มาแล้วจ้าหนึ่งตอนยาวๆ อ่านให้จุใจนะ ขัดๆบ้างเล็กน้อยก็ต้องขออภัยด้วยจ้า แนวนี้เพิ่งเขียนครั้งแรกเน้อ

_______________________________________________________________________________________________
CHAPTER 3 : ปีศาจน้อย(?) ชีวา รายงานตัววววววววว!!!!โอเค... พระไวยคิดว่าทุกอย่างมันโอเคนะ จนกระทั่งเขาลืมตาขึ้นจากความฝัน
ฟึ่บ...
พระไวยกลอกตาไปมา
ห้อง? นี่ก็ห้องเขาเอง จากสายตาที่มองไปรอบๆโดยยังไม่ยกหัวขึ้น เขามั่นใจว่าห้องเขาไม่มีอะไรเสียหาย หรือผิดเพี้ยนไปจากเดิมแน่นอน
เตียง? ไม่สิ ไม่ใช่เตียง มันก็เป็นฟูกนิ่มๆที่ไม่สูงมากนักบนพื้นไม้กระดานขัดมันจนเงาแวบต่างหาก
เฮ้อ... ดูเหมือนไม่มีอะไรเสียหาย นอกจากว่าตัวพระไวยขยับไม่ได้เท่านั้น
แต่เอ๋??? ทำไมตัวเขาขยับไม่ได้ล่ะวะ?
สมองพระไวยที่เพิ่งฟื้นกำลังพยายามประมวลผลเหตุการณ์และเรื่องราวให้เข้าที่อย่างงุนงง
จนกระทั่ง...
แอด...
เสียงประตูห้องนอนของพระไวยเปิดออก พร้อมกับเงาดำๆที่พาดลงมาให้เห็นเป็นอย่างแรก
และ...
“เจ้าฟื้นแล้วหรือ”
พระไวยอ้าปากค้าง สมองที่ยังคิดอะไรไม่ออกเมื่อกี้ดันแจ่มใสขึ้นมาปัจจุบันทันด่วน
ไม่จริง!
คนหล่อที่เพิ่งเข้ามาเอียงคอสงสัย
“หือ? เจ้าเป็นอะไร กรามค้างหรือ”
“อ้ากกกกกกกกก!!!!!!!!!!!!!!!!!!”++++++++++++++++++++++++++++++ DEMON LOVE ++++++++++++++++++++++++++++++++++
พระไวยฉุนเฉียวอย่างหนักในรอบสามเดือนที่เขารักษาศีลห้า ถึงกับต้องลงทุนดึงทึ้งหัวตัวเองอย่างอดรนทนไม่ได้
นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรในชีวิตห่วยแตกของเขาอีกละโว้ยยยยยย!!!!!!
หยุดทำร้ายทรงผมตัวเองได้ พระไวยก็กลับไปจ้องกระจกเงาบานใหญ่ที่ติดอยู่ตรงบานประตูตู้เสื้อผ้าเขม็ง
ไม่ใช่ว่าเขาหล่อน้อยลง เพราะความหล่อมันสวนทางกับหน้าเขาอยู่แล้วราวกับถนนสองเลนที่รถวิ่งสวนกัน
แต่สิ่งที่ทำให้เขาต้องมองคนในกระจกราวกับไม่เคยเห็นมากก่อน คือรอยสีดำเหนือช่วงอกภายใต้เสื้อยืดที่คล้ายรอยสัก ปรากฏอยู่จนทั่ว และท่าทางว่าจะลามไปยังแผ่นหลัง
พระไวยไม่ใช่พวกบ้าศักดิ์ศรีนะเว้ย! จะได้ไปร้านสักแล้วบอกให้ช่างมันสักให้ทั่วอย่างนี้!
โอ้ยยย!!!! ใครก็ได้ช่วยพระไวยที!!!!!
“เจ้าเป็นอะไรหรือ เจ็บตรงไหนรึเปล่า จะให้ข้าช่วยเจ้าตรงไหน” หนุ่มหล่อชวนฝันราวเทพบุตรรีบถลาเข้ามาหาพระไวยที่เริ่มทึ้งหัวตัวเองอีกครั้ง
พระไวยหันขวับ ตวัดสายตามองอีกฝ่ายอย่างเอาเรื่องสุดชีวิต “อยากช่วย?... ได้สิ! ได้! แกมาเอาไอ้รอยบ้าๆนี่ออกไปจากตัวฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ!”
หมดกันแล้วศีลห้งศีลห้า!
คนหล่อดูอึ้งกับปฏิกิริยาตอบโต้ของพระไวยไปนิด เหลือบตาลงมองรอยสีดำแปลกตาบนแผ่นอกอีกฝ่ายเล็กน้อย ก่อนจะส่งยิ้มละลายใจไปให้ “ข้าทำไม่ได้หรอก มันมีขึ้นมาเพราะเจ้าสัมผัสตัวข้า ข้าก็ไม่รู้จะทำยังไงให้มันหา... โอ้ย!!!!”
หนุ่มหล่อปริศนาลงไปกองกับพื้นเพราะเข่าเน้นๆของพระไวย เรียกว่า ถึงของเดิมจะเป็นตัวประหลาดอะไรก็เหอะนะ พออยู่ในสภาพมนุษย์เดินดิน จุดอ่อนของผู้ชายมันก็เหมือนกันหมดนั่นแหละ
พระไวยไม่ได้สนใจเล้ยว่า ‘ไอ้นั่น’ ของพ่อคุณเทพบุตรจะยังใช้งานต่อได้อยู่หรือไม่...
ช่างแม่งสิ! ใช้ไม่ได้เลยก็ดี! จะได้ไม่เป็นภาระของลูกหลาน!
พระไวยขยี้หัวตัวเอง ก่อนถอนหายใจออกมาแรงๆห้วนๆอย่างระงับอารมณ์ไม่อยู่ สายตาก็เหลือบเหล่ไปทางคนที่นอนตัวงออยู่กับพื้นไม้กระดาน...
อย่าหวังว่าพระไวยจะสงสาร!
“ฮึ๋ย!!!” พระไวยครางออกมาด้วยความหงุดหงิด
เขาไม่เข้าใจตัวเอง เขาไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจเอามากๆ
ที่ไม่เข้าใจ เพราะพระไวยไม่รู้เลยว่าจะหงุดหงิดทำไม
ที่เขาควรจะทำ คือทำยังไงก็ได้ให้ไอ้เจ้าตัวประหลาดนี่ออกไปไกลๆอย่างด่วน ก่อนที่พี่ๆของเขาจะกลับบ้าน
และก่อนที่ศีลเขาจะขาดมากไปกว่านี้
แต่ปัญหา คือพอเขาไล่เจ้าตัวประหลาดนี่ไปแล้ว มันจะไปอยู่ที่ไหน? จะไปก่อนความเดือดร้อนให้ใครหรือเปล่า?
พระไวยเป็นคนคิดมาก และเขาก็กังวลใจว่า เพราะเรื่องนี้ของตน อาจก่อความเสียหายกับผู้อื่นได้
อย่างน้อยๆพระไวยก็เป็นคนดีล่ะน่า
สาบานให้พี่ถีบยอดอกเลยว่า เขาไม่ได้ห่วงเจ้าตัวแปลกปลอมนี่จนนิดเดียว
จริงๆนะ แม้เขาจะไม่ค่อยอยากถูกถีบเท่าไหร่ก็เหอะ
“นายอยู่ที่นี่ไม่ได้” จู่ๆพระไวยก็โพล่งออกมาต่อหน้าเจ้าตัวประหลาดรูปหล่อ
คนงามราวกับอิเหนาแปลงนั่งอยู่กับพื้นไม้กระดานอย่างเรียบร้อย สีหน้าเปลี่ยนไปทันทีที่ประโยคนั้นของพระไวยจบลง
“เจ้าหมายความว่ายังไง” คนหล่อถาม “ข้าต้องอยู่กับเจ้าสิ นั่นแน่นอนอยู่แล้ว”
พระไวยส่ายหน้า เจ้าตัวยังคงเดินไปเดินมาด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์
“ไม่ๆ” พระไวยบอกหน้าเคร่ง “นายอยู่ที่นี่ไม่ได้ ฉันให้นายอยู่ไม่ได้”
“เพราะอะไร” คำถามที่ชัดเจนที่สุดส่งออกจากปากตัวประหลาด
พระไวยได้แต่กุมขมับ
เขาจะอธิบายให้มันฟังได้ยังไงว่าเขาไม่มีปัญญาจะรับเลี้ยงตัวประหลาดหน้าหล่อหลงทางไว้ในบ้าน
แค่เรื่องของพี่ชายและพี่สาวก็มากพอแล้ว ไหนจะตัวเขาเองที่เขาต้องรับผิดชอบอีก
พี่ๆได้เล่นเขาเละแน่ ทุกวันนี้หน้าพระไวยก็ยับจนไม่รู้จะยับไปไหนแล้ว
“เพราะ..” พระไวยว้าวุ่น “เพราะนายไม่ใช่มนุษย์!” พระไวยตะโกนออกไปทั้งๆที่หันหลังให้มัน
ที่เขาคิดออก คือเท่านี้จริงๆ
“นายไม่ใช่มนุษย์! เป็นแค่ตัวประหลาดที่แม้แต่พวกผียังไม่เอา! การที่ฉันไปเจอนาย! แล้วสลบ! แล้วนายก็พาฉันมาส่งบ้าน! ไม่ได้หมายความว่าฉันจะต้องรับผิดชอบดูแลนาย!”
พระไวยไม่ได้หันกลับไปมอง เขายืนอยู่ตรงขอบหน้าต่างด้วยความเครียด
ไม่ใช่ว่าใจดำ อยากจะไล่หมอนี่ไปไกลๆ แต่ลำพังตัวเขาเอง ปัญหาก็ตามมาแทบไม่มีที่สิ้นสุดแล้ว
กลางวันเขาต้องไปเรียน ตอนดึกต้องไปทำงานพิเศษ ไหนจะดูแลบ้านให้พี่ๆอีก แล้วเขาจะเอาเวลาที่ไปดูแลเจ้าตัวประหลาดนี่กัน
เป็นความรู้สึกเหมือนเจอสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ
พระไวยแค่ไม่ชอบ แต่ไม่ได้รังเกียจ เขาแค่ไม่อยากให้มันอยู่ที่นี่ แต่ทำถึงขนาดขับไล่ไสส่งออกไปให้เผชิญชะตากรรมเองก็ทำไม่ได้
มันลำบากใจ เพราะความสามารถพิเศษที่เขามี มันต้องเอาใช้ช่วยเหลือคนอื่น
แต่การผลักไอ้ตัวประหลาดนี่ออกไปจากชีวิต ก็เหมือนฆ่ามันทั้งเป็นทางอ้อม
พระไวยจนใจ ไม่รู้จะทำยังไงจริงๆ
“เจ้าคิดดีแล้วหรือที่จะให้ข้าไป” เสียงของมันดังขึ้นจากข้างหลัง
พระไวยหันกลับไป เจ้าตัวสงบสติอารมณ์ ก่อนจะกลั้นใจตอบโดยไม่ยอมสบสายตาสีดำสนิทนั่น
กลัว... ว่าจะพ่ายแพ้ต่อคำวิงวอนที่ส่งมาให้ผ่านดวงตา
“ฉันคิดดีแล้ว นายอยู่ที่นี่ไม่ได้”
เจ้าตัวประหลาดพยักหน้ารับ “เช่นนั้น...” เสียงเจ้านั่นคล้ายรำพึง “หากข้ายืนยันจะอยู่ที่นี่ล่ะ ข้าจะต้องทำยังไง”
พระไวยเลิกคิ้วขึ้น
หมายความว่าเจ้านี่จะอยู่กับเขาให้ได้เลยงั้นสิ?
“นายอยากอยู่กับฉันมากนักหรือไง” พระไวยอดถามออกไปไม่ได้ “ถ้างั้นก็ไปบอกพี่ๆฉันเอาสิ แต่ฉันบอกแล้ว ว่าฉันกับนายไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกัน เราไม่มีอะไรผูกมัดต่อกัน... ดังนั้..”
“เจ้าผิดแล้ว” เจ้าตัวประหลาดพูดขัดออกมาเสียงนิ่ง “ที่ข้ายืนยันจะอยู่ที่นี่ เพราะการที่ข้าอยู่ใกล้ๆเจ้า มันจะเป็นผลดีกับตัวเจ้าเอง”
พระไวยอึ้งไป “หมายความว่ายังไง”
คนงามราวเทพบุตรค่อยลุกขึ้นจากพื้นไม้กระดานของบ้านทรงกลม เดินเข้าไปหาพระไวยแล้วพิงอยู่ข้างหน้าต่างเดียวกัน
รอยยิ้มที่แฝงด้วยความหมายแปลกๆเรียกให้เซนส์บางอย่างของพระไวยทำงาน
“ที่บอกว่าดีกับตัวฉันเอง นายหมายความว่ายังไง” พระไวยถามกลับ
คนหล่อมองออกไปนอกหน้าต่างบานใหญ่
“ข้าไม่ใช่สิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์เดียวกับเจ้า และ ยิ่งไม่ใช่พลังงานแบบที่ที่เจ้าไปเจอข้า... เจ้าเรียกว่าอะไรนะ ผี? ใช่มั้ย” ท้ายคำพูด เขาหันมาหาพระไวย
คนฟังพยักหน้า “แล้วยังไง นั่นฉันก็รู้ ฉันถึงได้เรียกนายว่าตัวประหลาดอยู่นี่ไงล่ะ”
มนุษย์แปลงถึงกับหัวเราะ “อย่างนั้นหรอกหรือ เจ้าเรียกข้าด้วยชื่อที่น่าสนใจทีเดียว”
พระไวยหน้ายู่ “ทำอย่างกับว่าฉันจะเรียกนายเป็นอย่างอื่นได้” เขาพึมพำ “หรือจะให้ตั้งชื่อให้ล่ะ”
อีกฝ่ายส่ายหน้าช้าๆ รอยยิ้มยังคงกระจ่างสดใส “ข้าก็มีชื่อนะเจ้า” คนหล่อบอก “ข้าชื่อชีวา”
“ชีวา?” พระไวยทวน “ที่หมายถึง... ชีวิตน่ะหรือ”
เจ้าของชื่อก้มหน้ารับ “ส่วนเจ้า... ก็... พระไวย”
คนฟังหน้าแดงเล็กน้อย อดชะงักไปกับสำเนียงทุ้มต่ำนุ่มนวลน่าฟังยามออกเสียงเรียกชื่อตนไม่ได้ “เรียกไวยเฉยๆก็ได้” พระไวยอ้อมแอ้มบอก “อย่างนั้นมันเต็มยศไป”
ชีวาไม่ได้ว่าอะไร เขาเพียงหันหน้าออกไปนอกหน้าต่างเช่นเดิม
“ข้ามาจากโลกอื่นที่ต่างออกไป” ชีวาบอกช้าๆ สายตายังทอดไปไกลในอากาศ “นานมาแล้ว...เผ่าพันธุ์บางส่วนของข้าเดินทางจากบ้านเกิดในโลกใบนั้น มาสู่มิติกาลเวลาใหม่ในโลกของเจ้า... กลุ่มแรกที่มาถึงนั้น เป็นพวกที่มีพลังสูง พวกเขาแปลงกาย ใช้ชีวิตกลมกลืนอยู่กับมนุษย์ รอคอยให้เวลาผ่านไปช้าๆ แล้วจึงค่อยๆออกตามหาสิ่งที่ตนต้องการ”
พระไวยนิ่งฟังด้วยความอึ้งปนทึ่ง เขายอมรับว่าตัวเองแปลกใจ ตกใจ แต่ว่า ประสบการณ์ตั้งแต่เกิดจนโตกับพวกสิ่งเหนือธรรมชาติ เว่อกว่าชีวิตปกติที่คนอื่นพึงมี ทำให้ความตกใจนั้นเปลี่ยนเป็นความใคร่รู้มากกว่าจะนึกกลัว “เดี๋ยวนะ” เขาขัดขึ้น “แล้วมนุษย์พวกนั้น ไม่รู้สึกถึงความแตกต่างบ้างหรือไง”
ชีวายิ้มรับ “งั้นข้าถามเจ้า หากว่าเจ้า ไม่ได้เป็นเจ้าในแบบนี้ หากเจ้าที่เป็นคนปกติมาเจอข้า เจ้าจะรู้สึกอย่างไร”
คนฟังขมวดคิ้ว ก่อนจะมองอีกฝ่ายอย่างเต็มๆตาอีกครั้ง
สิ่งที่พระไวยได้พบจากลักษณะทางกายภาพของชีวา ขจัดข้อสงสัยออกจนหมด...
เพราะไม่มีส่วนไหนของร่างกายชีวาที่จะแปลกไปกว่าคนปกติได้เลย
แม้กระทั่งรอยสีน้ำเงินนั่น สำหรับสายตาคนอื่น ก็คงจะเป็นรอยสักธรรมดา ไม่ได้มองเห็นว่ามันเรืองแสงได้เหมือนสายตาพระไวย
“ฉันคงจะรู้สึกว่า...” พระไวยขมุบขมิบตอบ “นายอาจจะเป็นเด็กเฮ้วๆฮาร์ดคอร์คนหนึ่ง อะไรทำนองนั้น”
ชีวาหัวเราะ “เห็นไหม พวกข้าก็ไม่ต่างไปจากมนุษย์หรอกยามอยู่ในร่างแปลง” เขาว่า “ยิ่งที่พวกที่มีพลังสูงมากๆ ร่างแปลงก็จะยิ่งงดงามขึ้นและเป็นมนุษย์มากขึ้น ความคิดความอ่านของเราจะถูกนำมาใช้อย่างเต็มรูปแบบ เราแทบจะไม่มีอะไรต่างกับมนุษย์ธรรมดา เพื่อให้การดำรงอยู่ของเรายังเป็นความลับ”
พระไวยเดินไปนั่งลงบนฟูกตนเอง “แล้วยังไงต่อ”
เมื่อไหร่มันจะเข้าสู่เรื่องที่เกี่ยวกับตัวเขาเสียทีวะ
ชีวาเหมือนจะรู้ใจ จึงเอ่ยปากเล่าต่อ “การที่พวกเรามาที่นี่ เพราะเรามีปัญหาอย่างหนึ่ง เผ่าพันธุ์ของข้ามาตามหาสิ่งที่เรียกว่า ‘โซ่พันธนาการ’ หรืออีกนัยหนึ่งที่พวกนั้นเรียก ‘ดวงจิตศักดิ์สิทธิ์’ ”
“มันคืออะไร?” พระไวยถาม
“ในยุคนั้น...” ชีวาเปรย “พวกเราก็ยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร พวกกลุ่มแรกที่มาตามหา ก็มาเพียงเพราะคัมภีร์โบราณเล่มหนึ่งซึ่งบรรพชนของเราชี้บอกเอาไว้ว่ามันเป็นสิ่งวิเศษเท่านั้น ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเดาได้ แม้กระทั่งมหาปราชญ์แห่งราชสำนักองค์ราชา ก็ยังหาคำตอบที่มีความเป็นไปได้ให้ไม่ได้”
พระไวยผิวปากหวือ “มีราชสำนักด้วยหรือนี่...” เขารำพึงเบาๆ
คนหล่อไม่ต่อความกับประโยคคล้ายการล้อเลียนนั้น “แต่ต่อมา พวกกลุ่มแรกที่อาศัยอยู่ร่วมกับมนุษย์ ก็สามารถสัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่าง... ที่มีอยู่อย่างบางเบา ทว่าค่อยๆเด่นชัดขึ้นเมื่อพวกเขาอยู่กลุ่มกลืนกับมนุษย์นานๆไป” ชีวากล่าว “พวกหนึ่งในกลุ่มนั้นออกตามหาพลังงานที่ว่านั่นอย่างเงียบเชียบที่สุด เขาเดินทางไปในชนบทแห่งหนึ่งที่เงียบสงบ ใกล้ๆกับที่ที่เขาอยู่อาศัย เขาใช้เวลาเดินทางไปที่นั่นกว่าหลายวัน จนกระทั่งล้มลงที่หน้าบ้านหลังหนึ่งเพราะความอ่อนล้า เนื่องจากการขาดแคลนแหล่งอาหาร เขาสลบไปกว่าสามวัน ก่อนจะตื่นขึ้นมาเพื่อพบกับเรื่องประหลาดที่สุดที่ไม่เคยเจอ
“ที่บ้านหลังนั้น... เขาลืมตาตื่นขึ้นมาเพื่อจะพบหญิงสาวคนหนึ่ง ที่คอยเฝ้าไข้พยาบาลเขาอยู่ข้างเตียง แต่สิ่งที่ทำให้เขาตื่นตกใจ คือผู้หญิงคนนั้น นางเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงานบางอย่างที่เขาตามหา... มันเข้มข้นจนแทบจะกลายเป็นรังสีรอบตัวนาง และเมื่อเขามองมาที่ตนเอง เขาก็พบว่า เขากลับเข้าสูร่างแปลงมนุษย์แล้ว ทั้งๆตอนที่เขาหมดสตินั้น เขาจำได้ว่า ร่างกายมันทนไม่ไหวจนต้องปรับสภาพให้อยู่ในร่างจริง... ที่สำคัญ... รอบตัวเขา มันปรากฏสายโซ่สีดำสนิทร้อยรัดเขาเอาไว้ทั่วทั้งตัว”
คนฟังอย่างพระไวยมีสีหน้าสงสัยชัด ราวกับเด็กน้อยที่กำลังฟังนิทานและอินไปกับมัน “เร็วๆสิ” พระไวยเอ่ยเบาๆ
ชีวาเล่าต่อด้วยน้ำเสียงทุ้มสบาย “ไม่นานนัก เมื่อเขาควบคุมพลังของตนเองให้สงบลงได้ สายโซ่นั่นก็จางหายไป พร้อมกับที่หญิงสาวคนนั้นตื่นพอดี”
“นางรีบกุลีกุจอหาข้าวหาน้ำมาให้เขา และแม้เขาจะยืนยันว่าไม่เป็นอะไรมาก นางก็ออกอาการเป็นห่วงอย่างเห็นได้ชัด ทว่า เขาก็สัมผัสได้ถึงความหวาดหวั่นบางอย่างในดวงตายามที่นางเผลอ ท้ายที่สุด เมื่อเขาหายดีพอที่จะกลับบ้านได้ นางก็เริ่มเปิดปากถาม...
“คนในเผ่าพันธุ์ข้าตนนั้นตอบคำถามของนางด้วยใจที่เต้นแทบไม่เป็นจังหวะ เขากลัวเหลือเกินว่าหากนางรังเกียจตนแล้ว เขาอาจจะต้องใช้วิธีที่เลวร้ายเพื่อเข้าใกล้และค้นหาความจริงจากนางก็เป็นได้ แต่กระนั้น หญิงสาวมนุษย์กลับฟังเรื่องของเขาอย่างตั้งใจ และไม่มีท่าทีหวาดกลัวเมื่อรู้ว่าเขาเป็น‘อะไร’ ที่โชคดีกว่านั้นก็คือ นางยอมให้ความร่วมมือในการค้นหาความจริงเกี่ยวกับพลังงานรอบตัวนาง”
สายตาคนเล่ายังทอดยาวออกไปไกล ราวกับเจ้าตัวเป็นชายคนนั้นในอดีตอันแสนเนิ่นนาน
“ไม่นานนัก เผ่าพันธุ์ข้าตนนั้นก็พบว่า ที่แท้แล้ว... พลังงานรอบตัวนางนั้น เป็นพลังงานในการควบคุมสิ่งมีชีวิตเช่นพวกข้า และโซ่ที่ปรากฏขึ้นก็คือหลักฐานแห่งการเป็น ‘โซ่พันธนาการ’ คำตอบจากการตามหามันในคัมภีร์โบราณ ก็คือ... มนุษย์”
พระไวยอ้าปากค้าง ก่อนส่งเสียงละล่ำละลัก “มะ!.. มนุษย์หรอ!”
ชีวาพยักหน้ารับ “ก็ประมาณนั้น...” เขาตอบเสียงนุ่ม “มนุษย์เช่นพวกเจ้าเป็นผู้ครอบครองพลังที่ใช้ควบคุมพวกข้า และโซ่พันธนาการที่ว่า ก็คือมนุษย์ เช่น... ตัวเจ้าเองเป็นต้น”
“เดี๋ยวนะ!” พระไวยรีบลุกทันทีราวกับโดนของร้อน “มนุษย์อย่างเช่นฉันมันยังไง”
ชีวาส่ายหน้าเอือมๆ “เจ้าเป็นคนพิเศษ พระไวย...” เจ้าตัวกล่าวราบเรียบ ราวกับเรื่องที่พูดกันอยู่นี่เป็นเรื่องลมฟ้าอากาศ หรือของกิน “สายตาของเจ้า พิเศษกว่ามนุษย์ทั่วไป มิเช่นนั้น เจ้าจะเห็นร่างจริงของข้าได้อย่างไรเมื่อตอนเย็น ทั้งๆที่ข้ากำลังล่องหนอยู่”
คนฟังชะงัก “อะไรนะ! เมื่อตอนที่ฉันเจอนาย นั่น! นั่นนายกำลังล่องหนอยู่หรอ!? เป็นไปได้ไง? ก็ฉันเห็นอยู่จะจะว่านายกำลังหลับ แถมยังปล่อยรังสีบ้าบอออกมาจนแสบตาอีกต่างหาก!” พระไวยเถียง
“นั่นแหละ” ชีวาว่า “นั่นคือหลักฐานยืนยันชั้นดีเลยว่าดวงตาของเจ้าเป็นสิ่งวิเศษยิ่งกว่าใคร... เพราะตามปกติแล้ว แม้มนุษย์บางคนที่พิเศษคล้ายๆกับเจ้า จะได้มองเห็นข้าในสภาพนั้น ทว่าเมื่อพบรัศมีของข้าเข้าไป พวกเขาก็จะตาบอดชั่วขณะ ไม่สามารถมองเห็นอะไรได้อีก... แต่เจ้าไม่ใช่ เพราะแม้จนตอนนี้ ดวงตาของเจ้าก็ยังปกติ”
พระไวยยกมือตะปบตาตัวเองทันที เขาหลับตา แล้วลืมตามองอีกฝ่ายใหม่
ก็ไม่เห็นจะเปลี่ยนไป... พระไวยนึก ชักสงสัยว่าตาทิพย์ของตนมันยังใช้การได้รึเปล่า
ราวกับมีมนต์อ่านใจ เพราะชีวาขยับจากขอบหน้าต่าง เดินเข้ามาใกล้ แล้วจับมือของพระไวยออก
“ตาของเจ้ายังปกติ ข้ายืนยันข้อนั้นให้เจ้าได้” คนหล่อราวเทพนิรมิตว่า “นอกจากดวงตาแล้ว พลังในการควบคุมจิตวิญญาณของเจ้ายังสูงส่งจนน่าใจหาย ข้ารับรู้ได้ทันทีที่เจ้าสัมผัสกายข้า...”
พระไวยเคลื่อนตัวเองออกห่างเล็กน้อย นึกโกรธหัวใจตนเองที่ดันเต้นระรัวไปกับฝ่ามืออุ่นๆนั้นเสียได้ “แล้วยังไง นี่นายกำลังจะบอกอะไรฉัน” พระไวยท้วง “ตกลงว่าเพราะอะไรนายถึงไปจากฉันไม่ได้กัน”
ชีวายิ้มอบอุ่น เขาดึงชายกางเกงขึ้น ก่อนจะลงไปนั่งเรียบร้อยกับพื้นกระดาน “นับจากวินาทีที่คนมีพลังเช่นเจ้าสัมผัสกายข้า เราสองถือเป็นคู่พันธะสัญญาต่อกัน”
คนฟังยิ่งขมวดคิ้ว “สัญญาอะไร? ฉันไปตกลงแลกเปลี่ยนอะไรกับนายตอนไหน”
“ก็ตอนที่เจ้าแตะตัวข้า” คนหล่อตอบเสียงน่าฟัง “เมื่อโซ่พันธนาการสัมผัสคู่พันธะสัญญา จะเกิดการแลกเปลี่ยนทางจิตวิญญาณขึ้นระหว่างกัน... อืม... พวกเจ้าจะเรียกมันว่าหัวใจก็ได้ สำหรับเผ่าพันธุ์ข้า จิตวิญญาณเป็นแหล่งกำเนิดพลังชีวิต มันเป็นพลังงานที่ไม่มีวันเต็ม และจะยิ่งเพิ่มขึ้นตามกาลเวลาที่ผ่านไป ทันทีที่เจ้าสัมผัสข้า โซ่พันธนาการจะเข้าผูกพันตัวข้า... ก็เหมือนในเรื่องที่ข้าเล่าให้เจ้าฟัง มันเป็นสายโซ่สีดำที่รัดทั้งกาย เมื่อข้าควบคุมตนเองให้อยู่ในสภาวะสมดุลได้ โซ่นั่นก็จะหายไป ส่วนหัวใจของข้าก็จะถูกส่งไปที่ร่างของเจ้า ความรู้สึกที่เจ็บๆร้อนๆนั่นแหละคือช่วงถ่ายจิตวิญญาณ”
พระไวยอ้าปากค้าง ตาเบิกกว้างด้วยความตระหนก เขารีบยกมือกอดตนเองแน่นด้วยความรู้สึกแปลกๆและหวาดกลัวขึ้นมาเสียเฉยๆ หลังจากรู้ว่าภายในร่างกายมีสิ่งแปลกปลอมที่ไม่เต็มใจจะรับอาศัยอยู่
ชีวาหัวเราะกังวาน “อย่ากลัวไปเลย มันไม่มีอะไรหรอก เจ้าจะคิดว่ามันเป็นเหมือนพลังในภาพยนตร์ก็ได้” เขาว่า “การที่ข้าฝากมันไว้กับเจ้า ก็เพื่อปกป้องตนเองในยามที่ต้องต่อสู้ก็เท่านั้น บางครั้งเวลาข้าเปลี่ยนไปใช้ร่างต้น หรือร่างรวม ข้าก็แค่ดึงพลังออกมาใช้เฉยๆ ส่วนเจ้าก็อยู่นิ่งๆ หลบให้ปลอดภัยก็พอ”
“อย่างนั้น.... ถ้าฉันเป็นอะไรไป นายจะเป็นยังไง!” พระไวยถามหน้าตาตื่น
“ข้าก็ตายไง” ชีวาตอบด้วยสีหน้านิ่งๆ “แหล่งกำเนิดชีวิตถูกทำลาย ข้าก็ตายเหมือนๆพวกเจ้านั่นแหละ”
พระไวยเริ่มกระบวนการดึงทึ้งหัวตัวเองและถอนหายใจอีกรอบ
“โอยยยย จะบ้าตาย! นี่นายมาทำอะไรกับตัวฉันละวะเนี่ย! อย่างนี้ถ้าใครจะฆ่านาย ฉันก็ถูกหมายหัวน่ะเซ่!”
“ใช่เลย” ชีวาว่ายิ้มๆ “นั่นแหละเป็นเหตุผลที่ข้าต้องอยู่ใกล้ๆเจ้า ไม่อย่างนั้นใครจะปกป้องเจ้ากันล่ะ”
พระไวยเดินกลับไปกลับมา ท่าทางคิดไม่ตก ก่อนที่เจ้าตัวจะนึกอะไรขึ้นได้
“ไม่สิ! นายควรจะอยู่ห่างๆฉันมากกว่า ถ้าไม่มีใครรู้ว่าฉันกับนายเป็นอะไรกัน แค่นี้ฉันก็ไม่ตายแล้ว!” พระไวยท่าทางดีอกดีใจ “งั้นไปเลย! นายรีบไปหาที่อยู่ใหม่ให้ไกลๆฉันได้เลย!”
“ข้าทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก” ชีวาขำขัน “ข้าอยู่ห่างแหล่งกำเนิดพลังของตนเองได้ไม่ไกลนัก อย่างมากที่สุดก็แค่สิบกิโลเมตรเท่านั้นเอง แต่แค่นั้นข้าก็แทบจะหมดแรงแล้ว ถ้าหากข้าตายขึ้นมา เจ้าก็จะตายตามไปด้วยนะ เพราะจิตวิญญาณของข้าอยู่ในร่างเจ้า มันจะถูกหลอมรวมให้เป็นหนึ่งเดียวกับเจ้า”
“ห้ะ! อะไรนะ!” พระไวยแทบจะร้องว้าก ปากอ้ากว้างจนแมลงจะมุดเข้าไปได้ทีละร้อยตัว “ไม่ตลกนะเฮ้ย! นายตายแล้วทำไมฉันต้องตายด้วยเล่า! ฉันไม่ได้เต็มใจจะเอาจิตวิญญาณบ้าๆของนายมาเก็บไว้เสียหน่อย!”
ชีวาไหวไหล่ “เจ้าเป็นโซ่พันธนาการของข้า พันธะสัญญาที่เราทำร่วมกันมันบังคับให้เจ้าต้องมีข้าอยู่ด้วยตลอดเวลา ใช่ว่าข้าตั้งใจเสียเมื่อไหร่ เจ้าเป็นคนเดินเข้ามาหาข้าถึงในป่าเองนะ”
พระไวยหน้าแดงก่ำ ไม่แน่ใจว่าเพราะโกรธหรือเพราะอาย “งั้นนายก็รีบยกเลิกสัญญาบ้าๆนั่นเสียสิ!”
“ข้าทำไม่ได้” อีกฝ่ายรีบบอกหน้าตาย “เงื่อนไขการยกเลิกคือ จะยกเลิกได้ก็ต่อเมื่อผลประโยชน์จากการทำพันธะนั้นยังไม่เกิดขึ้น หรือเมื่อทั้งสองฝ่ายไม่อยู่ในสภาวะที่จะรับผลประโยชน์ ก็คือตาย การยกเลิกพันธะต้องเป็นไปในทั้งสองทิศทาง ซึ่งประโยชน์จากการทำสัญญาของเราได้เกิดขึ้นแล้ว และข้าก็เป็นผู้รับประโยชน์ในส่วนของข้าแล้ว เพราะฉะนั้น สัญญานี้ยกเลิกไม่ได้ จนกว่าเจ้ากับข้าจะตายไปพร้อมกัน”
พระไวยฟังแล้วเกิดอาการอยากหน้ามืดเป็นลมเสียเดี๋ยวนั้น ถึงขนาดเข่าอ่อน ทรุดลงกับพื้นกระดาน
เกิดมาเห็นผียังไม่พอ ยังต้องมีปีศาจตัวประหลาดตามติดยิ่งกว่าผีอีก
แม่เจ้า! ชีวิตพระไวยมันอะไรกันวะเนี่ย! คนหล่อไม่เข้าใจโว้ยยยยยย!
ชีวามองหน้าโซ่พันธนาการของตนเองแล้วก็ทั้งขำทั้งสงสาร
“เอาน่าพระไวย... ก็ไม่ใช่ว่ามันจะไม่มีเรื่องดีเสียหน่อย ข้ารับรองว่าประโยชน์ที่เจ้าจะได้จากข้ามันคุ้มจนเจ้าจะลืมเรื่องตายไม่ตายไปได้เลยล่ะ”
อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นจากหัวเข่าตนเองด้วยท่าทางหมดอาลัยตายอยาก “นายพูดถึงเรื่องอะไร”
ชีวาได้แต่ยิ้ม ทว่าเขาไม่เอ่ยปากบอก
เรื่องนั้น... ไว้รอให้พระไวยเข้าใจเองจะดีกว่า
เสียงเบาๆจากการเปิดประตูบ้านดังเข้าหูของพ่อเทพบุตร ชีวารีบลุกขึ้นยืนแล้วมองออกไปทางหน้าต่าง
“ข้าว่าตอนนี้เจ้ารีบลุกขึ้นมาก่อนจะดีกว่า อย่าเพิ่งไปสนใจเรื่องตายหรือไม่ตายเลย” คนหล่อบอก “พี่ของเจ้ากลับมากันแล้ว”
พระไวยสะดุ้งขึ้นราวกับโดนของร้อนจี้ตูด เจ้าตัวรีบเดินไปชะโงกหน้าทางหน้าต่างทันที
แล้วพ่อหนุ่มตาทิพย์เห็นผีก็ต้องกลืนน้ำลายก่อนทำหน้าลำบากใจ
คนสองคนที่กำลังเดินเข้ามาในเขตบ้านเขานั้นคือพี่ๆทั้งสองของพระไวยจริงๆ
เฮ้อ...
คนหล่อเห็นผีขยับไปพิงฝาผนังแบบเหนื่อยใจ สรุปวันนี้มันเป็นวันอะไรของเขากันวะ มีแต่เรื่องไม่หยุดหย่อน ไหนยัยป้าหมอดูนั่นบอกว่ารักษาศีลแล้วจะดีไง?
พระไวยถอนหายใจ ก่อนจะเลือกเดินไปเปิดประตูห้องหลังได้ยินเสียงเรียกของพี่ๆ ไม่ลงไปก็ไม่ได้ เกิดพี่มาเห็นเขากับไอ้ปีศาจบ้าอยู่ด้วยกันแล้วจะยิ่งเข้าใจผิดเสียอีก
เอาวะ! ตายเป็นตายสิไอ้ไวย!
เรื่องความเป็นความตายยังไม่จบ กูต้องมารบกับพี่ตัวเองอีกแล้วหรอเนี่ย!!!!
TO BE CON...
_______________________________________________________________________________________________
หุหุ เรื่องนี้เขียนสนุกจริงๆ มีคำผิดตรงไหน ยังไง อยากแนะนำอะไร เต็มที่เลยนะคะ ขอบคุณมากๆค่ะ แล้วไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า
