CHAPTER 9 : วาจานั้น... สำคัญไฉน?ต่อไปคือรายการกรี๊ดสนั่น... โอเค งั้นขอพระไวยอยู่เงียบๆได้ไหม กรุณาหยุดทำร้ายร่างกายกระผมได้แล้วไอ้ซีอีโอ!
“อ้ากกก!!! ไอ้ไวย! มึงมีเพื่อนหล่อกระชากแมนขนาดนี้ทำไมไม่รีบบอกกู้วววววว~ ปล่อยให้กูแอ๊บแมนอยู่ได้ตั้งนานน่ะหา!”
ไม่ด่าพระไวยอย่างเดียว ไอ้คุณซีอีโอเอามือมาทุบหลังเขาอั้กๆๆ จนพระไวยแทบจะพ่นของเก่าที่เพิ่งกินไปเมื่อไม่กี่นาทีนี้ออกมาแบบปัจจุบันทันด่วน แต่ไม่ได้ๆ เขาต้องรีบอุดปากเอาไว้ อดทนต่อแรงทุบโคตรพ่อโคตรแม่ของซีอีโอให้มากที่สุด พระไวยเสียดายของอร่อยแพงๆที่ชีวาอุตส่าห์ซื้อมาให้ เขาไม่ได้มีโอกาสกินอะไรแบบนั้นบ่อยหรอกนะเว้ย!
“ไอ้... อุบ! ซี... อั้ก! อี... อุก!... โอ... โอ้ก!” พระไวยแทบพูดออกมาไม่เป็นคำ เพราะไอ้คุณซีอีโอยังไม่หยุดทุบหลังเขาเลย มือพระไวยพยายามจะดันคนข้างหลังออกไป เพราะรู้สึกถึงแรงเคลื่อนตัวในกระเพาะได้ชัดเจน ขืนปล่อยให้เพื่อนทุบหลังอั้กๆแบบนี้ต่อ มีหวังพระไวยขย้อนของเก่าออกหมดไส้หมดพุงแน่
แต่ไอ้คุณซีอีโอ กรุณาช่วยหยุดฟังคุณเพื่อนอย่างกระผมบ้างได้มั้ย!
“มึงนะมึง!” ซีอีโอถลึงตามองเพื่อน มือยังตบนั่นทุบนี่พระไวยไม่หยุด “จำไว้เลย! คราวหน้ามีสาวสวยที่ไหนในสต็อกกูจะไม่บอกมึงแน่!”
พระไวยหลบมืออีกฝ่ายพลันวัน อยากจะบอกเหลือเกินว่าที่ผ่านมาคุณมึงก็กินเรียบเองหมด ไม่เคยจะเหลือเผื่อแผ่มาให้พระไวยหรอก!
“หยุดนะเว้ย! ถ้ามึงทุบอีกรอบกูอ้วกใส่หน้ามึงแน่ไอ้โอ!” พระไวยตะโกนเสียงอย่างเหลืออด
ซีอีโอชะงักมือค้าง ก่อนจะเบือนหน้าไปมองชีวาที่จ้องพวกเขาสองคนอย่างอึ้งๆด้วยความเร็วแสง แล้วหลบกลับมาสงบเสงี่ยมชนิดที่เสือชีตาร์ยังอาย
โอเค... ที่หยุดนี่เพราะเห็นว่าไอ้หล่อมองอยู่ใช่มั้ยล่ะ ไม่ได้เป็นห่วงหรอกว่าพระไวยจะขย้อนของเก่ามาใส่หน้ามันน่ะ! ช่างเป็นเพื่อนที่น่ารักและห่วงใยเพื่อนอะไรเช่นนี้!
พระไวยหายใจเข้าลึกๆ พยายามกดอะไรต่อมิอะไรที่กินเมื่อเช้าให้กลับคืนสู่กระบวนการย่อย เขาเสียดายสิ่งที่กินมา ยุคนี้ข้าวยากหมากแพงจะตาย แล้วตังค์ในกระเป๋าก็มีไม่ถึงหกสิบเสียด้วย...
“ขอร้องเลยนะไอ้คุณโอ... กูเพิ่งกินข้าวเช้ามา ช่วยเก็บไอ้ท่าทางเขินอายทำลายล้างของมึงไปเสียทีเถอะ มึงเขินทีไรกูเจ็บตัวตลอด ไม่ถงไม่ถามสุขภาพกูซักคำ” พระไวยบ่นเหนื่อยๆ รู้สึกหน้ามืดวิงเวียนคล้ายจะเป็นลม
“มึง! ...เอ่อ... ก็... กู...” แล้วซีอีโอก็เอานิ้วชี้จิ้มๆกัน แต่พระไวยเห็นว่าหางตามันน่ะเหลือบมองไปที่ชีวาอย่างเดียวเลย
ช่วยสนใจกันบ้างก็ดีนะซีอีโอ...
“อะไร ก็อะไรของมึงหะ” พระไวยบ่น “แล้วเมื่อไหร่จะเลิกทำตัวเหมือนตุ๊ดสาวแตก กูรู้ว่ามึงแมน เลิกทำตาเล็กตาน้อยใส่เพื่อนกูได้แล้ว”
“อะไรวะเนี่ยมึง” ซีอีโอทำหน้างอ “กูบอกมึงตอนไหนว่ากูแมน?”
พระไวยหรี่ตา “อย่ามาตอแหลใส่กูไอ้สัด” เขาสบถด่าคำหยาบอย่างไม่สบอารมณ์ขึ้นมาเฉยๆ เมื่อเห็นว่าเพื่อนตัวดียังสะดีดสะดิ้งไม่หยุด แถมชีวายังจ้องมองซีอีโอแบบแปลกๆ “กูรำคาญว่ะ อย่าให้กูเห็นเชียวนะว่ามึงไปลัลล้ากับพี่นัท กูรู้ว่าเขาตามจีบมึงต้อยๆอยู่”
“สัด...” ซีอีโอกัดฟันพูด รู้สึกได้ถึงขนแขนของตนเองที่ลุกชันเมื่อพูดถึงรุ่นพี่คนนั้นที่ตนเพิ่งดิ้นหนีมาสำเร็จ “อย่าพูดถึงเขาสิวะ”
“หึ ทีอย่างนี้ล่ะทำเป็นกลัว” พระไวยเยาะเย้ยเพื่อนเล็กน้อย แล้วหันกลับไปสบตาคนหล่อกระชากแมนที่นั่งเงียบตั้งแต่เพื่อนตัวแสบของพระไวยโผล่มา
“นี่เพื่อนฉันเอง ชื่อซีอีโอ เรียกมันโอเฉยๆก็ได้ ตะกี้มันแกล้งนายน่ะ ขอโทษแทนมันด้วย” พระไวยบอก เขาล่ะกลัวจริงๆว่าชีวาจะแตกตื่นกับอาการสาวแตกของเพื่อนเขา อันที่จริงซีอีโอไม่ได้เป็นตุ๊ดตุ้งติ้งแบบที่แสดงออกไปหรอก มันแค่หมันไส้คนหล่อกว่าตัวเอง ก็เลยแสดงการต่อต้านด้วยวิธีแปลกๆก็เท่านั้น
แต่พระไวยก็งงอยู่... ว่านี่คือการต่อต้านแล้วหรอ?
“เอ่อ...” ชีวากลอกตาไปมาระหว่างเพื่อนรักทั้งสอง โดยเฉพาะซีอีโอที่กำลังลงมือแคะขี้มูก แล้วพยายามฉีกยิ้มเกร็งๆตื่นๆ “สวัสดี...”
ซีอีโอทำหน้าตาประหนึ่งว่าได้เห็นขาอ่อนเอ็มม่า วัตสัน
“โอ้!! เสียงหล่ออะไรอย่างนี้!”
พระไวยอยากตบเพื่อนให้แดดิ้นยิ่งนัก... รู้สึกว่าตนเองแทบจะมองหน้าชีวาไม่ได้
“พอทีไอ้โอ นี่ชีวาเพื่อนกู” เขาหันไปกระชากชายเสื้อเพื่อนหนุ่มไวไฟ “เงียบซะมึง” ท่อนท้ายเขาปรามเสียงหนักใกล้หู
ซีอีโอกลอกตาขึ้นข้างบน “ขัดขวางกูจริง” แล้วเบะปาก “หยอกนิดหยอกหน่อยก็ไม่ได้ กูเอ็นดูเพื่อนมึงหรอกน่า”
พระไวยส่ายหน้า ไม่ค่อยอยากเชื่อหรอกว่าซีอีโอหมายความตามนั้น ปกติไอ้นี่พูดอะไรเขาต้องคอยแปลไทยให้กลายเป็นภาษามนุษย์อีกรอบอยู่เสมอนั่นแหละ
“เอ่อ... เดี๋ยวนะ” จู่ๆชีวาที่นั่งเงียบมานานก็ส่งเสียงออกมาเบาๆ
ซีอีโอทำตาวิ้งๆเป็นประกาย ก่อนจะพยักหน้าขึ้นลงรัวๆจนพระไวยต้องจับหน้าเอาไว้ แต่เจ้าตัวก็ยังส่งเสียงอู้อี้ออกมาได้ “อ้า อัง ไอ”
ชีวาเลือกเมินซีอีโอไป แล้วสบตากับอีกคนหนึ่งที่น่าจะเป็นผู้เป็นคนมากกว่า
“สายมาเกือบยี่สิบนาทีแล้ว ไม่ขึ้นเรียนกันหรอ?”
เหมือนใครมากดปุ่มหยุดวีดีโอ เพราะสองหนุ่มเพื่อนซี้หยุดชะงักกันนิ่งราวกับโดนหยุดเวลา พระไวยเบิกตาค้าง ส่วนซีอีโอก็ทำจมูกบานเข้าบานออกแบบคนพยายามจะหายใจ
ชีวานั่งงง ใจจริงอยากจะเอานิ้วไปจิ้มๆดูอยู่เหมือนกันว่าสองคนนั้นทำไมจู่ๆก็แข็งค้าง แต่อีกใจเขาก็กลัวว่าอาจจะทำให้สองคนนั้นสลายไปกับอากาศ
แต่ก่อนที่ชีวาจะได้ทันตัดสินใจว่าจะจิ้มดีรึไม่ พระไวยกับซีอีโอก็มองหน้ากันพรึบด้วยความเร็วปานแสง แล้วจากนั้นก็กวาดทุกสิ่งทุกอย่างบนโต๊ะตะเกียกตะกายกันลนลานราวกับถูกน้ำร้อนลวก
ชีวามองตามงงๆ จะอ้าปากถามอะไรก็ไม่ทันเสียแล้ว เพราะสองคนนั้นโกยอ้าวไปก่อน
ชายหนุ่มส่ายหน้าเบาๆ พร้อมขมวดคิ้ว
มนุษย์นี่ก็แปลกจริง...
-DEMON LOVE CHAPTER 9-
บรรยากาศในห้องเรียนแปลกประหลาดพิกลสุดๆในสายตาพระไวย อันที่จริงเขาก็รู้สาเหตุอยู่แหละ ตัวการก็ไม่ใช่ใคร นอกจาก...
“นี่นายจะทำให้บรรยากาศในห้องมัน... เป็นแบบนี้ไปถึงไหน” ผมกระซิบใส่หูมัน
ชีวายักไหล่ “ก็... ข้าก็ไม่ได้ทำอะไรนี่”
ผมแทบจะซัดหน้าหล่อๆนั่นให้พัง ไม่ได้ทำอะไรกับผีน่ะสิ ตอนนี้สายตาทุกคู่ในห้องบรรยายขนาดกลางมองมาที่มันแค่คนเดียวจนหมด บางคนก็หันไปซุบซิบจับกลุ่มคุยกัน ชี้มือชี้ไม้ไปตามเรื่องจนผมอึดอัด
ผมเกลียดการตกเป็นเป้าสายตา โดยเฉพาะในทางไม่ดีแบบนี้
แต่ดูเหมือนเพื่อนสนิทที่นั่งข้างๆจะไม่เห็นด้วย
“มึงจะว่ามันทำไม” ซีอีโอพูดพลางเคี้ยวขนมหนุบหนับ เสียงล้วงถุงขนมของมันดังกรอบแกรบ “เกิดมาหล่อมันก็แย่หน่อยแบบนี้ล่ะเนอะชีวาเนอะ”
พระไวยตีไหล่เพื่อนรัก “เชิญมึงคนเดียวเหอะ” พระไวยบอกตาเขียว “ถ้ามันหล่อแล้วทำกูลำบากไปด้วยแบบนี้ล่ะก็ ไม่เอาหรอก กูยอมให้มันเป็นคนขี้เหร่เสียยังจะดีกว่า”
“อย่าเชียวนะมึง” ซีอีโอรีบขัดคอทันทีทันใด “เหลือคนหน้าตาดีให้เป็นไอดอลเป็นราศีแก่กูบ้าง กูจะได้มีกำลังใจทำหล่อต่อไป”
“อย่างมึงเนี่ยนะ” พระไวยทำหน้าแบบไม่เชื่ออย่างสุดขีด “พอเหอะ ขืนยังพูดเรื่องความหล่อของมึงต่อไป กูคงไม่มีใจจะเรียนแล้ววันนี้”
“เหอะ” ซีอีโอทำปากขมุบขมิบ ส่งสายตาอาฆาตให้เพื่อน ก่อนจะรื้อสายหูฟังขึ้นมาเสียบหู นั่งลอยละล่องในโลกเสียงเพลงโดยไม่สนใจเสียงใคร
“เจ้าว่าแย่จริงหรือ” ชีวาถามขึ้นเบาๆหลังจากเงียบเสียงไปนาน และอยู่ในอาการครุ่นคิด
“อะไร” พระไวยหันไปหา ขมวดคิ้วยุ่ง “พูดมาให้ครบๆก็ไม่ได้”
ชีวาถอนหายใจยาว สายตามองตรงไปยังหน้าห้อง “รูปลักษณ์ข้าเป็นแบบนี้ เจ้าว่ามันแย่จริงหรือ”
“ก็...” พระไวยกลอกตา “บ้าง”
คนฟังเหลือบตามอง “ยังไง”
“มันวุ่นวาย” พระไวยบอกพร้อมโบกมือไปมาในอากาศ “คนหน้าตาดีก็เหมือนขี้ มีแต่แมลงวันคอยบินตอม แล้วแมลงวันน่ะก็โคตรน่ารำคาญเลย”
“ขี้?” ชีวาดูอึ้งๆ “ขนาดนั้น?”
“ใช่สิ” พระไวยกอดอกพร้อมพยักหน้าขึงขัง “เชื่อเถอะ อีกไม่นานก็จะมีคนเข้ามารุมทึ้งนาย อย่างกับแมลงวันเลยล่ะ แล้วพอฉันต้องไปไหนมาไหนกับนาย ฉันก็โดนลูกหลงด้วยแน่ๆ ต้นเหตุก็มาจากหน้าตาของนายนั่นแหละ”
“แต่หากมีคนมาชื่นชม เจ้าคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ดีหรือยังไง”
“ไม่แน่นอน” พระไวยยืนยัน “ถ้าชื่นชมแบบกำลังดี มันก็โอเค แต่ฉันว่าแบบของนายนี่ ไม่เรียกว่ากำลังพอดีชัวร์ๆ”
“วันนี้พอแค่นี้ค่ะ เลิกคลาสได้” เสียงอาจารย์สาวใหญ่วัยสามสิบเกือบสี่สิบเปรียบเสมือนเสียงสวรรค์ของเหล่านักศึกษาอย่างแท้จริง หลายคนที่ฟุบไปกับโต๊ะตลอดคาบสะดุ้งตื่นขึ้นมาเหมือนโดนไฟช็อต น้ำหลายไหลย้อยเป็นคราบกันไปเป็นแถบ
“มึงไปกินซูชิหน้ามอกับกูไหม” ซีอีโอถามขึ้นระหว่างโกยบรรดาถุงขนม “เห็นว่าวันนี้ลด 50% วันสุดท้ายแล้ว”
“เหลือสองร้อยกว่าบาทเนี่ยนะมึงว่าลดแล้ว” พระไวยกลอกตา “ไม่ล่ะ กูไปกินข้าวโรงอาหารคณะดีกว่า”
“โหยยยย มึงงงง” ซีอีโอกรีดร้องพร้อมดิ้นกระแด่วๆ “กินข้าวกะกูหน่อยเหอะ วันนี้ไอ้แทนก็ไม่มาทั้งๆที่บอกกับกูดิบดีว่าจะเข้าคลาส กูอยากกินซูชิ มึงไปกับชีวาอย่างนี้แล้วกูจะกินข้าวกับครายยยยย”
พระไวยโบกเหม่งเพื่อนรักดังแผละ “ทำตัวเป็นเด็กไปได้นะมึงนี่”
“พระไวย” ชีวาเรียกคนข้างตัวพร้อมสะกิดเบาๆ
“หือ? ว่าไง” พระไวยหันมามองตอบ
ตัวประหลาดรูปหล่อหันหน้ามาหา แต่แอบชี้นิ้วไปด้านหลังตัวเอง “พวกนั้นเขามองอะไรกัน”
“หือ” พระไวยขมวดคิ้วอย่างสงสัยตาม แล้วชะโงกหน้าออกไปด้านข้างคนตัวโตเพื่อจะมองให้ถนัด จากนั้นก็ต้องเบิกตากว้างพร้อมร้องลั่น “ชิบหายแล้ว!”
ซีอีโอที่ยังก้มงุดๆเก็บซองขนมลงถุงขยะถามเสียงห้วน “เป็นอะไรอีกล่ะมึง”
“มึงดูนั่น” พระไวยกระชากตัวเพื่อนรักขึ้นมามอง แล้วชี้มือชี้ไม้ “หายนะมาเยือนกูแล้วไหมล่ะ”
สิ่งที่ตาของซีอีโอมองเห็นนั่นคือ ฝูงชนกลุ่มย่อมๆที่กำลังปีนบันไดห้องบรรยายขึ้นมาอย่างทุลักทุเล ทั้งเก้งกวางสาวน้อยสาวใหญ่ เสียงกรี๊ดกร๊าดดังไม่ขาดสาย บางคนถึงกับยอมกระแทกเพื่อนคนอื่นไม่ให้ล้ำหน้าไปก่อนตนก็มี
ซีอีโอคนหล่อ(ไม่มาก)หันมาสบตาเพื่อนรักแล้วกลืนน้ำลาย “หรือว่า..?” เจ้าตัวเหล่มองชีวา แล้วมองฝูงชน “คงไม่ใช่...?”
พระไวยไม่รอให้ซีอีโอถามจบ และไม่รอให้ชีวาหันกลับไปมองอะไรทั้งสิ้น เจ้าตัวคว้าแขนเพื่อนกับชีวาไว้คนละข้างแล้วรีบลากออกไปเดินลงบันอีกฝั่งหนึ่งทันที
“เดี๋ยวก่อนสิมึง!” ซีอีโอร้องเสียงหลง “โว้ววว ใจเย็นๆ เดี๋ยวกูหน้าแหกไม่หล่อมึงจะปั้มลูกที่ไหนไปคืนม้ากู!”
พระไวยยังคงกระชากลากถูกทั้งสองหน้าตั้ง พลางเหลือมมองฝูงคนคลั่ง(?)ที่ไล่ตามมาติดๆ “หรือมึงจะให้กูทิ้งไว้ตรงนี้!”
“บ้าหรอ!” ซีอีโอแอบหันมองเพื่อนๆผู้คลั่งไคล้คนหล่อ(?) “กูยังไม่อยากโดนทึ้ง”
“งั้นก็ช่วยกูลากชีวามาเร็วๆ” พระไวยบอก เหงื่อเริ่มโทรมหน้า รู้สึกว่าตัวเองคิดผิดชัดๆที่ลากเจ้าตัวประหลาดนี่มาด้วยโดยไม่ได้จัดการอะไรกับหน้าตาหล่อเหลาของมันที่แสนจะดึงดูดปัญหาเลย “บ้าจริง! กูลืมให้มันทำตัวขี้เหร่ก่อนออกจากบ้าน”
ชีวาวิ่งตามมนุษย์ทั้งสองคนไปอย่างสงสัย แม้เรี่ยวแรงจะยังไม่หมดและสามารถวิ่งนำหน้าสองคนนี้ได้สบาย แต่ด้วยความที่ไม่รู้เลยว่าพระไวยฉุดกระชากลากถูเขาไปทำไป เจ้าตัวก็เลยเหมือนจะชะลอจังหวะนิดหน่อย
“พวกเจ้าสองคน นี่วิ่งหนีอะไรกัน” ชีวาร้องถาม “ข้างงไปหมดแล้ว”
“ไอ้โอ มึงรีบวิ่งเข้าสิวะ” พระไวยตะโกนบอกเมื่อกำลังวิ่งลงบันไดพลางซอยเท้ายิกๆ “เดี๋ยวพวกนั้นก็ตามมาทึ้งหัวเอาหรอก”
“พระไวย” ชีวาครางเสียงต่ำอย่างเริ่มหงุดหงิด เขาขืนแรงเอาไว้ “อย่าเมินข้า”
พระไวยจิ๊ปากด้วยไม่สบอารมณ์ เขาหันมามองค้อน “สาวๆพวกนั้นจะเข้ามารุมทึ้งนายเหมือนแมลงวันตอมขี้ที่ฉันเล่าไง แต่พวกฉันไม่ใช่ขี้ ฉันรำคาญคนพวกนั้น ถ้านายกับฉันต้องตัวติดกันไปตลอด นายก็ต้องเชื่อฟังที่ฉันบอก ทีนี้ก็รีบวิ่งได้แล้ว!”
ชีวาส่ายหน้าอ่อนอกอ่อนใจ
“อยากให้ออกจากห้องเร็วๆใช่ไหม” ชีวาถามเมื่อพวกเขาใกล้จะถึงประตู และเหล่าผู้คนที่วิ่งตามมาก็จวนตัวเต็มที
“เออ!”
“ได้”วืด“เหวอออออ” พระไวยร้องเสียงหลงเมื่อจู่ๆก็พบว่าตัวเองกำลังลอยขึ้นไปในอากาศและไม่นานนักก็ตกอยู่ภายใต้อ้อมแขนแข็งแรงที่ช้อนอุ้มเขาไว้เต็มตัว ชีวาเร่งฝีเท้าขึ้นทันทีที่แน่ใจว่าพระไวยจะไม่ตกลงไป สำหรับ ‘ตัวประหลาด’ อย่างเขาแล้ว ความเร็วของมนุษย์กับของเขานั้นแตกต่างกันเสียจนแทบไม่เห็นฝุ่น ชีวาเหมือนจะแว่วได้ยินเสียงร้องเรียกของซีอีโอลอยตามมาจากข้างหลังเมื่อเขาเบี่ยงตัวหลบพ้นประตูห้อง และเสียงตะโกนของพระไวยก็เหมือนจะหายลับไปกับความเร็วของอากาศที่ไหลผ่านตัว
พวกเขา
หลุดออกจากตึกคณะภายในไม่กี่
วินาที-DEMON LOVER CHAPTER 9-
พระไวยไม่แน่ใจว่าจะอารมณ์เสียดี หรือจะดีใจกันแน่ดี
ใช่ ใช่ มันโอเคมาก มากๆเลยที่หลุดพ้นจากฝูงคนที่มารุมตอมชีวาหึ่งเหมือนแมลงวันได้ แต่ว่า เขาก็ไม่ได้หมายความว่าต้องใช้วิธีนี้นี่
ถ้าบอกว่าไอ้ตัวประหลาดมันเหาะออกมาจากห้อง พระไวยก็เชื่อสนิทใจ
“นายไม่น่าทำอย่างนั้น” พระไวยกุมหัวตัวเองอย่างอ่อนแรง “ชาวบ้านชาวช่องเขาได้สงสัยกันพอดีสิว่าทำไมนายถึงได้ออกมาจากตึกคณะเร็วขนาดนั้น อยากให้คนเขาสนใจมากนักรึไงวะ” พระไวยมีน้ำโห
“ก็เจ้าออกคำสั่งเอง” พระไวยตอบง่ายๆแบบไม่รู้เรื่องรู้ราว
“ตอนไหน” พระไวยถามเอาเรื่อง หน้าตาก็หาเรื่องอีกฝ่ายไปด้วย “ฉันไปออกคำสั่งนายตอนไหนไม่ทราบหา”
“ก็ข้าถามเจ้าว่า ‘อยากให้ออกจากห้องเร็วๆใช่รึเปล่า’ ” คนหล่อพยายามชี้แจง “เจ้าก็บอกว่า ‘เออ’ ข้าก็แค่ทำตามที่เจ้าสั่งเองนะ”
โอย... พระไวยอยากจะร้องไห้ “อ ไอ่... ไอ่... ว้อย! ไอ้บ้า! ไอ้ตัวประหลาดนี่! กูจะทำยังไงกับมึงดีวะเนี่ย!”
“อย่าโวยวายสิ” ชีวารีมปรามพลางมองรอบข้าง “เดี๋ยวพวกนั้นได้ยินเสียงเจ้าก็แห่กันมาอีกหรอก”
“เออ!” พระไวยคำราม ถลึงตาใส่ “มาสิ! มาเลย! แห่กันมาให้หมดไอ้พวกแมลงวัน! แล้วมึงก็จะจับกูเหาะอย่างเมื่อกี้อีกใช่มั้ย! ดีเลย! ให้เค้ารู้กันทั้งเมืองเลยสิว่ามึงเป็นตัวประหลาด! จับมึงไปทดลอง! ทีนี้ชีวิตกูก็จะได้สงบสุขซักทีใช่มั้ยล่ะ! ดีล่ะสิมึงน่ะ!!!”
“พระไวย!”
“ทำไม! ทำไม! มึงจะทำไมกู!” พระไวยชี้หน้าด่าอย่างเหลืออดเมื่อรู้สึกว่าฟางเส้นสุดท้ายที่ขึงความอดทนของเขาเอาไว้ขาดสะบั้น ชีวาไม่ได้เข้าใจอะไรเลย ไอ้บ้านี่ไม่ได้เข้าใจเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างถ้าหากมีคนรู้เรื่องของมันขึ้นมา
“...” ริมฝีปากบางเฉียบของชีวาเม้มแน่นเป็นอาการสะกดกลั้น เขามองดูอีกฝ่ายที่ถูกคลื่นโทสะครอบงำอย่างเงียบเชียบ และแม้จะรู้สึกแย่กับคำสบถด่าทั้งหลายที่พระไวยโยนใส่ราวคมมีด แต่สำนึกสติก็ทำให้จำใจนั่งฟังคำด่าทอเหล่านั้นต่อไป
“...” พระไวยหายใจเข้าหอบแรง หน้าตาแดงก่ำด้วยความโมโห แต่เมื่อระบายใส่อีกคนจนพอใจและอารมณ์เย็นขึ้นแล้ว ก็ต้องรู้สึกชะงักเมื่อนึกขึ้นได้ว่าได้พูดจาอะไรออกไปบ้าง สีหน้านิ่งขึงแต่เก็บความขุ่นมัวของชีวาดึงสติคืนสู่ตัวเองโดยไม่ตั้งใจ รับรู้ว่าสิ่งที่พูดออกไปเมื่อกี้รุนแรงมากจนแม้แต่คนที่ดูใจเย็นมาตลอดอย่างชีวาก็ถึงขั้นต้องเอาขันติเข้าข่ม
คำพูด เมื่อหลุดออกจากปากแล้วเรียกคืนไม่ได้ ดังนั้นคำพูดจึงเป็นนายคนและพระไวยก็เพิ่งใช้คำพูด ‘ทำร้าย’ คนมาหมาดๆ...
“ข.. ขอโทษ” คำด่าเสียงดังลั่น แต่คำขออภัยกลับเบาราวนุ่น “เมื่อกี้... โมโห...”
แต่คนฟังกลับถอนหายใจ หลบตา แล้วตัดบท “ช่างเถอะ” ชีวาว่า “แล้วก็แล้วไป...”
“แต่ – “ พระไวยจะทักท้วง แต่คนฟังก็ส่ายหน้าปฏิเสธเสียจนคนขอโทษใจแป้ว “ฉัน...”
“เจ้าไม่รู้ ไม่รู้ก็ไม่ผิด” ชีวาเอ่ยเบาๆโดยไม่ยอมสบตา “เจ้าเป็นโซ่พันธนาการของข้า คำพูดของเจ้า คำขอของเจ้า เป็นสิ่งที่ข้าต้องทำตาม ไม่อาจปฏิเสธได้”
พระไวยเบิกตากว้าง “ว่าอะไร..นะ”
“เจ้าสามารถสั่งให้ข้าทำอะไรให้ก็ได้” ชีวาบอกพร้อมถอนหายใจเนิบๆ “ข้าทำให้เจ้าได้ทุกอย่าง บันดาลให้เจ้าได้ทุกสิ่ง เพียงแต่เจ้าขอมาเท่านั้น ยกเว้นเรื่องเดียว คือให้ข้าตาย”
“ง งั้น ที่นายบอกมาเมื่อกี้เรื่องในห้องก็...”
“ใช่” ชีวาพยักหน้ารับ “คำขอของเจ้า ถูกต้องแล้ว”
พระไวยถึงกับพูดอะไรไม่ออก
ก็นี่มันเขาผิดเต็มเปาทุกกระทงเลยนี่!
“ช่างมันเถอะ” ชีวาสังเกตเห็นความเสียใจในแววตาอีกฝ่าย และเลือกจะเมินผ่านไป ปล่อยให้ความขุ่นมัวของตัวเองสลายไปกับคำพูด “ตอนนี้ก็คงกลับเข้าไปเรียนไม่ได้แล้ว ไปที่อื่นกันจะดีกว่า”
“ดะ... เดี่ยว” พระไวยร้องเรียกเมื่อถูกอีกคนจับมือให้เดินตามกันไป เขามองรอบตัวเลิ่กลั่ก “จะไปไหน”
“ไม่รู้” ชีวาตอบ เงยหน้ามองท้องฟ้าสีครามที่ปุยเมฆลอยเอื่อยอ้อยอิ่ง “แต่เดี๋ยวก็รู้”
“จะบ้าหรอ” พระไวยประท้วง “พูดจางงไปงง...มะ-- เฮ้ย!”
ท้ายเสียงพระไวยขาดห้วงก่อนอุทานลั่น เขาเบิกตากว้างเมื่อมองเห็น ‘วัตถุสีแดง’ ขนาดใหญ่อยู่ตรงหน้า
“นี่มัน...” เสียงพระไวยล่องลอยไปเรียบร้อยพร้อมๆกับดวงตาที่หลุดโฟกัส “เฟอร์รารี... เฟอร์รารี่จริงด้วย...”
“ใช่” ชีวายื่นหน้าไปกระซิบตอบข้างหูเบาๆ “สปอร์ตคาร์ไง...”
พระไวยกลืนน้ำลายอย่างยากเย็น
เขาสำนึกแล้ว ว่าคำพูดเป็น ‘นาย’ ของชีวิตมากขนาดไหน!
-END OF DEMON LOVE CHAPTER 9-
TO BE CONTINUE...