กว่าหนึ่งเดือนที่ไม่มีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้นภายในบ้านหลังใหม่ของอดุลย์ ตอนนี้เขากำลังเริ่มหาอะไรใหม่ๆทำในบ้านหลังนี้ ถ้านับจริงๆคนทำงานในบ้านหลังใหญ่มีกันแค่ไม่กี่คน ดาวกับป่านทำหน้าที่ดูแลในบ้านและงานครัวทั้งหมด ส่วนงานสวนก็มีลุงโชนและบริษัทที่จ้างมาตัดแต่งที่เข้ามาสองอาทิตย์ครั้งตามคำสั่งของเจ้าของบ้าน ส่วนบรรดาคนรถก็เป็นคนที่ขึ้นกับบริษัทไม่ได้พักอาศัยอยู่
เพราะแบบนั้นงานที่มีให้ทำในบ้านหลังนี้จึงมีค่อนข้างเยอะพอสมควรทีเดียวถ้าไม่ติดว่าดาวกับป่านชอบมาบ่นว่าปิงปองแย่งทำไปเสียหมด แต่ด้วยบ้านที่ทำความสะอาดอยู่แล้วทุกวันอยู่แล้ว งานบ้านส่วนใหญ่จึงเสร็จไม่เกินบ่ายของแต่ละวัน งานที่เหลือก็แค่ข้าวเย็นซึ่งเขาไม่ยุ่งด้วยกลัวว่าเจ้าของบ้านจะพาลไม่กินเหมือนมื้อเช้า
อดุลย์ยังคงทำข้าวเช้าแบบง่ายๆตามสไตล์ทุกเช้าเผื่อรพี และเช่นกันว่ารพีก็ไม่เคยรับข้าวเช้าเช่นกันทุกวัน แรกๆดาวโดนบ่นเรื่องที่เอามาเสิร์ฟแต่หลายๆวันเข้าไม่รู้ว่ารำคาญที่ดาวไม่สนใจคนค้านหรือเบื่อที่จะบ่นมากกว่ารพีเลยแค่มองว่าวันนี้คนทำทำอะไรทานและก็หยิบกาแฟขึ้นดื่มเหมือนในทุกๆวัน
ส่วนความสัมพันธ์ในครอบครัวระหว่างรพีกับตะวันยังคงเหมือนเดิม อาจเพราะรพีกับตะวันไม่เคยหยุดที่นั่งคุยกันเป็นเรื่องเป็นราวไม่เคยทำความรู้จักกันแม้จะอยู่ด้วยกันมาเกือบๆจะสองเดือนแล้วก็ตาม
จะรู้เรื่องราวกันก็ผ่านทางวัชรเลขาฯส่วนตัวกันมากกว่า หลังจากวันที่วัชรเข้ามาคุยก็ได้พบกับตะวันในตอนบ่ายของวันนั้น เด็กหนุ่มคุยกับเลขาฯตาตี๋อย่างดีไม่มีอาการโกรธเกรี้ยว และยอมที่จะเก็บเรื่องเปลี่ยนนามสกุลไปคิดอีกด้วย
ส่วนด้านรพีถึงจะกลับมาทานข้าวเย็นบ้างและนอนที่บ้านทุกวันไม่ได้ค้างที่ออฟฟิตแล้วแต่ก็แทบจะไม่เจอกัน เช้ามาตะวันจะออกจากบ้านแต่เช้าก่อนทุกคน และรพีก็กลับช้ากว่าทุกคน เสาร์อาทิตย์ก็ออกไปตีกอล์ฟกับก๊วนธุรกิจหรือไม่ก็ไปสังสรรค์กับเพื่อนเก่า
อย่างเช่นแบบในวันนี้
“คุณรพีตื่นหรือยังครับคุณปิงปอง”เสียงลุงโชนทักขึ้นมา อดุลย์ส่ายหัวตอบยิ้มๆพลางรดน้ำต้นไม้แบบที่ทำอยู่ทุกวัน
“อะไรกันเป็นคนนัดเองแท้ๆ แต่ยังไม่ตื่นแย่ซะจริง”
“ไงไง คุณอดุลย์สินะครับ”อดุลย์หันมองคนที่อยู่ข้างๆของลุงโชน มือบางทั้งสองข้างวางจากงานที่กำลังทำก่อนที่ตาโตจะเบิกกว้างออก ชื่อในอดีตผุดขึ้นมาในหัวแทบจะทันที
“...คุณ...เทพ”ปากบางพึมพำ ถึงไตรเทพจะเปลี่ยนไปมากจากแต่ก่อน มีริ้วรอยของอายุและรูปร่างจากการที่ดื่มแอลกอฮอล์บ่อยๆไม่เฟิร์มเหมือนก่อน แต่ใบหน้าของคนตรงหน้ายังเหมือนเดิมไม่ผิดเพี้ยน โครงหน้ากลมยาวเหมือนแตงกวาคิ้วเข้มที่ตัดกับผิวขาวดาวตาโตกับไรหนวดตามสันคางที่เจ้าตัวภูมิใจนักหนา
“หือ...รู้จักกันด้วย?”คำพูดคำจาขี้เล่นไม่เคยเปลี่ยนแปลง อดุลย์จำไตรเทพได้ดีพอๆกับรพีเพราะไตรเทพเป็นหนึ่งในนักดนตรีที่เล่นในผับที่อดุลย์เคยทำงานอยู่ ซ้ำยังเป็นคนที่คุยเล่นกับพนักงานคนอื่นไปทั่ว กับอดุลย์ที่ตอนนั้นแต่งหญิงไตรเทพก็เคยเข้ามาแซวเล่น
“...”อดุลย์เลือกจะไม่ตอบคำถาม แต่ยิ้มส่งกลับไปให้แทน
“ขอเข้าไปรอมันในบ้านแล้วกันนะ แย่จริงๆทั้งๆที่มันชวนไปตั้งแคมป์แท้ๆตัวเองกับไม่ยอมตื่นซะนี่”คำบ่นของไตรเทพทำให้คนที่รู้เหตุผลอดจะแก้ตัวแทนไม่ได้
“เมื่อคืนคุณรพีกลับดึกครับเห็นว่ามีงานเลี้ยง กลับราวๆตีหนึ่ง”
“งานของเครือ xxx เชิญมาเหมือนกันแต่ขี้เกียจไป ยังไงขอไปรอในบ้านก่อนแล้วกันนะครับ”อดุลย์ยิ้มตอบก่อนจะเดินไปวางสายยางไว้ก่อนเดินนำผู้มาเยือนเข้ามาในตัวบ้าน
ไตรเทพมองตาหลังคนที่เดินนำหน้า คนที่รพีเคยเอาเรื่องมาบ่นให้ฟัง เห็นว่าสมัยก่อนเป็นกระเทยแบบที่แต่งหญิงเต็มตัว ไม่รู้อีท่าไหนถึงได้ไปเลี้ยงลูกแท้ๆของเพื่อนสนิทไปได้ แถมจะบอกว่าคนคนนี้ไม่รู้จักตะวันคงจะโกหกเกินไปหน่อยเพราะจากที่รพีเอารูปให้ดู คนตรงหน้าเคยทำงานในผับที่รพีและเขาเคยเล่นดนตรีอยู่ ดูจากช่วงเวลาก็ช่วงเดียวกัน
จะว่าน่าสงสัยก็น่าสงสัยแต่บางทีความบังเอิญมันก็เกิดขึ้นมาได้เหมือนกัน
“นี่คุณอดุลย์”
“ครับ?”
“อย่าว่าผมละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของคุณเลยนะ ถามหน่อยซิว่าแต่ก่อนคุณเป็นกะเทยใช่มั้ย แล้วคุณก็รู้จักรพีมาก่อนใช่มั้ยอย่าปฏิเสธนะเมื่อกี้คุณเรียกชื่อผมทั้งๆที่ผมไม่เคยเจอคุณนะ”คนถูกถามหน้าเจื่อนลงทันตาเห็น ไม่แน่ใจว่าไตรเทพจำตัวเองได้หรืออย่างไร แต่อดุลย์ไม่อยากพูดถึงอดีตที่ผ่านมาเท่าไรนัก ยิ่งเป็นอดีตที่ก่อนจะเจอกับตะวันเขายิ่งไม่อยากพูด
“...คือ”
“...เฮ้ย ไม่ต้องทำหน้าตาซีเรียสแบบนั้นดิ ผมถามเพราะแค่สงสัยไม่ได้ถามเพราะระแวงหรืออะไรหรอกนะ พอดีไอ้ซัน...รพีน่ะมันเคยเอารูปคุณสมัยคุณแต่งสาวให้ผมดู ผมจำได้นะเครื่องแบบที่คุณใส่ ดูประวัติก็ใช่คุณเคยทำงานที่ผับที่พวกเราเคยทำงานอยู่”
“ผมขอไม่ตอบได้มั้ยครับคุณไตรเทพ ผมไม่รู้จะตอบอะไรจริงๆ แต่ผมไม่เคยคิดร้ายใครนะครับอันนี้ผมจริงจัง”ตากลมโตพยายามสื่อความนัยของตัวเองให้คนตรงหน้ารับรู้และเชื่อในคำพูด
ไตรเทพไม่ใช่คนที่ขี้ระแวงแบบรพี แถมไม่ได้เป็นคนมองโลกในแง่ร้ายอย่างเพื่อนด้วย ช่วงวัยรุ่นรพีผ่านอะไรมาเขาก็รู้เพราะเขาเองก็ไม่ต่างกัน โชคร้ายหน่อยตรงที่ในวันที่รพีแย่สุดๆรพีไม่มีใครคอยจับมือในลุกขึ้นเหมือนตัวไตรเทพ
“ยังงั้นก็ได้ ที่จริงผมก็ไม่คิดว่าคนตัวเล็กๆบางๆอย่างคุณจะทำอะไรเจ้าซันได้หรอกนะ เจ้านั่นน่าสงสารกว่าที่คิดนะถึงจะชอบทำตัวให้น่าหมั่นไส้ก็เถอะ”
“คึ”อดุลย์เกือบจะหลุดหัวเราะกับคำพูดค่อนแคะเพื่อนของไตรเทพกับสีหน้าที่แสดงออกชัดเจนว่าเบื่อหน่ายขนาดไหนรวมทั้งน้ำเสียงของคำพูดที่ทำเอาอดุลย์นึกภาพออกเลยว่ารพีชอบทำตัวน่าหมั่นไส้แบบไหนบ้าง
“เห็นด้วยใช่มั้ยล่ะ...เออ!! จริงซิมาบ้านนี้ทั้งที ผมขอเจอหลานชายผมหน่อยได้มั้ย”เหมือนจะพึ่งนึกขึ้นออก ไตรเทพร้องหาและหันมองไปรอบๆหวังจะเจอเด็กที่เป็นลูกชายของเพื่อนสนิท
“เดี๋ยวคุณไตรเทพนั่งอยู่ตรงนี้ก็ได้ครับ เดี๋ยวผมไปตามตะวันมาหา แล้วเดี๋ยวจะให้ดาวเอาน้ำมาเสิร์ฟนะครับ”อดุลย์บอกเสียงนอบน้อมก่อนจะหันหลังเดินออกแยกไปอีกทาง ให้ไตรเทพไปหัองรับแขกคนเดียวน่าจะไหว อีกฝ่ายเองก็เหมือนจะรู้จักบ้านหลังนี้ดีพอควร
อดุลย์เดินขึ้นมาบนตัวบ้านเดินเลยไปชั้นสามที่มีแค่เฉพาะส่วนด้านซ้ายของตัวบ้าน อดุลย์ไม่รู้หรอกว่าชั้นเดี่ยวๆนี่เจ้าของบ้านสร้างไว้ทำไม ตะวันเองก็ชอบใจห้องนอนของตัวเองจนไม่เคยนึกถามหาความเป็นมาเหมือนกัน
“ตะวันครับ ตื่นหรือยัง?”เคาะประตูสองสามครั้งก่อนจะเอ่ยถาม ได้ยินเสียงกุกกักในห้องนอน แปบเดียวลูกชายที่ตัวสูงกว่าเกือบคืบก็มายืนอยู่ตรงหน้าหน้าชี้ฟูทำให้มือบางอดไม่ได้ที่ต้องยกขึ้นลูบอย่างเอ็นดู
“วันเสาร์นะคร้าบพ่อ ปลุกตะวันอะไรแต่เช้าเลย”เสียงยานครางบอก สีหน้าขัดใจหน่อยๆแต่ก็ไม่ได้จริงจังอะไร
“คุณไตรเทพ เพื่อนของคุณรพีเขาอยากคุยกับตะวันน่ะ”
“หือ ใครอีกล่ะ ไม่ไปได้มั้ยครับง่วงอ่ะ”หนุ่มน้อยร่างโปร่งงอแงจนได้มะเหงกของพ่อปิงปองแทน สุดท้ายตะวันก็จำยอมเข้าไปล้างหน้าแปรงฟันก่อนจะเดินกอดเอวพ่อปิงปองตามพ่อไปหาคนที่ต้องการจะพบ
คนที่รออยู่นั่งอยู่บนโซฟาคู่กับเจ้าของบ้านที่ไม่รู้ว่าตื่นมาตอนไหน บนโต๊ะมีกาแฟและข้าวเช้าที่วันนี้อดุลย์ทำน้ำพริกหมูผัดกับปลาสลิดทอดทานกับข้าวร้อนๆ ก็เหมือนทุกวันที่รพีไม่แตะกับข้าวของเขาเลยหากแต่วันนี้มีคนช่วยจัดการอาหารตรงหน้าแทน
“สวัสดีครับ”เด็กหนุ่มยกมือสวัสดีทั้งพ่อแท้ๆและเพื่อนของพ่อก่อนจะกลับมาเกาะเอวพ่อปิงปองของเขาต่อ รพีหันมามองลูกชายแล้วนึกตำหนิในใจกับท่าทางที่เหมือนลูกลิงเกาะแม่ลิง
“อ้าวๆ สวัสดีครับตะวัน ลุงชื่อลุงเทพนะเป็นเพื่อนของพ่อเรา ยินดีต้อนรับนะ หล่อเหมือนมึงอยู่นะซัน สำเนานี่ลอกกันมาเป๊ะๆเลย”ตะวันยิ้มรับต่างจากอีกคนที่ถูกชมแบบอ้อมๆ ลุงเทพคนนี้ท่าทางจะเป็นคนเฮฮา พูดจาเอะอะเสียงดังแต่ก็ดูจริงใจดี ท่าทางจะสนิทกับ...เขามากพอสมควร
“ลุงเทพมีอะไรกับตะวันหรือเปล่าครับ เห็นพ่อปิงปองบอกลุงเทพอยากคุยด้วย”
“อ้อ เปล่าๆ แค่อยากเห็นหน้าน่ะ รู้ข่าวจากพ่อของเรามาสักพักแล้วแต่ไม่มีโอกาสได้เข้ามาเยี่ยมเลย วุ่นเลี้ยงลูกน่ะ เมียลุงพึ่งคลอดคนที่สามเมื่อเดือนก่อนนี่เอง เลี้ยงเด็กอ่อนมันยุ่งยากมากเลย ขนาดนี่คนที่สามแล้วก็ยังไม่ชินซักที”คำบ่นของเพื่อนขัดหูคนที่นั่งจิบกาแฟ บ่นไปตักข้าวใส่ปากไปหุ่นเลยเหมือนเสี่ยขึ้นทุกทีทุกที
“ถ้ายุ่งขนาดนั้นแล้วคุณตกลงไปแคมป์กับผมทำไมไตร ไม่ไปเลี้ยงลูกคุณซะละ”ไตรเทพเบ้หน้าใส่เพื่อน ดูก็รู้ว่าสร้างภาพเป็นคนสุภาพต่อหน้าคนไม่คุ้นเคย ทั้งๆที่ปรกติก็มึงมาพาโวยตลอด ถึงคำพูดแบบนี้จะไม่เหมาะกับคนวัยสี่สิบก็เถอะ
“แล้วคุณชวนผมทำส้นตีนอะไรครับ พูดหมาๆเดี๋ยวกูไม่ไปด้วยมึงจะร้องไห้กลับบ้านเถอะ”
“พูดไร้สาระ”รพีส่ายหัวเหนื่อยหน่ายยกกาแฟขึ้นดื่มพลางอ่านหนังสือพิมพ์ไปเรื่อยๆ
“แล้วนี่มีมึงไปกับกูสองคนเหมือนเดิม?...ไม่ชวนลูกมึงกับคุณอดุลย์ไปด้วยล่ะ”
“ไปด้วยกันมั้ยตะวัน ไปมั้ยครับคุณอดุลย์”
“เอ้อ...ไปไหนกันเหรอครับ”ไม่ได้สนใจจะตามไปด้วยหรอก แต่ที่เอ่ยถามก็เหมือนถามตามมารยาทเท่านั้น รพีมองหน้าอดุลย์ไม่ได้ตอบคำถาม แต่รพีก็ไม่ได้บอกห้ามคนชวน
มองไม่ออกจริงๆว่าคนๆนี้ต้องการอะไร
“ไปเขาใหญ่ใกล้ๆนี่แหละ ไปนอนที่อุทยานฯ นอนกลางดินกินกลางป่าสนุกนะ”
“น่าสนใจอ่ะพ่อ ไปกันเถอะ...ไปได้ใช่มั้ยครับ?”ตะวันหันไปถามคนที่จ้องมองพ่อปิงปองของตนอยู่ ตาคมทั้งสองหันมาสบตากันก่อนที่บรรยากาศจะหยุดนิ่งไปชั่วครู่ ราวกับทุกคนพร้อมใจกันหยุดหายใจอย่างไรอย่างนั้น
“ตามใจ...ถามนายไตรเอาแล้วกันว่าต้องเตรียมอะไรไปบ้าง”ว่าแค่นั้นก่อนจะยกกาแฟทั้งหมดซดลงคอแล้วลุกขึ้นกลับไปบนห้องเพื่อเตรียมตัวออกทริปที่ปรกติเป็นทริปเงียบๆ
“ตะวันจะไปจริงๆเหรอ”ตะวันพยักหน้าแรงๆ บ่งบอกความต้องการของตัวเอง ความจริงก็ไม่อยากขัดใจลูก รู้ว่าลูกคงอยากเที่ยวเล่นแบบนี้มานานแล้ว แต่ติดอยู่ที่คนที่ต้องไปด้วยนี่สิ...
••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••
เวลาช่วงบ่ายแก่ๆรถกระบะที่ส่วนใหญ่ลุงโชนจะเอาไว้ไปซื้อต้นไม้ก็มาถึงอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ระหว่างทางมีแค่เสียงของลุงและหลานคนใหม่คุยกันมาตลอดทั้งทาง จะมีเสียงของอดุลย์แทรกขึ้นมาบ้างนิดหน่อย แต่ที่เหมือนไม่ได้มาเลยก็คงหนีไม่พ้นรพีที่นั่งหน้าคู่กับคนขับอย่างไตรเทพ
อดุลย์พึ่งรู้วันนี้นี่แหละว่าที่จริงแล้วงานอดิเรกของรพีคือการมาเที่ยวป่าเพื่อที่จะมาวาดรูปเป็นอีกเรื่องที่คนฟังอดทึ่งไม่ได้ ไตรเทพเล่าให้ฟังว่าฝีมือวาดรูปของรพีเข้าขั้นระดับอาจารย์ได้เลย ถึงจะไม่เคยเรียนสายด้านนี้มาแต่เพราะด้วยความชอบส่วนตัวและพอมีเวลาว่างเมือไรรพีก็จะมาเที่ยวป่าเพื่อจะมาวาดรูปสัตว์รูปวิวตลอด
คนที่ถูกพูดถึงไม่ได้เอยขัดอะไร ทำเสียงขัดใจที่ไตรเทพถือวิสาสะเล่าเรื่องส่วนตัวของตัวเองให้คนอื่นรับรู้ แต่ไม่อยากโวยวายทำตัวไม่สมอายุต่อหน้าคนที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกแท้ๆ
...ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน...
“เราพักกันที่นี่เหรอครับลุงเทพ”เสียงสดใสของตะวันเอ่ยถาม ดูๆไปมีตะวันนี่แหละที่ตื่นเต้นมากที่สุด อดุลย์เข้าใจว่าทำไมตะวันถึงแสดงท่าทีดีใจแบบนี้ก็ตลอดมาเขาแทบจะไม่เคยพาลูกมาเที่ยวเลยซักครั้ง
“ใช่ๆ ถึงบอกว่าตั้งแคมป์ก็เถอะแต่ที่จริงจองบ้านพักไว้น่ะ คนที่จะไปนอนเต็นท์มีแค่พ่อของตะวันนั้นแหละ”ไตรเทพบอกพลางขนของลงบ้านพักที่จองเอาไว้
“ช่วงนี้ไม่ใช่ช่วงเที่ยว อากาศก็ไม่ได้หนาวมากเท่าไร แต่ช่วยไม่ได้นะถ้าเป็นซีซั่นหวังไปเถอะว่าหมอนั่นจะมา”
“จะหยุดพูดได้หรือยังไตร ผมว่าคุณหยุดพูดบ้างก็ดี หรือว่าจะไม่พูดอีกแล้ว?”ไตรเทพไม่ได้สนใจปากร้ายของเพื่อนสนิทหันไปสนใจสองพ่อลูกแทน ช่วงเวลาสามชั่วโมงที่เดินทางกันมาทำให้พอจะตัดสินได้ว่า
อดุลย์ไม่ได้มีอะไรน่ากลัวซักนิด ติดออกจะเป็นคนซื่อๆด้วยซ้ำ ยิ่งเวลาที่พูดถึงตะวันเสียงที่บ่งบอกถึงความภูมิใจนั่นทำให้ไตรเทพอดที่จะยิ้มตามไม่ได้ เขาเข้าใจอดุลย์ดีเพราะเขาเองก็มีลูก
เสียดายแทนเพื่อนสนิท...รพีไม่มีโอกาสที่จะมีความสุขที่แลกด้วยความเหนื่อยกายที่ต้องเลี้ยงเด็กคนหนึ่งให้เติบโตขึ้นมา
“ตะวันอยากไปนอนเต็นท์บ้าง พ่อปิงปองนอนกับตะวันนะ”เด็กหนุ่มเข้ามาอ้อนคนเป็นพ่อ ก็อยากจะตามใจหรอกแต่
“มันต่างกันตรงไหนตะวัน ตั้งเต็นท์หน้าบ้านกับนอนในบ้าน...”เหมือนสิ่งที่พูดจะไปกระทบกับคนที่ตั้งใจจะนอนในเต็นท์เข้าเต็มๆ ตาคมมองจ้องอย่างดุๆ
“นอนในบ้านไปนั้นแหละ มีแค่เต็นท์เดียวชั้นไม่ชอบนอนกับคนอื่น”เสียงนิ่งราวกับไม่ได้โกรธ แต่ตาดุยังคงจ้องไม่เลิก
สุดท้ายตะวันก็ไม่ถูกตามใจ เลยต้องมาช่วยเก็บของในบ้านจนกระทั้งของทุกอย่างถูกจัดเข้าที่อย่างเรียบร้อยแดดภายนอกก็ร่มลงแล้ว ภายนอกบ้านมีเต็นท์ผ้าใบสีเขียวใบใหญ่กางอยู่หน้าบ้าน กับขาตั้งวาดรูปที่ยังไม่มีกระดาษติดไว้วางอยู่ ส่วนเจ้าของเต็นท์กำลังนั่งคุยกับเจ้าหน้าที่อยู่ไม่ไกลจากตัวบ้านพัก
ไม่นานรพีก็เดินกลับมาพร้อมกับถุงนอนสองใบในมือตะวันเลยเดินเข้าไปหาใกล้ๆ
“มีอะไรให้ช่วยมั้ยครับ”เด็กหนุ่มเอ่ยถาม ถูกพ่อปิงปองสอนมาตั้งแต่เด็กว่าให้ช่วยเหลือคนอื่น แล้วตะวันก็โตพอที่จะรู้ว่ารพีคือพ่อแท้ๆจะทำปั่นปึ่งใส่กันก็มีแต่พาลจะทำให้พ่อปิงปองไม่ดีใจ
“...”รพีชะงักมองคนที่เข้ามาพูดด้วย เกือบสองเดือนไม่ใช่ว่าไม่เคยคุยกันแต่จะเรียกว่าคุยก็พูดได้ไม่เต็มปากในเมื่อครั้งแรกคือทะเลาะกันเรื่องนามสกุลส่วนครั้งต่อๆมาคือรพีออกคำสั่งให้ทำอะไรเล็กๆน้อยๆตลอด
“เอาไว้ตรงไหนครับ”ร่างโปร่งที่เตี้ยกว่ารพีหลายเซ็นต์แย่งของในมือมาถือไว้แล้วถาม เมื่อเห็นว่าพ่อแท้ๆของตัวเองไม่ตอบเลยเดินไปวางไว้ที่เต็นท์นอนของรพีแทน
“อยากได้อะไรถึงมาช่วย? จะนอนเต็นท์หรือ?”เสียงเข้มเอ่ยถาม ด้วยอะไรๆที่ผ่านมาทำให้สมองคิดหาเหตุผลรองรับการกระทำของคนอื่นตลอดเวลา ไม่เคยคิดว่าจะมีคนที่ทำอะไรให้ใครแล้วไม่ต้องการอะไรตอบแทน
“ที่จริงก็อยากนอนครับ แต่อยากนอนกับพ่อปิงปองมากกว่า”ตอบตามที่ใจคิด คิ้วเข้มของคนที่สูงกว่าชะงักเล็กน้อยกับคำพูดของตะวัน
พ่อปิงปอง...
ทำไมรู้สึกคันหัวใจแปลกๆ...
“เอาถุงนอนไปซะ เมื่อคืนฝนตกคืนนี้ก็น่าจะตกถึงในห้องมันมีผ้าห่มแต่คงหนาวชั้นขอมาเผื่อนายกับพ่อของนาย”ตะวันพยักหน้าทำตามคำสั่งของคนที่สั่งเสร็จก็เดินหนีไปจัดของที่เต็นท์ตัวเองต่อ
จะคิดว่านี่คือความห่วงใยได้หรือเปล่า? ตะวันคิดคำถามขึ้นในใจแต่ก็ไม่อยากคิดต่อเลยสะบัดหน้าคลายความคิดพลันหางตาเห็นแสงไฟสีขาวกระพริบเพียงแค่วูบเดียวแล้วก็ดับไปตะวันหันไปพยายามมองแต่ก็ไม่เห็นอะไร คิดขำๆว่าตอนเย็นๆแบบนี้คงไม่มีเรื่องเนื่องสามัญสำนึกหรอกมั้ง
...อาจจะจริงที่ไม่มีสิ่งลี้ลับ...
...เพราะต้นตอของแสงที่เด็กชายเห็นเป็นเพียงแค่อุปกรณ์ถ่ายภาพ...
...และดวงตาของคนที่ไม่ประสงค์ดีเท่านั้น...