ผมคือ...นางเอก : บทส่งท้ายสุดท้าย (แถม) 9 ก.ย. 59 (P.153)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ผมคือ...นางเอก : บทส่งท้ายสุดท้าย (แถม) 9 ก.ย. 59 (P.153)  (อ่าน 1382871 ครั้ง)

ออฟไลน์ taltal020441

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ค้างค่ะ :z3:
รอมาต่อน้าาา

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
ค้างงงงง :ling1:

ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44

ออฟไลน์ padthaiyen

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 943
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-2
น้องมาทำไมหรือว่าพ่อเลี้ยงกับแม่เจ็บปางตายเลยมาขอความช่วยเหลือ

ออฟไลน์ muiko

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +98/-3
เห้อ ขอให้เปนเรื่องดีๆด้วยเถอะ
สงสารยุ ขอให้เรื่องครอบครัว เคลียร์ได้ด้วยดี  :hao5:

ออฟไลน์ ka[ze]na

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3767
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +192/-6
กรี๊ด!!!!!! พอไหมค่ะเรทติ้ง
ขอยาวๆๆๆ ค่ะ

ออฟไลน์ takara

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +379/-13
จะมีอะไรอีกเนี้ย

ออฟไลน์ DraCo_SLa13

  • I swear that, will love Super Junior forever..........
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +314/-3
แม่ต้องการอะไรอ่ะป่วยเหรอ แต่ถ้ามองในมุมยุ แม่ไม่เคยใหยุเป็นที่1เลย

ออฟไลน์ sirikanda28

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1758
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +117/-3
ดูน้องไม่น่ากลัวนะ
แต่ก็ไม่แน่

ออฟไลน์ อนาคี99

  • อยากให้ชีวิตมีปุ่ม SKIP
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 278
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +460/-3
    • อนาคี99เพจ
ผมคือ...นางเอก
ซีนสุดท้าย 80%
(ตอนอวสาน)

 “ผม...สุริยะไงครับ ยะ...น้องพี่ยุเอง...”

ราวกับสันหลังสะท้านวาบ ความหนาวเยือกไร้ที่มาเกาะกุมลามร้าวไปจนถึงก้นบึ้ง สุริยะ? น้องชาย? เพราะไม่ได้ความจำเสื่อม จึงจำได้ดีว่าเขาเคยมีน้องชายชื่อนี้จริง ตอนที่เขาจากมา น้องเพิ่ง 5 ขวบ ตอนอยู่ร่วมบ้าน พ่อเลี้ยงไม่ยอมให้เราได้พบปะเพราะเกรงว่าลูกชายคนเดียวจะเลียนแบบพี่ชายเสเพล
เพราะไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกัน ไม่ได้คุยกัน เลยไม่ได้ผูกพันกันเท่าไหร่ ตอนที่สดายุออกจากบ้านไปอยู่หอพัก ยังพอได้เจอกันบ้างตอนที่แม่พาสุริยะติดไปเยี่ยมเขาที่หอพักด้วย แต่ก็แค่นั้น เราไม่ได้สนิทกัน ยิ่งหลังเข้าวงการยิ่งแล้วใหญ่  อันนั้นเรียกว่าไม่เจอกันอีกเลยก็ว่าได้ ข่าวว่าสุริยะถูกส่งไปเรียนเมืองนอกตั้งแต่เล็ก ใช้ชีวิตอยู่กับพวกพี่สาวคนละแม่อีกสองคนอย่าง ปลายฟ้า และปลายฝน
เพราะไม่เคยได้มาสุงสิงกับทางนี้ ไม่แปลกหรอกหากสดายุจะไม่รู้สึกคุ้นเคย...โตขนาดนี้แล้วหรือนี่
ใจของสดายุเต้นรัว ไม่ใช่เพราะตกใจ ตื้นตัน หรืออะไรหรอก คงเพราะแปลกใจกับการเจอหน้ากันอย่างกะทันหันมากกว่า เขาตัดขาดครอบครัวมานาน จู่ๆ ต้องมาเผชิญหน้า มาพาลให้ทำตัวไม่ถูก
“ยะ...” เสียงที่แหบอยู่แล้วของสดายุ ยิ่งแหบหนักเข้าไปอีก ชื่อของน้องชายที่ไม่ได้เรียกขานมานาน เวลาเปล่งมันออกจากปาก มันจึงยังรู้สึกติดขัด “ไง...โตขึ้นเยอะเลยนี่ 16 แล้วสิ”  พอได้เอ่ยปากออกมาสักครั้ง ก็ต้องสูดหายใจเข้าไปครั้งหนึ่ง ถึงจะตั้งสติให้พูดคุยออกมาได้อย่างต่อเนื่อง เขาเป็นพี่ชาย เป็นผู้ใหญ่กว่า ต้องไม่ทำให้ เกิดบรรยากาศอึดอัด
“ครับ 16 แล้ว” ฝ่ายสุริยะเองก็ตอบอึกอัก สองพี่น้องไม่คุ้นเคยกับการพูดคุยกันเท่าไหร่นัก
ความขัดเขินที่เกิดขึ้นระหว่างกัน ทำให้ความเงียบเข้ามาครอบคลุมทั้งคู่เอาไว้อีกครั้ง สดายุจึงจำเป็นต้องยุติบรรยากาศอึดอัดที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกรอบ “ออกไปคุยกันข้างนอกเหอะ ในห้องน้ำมันเหม่งๆนะ”
พูดจบสดายุก็พุ่งนำออกไปที่ประตู ก่อนจะชะงักเพราะถูกน้องชายคว้าแขนเอาไว้  ร่างที่จู่ ๆ ก็ถูกดึงเข้าประชิดกะทันหัน ทำให้สดายุเผลอชักสีหน้า แต่สีหน้าที่เหมือนจะร้องไห้ออกมาให้ได้ของเด็กหนุ่มตรงหน้า ก็พาลให้โกรธไม่ลง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับเรื่องที่เด็กคนนั้นกำลังเอ่ยปาก
“ผมขอโทษที่จู่ ๆ ก็โผล่มาเอาตอนนี้...” เสียงนั้นใกล้อยู่แค่ริมหู เสียงที่สั่นพร่า เพราะความประหม่าและสับสน
แต่สุดท้าย ก็กลั่นถ้อยคำออกมาได้ ด้วยประโยคที่ทิ่มแทงใจของสดายุที่สุด
“พี่ยุ...ช่วยแม่ที”

หน้าห้องพิเศษ ในโรงพยาบาลเอกชนชื่อดัง สดายุที่กำลังยืนตัวแข็งทื่อ จ้องมองผ่านกระจกบานใสเข้าไปในห้องพักไข้สีขาวปลอดสะอาดตา ทั้งที่ไม่ได้เห็น ว่ามีใครนอนรออยู่หรือเปล่า เพียงแค่ขอบเตียงเท่านั้นที่สะท้อนในสายตา เท่านี้ ก็ทำเอาหัวใจที่คิดว่าตายด้านเสมอมา เจ็บชาร้าวรวด
กว่า 5 ปีที่ไม่ได้เจอหน้า แม่...จะเปลี่ยนไปแค่ไหนนะ อ้วนขึ้นไหม หรือว่าจะผอมลง ผมแม่จะขาวหรือยัง เสียงแม่ยังหวานเหมือนเดิมไหม...
เพราะหนีหน้ามาถึง 5 ปี กลัวการเผชิญหน้าเหลือเกิน
หัวใจสดายุเต้นรัวขึ้น ในขณะที่กำลังตัดสินใจเป็นพันๆ ครั้ง ว่าจะเปิดประตูดีหรือไม่ ห่วงที่แม่ป่วยอย่างสุดใจ แต่กลับไม่มั่นใจพอที่จะเปิดประตู มันกะทันหัน มันยังไม่ได้เตรียมใจ
ห่างออกไปจากสดายุที่ยืนนิ่งงันอยู่อย่างนั้น คือกฤตเมธกับสุริยะ ผู้เป็นน้องชายดวงหน้าสลดไม่ต่าง เพราะเขาเพิ่งฝ่าฝืนคำสั่งบิดา ไปพาพี่ชายที่ตัดขาดกันไปนานกลับมา ทั้งยังเหมือนเป็นการฝืนใจพี่ชายด้วย
…พี่ยุ ผมขอโทษ
หนุ่มน้อยเดินสำนึกผิดเข้าไปใกล้ เอื้อมมือช่วยสดายุเปิดประตูบานหนัก สบตากันเพียงเล็กน้อย แล้วเดินนำหน้าสดายุเข้าไปในห้องพักฟื้นพิเศษนั้น
ขนาดน้องชายเดินนำอยู่ข้างหน้า สองขากลับยังก้าวไม่ออก สดายุทำได้เพียงสูดอากาศเรียกกำลังใจ พอดีกับที่มืออุ่นใหญ่ของกฤตเมธแตะลงเบา ๆ ที่ไหล่เสียก่อน
สดายุหันไปมองเจ้าของมือนั้น ด้วยสายตาราวเด็กน้อย กฤตเมธเพียงยิ้มแล้วพยักหน้า มือใหญ่โอบไหล่ไหวสะท้านแน่น ประคองร่างผอมบางให้ตามสุริยะเข้าไปในห้อง อย่างมั่นคง

“ไปไหนมาตายะ หายไปได้ทุกเย็นเลยนะ”
ในอกของสดายุวูบโหวง ทันทีที่ได้ยินเสียงที่เคยคุ้น ร้องทักเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าออกมา เสียงของแม่ ที่สดายุยังจำได้ดี สดายุกลั้นใจมองผ่านหลังของน้องชายที่ตัวโตกว่าออกไป มองตรงไปยังเตียงผู้ป่วยเตียงนั้น ที่ที่มีหญิงสาววัยกลางคนรูปร่างไม่คุ้นตา กำลังพยายามชันกายลุกขึ้นนั่งอยู่ อีกฝ่ายยังไม่ทันเห็นสดายุ แต่สดายุมองเห็นได้ชัดเจนแล้ว
แม่ดูแก่ขึ้น ทั้งยังท้วม และตัวบวมน้ำ ใบหน้าที่เคยสวยหวาน บัดนี้ร่วงเลยตามกาลเวลา ริ้วรอยแห่งวันที่ล่วงเลยปรากฏชัดเจน จนมองเห็นได้ ถ้าจำไม่ผิด ปีนี้แม่อายุ 51 แล้วสินะ…
“……….”
“……….”
ไม่ทันตั้งตัว ในขณะกำลังพินิจพิเคราะห์ใบหน้าของแม่อยู่ จู่ ๆ แม่ก็หันมองมา ใบหน้าบวมหน่อย ๆ ของแม่นิ่งอึ้ง ดวงตาที่เคยกลมโตเบิกกว้างอย่างคนประหลาดใจ ก่อนที่ทำนบน้ำตาจะพังครืนออกมาให้เห็นเต็มหน้า
แม่ไม่ได้พูดอะไรนอกจากเสียงสะอื้นฮั่ก สดายุผละจากมือของกฤตเมธไป ออกเดินเข้าไปใกล้เตียงของแม่ ขณะที่ยังมองหน้ากันไม่วางตา สองขาของสดายุทรุดลงตรงหน้าเตียง ก่อนก้มลงกราบทั้งอย่างนั้นโดยไม่ได้เอื้อนเอ่ยคำใด ๆ ยิ่งเห็นแบบนั้น แม่ยิ่งร้องไห้หนัก สดายุกลั้นใจลุกขึ้น แล้วเดินไปนั่งข้างกายแม่
“ผมกลับมาแล้วแม่”  สดายุกระซิบแผ่ว เอื้อมมือไปกุมมือแม่ไว้เบา ๆ หัวใจยังคงสั่น
ความรู้สึกยังคงอื้ออึง วันเวลา 5 ปี มันทำให้ขัดเขินไปหมด เพราะขนาดแค่จับมือของแม่ มือสดายุยังสั่น ความกังวลว่าจะถูกปฏิเสธแบบไม่มีข้อโต้แย้ง เพราะรู้ตัวดีว่าต้นเหตุแห่งความห่างเหินมาจากใคร ทำให้สดายุไม่กล้าเข้าใกล้แม่มากไปกว่าการจับมือ  น้ำตาของแม่ทำให้สดายุเจ็บปวด แต่เขาก็ยังไม่กล้ายกมือขึ้นช่วยเช็ดให้ แม่ดูเปราะบางเกินกว่าที่เขาจะกล้าสัมผัส
ท้ายที่สุด เป็นแม่เอง ที่เองกายมาซบใกล้กับลูกชายที่หายหน้าไปนานอย่างสดายุ แม้จะเป็นแค่ช่วงไหล่ แต่มันยังความกล้ามาสู่ใจของสดายุอย่างมหาศาล รู้แล้วว่าแม่ยังคงอ้าแขนรับ แม้ว่าแม่จะยังไม่ยอมพูดอะไรนอกจากร้องไห้
 “ยุขอโทษนะแม่ ที่หายหัวไปเลย ยุขอโทษที่สร้างแต่เรื่อง” เมื่อมีความกล้า สดายุจับก็มือแม่แน่นขึ้น แล้วค่อยๆโอบกอดแผ่นหลังลู่สั่นเทิ้ม เพื่อปลอบประโลมแม่ที่ยังสะอื้นไม่หยุด “แม่อย่าร้องขนาดนั้นสิ ยุใจไม่ดีเลย” ทั้งที่มีคำพูดเป็นร้อยเป็นพันที่อยากจะบอก แต่สดายุกลับพูดไม่ออกนอกจากคำว่าขอโทษ กับคอยโอ้โลมให้แม่หยุดร้องไห้ หลายร้อยถ้อยคำถูกกลืนหายลงคอ จนพูดต่อไม่ออก ทำได้แค่ค่อยๆเอนศีรษะลงซบตรงไหล่ไหวสะท้านของแม่แค่นั้น
“คิดถึง” คือคำพูดแรก ที่แม่สามารถส่งผ่านก้อนสะอื้นออกมาได้ “คิดถึง” ย้ำออกมาอีกครั้ง พลางใช้มือข้างที่ไม่ได้เกาะกุมกัน ขึ้นลูบใบหน้าของลูกชายเบา ๆ “กลับมาแล้วเหรอ...ยุ”
ฝ่ามือแห้งกร้านจากความเจ็บป่วยค่อย ๆ บรรจงลูบผ่านข้างแก้ม สดายุหลับตาลงเพื่อซึมซับสัมผัสนั้น คำว่าคิดถึงของแม่ยังความอุ่นซ่าไปทั้งอก กลั่นหยาดน้ำตาของสดายุให้หลั่งไหลออกมาเป็นสาย ในทันทีที่ค้นพบบ่อน้ำตาตันๆ ของตัวเอง บ่อก็ท่วมท้นจนรินล้นพร่างพรู
พวกมันดีกว่ายุตรงไหนอ่ะแม่!? ชื่อเสียง เงินทอง ยุก็มีให้แม่มากกว่าพวกมัน
เราคือครอบครัวนะยุ ทำไมลูกถึงต้องทำตัวแปลกแยกด้วย
พวกมันไม่ใช่ครอบครัวยุ!! แม่ก็รู้ว่าพวกมันเกลียดยุอย่างกับอะไร ไม่รู้ล่ะ ยุจะพาแม่กับน้องไปอยู่ด้วย!!
ไม่ยุ...แม่จะไม่ไปไหนทั้งนั้น ที่นี่คือบ้านของเรา
แต่มันไม่ใช่บ้านของผม ผมไม่ขอกลับมาเหยียบที่นี่อีก
โถ่...ยุ
ถ้าแม่เห็นพวกมันดีกว่ายุ เลือกพวกมันมากกว่ายุ ยุก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว
แม่ไม่ได้เลือกใคร หรือรักใครมากกว่า ทุกคนคือครอบครัวของแม่นะ แม่ก็แค่อยากอยู่บ้าน อยากให้เราอยู่ร่วมกัน...
แต่ผมไม่อยากได้ครอบครัว! และผมไม่มีทางกลับมาที่นี่อีกแล้ว ดังนั้น ถ้าแม่ไม่ยอมไปกับยุ เราอาจจะไม่ได้เจอกันอีก
เอาเถอะยุ ทำตามที่ยุสบายใจ แม่จะไม่ห้ามอะไรทั้งนั้น แต่จงจำไว้ ว่ายุกลับมาที่นี่ได้ตลอด...
ความทรงจำในวันจากลาฉายชัด วันที่สดายุเผลอใช้อารมณ์เป็นที่ตั้ง ความเยาว์วัยผนวกอารมณ์ร้าย ทำให้พูดและทำอะไรออกไปโดยไม่ยั้งคิด เป็นคนเดินออกมาเองแท้ๆ แต่กลับฝังใจตัวเองผิด ๆ ไปว่าถูกทอดทิ้ง น้อยอกน้อยใจในเรื่องไม่เป็นเรื่องจนเสียผู้เสียคน ทั้งที่พอโตขึ้นมาก็พอคิดได้แล้วว่ามันไม่ใช่ สิ่งที่ทำอยู่มันเสียเปล่า เป็นวิธีที่โง่เง่า แต่หัวใจบิดเบี้ยวกลับดึงดันรั้งรอ ไม่ยอมกลับไปแก้ไขให้มันดีขึ้น
วันนี้ที่ได้กลับมาเจอแม่อีกครั้ง สดายุยิ่งกระจ่างใจ...โถเรามัน ช่างโง่งม

การพบกันครั้งแรกในรอบ 5 ปี สองแม่ลูกไม่มีอะไรพูดคุยกันมากนัก แค่จับมือกัน กอดกัน มองหน้ากัน แล้วยิ้ม สดายุกอดแม่ แล้วให้แม่ลูบหัวลูบตัวให้หายคิดถึง แม่ไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่าการถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ เพราะแม่ได้แต่ตามข่าวในทีวี เห็นว่ากำลังมีปัญหาจนต้องออกจากวงการ ใจนึกเป็นห่วงมาก อยากไปหาอยู่หลายครั้ง แต่เพราะไม่รู้ว่าตอนนี้ลูกชายอยู่ที่ไหน ไม่รู้แม้กระทั่งเบอร์ติดต่อ ทั้งตัวแม่เองก็ล้มป่วย เจ็บออด ๆ แอด ๆ จนแล้วจนรอดเลยไม่ได้ไปหาสดายุเสียที มาวันนี้ดีใจหนักหนา ที่ลูกกลับมาหากันได้
ใจแม่รู้ดี ว่าที่เหตุการณ์มันเลวร้ายได้ขนาดนี้ ส่วนหนึ่งก็เพราะตัวเองที่ผิด ทิฐิเหนือเหตุผล เพราะตนเป็นแม่ที่อุตส่าห์เลี้ยงดู ทั้งรักใครถนอมเสียยิ่งกว่าอะไร น้อยใจนักที่ลูกกลับดูถูกความรักที่มอบให้ ใส่ร้ายกันไปว่าตนไม่ใยดี มาคิดได้เอาหลังจากลูกจากไปแล้วว่าหล่อนช่างงี่เง่า ยิ่งตอนนี้ยิ่งเสียใจ ที่ไม่ได้คอยอยู่ให้กำลัง ไม่ได้คอยเคียงข้างยามลูกมีปัญหา ชีวิตที่ล้มเหลวของลูก ส่วนหนึ่งคือแม่คนนี้ที่เป็นสาเหตุ  พอรู้สึกตัวขึ้นมา น้ำตาแม่ก็ไหลพรากอีกครั้ง รู้สึกผิดต่อลูกชายเหลือเกิน
“ขอโทษนะยุ ที่แม่เห็นแก่ตัว ที่แม่ปล่อยให้ยุต้องเผชิญปัญหาเพียงลำพัง...แม่มันแย่จริง ๆ...แม่ขอโทษ...” เอ่ยขอโทษลูกชายด้วยหัวใจที่อ่อนล้า พลางสวมกอดลูกแน่นด้วยความรู้สึกผิดเหลือล้น
สดายุกอดแม่ตอบ “ยุต่างหากที่ผิดแม่ ยุต่างหากที่เกเร ยุต่างหากที่ควรขอโทษ แม่ครับ ยุขอโทษ...” ปฏิเสธความผิดของแม่ และยอมรับความผิดของตน แต่เหมือนจะยิ่งทำให้แม่ต้องเศร้ากว่าเก่า สดายุจึงตัดสินใจเล่าความจริง
“ยุไม่ได้ลำบากอะไรเลยแม่...หรือถ้าจะมีเรื่องอะไรก็เพราะเกิดจากตัวยุเองทั้งนั้น...” สดายุพยายามอธิบาย
“แต่แม่ทิ้งให้ยุ...ต้องอยู่ลำพัง...” ถึงกระนั้น แม่ก็ยังคงรู้สึกเสียใจ แม่ยังคงร้องไห้
“เปล่าแม่ ยุไม่ได้อยู่คนเดียว...”  สดายุว่า พลางช่วยซับน้ำตาจากแก้มแม่  เสียงแหบเสน่ห์ทอดหวาน ดวงตาคมพยายามสบตาแม่ด้วยรอยยิ้ม พร้อมเอ่ยปากบอกเรื่องสำคัญอย่างไม่รู้สึกขัดเขิน “ยุมีพี่เมธเขาอยู่ด้วย”
คำพูดนั้น ได้ยินกันเพียงสองแม่ลูก แต่สายตาที่จู่ ๆ ก็มองตรงมา ทำให้กฤตเมธที่ยืนอยู่ไกลปืนเที่ยง เริ่มรู้สึกตัวว่ากำลังโดนพาดพิง แต่ก็ไม่ได้ออกอาการอะไร นอกจากยิ้มน้อย ๆ ให้กับสายตาที่มองมา
แม่ยิ้มบางกลับไปให้กฤตเมธ ก่อนหันมาหาสดายุพลางกระชับมือลูกชายมั่น “แม่เห็นในทีวีแล้ว...ไม่นึกมาก่อนเลย ว่า...จะเป็นผู้ชาย เขาดีกับยุมากไหม?” แล้วถามออกมาเสียงเบา เพราะความกังวลใจ
เพราะแม่ยังไม่คุ้นกับเรื่องแบบนี้ แม่ยังทำใจยอมรับไม่ได้
“ที่สุดครับ พี่เมธดีกับยุที่สุด” เห็นสายตาแม่ก็รู้แล้วว่า แม่รู้สึกกับยังไงกับความสัมพันธ์ของตนกับกฤตเมธ จะให้ทุกคนเปิดใจกว้างเหมือนอย่างแม่กรพิณน์ ก็คงไม่ได้ ชายรักชาย อย่างไรก็ยังไม่ใช่เรื่องที่จะสามารถทำใจยอมรับได้ง่าย ๆ อยู่แล้ว เรื่องนี้สดายุเข้าใจดี แต่ก็อยากให้แม่เข้าใจเขาด้วยเช่นกัน
อยากให้แม่ได้รู้ ว่ากฤตเมธดีกับเขามากแค่ไหน “ถ้าไม่มีพี่เขา ยุเองก็ยังไม่รู้ว่าวันนี้จะเป็นยังไง พี่เขาเป็นคนดีครับแม่ แม่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ”
“ถ้ายุว่าดี แม่ก็ว่าดี ถ้ายุมีความสุข แม่เองก็สุขด้วย...” แม่พยักหน้ายิ้มรับ ลูกชายมีคนรักเป็นผู้ชาย จะให้หล่อนทำใจยอมรับง่าย ๆ ได้อย่างไรเล่า แต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่ได้มีสิทธิ์ไปก้าวก่าย โดยเฉพาะการที่จะอ้างสิทธิ์ว่าเป็นบุพการีด้วยแล้ว  แม่อย่างหล่อนยิ่งไม่กล้าเข้าไปใหญ่ ได้แต่มองหน้าลูกชาย สลับไปมากับคนที่หล่อนก็รู้จักดีว่าเป็นถึงพระเอกเนื้อทองของวงการ แล้วพยายามทำใจยอมรับให้ได้ก็เท่านั้น วันนี้ยังไม่ได้ วันหน้าก็ต้องได้  เพราะนั่นคือคนที่ลูกเลือก
“เขา...จะดูแลยุอย่างดีใช่ไหม...ในอนาคตต่อไป...เขาจะไม่ทิ้งลูกของแม่ใช่ไหม...” น้ำเสียงสั่นพร่า กระซิบถามย้ำ
“ไม่รู้สิแม่ ผมกับพี่เขาเราอาจอยู่กันอย่างนี้ไปจนแก่ หรือในสักวันพี่เขาอาจหมดรักยุ หรือเป็นยุเองที่ทิ้งพี่เขา ยุเองก็ไม่รู้หรอกว่าอนาคตจะเป็นยังไง...รู้แค่วันนี้ พี่เขาดีกับยุมาก พรุ่งนี้ก็คงยังดีกับยุอยู่แน่ๆ รู้แค่นั้นแหละครับ...” สดายุตอบพลางยิ้มหวาน เขาไม่อยากปั้นเรื่องเสริมแต่ง เป็นนิยายรักโรแมนติกดูดีให้แม่ฟัง อยากพูดแค่เรื่องจริงในความรู้สึกเท่านั้นให้แม่ได้รับรู้
แม่พยักหน้ารับฟัง และไม่เอ่ยอะไรมากไปกว่านั้นอีก พอดีว่าถึงเวลาที่ต้องกลับ เพราะหมดเวลาเยี่ยม สดายุจึงจำต้องขอตัวกลับออกมาก่อน แล้วสัญญาว่าจะมาใหม่ในวันรุ่งขึ้น แม่พยักหน้ายิ้มส่ง ทั้งที่ยังคงจับมือลูกชายแน่น

“เดี๋ยวพรุ่งนี้ พี่จะมาตรวจร่างกายตั้งแต่เช้า” เมื่อออกมาไกลจากห้องคนป่วยพอ สดายุก็หันไปคุยกับสุริยะ เพื่อนัดแนะกันถึงกิจธุระที่ต้องจัดการในวันพรุ่ง
“ครับ…ขอบคุณนะพี่ยุ…ขอบคุณที่พี่ยอมช่วย” สุริยะอึกอัก รู้สึกทั้งขอบคุณและขัดเขิน คนที่ไม่เจอกันเลยกว่า 5 ปี พี่น้องที่ไม่เคยมีสัมพันธ์อันดีในความทรงจำ ความห่างเหินยังผลให้เกิดความประหม่า ที่ตนกล้าบากหน้าไปขอความช่วยเหลือ
“แม่ก็เป็นแม่พี่เหมือนกันนะ” สดายุตอบฉะฉาน พลางส่งยิ้มให้น้องชายน้อย ๆ
สุริยะไม่ได้พูดอะไรต่อจากนั้น เพียงยิ้มบางให้กับพี่ชายที่เอื้อมมือมาตบแขนเขาเบา ๆ เป็นการบอกลา ขณะที่เฝ้ามองแผ่นหลังพี่ชายที่เดินจากไป ในหัวของสุริยะก็คิดวนไปเวียนมาถึงเรื่องที่กำลังเกิดขึ้น
แม่ล้มป่วยเป็นโรคไตวายเรื้อรัง ทางรักษาทางเดียวที่สามารถทำให้หายได้คือการปลูกถ่ายไตใหม่ หรือคือการเปลี่ยนไต แต่แม่มีกรุ๊ปเลือดพิเศษ ไม่สามารถเข้ากับไตบริจาคที่มีอย่างขาดแคลนได้ ร้ายกว่านั้นคือ แม้แต่ของคนในครอบครัวเองแท้ ๆ อย่างสุริยะ ก็ยังเข้ากันไม่ได้ หรือต่อให้เข้ากันได้ หัวเด็ดตีนขาด แม่ก็ไม่ยอมรับ
แม่จึงต้องรอคิวผู้บริจาคที่เนื้อเยื่อสามารถเข้ากันได้ ทว่าระหว่างรอ แม่ก็ต้องฟอกไตทุกวัน แม่อายุมากแล้ว ร่างกายแม่จึงอ่อนล้า สุริยะและพ่อของสุริยะ พยายามทุกวิถีทางเพื่อหาไตใหม่มาปลูกถ่ายให้แม่ แต่ไม่ว่ากี่ครั้ง ผลการตรวจเนื้อเยื่อก็จะออกมาว่า ไตนั้นไม่อาจเข้ากับร่างกายของแม่ได้ นานวันเข้า แม่ยิ่งทรุดโทรม แม้จะยังใช้ชีวิตประจำวันอยู่ได้เพราะฟอกไต แต่ร่างกายแม่ก็เริ่มบวมน้ำ บวม ๆ ยุบ ๆ อยู่แบบนั้น ทั้งยังป่วยบ่อยขึ้น เช่นวันนี้ที่ต้องมานอนพักฟื้นที่โรงพยาบาล เพราะแม่มีความเสี่ยงที่จะช็อคเอาได้ง่าย ๆ
แล้ววันหนึ่ง สุริยะก็ได้ค้นพบข้อมูลสำคัญจากประวัติการรักษาของแม่ นั่นคือ แม่เคยบริจาคเลือดให้พี่ชายของตน เมื่อสิบแปดปีก่อน นั่นคือแสงเดียวที่ส่องประกายขึ้นท่ามกลางความหมดหวัง สุริยะเร่งตามหาพี่ชายคน ที่เขาไม่เจอตัวจริงมานานหลายปี เห็นข่าวในทีวีว่าพี่มีคนรัก เป็นดาราร่วมวงการ ตอนนั้นสุริยะไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยไปถึงว่าดาราคนนั้นเป็นพระเอกดัง หรือเป็นผู้ชาย เพราะความหมายเดียวของกฤตเมธที่มีต่อสุริยะนั้น คือแผนที่ที่สุริยะจะสามารถตามหาพี่ชายเจอ
แล้วความพยายามก็สำฤทธิ์ผล หลังจากเทียวเฝ้าเข้าไปสั่งข้าวผัดแสนแพงทานวันละจาน ในที่สุดวันนี้ก็ได้พบพี่ชายเสียที โชคดีเหลือเกินที่เหลือบไปเห็น โชคดีเหลือเกินที่ใจกล้าพอที่จะตามพี่ชายเข้าห้องน้ำ

“เดี๋ยวกลับไป รีบอาบน้ำนอนเลยนะยุ พรุ่งนี้ได้แข็งแรง ๆ” กฤตเมธสั่ง ขณะพาสดายุลงลิฟท์มาที่ลานจอดรถ พรุ่งนี้เป็นวันสำคัญ เขาอยากให้สดายุพร้อมที่สุด
“อืม” สดายุตอบรับเพียงสั้น ๆ  เพราะตอนนี้ในหัวมีแต่เรื่องของแม่ สายตาที่ทอดต่ำแลดูวุ่นวาย เพราะทุกอย่างมันดูกะทันหันไปหมด จู่ ๆ ก็มีน้องชายที่เขาแทบจะลืมหน้าไปแล้วโผล่มา มาเพื่อบอกว่าแม่ป่วยหนักมีแค่พี่ชายคนนี้เท่านั้นที่ช่วยได้
สดายุไม่ได้เสียดายไตหรอกนะ แต่เสียใจต่างหากที่แม่ป่วยมานานขนาดนี้ ตนกลับไม่รู้เรื่องรู้ราว มัวแต่คิดหาความสุขใส่ตน แล้วทอดทิ้งแม่ ด้วยข้ออ้างโง่เง่าว่า ‘น้อยใจ’
คิดถึงตรงนี้ทีไร มือของสดายุก็กำแน่น เขามันบัดซบสิ้นดี! แถมเมื่อครู่นี้ที่ได้เจอแม่ ก็ดันน้ำท่วมปาก แม้แต่ถามไถ่สุขภาพสักคำก็ไม่มี พูดแต่เรื่องอะไรก็ไม่รู้ที่ช่างไร้ประโยชน์ อยากทุบหัวตัวเองเหลือเกิน…

หมับ…แรงโอบไหล่ของใครบางคน ทำเอาสดายุที่กำลังฟุ้งซ่านถึงกับเซแซ่ด ร่างที่ถูกรั้งเข้าปะทะอกกว้างอย่างกะทันหันทำเอาสะดุ้งน้อย ๆ เมื่อเงยหน้าขึ้นเห็นกฤตเมธส่งยิ้มผ่านดวงตามา สดายุก็รู้สึกตัวว่า ตัวเขาที่กำลังจ่อมจมอยู่กับวังวนในอดีต กำลังถูกกฤตเมธฉุดดึงขึ้นมา
“คิ้วผูกโบว์ขนาดนั้น ก็ได้ปวดหัวจนนอนไม่หลับอีก เดี๋ยวพรุ่งนี้ผลตรวจก็แย่หรอก” กฤตเมธบ่นปรามกลั้วรอยยิ้มบาง ๆ ขณะใช้นิ้วชี้ข้างที่ว่าง ยกขึ้นคลายปมคิ้วให้สดายุอย่างอ่อนโยน
“เรื่องในอดีตน่ะ เรากลับไปแก้มันไม่ได้หรอกนะ แต่ก้าวต่อไปต่างหาก ที่เราสามารถกำหนดมันได้…” กฤตเมธพูดต่อ พลางโอบไหล่ของสดายุแน่นขึ้น “ยุว่าอย่างนั้นไหม?” พร้อมส่งคำถามด้วยรอยยิ้มออกไป
คำถาม ที่ไม่ได้ต้องการคำตอบ แต่คือคำปลอบประโลมใจในสไตล์ของรุ่นใหญ่คนนี้ เพราะกฤตเมธรู้ดีว่าสดายุยังคงบอบบาง และอ่อนแอต่อโลกนี้อยู่มาก เขาที่การ์ดแข็งแรงกว่า จึงต้องพยายามประคับประคอง และปกป้องอย่างเต็มที่
“อืม” ฝ่ายสดายุเอง เมื่อได้รับการปลอบโยน หัวใจที่เจ็บร้าวก็ทุเลาลงหน่อย หัวหนัก ๆ จึงซุกลงอกกว้างอย่างตั้งใจ เพื่ออ้อนขอความอ่อนโยนอีก สภาพน่ารักน่าเอ็นดูจนกฤตเมธเกือบลืมเกรงใจกล้องวงจรปิด

“ยุ…เหรอ?”

เสียงไม่คุ้นเคยที่ขานชื่อขึ้น ทำเอาสองร่างที่กำลังอี๋อ๋อกันอยู่เป็นอันต้องหยุดชะงัก หัวใจของสดายุวูบโหวงทันทีที่ได้เห็นคนที่เรียกชื่อตน
เทิด พ่อเลี้ยงของสดายุ คนที่ในอดีตเคยบาดหมางกันมาก ถึงมากที่สุด กว่า 5 ปีที่ผ่านมา คนในความทรงจำดูเปลี่ยนไปมาก สดายุลองคำนวณคร่าว ๆ อายุเกือบ 60 ปีแล้วสินะ ถ้าจำไม่ผิด วันนี้พ่อเลี้ยงของเขาดูตัวเล็กลงอย่างไม่น่าเชื่อสายตา แม้แต่กระแสอำนาจ ความดุดันที่เคยมีอย่างล้นเหลือเมื่อครั้งเก่าก่อน ก็ดูจะอันตรธานหายไปด้วย
“สวัสดีฮะ…ลุงเทิด” สดายุยกมือขึ้นไหว้ พร้อมกล่าวทักทายออกไปด้วยน้ำเสียที่แหบพร่ากว่าปกติ นานแค่ไหนแล้วนะ ที่เขาไม่ยกมือไหว้ชายคนนี้
“เจอดามาแล้วสินะ” พ่อเลี้ยงรับไหว้โดยดี พร้อมถามไถ่ถึงการพบเจอกันระหว่างสดายุและแม่สรินดา หรือ ‘แม่ดา’
“ครับ…แม่ดูแย่กว่าที่ผมคิด” สดายุลังเลอยู่ครู่ก่อนจะตอบออกไป ฉุกคิดขึ้นได้ว่า นี่อาจเป็นการคุยกันดี ๆ ครั้งแรกในรอบหลายปี สดายุจ้องมองพ่อเลี้ยงตรงหน้านิ่ง ในหัวประเมินสถานการณ์ความน่าจะเป็นที่จะดำเนินต่อไป คิดไว้ตั้งแต่ก่อนมา ว่าถ้าหากได้เจอกัน คงโดนไล่ตะเพิด ว่าจะแส่มาเอาทำไมป่านนี้ หรืออย่างน้อย ๆ ก็ต้องโดนเขม่นเอาบ้างสักทีสองที
“อืม ก็ตั้งสามปีแล้วนี่นะ แก่ขึ้นด้วยอะไรด้วย ร่างกายก็อ่อนแอเป็นธรรมดาแหละ” แต่นี่กลับผิดคาด พ่อเลี้ยงของเขายังคงเจรจาพาที ราวกับไม่เคยมีเรื่องบาดหมาง แม้แต่ใบหน้าดุดันในความทรงจำ ตอนนี้ยังอุตส่าห์ทอยิ้ม 
เลิกแล้วต่อกัน…อย่างนั้นหรือ?
พ่อเลี้ยง เลิกชังน้ำหน้าเขาแล้วอย่างนั้นหรือ?

 ความเงียบที่เกิดขึ้น หลังจากสดายุไม่ยอมต่อประโยคพูดคุย ฝ่ายพ่อเลี้ยงก็เป็นฝ่ายชวนคุยก่อนอีกครั้ง คราวนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นการเตือนมากกว่า “อ่อ…เรื่องไตน่ะ ทำใจไว้หน่อยนะ ดาคงไม่ยอมรับไตของเธอแน่ ๆ” พ่อเลี้ยงพูดพลางยิ้มขื่น “เขาไม่อยากให้ลูกเขาต้องเสี่ยงหรอก”
“ผมจะคุยกับแม่เอง…ต่อให้แม่ไม่ยอม” สดายุออกปากเป็นมั่น
ความรั้นฉายชัดในดวงตาของสดายุนั้น เรียกรอยยิ้มแก่พ่อเลี้ยงอีกครั้ง “ดาก็เหมือนเธอแหละ ดื้อ บทจะเอาแต่ใจ ก็ไม่ยอมฟังใครหน้าไหนเหมือนกัน” จนอดไม่ได้ที่จะว่าหยอกออกไป พลางถอนหายใจ เมื่อรู้สึกว่าพอแล้ว “แต่เอาเถอะ ลองดูก็แล้วกัน ฉันก็อยากให้เขาหาย”
“ผมจะทำเต็มที่” สดายุรับคำ ใบหน้ายังคงขมวดมุ่น ไม่รู้ทำไม เขาถึงยิ้มออกมาไม่ได้เช่นที่พ่อเลี้ยงเป็น ทำไมเวลา 5 ปี ถึงเยียวยาฝ่ายนั้นได้ แต่กลับไม่ใช่เขา?
แต่ช่างเถอะ สดายุถอนหายใจ แบบนี้มันก็ดีแล้ว เลิกบาดหมางกันได้ เขาก็สามารถอยู่กับแม่ได้นานขึ้น โดยไม่ต้องมาคอยรู้สึกอึดอัดใจอย่างเมื่อก่อน
ถึงจะคิดว่าดี แต่วันนี้สดายุพอแล้ว แค่นี้สมองเขาก็ล้าเกินพอ “ผมขอตัวกลับก่อนแล้วกัน ลาล่ะฮะ” ว่าแล้วก็ตัดสินใจลากันดื้อ ๆ ยกมือไหว้พ่อเลี้ยงหนึ่งครั้ง แล้วหันหลังเดินจากออกมา
“เขาคงดีใจมาใช่ไหมที่เธอมา…ดาน่ะ” ทว่าประโยคที่ตามหลังมา ก็กลับทำเอาชะงัก สดายุไม่ได้หันกลับไป แต่ก็ยืนนิ่งรอฟัง
“เขารอเจอเธอมาตลอด”
นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่สดายุได้ยินจากปากพ่อเลี้ยงในวันนี้ ประโยคที่ทำให้หัวใจเขาอุ่นซ่านอย่างประหลาด ถึงขนาดที่ต้องเผลอยิ้มให้ ขณะหันไปมองแผ่นหลังที่เดินจากไปอีกทาง

“พ่อเลี้ยงผมเอง” สดายุแถลงไข เมื่อเห็นสายตาตั้งคำถามของกฤตเมธ หลังแยกย้ายจากพ่อเลี้ยงสูงวัยที่ทักทายอย่างเย็นชามาเมื่อครู่ “เมื่อก่อนไม่ค่อยลงรอยกันเท่าไหร่” ทั้งยังอธิบายเสริม ถึงความสัมพันธ์อันน่าจดจำระหว่างทั้งคู่
“ก็พอเข้าใจได้อยู่”  กฤตเมธรับคำ ขณะเปิดประตูรถ ขึ้นนั่งประจำที่คนขับ ใช่เพียงเขาที่เข้าใจสถานการณ์หรอก ไม่ว่าใครได้เห็นก็คงพอรู้ทั้งนั้น ว่าเยื่อใยระหว่างสองพ่อลูกมันเบาบางขนาดไหน เวลาคงช่วยเยียวยาความบาดหมาง วันนี้ถึงได้ยังพอคุยกันได้อยู่ 
“เหนื่อยจัง...” สดายุบ่นเบา พลางถอนหายใจบาง ทันทีที่ขึ้นนั่งบนรถได้ “อย่างกับโดนคลื่นซัดแรง ๆ แน่ะ มึนไปหมด...เฮ้อ ขอหลับหน่อยนะลุง” แล้วขอหลับพักไปเงียบ ๆ วันนี้สดายุรู้สึกหมดแรงกว่าทุก ๆ วันที่ใช้ชีวิตมา 
ชีวิตที่คิดว่าอยู่ตัวคนเดียวมาตลอด วันนี้กลับได้เห็นแจ้ง ว่าเป็นเพียงแค่ความคิดตื้น ๆ ที่ตัวเองสร้างขึ้นเท่านั้น โดยปกติก็ไม่ใช่คนที่ปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ง่าย ๆ อยู่แล้ว สถานการณ์ยุ่งเหยิงของวันนี้ ยิ่งทำให้สดายุหมดแรง
แม้สดายุจะเหนื่อยที่ต้องรับหลากหลายสถานการณ์ในวันนี้ แต่ไม่ได้หมายความว่า เขาจะรู้สึกไม่ดีหรือกังวลที่ต้องยกไตให้แม่หรอก  เรื่องนั้น สดายุยิ่งกว่าจะยอม ต่อให้มากกว่านี้ เขาก็ให้แม่ได้  คิดถึงเรื่องที่พรุ่งนี้ต้องไปตรวจร่างกาย เพื่อหาผลกการเข้ากันได้ของเนื้อเยื่อแล้ว สดายุก็พยายามทำใจให้ผ่อนคลายลง เพราะวันนี้มันยังกะทันหัน พรุ่งนี้พอตื่นมา ทุกอย่างคงลงตัว

 :n1:

ต่อด้านล่าง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-06-2016 22:34:55 โดย อนาคี99 »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ อนาคี99

  • อยากให้ชีวิตมีปุ่ม SKIP
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 278
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +460/-3
    • อนาคี99เพจ
 :3123:

แม้จะ 3 ทุ่มกว่าเข้าไปแล้ว แต่สภาพท้องถนนของสุขุมวิท ยังคงติดต่อเนื่อง สดายุหลับไปแล้ว ไม่นานหลังจากออกจากโรงพยาบาลมา เสียงของลมหายใจสม่ำเสมอที่ได้ยิน ทำให้กฤตเมธรู้ว่าสดายุกำลังหลับสนิท แอร์เย็น ๆ กับเพลงคลอเบา ๆ คงช่วยให้สมองของสดายุได้ผ่อนคลาย
‘อย่างกับโดนคลื่นซัดแรง ๆ แน่ะ’  คำพูดของสดายุไหลวนอยู่ในหัว กฤตเมธยิ้มน้อย ๆ ให้กับคำเปรียบเปรยที่สดายุช่างคิด แต่ก็จริงของเจ้าตัวเขาแหละ วันนี้มีคนมากหน้าหลายตาเข้ามาในชีวิตของสดายุแบบไม่ได้ตั้งตัว จากที่ปกติ หลังจากออกจากวงการมา วัน ๆ ก็มีแค่ร้านอาหารที่ต้องเรียนงาน กับบ้านที่ทีกฤตเมธอยู่เท่านั้น ชีวิตซ้ำ ๆ ไม่ค่อยได้พบเจอใคร ไม่แปลกที่วันนี้สดายุจะช็อค
พูดถึงคลื่นซัด กฤตเมธก็หันกลับมาฉุกคิดถึงตัวเองบ้าง ในระหว่างที่สดายุถูกคลื่นซัดถาโถม เขาคนนี้ กลับไม่มีแม้แต่ละอองกระเซ็นใส่

โดนเมินอย่างสมบูรณ์...

ตั้งแต่น้องชายที่โผล่มา แล้วทักเขาแค่คำว่าสวัสดีครับ จากนั้นก็ตามติดพี่ชายแจ
คุณแม่ ที่แค่หันมามอง ยิ้มให้ (ตามมารยาท) นิด ๆ แล้วก็ไม่สนใจกันอีก ไม่มีแม้แต่คำว่า สวัสดี
สุดท้ายพ่อเลี้ยงนี่ยิ่งแล้วใหญ่ ไม่มองกันเลยด้วยซ้ำ...
เฮ้อ...ลักษณะพ่อตา แม่ยายจะไม่ปลื้มเสียแล้ว...แต่เอาเถอะ อุตส่าห์ได้ลูกเสือมาไว้ในมือแล้ว แค่พ่อแม่เสือน่ะ กฤตเมธสู้ตาย ถึงอย่างไร ก็จะไม่ยอมคือนให้อย่างเด็ดขาด
คิดไปคิดมาก็หลุดขำตัวเอง ตั้งแต่เกิดมา ไม่เคยโดนเมินแบบตั้งใจขนาดนี้มาก่อนเลย

เช้าวันต่อมา สดายุพาร่างกายที่คิดว่ากระปรี้กระเปร่าเต็มที่ มารับการตรวจเต็มขั้น ที่โรงพยาบาล การตรวจ HLA typing and cross-matching หรือการตรวจเพื่อพิสูจน์ชนิดของเนื้อเยื่อและความเข้ากันได้ของเนื้อเยื่อนั้นมีหลายขั้นตอนมาก แต่ละขั้นตอนก็กินเวลาพอสมควร
หลังจากการตรวจมาราธอนตลอดช่วงเช้า แม้ผลการตรวจออกมาจะออกมาว่า ความเข้ากันได้ของเนื้อเยื่อก็เป็นที่น่าพอใจตามที่คาด แต่ถึงอย่างนั้น สดายุก็ยังต้องรอต่อไปอีก 3 สัปดาห์ เพื่อให้สภากาชาดส่งผลยืนยัน ว่าเลือดสามารถเข้ากันได้อย่างแน่นอน โดยเฉพาะกรุ๊ปเลือดพิเศษอย่างของแม่และสดายุ 
แม้ในอีก 3 สัปดาห์ผลสรุปออกมาว่าเลือดสามารถเข้ากันได้ แต่การผ่าตัดเปลี่ยนไตนั้นก็ยังไม่ได้สามารถทำได้ทันที ถึงแม้จะเป็นโรงพยาบาลเอกชน แต่สดายุก็ยังต้องรอคิวผ่าตัดถึง 2 เดือน 
ซึ่งเรื่องการรอ 2 เดือนนั้นไม่ใช่ปัญหา เรื่องเดียวที่สดายุต้องทำให้ได้ตอนนี้ก็คือ การกล่อมให้แม่ยอมรับไตของตน เนื่องจากทันทีที่แม่รู้ว่าสดายุตรวจร่างกายเพื่อหาความเข้ากันของเนื้อเยื่อ และกำลังรอผลเลือด แม่เองก็โวยวายเป็นการใหญ่ คัดค้านว่าจะไม่รับท่าเดียว ไม่ว่าใครจะกล่อมอย่างไร ก็ไม่ยอมฟัง ยืนยันจะรอแค่ไตบริจาค
 นั่นทำให้สองแม่ลูกต้องมานั่งถกเถียงกันอย่างออกรสในตอนนี้ หลังตรวจร่างกายเสร็จ สดายุก็บอกทุกคนว่าขอให้ตนได้อยู่คุยกับแม่สองต่อสอง เพื่อเกลี้ยกล่อมทุกทางให้แม่ยอมรับการบริจาคไตจากเขา  ซึ่งสดายุคิดว่าการจับเข่าคุยกันแค่สองคน น่าจะให้ผลที่น่าพอใจกว่า

“ไม่เอา  แม่จะรอคนบริจาค”  เสียงพร่า ปฏิเสธแข็งขัน ทั้งผินหน้าหลบ ไม่ยอมสบตาลูกชาย ที่นั่งคะยั้นคะยออยู่ข้างหน้า
“กรุ๊ปพิเศษอย่างเรา หายากนะแม่ ขนาดรอบริจาคแบบธรรมดายังนานเลย” การคุยกับแม่ ไม่ได้เป็นเรื่องง่ายอย่างที่สดายุตั้งใจ จำไม่ได้เลยว่า เมื่อก่อนแม่ดื้อขนาดนี้หรือเปล่า ถึงอย่างนั้น สดายุก็ยังไม่ยอมลดละที่จะพยายามอธิบายให้แม่ได้เข้าใจ นั่นยิ่งทำให้การโต้เถียง ยืดเยื้อยาวนาน
“แม่รู้ แต่แม่ทนให้ยุเหลือไตข้างเดียวไม่ได้เด็ดขาด”
“ไตข้างเดียวก็ใช้ชีวิตปกติได้แม่ มันไม่ได้มีอะไรแย่”
“ไม่เอา ไม่เอา ยังไงแม่ก็ไม่เอา”
“แม่…อย่าดื้อน่า ไม่อยากอยู่กับพวกผมไปนาน ๆ หรือไง?”
“แม่อยู่ได้ แค่นี้แม่ก็อยู่ได้”
“แต่ถ้าแม่ได้ไตจากยุไปข้างหนึ่ง แม่ก็จะกลับมาแข็งแรง ไม่ต้องมาคอยเจ็บตัวฟอกไตทุกวันอย่างนี้”
“แล้ว…ถ้าแก่ตัวไป ยุเกิดเป็นเหมือนแม่ขึ้นมาล่ะ? แบบนั้นจะทำยังไง? ถึงตอนนั้นถ้ายุเป็นอะไรขึ้นมา จะให้แม่ทำใจได้ยังไงกัน หืม? ไม่เอาหรอก แม่รับไม่ได้ ไม่เอาเด็ดขาด... ” สุดท้าย แม่ก็หลุดความในใจออกมา แม่เป็นห่วงสดายุ ไม่อยากให้ต้องมาเจ็บตัว แม่รู้ว่าแม้จะมีไตเพียงข้างเดียว ก็สามารถมีชีวิตต่อไปได้ แต่มันจะไม่มีวันเหมือนเดิม เคยได้ยินมาว่าจะทำให้เหนื่อยง่าย ไม่สบาย หรืออาจไม่สบาย ได้ง่ายขึ้น อย่างไรเสีย มีครบย่อมดีกว่าขาด แม่ไม่ยอมให้สดายุต้องลำบากเพื่อแม่อย่างเด็ดขาด
ได้ยินคำแม่ สดายุก็เงียบไป ใจแม่พะว้าพะวังอยู่กับตัวตัวเขา ทำไมสดายุจะไม่รู้ เพราะเหตุผลที่อยากจะให้ของสดายุ กับเหตุผลที่จะไม่รับของแม่ มันคือเหตุผลเดียวกัน คือ ‘รักและห่วงใย’  เขาที่ไม่ยอมให้แม่ปฏิเสธ ก็คงเหมือนกันกับที่แม่ไม่ยอมที่จะรับ
ถึงตอนนี้ สดายุคลายอารมณ์ลง เอื้อมมือไปกุมมือแม่ไว้  แล้วพยายามกล่อมแม่ต่อ ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนน่าฟัง กับเหตุผลที่ไม่เป็นเหตุเป็นผลที่สุด
“ไม่เป็นหรอกแม่  ยุน่ะดวงดีจะตาย”
ได้ยินแบบนั้นเข้าไป แม่ก็หันมามองหน้าของสดายุตรง ๆ เสียที  เห็นลูกนั่งทำหน้าทะเล้น ก็ได้แต่เอ็ดเบา ๆ ว่า “ปากดี” นั่นเรียกเสียงหัวเราะเบา ๆ ขึ้นระหว่างกัน เมื่อบรรยากาศเริ่มผ่อนคลายลง สดายุก็เริ่มตะล่อมแม่ต่อ
“ก็แม่บอกเอง…ว่ายุคือพรวิเศษ เป็นตัวนำโชค แล้วยุจะป่วยได้ยังไง” คำว่าพรวิเศษ ที่ได้ฟัง มันสะกิดหัวใจของคนเป็นแม่ ความทรงจำในครั้งนั้นไหลเวียนคืนมาสู่หัวใจ ‘พรวิเศษ’  คำนี้แม่ใช้บอกลูกน้อยในตอนนั้นทุกวัน แม่มีกรุ๊ปเลือดพิเศษ ที่ทำให้มีความเสี่ยงสูงในการมีลูก เพราะเป็นไปได้มากที่ลูกในครรภ์จะมีกรุ๊ปเลือดผิดแม่ แล้วให้ให้เกิดปัญหา ทว่าสดายุของแม่กลับมีเลือดกรุ๊ปเดียวกัน กรุ๊ปพิเศษเหมือนแม่ ทำให้แม่ไม่ป่วย และสามารถคลอดสดายุออกมาได้อย่างปลอดภัย ดังนั้น สดายุจึงเป็นพรวิเศษของแม่ 
หากพอเวลาล่วงผ่านไปนานปี คำคำนี้ก็ถูกเก็บไว้ในส่วนลึกของหัวใจ ไม่ใช่ว่าแม่จะลืม แต่หลากหลายปัญหาที่ถาโถมใส่ ทำให้แม่เผลอไผลในการให้ความสำคัญ โถ...ลูกจ๋า แม่ขอโทษ ไพล่คิดถึงความหลัง ดวงตาแม่ก็รื้นไปด้วยน้ำตา ฝ่ามืออูมเอื้อมไปลูบผมของลูกชายที่นั่งตาแป๋วอยู่ตรงหน้า  “แต่แม่…ไม่อยากพรากอะไรของลูกมาอีกแล้ว…ทั้งที่แม่ ไม่เคยให้อะไรลูกเลย…” แม่บอกเล่า พร้อมหยาดน้ำตาหยอดน้อยกลิ้งลงข้างแก้ม
“ผิดแล้วแม่…แม่ให้ยุมาแล้วทั้งชีวิต แม่ไม่เคยทิ้งยุเลยตั้งแต่จำความได้”  สดายุส่ายหน้าทักท้วง พลางคว้ามือแม่มาแนบข้างแก้ม น้ำตาของแม่ บีบรัดหัวใจของสดายุอีกครั้ง “แม่อย่าโทษตัวเองเลยนะ เพราะทุกสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด ยุทั้งนั้นที่เป็นต้นเหตุ ยุรู้ตัวแล้ว” 
“ไม่หรอกลูก แม่ต่างหาก ที่ให้เวลายุน้อยไป แม่ต่างหากที่มองเห็นแต่ตัวเอง”
“แม่เห็นแก่ครอบครัว ยุต่างหากที่เห็นแก่ตัวเอง…”
การโต้เถียงอันแสนเศร้าเริ่มขึ้นอีกครั้ง เมื่อต่างฝ่ายต่างพยายามน้อมรับความผิดเข้าตัวเอง
ในท้ายที่สุด สดายุกอดแม่ ขอร้อง อ้อนวอน
“นะครับแม่ ให้ยุได้ไถ่โทษ ให้ความผิดที่ติดค้างในใจของยุได้ทุเลาลง…”
“…….แต่” แม่กอดตอบ ทว่ายังคงลังเล
“นะแม่นะ…ให้ยุได้ตอบแทนแม่เถอะ” 

ไม่รู้ว่าการโต้เถียงจบลงเมื่อไหร่ แต่สุดท้าย แม่ก็ยอมรับไตข้างหนึ่งจากสดายุ สองวันต่อมา แม่สามารถออกจากโรงพยาบาลได้ แต่กว่าจะถึงวันนัดผ่าตัด ก็ยังต้องฟอกไตอยู่เนือง ๆ ตัวสดายุเอง น้ำหนักตัวในตอนนี้ก็ยังถือว่าน้อย แม้จะแข็งแรงพอที่จะบริจาคไต แต่หมอก็ขอให้ช่วยเพิ่มน้ำหนักตัวภายใน 2 เดือนให้ได้ก่อนอยู่ดี
ในระหว่างนั้น ชีวิตของสดายุมีความสุขอย่างไม่น่าเชื่อ การได้กลับมาคุยกับแม่อีกครั้ง ลืมเรื่องที่เคยน้อยเนื้อต่ำใจ ได้ไปมาหาสู่ เหมือนทุกอย่างที่เคยเฝ้าฝันพลันเป็นจริง แม่แข็งแรงขึ้น สดายุเองก็ดูเหมือนจะมีเนื้อมีนวลขึ้นกว่าเดิมหลายกิโลกรัม เพราะอาหารรสมือแม่ที่แสนคิดถึง
ปัญหาเดียวที่เกิดขึ้นในระหว่างนี้ คือการที่กฤตเมธกลายเป็นมนุษย์นอกวงโคจร แม้จะติดสอยห้อยตามสดายุมาเยี่ยมแม่อยู่เกือบทุกครั้งที่มีโอกาส ในช่วงแรก ๆ นั้นกฤตเมธรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นแค่คนขายประกัน หรือแค่โชเฟอร์รถรับจ้าง ที่ได้รับไมตรีแค่จากคำทักทายตามมารยาท แล้วตัดขาดให้นั่งเงียบ ๆ เพียงลำพัง แต่เพราะกฤตเฒธถือดี ว่าตนมีความหน้าทนพอ ถึงได้ยังทู่ซี้ เอาตัวเองมาอยู่ในวงสนทนาของคนในครอบครัวของสดายุให้ได้  พยายามมีส่วนร่วมในทุกกิจกรรมของบ้านอย่างเต็มที่  จนในที่สุด วันที่รอคอยก็มาถึง
1 วันล่วงหน้า ก่อนการเตรียมตัวผ่าตัด

“คุณ...ดูรักลูกชายของแม่มากเลยนะคะ”
จู่ ๆ แม่ก็ทักขึ้น ในขณะที่นั่งกันอยู่เพียงสองต่อสองในศาลาไม้นั่งเล่นกลางสวนหน้าบ้าน เพื่อรอสดายุที่กำลังไปเข้าห้องน้ำ งานนี้กฤตเมธถึงกับแอบหน้าเหวอ เพราะโดยปกติแล้วแม่ของสดายุกับตนนั้น นอกจากยิ้ม ทักทายตามมารยาทแบบถามคำตอบคำแล้ว ก็ไม่เคยมีการเจรจาพาทีที่เกินกว่านั้นมาก่อน ดังนั้น เมื่อถูกชวนคุยแบบไม่ทันตั้งหลัก กฤตเมธก็ชักจะใจสั่นเล็ก ๆ
“สังเกตุมานานแล้ว คุณเอาใจใส่ตายุดีเหลือเกิน” แม่ต่อคำพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ เพื่อช่วยให้ลูกเขยรู้สึกประหม่าน้อยลง “แม่คิดว่า คุณจะถอดใจ เลิกมาบ้านเราตั้งแต่ช่วงแรก ๆ แล้วเสียอีก”  แม่เย้า เมื่อเห็นกฤตเมธเริ่มมีรอยยิ้ม
 “ผมรู้ครับ บางเรื่องมันต้องใช้เวลา หากคุณแม่เห็นว่าผมยังไม่ดีพอ ผมก็พร้อมจะพิสูจน์ตัวเอง” กฤตเมธตอบถ้อย นอบน้อม แต่ชัดเจน
 “คุณเป็นคนดีมากค่ะ แม่รู้ แม่เองก็เห็นมากับตา สัมผัสมาแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง...ขอโทษนะ ที่ทำเป็นหมางเมิน แม่แค่รู้สึกไม่คุ้นเคย…” แม่อธิบายถึงความรู้สึกของตนในช่วงแรก ๆ และไม่ลืมที่จะชื่นชม นี่เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่แม่ กับลูกเขยได้คุยกันในเรื่องต่าง ๆ มากกว่าแค่การทักทาย เพราะฉะนั้น อะไรที่ติดค้างกวนใจ แม่ก็คิดว่าควรเปิดใจกันให้หมดเสียตอนนี้
เพราะแม่เล็งเห็นแล้วว่า กฤตเมธ สามารถเป็นสมาชิกในครอบครัวที่ดีได้
“เพราะตอนแรก แม่คิดว่าคุณคงแค่เล่น ๆ กับลูกของแม่”
แค่คำแรกที่แม่เปิดใจ ก็ทำเอากฤตเมธถึงกับสะอึกแล้ว
“เพราะก่อนหน้านี้ แม่จำได้ว่า  แม่เห็นคุณเมธให้สัมภาษณ์กับนักข่าวในทีวี บอกว่ายุเป็นคนเหลวไหล และไม่นานจะต้องแพ้ภัยตัวเอง” แต่ประโยคต่อมาแทบทำเอากฤตเมธแทบทรุดมากกว่า “ก็กะว่าพ่อพระเอกคนนี้คงไม่ชอบหน้าลูกชายของแม่มากแน่ ๆ แต่พอหลังจากนั้นไม่นาน…กลับเห็นประกาศเป็นแฟนกันซะอย่างนั้น แม่ก็เลย ค่อนข้างสับสนน่ะ”
นี่ไม่ใช่แค่การเปิดใจ แต่เป็นอะไรที่ทำให้กฤตเมธสำลักน้ำลายเสียหลายอึก แม่พูดไปยิ้มไป กฤตเมธก็แต่แต่ยิ้มแหยตาม มดมาดเทพบุตรที่อุตส่าห์ฉาบเอาไว้เสียสนิท “ขอโทษครับ…ผมเอง ก็เกลียดตัวเองในตอนนั้นเหมือนกัน ที่พูดอะไรยโสแบบนั้น ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของยุเขาเลยแม้แต่นิดเดียว…ผมยอมรับผิดทุกคำเลยครับคุณแม่”
คำขอโทษของกฤตเมธ เรียกเสียงหัวเราะเบา ๆ จากแม่ มืออูมยื่นมาแตะมือของกฤตเมธเบา ๆ “หยอกเล่นนะคุณ อย่าทำหน้าสลดแบบนั้นสิ แม่ไม่แกล้งแล้วค่ะ” แม่พูดปลอบพร้อมรอยยิ้ม
ถึงตอนนี้ กฤตเมธรู้ซึ้งแล้ว ว่าสดายุนิสัยเหมือนใคร เคาะกันมาเป็นพิมพ์เดียวไม่มีผิดเพี้ยน
“หึหึ…สุดท้ายแล้ว คนที่แพ้ภัยตัวเองคงเป็นผมนี่แหละครับ” กฤตเมธยิ้มรับคำแม่ พร้อมให้คำมั่น “ผมรักยุมากครับแม่ ผมสัญญาจะดูแลยุอย่างดี ถึงแม้วันนี้คำพูดของผมอาจจะยังดูเชื่อไม่ได้ แต่ผมจะพิสูจน์ให้แม่ได้เห็นครับ”
“ขอบคุณนะคะ ฝากยุของแม่ด้วยนะ ดูแลเขาแทนแม่ที”
คราวนี้แม่ใช้ทั้งสองมือจับมือของกฤตเมธไว้ หยาดน้ำตาที่คลอเอ่อขึ้นมา ทำให้กฤตเมธรู้ว่าประโยคฝากฝังต่อไปนี้ เขาจะต้องรับมันไว้ด้วยหัวใจที่มั่นคง
“บางครั้งยุอาจทำตัวไม่น่ารัก คุณอย่าโกรธเขานะ บางครั้งที่เขาทำตัวเอาแต่ใจ ก็เพราะเขาแค่อยากอ้อน ได้โปรดอย่าเมินเขาเหมือนที่แม่เคยทำ” แม่ขอร้องทั้งน้ำตา เพราะยังปวดปร่าในความรู้สึกผิด
“ครับ…ผมรับปาก” กฤตเมธกระชับมือแม่มั่น ทอดคำสัญญาแน่นหนัก ดีใจเหลือเกินแล้ว ที่ในที่สุด ก็สามารถก้าวข้ามกำแพงที่แม่สร้างเอาไว้จนได้ ดีใจที่สุดท้ายความจริงใจก็ได้รับการยอมรับ
“ขอบคุณครับแม่ ที่วางใจยกยุให้กับผม”
“แม่เปล่า…ยุต่างหากที่เลือกคุณ แค่มองแม่ก็รู้แล้ว ว่ายุเขาอ้อนใคร”
คำพูดของแม่ยังความอุ่นซ่าสู่หัวใจของกฤตเมธอย่างล้นเหลือ แม้จะรับรู้ได้ด้วยตัวเองอยู่แล้ว ว่าถูกสดายุรักมากแค่ไหน แต่พอได้ยินจากปากคนอื่นสำทับ มันยิ่งน่ายินดีกว่าเดิมเป็นร้อยเท่า เพราะมันแสดงให้เห็นเลยว่า สดายุมอบความรักให้เขาอย่างเปิดเผย
และเขาไม่ได้คิดไปเอง…
หลังจากนั้นเพียงไม่นานสดายุก็เดินกลับออกมา น้ำตาบนใบหน้าของแม่ ทำให้กฤตเมธโดนสดายุซักฟอกเป็นการใหญ่ แต่แม่ก็คอยช่วยไว้ว่าที่ร้องไห้ เพราะดีใจที่กฤตเมธออกปากสู่ขอสดายุจากแม่
งานนี้สดายุโวยหนัก พร้อมคำบ่นที่เรียกเสียงหัวเราะไม่น้อย
“เปลี่ยนจากร้องไห้เป็นเรียกสินสอดหนัก ๆ แทนไม่ดีกว่าเหรอแม่?”

ในที่สุดวันที่รอคอยก็มาถึง หลังจากต้องตรวจเช็คความพร้อมของร่างกายครั้งสุดท้าย แล้วแอดมิดเข้านอนที่โรงพยาบาล 1 วันล่วงหน้าแล้ว ในวันนี้การผ่าตัดก็ได้เริ่มขึ้นตั้งแต่ 8 โมงเช้า แม่กับสดายุต้องผ่ากันคนละห้อง โดยทำการผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์และระบบ Controller ที่ทันสมัยที่สุดในตอนนี้ แน่นอนว่าค่าใช้จ่ายย่อมอยู่ในอัตราที่สูงกว่าปกติ เช่นกัน
จาก 8 โมงเช้า สดายุมาฟื้นอีกครั้งก็ตอน 5 โมงเย็น ความเจ็บจากการผ่าตัด เรียกเสียงครางออกจากริมฝีปากแห้งผากก่อนที่ดวงตาจะสามารถลืมขึ้นได้เสียอีก นอกจากความเจ็บปวดรวดร้าวที่รู้สึกได้แล้ว ความรู้สึกอุ่น ๆ ที่มือข้างขวา ยังทำให้สดายุรับรู้ได้ว่ามีใครอีกคนคอยเฝ้ารอให้เขาฟื้นอยู่   
ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าใคร ลืมตาขึ้นได้ก็มองเห็นทันที ถึงใบหน้าที่แสดงความห่วงใยอย่างไม่ปิดบังของกฤตเมธ รอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นทันทีที่เห็นว่าสดายุลืมตา ทำเอาคนเจ็บไม่กล้าร้องโอดโอยให้กฤตเมธต้องหน้าสลดเลย แต่นอกจากครางเบา ๆ แล้ว สดายุก็ไม่รู้ว่าตัวเองสามารถทำอะไรได้อีก เพราะตอนนี้เขายังพูดไม่ได้ เนื่องจากสายช่วยหายใจที่สอดอยู่ในคอ ร่างกายก็ขยับไม่ไหวเพราะความปวด สายสวนปัสสาวะ สายระบายเลือด สายน้ำเกลือ ระโยงเต็มตัวไปหมด เห็นสภาพตัวเอง สดายุก็ได้แต่นึกขัน ชีวิตไม่เคยคิดว่าจะหนักขนาดนี้ เคยเป็นไข้เลือดออกหนักจนต้องรับเลือดจากแม่อยู่ครั้งหนึ่ง เมื่อตอนยังเด็ก ตอนนั้นก็ว่าชีวิตหนักแล้ว มาครั้งนี้รู้เลยว่ายังมีอะไรที่มากกว่า
แต่ว่า มันก็สุขใจเหลือเกิน
สดายุทรมานกับสายสวนปัสสาวะอยู่เพียงวันเดียว เพราะรุ่งเช้า เมื่อหมอเห็นว่าสดายุฟื้นตัวเป็นที่น่าพอใจ ก็สั่งให้พยาบาลถอดสายสวนให้สดายุได้เป็นอิสระ รวมถึงสายระบายเลือดด้วย
พอคล่องตัวขึ้น สดายุก็อ้อนขอให้กฤตเมธพาไปเยี่ยมแม่ที่พักอยู่ที่ห้องปลอดเชื้อ กฤตเมธตามใจ แต่ไม่ยอมให้เดินไป ชายหนุ่มไปขอเก้าอี้รถเข็นมาหนึ่งคันเพื่อพาสดายุเข็นไปเอง
แม่อยู่ในห้องปลอดเชื้อ โดยมีพ่อเลี้ยงและสุริยะคอยเฝ้าอยู่ไม่ห่าง ทันทีที่เห็นว่าสดายุมา สุริยะก็รีบเข้าไปหา ถามไถ่พี่ชายว่าทุเลาความเจ็บลงบ้างหรือยัง เมื่อคืนก็มาคอยช่วยเฝ้าไม่ห่าง สลับไปมากับห้องแม่ ไม่แคร์แม้กฤตเมธจะบอกว่า แค่เขาก็ไหว…
…นี่เป็นอีกเรื่อง ที่กฤตเมธยังต้องต่อสู้ เพราะดูเหมือนน้องชายที่ไม่ได้เจอหน้ากันมานานของสดายุคนนี้ จะติดพี่ชายจนลืมไปแล้วว่า พี่ชายตัวเองนั้นมีคนรักอยู่ ถึงได้คอยแต่จะแย่งหน้าที่ของกฤตเมธตลอด ทุกครั้งที่มีโอกาส น้องชายคนเล็ก ที่ตัวโตอย่างกับยักษ์ ซึ่ง ณ ตอนนี้ สดายุเองก็ยังไม่รู้ตัว ว่าน้องชายกับคนรักกำลังแอบเขม่นกันลับหลังตน

“แม่…เป็นไงบ้าง?” สดายุไม่ได้สนใจแล้วว่าใครเป็นยังไง เขารีบพาตัวเองมาที่เตียงของแม่เพื่อถามไถ่อาการด้วยความเป็นห่วง
“ดีขึ้นแล้วลูก…หมอบอกว่าแม่ฟื้นตัวเร็ว แล้วยุเป็นยังไงบ้าง? เจ็บมากไหม?”
“หมอก็บอกว่ายุฟื้นตัวเร็วเหมือนกัน หายแล้วเนี่ย แข็งแรงอย่างกับม้า”
“หายเร็วก็ดีแล้ว คนเก่ง” แม่ยกมือขึ้นลูบหัวสดายุด้วยความเอ็นดู พร้อมเอ่ยปากชื่นชมในความเก่งกล้า
ทว่าสองแม่ลูกยังไม่ทันจะได้คุยกันมากเท่าไหร่ พอดีถึงเวลาที่หมอลงตรวจ สดายุจึงต้องกลับห้องตัวเองเช่นกันเพื่อกลับมารอหมอ แล้วค่อยแวะเข้าไปหาแม่ใหม่ ในช่วงบ่าย
แม้ว่าต่อหน้าแม่จะทำเป็นเก่งแค่ไหน กลับห้องมาได้ ก็ป่วยอ้อนกฤตเมธต่อ โอดโอยว่าเจ็บอย่างนั้นอย่างนี้ จนกฤตเมธต้องอุ้มขึ้นนอนบนเตียงให้ บ่นหนาวไม่อยากเช็ดตัว บ่นว่าข้าวต้มจืดเกินไป อยากกินข้าวผัดมากกว่า อยากได้กาแฟสักแก้ว แต่แม้จะอ้อนสารพัด แต่กฤตเมธก็จัดให้เฉพาะของที่หมออนุญาตเท่านั้น ซึ่งแน่นอน ตอนนี้ข้าวผัดกับกาแฟ หมดสิทธิ์  แถมยังโดนตาลุงใจร้ายบังคับจับเช็ดตัว ทั้งที่สดายุบ่นไม่ขาดปากว่าหนาวใจแทบขาด
หลังโดนหมอจับตรวจโน่นนี่ จนพอใจ อาการปวดแผลที่ยังหลงเหลืออยู่บ้าง ทำให้สดายุโดนยาตามข้าวเข้าไปอีกสองสามขนาน จากนั้นก็ถูกสั่งให้นอนพัก ห้ามดื้อห้ามซน เพราะร่างกายยังไม่พร้อมที่จะให้ขยับไปไหนมาไหน   
ห้ามไปก็เหมือนว่าจะเชื่อฟัง เพราะสดายุนอนเปื่อยอยู่บนเตียงตามคำสั่งหมออย่างว่านอนสอนง่าย ทว่าสุดท้ายพอตกบ่าย สดายุก็งอแงให้กฤตเมธช่วยพาเดินโต๋เต๋ ไปเยี่ยมแม่อีกครั้งอยู่ดี น่าเสียดายที่แม่กำลังหลับ ห้องปลอดเชื้อนั่งเฝ้านานไม่ได้สดายุจึงต้องย้ายตัวเองกลับไปพักตามเดิม อาการปวดแผลเริ่มกลับมาหลังเดินมากไป ไม่ยอมใช้รถเข็น คาดว่าวันนี้คงเดินเล่นไม่ไหวอีกแล้ว ตอนเย็นถ้าอยากจะมาอีกคงต้องอาศัยรถเข็นให้กฤตเมธช่วยพามา เพราะคงซ่าเดินเองไม่ไหวอีก
เมื่อตัดสินใจได้ว่าต้องกลับ กฤตเมธก็เข้ามาช่วยประคองอย่างรู้หน้าที่ แต่พอออกมาจากห้องพักของแม่ เป็นอันต้องชะงัก เมื่อเห็นว่าพ่อเลี้ยงนั่งอ่านหนังสืออยู่คนเดียวตรงเก้าอี้ยาวหน้าห้อง   คงเพราะเฝ้าไข้ในห้องคนป่วยไม่ได้ พ่อเลี้ยงจึงออกมานั่งรออยู่ข้างนอกแทน เพื่อเข้าไปหาตามเวลา
ตอนเข้าไปสดายุไม่เห็นว่าพ่อเลี้ยงนั่งอยู่ หรือบางทีอาจเพิ่งไปไหนมาแล้วกลับมานั่งเมื่อครู่ พ่อเลี้ยงที่นั่งก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือบางอย่างอยู่ ไม่เห็นว่าสดายุเพิ่งออกจากห้องปลอดเชื้อ แต่สดายุเห็นอีกฝ่ายได้ชัดเจนดี
ทั้งที่ปกติ สดายุกับพ่อเลี้ยงจะไม่ค่อยยุ่งวุ่นวายกันเท่าไหร่ นอกจากคำทักทายหากต้องเจอหนแล้ว ก็ไม่เคยได้คุยอะไรกันเกินกว่านั้นอีก หากเป็นปกติ สดายุคงขอให้กฤตเมธพาตัวเองกลับห้องไปโดยไม่ต้องทักทาย เพราะถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็ยังไม่ทันเห็น
สดายุก็คิดจะทำอย่างนั้น ถ้าบังเอิญสายตาไม่เหลือบไปเห็นหนังสือในมือของพ่อเลี้ยงเสียก่อน
‘คู่มือดูแลตัวเองหลังการปลูกถ่ายไต’ 

 “ขอบคุณที่ไม่ทิ้งแม่ผม”
คำทักทายอย่างกะทันหัน ทำให้พ่อเลี้ยงหันมามอง สดายุที่ยืนเด่นอยู่กับเสาน้ำเกลือ
“ขอบคุณที่คอยอยู่เคียงข้างแม่ตลอด…” คืออีกคำที่สดายุมอบให้พ่อเลี้ยงที่ไม่เคยคุยกันเกิน 10 ประโยค
พ่อเลี้ยงจ้องมองมานิ่ง เช่นเดียวกับสดายุที่มองตอบ เขาทั้งคู่ไม่เคยมีรอยยิ้มให้กันมาตั้งแต่เริ่ม แม้แต่ตอนที่ได้มาพบกันอีกครั้งก็ยังไม่มี แม้จะไม่ได้แปลกตากับใบหน้าเรียบเฉย แต่ตอนนี้พ่อเลี้ยงอาจรู้สึกแปลกหู กับคำขอบคุณที่ไม่คุ้นเคยจากสดายุไม่น้อย คำขอบใจ จากเด็กที่เกลียดขี้หน้าตนตั้งแต่วันแรกที่ได้เจอกันนี่นะ…
มันจั๊กกะเดียมดีจริง
“ก็ไม่ใช่แค่เธอนี่ ที่รักผู้หญิงคนนั้นน่ะ เขาก็คือทุกอย่างของฉันเหมือนกัน”
พ่อเลี้ยงตอบกลับมาบ้าง ก่อนผินหน้ากลับไปยังหนังสือของตัวเองต่อ แน่นอนว่าประโยคที่กล่าวออกมานั้นมันไม่ใช่ประโยคที่ฟังแล้วรื่นหู เพราะโดยนิสัยแล้วพ่อเลี้ยงอย่างเทิดไม่ใช่คนอ่อนโยน อดีตนายตำรวจใหญ่ ใจแข็งเป็นหิน แม้แต่คำพูดคำจา ก็ไม่เคยคิดรักษาน้ำใจ ซึ่งสดายุคุ้นเคยในจุดนั้นดี
“ผมรู้” สดายุจึงตอบแค่สั้น ๆ แล้วเลือกที่จะฟังพ่อเลี้ยงพูดต่อ นี่คงเป็นครั้งแรกในชีวิตเลยก็ว่าได้ ที่สดายุคนนี้ เต็มใจรับฟัง
 “ตลกนะ เธอกับฉันเราต่างก็เป็นหนามยอกอกซึ่งกันและกัน เพราะเราแย่งผู้หญิงคนเดียวกันมาตลอด แล้ววันหนึ่ง…ฉันก็ชนะ เธอออกจากบ้านไป ดาเหลือแค่ฉันคนเดียว” พ่อเลี้ยงเล่าพลางถอนหายใจ “ซึ่งนั่น…มันทำให้ฉันรู้สึกผิดต่อดามาจนถึงวันนี้ รู้สึกผิดทุกครั้ง ที่ดาร้องไห้คิดถึงเธอ”  เสียงนั้นแหบพร่า อย่างที่สดายุไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่ก็จำไม่ได้แล้วเหมือนกันว่า น้ำเสียงที่เขาเคยชิงชังก่อนหน้านี้มันเป็นแบบใด และจากเนื้อหาที่ฟังมาทั้งหมด สดายุยังแอบตกใจอยู่เล็ก ๆ อย่าบอกนะว่าพ่อเลี้ยงจะเอ่ยขอโทษเขา?
“ต่อให้ยังไง ฉันก็ไม่ขอโทษหรอกนะ เพราะเธอเองมันก็ตัวแสบ”
นั่นไง...ไม่ขาดคำ สดายุยิ้มรับบาง ๆ เพราะเกิดกลั้นขำไม่อยู่ แล้วตอบแค่คำว่า “ครับ” ออกไป เป็นอันยอมรับว่าจริงอย่างที่พ่อเลี้ยงพูดว่า ‘ถูกครับ เมื่อก่อน ผมน่ะ ไม่ใช่ย่อยจริง ๆ’
บทสนทนาเหมือนจะขาดลงแค่ตรงนั้น เพราะทางพ่อเลี้ยงเงียบไปนาน และสดายุเองก็ไม่มีเรื่องที่อยากจะพูดต่อ จึงคิดว่าการเสวนาระหว่างกันของตนกับพ่อเลี้ยงในวันนี้คงจบลงแล้ว แต่ระหว่างที่กำลังจะเอ่ยลา จู่ ๆ พ่อเลี้ยงก็หันมาสบตากับสดายุตรง ๆ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมสบตากันแท้ ๆ
ใบหน้าที่ไม่ได้เห็นอย่างเต็มตามาเนิ่นนานนั้น แตกต่างจากความทรงจำไปค่อนข้างมาก เพราะไม่ใช่เพียงแค่ 5 ปีที่ต่างฝ่ายต่างไม่ใยดี แต่ชั่วชีวิตที่ได้ร่วมบ้านกันมา ยังไม่เคยมองหน้ากันอย่างเต็มตาแบบนี้เลยสักหน...
ไม่ใช่สิ ไม่ใช่ไม่เคยมองหน้ากัน แต่ทุกครั้งจะมองกันด้วยทิฐิที่บดบังเต็มลูกตา จนมองไม่เคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงที่อยู่ตรงหน้าต่างหาก ไม่เคยเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งความเจนจัด ตามวัยที่เต็มไปด้วยประสบการณ์ชีวิต ไม่เคยสังเกตุว่าพ่อเลี้ยงนั้นผิวสีน้ำผึ้ง ไม่เคยรู้ว่าพ่อเลี้ยงมีไฝตรงหางคิ้วขวา หรือแม้แต่ผมสีดอกเลานี้ ก็จำไม่ได้แล้วว่า เขาเคยเห็นมาก่อนหรือเปล่า
 “แต่ถึงฉันจะไม่ขอโทษ ก็ใช่ว่าฉันจะไม่รู้สึกผิดหรอกนะ” โดยเฉพาะถ้อยคำที่เต็มไปด้วยความรู้สึกนี้ สดายุไม่นึกมาก่อนเลยว่า ในชีวิตนี้จะได้ยินมันออกจากปากของพ่อเลี้ยง
 “…ขอบใจนะ ที่ยอมกลับมา” คำขอคุณพร้อมรอยยิ้มน้อย ๆ ที่ไร้การปรุงแต่ง มันช่างกระชากใจ จนสดายุแทบเข่าอ่อน
จริงหรือนี่...นี่ชีวิตเรามันดำเนินมาจนถึงจุดนี้แล้วหรอกหรือ
ในที่สุดตรวนโซ่แห่งอดีตที่คอยพันธนาการเขามาทั้งชีวิต ก็ได้อันตรธานหายไปดื้อ ๆ หายไปตอนไหนก็ไม่รู้ เหลือเพียงเขาที่คิดว่ามันยังคงมี ทั้ง ๆ ที่ แทบไม่เหลือแล้วแม้แต่ร่องรอย
เมื่อรู้ตัวแล้วว่าความหนักอึ้ง ที่แบกมาตลอดบนแผ่นหลังนั้นมันหายไป  สดายุยังแทบไม่เชื่อว่าสุดท้ายแล้วตัวเองจะสามารถทำแบบนี้ได้ การที่ตัวเองยิ้มตอบพ่อเลี้ยงออกไปแบบอัตโนมัติ  ถึงมันจะเป็นแค่ยิ้มเจื่อน ๆ ก็ตามที

“มันเป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้ว...เพราะผมเองก็รู้สึกผิดเหมือนกัน ที่เลือกจากแม่มา”  สดายุเอง ในท้ายที่สุด ก็เลือกที่จะบอกความในใจของตนกลับออกไปบ้าง ไม่ได้ต้องการให้พ่อเลี้ยงหรือใครมาเข้าใจหรอก แต่ก็แค่อยากพูดออกไป ลองทำอย่างที่กฤตเมธเคยบอก  การระบายออกไปบ้าง อย่างน้อยเราจะได้ไม่ต้องรู้สึกเก็บกดมากนัก  “เพราะฉะนั้น มีอะไรที่พอจะชดเชยได้ ผมไม่ปฏิเสธที่จะทำ”
“ก็ดีแล้วล่ะ...” พ่อเลี้ยงตอบรับออกมาเพียงแค่นั้น พร้อมพยักหน้ารับรู้
หลังจากความเงียบไหลผ่านมาอีกครั้ง สดายุคิดว่านี่คงเป็นสัญญาณว่าการสนทนาเดินทางมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว เขาจึงเอ่ยลาสั้น ๆ ทั้งพ่อเลี้ยงเองก็พยักหน้ารับ ก่อนจะหันไปจดจ่อกับหนังสือของตัวเองต่อ
“มีแฟนดีนี่”
ทว่าหันหลังเดินจากมาได้ไม่กี่ก้าว เสียงที่ดังไล่หลังมา ก็เล่นเอาสดายุถึงกับชะงัก
“ถ้ารู้ว่าเธอมีรสนิยมแบบนี้...วันนั้นฉันคงไม่ระแวงเธอเรื่องยายฟ้ากับยายฝน...ไม่แน่ว่าวันนี้คงต่างออกไป”
พ่อเลี้ยงพูดทิ้งท้ายแค่นั้น แล้วก้มหน้าอ่อนหนังสือเงียบ ๆ อีกครั้ง
 “รู้แล้วสินะ ว่าผมเป็นคนดี”
สดายุตอบกลับ คาดหวังว่าจะได้เห็นปฏิกิริยาที่น่าพึงใจจากพ่อเลี้ยง
แต่เปล่า...พ่อเลี้ยงส่ายหน้ายิ้ม ๆ ทั้งที่ไม่ได้หันมามอง ถึงตอนนี้สดายุเองก็เริ่มมีน้ำโหเบา ๆ ไม่ได้รู้สึกจริงจังขึ้งโกรธตรงไหน แค่แอบฉุนในใจเล็ก ๆ ที่รู้สึกว่าสุดท้ายตัวเองก็แพ้จนได้
ฮึ่ย! กวนชะมัด!!

*************************************
ขอโทษที่ไม่ได้เว้นบรรทัดจนอ่านยากนะคะ
รอฉากหวานๆในตอนจบ กับบทส่งท้าย 2 บทขำๆ นะคะ
ขอบคุณที่ติดตามค่ะ
อนาคี99 # Thearboo
ปล.น้องยุกำลังจะรวมเล่มนะคะ ตอนนี้กำลังรีไรท์ และทำปกอยู่ค่ะ
สนใจกดติดตามได้ที่เพจตามลิงค์นี้เลยค่ะ^^
https://www.facebook.com/Anakee99.Thearboo/?ref=aymt_homepage_panel

ออฟไลน์ klaew

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1237
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-2

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4

ออฟไลน์ arij-iris

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2904
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
ดีจังน้าาาาที่เข้าใจกันได้ซะที

ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1226
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0
มาต่อไวๆนะขอรับ

อยากรู้ต่อ

อยากเห็นเขารักกันเยอะๆ


ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8891
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ zazoi

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 970
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-1

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7524
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
ใกล้จบสมบูรณ์แร้วสินะ

ออฟไลน์ krit24

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-3
ในที่สุดก็กลับมาเข้าใจกัน
รอรวมเล่มอยู่ค่า

ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2628
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
เข้าใจกันได้ก็ดีแล้ว แอบซึ้งเบาๆ น้ำตาปริ่ม

ออฟไลน์ rmlab

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1679
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-2
ยุน่ารักมาก
อยากเห็นการปะทะกันระหว่างพี่เขย กับน้องเมียที่น่าจะหวงพี่น่าดู

ออฟไลน์ kinjikung

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2940
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +163/-8
พี่ยุน่ารักจริง ๆ น้องยะติดพี่ยุจนพี่เมธุหึงหน้ามืดแน่ ๆ

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7

ออฟไลน์ KoiKa

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 83
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
งื้อออออ รักยุ นางน่าเอ็นดู อยากจะโอ๋ หายเจ็บไวๆนะคะคนเก่ง

ออฟไลน์ patchylove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1585
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-4

ออฟไลน์ DraCo_SLa13

  • I swear that, will love Super Junior forever..........
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +314/-3
มันก็โอเ่คนะกับการเดินเรื่องแบบนี้ คุณแม่ดูไม่เลวร้ายมากเท่าไหร่

ออฟไลน์ padthaiyen

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 943
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-2
ตอนนี้น่ารักมาก

ออฟไลน์ yunghanna

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ทำไมเรารู้สึกเหมือน แม่กับพ่อเลี้ยงยุผีเข้า พาร์ทอดีตนี่อย่างกับคนละคนเลย
สมัยก่อน ทำไมแม่ยุไม่ปกป้องยุบ้าง ย้อนไปอ่านคือยุน่าสงสารมากสำหรับเด็กวัยรุ่นช่วงหัวเลี้ยงหัวต่อ
แต่ก็เข้าใจนะ แต่ละคนทิฐิ
ยุรู้สึกตัวเองเป็นคนนอก ส่วนแม่ก็รักพ่อเลี้ยงอยากอยู่เป็นครอบครัว แม่หวังอย่างนึงลูกต้องการอย่างนึง
แต่ก็ดีแล้วแหละจะได้ปดแอกสิ่งที่คั่งค้างในใจยุ

ขอให้ยุมีความสุขกับเมธตลอดไปจนแก่เฒ่า ^^


ออฟไลน์ Kkookai

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
พี่เมธไม่ห่างเลยนะ ดูแลอย่างดีน่ารักมาก ยุสู้ๆ เกือบจะสุดท้ายแล้วสินะ...

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด