มื้ออาหารยามบ่ายนั้นผ่านไปอย่างอึมครึม ใช่ว่าพวกเขาจะมีเรื่องต้องพูดคุยกันมากอยู่แล้วเวลาทานข้าวแต่ละมื้อด้วยกัน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ธีระสัมผัสได้ถึงรังสีของความไม่พอใจที่แผ่ออกมาจากตัวกฤตภาสอย่างเข้มข้น ความอึดอัดซึ่งมาพร้อมกับความไม่สบายตัวทำให้เขายิ่งทานอะไรไม่ลงมากขึ้นไปอีก
"กินแค่นั้นจะไปพอได้ยังไง หรือนอกจากเป็นหวัดแล้วยังอยากเป็นโรคกระเพาะเพิ่ม?"
กฤตภาสถามเสียงดุเมื่อเห็นธีระรวบช้อนส้อมทั้งที่กินข้าวไปไม่ถึงครึ่งจาน แต่เด็กหนุ่มส่ายหน้าขณะหยิบยาที่ต้องทานหลังอาหารออกมาเทใส่มือ
"ผมคงไม่ซวยซ้ำซ้อนขนาดนั้นหรอกครับ อีกอย่างผมเจ็บคอจนจะกลืนอะไรไม่ลงอยู่แล้ว"
เขาเอ่ยแล้วก็หยิบยาเข้าปากก่อนจะดื่มน้ำตาม ความรู้สึกเหมือนมีหนามในคอทำให้เด็กหนุ่มนิ่วหน้าแม้ขณะที่กลืนน้ำเปล่า ท่าทางของเขาคงทำให้กฤตภาสเริ่มตระหนักได้ว่ากำลังพาลกับคนป่วย ผู้สูงวัยกว่าจึงเบนความสนใจกลับไปที่อาหารตรงหน้าแล้วก็ไม่เอ่ยอะไรอีก
หลังจากทั้งสองทานมื้อแรกของวันอย่างเป็นกิจลักษณะเสร็จ นาฬิกาก็บอกเวลาบ่ายคล้อย กฤตภาสจ่ายเงินค่าอาหารแล้วก็เดินนำออกจากร้านโดยมีเด็กหนุ่มเดินตามไปอย่างอ่อนแรง
สายตาของธีระซึ่งทอดลงต่ำมองไปยังมือที่แกว่งอยู่ข้างกายของกฤตภาส แม้จะไม่ได้นึกพิศวาสอีกฝ่ายทั้งที่ถูกโอบกอดมาก็หลายครั้ง แต่เวลานี้เขากลับเกิดความคิดพิลึกพิลั่นว่าอยากสอดมือไปให้อีกฝ่ายจูงเดินเหลือเกิน เพราะเขารู้สึกว่าทั้งศีรษะและร่างกายหนักอึ้งจนอยากทิ้งตัวลงไปนั่งกับพื้นอยู่แล้ว
เด็กหนุ่มไม่ได้ทำตามที่คิดและเพียงแต่กัดฟันเดินตามไปจนถึงรถ ตอนที่กฤตภาสกดรีโมทปลดล็อกรถ เขาก็ยังรวบรวมเรี่ยวแรงเปิดประตูเพื่อก้าวขึ้นไปนั่งด้วยตัวเอง ถึงแม้จะต้องใช้ความพยายามถึงสองครั้งเพราะครั้งแรกนั้นมือลื่นก็ตาม
กฤตภาสสตาร์ทรถแล้วก็ขับออกมาจากลานจอดของร้านทันที ไอเย็นจากช่องแอร์ที่ลอยอวลทำให้ธีระเริ่มคัดจมูกจนหายใจลำบาก จึงถือวิสาสะยื่นมือไปปรับลดแอร์ลงด้วยตัวเอง
"หรี่แอร์ทำไม?"
นี่เพิ่งสังเกตว่าเขาอยู่ในรถด้วยหรือไง...ธีระนึกเหน็บแนมแต่ก็ตอบเสียงเบาไปตามตรง
"ผมหายใจไม่ออกครับ"
กฤตภาสเหลือบมองเด็กหนุ่มนิดหนึ่ง จากนั้นก็ปิดแอร์แล้วเปิดกระจกหน้าต่างลงราวหนึ่งในสี่ อากาศธรรมชาติซึ่งถ่ายเทเข้ามาในรถทำให้ธีระค่อยหายใจได้ปลอดโปร่งขึ้น
"...ขอบคุณครับ"
"อืม"
กฤตภาสตอบรับในคอเรียบๆ แต่ธีระก็ยังสัมผัสได้ถึงความขุ่นมัวของอารมณ์ที่อีกฝ่ายแผ่ออกมา จึงลองถามดูเพราะไม่ชอบบรรยากาศอึดอัดที่กำลังดำเนินอยู่เอาเสียเลย
"มีเรื่องอะไรเหรอครับคุณกฤต?"
"เรื่องอะไร? หมายความว่ายังไง?"
หากธีระไม่ได้ป่วยจนศีรษะหนักอึ้ง เขาอาจฉุกคิดได้แล้วว่าไม่ควรถามต่อ แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้สมองของเขาไม่อาจคิดวิเคราะห์ได้ฉับไวเท่าไรนัก
"เมื่อเช้าคุณยังอารมณ์ดีๆ อยู่เลย แต่พอออกจากคลินิกมาก็อารมณ์เสียตลอด เป็นเพราะผมรึเปล่า? ถ้าหากผมไปทำอะไรให้ล่ะก็..."
"ฉันไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้นแหละ" กฤตภาสตัดบทฉับ "เมื่อเช้าเป็นยังไงตอนนี้ก็เป็นยังงั้น ไม่ต้องห่วงหรอก ทีฉันยังไม่ถามเลยว่าทำไมเธอไม่เลิกเพ้อถึงพี่รงค์นั่นสักที"
เด็กหนุ่มหน้าซีดขณะหันไปมองกฤตภาสซึ่งกำลังบังคับรถด้วยท่าทีสงบนิ่ง เป็นไปได้อย่างไรกัน...เขาไม่เคยเล่าเรื่องของณรงค์ให้คนที่บริษัทรู้เลยนี่นา แล้วคุณกฤตไปได้ยินชื่อนี้มาจากไหน...
ธีระฝืนกลืนน้ำลายลงคอที่ทั้งเจ็บและตีบตันก่อนจะถามเสียงโหย "คุณรู้เรื่องพี่รงค์ได้ยังไง?"
"หึ...ดูท่าจะเก็บหมอนั่นไว้ลึกสุดใจเลยสิถึงได้ไม่รู้ตัวว่าพร่ำเพ้อถึงบ่อยแค่ไหน ฉันได้ยินชื่อนี้ตั้งแต่ได้เธอครั้งแรกแล้ว แถมเมื่อคืนนี้ตอนเธอเมาก็เอาแต่เพ้อหาหมอนั่นเป็นชุด มาตู่เรียกฉันว่าพี่รงค์ๆ อยู่นั่น อยากรู้มั้ยว่าเธอละเมอเพ้อพกว่าอะไรบ้าง ฉันจะได้เล่าให้ฟังให้ครบทุกเม็ด"
"คุณกฤต! หยุดพูดเดี๋ยวนี้นะ!!"
ความโกรธที่ผุดพลุ่งทำให้ธีระไม่สนใจว่ากฤตภาสกำลังขับรถ เด็กหนุ่มหันไปทุบตีไหล่หนาอย่างแรงด้วยความโกรธเกรี้ยว ถึงแม้จะไม่ถึงกับทำให้รู้สึกเจ็บ แต่ก็ทำให้คนขับเกือบบังคับรถไปเบียดชนรถที่วิ่งอยู่อีกเลนจนถูกบีบแตรเสียงดังไล่ สุดท้ายกฤตภาสจึงต้องเบี่ยงรถเข้าจอดข้างทางแล้วเปิดไฟฉุกเฉิน
"เธอนั่นแหละหยุดบ้าเดี๋ยวนี้! อยากให้รถชนตายกันทั้งคู่รึไง!!"
ร่างสูงใหญ่หันไปตวาดเสียงดังใส่จนธีระสะดุ้ง มือทั้งสองข้างที่เพิ่งรัวทุบอีกฝ่ายถูกมือใหญ่จับยึดเอาไว้ หยาดน้ำร้อนๆ ซึ่งกบขอบตาก็พลันไหลลงตามปราการที่อ่อนแอของร่างกายไปด้วย
"ก็คุณกฤต...ทำไมวันนี้ต้องใส่อารมณ์กับผม...ทำไมต้องเอาแต่พูดจาไม่ดีกับผมตลอด...ทั้งที่ผมยังไม่ได้ว่าอะไรคุณเลยสักคำ...คุณมันแย่ที่สุดเลย..."
เสียงสะอื้นที่มาพร้อมกับใบหน้าเหยเกทำให้กฤตภาสรู้สึกเหมือนโดนค้อนทุบหัว ถ้าหากไม่นับเมื่อคืนที่ธีระเมา นี่ก็เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่เขาเห็นเด็กหนุ่มร้องไห้ฟูมฟายต่อหน้า
"อย่าร้องไห้สิ เป็นลูกผู้ชายไม่ใช่รึไง"
"ผมจะร้องแล้วจะทำไม! คนนิสัยไม่ดี! เอาแต่ใจ! คนเขายังไม่ได้ทำอะไรให้ก็ยังมาดุมาว่า นึกว่าตัวเองโมโหเป็นคนเดียวงั้นเหรอ! ผมก็โมโหเป็นเหมือนกันนะ!"
ธีระพยายามยื้อมือทั้งสองข้างออกเพื่อจะทุบกฤตภาสอีก แต่คราวนี้ผู้สูงวัยกว่ารวบตัวเขาเข้าไปกอดไว้แน่น ไม่ว่าเด็กหนุ่มจะพยายามดิ้นรนยังไงก็ขยับตัวให้เป็นอิสระจากอ้อมแขนแกร่งไม่ได้ ท้ายที่สุดจึงได้แต่นั่งหอบหายใจจนตัวโยน
"ผมเกลียดคุณกฤต"
"เธอไม่ได้เกลียดฉันหรอก"
กฤตภาสเอ่ยพลางแนบริมฝีปากลงบนกระหม่อมชื้นเหงื่อของคนในอ้อมแขน เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเอาความมั่นใจมาจากไหน แต่ถ้าธีระเกลียดเขาจริงก็คงไม่ใส่ใจถามหรอกว่าทำไมเขาถึงอารมณ์แปลกไป เมื่อคิดได้เช่นนี้ หมอกสีดำที่รบกวนจิตใจก็ดูจะสลายไปเล็กน้อย
เสียงเคาะกระจกดึงความสนใจเขากลับไปด้านหลัง และพบว่ามีตำรวจยืนอยู่ตรงนั้นพร้อมกับใบหน้าแสดงความสงสัย
"ไม่ทราบรถเสียหรือเปล่าครับ?"
ชายหนุ่มเพิ่งนึกได้ว่าตนจอดรถอยู่บริเวณข้างถนนที่ไม่ได้มีร้านค้าหรือผู้คนเดินผ่าน จึงเพียงยิ้มบางและตอบอย่างสุภาพ
"ไม่มีอะไรหรอกครับ พอดีผมทะเลาะกับแฟนนิดหน่อย แต่ตอนนี้ดีกันแล้วครับ"
ธีระฟังแล้วก็ยิ่งซุกหน้าเข้าหาอกกฤตภาสมากขึ้น ความจริงเขาเหลือบเห็นตั้งแต่ตอนได้ยินเสียงเคาะกระจกแล้วว่าคนข้างนอกเป็นใคร ความเขินอายทำให้ได้แต่พยายามก้มหน้าลงให้มากที่สุดเพราะไม่อยากให้ใครเห็นสภาพเขาตอนนี้
"ถ้างั้นก็แล้วไปครับ"
นายตำรวจคนนั้นขยับหมวกเล็กน้อยแล้วก็เดินกลับไปขึ้นมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่ไม่ห่าง จนกระทั่งมอเตอร์ไซค์คันนั้นขับจากไปแล้ว ธีระจึงค่อยดันตัวเองออกจากอ้อมแขนที่โอบรัดตนไว้
"นี่ครั้งที่สองแล้วนะ เลิกบอกใครต่อใครว่าผมเป็นแฟนคุณเสียทีเถอะ"
เด็กหนุ่มสูดน้ำมูกพลางใช้ปลายแขนเสื้อเช็ดน้ำตา กฤตภาสมองใบหน้าด้านข้างของธีระที่ไม่ได้แดงเพราะพิษไข้เท่านั้น แล้วก็หยิบกล่องทิชชู่จากเบาะหลังยื่นให้
"เป็นแฟนฉันไม่ดีเหรอ?"
"ไม่ดี ไม่เห็นจะมีข้อดีตรงไหนเลย"
เด็กหนุ่มหยิบกล่องทิชชู่ไปวางบนตักก่อนจะดึงแผ่นทิชชู่ออกมาสั่งน้ำมูก ส่วนกฤตภาสเพียงแต่หัวเราะหึแล้วก็ออกรถ ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกันอีกตลอดทางจนกระทั่งกลับไปถึงคอนโด แม้แต่ตอนที่เข้าไปในลิฟต์ด้วยกันก็ยังไม่มีใครเอ่ยชวนใครคุย
ธีระรู้สึกเวียนหัวมากขึ้นเมื่อมาถึงที่ห้อง เขาเดินตามกฤตภาสที่เปิดประตูให้แล้วก็เดินตรงไปทิ้งตัวที่โซฟากลางห้องนั่งเล่น ศีรษะที่หนักอึ้งราวมีก้อนโลหะถ่วงทำให้เขานั่งตัวตรงไม่ไหว สุดท้ายเด็กหนุ่มก็ค่อยๆ เอนตัวลงนอนและม่อยหลับไป จึงไม่ได้รู้ตัวว่าใครอีกคนกำลังยืนจุดบุหรี่สูบและมองเขาเงียบๆ ด้วยแววตาครุ่นคิด
เมื่อธีระปรือตาขึ้นมาอีกครั้งภายในห้องที่มีเพียงแสงสลัวจากโคมไฟ สิ่งแรกที่ผ่านเข้ามาในสายตาและการรับรู้ครึ่งหลับครึ่งตื่นคือลายสักรูปแมงป่องบนหัวไหล่กำยำ ภายใต้ไออุ่นที่โอบล้อมและเตียงหนานุ่มที่รองอยู่ข้างใต้ เขาค่อยๆ รับรู้ทีละน้อยว่าบนร่างกายไม่มีเสื้อผ้าติดอยู่เลยสักชิ้น
เด็กหนุ่มพยายามผงกศีรษะขึ้นอย่างอ่อนแรง เขาพยายามกะพริบตาถี่เพื่อขับไล่หมอกแห่งความง่วงงุนให้จางหาย และพบว่ากฤตภาสกำลังคลอเคลียยอดอกของเขาด้วยปลายลิ้นดุจผีเสื้อที่กำลังระเริงกับแหล่งน้ำหวาน
"คุณกฤต...จะทำอะไร..."
เสียงของธีระทั้งแผ่วทั้งแหบ เขาพยายามจะผลักไหล่หนาที่คร่อมทับตัวเองออกอย่างไร้ผล พลันริมฝีปากที่ครอบลงบนยอดอกแล้วดูดอย่างแรงก็ทำให้เด็กหนุ่มแอ่นอกจนแผ่นหลังลอยขึ้นจากเตียง
"เธอคงไม่ลืมนะว่าระหว่างวันหยุดฉันมีสิทธิ์ทำอะไร?"
กฤตภาสเอ่ยพลางเลื่อนมือลงเคล้าคลึงแก่นกายของธีระอย่างช้าๆ เด็กหนุ่มพยายามหุบขาหนีแต่ก็ไม่สำเร็จเพราะคนเบื้องบนใช้ขาของตัวเองกันไว้ แถมกฤตภาสยังใช้มือซ้ายสอดสอดประสานกับมือขวาของเขาแล้วกดมันลงบนเตียง ส่งผลให้ธีระเหลือแขนซ้ายเพียงข้างเดียวที่เป็นอิสระ และมันมีประโยชน์เพียงแค่ใช้จิกลงบนต้นแขนแกร่งเพื่อระบายความรุ่มร้อนจากการถูกโลมเล้าเท่านั้น
"คุณกฤต...ผมไม่สบายอยู่นะ..."
ธีระเอ่ยทั้งที่เกลือกหน้าบนหมอนเพราะความเสียวซ่าน แม้จะรู้ดีว่าคำพูดของตนขัดแย้งกับการแสดงออกของร่างกายอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลักฐานที่กำลังแสดงตัวอยู่ในอุ้งมือซึ่งโอบกระชับ
"ฉันไม่เคยได้ยินใครบอกสักคนว่าห้ามมีเซ็กส์เวลาไม่สบาย ตัวร้อนๆ แบบนี้แหละทำให้มีอารมณ์ง่ายกว่าตั้งเยอะ"
ริมฝีปากอุ่นพรมจูบลงบนริมฝีปากและแก้มของเขา ลมหายใจผ่าวร้อนของกฤตภาสรดลงบนผิวหน้าของธีระ แต่บางทีนั่นอาจเป็นลมหายใจของเขาเองที่สะท้อนกลับมาก็เป็นได้
"ฮึ...อ๊ะ!"
เด็กหนุ่มกำมือขวาลงบนมือที่ถูกกฤตภาสกดไว้แน่น ขณะที่มือซ้ายก็จิกเล็บลงบนต้นแขนแกร่งมากขึ้นเมื่ออีกฝ่ายแทรกร่างเข้ามาระหว่างเรียวขาของเขา ร่างสูงใหญ่ขบฟันกับอุณหภูมิสูงจัดที่โอบรัดความแข็งแกร่งของตน แรงบีบของช่องทางเล็กแคบราวกับมีมนต์หลอมละลายความยับยั้งชั่งใจที่ยังหลงเหลือให้ปลิดปลิว
"สุดยอด..."
เสียงแหบต่ำริมหูจุดไอร้อนให้ลามเลียบนใบหน้าของธีระ มือที่เมื่อครู่จิกบนต้นแขนกฤตภาสเปลี่ยนเป็นกำขึ้นทุบทันที แต่แล้วการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายที่เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกับเขามากขึ้นก็ทำให้มือข้างนั้นต้องเลื่อนลงทึ้งผ้าปูเตียงแทน
เขาไม่ได้รู้สึกเจ็บ ความจริงแล้วกฤตภาสไม่ได้ทำรุนแรงกับเขาเลยสักนิด ทว่าความแกร่งร้อนที่แทรกเข้ามาลึกล้ำมากขึ้นก็ทำให้เด็กหนุ่มหอบหายใจแรงดุจคนขาดอากาศ
"อ๊ะ...อ๊ะ..."
จนกระทั่งร่างสูงใหญ่เป็นหนึ่งเดียวกับเขาโดยสมบูรณ์และเริ่มเคลื่อนไหวร่างกาย ธีระก็ไม่อาจห้ามตัวเองไม่ให้กรีดร้องครวญครางไปตามความหฤหรรษ์ที่เอ่อท้นได้อีกต่อไป ลมหายใจของเขาขาดห้วงไปตามจังหวะกระแทกกระทั้นที่บางครั้งก็เนิบหน่วง แต่บางคราก็ดุดันและยั่วเย้า จวบจนพายุอารมณ์ที่พวยพุ่งโถมท่วมจากศีรษะจรดปลายเท้า นัยน์ตาของเด็กหนุ่มก็พร่าเบลอไปตามความอ่อนล้าที่ลามไปถึงปลายนิ้ว
“ฮึก...”
ธีระครางแผ่วเมื่อกฤตภาสถอยกายที่ยังรุ่มร้อนออกจากช่องทางที่ยังบีบรัด เขารู้ว่าอีกฝ่ายยังไปไม่ถึงปลายทางของการร่วมอภิรมย์ แต่ก็พยายามท้วงเมื่อถูกจับให้นอนคว่ำบนข้อศอกที่ชันขึ้น
“คุณกฤตครับ พอเถอะ...วันนี้ผมไม่ไหวจริงๆ...อื๊อออ”
เด็กหนุ่มยังเอ่ยไม่ทันจบประโยคก็รับรู้ได้ถึงความแข็งแกร่งที่สอดใส่เข้ามาอีกครั้ง ร่างเพรียวกระตุกเมื่อกฤตภาสสอดนิ้วเข้ามาในปากของเขา บังคับให้ต้องดูดดุนนิ้วนั้นและไม่อาจเอ่ยคำปฏิเสธได้อีก
“ไม่พอหรอก ยังไงก็ไม่พอ”
เสียงทุ้มพร่าจากเพลิงปรารถนากระซิบริมหู ก่อนที่ธีระจะสะดุ้งอีกครั้งเมื่อกฤตภาสก้มลงกัดต้นคอด้านหลังจนเขามั่นใจว่าพรุ่งนี้ต้องมีรอยฟันหลงเหลือแน่ ช่องทางอ่อนไหวเบื้องล่างบีบรัดผู้รุกรานที่โถมกายเข้าหาไม่หยุดหย่อนทั้งที่เขาเพลียจนแทบจะทรงตัวไม่ไหว
“อื๊อ...อื๊อ”
ราวกับรับรู้ว่าธีระไม่มีแรงแม้แต่จะยันกายขึ้นจากเตียง กฤตภาสจึงถอนนิ้วออกจากริมฝีปากของเด็กหนุ่ม จากนั้นก็ลุกขึ้นนั่งโดยรั้งเอวของคนในอ้อมแขนให้ซ้อนทับลงบนตัก
ท่านี้ยิ่งทำให้ธีระรับรู้ถึงอุณหภูมิอันผ่าวร้อนของกฤตภาสมากขึ้นกว่าเมื่อครู่ แผ่นอกตึงแน่นแนบชิดกับแผ่นหลังที่สั่นสะท้านของเขาขณะที่มือใหญ่จับเอวผอมเพรียวให้ขยับโยก
“คุณกฤต...พอ...”
หยาดน้ำตาไหลซึมจากหางตากลมโตอย่างห้ามไม่ได้ ซึ่งเป็นผลจากความเหนื่อยและเพลียจากไข้ที่ขึ้นสูง รวมกับความน้อยใจที่อีกฝ่ายไม่ฟังคำทัดทานของเขาเลย
“ฉันรู้ว่าเธอยังไหว เด็กดี...ทนอีกนิด”
“ไม่เอาแล้ว...ฮือ...พอ...”
เสียงร้องไห้ของเด็กหนุ่มขาดช่วงตามจังหวะการเคลื่อนไหวที่ร่างสูงใหญ่กำกับ กฤตภาสไล้ปลายลิ้นออกเลียหยาดน้ำตาที่ไหลปนเหงื่อบนผิวแก้มเนียน กระนั้นหยาดน้ำอุ่นก็ยังไหลลงจากหางตากลมโตไม่หยุด
ชายหนุ่มตระหนักดีว่าตอนนี้คนในอ้อมแขนไม่ได้รู้สึกถึงความสุขหรือมีอารมณ์ร่วมเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ภาพที่ธีระร้องไห้หน้าเหยเกบนตักของเขากลับยิ่งโหมกระพือไฟปรารถนาให้โชติช่วงจนไม่อาจหักห้ามตัวเองได้
ความเสียวซ่านที่เขาคุ้นเคยเริ่มปะทุดุจกิ่งไม้ที่ดีดตัวยามถูกเปลวเพลิงโลมเลีย แต่ละกิ่งส่งต่อไฟกันไปจนความร้อนรุ่มแผ่ซ่านไปทั่วสรรพางค์กาย ชายหนุ่มจับร่างบนตักให้เร่งขยับตัวอย่างกระแทกกระทั้นเพราะรู้ว่าตนกำลังจะถึงที่หมายในไม่ช้า และแล้วท่ามกลางการบีบรัดอันร้อนระอุของช่องทางที่กระชับรอบแก่นกาย กฤตภาสก็คำรามเสียงพร่าเมื่อความหฤหรรษ์ที่เฝ้ารอโถมกระหน่ำลงมาในที่สุด
ธีระได้ยินเสียงของร่างสูงใหญ่ที่ดังข้างหู แต่มันกลับฟังดูเหมือนล่องลอยมาจากที่อันไกลแสนไกล อ้อมแขนแข็งแรงโอบกระชับเขาแนบแน่นทั้งที่ร่างกายของทั้งสองเหนียวเหนอะไปด้วยเหงื่อ ในม่านหมอกแห่งความอ่อนล้าที่ผูกมัดแขนขาจนเขาขยับตัวไม่ไหว เด็กหนุ่มคล้ายจะเห็นรอยสักรูปแมงป่องบนไหล่ขวาของกฤตภาสมีชีวิตขึ้นมา
ในห้วงสัมปชัญญะที่เลือนรางจนไม่มีอะไรให้ไขว่คว้าอีกต่อไป ความคิดสุดท้ายของธีระก่อนที่จะหมดสติอย่างสิ้นเชิง คือความสงสัยว่าเขาถูกแมงป่องตัวนี้พันธนาการจนสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองโดยสมบูรณ์ไปแล้วหรือยัง...
++---TBC---++
A/N: คาดว่าคะแนนที่ตากฤตได้จากตอนที่แล้วคงลดฮวบอีกครั้งในตอนนี้ ความติสท์ของคุณชายเธอนี่ทำเอาคนเขียนยังเหวอเลยค่ะ ส่วนน้องตี้คงยิ่งเหวอกว่าเพราะต้องรับมือกับอาการวัยทองของคุณชายด้วยตัวเอง เขียนไปก็ได้แต่ภาวนาไปว่าขอให้ภูมิคุ้มกันตากฤตของน้องอัพเลเวลขึ้นเร็วๆ เฮ้อ 