ผมคือ...นางเอก
ซีนสุดท้าย 80%
(ตอนอวสาน)
“ผม...สุริยะไงครับ ยะ...น้องพี่ยุเอง...”
ราวกับสันหลังสะท้านวาบ ความหนาวเยือกไร้ที่มาเกาะกุมลามร้าวไปจนถึงก้นบึ้ง สุริยะ? น้องชาย? เพราะไม่ได้ความจำเสื่อม จึงจำได้ดีว่าเขาเคยมีน้องชายชื่อนี้จริง ตอนที่เขาจากมา น้องเพิ่ง 5 ขวบ ตอนอยู่ร่วมบ้าน พ่อเลี้ยงไม่ยอมให้เราได้พบปะเพราะเกรงว่าลูกชายคนเดียวจะเลียนแบบพี่ชายเสเพล
เพราะไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกัน ไม่ได้คุยกัน เลยไม่ได้ผูกพันกันเท่าไหร่ ตอนที่สดายุออกจากบ้านไปอยู่หอพัก ยังพอได้เจอกันบ้างตอนที่แม่พาสุริยะติดไปเยี่ยมเขาที่หอพักด้วย แต่ก็แค่นั้น เราไม่ได้สนิทกัน ยิ่งหลังเข้าวงการยิ่งแล้วใหญ่ อันนั้นเรียกว่าไม่เจอกันอีกเลยก็ว่าได้ ข่าวว่าสุริยะถูกส่งไปเรียนเมืองนอกตั้งแต่เล็ก ใช้ชีวิตอยู่กับพวกพี่สาวคนละแม่อีกสองคนอย่าง ปลายฟ้า และปลายฝน
เพราะไม่เคยได้มาสุงสิงกับทางนี้ ไม่แปลกหรอกหากสดายุจะไม่รู้สึกคุ้นเคย...โตขนาดนี้แล้วหรือนี่
ใจของสดายุเต้นรัว ไม่ใช่เพราะตกใจ ตื้นตัน หรืออะไรหรอก คงเพราะแปลกใจกับการเจอหน้ากันอย่างกะทันหันมากกว่า เขาตัดขาดครอบครัวมานาน จู่ๆ ต้องมาเผชิญหน้า มาพาลให้ทำตัวไม่ถูก
“ยะ...” เสียงที่แหบอยู่แล้วของสดายุ ยิ่งแหบหนักเข้าไปอีก ชื่อของน้องชายที่ไม่ได้เรียกขานมานาน เวลาเปล่งมันออกจากปาก มันจึงยังรู้สึกติดขัด “ไง...โตขึ้นเยอะเลยนี่ 16 แล้วสิ” พอได้เอ่ยปากออกมาสักครั้ง ก็ต้องสูดหายใจเข้าไปครั้งหนึ่ง ถึงจะตั้งสติให้พูดคุยออกมาได้อย่างต่อเนื่อง เขาเป็นพี่ชาย เป็นผู้ใหญ่กว่า ต้องไม่ทำให้ เกิดบรรยากาศอึดอัด
“ครับ 16 แล้ว” ฝ่ายสุริยะเองก็ตอบอึกอัก สองพี่น้องไม่คุ้นเคยกับการพูดคุยกันเท่าไหร่นัก
ความขัดเขินที่เกิดขึ้นระหว่างกัน ทำให้ความเงียบเข้ามาครอบคลุมทั้งคู่เอาไว้อีกครั้ง สดายุจึงจำเป็นต้องยุติบรรยากาศอึดอัดที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกรอบ “ออกไปคุยกันข้างนอกเหอะ ในห้องน้ำมันเหม่งๆนะ”
พูดจบสดายุก็พุ่งนำออกไปที่ประตู ก่อนจะชะงักเพราะถูกน้องชายคว้าแขนเอาไว้ ร่างที่จู่ ๆ ก็ถูกดึงเข้าประชิดกะทันหัน ทำให้สดายุเผลอชักสีหน้า แต่สีหน้าที่เหมือนจะร้องไห้ออกมาให้ได้ของเด็กหนุ่มตรงหน้า ก็พาลให้โกรธไม่ลง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับเรื่องที่เด็กคนนั้นกำลังเอ่ยปาก
“ผมขอโทษที่จู่ ๆ ก็โผล่มาเอาตอนนี้...” เสียงนั้นใกล้อยู่แค่ริมหู เสียงที่สั่นพร่า เพราะความประหม่าและสับสน
แต่สุดท้าย ก็กลั่นถ้อยคำออกมาได้ ด้วยประโยคที่ทิ่มแทงใจของสดายุที่สุด
“พี่ยุ...ช่วยแม่ที”
หน้าห้องพิเศษ ในโรงพยาบาลเอกชนชื่อดัง สดายุที่กำลังยืนตัวแข็งทื่อ จ้องมองผ่านกระจกบานใสเข้าไปในห้องพักไข้สีขาวปลอดสะอาดตา ทั้งที่ไม่ได้เห็น ว่ามีใครนอนรออยู่หรือเปล่า เพียงแค่ขอบเตียงเท่านั้นที่สะท้อนในสายตา เท่านี้ ก็ทำเอาหัวใจที่คิดว่าตายด้านเสมอมา เจ็บชาร้าวรวด
กว่า 5 ปีที่ไม่ได้เจอหน้า แม่...จะเปลี่ยนไปแค่ไหนนะ อ้วนขึ้นไหม หรือว่าจะผอมลง ผมแม่จะขาวหรือยัง เสียงแม่ยังหวานเหมือนเดิมไหม...
เพราะหนีหน้ามาถึง 5 ปี กลัวการเผชิญหน้าเหลือเกิน
หัวใจสดายุเต้นรัวขึ้น ในขณะที่กำลังตัดสินใจเป็นพันๆ ครั้ง ว่าจะเปิดประตูดีหรือไม่ ห่วงที่แม่ป่วยอย่างสุดใจ แต่กลับไม่มั่นใจพอที่จะเปิดประตู มันกะทันหัน มันยังไม่ได้เตรียมใจ
ห่างออกไปจากสดายุที่ยืนนิ่งงันอยู่อย่างนั้น คือกฤตเมธกับสุริยะ ผู้เป็นน้องชายดวงหน้าสลดไม่ต่าง เพราะเขาเพิ่งฝ่าฝืนคำสั่งบิดา ไปพาพี่ชายที่ตัดขาดกันไปนานกลับมา ทั้งยังเหมือนเป็นการฝืนใจพี่ชายด้วย
…พี่ยุ ผมขอโทษ
หนุ่มน้อยเดินสำนึกผิดเข้าไปใกล้ เอื้อมมือช่วยสดายุเปิดประตูบานหนัก สบตากันเพียงเล็กน้อย แล้วเดินนำหน้าสดายุเข้าไปในห้องพักฟื้นพิเศษนั้น
ขนาดน้องชายเดินนำอยู่ข้างหน้า สองขากลับยังก้าวไม่ออก สดายุทำได้เพียงสูดอากาศเรียกกำลังใจ พอดีกับที่มืออุ่นใหญ่ของกฤตเมธแตะลงเบา ๆ ที่ไหล่เสียก่อน
สดายุหันไปมองเจ้าของมือนั้น ด้วยสายตาราวเด็กน้อย กฤตเมธเพียงยิ้มแล้วพยักหน้า มือใหญ่โอบไหล่ไหวสะท้านแน่น ประคองร่างผอมบางให้ตามสุริยะเข้าไปในห้อง อย่างมั่นคง
“ไปไหนมาตายะ หายไปได้ทุกเย็นเลยนะ”
ในอกของสดายุวูบโหวง ทันทีที่ได้ยินเสียงที่เคยคุ้น ร้องทักเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าออกมา เสียงของแม่ ที่สดายุยังจำได้ดี สดายุกลั้นใจมองผ่านหลังของน้องชายที่ตัวโตกว่าออกไป มองตรงไปยังเตียงผู้ป่วยเตียงนั้น ที่ที่มีหญิงสาววัยกลางคนรูปร่างไม่คุ้นตา กำลังพยายามชันกายลุกขึ้นนั่งอยู่ อีกฝ่ายยังไม่ทันเห็นสดายุ แต่สดายุมองเห็นได้ชัดเจนแล้ว
แม่ดูแก่ขึ้น ทั้งยังท้วม และตัวบวมน้ำ ใบหน้าที่เคยสวยหวาน บัดนี้ร่วงเลยตามกาลเวลา ริ้วรอยแห่งวันที่ล่วงเลยปรากฏชัดเจน จนมองเห็นได้ ถ้าจำไม่ผิด ปีนี้แม่อายุ 51 แล้วสินะ…
“……….”
“……….”
ไม่ทันตั้งตัว ในขณะกำลังพินิจพิเคราะห์ใบหน้าของแม่อยู่ จู่ ๆ แม่ก็หันมองมา ใบหน้าบวมหน่อย ๆ ของแม่นิ่งอึ้ง ดวงตาที่เคยกลมโตเบิกกว้างอย่างคนประหลาดใจ ก่อนที่ทำนบน้ำตาจะพังครืนออกมาให้เห็นเต็มหน้า
แม่ไม่ได้พูดอะไรนอกจากเสียงสะอื้นฮั่ก สดายุผละจากมือของกฤตเมธไป ออกเดินเข้าไปใกล้เตียงของแม่ ขณะที่ยังมองหน้ากันไม่วางตา สองขาของสดายุทรุดลงตรงหน้าเตียง ก่อนก้มลงกราบทั้งอย่างนั้นโดยไม่ได้เอื้อนเอ่ยคำใด ๆ ยิ่งเห็นแบบนั้น แม่ยิ่งร้องไห้หนัก สดายุกลั้นใจลุกขึ้น แล้วเดินไปนั่งข้างกายแม่
“ผมกลับมาแล้วแม่” สดายุกระซิบแผ่ว เอื้อมมือไปกุมมือแม่ไว้เบา ๆ หัวใจยังคงสั่น
ความรู้สึกยังคงอื้ออึง วันเวลา 5 ปี มันทำให้ขัดเขินไปหมด เพราะขนาดแค่จับมือของแม่ มือสดายุยังสั่น ความกังวลว่าจะถูกปฏิเสธแบบไม่มีข้อโต้แย้ง เพราะรู้ตัวดีว่าต้นเหตุแห่งความห่างเหินมาจากใคร ทำให้สดายุไม่กล้าเข้าใกล้แม่มากไปกว่าการจับมือ น้ำตาของแม่ทำให้สดายุเจ็บปวด แต่เขาก็ยังไม่กล้ายกมือขึ้นช่วยเช็ดให้ แม่ดูเปราะบางเกินกว่าที่เขาจะกล้าสัมผัส
ท้ายที่สุด เป็นแม่เอง ที่เองกายมาซบใกล้กับลูกชายที่หายหน้าไปนานอย่างสดายุ แม้จะเป็นแค่ช่วงไหล่ แต่มันยังความกล้ามาสู่ใจของสดายุอย่างมหาศาล รู้แล้วว่าแม่ยังคงอ้าแขนรับ แม้ว่าแม่จะยังไม่ยอมพูดอะไรนอกจากร้องไห้
“ยุขอโทษนะแม่ ที่หายหัวไปเลย ยุขอโทษที่สร้างแต่เรื่อง” เมื่อมีความกล้า สดายุจับก็มือแม่แน่นขึ้น แล้วค่อยๆโอบกอดแผ่นหลังลู่สั่นเทิ้ม เพื่อปลอบประโลมแม่ที่ยังสะอื้นไม่หยุด “แม่อย่าร้องขนาดนั้นสิ ยุใจไม่ดีเลย” ทั้งที่มีคำพูดเป็นร้อยเป็นพันที่อยากจะบอก แต่สดายุกลับพูดไม่ออกนอกจากคำว่าขอโทษ กับคอยโอ้โลมให้แม่หยุดร้องไห้ หลายร้อยถ้อยคำถูกกลืนหายลงคอ จนพูดต่อไม่ออก ทำได้แค่ค่อยๆเอนศีรษะลงซบตรงไหล่ไหวสะท้านของแม่แค่นั้น
“คิดถึง” คือคำพูดแรก ที่แม่สามารถส่งผ่านก้อนสะอื้นออกมาได้ “คิดถึง” ย้ำออกมาอีกครั้ง พลางใช้มือข้างที่ไม่ได้เกาะกุมกัน ขึ้นลูบใบหน้าของลูกชายเบา ๆ “กลับมาแล้วเหรอ...ยุ”
ฝ่ามือแห้งกร้านจากความเจ็บป่วยค่อย ๆ บรรจงลูบผ่านข้างแก้ม สดายุหลับตาลงเพื่อซึมซับสัมผัสนั้น คำว่าคิดถึงของแม่ยังความอุ่นซ่าไปทั้งอก กลั่นหยาดน้ำตาของสดายุให้หลั่งไหลออกมาเป็นสาย ในทันทีที่ค้นพบบ่อน้ำตาตันๆ ของตัวเอง บ่อก็ท่วมท้นจนรินล้นพร่างพรู
พวกมันดีกว่ายุตรงไหนอ่ะแม่!? ชื่อเสียง เงินทอง ยุก็มีให้แม่มากกว่าพวกมัน
เราคือครอบครัวนะยุ ทำไมลูกถึงต้องทำตัวแปลกแยกด้วย
พวกมันไม่ใช่ครอบครัวยุ!! แม่ก็รู้ว่าพวกมันเกลียดยุอย่างกับอะไร ไม่รู้ล่ะ ยุจะพาแม่กับน้องไปอยู่ด้วย!!
ไม่ยุ...แม่จะไม่ไปไหนทั้งนั้น ที่นี่คือบ้านของเรา
แต่มันไม่ใช่บ้านของผม ผมไม่ขอกลับมาเหยียบที่นี่อีก
โถ่...ยุ
ถ้าแม่เห็นพวกมันดีกว่ายุ เลือกพวกมันมากกว่ายุ ยุก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว
แม่ไม่ได้เลือกใคร หรือรักใครมากกว่า ทุกคนคือครอบครัวของแม่นะ แม่ก็แค่อยากอยู่บ้าน อยากให้เราอยู่ร่วมกัน...
แต่ผมไม่อยากได้ครอบครัว! และผมไม่มีทางกลับมาที่นี่อีกแล้ว ดังนั้น ถ้าแม่ไม่ยอมไปกับยุ เราอาจจะไม่ได้เจอกันอีก
เอาเถอะยุ ทำตามที่ยุสบายใจ แม่จะไม่ห้ามอะไรทั้งนั้น แต่จงจำไว้ ว่ายุกลับมาที่นี่ได้ตลอด...
ความทรงจำในวันจากลาฉายชัด วันที่สดายุเผลอใช้อารมณ์เป็นที่ตั้ง ความเยาว์วัยผนวกอารมณ์ร้าย ทำให้พูดและทำอะไรออกไปโดยไม่ยั้งคิด เป็นคนเดินออกมาเองแท้ๆ แต่กลับฝังใจตัวเองผิด ๆ ไปว่าถูกทอดทิ้ง น้อยอกน้อยใจในเรื่องไม่เป็นเรื่องจนเสียผู้เสียคน ทั้งที่พอโตขึ้นมาก็พอคิดได้แล้วว่ามันไม่ใช่ สิ่งที่ทำอยู่มันเสียเปล่า เป็นวิธีที่โง่เง่า แต่หัวใจบิดเบี้ยวกลับดึงดันรั้งรอ ไม่ยอมกลับไปแก้ไขให้มันดีขึ้น
วันนี้ที่ได้กลับมาเจอแม่อีกครั้ง สดายุยิ่งกระจ่างใจ...โถเรามัน ช่างโง่งม
การพบกันครั้งแรกในรอบ 5 ปี สองแม่ลูกไม่มีอะไรพูดคุยกันมากนัก แค่จับมือกัน กอดกัน มองหน้ากัน แล้วยิ้ม สดายุกอดแม่ แล้วให้แม่ลูบหัวลูบตัวให้หายคิดถึง แม่ไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่าการถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ เพราะแม่ได้แต่ตามข่าวในทีวี เห็นว่ากำลังมีปัญหาจนต้องออกจากวงการ ใจนึกเป็นห่วงมาก อยากไปหาอยู่หลายครั้ง แต่เพราะไม่รู้ว่าตอนนี้ลูกชายอยู่ที่ไหน ไม่รู้แม้กระทั่งเบอร์ติดต่อ ทั้งตัวแม่เองก็ล้มป่วย เจ็บออด ๆ แอด ๆ จนแล้วจนรอดเลยไม่ได้ไปหาสดายุเสียที มาวันนี้ดีใจหนักหนา ที่ลูกกลับมาหากันได้
ใจแม่รู้ดี ว่าที่เหตุการณ์มันเลวร้ายได้ขนาดนี้ ส่วนหนึ่งก็เพราะตัวเองที่ผิด ทิฐิเหนือเหตุผล เพราะตนเป็นแม่ที่อุตส่าห์เลี้ยงดู ทั้งรักใครถนอมเสียยิ่งกว่าอะไร น้อยใจนักที่ลูกกลับดูถูกความรักที่มอบให้ ใส่ร้ายกันไปว่าตนไม่ใยดี มาคิดได้เอาหลังจากลูกจากไปแล้วว่าหล่อนช่างงี่เง่า ยิ่งตอนนี้ยิ่งเสียใจ ที่ไม่ได้คอยอยู่ให้กำลัง ไม่ได้คอยเคียงข้างยามลูกมีปัญหา ชีวิตที่ล้มเหลวของลูก ส่วนหนึ่งคือแม่คนนี้ที่เป็นสาเหตุ พอรู้สึกตัวขึ้นมา น้ำตาแม่ก็ไหลพรากอีกครั้ง รู้สึกผิดต่อลูกชายเหลือเกิน
“ขอโทษนะยุ ที่แม่เห็นแก่ตัว ที่แม่ปล่อยให้ยุต้องเผชิญปัญหาเพียงลำพัง...แม่มันแย่จริง ๆ...แม่ขอโทษ...” เอ่ยขอโทษลูกชายด้วยหัวใจที่อ่อนล้า พลางสวมกอดลูกแน่นด้วยความรู้สึกผิดเหลือล้น
สดายุกอดแม่ตอบ “ยุต่างหากที่ผิดแม่ ยุต่างหากที่เกเร ยุต่างหากที่ควรขอโทษ แม่ครับ ยุขอโทษ...” ปฏิเสธความผิดของแม่ และยอมรับความผิดของตน แต่เหมือนจะยิ่งทำให้แม่ต้องเศร้ากว่าเก่า สดายุจึงตัดสินใจเล่าความจริง
“ยุไม่ได้ลำบากอะไรเลยแม่...หรือถ้าจะมีเรื่องอะไรก็เพราะเกิดจากตัวยุเองทั้งนั้น...” สดายุพยายามอธิบาย
“แต่แม่ทิ้งให้ยุ...ต้องอยู่ลำพัง...” ถึงกระนั้น แม่ก็ยังคงรู้สึกเสียใจ แม่ยังคงร้องไห้
“เปล่าแม่ ยุไม่ได้อยู่คนเดียว...” สดายุว่า พลางช่วยซับน้ำตาจากแก้มแม่ เสียงแหบเสน่ห์ทอดหวาน ดวงตาคมพยายามสบตาแม่ด้วยรอยยิ้ม พร้อมเอ่ยปากบอกเรื่องสำคัญอย่างไม่รู้สึกขัดเขิน “ยุมีพี่เมธเขาอยู่ด้วย”
คำพูดนั้น ได้ยินกันเพียงสองแม่ลูก แต่สายตาที่จู่ ๆ ก็มองตรงมา ทำให้กฤตเมธที่ยืนอยู่ไกลปืนเที่ยง เริ่มรู้สึกตัวว่ากำลังโดนพาดพิง แต่ก็ไม่ได้ออกอาการอะไร นอกจากยิ้มน้อย ๆ ให้กับสายตาที่มองมา
แม่ยิ้มบางกลับไปให้กฤตเมธ ก่อนหันมาหาสดายุพลางกระชับมือลูกชายมั่น “แม่เห็นในทีวีแล้ว...ไม่นึกมาก่อนเลย ว่า...จะเป็นผู้ชาย เขาดีกับยุมากไหม?” แล้วถามออกมาเสียงเบา เพราะความกังวลใจ
เพราะแม่ยังไม่คุ้นกับเรื่องแบบนี้ แม่ยังทำใจยอมรับไม่ได้
“ที่สุดครับ พี่เมธดีกับยุที่สุด” เห็นสายตาแม่ก็รู้แล้วว่า แม่รู้สึกกับยังไงกับความสัมพันธ์ของตนกับกฤตเมธ จะให้ทุกคนเปิดใจกว้างเหมือนอย่างแม่กรพิณน์ ก็คงไม่ได้ ชายรักชาย อย่างไรก็ยังไม่ใช่เรื่องที่จะสามารถทำใจยอมรับได้ง่าย ๆ อยู่แล้ว เรื่องนี้สดายุเข้าใจดี แต่ก็อยากให้แม่เข้าใจเขาด้วยเช่นกัน
อยากให้แม่ได้รู้ ว่ากฤตเมธดีกับเขามากแค่ไหน “ถ้าไม่มีพี่เขา ยุเองก็ยังไม่รู้ว่าวันนี้จะเป็นยังไง พี่เขาเป็นคนดีครับแม่ แม่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ”
“ถ้ายุว่าดี แม่ก็ว่าดี ถ้ายุมีความสุข แม่เองก็สุขด้วย...” แม่พยักหน้ายิ้มรับ ลูกชายมีคนรักเป็นผู้ชาย จะให้หล่อนทำใจยอมรับง่าย ๆ ได้อย่างไรเล่า แต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่ได้มีสิทธิ์ไปก้าวก่าย โดยเฉพาะการที่จะอ้างสิทธิ์ว่าเป็นบุพการีด้วยแล้ว แม่อย่างหล่อนยิ่งไม่กล้าเข้าไปใหญ่ ได้แต่มองหน้าลูกชาย สลับไปมากับคนที่หล่อนก็รู้จักดีว่าเป็นถึงพระเอกเนื้อทองของวงการ แล้วพยายามทำใจยอมรับให้ได้ก็เท่านั้น วันนี้ยังไม่ได้ วันหน้าก็ต้องได้ เพราะนั่นคือคนที่ลูกเลือก
“เขา...จะดูแลยุอย่างดีใช่ไหม...ในอนาคตต่อไป...เขาจะไม่ทิ้งลูกของแม่ใช่ไหม...” น้ำเสียงสั่นพร่า กระซิบถามย้ำ
“ไม่รู้สิแม่ ผมกับพี่เขาเราอาจอยู่กันอย่างนี้ไปจนแก่ หรือในสักวันพี่เขาอาจหมดรักยุ หรือเป็นยุเองที่ทิ้งพี่เขา ยุเองก็ไม่รู้หรอกว่าอนาคตจะเป็นยังไง...รู้แค่วันนี้ พี่เขาดีกับยุมาก พรุ่งนี้ก็คงยังดีกับยุอยู่แน่ๆ รู้แค่นั้นแหละครับ...” สดายุตอบพลางยิ้มหวาน เขาไม่อยากปั้นเรื่องเสริมแต่ง เป็นนิยายรักโรแมนติกดูดีให้แม่ฟัง อยากพูดแค่เรื่องจริงในความรู้สึกเท่านั้นให้แม่ได้รับรู้
แม่พยักหน้ารับฟัง และไม่เอ่ยอะไรมากไปกว่านั้นอีก พอดีว่าถึงเวลาที่ต้องกลับ เพราะหมดเวลาเยี่ยม สดายุจึงจำต้องขอตัวกลับออกมาก่อน แล้วสัญญาว่าจะมาใหม่ในวันรุ่งขึ้น แม่พยักหน้ายิ้มส่ง ทั้งที่ยังคงจับมือลูกชายแน่น
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ พี่จะมาตรวจร่างกายตั้งแต่เช้า” เมื่อออกมาไกลจากห้องคนป่วยพอ สดายุก็หันไปคุยกับสุริยะ เพื่อนัดแนะกันถึงกิจธุระที่ต้องจัดการในวันพรุ่ง
“ครับ…ขอบคุณนะพี่ยุ…ขอบคุณที่พี่ยอมช่วย” สุริยะอึกอัก รู้สึกทั้งขอบคุณและขัดเขิน คนที่ไม่เจอกันเลยกว่า 5 ปี พี่น้องที่ไม่เคยมีสัมพันธ์อันดีในความทรงจำ ความห่างเหินยังผลให้เกิดความประหม่า ที่ตนกล้าบากหน้าไปขอความช่วยเหลือ
“แม่ก็เป็นแม่พี่เหมือนกันนะ” สดายุตอบฉะฉาน พลางส่งยิ้มให้น้องชายน้อย ๆ
สุริยะไม่ได้พูดอะไรต่อจากนั้น เพียงยิ้มบางให้กับพี่ชายที่เอื้อมมือมาตบแขนเขาเบา ๆ เป็นการบอกลา ขณะที่เฝ้ามองแผ่นหลังพี่ชายที่เดินจากไป ในหัวของสุริยะก็คิดวนไปเวียนมาถึงเรื่องที่กำลังเกิดขึ้น
แม่ล้มป่วยเป็นโรคไตวายเรื้อรัง ทางรักษาทางเดียวที่สามารถทำให้หายได้คือการปลูกถ่ายไตใหม่ หรือคือการเปลี่ยนไต แต่แม่มีกรุ๊ปเลือดพิเศษ ไม่สามารถเข้ากับไตบริจาคที่มีอย่างขาดแคลนได้ ร้ายกว่านั้นคือ แม้แต่ของคนในครอบครัวเองแท้ ๆ อย่างสุริยะ ก็ยังเข้ากันไม่ได้ หรือต่อให้เข้ากันได้ หัวเด็ดตีนขาด แม่ก็ไม่ยอมรับ
แม่จึงต้องรอคิวผู้บริจาคที่เนื้อเยื่อสามารถเข้ากันได้ ทว่าระหว่างรอ แม่ก็ต้องฟอกไตทุกวัน แม่อายุมากแล้ว ร่างกายแม่จึงอ่อนล้า สุริยะและพ่อของสุริยะ พยายามทุกวิถีทางเพื่อหาไตใหม่มาปลูกถ่ายให้แม่ แต่ไม่ว่ากี่ครั้ง ผลการตรวจเนื้อเยื่อก็จะออกมาว่า ไตนั้นไม่อาจเข้ากับร่างกายของแม่ได้ นานวันเข้า แม่ยิ่งทรุดโทรม แม้จะยังใช้ชีวิตประจำวันอยู่ได้เพราะฟอกไต แต่ร่างกายแม่ก็เริ่มบวมน้ำ บวม ๆ ยุบ ๆ อยู่แบบนั้น ทั้งยังป่วยบ่อยขึ้น เช่นวันนี้ที่ต้องมานอนพักฟื้นที่โรงพยาบาล เพราะแม่มีความเสี่ยงที่จะช็อคเอาได้ง่าย ๆ
แล้ววันหนึ่ง สุริยะก็ได้ค้นพบข้อมูลสำคัญจากประวัติการรักษาของแม่ นั่นคือ แม่เคยบริจาคเลือดให้พี่ชายของตน เมื่อสิบแปดปีก่อน นั่นคือแสงเดียวที่ส่องประกายขึ้นท่ามกลางความหมดหวัง สุริยะเร่งตามหาพี่ชายคน ที่เขาไม่เจอตัวจริงมานานหลายปี เห็นข่าวในทีวีว่าพี่มีคนรัก เป็นดาราร่วมวงการ ตอนนั้นสุริยะไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยไปถึงว่าดาราคนนั้นเป็นพระเอกดัง หรือเป็นผู้ชาย เพราะความหมายเดียวของกฤตเมธที่มีต่อสุริยะนั้น คือแผนที่ที่สุริยะจะสามารถตามหาพี่ชายเจอ
แล้วความพยายามก็สำฤทธิ์ผล หลังจากเทียวเฝ้าเข้าไปสั่งข้าวผัดแสนแพงทานวันละจาน ในที่สุดวันนี้ก็ได้พบพี่ชายเสียที โชคดีเหลือเกินที่เหลือบไปเห็น โชคดีเหลือเกินที่ใจกล้าพอที่จะตามพี่ชายเข้าห้องน้ำ
“เดี๋ยวกลับไป รีบอาบน้ำนอนเลยนะยุ พรุ่งนี้ได้แข็งแรง ๆ” กฤตเมธสั่ง ขณะพาสดายุลงลิฟท์มาที่ลานจอดรถ พรุ่งนี้เป็นวันสำคัญ เขาอยากให้สดายุพร้อมที่สุด
“อืม” สดายุตอบรับเพียงสั้น ๆ เพราะตอนนี้ในหัวมีแต่เรื่องของแม่ สายตาที่ทอดต่ำแลดูวุ่นวาย เพราะทุกอย่างมันดูกะทันหันไปหมด จู่ ๆ ก็มีน้องชายที่เขาแทบจะลืมหน้าไปแล้วโผล่มา มาเพื่อบอกว่าแม่ป่วยหนักมีแค่พี่ชายคนนี้เท่านั้นที่ช่วยได้
สดายุไม่ได้เสียดายไตหรอกนะ แต่เสียใจต่างหากที่แม่ป่วยมานานขนาดนี้ ตนกลับไม่รู้เรื่องรู้ราว มัวแต่คิดหาความสุขใส่ตน แล้วทอดทิ้งแม่ ด้วยข้ออ้างโง่เง่าว่า ‘น้อยใจ’
คิดถึงตรงนี้ทีไร มือของสดายุก็กำแน่น เขามันบัดซบสิ้นดี! แถมเมื่อครู่นี้ที่ได้เจอแม่ ก็ดันน้ำท่วมปาก แม้แต่ถามไถ่สุขภาพสักคำก็ไม่มี พูดแต่เรื่องอะไรก็ไม่รู้ที่ช่างไร้ประโยชน์ อยากทุบหัวตัวเองเหลือเกิน…
หมับ…แรงโอบไหล่ของใครบางคน ทำเอาสดายุที่กำลังฟุ้งซ่านถึงกับเซแซ่ด ร่างที่ถูกรั้งเข้าปะทะอกกว้างอย่างกะทันหันทำเอาสะดุ้งน้อย ๆ เมื่อเงยหน้าขึ้นเห็นกฤตเมธส่งยิ้มผ่านดวงตามา สดายุก็รู้สึกตัวว่า ตัวเขาที่กำลังจ่อมจมอยู่กับวังวนในอดีต กำลังถูกกฤตเมธฉุดดึงขึ้นมา
“คิ้วผูกโบว์ขนาดนั้น ก็ได้ปวดหัวจนนอนไม่หลับอีก เดี๋ยวพรุ่งนี้ผลตรวจก็แย่หรอก” กฤตเมธบ่นปรามกลั้วรอยยิ้มบาง ๆ ขณะใช้นิ้วชี้ข้างที่ว่าง ยกขึ้นคลายปมคิ้วให้สดายุอย่างอ่อนโยน
“เรื่องในอดีตน่ะ เรากลับไปแก้มันไม่ได้หรอกนะ แต่ก้าวต่อไปต่างหาก ที่เราสามารถกำหนดมันได้…” กฤตเมธพูดต่อ พลางโอบไหล่ของสดายุแน่นขึ้น “ยุว่าอย่างนั้นไหม?” พร้อมส่งคำถามด้วยรอยยิ้มออกไป
คำถาม ที่ไม่ได้ต้องการคำตอบ แต่คือคำปลอบประโลมใจในสไตล์ของรุ่นใหญ่คนนี้ เพราะกฤตเมธรู้ดีว่าสดายุยังคงบอบบาง และอ่อนแอต่อโลกนี้อยู่มาก เขาที่การ์ดแข็งแรงกว่า จึงต้องพยายามประคับประคอง และปกป้องอย่างเต็มที่
“อืม” ฝ่ายสดายุเอง เมื่อได้รับการปลอบโยน หัวใจที่เจ็บร้าวก็ทุเลาลงหน่อย หัวหนัก ๆ จึงซุกลงอกกว้างอย่างตั้งใจ เพื่ออ้อนขอความอ่อนโยนอีก สภาพน่ารักน่าเอ็นดูจนกฤตเมธเกือบลืมเกรงใจกล้องวงจรปิด
“ยุ…เหรอ?”
เสียงไม่คุ้นเคยที่ขานชื่อขึ้น ทำเอาสองร่างที่กำลังอี๋อ๋อกันอยู่เป็นอันต้องหยุดชะงัก หัวใจของสดายุวูบโหวงทันทีที่ได้เห็นคนที่เรียกชื่อตน
เทิด พ่อเลี้ยงของสดายุ คนที่ในอดีตเคยบาดหมางกันมาก ถึงมากที่สุด กว่า 5 ปีที่ผ่านมา คนในความทรงจำดูเปลี่ยนไปมาก สดายุลองคำนวณคร่าว ๆ อายุเกือบ 60 ปีแล้วสินะ ถ้าจำไม่ผิด วันนี้พ่อเลี้ยงของเขาดูตัวเล็กลงอย่างไม่น่าเชื่อสายตา แม้แต่กระแสอำนาจ ความดุดันที่เคยมีอย่างล้นเหลือเมื่อครั้งเก่าก่อน ก็ดูจะอันตรธานหายไปด้วย
“สวัสดีฮะ…ลุงเทิด” สดายุยกมือขึ้นไหว้ พร้อมกล่าวทักทายออกไปด้วยน้ำเสียที่แหบพร่ากว่าปกติ นานแค่ไหนแล้วนะ ที่เขาไม่ยกมือไหว้ชายคนนี้
“เจอดามาแล้วสินะ” พ่อเลี้ยงรับไหว้โดยดี พร้อมถามไถ่ถึงการพบเจอกันระหว่างสดายุและแม่สรินดา หรือ ‘แม่ดา’
“ครับ…แม่ดูแย่กว่าที่ผมคิด” สดายุลังเลอยู่ครู่ก่อนจะตอบออกไป ฉุกคิดขึ้นได้ว่า นี่อาจเป็นการคุยกันดี ๆ ครั้งแรกในรอบหลายปี สดายุจ้องมองพ่อเลี้ยงตรงหน้านิ่ง ในหัวประเมินสถานการณ์ความน่าจะเป็นที่จะดำเนินต่อไป คิดไว้ตั้งแต่ก่อนมา ว่าถ้าหากได้เจอกัน คงโดนไล่ตะเพิด ว่าจะแส่มาเอาทำไมป่านนี้ หรืออย่างน้อย ๆ ก็ต้องโดนเขม่นเอาบ้างสักทีสองที
“อืม ก็ตั้งสามปีแล้วนี่นะ แก่ขึ้นด้วยอะไรด้วย ร่างกายก็อ่อนแอเป็นธรรมดาแหละ” แต่นี่กลับผิดคาด พ่อเลี้ยงของเขายังคงเจรจาพาที ราวกับไม่เคยมีเรื่องบาดหมาง แม้แต่ใบหน้าดุดันในความทรงจำ ตอนนี้ยังอุตส่าห์ทอยิ้ม
เลิกแล้วต่อกัน…อย่างนั้นหรือ?
พ่อเลี้ยง เลิกชังน้ำหน้าเขาแล้วอย่างนั้นหรือ?
ความเงียบที่เกิดขึ้น หลังจากสดายุไม่ยอมต่อประโยคพูดคุย ฝ่ายพ่อเลี้ยงก็เป็นฝ่ายชวนคุยก่อนอีกครั้ง คราวนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นการเตือนมากกว่า “อ่อ…เรื่องไตน่ะ ทำใจไว้หน่อยนะ ดาคงไม่ยอมรับไตของเธอแน่ ๆ” พ่อเลี้ยงพูดพลางยิ้มขื่น “เขาไม่อยากให้ลูกเขาต้องเสี่ยงหรอก”
“ผมจะคุยกับแม่เอง…ต่อให้แม่ไม่ยอม” สดายุออกปากเป็นมั่น
ความรั้นฉายชัดในดวงตาของสดายุนั้น เรียกรอยยิ้มแก่พ่อเลี้ยงอีกครั้ง “ดาก็เหมือนเธอแหละ ดื้อ บทจะเอาแต่ใจ ก็ไม่ยอมฟังใครหน้าไหนเหมือนกัน” จนอดไม่ได้ที่จะว่าหยอกออกไป พลางถอนหายใจ เมื่อรู้สึกว่าพอแล้ว “แต่เอาเถอะ ลองดูก็แล้วกัน ฉันก็อยากให้เขาหาย”
“ผมจะทำเต็มที่” สดายุรับคำ ใบหน้ายังคงขมวดมุ่น ไม่รู้ทำไม เขาถึงยิ้มออกมาไม่ได้เช่นที่พ่อเลี้ยงเป็น ทำไมเวลา 5 ปี ถึงเยียวยาฝ่ายนั้นได้ แต่กลับไม่ใช่เขา?
แต่ช่างเถอะ สดายุถอนหายใจ แบบนี้มันก็ดีแล้ว เลิกบาดหมางกันได้ เขาก็สามารถอยู่กับแม่ได้นานขึ้น โดยไม่ต้องมาคอยรู้สึกอึดอัดใจอย่างเมื่อก่อน
ถึงจะคิดว่าดี แต่วันนี้สดายุพอแล้ว แค่นี้สมองเขาก็ล้าเกินพอ “ผมขอตัวกลับก่อนแล้วกัน ลาล่ะฮะ” ว่าแล้วก็ตัดสินใจลากันดื้อ ๆ ยกมือไหว้พ่อเลี้ยงหนึ่งครั้ง แล้วหันหลังเดินจากออกมา
“เขาคงดีใจมาใช่ไหมที่เธอมา…ดาน่ะ” ทว่าประโยคที่ตามหลังมา ก็กลับทำเอาชะงัก สดายุไม่ได้หันกลับไป แต่ก็ยืนนิ่งรอฟัง
“เขารอเจอเธอมาตลอด”
นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่สดายุได้ยินจากปากพ่อเลี้ยงในวันนี้ ประโยคที่ทำให้หัวใจเขาอุ่นซ่านอย่างประหลาด ถึงขนาดที่ต้องเผลอยิ้มให้ ขณะหันไปมองแผ่นหลังที่เดินจากไปอีกทาง
“พ่อเลี้ยงผมเอง” สดายุแถลงไข เมื่อเห็นสายตาตั้งคำถามของกฤตเมธ หลังแยกย้ายจากพ่อเลี้ยงสูงวัยที่ทักทายอย่างเย็นชามาเมื่อครู่ “เมื่อก่อนไม่ค่อยลงรอยกันเท่าไหร่” ทั้งยังอธิบายเสริม ถึงความสัมพันธ์อันน่าจดจำระหว่างทั้งคู่
“ก็พอเข้าใจได้อยู่” กฤตเมธรับคำ ขณะเปิดประตูรถ ขึ้นนั่งประจำที่คนขับ ใช่เพียงเขาที่เข้าใจสถานการณ์หรอก ไม่ว่าใครได้เห็นก็คงพอรู้ทั้งนั้น ว่าเยื่อใยระหว่างสองพ่อลูกมันเบาบางขนาดไหน เวลาคงช่วยเยียวยาความบาดหมาง วันนี้ถึงได้ยังพอคุยกันได้อยู่
“เหนื่อยจัง...” สดายุบ่นเบา พลางถอนหายใจบาง ทันทีที่ขึ้นนั่งบนรถได้ “อย่างกับโดนคลื่นซัดแรง ๆ แน่ะ มึนไปหมด...เฮ้อ ขอหลับหน่อยนะลุง” แล้วขอหลับพักไปเงียบ ๆ วันนี้สดายุรู้สึกหมดแรงกว่าทุก ๆ วันที่ใช้ชีวิตมา
ชีวิตที่คิดว่าอยู่ตัวคนเดียวมาตลอด วันนี้กลับได้เห็นแจ้ง ว่าเป็นเพียงแค่ความคิดตื้น ๆ ที่ตัวเองสร้างขึ้นเท่านั้น โดยปกติก็ไม่ใช่คนที่ปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ง่าย ๆ อยู่แล้ว สถานการณ์ยุ่งเหยิงของวันนี้ ยิ่งทำให้สดายุหมดแรง
แม้สดายุจะเหนื่อยที่ต้องรับหลากหลายสถานการณ์ในวันนี้ แต่ไม่ได้หมายความว่า เขาจะรู้สึกไม่ดีหรือกังวลที่ต้องยกไตให้แม่หรอก เรื่องนั้น สดายุยิ่งกว่าจะยอม ต่อให้มากกว่านี้ เขาก็ให้แม่ได้ คิดถึงเรื่องที่พรุ่งนี้ต้องไปตรวจร่างกาย เพื่อหาผลกการเข้ากันได้ของเนื้อเยื่อแล้ว สดายุก็พยายามทำใจให้ผ่อนคลายลง เพราะวันนี้มันยังกะทันหัน พรุ่งนี้พอตื่นมา ทุกอย่างคงลงตัว

ต่อด้านล่าง