งอยู่ข้างในด้วย...
“เอาเถอะ ที่จริงแล้วก็มีคนอื่นที่อยากจะเจอเธออยู่อีกคนนะ” เมื่อลอร์เรนกล่าวจบ เสียงร้องเรียก ‘แดดดี้’ ก็ดังขึ้น ครั้งนี้ซูเล่ยหันกลับไปหาในทันทีด้วยใจหวาดหวั่นว่าตนจะถูกหลอกลวงให้เข้าใจผิดไปเองอีกครั้ง แต่ผู้ชายที่เดินตรงเข้ามานั้น...คืออังเดรไม่ผิดแน่...
ชายหนุ่มหยุดยืนไม่ไกลจากเขานัก สายตาทั้งสองสบประสานกันชั่วครู่ก่อนที่เสียงของลอร์เรนจะดึงสติของพวกเขาให้กลับมา ณ เวลาปัจจุบัน
“พวกเขาคงมีอะไรคุยกันหลายอย่าง เราขึ้นไปข้างบนกันก่อนเถอะค่ะ” หญิงสาวชวนคู่หมั้นแล้วจูงมือเอเดรียน “เราไปเล่นของเล่นกันต่อก่อนดีไหมจ๊ะ? แล้วก็รีบพักผ่อน พรุ่งนี้จะได้ไปเที่ยวกับซูไง” การโน้มน้าวของลอร์เรนได้ผล เพราะเมื่อได้ฟัง เอเดรียนที่คิดจะดื้อแพ่งในตอนแรกก็ยอมคล้อยตามและหันมาทำสีหน้าแง่งอนเล็กน้อยกับพี่เลี้ยงของตนก่อนเดินตามครูพิเศษไปทางลิฟต์
เวลานี้ แม้ล็อบบี้จะมีคนอยู่มากมาย แต่ซูเล่ยกลับรู้สึกว่าคนที่อยู่ที่นี่มีเพียงตนกับอังเดรและความเงียบที่ต่างคนต่างทิ้งเอาไว้
“ออกไปเดินเล่นกันหน่อยได้ไหม?” เสียงเอ่ยชวนพาให้ซูเล่ยนึกฉงน แต่ก็พยักหน้าตอบรับและเดินนำออกไปข้างนอกโดยไม่ได้พูดอะไร จนกระทั่งพ้นประตูแล้ว ซูเล่ยจึงถอนหายใจแล้วเริ่มเปิดหัวข้อ เพราะไม่เห็นประโยชน์ของการเงียบใส่กันอยู่แบบนี้ให้เสียเวลาไปเปล่า ๆ
“ผมคิดว่าคุณจะเป็นคู่หมั้นของลอร์เรนเสียอีก มันเกิดอะไรขึ้นหรือครับ?”
“ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ วันนั้นฉันแค่ไปบอกกับพ่อของเธอตรง ๆ ว่าฉันไม่คิดจะแต่งงานใหม่กับใครทั้งนั้น ลอร์เรนจึงเปิดเผยกับฉันว่าเธอมีคนรักอยู่แล้วก็เท่านั้น” อังเดรว่าก่อนยิ้มมุมปาก “ฉันก็บอกว่าฉันเองก็มีเหมือนกัน แต่น่าเสียดายที่ยังไม่ถึงขนาดเรียกว่าคนรักได้”
ลมหายใจซูเล่ยติดขัดเล็กน้อยเมื่อคิดว่าอังเดรมีคนอื่นที่เขาไม่รู้จักอยู่อีก
“ถ้าอย่างนั้น...เขาคงโอเคสินะครับ คุณเวสลอยด์น่ะ” ดวงตาสีดำหลุบหลบใต้แพขนตาและถามต่อไปเพื่อไม่ให้บทสนทนาขาดตอน
“เขาไม่ใช่เจ้าของชีวิตฉัน ถึงเขาจะพอใจหรือไม่มันก็ไม่ได้มีผลอะไรนักหรอก แต่...คงจะมีผลกับคนที่ฉันพึงใจอยู่มากทีเดียว” เมื่อได้ยินคำอธิบาย ซูเล่ยก็มุ่นคิ้วเพราะไม่เข้าใจว่าคนที่อังเดรชอบมีอะไรเกี่ยวข้องกับลามอนต์ และขณะที่ซูเล่ยยังคงเงียบ อังเดรจึงพูดต่อ “ฉันพบกับเขาเมื่อเกือบหกปีก่อน ที่จริงแล้วฉันเองยังนึกสงสัยอยู่บ่อย ๆ ว่าทำไมถึงได้ติดใจคนคนนี้นักทั้งที่พวกเราดูไม่มีอะไรเข้ากันได้เลย แต่คงเพราะลึก ๆ แล้วเขาดูจะใส่ใจเรื่องราวของฉันและอยากจะรู้จักตัวตนของฉันล่ะมั้ง”
ฟัง ๆ ไปแล้ว... ‘เขา’ ที่อังเดรพูดถึงช่างคลับคล้ายคลับคลา...
“แต่ว่าหลังจากมีสัมพันธ์กันแค่คืนเดียวเขาก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย บางทีฉันคงจะเร่งรัดมากเกินไป...”
ถึงตรงนี้ ซูเล่ยก็เสมองไปทางอื่น เพราะที่จริงแล้วมันไม่ใช่ความผิดของอังเดรเลย แต่เป็นความผิดของเขาเองที่ปล่อยตัวทำตามใจจนเกือบเป็นเรื่อง และก็ไม่ทันคิดเลยว่า...อังเดรเองก็หลงชอบ ‘ลี’ เช่นกัน แม้จนถึงตอนนี้อังเดรก็ยังคงตามหาตัวตนของลีอยู่หรือ...
บางทีเขาควรจะบอกความจริงได้แล้วกระมัง...เพื่อปลดปล่อยทั้งอังเดรและตัวเขาเองจากอดีตที่พันธนาการความรู้สึกผิดเอาไว้ ไม่ว่าผลจะเป็นยังไง จะเป็นความชิงชัง รังเกียจ หรือเดียดฉันท์ อย่างไรหัวใจของอังเดรก็คงไม่มีวันเป็นของ ‘ซูเล่ย’ ได้อยู่ดี
ที่ผ่านมาได้แต่หวาดกลัว กลัวผลลัพธ์ที่จะตามมา กลัวสายตาที่จะเปลี่ยนไป แต่เมื่อได้มีโอกาสแยกห่างจากกันเขาจึงตระหนักได้ถึงความเป็นจริง...ว่าช่วงชีวิตของเขาและอังเดรจากนี้ไปคงไม่มีวันได้บรรจบกันอีก หากเป็นเช่นนั้นแล้วจะต้องหวาดกลัวไปอีกทำไม
“คุณคงไม่ชอบฟังข่าวร้าย” ซูเล่ยเกริ่นนำพลางปลอบใจตัวเองให้กล้าพูดออกไปจนจบ “แต่คุณคงไม่มีทางหา ‘ลี’ พบหรอก...”
“ทำไมฉันถึงต้องหาลีให้พบด้วย?” พูดไม่ทันจบประโยคดี เสียงของอังเดรก็แทรกขึ้นมาทำให้ผู้พูดต้องหยุดชะงักและหันกลับไปมองด้วยสายตาฉงน จึงได้เห็นรอยยิ้มกรุ้มกริ่มที่ประดับตรงมุมปากภายใต้แสงอาทิตย์สีแดงส้มในยามเย็นเสริมใบหน้าคมให้ดูเจ้าเล่ห์ขึ้นกว่าที่เคยเห็นจนชินตา
ซูเล่ยเผลอกลั้นหายใจวูบหนึ่งตามความเคยชินเพราะหัวใจเผลอเต้นผิดจังหวะและผิดสถานการณ์ ในช่วงนาทีนั้นเองที่อังเดรสาวเท้าเข้าหาจนเกือบประชิดก่อนโน้มใบหน้าลงเล็กน้อย
“ในเมื่อคนคนนั้นอยู่ตรงหน้าฉันมาตลอด ซ้ำจะทำอย่างไรก็ไม่รู้ตัวเสียทีดีแต่ขับไล่ไสส่งฉันไปหาคนอื่นอยู่เนือง ๆ”
...
ดวงตาสีดำกลอกไปมาอยู่ครู่หนึ่งเพื่อค้นหาคำตอบที่ง่ายแสนง่ายแต่กลับยากจะค้นเจอ
“...คุณรู้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“ประมาณช่วงคริสต์มาส”
หลังได้รับคำตอบ ซูเล่ยก็เผลอยกมือขึ้นปิดปากแล้วหันหลังให้ทันที
จากตอนนั้นมันก็นานมากที่พวกเขาอยู่ด้วยกันและปฏิกิริยาของอังเดรเริ่มแปรเปลี่ยนแทบจะหน้าเป็นหลังมือ เขาไม่เคยนึกสงสัยเลยว่าอาจจะเป็นเพราะอังเดรจำได้แล้ว เพราะติดใจมาโดยตลอดว่าอีกฝ่ายชิงชังตนเองเพราะเรื่องของลามอนต์ อังเดรมักจะแสดงออกด้วยอารมณ์ด้านลบแม้ทุกสิ่งจะทำเพื่อรั้งเขาเอาไว้ก็ตาม แต่ใครจะนึกเข้าข้างตัวเองในสถานการณ์แบบนั้นได้กัน
ทว่า...ก็ไม่อาจปฏิเสธ ว่าบางครั้งเขาเองก็เผลอไผลปล่อยใจให้คิดไปไกล แต่กลับไม่เคยเชื่อเลยว่ามันจะเป็นความจริงและคิดว่าเป็นเพียงความหวังเลื่อนลอย
เพราะไม่รู้ว่าควรตอบรับกับสถานการณ์ที่เชิญอยู่อย่างไร ซูเล่ยจึงเลือกเดินหนีไปเฉย ๆ
“ฉันขอโทษ”
แต่ถ้อยคำที่อังเดรเอ่ยต่อไปกลับทำให้ชะงัก เท้าทั้งสองหยุดเดินเสมือนกำลังรอฟังว่าเจ้าของคำขอโทษตั้งใจจะพูดอะไรต่อไป
“ฉันไม่รู้ว่าควรจะทำยังไง เพราะฉันเองก็ไม่มีความมั่นใจเลยว่าความรู้สึกของฉันจะได้รับการตอบรับ” การพูดด้วยน้ำเสียงของคนที่ไม่มีความมั่นใจในตัวเองดูไม่ใช่อังเดรเลยแม้แต่น้อย กระนั้น แม้ผู้ฟังจะหันหลังแต่ก็รู้ได้ว่ามันออกมาจากปากของผู้ชายคนนี้อยู่จริง ๆ “เพราะเหตุนั้น ฉันจึงพยายามจะทำเหมือนกับพ่อของเธอ...สร้างเงื่อนไขให้ต้องยินยอมทำตามโดยไม่รู้เลยว่าเธอต้องเป็นทุกข์เพราะวิธีการของเขามากแค่ไหน ฉันจึงมาที่นี่เพื่อถือโอกาสขอโทษสำหรับทุกสิ่งที่ทำลงไป”
“...พ่อกับลอร์เรนมีส่วนด้วยสินะครับ” ซูเล่ยเดาได้ไม่ยาก เพราะอังเดรไม่มีทางรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหนหรือทำอะไร ซ้ำยังเดินทางมาพร้อมกับลอร์เรนโดยทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นคู่หมั้นแบบนี้ คงเป็นแผนการใครอื่นไปไม่ได้นอกจากลามอนต์หรือตัวลอร์เรนเอง
“ใช่ เรื่องนี้ฉันต้องยกความดีความชอบให้พวกเขา”
หลังจากอังเดรยอมรับอย่างง่าย ๆ ทั้งสองต่างก็เงียบไป มีเพียงเสียงลมพัดผ่านต้นไม้สูงและผู้คนที่เดินผ่านไปมา จากตรงนี้ อังเดรมองเห็นเพียงแผ่นหลังเหยียดตรงของซูเล่ยโดยไม่เห็นการเคลื่อนไหวอื่นหรือสิ่งใดที่เป็นสัญญาณการยอมให้อภัยหรือปฏิเสธการคืนดี ชายหนุ่มร่างสูงสาวเท้าเข้าไปหาเมื่อไม่อาจเฝ้ารอให้เวลาเดินผ่านไปเฉย ๆ ได้และเมื่อเขาหยุดยืนข้างหลัง ก็เห็นว่าไหล่ของอีกฝ่ายสั่นไหวเล็กน้อย
“ซู เราต่างรู้ว่าไม่มีทางยื้อเวลาเอาไว้ได้ตลอดไป ดังนั้นตอนนี้ถึงเวลาที่เธอจะต้องเลือกบ้างแล้ว ว่าจะเดินจากไปและอีกไม่นานหลังจากนี้ฉันคงจะทำใจได้ที่จะลบเบอร์ของเธอออกไปจากโทรศัพท์ หรือหันกลับมาพูดอะไรสักอย่างให้ฉันรู้ว่าตัวเองยังพอมีหวังอยู่บ้าง”
“เพิ่งมาให้ทางเลือกผมเอาตอนนี้ ไม่คิดว่าขี้โกงไปหน่อยหรือครับ?” ซูเล่ยเอ่ยก่อนขบริมฝีปากพยายามตัดสินใจทั้งที่รู้แต่แรกแล้วว่าควรจะเลือกข้อไหน แต่เขาก็เพียรที่จะหาข้ออ้างสักข้อหรือสองข้อให้ตนเองไปเลือกอีกทางหนึ่งถึงอย่างนั้นในที่สุดเท้าก็ค่อย ๆ พาเจ้าของหมุนตัวกลับมาหาผู้ให้ทางเลือกในวินาทีสุดท้าย แต่เขากลับไม่อาจทำใจเงยหน้าขึ้นมองสบตาเจ้าตัวตรง ๆ ได้ เพราะความรู้สึกร้อนวูบวาบบ่งบอกว่าใบหน้าของเขาตอนนี้กำลังระบายไปด้วยสีสันอย่างไร ซึ่งมันคงไม่น่ามองเอาเสียเลย
แต่ทั้งที่หันมาแล้ว อังเดรก็ยังไม่ยอมพูดอะไรต่อและเฝ้ารอว่าอีกฝ่ายจะทำอย่างไรต่อไป
“แน่ใจหรือครับว่าอยากจะทำแบบนี้ เอเดรียนยังเล็กและต้องการแม่เป็นแบบอย่างซึ่งหน้าที่นั้นผมไม่มีทางทำได้ คุณก็รู้ดี”
“ที่จริง...ถ้าเอเดรียนจะโตมาเป็นเหมือนกับลอร์เรน ฉันก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก” อังเดรไหวไหล่ “เธอบอกว่าจะมาช่วยดูแลและสอนเรื่องต่าง ๆ ให้จนกว่าจะเข้าโรงเรียน และหลังจากนั้นก็จะคอยมาดูแลให้เป็นระยะ”
ลอร์เรนน่ะหรือ?
ซูเล่ยมุ่นคิ้วเล็ก ๆ แต่คิดอีกที หากเพื่อหลานสาวสุดที่รักแล้วลามอนต์คงไม่เดือดร้อนนักที่จะสละคนรู้ใจคนหนึ่งให้ไปคอยดูแลใกล้ชิด
“งั้น...ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวกลับก่อนก็แล้วกันนะครับ” เมื่อหมดเรื่องพูดคุยต่อไป ซูเล่ยจึงขอปลีกตัวเพราะการยืนอยู่ต่อหน้าอังเดรเริ่มจะน่าอึดอัดขึ้นมาอีกครั้ง เพียงแต่เป็นความอึดอัดคนละแบบกับที่เคยรู้สึกก่อนหน้านี้ แต่เพียงแค่หันหลัง ทั้งร่างก็พลันถูกรั้งเข้าไปในอ้อมแขนอุ่น แผ่นหลังของเขารู้สึกได้ถึงอกกว้าง และลมหายใจที่รินรดข้างแก้ม แค่นาทีเดียวที่เผลอตกตะลึงเพราะนาทีต่อมาสายตาของคนรอบข้างก็ปลุกให้ตื่นขึ้นในโลกของความเป็นจริง “อังเดร! คนอื่นเขามองอยู่นะ!”
“ไม่เห็นเป็นไร เดี๋ยวคนพวกนี้ก็ลืมหน้าเราแล้ว สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือ...ฉันเพิ่งจะสารภาพรักเธอไปนะ ไม่คิดจะตอบอะไรหน่อยหรือ?”
ซูเล่ยแทบสำลักลมหายใจตัวเองเมื่อได้ยิน
“คุณบอกให้ผมเลือก ผมก็เลือกแล้ว นั่นไม่นับเป็นคำตอบหรือครับ?” อังเดรไม่รู้เลยหรืออย่างไรว่าเขาต้องใช้ความกล้ามากแค่ไหนเพื่อที่จะหันกลับมา ซึ่งสำหรับเขา สิ่งที่ทำก็เพียงพอจะเป็นคำตอบได้แล้ว กระนั้นสำหรับอังเดรกลับเห็นต่างออกไป
“ถ้าอย่างนั้นฉันจะถามตรง ๆ ก็แล้วกัน” ชายหนุ่มว่า “ซู...ชอบฉันหรือเปล่า?”
อา...ให้ตายสิ...
หากว่าสามารถระเบิดได้ ตัวซูเล่ยคงกระจายเป็นชิ้น ๆ เพราะความร้อนที่แล่นมากระจุกบนใบหน้าและหัวใจที่เต้นระรัวสูบฉีดเลือดอย่างแข็งขัน แต่ว่าหากไม่ยอมตอบ อังเดรก็คงคิดจะกอดอยู่อย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ในที่สุด...ซูเล่ยจึงกลั้นใจพยักหน้าและตอบรับเสียงแผ่วพลางคิดว่าแค่นี้อังเดรคงจะพึงพอใจและยอมปล่อยเขาไปได้แล้ว ทว่า...มันเป็นความคิดที่ผิดไปไกลโข
ชายหนุ่มร่างสูงเผยรอยยิ้มขณะกระซิบเสียงนุ่มข้างใบหู
“ถ้าอย่างนั้นขึ้นไปคุยกันต่อข้างบนเถอะ” ว่าแล้วอ้อมแขนก็คลายออก เจ้าของคำเชิญชวนแสนหวานเหน็บรอยยิ้มแฝงเลศนัยก่อนผินหลังเดินนำกลับเข้าไปในโรงแรม
ซูเล่ยมองตามพลางคิดในใจว่าบางทีอังเดรคงเริ่มติดใจนิสัยจอมบงการแบบลามอนต์จริง ๆ เสียแล้วกระมัง ทว่า...ทั้งที่เขาไม่ชอบนิสัยส่วนนี้เอาเสียเลย สองเท้าก็ยังนำพาเจ้าของให้ก้าวตามไป ไม่ใช่เพราะถูกบงการหรือสร้างเงื่อนไข แต่ซูเล่ยรู้ว่านี่คือสิ่งที่เขาอยากจะเลือกให้ตนเองโดยไม่จำเป็นต้องมีใครชี้นำ หรือมีข้ออ้างใดมาชักจูงใจ
END
เพลงเหลี่ยวเจี๋ยค่ะ
http://www.youtube.com/watch?v=EKyw9amIqWM#t=966 จริงๆตอนแรกจะเอาเพลงอ้าวหว่อ(เพลงที่2) หรือ เจว๋วู้(เพลงที่3) แต่รู้สึกว่ามันตรงไปหน่อย 555
ถึงเวลาทักทายช่วงท้ายเรื่อง
ในที่สุดเรื่องนี้ก็ดำเนินมาถึงจุดจบที่ยาวกว่าที่คิดเอาไว้แล้วค่า ตอนแรกคิดว่าจะไม่ถึง20ตอนด้วยซ้ำไป XD เรื่องนี้คิดว่าน่าจะมีหลายๆคนหงุดหงิดกับการกระทำของอังเดรกับซูเล่ยอยู่บ้าง แหม่ ช่างเก็บช่างงำงุบงิบกันไม่เข้าเรื่อง แถมพ่อตาก็วุ่นวายตั้งแต่ต้นยันจบ มีแต่หนูเอเดรียนที่น่ารักน่าชัง แต่โดยส่วนตัวก็คิดว่าอุปนิสัยของซูเล่ยไม่น่าจะแตกต่างจากนี้มากนักเมื่อคิดถึงสภาพแวดล้อมในสมัยเด็กที่ต้องมาอยู่ในบ้านของพ่อที่ไม่สนิทใจ ใครๆก็มองว่าเป็นส่วนเกิน ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใครต้องการอะไร ส่วนอังเดรก็คล้ายว่าผ่านประสบการณ์มาทำให้ต้องปรับตัวและซึมซับอุปนิสัยบางอย่างมาจากมารีนโดยไม่รู้ตัว
ซึ่งสุดท้ายทั้งสองก็จบลงได้ด้วยดี (จริงๆแล้วเอเดรียนก็เป็นกาวใจอยู่เบาๆ 555) ขอบคุณทุกๆคนที่ติดตามมาจนถึงจุดนี้ แม้ว่าเซียร์จะเขียนนิยายรักได้ไม่ดีนัก (คราวหน้ากลับไปเขียนเคะควีนเหมือนเดิมดีกว่า /เอ๊ะ) ถ้าหากว่ามีข้อติชมอะไรสามารถบอกได้เสมอนะคะ แล้วเซียร์จะนำไปปรับปรุงให้ดีขึ้น ส่วนถ้าส่วนไหนที่เซียร์จงใจให้เป็นแบบนั้นก็จะเขียนอธิบายเอาไว้ให้ หรือถ้าอยากจะแนะนำตัวต่อตัวก็สามารถไปพูดคุยกันได้ที่เพจ
https://www.facebook.com/ZiarNovel เซียร์เช็คเพจแทบทุกวันอยู่แล้วค่ะ XD
ส่วนเรื่องการเปิดจอง อาจจะช้าสักหน่อยนะคะเพราะยังไม่ได้ทำปกเลย ;w; สามารถติดตามข่าวสารได้ที่เพจ
https://www.facebook.com/ZiarNovel เช่นกัน สุดท้ายนี้อยากถามทุกท่านว่า อยากให้มีภาพประกอบในเล่มด้วยหรือเปล่าคะ สัก4-6ภาพ (คงมีปัญญาวาดได้แค่นั้น 555) ส่วนตอนพิเศษไม่ต้องห่วงนะคะเพราะคิดเอาไว้ในใจแล้วค่ะ - -+