ตอนที่ 44“เท็น ตัดอกตัดใจซะเถอะว่ะ มันไปดีแล้วนะ” มือของเมลที่จับอยู่ที่บ่า ไม่ได้ทำให้ความเสียใจหายไปได้เลยสักนิด ผมยังคงมึนงงกับภาพของไอ้เจมที่นอนนิ่งไม่ไหวติงอยู่ตรงหน้า
“ไอ้เจมมันป่วยมาได้สักพักแล้ว ลุงต้องขอโทษด้วยครับที่ดูแลมันไม่ดี”
“ลุงชิดอย่าโทษตัวเองเลยครับ เมื่อถึงคราวที่ต้องไป ยังไงมันก็ต้องไปอยู่ดี ไม่มีชีวิตไหนบนโลกที่หนีความตายพ้น ลุงทำดีที่สุดแล้วครับ”
ใดๆ ในโลกล้วนอนิจจัง สังขารเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงเห็นจะจริง ผมไม่ค่อยได้ยินเสียงขันที่สดใสของไอ้เจมมาได้สักพักแล้ว เพราะผมละเลยมันรึเปล่า มันถึงได้ด่วนจากไปอย่างนี้ เปิดดูรูปในไอจีที่ผมเคยถ่ายกับมันแล้วน้ำตาพาลจะไหล
กร่อยและง่อยแดกไปเลยกับบรรยากาศในชีวิต ผมเกลียดการสูญเสียมาก และเคยคิดอยากเป็นคนเดียวที่ไม่ต้องเจอกับมัน ผมอยากแตกต่าง อยากให้ความพิเศษเกิดขึ้นกับตัวเอง แค่เพียงอย่างเดียวที่อยากให้มี คือการที่ผมไม่ต้องสูญเสียอะไรก็ตามที่ผมรักไป
“ไอ้เจมมันไปดีแล้วนะ” เมลบอกเบาๆ
“มึงรู้ได้ยังไงว่ามันไปดี ใครจะรู้ว่าตายแล้วจะไปไหน ไปดีหรือเลวไม่มีใครกลับมาบอกได้ แล้วพูดได้ยังไงว่าไปดี มันอยู่กับกูต่างหากถึงจะดี”
แค่เพราะไม่รู้ ใครต่อใครก็ได้แต่พูดปลอบใจว่าคนที่ตายไปแล้วเขาไปสบาย มันเป็นคำปลอบใจของคนที่อยู่เท่านั้นแหละ แค่เราเชื่อว่าที่เขาไปเป็นที่ที่มีความสุข
ถ้ามันจะช่วยให้ความรู้สึกสูญเสียมันลดลงไปบ้าง...ผมจะทำใจเชื่ออย่างนั้นก็ได้
“ลุงชิดไปหาเสียมมาให้ผมด้วยครับ ผมจะฝังเขาเอง”
“ครับคุณเท็น”
เพราะลุงชิดพาร่างไอ้เจมมาหาผมแต่เช้า ไอ้ฟิว ไอ้กัส ไอ้มายด์เลยยังไม่มีใครตื่น มีแต่ผมกับเมลที่ใส่ชุดนอนและลุงชิดยืนไว้อาลัยให้มัน แต่ไม่นาน พวกที่เหลือก็ตื่น ไอ้มายด์ชะโงกหน้ามองมาจากหน้าต่างห้อง เห็นบรรยากาศหดหู่แล้วมันก็รีบลงมา พร้อมกับยอมสละดอกกล้วยไม้สวยๆ จากกระถางของมันมาวางไว้ให้ไอ้เจม ผมเห็นดังนั้นเลยบอกให้มันตัดดอกกล้วยไม้ของผมมาด้วย
ไอ้ฟิวกับไอ้กัสตามมาสมทบ พวกมันถามกับลุงชิดเบาๆ เพราะไม่กล้าถามผม ก่อนจะเดินเข้ามาจับมือผมไว้คนละข้าง
“พวกเราจะคิดถึงมึงนะไอ้เจม” ไอ้มายด์วางกล้วยไม้ไว้บนเนินดินเล็กๆ ที่มีร่างไอ้เจมนอนอยู่ข้างใต้ ก่อนจะถอยออกมา ยืนสงบนิ่งไปกับพวกผมด้วย
“เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์ก็ต้องเจอ ไม่เป็นไรนะเท็น ไอ้เจมมันไปสบายแล้ว” ไอ้ฟิวพูดด้วยตาแดงๆ แล้วกอดผมไว้
ถึงมันจะไม่อนุญาตให้เลี้ยงไก่ในบริเวณบ้าน แต่มันก็ไม่ได้เกลียดไอ้เจม ไอ้ฟิวมันใจดี รักสัตว์ ไอ้ที่มันรักไม่ลงจริงๆ ก็คงมีแค่หนอน แมลง แล้วก็แมลงสาบเท่านั้นล่ะครับ และเพราะอย่างนั้น มันถึงได้ร้องไห้ให้ไอ้เจม
ผมกอดมันอยู่สักพัก ก่อนจะส่งต่อหน้าที่ปลอบใจให้ไอ้มายด์ที่มองมาอย่างเป็นห่วง
“พวกมึงเข้าบ้านเถอะ ลุงชิดก็กลับไปพักผ่อนได้แล้วครับ ผมขออยู่ที่นี่ คนเดียวสักพัก”
ทุกคนทำตามคำขอของผม แต่เมื่อได้อยู่คนเดียวแล้ว ความรู้สึกจุกแน่นก็ไม่รู้ว่ามาจากไหน ขอบตาที่ร้อนผ่าวทำให้ผมตัดสินใจเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่ยังไร้แสงแดดเพราะยังเช้าอยู่มาก
ผมเกลียดความผูกพัน เกลียดความทรงจำ เมื่อเกิดการสูญเสีย ผมไม่ได้แบ่งแยกว่าอันไหนสำคัญน้อยสำคัญมาก คนหรือสัตว์หรือสิ่งของ แต่เมื่อผมรักมัน ผูกพันและมีความทรงจำดีๆ ขึ้นมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นอะไร เมื่อสูญเสียไป มันก็ทำให้เจ็บปวดได้ไม่ต่างกัน
หลายต่อหลายครั้งที่เรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นในชีวิตผม ผมก็เลือกที่จะแอบร้องไห้อยู่เงียบๆ ในมุมของตัวเอง ไม่อยากให้ใครเห็นหรือปลอบใจ แต่ตอนนี้...ไม่รู้ทำไม ผมถึงคิดอยากให้เมลยืนอยู่ใกล้ๆ ขึ้นมา
“ไม่ร้องนะ...ไม่ร้องนะเท็น” เสียงของเมลทำให้ผมต้องหันไปมอง ไม่รู้ว่ามาตั้งแต่เมื่อไหร่หรือมันจะไม่ได้ไปไหนเลยกันแน่ ผมก็ไม่อาจรู้ได้ ที่รู้ได้เพียงอย่างเดียวคือตอนนี้นิ้วของมันกำลังปาดน้ำตาออกจากใบหน้าผม
“บอกให้เข้าบ้านไปได้แล้ว ทำไมยังอยู่”
“จะทิ้งให้เท็นต้องรู้สึกแย่อยู่คนเดียวได้ยังไง”
นี่เป็นเพียงหนึ่งในล้านๆ เหตุผลที่ทำให้ผมรักเมล...
.
.
.
“เท็น วันนี้ไปหาน้องปลื้มนะ ปล่อยน้องอยู่ที่บ้านคนเดียวคงเหงาแย่” เมลเพิ่งไปเรียนกลับมา เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดสบายๆ แล้วก็ขึ้นเตียงมานอนกลิ้งอยู่ข้างๆ ผมที่หยุดการเรียนการสอนเป็นวันที่สี่เพื่อทำใจกับการจากไปของไอ้เจม แต่ก็ไม่ใช่ว่าผมไม่ไปมอนะ ก็ไปบ้าง หากว่าคิดถึงเป็ดที่บึงของคณะเกษตรฯ -O-;
“เอาสิ เออเมล กูเพิ่งได้ประกาศนี่มาว่ะ แว๊บไปที่คณะมา เห็นน้องรหัสไอ้คิมมันยืนแจกอยู่หน้าตึก”
“อืม กูก็เห็นเหมือนกัน มึงว่าเราไม่ควรบอกเพื่อนน้องเหรอว่าน้องอยู่กับเรา”
“ปัญหาบางเรื่องก็ไม่ใช่เรื่องที่คนไม่รู้อะไรอย่างเราจะเข้าไปยุ่ง อยู่เฉยๆ ไว้ดีกว่า”
“อือ แล้วนี่มึงกินอะไรรึยัง”
“กินแล้ว ไอ้มายด์ทำแซนวิชให้”
“แค่นั้นจะอิ่มเหรอ”
“ไม่อิ่ม รอมึงมาพาไปกินข้าวอยู่นี่ไง”
เมลหัวเราะเบาๆ แขนยาวๆ ของมันพาดมาที่เอวของผม “เท็นอยากกินอะไรล่ะ หรือจะไปกินที่บ้านใหญ่พร้อมน้องปลื้ม”
“ยังไงก็ได้”
“ว่าง่ายอ่ะวันนี้ เป็นไร ยังคิดถึงไอ้เจมอยู่เหรอ”
“ก็นิดหน่อย”
“เดี๋ยวก็ดีขึ้น มันต้องใช้เวลา”
“อือ”
เมลหอมแก้มผม ก่อนจะใช้มือปัดผมหน้าที่ปรกตาให้ “ไม่ว่าเรื่องอะไร...เดี๋ยวมันก็ดีขึ้น กูอยู่ตรงนี้ ขอแค่มึงไม่ทิ้งกู กูก็ไม่ทิ้งมึงแน่นอน”
ผมไม่ได้ให้คำมั่นอะไรไว้ เพียงแค่ขยับตัวเข้าไปในอ้อมกอดของเมลเท่านั้น
เที่ยงวันนั้นก็ไปเจอไอ้เตี้ยหน้าเพลียที่เดี๋ยวนี้อาการก็เริ่มดีขึ้นมาหน่อย แต่หน้ามันยังเพลียและก็ชวนดราม่าได้ไม่สร่างซา เมลค่อนข้างจะสปอยล์มันมากทีเดียว เพราะหนึ่งด้วยความที่มันเตี้ย แลดูจะบอบบาง หน้าตาติดไปทางเอ๋อเล็กน้อย แต่สำหรับผมมันเอ๋อค่อนข้างมาก รวมๆ แล้วมันก็โอเค ไม่วีนไม่เหวี่ยง ดูติ๋มๆ และเชื่องๆ จนน่าหงุดหงิด เหมือนชีวิตเป็นเบี้ยล่างคนอื่นมาแล้วจนชินอะไรเทือกๆ นั้น บางทีแม่งนั่งอยู่ดีๆ ก็ร้องไห้ คือกูงงมากและไม่ค่อยเก็ทเท่าไหร่ แต่ก็พอเข้าใจว่ามันอาจจะเจออะไรร้ายๆ มา
ตอนที่ผมบอกว่าจะพาขึ้นเหนือไปด้วยกัน มันก็ทำหน้าช็อค ตาโปนออกมาอย่างที่ทำให้รู้ว่ามันตกใจจริงๆ ไม่ต่างจากเมลที่ผมก็ไม่ได้บอกอะไรล่วงหน้าเหมือนกันว่าจะไป
“ไหนบอกว่าจะไม่ไปแล้ว ทำไมยังจะไปอีก แล้วจะพาน้องไปด้วย อะไรของมึงวะเท็น” เมลเดินตามเข้ามาใส่เป็นชุดเลยครับ หลังจากที่ผมทิ้งให้มันกับไอ้เตี้ยนั่นมึนงงได้สักพัก
“กูไม่ได้บอกว่าจะไม่ไป แค่บอกว่าอะไรที่มึงไม่สบายใจกูก็จะไม่ทำ กูไม่ดร็อปเรียนแล้วนะ แต่เรื่องไปพะเยาก็ไม่ได้ยกเลิก กูจะกลับมาแน่ ไม่ได้ไปแล้วไปเลยหรอก ก็เหมือนทุกทีไง อย่าโมโหเลยน่า”
“มึงแม่ง !%@^@!$@^%#%&# ...เหี้...”
หลายครั้งที่ผมใช้วิธีนี้ แต่มันก็เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้เมลหุบปากได้
“เท็น...อืม... น้องอยู่ห้องข้างๆ เดี๋ยวเสียงดัง” เพราะทางเดินไปยังห้องครัวต้องผ่านห้องหนังสือ ผมเลยดึงแขนเมลให้เข้ามาในนี้
“ใครสน กูกำลังง้อแฟนกู”
“กูไม่ได้โกรธที่มึงจะไป แต่แม่งเล่นบอกกะทันหัน กูก็ตกใจดิวะ ในกระเป๋าตังค์กูมีถุง”
“พกไว้ตลอดนะมึง จะเอาไปใช้กับใคร”
ผมทึ้งหัวเมล มันร้องโอดโอยเล็กน้อย มือก็พยายามรั้งมือของผมไว้
“มีแค่มึงเนี่ย ก็เท็นแม่งชอบอยู่ดีๆ เป็นงี้ไง ไม่เตรียมพร้อมไว้ เดี๋ยวแฟนค้าง”
“ทำดี มีเหตุผล แต่อย่าให้กูรู้ว่ามึงเอาไปใช้กับคนอื่น”
“ไม่มีจ่ะที่รัก”
“ดีมาก ^^”
.
.
.
ก่อนเดินทางขึ้นเหนือ ผมพาไอ้ปลื้มไปจัดการดร็อปเรียนตามประสงค์ของมันที่เอ่ยปากออกมาเองเป็นที่เรียบร้อย ส่วนเรื่องเสื้อผ้า แฟนที่แสนดีของผมก็เป็นคนเก็บใส่กระเป๋าให้ ก่อนวันเดินทางมันก็ทั้งสอนทั้งสั่งให้ดูแลตัวเอง ดูแลน้อง นั่นนี่อีกเยอะแยะ จนตอนนี้มาถึงพะเยาได้หลายวันแล้วมันก็ยังโทรมากำชับตลอด ซึ่งบางทีผมก็ให้ไอ้ปลื้มมันเป็นคนรับสายแทน
ที่พะเยานี่โอเคเลยนะครับ ถือว่าผมคิดไม่ผิดที่เลือกที่นี่เป็นโลเคชั่นในการจัดทำสารคดีชีวิต ตามติดกันแบบเรียลลิตี้ มันดูเหมือนไม่มีสาระ แต่มันก็มีนะ ผมคิดไว้แล้วว่าจะนำเสนอเรื่องราวออกมาในแง่มุมไหน มันอาจจะไม่โดดเด่นหรือโดนใจผู้ชม แต่ใครว่าเทปนี้ผมจะให้คนอื่นดูล่ะ =_=; กูทำแล้วก็ดูของกูเอง แค่นั้นล่ะครับ
เรียลลิตี้ครั้งนี้ไอ้ปลื้มกลายเป็นตัวเอกของเรื่องอย่างที่ผมตั้งใจไว้ ก็ให้มันลองทำอะไรหลายๆ อย่าง ให้มันได้รู้จักการใช้ชีวิตมากขึ้น เอาจริงๆ คือไอ้เด็กเตี้ยนี่แม่งทำอะไรแทบไม่เป็น แม้แต่ทำอาหารประทังชีวิตมันเองมันยังทำได้แค่ต้มมาม่า ณ จุดนี้ ผมเพลียมาก โอเคนะถ้าคิดว่าชีวิตมันอยู่มาอย่างสุขสบาย มีคนคอยปรนนิบัติ แต่เอาเข้าจริง ถ้าสักวันมันเกิดไม่มีอะไรขึ้นมา เกิดสักวันต้องหาเลี้ยงตัวเอง ปากกัดตีนถีบ แล้วจะเอาปัญญาที่ไหนทำให้ตัวเองมีชีวิตรอดไปจนแก่ ผมอาจจะมองโลกในแง่ลบเกินไป แต่มันก็เป็นมุมต่างที่เกิดขึ้นจริง
เด็กที่มีความคิดอย่างไอ้ปลื้ม คงคิดว่าโลกนี้แม่งอยู่กันง่าย หันมองไปทางไหนคงเจอแต่คนดีมีน้ำใจ โนๆๆ ชีวิตนี้มันไม่ง่ายอย่างนั้นครับ ถึงผมจะได้ฟังเรื่องราวชีวิตของมันมาจนถึงขั้นละเอียดแล้ว ก็ยังคงมองว่ามันไม่ใช่ความคิดที่ฉลาดเลยจริงๆ หนีออกจากบ้านด้วยอายุแค่นั้นไม่ได้เรียกว่าฮีโร่นะครับ เขาเรียกว่าคนโง่ มีจุดยืนของตัวเองกับเด็กหัวแข็งต่างกันแค่เส้นบางๆ กั้น แต่ความคิดเห็นผมก็ใช่จะถูกต้องไปซะหมดหรอก เพราะบางส่วนในใจแล้วผมก็แอบนับถือในความเด็ดเดี่ยวของมัน ผมเชื่อว่าหากมันโตเป็นผู้ใหญ่กว่านี้ ไอ้ปลื้มจะเป็นผู้ใหญ่ที่มีความคิดน่าคบมากเลยทีเดียว แค่ตัดไอ้ที่ไม่ดีออกไปแล้วยังเหลือสิ่งดีๆ เก็บไว้ ผมก็แน่ใจว่าความสำเร็จคงอยู่ไม่ไกลจากตัวมัน
แต่พอมองย้อนถึงตัวผมแล้ว ผมก็เป็นคนหัวแข็งไม่ต่างจากไอ้ปลื้มนักหรอก เรียกให้เท่ก็คือมีความคิดเป็นของตัวเองมากเกินไป แต่ถ้ามองอีกมุมคือกูแม่งไม่ฟังใครเลย ผมรู้ตัวและเข้าใจดี เพราะบางทีผมก็เป็นเพียงตัวประกอบในชีวิตของตัวเองอยู่บ่อยๆ การได้นึกย้อนและเฝ้ามองการกระทำที่ผ่านมาของตัวเอง เฝ้าหาบทสรุปและผลลัพธ์ที่จะเกิด ทำให้เห็นอะไรมากขึ้น มันไม่ใช่การย่ำอยู่กับที่หรืออยากย้อนเวลากลับไป เพราะผมก็แค่...เรียนรู้ความเป็นตัวของตัวเองที่บางครั้งผมก็ไม่เข้าใจและหลงลืมมันไปอยู่บ่อยๆ
“คนสวย เป็นยังไงบ้าง เห็นคุณเคนบอกว่าไม่สบาย หายดีรึยังครับ” ผมกำลังยืนมองท้องนาที่กว้างและทอดยาวไปไกลสุดลูกหูลูกตา ความสวยงามของมันทำให้ผมต้องออกมายืนที่ระเบียงนี้บ่อยๆ
(ดีขึ้นแล้วค่ะ เท็นล่ะคะ เป็นยังไงบ้าง เห็นน้องเมลบอกแม่ว่าเท็นไปพะเยาเหรอคะ)
“ครับ ตอนนี้ผมก็อยู่พะเยา พาน้องของเมลมาเปิดหูเปิดตา แม่คุยกับเมลเมื่อไหร่ครับ”
(เมื่อวานค่ะ แล้วเท็นคุยกับป๋าบ้างรึยังคะ เห็นป๋าบอกว่าเท็นไม่ยอมรับโทรศัพท์ป๋า)
เพราะบทสนทนาแย่ๆ ครั้งนั้นผมก็ไม่รับโทรศัพท์ป๋าอีกเลย ผมเบื่อที่ต้องพูดเรื่องเดิมๆ ซ้ำๆ ซากๆ ในเมื่อพูดยังไงความเข้าใจก็ไม่ตรงกัน ผมก็ขออยู่เงียบๆ ดีกว่าครับ
“ผมไม่ว่างครับ”
(เท็นคะ)
“ครับแม่”
(ทะเลาะอะไรกับป๋ารึเปล่าคะ บอกแม่ได้นะคะ)
“ไม่ได้ทะเลาะอะไรกันหรอกครับ”
บอกไป...แม่ก็จะทะเลาะกับป๋าซะเปล่าๆ เรื่องนี้คงเป็นเรื่องเดียวที่ป๋าไม่ยอมแม่ ผมไม่แน่ใจว่าอะไรที่สำคัญกว่ากัน ระหว่างไม่มีทายาทสืบสกุลกับอาการป่วยของแม่ เมื่อก่อนผมอาจจะไม่ลังเลกับคำตอบของคำถามนี้ แต่ตอนนี้ ป๋า ดูไม่เหมือนผู้ชายที่จะเลือกผู้หญิงที่ตัวเองรักมาก่อนเลยจริงๆ
และผมก็ไม่อยากยอมรับ ว่าผม ผิดหวังกับการกระทำของป๋ามาก
“แม่ครับ ดูแลตัวเองนะครับ อย่าป่วยอีกนะ ผมไม่สบายใจ”
(ค่ะ แม่ไม่เป็นไรอยู่แล้ว แข็งแรงมากเลย)
“ดีแล้วครับ แม่ต้องแข็งแรงก่อนการผ่าตัดครั้งหน้านะ”
(รับทราบค่ะ)
“งั้นแม่พักผ่อนนะครับ ผมต้องไปทำธุระก่อน”
(ค่ะ ดูแลตัวเองด้วยนะคะลูก มีอะไรไม่สบายใจก็บอกแม่ได้นะคะ)
“ครับแม่”
ผมวางสายก่อนจะถอนหายใจออกมา ลิ้นหัวใจที่แม่ผ่าตัดเปลี่ยนไปมันคงใกล้ถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนแล้ว เพราะเมื่อสิบสองปีก่อนพวกเราตัดสินใจร่วมกันว่าจะใช้ลิ้นหัวใจวัวในการเปลี่ยนลิ้นหัวใจให้แม่ แต่ตอนนี้อาการของแม่กำเริบบ่อยๆ จนมีกำหนดการว่าจะเปลี่ยนลิ้นหัวใจเร็วกว่ากำหนดถึงหนึ่งปี
เรื่องนี้ทำให้ผมคิดนะว่า...มันคงถึงเวลาที่ผมควรจะเลือกทางของชีวิตตัวเองหลังจากที่ปล่อยให้มันลอยไปตามลมมานานพอควร
มันไม่ใช่ว่าผมชอบหรือไม่ชอบอะไร เพราะถ้าเอาตามความชอบของผม ชีวิตผมก็ไม่ต้องทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ...แต่ถ้ายึดตามหลักที่ว่า ผมทำอะไรได้บ้าง สิ่งไหนที่ผมทำแล้วเกิดประโยชน์กับคนอื่นต่างหาก คือสิ่งที่ผมควรต้องคิด แน่นอนว่าผมไม่สามารถกู้โลกได้หรอก เพราะผมไม่ใช่ซุปเปอร์ฮีโร่ และผมก็แน่ใจว่าผมไม่สามารถเปลี่ยนโลกสีเทาใบนี้ให้กลายเป็นสีขาวสะอาดไปได้
แต่อย่างน้อย...ผมก็มีความคิดหนึ่งแล้วว่า ผมจะไปเรียนต่อเฉพาะทาง อาการของแม่เป็นเรื่องที่ผมคิดวนเวียนมากที่สุดในตอนนี้ สิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นเสมอ บ่อยครั้งก็จวนตัวจนตั้งหลักไม่ทัน เรื่องไอ้เจมเป็นตัวอย่างที่ดี และผมก็ไม่อยากทำได้แค่ยืนมองอย่างช่วยอะไรไม่ได้อีก เพราะถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะยื้อสิ่งที่รักไว้จนสุดกำลัง ซึ่งมันคงคุ้มค่ามากแล้วกับการมีชีวิตอยู่
ผมคงต้องหาทางเรียนจบให้ได้ภายในเทอมหน้า เพราะจะได้เริ่มทำในสิ่งที่ตั้งใจไว้ มันอาจจะมีเรื่องยุ่งยากตามมาอีกมาก แต่ผมก็จะทำจนสำเร็จ เพราะมันเป็น ความตั้งใจแรกในชีวิตของผม
...........................................To be continue...........................................
ใกล้เข้ามาทุกทีๆ
กอดทุกคนนะ กอดดดดดดดดดดด

ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นยาวๆ นะคะ