It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก (จบ) [21/7/59]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก (จบ) [21/7/59]  (อ่าน 97027 ครั้ง)

ออฟไลน์ kawisara

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1583
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-7
คุณพ่อ คุณแม่กราฟ ใจดีจัง



สงสารพี่ภู ที่ยังไม่ได้กดไฮยีนส์ ฮ่าๆๆๆๆ



ไนล์ มีความลับเรื่องครอบครัวเยอะจัง



สงสารหัวใจคนเหงาที่ไร้ครอบครัว :hao5:

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
ตอนที่ 21 : ขอบคุณความทรงจำ










ไม่มีคำตอบกลับไปถึงไนล์หลังจากผมได้อ่านข้อความนั้น เพราะผมไม่รู้ว่าควรจะตอบกลับไปว่าอย่างไรดี และก็ไม่กล้าจะเอ่ยถามถึงเหตุผลที่ไนล์กล่าวชวนแบบนั้นด้วย ผมคิดว่าการพูดคุยกันต่อหน้าโดยตรงคงจะดีกว่าจึงเฝ้ารอให้ไนล์สอบเสร็จและตรงไปยังแมนชั่นของเขาเมื่อถึงเวลานั้น

ไนล์ไม่แปลกใจที่เห็นผมอยู่ในห้องทันทีที่เขาเปิดประตูเข้ามา เขาวางหนังสือลงอย่างลวกๆ ดึงชายเสื้อออกจากกางเกงก่อนจะเปลี่ยนมาใส่กางเกงขาสั้นเก่าๆ แทนกางเกงสแล็คที่สวมอยู่ ขณะเดียวกันผมก็เดินไปที่กล่องเบียร์ใบเล็กๆ ที่เขาใช้เป็นที่วางพวกจานชามและหยิบแก้วน้ำมารินน้ำให้

เขารับน้ำไปดื่มโดยที่ไม่รู้พูดอะไรก่อนจะส่งแก้วคืนให้ผม เหลือน้ำอยู่นิดหน่อยในนั้นผมจึงดื่มมันให้หมดและวางแก้วไว้ที่เดิม ไนล์หย่อนตัวลงนั่งบนเตียง ผมจึงเดินไปนั่งข้างเขาเช่นกัน

ปล่อยให้ความเงียบกระจายตัวอยู่รอบพวกเราอยู่ครู่หนึ่ง ผมก็เอ่ยถาม

“สอบเป็นไงบ้าง”

“นึกว่าจะถามเรื่องนั้นเสียอีก”

น้ำเสียงของเขาตอบมาเนือยๆ เฉื่อยชาเหมือนไม่รู้สึกอะไรเท่าไร เขารู้ใจผมดีจริงๆ

“ก็อยากถามอยู่ แต่ตอนนี้อยากถามเรื่องสอบก่อน”

ไนล์หันมามองผมเล็กน้อย คล้ายกับจะดูว่าผมคิดแบบนั้นจริงๆ หรือเปล่า ก่อนจะเปล่งเสียงออกมา

“ก็โอเคดี ทำได้หมด แล้วนายล่ะ”

“เหมือนกัน พี่เจ๋งช่วยเก็งให้ว่าน่าจะเน้นตรงไหน แล้วก็อ่านหนังสือตลอดเพราะนายบอกว่าห้ามอู้นั่นแหละ”

ผมยิ้มบางๆ ที่ประโยคท้ายพลางนึกถึงข้อความที่เขาส่งกลับมาให้ เวลาที่อ่านหนังสือแล้วเบื่อ ผมจะหยิบมันมาดูทุกครั้ง และมันก็ทำให้ผมรู้สึกมีไฟขึ้น

“งั้นก็ดีแล้ว”

ไนล์เอนตัวไปด้านหลังจนหงายไปนอนบนที่นอน ปล่อยตัวตามสบายก่อนจะตอบมาแบบนั้น ซึ่งผมก็ทำตามเขา ล้มตัวลงนอนหงายมองเพดานห้องสีขาวที่ไม่ค่อยขาวสะอาดสักเท่าไรอยู่ครู่หนึ่ง แล้วค่อยเบือนหน้าไปมองเขา รวบรวมสติ พยายามเค้นเสียงออกมาให้เหมือนปกติที่สุด

“ทำไมนายถึงชวน”

เหมือนวนลูปกลับสู่วงจรเดิม ไนล์ไม่ได้ตอบผมในทันทีราวกับว่าเขาไม่รู้คำตอบ แต่ผมคิดว่าไม่ใช่แบบนั้น เขาคงรู้คำตอบของตนเองดีอยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นคงไม่เอ่ยออกมา ทว่าอาจเพราะเขาไม่รู้ว่าจะเลือกคำพูดแบบไหนเพื่อตอบผม ถึงได้ยังเงียบอยู่

ไนล์หันหน้ามาทางผมช้าๆ สบตากับผมอยู่อย่างนั้น เหมือนควานหาอะไรสักอย่างที่ผมซ่อนลึกอยู่ภายใน ซึ่งผมก็ไม่คิดหลบเลี่ยงสายตาของเขา ผมไม่มีความลับอะไรกับเขาแล้ว เขาสามารถคุ้ยหาทุกอย่างจากตัวตนของผมได้

“มีบางอย่างที่ทำได้เมื่อไปที่นั่นเท่านั้น”

คำตอบของเขาเป็นปริศนาเหมือนอย่างเคย ผมรู้สึกเหมือนมีเครื่องหมายปรัศนีขึ้นอยู่เต็มหัวผมไปหมด ไนล์ยังคงลึกลับไม่เปลี่ยน แม้ว่าเขาจะเปิดใจส่วนหนึ่งให้ผมได้เข้าไปยืนแล้วก็ตาม

“นาย...ไปกับฉันได้หรือเปล่า”

ไม่ทันให้ผมได้เผยอปากออกพูด เสียงของไนล์ก็ดังอีกครั้ง เขาเองก็รู้ว่าอาการของผมจะเป็นอย่างไรเมื่ออยู่ในสถานที่แห่งความทรงจำที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตของผม

สัมผัสอุ่นๆ แตะที่มือ เรียกให้ผมต้องก้มหน้าลงมองทั้งที่รู้ว่ามันคืออะไร

ไนล์จับมือผมเอาไว้...

คล้ายกับว่ากำลังขอร้องให้ผมตอบรับคำขอของเขา

แล้วผมจะปฏิเสธได้อย่างไรกัน?

ทั้งที่มันอาจจะฆ่าผมทั้งเป็นอีกครั้งก็ตาม





หลังจากผมตอบรับเขาในลำคอเพียงสั้นๆ ว่า ‘อืม’ เราก็เริ่มเก็บของ ไนล์เก็บเสื้อผ้าสองสามชุดใส่กระเป๋าเป้เก่าๆ ที่ผมไม่แน่ใจว่าใช้มากี่ปีแล้ว ก่อนที่ผมจะพาเขาไปที่คอนโดฯ ของผมเพื่อเก็บเสื้อผ้าส่วนของผมบ้าง เขาไม่ได้บอกผมว่าจะไปค้างกี่คืน และผมก็ไม่แน่ใจว่าผมจะทนอยู่กับสถานที่แห่งนั้นได้ไหม เมื่อได้ยินจุดมุ่งหมายที่เขาระบุไว้อย่างชัดเจนตอนนั่งรถมาที่คอนโดฯ ของผม

ที่แห่งนั้น...

ที่ที่มิ้นจากไป...

ไนล์บอกว่าต้องการไปที่นั่น

เก็บเสื้อผ้าของใช้สำหรับค้างสองคืนโดยประมาณแล้วผมกับไนล์ก็ออกไปกินอาหารเย็นด้วยกัน และกลับมาใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยในคอนโดฯ ก่อนจะเข้านอนเพราะตั้งใจว่าจะเดินทางตั้งแต่พรุ่งนี้เช้า ผมขับรถไปเองโดยใช้รถคันประจำ ไม่ได้ถอยทิกเกอร์ออกมาใช้ แม้ว่าจะไม่ได้เอามันมาวิ่งเล่นสักพักใหญ่ๆ แล้ว ไม่รู้ว่าเครื่องยนต์จะมีปัญหาบ้างหรือเปล่าก็ตาม

มันไม่ใช่เรื่องลำบากเท่าที่คิดในการขับรถเข้ามาจอดในโรงแรม เพราะหากมองจากทางด้านหน้า ผมไม่อาจเห็นสถานที่ซึ่งเป็นฝันร้ายของผมได้ เราไม่ได้ไปพักที่บ้านพักซึ่งอยู่ติดทะเลเหมือนในวันนั้น แต่เป็นโรงแรมในละแวกเดียวกัน โชคดีที่ช่วงนี้ไม่ใช่ไฮซีซั่น จึงสามารถหาห้องพักได้แม้ไม่ต้องจองล่วงหน้า

ผมติดต่อประชาสัมพันธ์แล้วดำเนินการเรื่องเช็กอิน ระหว่างเลือกห้องพัก ผมลังเลอยู่ว่าควรจะเลือกฝั่งไหน ด้านที่สามารถมองเห็นทะเลได้อย่างที่แขกคนไหนๆ ก็คงจะชอบกัน หรือฝั่งที่มองเห็นสระว่ายน้ำของโรงแรมมากกว่าการเลือกแบบห้องเสียอีก สุดท้ายก็เลือกห้องดับเบิลเบดฝั่งสระว่ายน้ำหลังจากมองตาของไนล์อยู่พักใหญ่ แล้วเขาไม่ขัดอะไรขึ้นมา

เขาคงเห็นใจผมและมองว่ามันอาจจะโหดร้ายเกินไปหากเลือกฝั่งทะเลล่ะมั้ง

“ลงไปหาอะไรกินกันก่อนไหม”

หลังจากสำรวจภายในห้องพักและเก็บเสื้อผ้าเข้าตู้แล้ว ผมก็เสนอ เพราะตอนนี้เกือบบ่ายสามแล้ว มื้อเช้าเราแวะกินกันตอนประมาณก่อนสิบโมงเช้า ได้เวลาหิวพอดี

ไนล์ค่อยๆ ละมือจากผ้าม่านสีเทาอ่อนช้าๆ พลางถอนสายตาจากการเหม่อมองไปที่ท้องฟ้าและสระว่ายน้ำด้านนอกมาทางผม

“เปลี่ยนชุดเลยก็ได้”

ผมยักไหล่หน่อยๆ เป็นการรับคำเขา เพราะถึงเสื้อผ้าที่ใส่อยู่จะเป็นแค่เสื้อเชิ้ตกับกางเกงยีน แต่เปลี่ยนเป็นชุดที่สบายตัวน่าจะดีกว่า เพราะมาถึงสถานที่พักผ่อนแล้ว แม้ว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของการมาจะไม่ใช่อะไรแบบนั้น

ผมหยิบเสื้อออกมาชุดหนึ่ง เป็นเสื้อยืดสกรีนลายแบบที่ผมชอบ แต่เพราะว่ามันเป็นสีขาว ถึงได้โดนอีกฝ่ายทักอีกรอบ

“เอาชุดที่ลงทะเลได้”

เสี้ยววินาทีนั้น เหมือนผมกลายเป็นตุ๊กตาไขลานที่ลานหมดกะทันหัน ผมเงยหน้าขึ้นไปมองไนล์ที่ก้าวเท้าช้าๆ เข้ามาหาผม เหมือนคนไม่รู้ประสาหรือเพิ่งเคยมาเหยียบสิ่งที่เรียกว่าโลกเป็นครั้งแรก

เขามายืนประจันอยู่ตรงหน้าผมที่หน้าตู้เสื้อผ้า มองสบตากัน คล้ายกับกำลังสื่อสารข้อความบางอย่างผ่านดวงตาคู่นั้นให้ผมรับรู้ว่าเขาพูดความจริง และมีเจตนาแบบนั้น และทั้งที่ผมก็รู้ดีว่าน่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอยู่แล้ว แต่ผมก็ยังเกิดอาการแบบนี้

“อะ...อืม นั่นสินะ”

ได้แค่พูดออกไปแบบนั้น แต่ร่างกายของผมยังหงึกๆ หงักๆ เหมือนฝืนลานที่หมดไปแล้วให้กลับมาทำงานได้ต่อ และดูเหมือนเขาจะเข้าใจอารมณ์ของผม ถึงได้ยื่นมือมาแตะมือผมที่จับเสื้อยืดค้างอยู่ ผมเบือนหน้าไปมองเขาอีกครั้ง

“ฉันโอเค”

มองแววตาของเขาแล้ว ผมก็ตอบออกมาเพื่อให้เขาเบาใจ ไม่อยากให้เขาเป็นห่วง ขณะเดียวกันก็อยากจะสู้ด้วยตัวเอง ผมยกแขนขึ้นเพื่อสวมเสื้อ เขาจึงปล่อยมือที่จับผมอยู่ออก และมาเปลี่ยนเสื้อผ้าบ้าง ตอนนี้ทั้งผมและเขาจึงอยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นกันทั้งคู่ ก่อนจะลงไปที่ห้องอาหารเพื่อกินมื้อบ่ายด้วยกัน

นับว่าเป็นโรงแรมที่บรรยากาศดี และค่อนข้างเป็นส่วนตัว ทำให้ผมกับไนล์นั่งกินอาหารกันได้อย่างสบายๆ จนเริ่มบ่ายคล้อย แดดร่มลมตก เราทั้งคู่ถึงค่อยเคลื่อนตัวออกจากห้องอาหาร

ผมย่างเท้าออกมาจากโรงแรมเดินอ้อมไปทางด้านหลังเล็กน้อยก็มาถึงอาณาบริเวณที่เป็นพื้นทราย ท้องฟ้าสีครามมากกว่าจะเป็นสีฟ้าสว่าง สิ่งที่ผมหวาดกลัวแผ่กว้างสุดลูกหูลูกตา เสียงสาดซัดของมันกัมปนาทอยู่ในหูจนผมรู้สึกสั่นเล็กน้อย

ริมฝีปากของผมขบกันแน่น เพื่อระงับกักเก็บความหวาดกลัวในใจเอาไว้ ทว่าไนล์ก็รับรู้มันได้ เขาขยับเข้ามาใกล้ แล้วยื่นมือมาทางผม แบมันตรงหน้าจากตำแหน่งด้านข้างเพื่อให้ผมใช้มันเป็นหลักยึด หากบอกว่ารู้สึกสบายใจเล็กน้อย อาจจะใช่ ผมปลอบใจตัวเองว่ายังมีใครอีกคนที่กำลังจะก้าวเดินไปพร้อมกับผม

มือของผมวางลงบนมือของไนล์ ก่อนเขาจะกระชับมันแล้วก้าวเดินลงมาจากบันไดหินทีละขั้นให้ผมเดินตามอย่างเชื่องช้า จนกระทั่งมาเหยียบบนพื้นทรายละเอียดสีครีมได้

“กลัวหรือเปล่า”

ไนล์ถามผมด้วยเสียงเรียบๆ เขาเหม่อมองไปทางด้านหน้า ไม่ได้หันมาทางผม ขณะที่ผมก็ได้แต่มองไปทางเขา ไม่กล้าหันไปยังสิ่งที่เขามองอยู่ คำตอบจากคำถามของเขา ผมแทบตอบได้โดยไม่ต้องผ่านสมอง

“อืม”

“แต่ถ้าเราไม่ก้าวข้ามมันไป ทั้งฉันทั้งนาย ก็ยังคงต้องเจ็บปวดกับมันทุกครั้ง”

เสียงของเขาเหมือนจะลอยไปตามสายลมที่พัดผ่านไป ผมไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่เขาพูดนัก หากพูดถึงผมคนเดียวคงจะไม่แปลก แต่เขากลับพูดถึงตัวเอง

“ฉันอยากผ่านมันไปให้ได้ เพราะนาย ฉันถึงรู้สึกอยากมีชีวิตอยู่เพื่อตัวเอง แต่ถ้ายังไม่เริ่มก้าวจากตรงนี้ ฉันรู้สึกว่าฉันจะไม่สามารถเดินไปพร้อมๆ กับนายได้ เพราะทั้งนายและฉันต่างก็ยังจมอยู่”

ผมยังงุนงง ไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพูดอยู่ดี สิ่งที่ตอบเขาได้จึงมีเพียงความเงียบ และการมองใบหน้าของเขาอยู่อย่างนั้น ไนล์หันมามองหน้าผมเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เราเหยียบลงบนเม็ดละเอียด

“นายจะทำเพื่อฉันได้ไหม”

“...”

“ก้าวไปข้างหน้าพร้อมฉันได้หรือเปล่า”

“...”

“ก้าวไปพร้อมกัน อย่างที่นายอยากให้ฉันอยู่เคียงข้างนาย”

แม้จะไม่เข้าใจเหตุผลที่เขาพูดออกมา แต่เมื่อถูกขอร้องด้วยคนคนนี้ มีหรือที่ผมจะสามารถจะปฏิเสธได้ ความหวาดกลัวในใจของผมที่ค่อยๆ ขยายตัวเหมือนจะลดความเร็วลง และหดลงไปทีละนิดๆ ผมกระชับมือไนล์ให้แน่นขึ้น ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ

“ฉันจะพยายาม... มาผ่านมันไปด้วยกันเถอะ”

สิ้นเสียงของผมแล้ว เราสองคนต่างก้าวเท้าไปข้างหน้า ร่นระยะทางสู่ฝันร้ายให้ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

ผมตัวสั่นจนรู้สึกได้ ไนล์ไม่ปล่อยมือจากผม รองเท้าของเราถูกถอดไว้เคียงคู่กัน ก่อนเท้าของผมจะสัมผัสกับฟองคลื่น เพียงเท่านั้นก็ทำให้ผมสะท้านไปกาย ดึงมือไนล์ที่จับกันอยู่ให้เดินกลับไปยังทางเก่า แต่เขาก็ยื้อเอาไว้แน่นพร้อมกับออกแรงดึงให้ผมเดินไปด้านหน้า ฝ่าสัมผัสยุบยับที่เหมือนกับกำลังไต่อยู่ที่ข้อเท้ามากขึ้นเรื่อยๆ

เสียงเซาะสาดหาดทรายดังหึ่งในหูของผม ปากของผมสั่นระริกจนต้องขบเอาไว้แน่น ความเปียกชื้นลามเลียมาจนถึงแข้ง ไล่ขึ้นมาจนถึงหัวเข่า ผมหลับตาแน่นด้วยความหวาดกลัว เสียงกรีดร้องว่า ‘ไม่’ สะท้อนไปทั่วโสตประสาท มือทั้งสองข้างกำจิกจนสุดแรง

ไนล์ไม่ปล่อย แม้ว่าเล็บสั้นๆ ของผมจิกลงไปบนหลังมือของเขา เสียงกระซิบแผ่วแทรกสอดเข้ามาพร้อมกับเสียงของคลื่น

“ลืมตาสิ”

“ฉัน...”

เสียงของผมหลุดออกมาได้เท่านั้น เพราะเริ่มหายใจไม่ออก อยากจะวิ่งออกไปจากตรงนี้เสียตอนนี้ แต่ก็ถูกไนล์รั้งไว้ แขนของผมถูกดึงมาด้านหน้ามากขึ้นจนรู้สึกเหมือนเจ้าของมือที่จับกันอยู่มาหยุดยืนตรงหน้า

“มองหน้าฉันสิ”

ผมยังคงหลับตาแน่น ไม่ยอมทำตามตามอย่างที่อีกฝ่ายบอก ยิ่งถูกเร่งเร้าก็เหมือนจะยิ่งทวีความหวาดกลัว ผมหมุนตัวกลับ ร้องออกมาเสียงดัง

“ไม่เอาแล้ว ฉันไม่ไหว”

จากนั้นก็ก้าวเท้าไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว สะบัดมือของตัวเองออกโดยไม่สนใจว่าร่างกายกำลังถูกใครจับเอาไว้ เพราะหากฝืนมากไปกว่านี้ สิ่งที่พันธนาการผมเอาไว้อาจจะไม่ใช่ไนล์ แต่เป็นหลุมลึกในใจ ก้นทะเลที่ไม่มีที่สิ้นสุดซึ่งมีร่างของมิ้นอยู่

“กราฟ อย่ายอมแพ้สิวะ”

เสียงตะโกนดังขึ้นมาจากด้านหลังเมื่อผมก้าวออกไปได้แค่สองก้าว เสื้อยืดด้านหลังของผมถูกกระชาก คำพูดที่คล้ายสบถนั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินยามเขาพูดกับผม

“ถ้านายไม่เผชิญหน้ากับมัน นายจะผ่านมันไปได้ยังไง”

“ฉันรู้... แต่มันยากเกินไป”

แขนทั้งสองข้างถูกยกขึ้นมากอดตัวเองไว้ ผมตอบโดยไม่หันหลังกลับไปประจันหน้ากับเขา รู้ว่าตอนนี้ตัวเองช่างขี้ขลาดและน่าหัวเราะ แต่ผมก็ต้องยอมรับว่าผมเป็นได้แค่ไอ้ขี้แพ้ในตอนนี้

“มันยากเพราะนายไม่เตรียมใจที่จะสู้จริงๆ ต่างหาก นายกลัวอะไรเหรอ กลัวที่ต้องยอมรับว่าเสียมิ้นไป กลัวความรู้สึกผิดของตัวเอง กลัวว่าจะต้องตายเหมือนมิ้น หรือว่ากลัวอะไร”

คำพูดของเขากระแทกใจของผมทุกประโยค ราวกับก้อนหินเท่ากำปั้นถูกเขวี้ยงมาอัดเข้าตรงอก ผมรู้สึกอึดอัดและเจ็บระบมจนต้องกระชับแขนที่กอดตัวเองเอาไว้มากกว่าเดิม

“นายจะต้องกลัวอะไรอีก ในเมื่อนายเสียมันไปหมดแล้ว”

“...”

“หันหน้ามาสิ หันมามองว่าตอนนี้ใครอยู่ตรงหน้านายกันแน่”

“...”

“ฉันคือมิ้นหรือไง”

น้ำเสียงของเขาสั่นมากขึ้นเรื่อยๆ จนผมรู้สึกทนไม่ไหว ค่อยๆ คลายแขนของตัวเองออกก่อนจะหันกลับไปหาเขาอีกครั้ง ใบหน้าของไนล์มีแต่แววเครียดขึง จับจ้องผมเขม็ง ริมฝีปากของเขาสั่นเทาน้อยๆ ทำให้หัวใจที่สั่นด้วยความหวาดกลัวของผมเต้นแผ่วเบาลง

“ขอโทษ...”

สิ่งเดียวที่ผมพูดได้ในตอนนี้คือคำนี้ มันเบาบางจนแทบจะถูกอากาศหอบหายไปเพียงแค่ลมวูบเดียว ผมจ้องมองดวงตาของเขา

“ฉันจะพยายามอีกครั้ง”

บอกเขาแบบนั้นแล้วผมก็ดึงมือที่จับเสื้อด้านหลังของผมเอาไว้มากุมแทน ก่อนจะเดินไปด้วยกัน ก้าวลึกเข้าไปยังสถานที่เดิมที่ผมเคยควานหาร่างของมิ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่สิ่งที่ผมจับเอาไว้ได้มีแต่ความว่างเปล่า หัวใจของผมบีบรัดขึ้นมาอีกครั้งเมื่อคลื่นน้ำแตะร่างของผมสูงขึ้นเรื่อยๆ

ผมพยายามรั้งเปลือกตาเอาไว้ไม่ให้มันปิดลงมา บีบมือไนล์แน่นพลางบอกตัวเองว่าตอนนี้เขากำลังอยู่ข้างๆ ผม กระทั่งน้ำมาถึงเอว พวกเราก็หยุดลง ผมขบปากตัวเองแน่น ก่อนจะหันมามองคนที่อยู่ข้างๆ

เพียงเท่านั้นต้นคอของผมก็ถูกกระชากไปด้านหน้าอย่างแรง ใบหน้าของผมถูกประคองด้วยสองมือของคนตรงหน้าที่ผมไม่รู้ว่าเขาปล่อยมือผมออกไปตั้งแต่เมื่อไร ริมฝีปากของผมถูกบดขยี้อย่างรวดเร็วจนไม่ทันได้ตั้งตัวด้วยกลีบปากนุ่มๆ ที่คุ้นเคย ไนล์ดูดไซ้ปากของผมอย่างรุนแรงราวกับโหยหามาแสนนาน

ปลายลิ้นอุ่นๆ ไล้เลียไปตามกลีบเนื้อก่อนจะหย่อนเข้ามาในปากของผมที่ยอมเปิดอ้าให้แต่โดยดี ผมขบดูดเนื้อนุ่มหยุ่มที่บดกระแซะเข้ามาหาผมไม่หยุดหย่อน กระหวัดลิ้นเข้าหยอกเย้ากับส่วนเดียวกันที่ไล้ลูบไปทั่วภายใน เราจูบกันดุเดือดร้อนแรงราวกับคนอดยาก

เสียงเฉอะแฉะจากเราทั้งคู่ดังสะท้อนอยู่ในหูของผม แทนที่เสียงเดิมที่ผมแสนเกลียด ลมหายใจเป่ารดกันอยู่และร้อนขึ้นเรื่อยๆ ผมโอบรัดรอบเอวบางซึ่งเปียกไปด้วยน้ำเค็มที่เซาะเป็นระยะจากระลอกคลื่น ดื่มด่ำกับรสจูบที่ไม่ยอมผละจากไม่รู้ว่ากี่นาที

กว่าจะละใบหน้าห่างจากกันได้ พวกเราก็หายใจหอบโยนกันทั้งคู่ ไนล์ส่งยิ้มให้ผมเล็กน้อย แต่มันก็ทำให้ผมรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก รู้สึกราวกับว่ามีสัมผัสอ่อนนุ่ม เหมือนสำลี ปุยฝ้าย หรืออะไรสักอย่างคล้ายๆ นั้นกำลังห่อหุ้มร่างของผมเอาไว้

“เห็นไหม เพราะนายพยายาม นายถึงทำได้”

ผมพยักหน้าตามคำพูดของเขา แม้ว่าจะหวั่นๆ ในใจอยู่เล็กน้อย แต่ว่าก็ไม่ได้หวาดกลัวเหมือนอย่างในทีแรก ไนล์ปล่อยมือจากใบหน้าของผม พลอยให้ผมปล่อยมือจากเอวเขาไปด้วย แล้วเขาก็คว้ามือของผมเอาไว้แทน บีบมันเบาๆ แล้วเอ่ยออกมาอีกครั้ง พลางเหม่อมองท้องฟ้ายามเย็น

“มิ้น... ปล่อยกราฟจากอดีตได้แล้วนะ”

มันเป็นประโยคที่ผมไม่คาดคิดมาก่อน หากพูดว่าตะลึงงันก็คงไม่ผิดไปจากการอาการของผมในตอนนี้ ไนล์บีบมือของผมอีกครั้ง คล้ายว่าจะเรียกสติของผมให้กลับมายังเขา ขณะที่เขาจับจ้องมองเข้ามาในดวงตาของผม เหมือนกับพยายามสื่อความรู้สึกกับผมให้ชัดเจนยิ่งขึ้น

“ส่วนนายก็ปล่อยวางได้แล้ว ทิ้งความเจ็บปวด ความรู้สึกผิดทุกอย่างเอาไว้ที่นี่ เก็บเฉพาะแต่ความทรงจำที่สวยงามเอาไว้ ว่าครั้งหนึ่งนายเคยมีคนรักที่น่ารักมาก และนายจะจดจำเขาตลอดไป เพราะฉันเองก็จะจดจำเหมือนกันว่ามีญาติที่มีความสำคัญและฉันก็รักมาก ชื่อมิ้น”

ผมพูดอะไรไม่ออก ได้แต่มองหน้าเขาที่ประดับด้วยรอยยิ้มบางๆ มันเบาหวิว ล่องลอย ไม่ใช่ความรู้สึกที่หนักอึ้งเหมือนที่ผมเคยแบกรับไว้ และเพราะแบบนั้นน้ำหนักที่ตกตะกอนอยู่ในใจของผมมันถึงค่อยๆ เบาลง ผมหายใจได้สะดวกขึ้น ราวกับความทุกข์กำลังเลือนหายไปช้าๆ เมื่อคิดตามคำพูดของเขา

ทิ้งความเจ็บปวดในอดีตเอาไว้ แล้วจดจำว่าเคยรักใคร

“ต่อจากนี้ ขอให้เราได้ยืนเคียงข้างผู้ชายคนนี้ต่อจากมิ้นนะ ขอให้มิ้นอนุญาตด้วย”

ไม่รู้เพราะอะไร แต่เหมือนความเศร้าเสียใจกำลังโหมกระหน่ำขึ้นมา ขณะเดียวกันความซาบซึ้งใจก็โถมทับ มันคละเคล้ากันจนแทบแยกไม่ออก แต่ก็ในใจลึกๆ กลับรู้สึกว่ากำลังยินดี ผมบีบมือไนล์กลับไป สูดลมหายใจเข้าลึกที่สุด เริ่มเข้าใจความรู้สึกว่าต้องยอมรับมากขึ้น และก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังก้าวผ่านกำแพงสูงตระหง่านออกไปเพื่อพบกับทิวทัศน์ภายนอกที่หลีกหนีมาโดยตลอด

ไนล์ทำให้ผมอยากจะทำแบบนั้น

ผม...อยากจะมีความสุขกับปัจจุบันของผม

ใบหน้าของผมหันไปรอบด้าน กวาดตามองไปทั่วทิศ ผิวน้ำที่เคลื่อนเป็นระลอกคลื่น ไม่ได้น่ากลัวเหมือนอย่างที่เคยเห็น มันสะท้อนแสงแดดสีส้มจนระยิบระยับจนตาพร่า ความสวยงามที่ผมไม่เคยเห็นมาตลอดสามปีกว่า ผมได้มองมันด้วยตาของผมเองอีกครั้ง

ผมสูดลมหายใจลึกสุดปอด เปล่งเสียงให้ดังมากพอที่เราทั้งคู่จะได้ยิน และเผื่อแผ่ไปถึงคนที่ผมอยากจะให้ได้ฟังแม้ผมไม่รู้ว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหน ไม่ว่าเธอจะอยู่ที่ไหนก็ตาม แต่ผมอยากให้เธอรับรู้

“ขอโทษนะที่ทำให้ตาย กราฟไม่ได้ตั้งใจ แล้วก็รู้สึกผิดและเสียใจมาตลอด แม้แต่ตอนนี้กราฟก็ยังคงรักและจำเรื่องมิ้นได้เสมอ แต่ต่อจากนี้กราฟจะก้าวเดินแล้วนะ เพราะมีคนทำให้หัวใจของกราฟกลับมาอีกครั้ง หวังว่ามิ้นจะไม่ว่า”

ผมเบือนสายตากลับมามองคนตรงหน้าเล็กน้อย สบนัยน์ตาของเขา ขณะหมุนมือที่จับกันอยู่เล็กน้อย ให้นิ้วของเราสอดประสานกัน ผมมองตาเขาเอาไว้และพูดสิ่งที่ตั้งใจจะทำนับจากนี้

“อดีตทั้งหมดกราฟยกให้มิ้น แต่ปัจจุบันและเผื่อไปถึงอนาคตจะเป็นของไนล์”

ไม่รู้ว่าผมรู้สึกไปเองหรือเปล่า แต่ผมคิดว่าสีหน้าของไนล์เปลี่ยนไป เขาก้มหน้าหลบสายตาของผมหน่อยๆ คล้ายกับกำลังซ่อนอะไรบางอย่างอยู่ ผมเอียงคอก้มหน้าลงเพื่ออ่านสีหน้าของเขา ก็เห็นว่ามันเป็นสีระเรื่อกว่าปกติ และผมค่อนข้างมั่นใจว่าไม่ใช่เพราะแสงแดดที่อาบใบหน้าของเขาอยู่ แต่เป็นเพราะเขากำลังเขินอยู่ต่างหาก

“ไนล์...”

ผมเรียกเขาให้เงยขึ้นมามองผม แต่ว่าเขาทำแค่เหลือบสายตาขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น ผมจึงโน้มหน้าเข้าไปใกล้เขามากขึ้น ก่อนจะบอกคำที่ผมอยากจะบอกเขาในเวลานี้ที่สุดให้ฟัง”

“ฉันรักนาย”

เขาเงยหน้าพึ่บขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เหมือนคนไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน จนผมหลุดยิ้มออกมาแล้วพอเขาเห็นรอยยิ้มของผม เขาก็หน้าแดงแปร๊ดขึ้นมา แดงทั้งหน้าอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน เขาอ้าปากเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็ก้มหน้างุดไปอีก แล้วพึมพำเสียงเบาจนผมต้องเงี่ยหูเข้าไปฟังใกล้ๆ

“อะไรนะ”

“อืม...”

เขาพูดออกมาแค่นั้น ผมก็ได้แต่งงว่าเขาหมายถึงอะไร เพราะก่อนหน้านี้ผมเหมือนจะได้ยินประโยคที่ยาวกว่านี้ ผมเลยยังไม่ยอมผละถอยออกมา ยังคงโน้มหน้าไปฟังเขาใกล้ๆ พลางมองริมฝีปากสีพีชเข้มนั้นด้วย ก่อนเขาจะทำให้หัวใจของผมพองโตจนแน่นไปทั้งอก เพราะคำพูดแผ่วเบาที่หลุดออกมา

“รัก...นาย”

ไม่ทันให้ผมได้คิดอะไรต่อจากนั้น ผมก็กดริมฝีปากเข้าประกบปากเขาอย่างรวดเร็วเสียแล้ว







อ่านต่อข้างล่าง


v



v

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥




ต่อจากข้างบน




v



v




เมื่อวานหลังจากกลับไปถึงห้องพัก เปลวเพลิงแห่งความปรารถนาก็ลุกลามจนไม่อาจหยุดยั้งได้ ความร้อนแผ่ลามไปทั่วร่างเมื่อย่างเท้าเข้าไปในห้องน้ำ เพื่อชำระร่างกายที่เปียกปอนด้วยน้ำทะเล เราต่างสัมผัสลูบไล้เรือนกายกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า

เสียงหอบสะท้านดื่มด่ำกับความรักที่เพิ่มพูนจนทะลักล้นก้องกังวานจนอื้ออึงไปทั่วหู ราวกับจะทำให้ทั้งผมและไนล์ต่างเมามายยิ่งกว่า ผมโถมรักเข้าใส่เขาครั้งแล้วครั้งเล่า ขณะที่เขาตอบรับผมทุกช่วงจังหวะที่ผมทะยานเข้าฝากฝังไอร้อน บีบรัดเสียจนผมแทบหน้ามืด เหวี่ยงตัวทะลุขึ้นเหนือเมฆละมุน และร่วงหล่นลงมาจนเสียววาบสะท้านไปทั้งกาย

ไฟร้อนแดงฉ่าจบลงที่เตียงนอน ร่างของพวกเราชื้นโชกไปด้วยเหงื่อที่คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นกายจนต้องอาบน้ำซ้ำอีกรอบ และโทรสั่งอาหารให้รูมเซอร์วิสมาส่งห้อง เพราะไม่อยากจะเสียพลังงานไปกับการเคลื่อนไหวโดยใช่เหตุ

ไนล์อ่อนเปลี้ยไปทั้งร่าง ขณะที่ผมเองก็บอกได้ว่าปวดเมื่อยตัวไม่น้อย

ถึงกระนั้นเขาก็ยังเอ่ยกับผมเสียงแผ่วด้วยสีหน้าจริงจัง

‘พรุ่งนี้เราลงไปที่ทะเลอีกนะ’

ผมเข้าใจความคิดของเขาได้ทันที คงเพราะเกรงว่าอาการของผมจะหายเพียงช่วงประเดี๋ยวประด๋าว จึงจำเป็นต้องพิสูจน์ซ้ำอีกครั้งว่าผมสามารถขจัดความกลัวได้อย่างหมดสิ้น

ดังนั้นผมจึงมาเดินเล่นอยู่ริมหาดกับเขาในช่วงเช้าตรู่ มือของเราสอดประสานกันเอาไว้ แกว่งเบาๆ ราวกับในโลกนี้มีอยู่กันเพียงลำพังสองคน ซึ่งมันก็ไม่ผิดเพี้ยนไปจากที่รู้สึกนัก เพราะเวลานี้ไม่มีใครออกมาเดินเล่นเลยสักคน อาจเพราะพระอาทิตย์ขึ้นไปพักหนึ่งแล้วก็เป็นได้

เสียงคลื่นสาดกระทบชายฝั่งเวลานี้เสนาะหูของคนฟังอย่างผม มันไม่ได้ทำให้ผมขนลุกชัน หัวใจเต้นรัวราวกับจะทะลุออกจากอกเพราะความขยาดเกรง ภาพที่ผมเห็นไม่ได้ดำมืดเหมือนจมอยู่ใต้น้ำที่ไร้หนทางออก แต่กลับเป็นน้ำทะเลสีเขียวครามอย่างที่ใครๆ มองเห็น ท้องฟ้าสว่างสีฟ้า แสงแดดอ่อนๆ ยังไม่ทำร้ายผิวนัก

ผมไม่คิดว่าจะมีวันที่ผมได้เห็นทิวทัศน์แบบนี้อีกครั้ง

แต่ในวันนี้ผมได้สัมผัสมันอีกครั้ง เพราะผมไม่ต้องเกรงกลัวแล้ว ในเมื่อผมมีไนล์อยู่ข้างๆ แบบนี้

“ฉันหายแล้วจริงๆ”

ผมหันไปยิ้มให้ไนล์ เส้นผมและเสื้อผ้าของพวกเราพลิ้วไหวไปตามกระแสลมจนเกือบจะดังพึ่บพั่บ ไนล์ส่งยิ้มกลับคืนมาให้ผม เหมือนว่าเขาเองก็ยินดีเช่นกันที่ผลออกมาเป็นแบบนั้น ก่อนเขาจะดึงมือผมไว้ ทำให้ขาของผมที่กำลังก้าวอยู่ชะงักไป

ผมหันไปมองหน้าเขาอย่างสงสัย ขณะเดียวกันเขาก็จ้องผมอยู่สักพักราวกับมีเรื่องอะไรจะพูด เขากุมมือผมเอาไว้แน่น จนผมรอลุ้นว่าเขาจะพูดอะไรออกมา

“ฉัน...”

เสียงของเขาดังแผ่ว เหมือนยังไม่แน่ใจว่าจะพูดออกมาดีหรือเปล่า พานให้ผมเลิกคิ้วเล็กน้อย เขาจึงเม้มริมฝีปากสีสวยนั่นเบาๆ ก่อนจะเปล่งเสียงขึ้นมาอีกครั้ง

“ฉันเคยมาที่นี่”

ผมไม่เข้าใจ จากที่เลิกคิ้วก็เปลี่ยนเป็นย่นคิ้วเข้าหากันนิดหน่อย คล้ายว่าจะขอคำอธิบาย ไนล์กระชับมือผมเอาไว้แน่นขึ้น

“ฉันอยากสารภาพกับนาย”

“...”

“วันนั้น... วันที่เกิดอุบัติเหตุที่นี่”

เขาเงียบเสียงไปอีก แล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พลอยให้ผมลุ้นไปด้วย แม้ว่าจะเริ่มรู้สึกถึงเค้าลางของอะไรบางอย่างจากประโยคที่เขาพูดมา ทว่าเมื่อเขาพูดออกมา หัวใจของผมก็หยุดเต้นไปหนึ่งจังหวะ

“ฉันอยู่ที่นี่ด้วย”

ผมมองเขาอย่างไม่เข้าใจ คำพูดของเขาไหลผ่านสมองผม ผมได้ยินชัดเจน แต่ผมกลับรู้สึกว่าผมไม่เข้าใจความหมายนั้น ไนล์จ้องมองเข้าในดวงตาของผมด้วยประกายบางอย่าง ก่อนจะเอื้อนเสียงออกมาอีกรอบ

“มิ้นขอให้ฉันมาที่นี่ด้วย เหตุผลที่พ่อของมิ้นอนุญาตให้มิ้นมาเที่ยวกับพวกนายได้ ก็เพราะว่าฉันมาด้วย มิ้นตั้งใจว่าจะแนะนำให้ฉันรู้จักกับนาย...ในคืนนั้น แต่ว่ามันเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาเสียก่อน ฉันเองก็เป็นเหมือนนาย ฉันช่วยมิ้นไม่ได้ ได้แต่มองนายทุรนทุรายเพราะสูญเสียมิ้นไป ขณะที่ตัวเองได้แต่นิ่งอึ้งเพราะทำอะไรไม่ถูก”

เสียงของเขาสั่นเครือมากขึ้นยามเล่าให้ผมฟัง ดวงตาที่จ้องมองผมอยู่เริ่มรื้นด้วยน้ำใสๆ ผมต้องยกมือขึ้นแตะที่ขอบตาของเขาเบาๆ ให้สิ่งที่เกาะอยู่บนนั้นไหลลงมา แล้วปาดซับมันทิ้งให้อย่างเบามือ

เขาเองก็ปวดร้าว เขาเองก็เปราะบาง...จากการสูญเสียเหมือนกับผม

ผมเข้าใจแล้ว... ไมได้มีผมคนเดียวที่เจ็บปวด

“ขอโทษนะ” ผมเอ่ย

ไม่ใช่ผมคนเดียวที่ต้องเผชิญกับเงาดำมืดของการสูญเสีย

ไนล์เองก็เหมือนกัน

แต่ว่าเขากลับอดทน ฝ่าฟันและผ่านมันมาพร้อมกับฉุดดึงผมขึ้นมาจากก้นทะเลลึก

ตอนนี้ถึงเวลาที่ผมจะฉุดเขาขึ้นมาแล้วใช่ไหม

เป็นผมเองที่ถึงเวลาต้องเข้มแข็งเพื่อเขาบ้างแล้ว

“ฉันไม่เคยรู้ ถึงได้ทำตัวอ่อนแอทั้งที่นายเองก็เสียใจ”

“...”

“แต่ต่อจากนี้ไปมันจะไม่เป็นแบบนั้นแล้ว ผมฉันจะกุมมือของนายไว้ กอดนายเอาไว้ แล้วเข้มแข็งไปพร้อมๆ กัน จะไม่มีใครต้องจมอยู่กับความเสียใจเพียงลำพังอีกแล้ว”

ผมดึงมือของเขาขึ้นมาจูบเบาๆ เหมือนกับจะให้มันเป็นดั่งการปฏิญาณคำมั่น ไนล์เงยหน้าขึ้นมองผม ดวงตาของเขาสั่นไหว แต่ต่างจากเมื่อครู่นี้ ประกายที่สะท้อนออกมาไม่ใช่ความเศร้าสร้อย ทว่าแวววาวด้วยความหวัง

“เราต่างก็ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว เรามีกันและกัน”

รอยยิ้มระบายน้อยๆ บนหน้าของผม ขณะที่ใบหน้าของเขาก็ผุดยิ้มขึ้นมาจางๆ เราต่างกระชับมือกันโดยไร้คำพูด แต่รู้สึกได้ถึงความเข้าใจกันและกันอย่างลึกซึ้ง ถ่องแท้

เท้าสองคู่ออกก้าวไปข้างหน้าอีกครั้ง ฝากรอยบุ๋มไว้บนผืนทรายเปียกๆ เอาไว้ชั่วครู่ ก่อนมันจะถูกกลบไปด้วยคลื่นน้ำที่สาดเซาะหาดทราย กลายเป็นพื้นเรียบๆ ราวกับไม่เคยมีอะไรมาก่อน ถึงกระนั้นก็จดจำได้ว่ามันเคยมีรอยเท้าของเราฝังไว้ เฉกเช่นเดียวกับเราสองคน ที่แม้จะก้าวเดินต่อไป แต่ก็ไม่ลืมเลือนว่าเคยมีใครสำคัญที่สุดสำหรับพวกเรา

ผมทอดสายตาไปยังเบื้องหน้า มองท้องฟ้ากว้างไกล รับรู้อุณหภูมิจากร่างกายของไนล์ที่ถ่ายทอดผ่านมือมายังร่างกายของผม พร้อมกับพูดกับตัวเองในใจ

เป็นคำขอบคุณ... เป็นคำบอกลา...



ขอบคุณนะ ที่ทำให้กราฟได้มาเจอไนล์

ขอบคุณ... มิ้น ความทรงจำที่ดีที่สุด









-------------------
ตอนหน้าเป็นตอนส่งท้ายแล้วค่ะ
แล้วก็มีตอนพิเศษอีก 1 ตอนนะคะ

ส่วนเรื่องอิมเมจที่มีคนถามไว้
เคยหาอยู่เหมือนกันค่ะ แต่มันยังไม่โดนเลย ก็เลยไม่มีมาให้ดูค่ะ   :hao5:


Undel2Sky

ออฟไลน์ Wut_Sv

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 902
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-1
เฮ้อออ ผ่านพ้นความเศร้าไปด้วยกัน จะได้มีความสุขซะทีนะ :katai2-1: :katai2-1:

อ่านแล้วมีความสุขจัง ยิ้มตลอดเลย ยิ้มแก้มจะแตก  :impress2: :impress2:

ไม่อยากให้จบเลยอ่ะ :ling1: :ling1: อยากอ่านไปเรื่อยๆ

แต่อยากรู้อ่ะ ใครจ่ายค่าเทอมให้ไนล์อ่ะ พ่อแม่ไม่มี ค่าเทอมก็แพง สงสัยตั้งนานและ เหอๆๆ :hao3:

มาต่อไวๆนะคับ รออยู่  :z2: :z2: :z2:

ออฟไลน์ kawisara

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1583
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-7
ในช่วงที่มีความทุกข์ กราฟมีครอบครัว



กราฟมีเพื่อน ไฮยีนส์แอนด์เดอะแกงส์



แล้วไนล์หนูมีใครลูก หนูต้องอยู่แบบโดดเดี่ยวมานานเท่าไร



หนูต้องอดทน และ ทนอด ขนาดใหนลูก



แต่เรื่องเหล่านั้นผ่านมาแล้ว  กราฟกับไนล์คงไม่ต้องกลับไปเจออะไรทีโหดร้ายอีกแล้ว

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
บทส่งท้าย : ความสุข










ช่วงปิดเทอม พี่ไฮโซพี่ชายของไฮยีนกลับมาเมืองไทยระยะหนึ่ง ไอ้ยีนเลยจัดเลี้ยงกันที่บ้าน พวกผมกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง หลังจากปิดเทอมไปได้ไม่กี่วัน แต่พอได้เจอหน้า ไอ้ยีนกลับลากผมไปคุยแบบส่วนตัว และพูดประโยคที่ทำให้ผมตกใจ

‘บอกกูหน่อยได้ไหมว่ามึงกับมันมานอนอยู่บนเตียงด้วยกันได้ยังไง การพนันของมึงไม่ใช่แบบนี้ไม่ใช่หรือไง’

ผมจึงถือโอกาสบอกความจริงไปว่าผมกับไนล์เป็นแฟนกันแล้ว แต่ว่ามันไม่พอใจมาก ถึงขนาดขอร้องผมให้เลิกยุ่งกับไนล์ซะ แต่ว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่ผมจะทำแบบนั้น ผมอยากให้มันเข้าใจ อยากให้มันเปิดใจยอมรับไนล์ และอยากให้มันเข้าใจว่าที่มันไม่ชอบไนล์ก็เพราะเรื่องเข้าใจผิดทั้งนั้น

เพราะฉะนั้นพอไอ้ยีนกลับมาจากเชียงใหม่กับพี่ภูหลังจากเคลียร์เรื่องของมันเสร็จแล้ว ผมก็เรียกมันกับเพื่อนๆ มาที่คอนโดฯ ของผมเพื่อแนะนำตัวกันอย่างเป็นทางการ หรือจะเรียกว่าประจันหน้ากันก็คงไม่ผิดนัก ไอ้กัสกับไอ้เคลมน่ะยังไม่เท่าไร เพราะมันไม่ค่อยชอบยุ่งวุ่นวายอะไรนัก แต่ผมว่าไอ้กัสคงพอรู้เลาๆ อยู่แล้ว ตั้งแต่ตอนที่ผมไปตามหาไนล์ที่คณะมัน ปัญหาใหญ่อยู่ที่ไอ้ยีนนี่สิ

ทั้งสองคนต่างมองหน้ากัน เหลือบมองกันเป็นระยะด้วยแววตาที่ไม่ปกติจนผมหวั่นใจว่าจะมีเรื่องกันหรือเปล่า และที่น่าแปลกคือไม่ใช่แค่ยีนที่เป็นแบบนั้น ไนล์ก็เช่นเดียวกัน ทั้งที่ปกติแล้วเขาไม่ค่อยแสดงอารมณ์ความรู้สึกอะไรออกมามากนัก แต่กลับเห็นได้ค่อนข้างชัดเลยว่า...

เขาไม่ขอบขี้หน้ายีน

“มึงมานี่หน่อย”

คงเพราะอึดอัดใจหรืออะไรสักอย่าง ไอ้ยีนถึงล็อกคอผมแล้วลากไปทางห้องนอนของผมด้วยกัน ผมได้แต่มองไนล์ที่มองมาทางผมกับยีนโดยไม่ละสายตา กระทั่งมาถึงห้องนอนมันก็ปิดประตูล็อกกลอนอย่างแน่นหนาทันที ก่อนจะเดินไปทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างถือวิสาสะ แน่นอน เพราะมันมานอนที่นี่หลายครั้งจนนับไม่ได้แล้ว

“ทำไมมึงต้องมองไนล์ตาขวางด้วยวะ”

ผมเริ่มถามขึ้นมาก่อน เพราะมันยังไม่พูดอะไร พลางเดินไปนั่งข้างๆ มัน ซึ่งมันก็ตอบมาง่ายๆ

“หน้าตามันหาเรื่องกูก่อน”

“มันไม่ได้หาเรื่องมึง หน้ามันนิ่งๆ แบบนั้นอยู่แล้ว”

ผมแก้ตัวให้ เพราะไม่ใช่เรื่องแปลกที่ใครเห็นไนล์แล้วจะเข้าใจผิด แต่ว่าไฮยีนก็ยังสวนกลับมาแบบไม่ยอมรับคำพูดของผม

“ดูก็รู้ว่ามันไม่ชอบขี้หน้ากู”

“เอ้า อะไรของมึงเนี่ย มึงคิดไปเองหรือเปล่า”

“กูไม่ได้คิดไปเอง”

มันยังคงยืนยันหนักแน่น ปกติมันก็เป็นคนที่ชอบเขม่นคนไปทั่วอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นช่วง ม.ปลาย คงไม่มีอริมากมาย และคอยก่อเรื่องจนป๊ามันต้องหักดิบด้วยการยึดเลพเพิร์ด รถสุดรักสุดหวงของมันหรอก

“เออๆ ก็ได้ๆ แต่ถือว่ากูขอแล้วกัน ไนล์เป็นแฟนกู มึงก็อย่าเขม่นมันให้มาก กูไม่อยากให้เพื่อนกับแฟนมีปัญหากัน โอเคปะ”

“กูรู้ว่ามึงเป็นยังไง แต่อย่าให้มันมาหาเรื่องกูก่อนแล้วกัน”

ผมนึกภาพไม่ออกว่าไนล์จะหาเรื่องไอ้ยีนได้อย่างไร หากให้นึกก็มีแต่เพื่อนรักผมนี่แหละที่จะไปกระชากคอเสื้อไนล์แล้วโวยวายใส่เสียก่อน

“มันไม่ทำแบบนั้นหรอกน่า”

“ใครจะไปรู้ คราวนั้นแม่งยังทำเลย”

คราวก่อนที่ว่าคงเป็นเรื่องสองคนนั้นต่อยกันที่ทะเลนั่นแหละ ผมเพิ่งเคยเห็นไนล์ต่อยคนเป็นครั้งแรก ถึงจะเข้าใจเหตุผลแล้วว่าเขาอยากจะพิสูจน์ว่าผมหายจากอาการกลัวทะเลแล้วหรือยัง เพราะเห็นว่าผมไปที่ทะเลได้ก็ตาม แต่เพราะต่างคนต่างไม่เข้าใจจุดประสงค์ของกัน ถึงได้มีเรื่องกันแบบนั้น

“คงไม่มีคราวหน้าหรอก กูบอกแล้วนี่ว่ากูหายจากกลัวทะเลแล้ว”

“เออ ที่กูยอมก็เพราะว่ากูขอร้องแล้วมึงไม่ยอมเลิก แถมมันทำให้มึงดีขึ้นแล้วก็มีความสุขหรอกนะ แต่ถ้าเมื่อไรมันทำให้มึงต้องเสียใจ กูไม่ปล่อยมันไว้จริงๆ แน่ กูสาบานเลย”

มันตอบด้วยท่าเอาจริงเอาจังสุดๆ จนเหมือนจะมีเปลวไฟลุกโชนอยู่ในแววตาของมัน ผมยิ้มให้กับท่าทางของเพื่อนนิดๆ ก่อนจะดึงมันเข้ามากอด เข้าใจอารมณ์ของมันดีว่ามันรักมันห่วงผมมากแค่ไหน เพราะผมเองก็ไม่ต่างจากมันหรอก

“อืม กูขอบใจมาก ยังไงกูก็รักมึงเหมือนเดิม”

“กูก็เหมือนกัน”

ไอ้ยีนตบหลังผมแปะๆ ก่อนจะกอดผมกลับแป๊บนึง จากนั้นก็ผละจากกันออกมา ยิ้มให้กันหน่อยๆ แล้วค่อยลุกขึ้นจากเตียงเดินไปเปิดประตูห้อง

พอเราออกจากห้องมา ก็เห็นว่าไอ้กัส ไอ้เคลม แล้วก็ไนล์นั่งคุยอะไรกันอยู่ ดูเหมือนว่าจะเป็นพันธมิตรกันได้ ถึงไนล์จะยังมีท่าทางและสีหน้านิ่งๆ อยู่ไม่ต่างจากปกติ แต่ผมคิดว่าทั้งสองคนคงเข้าใจ

ไอ้ยีนเดินตรงเข้าไปหาไนล์ ยื่นมือออกไปตรงหน้าเขา ส่วนไนล์ก็เงยหน้ามองยีนหน่อยๆ เหมือนงงว่ายื่นมือออกมาทำไม ไฮยีนเลยต้องพูดออกมาด้วยท่าทางแข็งกระด้าง เหมือนไม่ค่อยเต็มใจเท่าไร

“สงบศึก แต่บอกไว้เลย ถ้ามึงทำให้เพื่อนกูเจ็บ มึงตายคาตีนกูแน่”

ไนล์ยังมองมือของยีนที่ยื่นค้างอยู่อย่างนั้นโดยไม่พูดอะไร สีหน้ายังคงนิ่งเฉย จนมองเผินๆ เหมือนกับจะท้าทาย พานให้คิ้วของไอ้ยีนกระตุกเบาๆ ขณะที่คนอื่นๆ มองอย่างลุ้นๆ ว่าจะเกิดการวางมวยขึ้นหรือเปล่า ผมซึ่งเป็นตัวกลางจึงต้องเดินเข้าไปหา วางมือบนบ่าของไนล์เบาๆ เขาถึงได้ยื่นมือออกไปจับมือของยีน

เพียงแค่มือสัมผัสกัน ยังไม่ทันกระชับกันดี ยีนก็ดึงมือออกแล้วหมุนตัวไปทิ้งลงบนโซฟาตัวที่อยู่ใกล้ๆ อย่างไม่สบอารมณ์บ่นพึมพำเบาๆ แต่ก็ดังพอให้ได้ยินกันจนทั่ว

“แม่งทำเป็นเล่นตัว นึกว่ากูอยากหรือไง”

ผมถึงกับส่ายหัว ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้ ไอ้เคลมที่ถนัดเรื่องรื่นเริงเลยวิ่งปรู๊ดไปที่ตู้เย็น หยิบเบียร์หลายกระป๋องมากอบไว้เต็มแขนแล้วเดินเอามาวางที่โต๊ะ

“แดกเบียร์กันดีกว่าเว้ย เมาแล้วเดี๋ยวอะไรไม่ดีๆ มันก็ดีขึ้นเองนั่นแหละ”

คนเสนอไอเดียยิ้มร่า แจกจ่ายกระป๋องเผื่อแผ่ให้ทั้งวง ไอ้ยีนอิดออดนิดหน่อย ไม่ใช่ไม่พอใจคำพูดของไอ้เคลมหรอก แต่เป็น...

“กูไม่ชอบแดกเบียร์ กูชอบบรั่นดีเว้ย”

คนหวังดีแต่โดนคนเรื่องมากปฏิเสธเลยตบหัวมันไปหนึ่งที แล้วบอก

“งั้นมึงกลับไปแดกกับผัวมึงเลยไป๊ ที่นี่มีแต่เบียร์”

“ไอ้สัตว์!!”

ไอ้ยีนทำหน้าขึงขังขึ้นมาทันทีพอโดนจี้จุดต้องห้าม แทบจะปากระป๋องเบียร์ใส่ไอ้เคลม ไอ้กัสที่นั่งมองอยู่นานเลยปรามบ้าง

“พวกมึงนี่นะ แดกๆ ไปเหอะ สุดท้ายแม่งก็เมาได้เหมือนกัน”

เหมือนว่าเหตุการณ์จะสงบลงแล้ว ผมเลยเดินไปหาขนมขบเคี้ยวมาเพิ่มให้ จากนั้นค่อยมานั่งลงข้างๆ ไนล์ แล้วการสรวลเสเฮฮาของพวกเราก็เริ่มขึ้น กระป๋องเบียร์ที่ไอ้เคลมแบกมาหมดลงอย่างรวดเร็ว ที่อยู่ในตู้เย็นของผมเองก็หมดลงเหมือนกัน แต่สติของพวกเรายังอยู่ครบทั่ว มีแค่เซๆ กันไปบ้างเล็กน้อย ไม่ออกอาการมากนัก

“คืนนี้พวกมึงนอนนี่ใช่ไหม”

พอผมถามแบบนั้น ไอ้พวกที่เหลือก็ทำหน้าคิดกันหน่อย เพราะคอนโดฯ ของผมมีสองห้องนอน อย่างไรก็แบ่งกันนอนได้พออยู่แล้ว แต่ไอ้เคลมกลับพูดขึ้นมา

“จะดีเร้อ ให้พวกกูนอนด้วย เผื่อมึงอยากป้าบๆๆๆ พวกกูมานอนฟัง เดี๋ยวหื่นขึ้นกูจับไอ้กัสปล้ำขึ้นมาทำไง”

มันพูดอย่างเดียวไม่พอ ยังเอามือมากระแทกกันประกอบคำว่า ป้าบๆๆ ด้วย ส่วนไอ้กัสที่ถูกพาดพิงก็ส่ายหัวอย่างเหนื่อยหน่ายใจกับความคิดของมัน ก่อนจะบอก

“กูว่าจะได้ป้าบๆๆๆ แทน”

แล้วมันก็เอาเท้ากระทืบพื้นประกอบให้รู้ว่า ป้าบๆ ที่พูดถึงคืออะไร เล่นเอาไอ้เคลมหัวเราะ

“แล้วมึงอะ”

ผมหันไปถามไอ้ยีน มันก็ส่ายหัว แต่ทำหน้าเหม็นเบื่อก่อนตอบ

“ไอ้เหี้ยพี่ชมพูบอกจะมารับ”

“หูยยย เอาไปเลยรางวัลผัวดีเด่น”

ไอ้เคลมพูดจาวอนตีนเหมือนเดิม แล้วก็ไม่ใช่แค่วอนด้วย แต่โดนไอ้ยีนยกเท้าถีบด้วย มันหัวเราะเอิ๊กอ๊ากหน้าแดง ก่อนจะวิ่งไล่ปลุกปล้ำกันไปเหมือนเด็กๆ

“งั้นแล้วพวกมึงจะกลับยังไงกัน”

ผมหันไปถามไอ้กัส

“แท็กซี่ก็ได้ เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยมาเอารถ”

มันว่างั้น ผมก็พยักหน้ารับ มันเลยลุกขึ้นบอกว่า ‘งั้นเดี๋ยวพวกกูกลับเลยดีกว่า ก่อนที่ไอ้เคลมจะตายคาตีนไอ้ยีนจริงๆ’ ผมหัวเราะเสียงแห้ง มองไอ้กัสเดินไปลากคอเสื้อไอ้เคลมให้ออกไปจากห้อง

“กลับดีๆ นะพวกมึง”

มันสองคนโบกมือเป็นสัญญาณบอกว่าไหวๆ ก่อนห้องจะกลับสู่ความสงบอีกครั้ง แล้วเป็นไนล์ที่พูดขึ้นมาก่อน เขาหน้าแดงเรื่อเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ ผมเพิ่งเห็นเขาดื่มครั้งแรก ไม่แน่ใจว่าเมาหรือยัง เพราะสังเกตไม่ออก ตลอดเวลาที่ดื่มกัน เขานั่งฟังเพื่อนผมพล่ามๆ เล่าเรื่องตลก ขำโดยยิ้มบางๆ บ้างนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้ผสมโรงหรือพูดอะไร ยังคงเงียบเหมือนเดิม

“ฉันเข้าห้องก่อน”

ไนล์บอกแค่นั้นแล้วก็เดินเข้าห้องนอนไปเลย ผมมองตามร่างของเขาที่ผลุบหายเข้าไปหลังกรอบประตูแล้วก็หันมามองหน้าเพื่อนตัวเอง มันทำหน้ายู่ปากย่นใส่เหมือนจะไล่ส่ง จนผมต้องส่ายหัว

“อะไรของมึง”

“นี่กูไม่ชอบขี้หน้ามันจริงๆ นะ”

“ไม่ชอบก็ไม่ชอบ แต่อย่ามีเรื่องกันก็แล้วกัน กูเป็นคนกลาง กูลำบากใจ”

ผมพูดอย่างปลงตก เพราะรู้จักไอ้ยีนดีกว่ายิ่งใคร การเปลี่ยนใจมันยากแบบว่าโคตรของโคตรยาก ชนิดที่ว่าต่อให้ช่วยชีวิตมันไว้ แต่ถ้าเป็นคนที่มันเกลียดขี้หน้า มันก็ไม่สำนึกบุญคุณขึ้นมาหรอก เพราะแบบนั้นผมถึงได้ยิ่งชื่นชมพี่ภู ที่ทำให้มันยอมเปิดใจให้ทั้งที่ก่อนหน้านี้มันออกจะเกลียด

“เออน่า กูบอกแล้ว ถ้ามันไม่มาหาเรื่องกูก่อนอะนะ”

มันตอบก่อนจะกลิ้งๆ เกลือกๆ หยิบโทรศัพท์มาจิ้มๆ ไปเรื่อยเปื่อย ทำให้ผมนึกขึ้นมาได้

“แล้วบอกพี่ภูยังว่ามึงจะกลับ”

“บอกตอนที่มึงมองเมียมึงตาละห้อยเข้าห้องไปนั่นแหละ มันกำลังมา”

มันตอบกลับมาแล้วเริ่มหงายท้องนอนแอ้งแม้งบนโซฟาเดี่ยว เหยียดขาพาดพนักแขนออกมา หน้าแดงๆ เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไป ผมเลยลุกขึ้นมาเก็บข้าวของที่เกลื่อนกลาดให้ห้องนั่งเล่นกลับมาสะอาดเรียบร้อย สักสิบนาทีได้ โทรศัพท์ไอ้ยีนก็ดัง มันรับแล้วคุยอยู่แป๊บนึงก่อนจะลาผมกลับ เพราะพี่ภูมาถึงแล้ว

ผมไม่ได้ลงไปส่งมันที่ชั้นล่าง เพราะมันบอกไม่ต้อง ให้ผมเข้ามาดูไนล์ เพราะป่านนี้คงหน้าบูดหน้าบึ้งไปแล้วล่ะมั้ง ผมเลยกลับเข้าห้องนอนมา ถึงจะรู้ว่าไนล์คงไม่ได้เป็นแบบนั้นก็ตาม ซึ่งมันก็จริง คนที่อยู่ในห้องยังหน้านิ่งปกติดี มีแค่สีแดงแต้มๆ บนหน้าเล็กน้อย ผมจึงเดินไปนั่งบนเตียงที่ไนล์กำลังนั่งพิงอยู่

“กลับไปหมดแล้วเหรอ”

เขาเป็นฝ่ายถามผมก่อน ผมจึงพยักหน้ารับ ครางเสียงในลำคอ ‘อือ’ เบาๆ เป็นคำตอบ ก่อนจะมองสำรวจหน้าของเขาอยู่ชั่วครู่ จนเขาต้องหันมาถาม

“มีอะไร”

“ฉันอยากรู้”

ไนล์เลิกคิ้วเหมือนสงสัย ผมเลยเอ่ยถามตรงๆ อย่างที่อยากรู้ เพราะจะว่าข้องใจมาได้พักหนึ่งแล้วก็ว่าได้

“ทำไมนายถึงไม่ชอบยีนล่ะ ถ้าฉันจำไม่ผิด” ผมขุดคุ้ยความทรงจำของตัวเอง ในช่วงที่จำได้ไม่ค่อยดีนัก แต่ก็เหมือนว่าจะได้ยินมัน “เหมือนว่านายจะใช้คำว่ากูมึงกับมันด้วย ทั้งที่นายไม่เคยใช้กับฉันเลย”

ไม่ใช่เพียงแค่กับผม แต่ผมคิดว่าน่าจะคนอื่นๆ ด้วยเหมือนกัน เพราะปกติแล้วเขาไม่ค่อยสุงสิงกับใคร ดังนั้นคงเป็นเรื่องยากที่จะใช้สรรพนามแบบนั้นโดยที่ไม่สนิทสนมกัน

“หมอนั่นใช้กับฉันก่อน”

“แต่ปกตินายก็ไม่น่าจะใช้ไม่ใช่เหรอ”

ไนล์ตอบกลับมาง่ายๆ แต่มันกลับทำให้ผมติดใจสงสัยมากกว่าเดิม พอผมมองเขาแบบจับผิดนิดหน่อย เขาก็หลบสายตาของผม เหลือบมองไปทางอื่นอยู่ชั่วครู่ คล้ายๆ ว่าจะกลอกตาหนี แต่เพราะผมไม่เร่งรัดเอาคำตอบ แต่ก็ไม่เลิกล้มความพยายามที่จะรอเช่นกัน เขาถึงได้ผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ เหมือนจะยอมแพ้

“ฉันไม่ชอบหมอนั่น”

“ทำไมล่ะ”

ผมรู้ว่าไฮยีนเป็นพวกที่แค่มองก็เหมือนว่าจะไปกวนบาทาคนอื่นเอาได้ง่ายๆ อยู่แล้ว ถ้าคนที่ผมถามอยู่เป็นคนอื่น ผมคงไม่แปลกใจนัก ทว่าเพราะอีกฝ่ายเป็นไนล์ที่มักจะไม่ค่อยสนใจคนอื่น หรือถ้าพูดให้ถูกคือไม่เคยจะสนใจใคร ผมถึงได้แปลกใจ

เงียบไปอยู่พักใหญ่ ไนล์ถึงได้ตอบกลับมา เป็นคำตอบที่น่าเหลือเชื่อ

“...........หมอนั่นสนิทกับนาย”

มีเครื่องหมายปรัศนีมากมายเกินขึ้นในหัวของผม จนนึกคำถามไม่ออก ทั้งที่จริงๆ มันมีแค่สิ่งเดียวที่ผมอยากรู้ ไนล์จึงขยายความให้

“หมอนั่นสนิทกับนายเกินไป เหมือนไม่ใช่แค่เพื่อน...” เสียงของไนล์เงียบลงไปชั่วครู่ ก่อนเขาจะสูดลมหายใจเข้าไป “ถึงมันจะไม่เกี่ยวกับฉันมาตั้งแต่แรก แต่มันก็รู้สึกแบบนั้นเอง ทั้งที่...ฉันอยากให้นายมีความสุข”

“หึง?”

ผมนึกออกแค่คำตอบเดียว จึงหลุดถามออกไป แต่ไนล์ส่ายหัวเบาๆ

“ถ้ามันเกิดขึ้นตอนนี้ อาจจะใช่ แต่มันเกิดขึ้นมานานแล้ว ตั้งแต่ตอนที่อยู่ ม.ปลาย ฉันก็ไม่รู้คำตอบเหมือนกัน แต่แค่รู้สึกแบบนั้นทุกครั้งที่หมอนั่นอยู่กับนาย คงเพราะฉันรู้ว่ามันเป็นความสุขที่หลอกลวงล่ะมั้ง หมอนั่นทำให้นายได้แต่หลอกตัวเองไปวันๆ แล้วก็หนีความจริง”

ฟังจากการคาดการณ์ช่วงหลังๆ ผมก็เริ่มเข้าใจ มันอาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้ ที่ผ่านมาผมมีชีวิตมาได้ เหมือนใช้ไฮยีนเป็นตัวแทน เพื่อหนีความจริง เพื่อหลอกลวงว่าตัวเองกำลังมีความสุข ใช้ความรักที่ผมกับมันมีให้กันเป็นกำแพง ขังตัวเองเอาไว้ในนั้น

“แต่ต่อจากนี้ไป มันจะไม่ใช่การหลอกลวงหรือว่าหนีความจริงแล้ว แต่ความสัมพันธ์ของฉันกับมันก็จะยังคงอยู่ และเป็นแบบนี้ต่อไปอยู่ดี นายจะเลิกตั้งแง่ได้หรือเปล่า”

สิ่งที่ผมได้รับตอบกลับมาคือความเงียบ ไนล์เหม่อมองไปด้านหน้าอยู่พักหนึ่ง เหมือนจะคิดอะไรอยู่ ก่อนจะครางเสียงออกมาเบาๆ

“จะพยายาม”

ผมขยับตัวเข้าไปใกล้เขามากกว่าเดิมอีกนิดหน่อย เอื้อมแขนไปกอดคอเขาไว้แล้วดันให้หัวของเขาซบลงบนบ่า ลูบหัวเขาเบาๆ แล้วเอ่ยออกมา

“ฉันกับมันเป็นเพื่อนกัน เป็นเพื่อนรักและหวังดีต่อกัน เหมือนกับพี่น้อง เหมือนกับครอบครัว คงจะมากไปกว่านี้ไม่ได้ และก็ลดไปกว่านี้ไม่ได้”

“...”

ไนล์ยังคงเงียบ แต่ก็ทิ้งน้ำหนักลงมาบนบ่าผมมากกว่าเดิม เหมือนปล่อยตัวตามสบาย ผ่อนคลายลง ผมจึงพูดต่ออีกด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะน้อยๆ

“ระหว่างฉันกับยีน ก็คงเหมือนนายกับมิ้นล่ะมั้ง”

“อืม”

เหมือนเขาจะเข้าใจในคำพูดของผม ถึงได้ตอบกลับมา

ผมหันไปมองเขาที่ซบบนบ่า ไนล์หลับตาลงแล้ว ราวกับว่าจะปล่อยวางในเรื่องนี้ ผมรู้ว่าเขาไม่ใช่พวกดื้อแพ่ง แต่เป็นคนมีเหตุผลและรับฟัง ถึงได้รู้สึกสบายใจขึ้น

“นายเองก็จะเป็นอีกหนึ่งคนที่สำคัญสำหรับฉัน ไม่มีใครแทนได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นอยู่ด้วยกันแบบนี้ไปนานๆ นะ ฉันอยากใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ มีความสุขกับนาย”

“ฉันเคยบอกแล้วว่าฉันอยากให้นายได้พบกับความสุขอีกครั้ง ไม่ว่ากับใครก็ตาม ถ้าทำให้นายมีความสุขได้ ฉันก็ยินดี แต่ถ้านายบอกว่าอยู่กับฉันแล้วมีความสุข ...ฉันก็จะอยู่กับนายไปตลอดชีวิต”

คำพูดของเขาออกมาจากใจจริง แต่ขณะเดียวกันมันก็เหมือนกับคำสัญญา คำสาบาน

ผมรู้สึกเหมือนกับหัวใจกำลังล่องลอยหลังจากได้ยินแบบนั้น จึงเอนหัวแนบกับหัวของเขา หลับตาลงผ่อนกายอย่างสบายตัวที่สุด จมอยู่ในความสุขที่แผ่วเบา แต่อบอวลไปด้วยความรู้สึกดีๆ และเขาเองก็เช่นเดียวกัน...

ขอบคุณอะไรก็ตามที่ช่วยให้ผมได้มีวันนี้ วันที่ผมได้พบกับความสุขที่แท้จริงอีกหนึ่งครั้ง ได้พบกับผู้ชายที่ชื่อไนล์

ผมจะรักษามันอย่างดีที่สุด









----------------------
จบแล้วค่ะ แฮปปี้กันไปแบบเรียบง่ายตามคู่นี้
ตอนหน้าเป็นตอนพิเศษ อัตชีวประวัติของไนล์ค่ะ 555
อยากรู้ความเป็นมา ทำไมไนล์เป็นแบบนี้ ติดตามได้นะคะ

แล้วก็ที่เคยบอกไว้ว่ามีตอนเดียว สรุปว่ามี 2 ตอนะคะ
มันยาวเกินกว่าจะเป็นตอนเดียวได้ เลยตัดเป็นสองตอนแทนค่ะ
ยื้อเวลาจบไปได้อีกนิดหน่อย

Undel2Sky

ออฟไลน์ boboman

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-2
จิ้มจึกๆ

ออฟไลน์ zuu_zaa

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2003
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +115/-1

ออฟไลน์ Wut_Sv

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 902
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-1
จบแบบเรียบง่าย แต่บอกเลยว่าฟิน อ่านแล้วยิ้มแก้มจะแตก  :impress2: :impress2: :impress2:

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
ถูกใจค่ะ อีกเรื่องที่แสนจะเนียน
แต่มีสงสัยความลับความหลังของไนล์ ที่บอกว่าไม่มีพ่อแม่ ไม่ใช่พ่อแม่ตายนี่นะ เหมือนควรมีอะไรสักอย่างที่ทำให้ครอบครัวแตกหัก หรือว่าพ่อแม่มิ้นเป็นคนอุปการะไนล์ พอมิ้นตายทั้งๆที่ให้ไนล์ไปทะเลด้วยก็เลย......

ออฟไลน์ kawisara

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1583
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-7
บอกตามตรง เรื่อง พี่ภูกับไฮยีน กราฟเด่นมากกกกกก






แต่พอเป็นเรื่องนี้ ป้าเทใจให้ไนล์เลย






ดีใจที่ทั้งสองคนมีความสุขกับชีวิตซะที






นุ๋งยีน หนูจะกัดหัวไนล์เหรอลูก ดุแบบนี้ พี่ชมพูมารับเมียกลับบ้านด่วน ฮ่าๆๆ

ออฟไลน์ chancha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 364
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +32/-0
 :pig4: จบแล้ว สนุกมากเลย ขอบคุณมากน้า

ออฟไลน์ ZeeKiN

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 23
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
จบแล้วววววววว นอนรอตอนพิเศษ 55555 :hao6: :hao6: :hao6:

ออฟไลน์ Wut_Sv

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 902
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-1
รอ รอ รอ ตอนของหนูไนล์  :z2: :z2: :z2: :z2:

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
ตอนพิเศษ : โลก







ห้องที่มืดมิด ไร้หนทางหนี จนตรอก

ผมเผชิญกับความรู้สึกเหล่านั้นมาอย่างยาวนาน กระทั่งผมได้ค้นพบโลก

แสงสว่างจากโลกใบนั้นฉุดดึงผมขึ้นมาจากความห้องแคบๆ และความเงียบงันอันหดหู่

โลกทั้งใบของผม... สถานที่แห่งความสุขเพียงหนึ่งเดียวของผม




หากนับความสุขในชีวิตของผม คงนับครั้งได้ว่าไม่ถึงสิบครั้ง หรือแม้แต่ห้าครั้งก็ตาม ผมถูกเลี้ยงดูในบ้านที่เคร่งครัด เพราะอาชีพของพ่อที่เป็นนักธุรกิจ มีคนนับหน้าถือตามากมาย และมีคนเฝ้าจ้องจะใช้ผลประโยชน์ ดังนั้นลูกชายเพียงคนเดียวอย่างผมจึงถูกพร่ำสอนพร่ำสั่งว่าห้ามใกล้ชิดกับใคร เพราะทุกคนล้วนมีเจตนาร้าย หวังฉกฉวยผลประโยชน์จากผม

ผมต้องเข้มแข็ง และแข็งกระด้าง ห้ามแสดงความรู้สึกไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม

ห้ามผมแสดงความอ่อนแอไม่ว่ากรณีใดๆ ทั้งสิ้น

ผมไม่ต่างจากหุ่นยนต์ที่มีหน้าที่ไปเรียนหนังสือตามคำสั่ง และกลับมาบ้านเพียงเท่านั้น ตั้งแต่จำความได้ ผมไม่เคยมีเพื่อน ไม่เคยรู้จักคำว่ามิตรภาพ ได้แต่มองดูคนอื่นหัวเราะ และมีรอยยิ้มเพราะสิ่งที่เรียกว่าความสุขด้วยความรู้สึกปวดร้าวในใจอยู่ลึกๆ โดยที่ไม่มีใครรู้

ครั้งหนึ่งผมเคยพยายามจะมีเพื่อน แต่สิ่งที่ตอบรับกลับมาคือไม้เรียวที่ฟาดลงบนร่างของผม ริ้วรอยมากมายแดงเถือกจนเพียงแค่ขยับตัวก็เจ็บร้าวไปหมด มันปวดแสบปวดร้อนจนน้ำตาของผมไหลออกมา แต่สิ่งที่ตอบแทนน้ำตาหยดหนึ่งของผมคือการด่าทอว่าอ่อนแอ ไร้ความสามารถ ไม่สมเป็นลูกผู้ชาย ถ้าจะเป็นลูกพ่อกับแม่ผมต้องเข้มแข็งกว่านี้

หลังจากถูกจับได้ว่าผมต้องการเพื่อน วันต่อมา ผมก็ถูกเมินเฉยและหลีกหนี พร้อมกับประโยคที่ว่า ‘เราจะไม่เป็นเพื่อนกับไนล์อีกแล้ว พ่อไนล์โทรมาที่บ้านเรา พ่อแม่ว่าเราใหญ่เลย’ ผมที่ตอนนั้นวัยเพียงหกขวบ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทนอยู่ในโลกที่อ้างว้างและเงียบเหงาแบบนั้นมาได้อย่างไร

ผมได้แต่เก็บงำความรู้สึกต่างๆ เอาไว้ และสุดท้ายผมก็ไม่รู้สึกอะไรเลย กระทั่งวันหนึ่งผมได้พบกับมิ้นที่งานเลี้ยงรวมญาติ เราได้พูดคุยกัน มิ้นในตอนนั้นน่ารักสดใส เหมือนโลกทั้งใบเป็นของเธอ ผิดกับผมโดยสิ้นเชิงที่ได้แต่คุดคู้ตัวอยู่ในมุมที่ลึกที่สุดของโลก ฝังตัวเองเอาไว้กับความดำมืดที่ไม่มีใครมองเห็น แต่ถึงกระนั้นเธอก็ยื่นมือเข้ามา ฉุดดึงผมออกไป

“ไปเล่นด้วยกันสิ”

น่าแปลกที่พ่อแม่อนุญาตให้ผมพูดคุยกับเธอได้

อาจเพราะฐานะที่ทัดเทียมกัน และมีสายเลือดเดียวกันส่วนหนึ่ง

นับจากวันนั้น ชีวิตของผมเปลี่ยนไป ผมไปหามิ้นที่บ้านบ่อยขึ้น ดีว่าบ้านเราไม่ได้อยู่ไกลกันนัก ผมรู้สึกว่าผมมีความสุขทุกครั้งที่มาบ้านของเธอ มิ้นทำให้ผมรู้จักโลกที่กว้างใหญ่ขึ้น และมันทำให้ผมค้นพบว่า...ผมชอบวาดรูป

“ไนล์วาดรูปสวยนะ ไม่สิๆ เรียกว่ามีพรสวรรค์เลยล่ะ ไม่อยากลองเอาดีทางนี้เหรอ”

ประโยคนั้นมาจากมิ้นตอนที่เราเข้าเรียนชั้น ม.1 เราเรียนกันคนละโรงเรียน เธอเรียนสหศึกษา ขณะที่ผมเรียนโรงเรียนชายล้วน พ่อแม่ไม่อยากให้ผมถูกผู้หญิงจับเพราะฐานะทางบ้าน แม้ว่าอย่างไรเสียโรงเรียนที่ผมเข้าเรียนจะต้องเป็นโรงเรียนเอกชนสำหรับผู้มีอันจะกินอยู่แล้วก็ตาม

คำพูดของมิ้นจุดประกายให้ผมอยากทำมันขึ้นมาอย่างจริงจัง อยากเรียนวาดรูป อยากสร้างผลงาน หลังจากนั้นผมจึงกลับบ้านเย็นทุกวัน โดยอ้างว่าต้องเรียนเสริม แต่แท้จริงแล้วฝึกวาดรูปอยู่ที่ห้องเรียนศิลปะ อยู่ในโลกของตัวเองจนบางครั้งก็ลืมโลกภายนอกไป และนั่นทำให้แม่สงสัย

“นี่มันสามทุ่มเข้าไปแล้ว ทำไมถึงกลับช้านักล่ะไนล์”

ผมยกมือไหว้แม่หลังจากกลับมาถึงบ้าน น้ำเสียงของแม่เกรี้ยวกราดดูไม่พอใจมาก ขณะที่พ่อยังไม่กลับบ้านเพราะยังเคลียร์งานไม่เสร็จ พ่อกลับมาหลังสี่ทุ่มทุกวันในช่วงนี้ เพราะเตรียมจะเปิดสาขาที่สิงคโปร์ และมันก็ทำให้ผมคิดว่านั่นเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้แม่ยิ่งอารมณ์ไม่ดี

“ผมมีเรียนเสริมไงครับ”

เสียงของผมตอบกลับโดยไร้อารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น เหมือนอย่างที่แม่กับพ่อพร่ำสั่งสอนมา จนชักจะเหมือนหุ่นยนต์อย่างที่เขาต้องการมากขึ้นไปทุกที แต่ว่าแม่ไม่เชื่อในคำพูดของผม

“เรียนเสริมอะไร เลิกดึกป่านนี้”

“แม่อยากให้ไนล์เรียนเยอะๆ จะได้มาสืบทอดกิจการของพ่อไม่ใช่เหรอครับ”

มันเป็นเพียงแค่คำอ้างข้างๆ คูๆ ผมไม่เคยคิดแม้แต่ครั้งเดียวว่าอยากจะเป็นนักธุรกิจเหมือนพ่อ ผมไม่ได้บ้าเงิน และฝักใฝ่สังคมชั้นสูงอย่างนั้น ทว่าดูเหมือนคำพูดของผมจะยิ่งบันดาลโทสะแก่แม่ แม่เข้ามากระชากกระเป๋าที่ผมสะพายอยู่ออกไป รูดซิปมันแล้วเททุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในนั้นออกมา

ความแตก...

ผมรู้สึกเย็นวูบไปทั้งสันหลังเมื่ออุปกรณ์วาดรูป ไม่ว่าจะเป็นสี พู่กัน จานสี ดินสอ แม้แต่ภาพวาดที่ผมม้วนกลับมาวาดต่อที่บ้านกระจัดกระจายอยู่บนพื้น สีหน้าของแม่เปลี่ยนไป กลายเป็นถมึงทึง ดุดัน เต็มไปด้วยความโกรธ ก่อนจะฟาดมือลงมาบนหน้าของผมเต็มแรงจนหน้าหัน

“ใครใช้ให้แกทำเรื่องไร้สาระพวกนี้!”

เสียงหวีดร้องของแม่เสียดแทงเข้ามาในรูหู มือของแม่เริ่มทุบตีไปตามร่างกายของผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่รู้ว่ากี่ครั้งที่มันกระแทกเข้ามา ผมเจ็บ แต่ก็ไร้เสียงร้องใดๆ ผมได้แต่ขบฟันแน่นพยายามไม่รู้สึก จนแม่พอใจ หอบหายใจจนตัวหอบโยน

“ทำไมแกทำแบบนี้ ฉันไม่เคยสั่งสอนให้แกทำเรื่องสวะแบบนี้”

“ผมชอบวาดรูป ผมจะวาดรูป”

“แกไม่มีสิทธิ์ทำอะไรพรรค์นี้ทั้งนั้น ต่อไปนี้ห้ามกลับบ้านดึกอีกเด็ดขาด แม่จะสั่งให้ป้อมลากแกกลับบ้านก่อนห้าโมงเย็นทุกวัน”

แม่พูดแบบนั้นแล้วหยิบกระดาษวาดรูปของผมไปฉีกทิ้งอย่างไม่ไยดี ราวกับมันเป็นเศษกระดาษไร้ค่า ทั้งที่มันเป็นความฝันของผม ผมได้แต่มองภาพนั้นด้วยดวงตาที่ร้อนผ่าว รู้สึกเหมือนอะไรบางอย่างอยากจะทะลักออกมา แต่ผมก็ข่มมันเอาไว้ กลืนก้อนแข็งๆ ในคอที่พยายามจะเอ่อขึ้นมาลงไป

ความรู้สึกเจ็บปวดกล้ำกลืน ผมได้รู้จักมันอีกครั้งในวันนั้น

หลังจากวันนั้น การวาดรูปของผมก็เป็นเรื่องยาก ผมไม่สามารถวาดรูปที่บ้านได้ ขณะเดียวกันก็ถูกจำกัดสิทธิ์ที่โรงเรียน เพราะพี่ป้อม คนขับรถของที่บ้านที่มารับผมทุกวันไม่สามารถขัดขืนคำสั่งของแม่ได้ แม้ว่าเขาจะรู้สึกเห็นใจผมมากแค่ไหนก็ตาม ผมต่างหากที่ทำให้เขาเดือดร้อน ต้องมารอผมวาดรูปทุกวันๆ เมื่อก่อนนี้

สถานที่เดียวที่ผมจะวาดรูปได้อย่างสบายใจก็คือบ้านของมิ้น ผมไปที่บ้านของเธอทุกวันเสาร์จนเป็นเรื่องปกติ คุณลุงคุณป้าก็ต้อนรับผมเป็นอย่างดี และเข้าใจสภาพครอบครัวของผม ท่านไม่เคยเอ่ยห้ามอะไร มิหนำซ้ำกลับสนับสนุนเสียด้วยซ้ำ ท่านซื้อทั้งขาตั้งและเฟรมผ้าใบ รวมถึงอุปกรณ์วาดรูปต่างๆ ให้ผมใช้เพื่อพัฒนาความสามารถของผม ทั้งที่พวกท่านไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นด้วยซ้ำ ผมเข้าใจเลยว่าทำไมมิ้นถึงได้เป็นคนที่สดใสได้ถึงขนาดนี้

เพราะสภาพแวดล้อมทางบ้านของเธอสนับสนุนทุกอย่างที่เธอปรารถนา

“ในเมื่อมีฝีมือและใจใฝ่มาทางนี้ ก็ต้องสนับสนุนสิ”

คุณลุงเคยบอกเอาไว้แบบนั้น ตอนที่ผมปฏิเสธสิ่งของต่างๆ ที่เขาให้มา คุณป้าเองก็เตรียมของว่างไว้ให้เสมอ และเอ่ยชื่นชมทุกครั้งที่ผมทำงานสำเร็จ อีกทั้งยังเสนอ

“ทำไมไนล์ไม่ลองส่งผลงานเข้าประกวด หรือว่าขายดูล่ะลูก ป้าว่าน่าจะได้รางวัลหรือว่าขายได้อยู่นะ รูปที่ไนล์วาดๆ มา ให้ป้าไปลองขายเพื่อนๆ ดูดีไหม”

สถานะทางสังคมของคุณป้าไม่ได้ต่างอะไรจากแม่นัก แต่ว่าวิสัยทัศน์ของท่านแตกต่างจากแม่โดยสิ้นเชิงทั้งที่เป็นพี่น้องกัน ท่านให้โอกาสผม และยังแนะนำหนทางดีๆ ให้ มันจึงเป็นจุดเริ่มต้นให้ผมเริ่มส่งงานเข้าประกวดในฐานะตัวแทนของโรงเรียนบ้าง ประกวดเป็นการส่วนตัวบ้าง โดยที่พ่อแม่ของผมไม่รู้

“นี่ๆ มิ้นรู้มาว่าที่หอศิลป์เขามีคนที่ไปรับจ้างวาดรูปอยู่นะ แล้วก็มีโชว์ผลงานบ่อยๆ ด้วย ไนล์ลองไปดูไหม เพื่อมีไอเดียหรือได้ลองทำอะไรใหม่ๆ บ้าง”

หลังจากได้รับรางวัลจากการส่งเข้าประกวดและมีเพื่อนของคุณป้าซื้อผลงานของผมไปบ้าง มิ้นก็แนะนำ ผมรู้สึกสนใจทันที จึงเริ่มก้าวไปข้างหน้ามากขึ้นอีกหนึ่งก้าว

ครั้งแรกที่ผมไปหอศิลป์ ผมรู้สึกเหมือนกับมีมนต์สะกดอะไรสักอย่างทำให้ผมยืนแข็งทื่ออยู่ในนั้น บรรยากาศเงียบสงบ เต็มไปด้วยผลงานต่างๆ มากมาย ร้านขายอุปกรณ์สำหรับงานศิลปะ มันเหมือนกับว่าผมเพิ่งค้นพบโลกของตัวเอง

“มายืนทำอะไรตรงนี้เนี่ยไอ้น้อง”

เพราะผมเอาแต่ยืนอึ้งตะลึงอยู่ที่ชั้นล่าง ซึมซาบบรรยากาศเอาไว้อย่างเต็มที่จนลืมว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ เสียงของคนที่อายุมากกว่าถึงได้ดังขึ้นมาเรียกผม ผมหันไปมองก็เห็นว่าเป็นผู้ชายที่น่าจะอายุยี่สิบต้นๆ กำลังยืนอยู่ข้างๆ

“พอดีผมเพิ่งมาครั้งแรก”

“อ๋อ ชอบวาดรูปหรือเปล่าเรา”

ผมพยักหน้า พี่คนนั้นเลยแนะนำตัวว่าเขาชื่อโป้ง มาวาดรูปที่นี่ได้ปีหนึ่งแล้ว ถ้าสนใจมาดูรูปวาดเขาก็ได้ หลังจากนั้นผมก็ได้เรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องวาดรูปจากพี่เขาอีกมากมาย รวมทั้งเริ่มวาดรูปขายด้วยตัวเอง และผมก็เริ่มมีความใฝ่ฝันขึ้นมาหนึ่งอย่างว่า... ผมจะเข้าคณะจิตรกรรม

การตัดสินใจของผมได้รับความเห็นชอบจากทุกคนในบ้านของมิ้น แต่แน่นอนว่าผมไม่มีทางปริปากบอกพ่อกับแม่เป็นอันขาดว่าผมเลือกทางเดินของตัวเองแบบไหน เพราะหากถูกรู้เขา โลกของผมคงเหลือแค่กรงเล็กๆ ที่ยิ่งบีบรัดผมมากไปกว่านี้

อุปกรณ์วาดรูปของผมมีมากขึ้น เช่นเดียวกับที่ผมเริ่มก้าวเข้าไปในโลกของศิลปะลึกขึ้น เกือบทั้งหมดอยู่ในบ้านของมิ้น แต่ก็มีบางส่วนที่ผมแอบเก็บซ่อนเอาไว้ที่ห้องของตัวเอง เพราะต้องเอามันไปใช้ที่หอศิลป์

แม้ว่าผมจะเก็บซ่อนมันเอาไว้อย่างไร ป้าน้ำ แม่บ้านที่เข้ามาทำความสะอาดห้องของผมก็ยังเจอเข้าอยู่ดี แต่เขาช่วยเก็บเป็นความลับเอาไว้ พี่ป้อมเองก็รู้ว่าผมยังวาดรูปอยู่ เพราะเขาต้องคอยรับคอยส่งผมอยู่เสมอ ไม่ว่าผมจะไปที่ไหนก็ตามตามคำสั่งของแม่ แต่ด้วยความเห็นใจ เขาถึงไม่เคยรายงานแม่สักครั้งว่าเขาต้องไปรับผมที่หอศิลป์ทุกสัปดาห์

ความลับของผมดำเนินไปได้อย่างราบรื่น ขณะเดียวกันก็มีเรื่องแปลกใหม่เข้ามาตอนผมอยู่ ม.3 มิ้นพูดถึงผู้ชายคนหนึ่งบ่อยมาก ชื่อของเขาคือกราฟ ทุกครั้งที่ผมไปบ้านมิ้น ผมจะได้ยินเรื่องราวของเขาจากปากมิ้นเสมอ มิ้นเล่าให้ผมฟังว่าเขาเป็นคนดีแค่ไหน และช่างเอาใจใส่ จนสุดท้ายมิ้นกับเขาก็ตกลงเป็นแฟนกัน

ใบหน้าของมิ้นเปื้อนยิ้มมากกว่าที่เคยนับจากวันนั้น ทำให้ผมรู้สึกมีความสุขตามไปด้วย ผมชอบรอยยิ้มของมิ้น เพราะมันทำให้โลกของผมสว่างไสว มันเหมือนกับน้ำหล่อเลี้ยงชโลมใจของผมให้ได้รับความสดชื่นสดใส หากให้เปรียบเทียบแล้ว โลกที่มีมิ้นคือทุ่งหญ้ากว้างที่มีดอกไม้หลากหลายสีสันผลิดอกออกใบและมีแมลงน้ำหวานบินผ่านไปมา มันช่างหอมหวาน และสดใสจนเหมือนกับผมกำลังตกอยู่ในความฝัน ไม่อยากจะตื่นเลย

ในตอนแรกผมแอบกังวลว่าสิ่งที่ผู้ชายคนนั้นทำๆ มาเป็นแค่การหลอกลวงหรือเปล่า อาจจะเพียงแค่ช่วงแรกที่เขาต้องการเข้าหาก แต่เปล่าเลย แม้ว่าจะผ่านไปครึ่งปี เขาก็ยังสม่ำเสมอ มิ้นยังมีเรื่องของเขามาเล่าให้ผมฟังทุกครั้งพร้อมเสียงหัวเราะและรอยยิ้ม เธอไม่เคยต่อว่าเขาให้ผมฟังเลยสักครั้ง จนเหมือนกับเป็นเรื่องโกหกที่คู่รักไม่ทะเลาะกันเลย แต่มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ

ภาพใบหน้าของกราฟที่ผมได้เห็นผ่านรูปถ่ายในโทรศัพท์ของมิ้นตอนเธอเอามาอวด รอยยิ้มของเขา แววตาของเขา ทำให้ผมรู้สึกวางใจได้ว่าเขาเป็นคนดีและรักมิ้นจริงๆ และผมก็รู้สึกยินดีเหลือเกินที่มีเขาเข้ามาในชีวิตของเธอ และระหว่างที่ผมกับมิ้นกำลังคุยกันเรื่อยเปื่อย เสียงอะไรบางอย่างก็เรียกให้ผมกับมิ้นหันไปสนใจคอมพิวเตอร์ที่เธอเปิดเอาไว้พร้อมกัน มิ้นกระโดดลงจากเตียงที่พวกเรานั่งกันอยู่ไปยังที่มาของเสียง ก่อนจะร้องอย่างตกใจ

“กราฟ”

ผมเปิดตากว้างขึ้นอย่างงุนงงถึงเสียงร้องของเธอ ก่อนจะเห็นว่าเธอรีบถอดสายยูเอสบีของกล้องที่วางอยู่บนจอคอมพิวเตอร์ออก ทำให้เริ่มเข้าใจได้ว่าอะไรเป็นอะไร

“วันนี้ไม่เปิดกล้องเหรอ”

เสียงที่ดังมาจากลำโพงทุ้มต่ำ แต่ก็นุ่มนวลฟังดูมีเสน่ห์ไม่น้อย มิ้นพิมพ์ข้อความตอบกลับไปหลังจากผมได้ยินเสียงอีกฝ่ายทักมา ก่อนจะหันมากวักมือเรียกผมให้ไปนั่งที่เก้าอี้ข้างๆ ผมมองเธออย่างไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำแบบนั้น แต่เธอก็ยังกวักมือเรียกอีก

“มาสิไนล์ มาแอบดูกราฟกัน”

เธอเฉลย ผมจึงค่อยๆ ลงจากเตียงไปนั่งอยู่ในตำแหน่งที่เธอต้องการ แล้วก็เห็นว่ามิ้นตอบกราฟกลับไปว่า ‘ห้องมิ้นรก ก็เลยไม่อยากเปิดให้ดูน่ะ’ พลางมองเขาที่ไม่อาจมองเห็นผมได้ ใบหน้าของเขาหล่อเหลา ได้รูป เหมือนอย่างในรูปถ่ายที่มิ้นให้ผมดูเมื่อครู่

“อย่างน้อยเปิดไมค์ก็ยังดี ไม่อยากให้กราฟได้ยินแม้กระทั่งเสียงเหรอ”

ประโยคนี้เขาถามด้วยน้ำเสียงออดอ้อนหน่อยๆ และทำหน้าดูน่าสงสาร แม้จะรู้ว่าแสร้งทำ แต่ก็รู้ว่าสำหรับมิ้นแล้วมันไม่ได้ทำให้นึกโกรธขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย ทว่ากลับรู้สึกว่าน่ารัก และอยากให้เขาทำแบบนั้นอีกเสียมากกว่า เพราะเธอกำลังยิ้มกว้างอย่างพึงพอใจ และมันก็ทำให้ผมเข้าใจมากขึ้นว่าทำไมมิ้นถึงได้รักเขานัก

‘ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย ก็แค่...ถ้ากราฟไม่ได้ยินเสียงมิ้น กราฟจะได้คิดถึงมิ้นมากขึ้นอีกไง ฮิฮิ’

เธอพิมพ์ข้อความตอบกลับไปแบบนั้น ทำให้ผมอดยิ้มตามไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อเห็นว่าฝ่ายที่กำลังปรากฏอยู่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์กำลังทำหน้าตูมเหมือนไม่พอใจ แต่ก็ไม่ได้จริงจังอะไร

“แล้วตอนนี้มิ้นทำอะไรอยู่ครับ”

‘ตอนนี้เหรอ กำลังคุยกับกราฟอยู่ไง แต่ถ้าก่อนหน้านั้นก็กำลังคุยกับญาติอยู่น่ะ’

กราฟเบิกตาขึ้นเล็กน้อยหลังจากอ่านประโยคของมิ้น ก่อนจะส่งเสียงกลับมาอย่างนุ่มนวลไม่เปลี่ยน

“ถ้างั้นกราฟคุยแค่นี้ก่อนแล้วกัน มิ้นจะได้คุยกับญาติต่อ ขอโทษด้วยนะที่กราฟรบกวน”

‘เปล่าเลยๆ เดี๋ยวเขาก็กลับแล้วล่ะ’

ที่มิ้นบอก ไม่ใช่การโกหก เพราะอีกสักพัก ผมก็จะไปหอศิลป์แล้ว และผมก็คิดว่าการที่มิ้นตอบไปแบบนั้นเป็นเรื่องดี ผมไม่อยากจะกลายเป็นตัวขัดขวางของคู่รักนักหรอก เห็นมิ้นมีความสุข ผมก็ยิ่งมีความสุขเสียมากกว่า

“กราฟไม่กวนแน่นะ”

‘อืม ไม่กวนจริงๆ ว่าแต่วันนี้หยุด กราฟไม่ออกไปไหนเหรอ น่าแปลกจัง’

“จริงๆ ก็ถูกชวนออกไปเหมือนกัน แต่ว่านี่ใกล้จะสอบปลายภาคแล้ว กราฟก็เลยชวนยีนมาอ่านหนังสือที่บ้านแทน เพราะถ้าไม่ชวนละก็ มันคงไม่ยอมแตะหนังสือหรอก ตอนนี้กราฟกำลังรอมันอยู่น่ะ”

ผมนั่งมองการสนทนาของทั้งสองฝ่ายไปเรื่อยเปื่อย สักพักก็จบลง เพราะว่าคนที่กราฟรออยู่มาถึงแล้ว ทั้งสองล่ำลากันก่อนกราฟจะฉีกยิ้มกว้างที่ดูละมุนละไมและอบอุ่น จากนั้นก็แกล้งทำปากจู๋ส่งจูบให้ ทำให้มิ้นหัวเราะคิกคักอย่างมีความสุขจนผมเผลอยิ้มตาม

“กราฟน่ารักเนอะ”

มิ้นหันมาถามผมหลังจากปิดหน้าต่างสนทนานั้นไปแล้ว ผมพยักหน้าเห็นด้วย หลังจากได้เห็นท่าทางและบุคลิกจริงของเขานอกเหนือจากที่มิ้นเล่าแล้วก็ไม่มีข้อโต้แย้ง เพราะมันเป็นอย่างที่มิ้นเล่าทุกประการ ไม่มีอะไรเกินจริงไปเลย ผมรู้สึกได้ถึงความรักที่เขามีให้มิ้นจริงๆ นอกจากนั้นยังเป็นคนที่มีมารยาทรู้จักกาลเทศะด้วย

“เอาไว้เปิดเทอมขึ้น ม.4 แล้ว มิ้นจะแนะนำให้ไนล์รู้จักกราฟอย่างเป็นทางการแน่นอน”

“เขาอาจจะไม่อยากรู้จักเราก็ได้”

“ไม่หรอก กราฟไม่ใช่คนแบบนั้น ยังไงก็ต้องยินดีที่ได้รู้จักอยู่แล้ว ก็เป็นญาติสนิทที่สุดของมิ้นนี่นา”

เธอกอดผมไว้ในอ้อมแขน เหมือนกับผมเป็นน้องชายตัวเล็กๆ ทั้งที่ผมตัวใหญ่กว่าเธอเสียอีก มันทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก แต่ผมก็ไม่กล้าที่กอดเธอกลับ เพราะรู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่ามากพอจะใช้มือคู่นี้เก็บเธอเอาไว้ได้

“ถ้าอย่างนั้นจะรอวันนั้นก็แล้วกัน”

“แน่นอน แต่มิ้นเชื่อเลยว่าถ้าไนล์ได้รู้จักกับกราฟ ไนล์จะต้องมีความสุขแน่ๆ ไนล์จะได้มีเพื่อนจริงๆ กับเขาสักที รู้ไหมว่ามิ้นเป็นห่วงนะ ชอบทำหน้านิ่งๆ ไม่แสดงความรู้สึกแบบนี้ น่ากลัวจะตาย เหมือนผีน่ะ รู้หรือเปล่า”

เธอฉีกยิ้มพลางยีหัวผมไปด้วย เหมือนกับเล่นสนุก จนผมต้องดิ้นเพื่อให้หลุดออกมาจากการหยอกกระเซ้าของเธอ

“ก็เราไม่รู้สึกอะไร ไม่สนใจอะไร ทำไมต้องแสดงความรู้สึกด้วย”

สิ่งที่ตอบผมกลับมาคือมะเหงกที่โขกลงมาอย่างแรง มิ้นทำหน้าบึ้งเหมือนไม่พอใจกับคำตอบของผม

“ก็คิดซะแบบนี้แหละ อย่าทำตัวมืดมนน่า หัดยิ้มเข้าไว้ ทุกอย่างจะดีเอง”

“มิ้นก็รู้ว่าเราทำแบบนั้นไม่ได้หรอก รอยยิ้มคือความอ่อนแอสำหรับพ่อกับแม่ มิ้นก็รู้”

สิ้นเสียงของผม เธอก็ถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย

“เอาน่าๆ โลกของไนล์ไม่ได้มีอยู่เท่านี้หรอก เชื่อมิ้นสิ ต่อไปไนล์จะได้ไปอยู่ในโลกที่กว้างสุดลูกหูลูกตา แล้วก็ต้องได้เจอกับใครอีกมากมาย มิ้นจะรอดูด้วยว่าสาวคนไหนนะที่จะช่วยมาทำให้ไนล์ของมิ้นมีความสุขทุกวันๆ”

มิ้นคลี่ยิ้มกว้างกว่าเดิม เป็นรอยยิ้มชวนฝันที่อบอวลไปด้วยความละมุนละไมอบอุ่น ทั้งที่ผมกลับคิดตรงข้ามกันเลย

“ไม่มีหรอก ใครจะมาสนใจไนล์”

“ต้องมีสิ มิ้นเชื่อว่ามีแน่ๆ ไนล์ไม่มีทางโดดเดี่ยวหรอก อย่างน้อยมิ้นก็ไม่ยอม ยังไงมิ้นก็ต้องช่วยอยู่แล้ว”

เหมือนว่าถึงจะแย้งไปก็ไร้ผล ผมจึงต้องพยักหน้ายอมรับอย่างช่วยไม่ได้ มิ้นจึงพยักหน้าหงึกหงักอย่างพอใจ ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องของผู้ชายที่ชื่อกราฟให้ฟังอีก

ผมรู้ว่าเขามีนิสัยแบบไหน มีมุมมองอย่างไร ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร ถ้าเกิดอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ เขาจะตัดสินใจแบบไหน เธอเล่าเรื่องเขามากมายเสียจนผมรู้สึกว่า ผมสนิทสนมกับเขาไปด้วยแล้วทั้งที่ผมไม่เคยเจอเขาเลยสักครั้ง

ชีวิตของผมยังคงดำเนินต่อไปแบบนั้น ทว่าผมก็ต้องพบวิกฤตอีกครั้งตอนที่ขึ้น ม.ปลาย ผมตัดสินใจว่าจะเรียนสายศิลป์-คำนวณ พ่อกับแม่เห็นด้วย เพราะเมื่อเข้ามหาวิทยาลัยจะได้ต่อคณะบริหารธุรกิจได้ แต่ว่ามันมีแยกย่อยไปอีกว่าเป็นศิลป์ทางด้านภาษาหรือศิลปะ ซึ่งแน่นอนว่าผมเลือกอย่างหลัง และพวกท่านไม่รู้ จนกระทั่งวันหนึ่ง

ป้าน้ำมาทำความสะอาดห้องของผม และช่วยเก็บกระปุกสีที่หมดแล้วไปทิ้งให้ แต่ระหว่างที่นำไปทิ้งกลับถูกแม่พบเข้า เรื่องที่ผมยังคงวาดรูปอยู่จึงแดงออกมา ทั้งพ่อและแม่ต่างโมโหมาก ผมถูกต่อว่าและทำร้ายอีกครั้ง ผมถูกกักบริเวณอยู่ในห้องเก็บของอยู่สามวัน ไม่สามารถก้าวออกมาจากห้องนั้นได้เลยแม้แต่ก้าวเดียว

ความเงียบวังเวงและความอึดอัดในห้องที่เต็มไปด้วยของที่ไม่ถูกใช้งานไม่ได้สร้างความลำบากให้กับผม ผมเคยชินแล้วที่จะอยู่ในโลกที่คับแคบเพียงลำพัง แต่ผมไม่อาจรู้ได้ว่าพ่อกับแม่ทำอะไรบ้างในช่วงเวลาที่ผมถูกขังอยู่ในนี้ และเมื่อผมเป็นอิสระจากการทำโทษ ข้าวของทุกอย่างในห้องของผมก็หายไป

อุปกรณ์วาดรูปทุกชิ้นของผมที่ซ่อนไว้ถูกกำจัด...

เหลือเพียงเตียงนอน ตู้เสื้อผ้า และโต๊ะเรียนหนังสือที่มีแค่หนังสือสำหรับการเตรียมเป็นนักธุรกิจเท่านั้น ไม่มีอะไรอย่างอื่นเลย ไม่มีที่ให้ซุกซ่อน หมกเม้มสิ่งของใดๆ ทั้งสิ้น มันว่างเปล่าเหมือนกับเป็นห้องที่ไม่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ น้ำตารื้นขึ้นมาในตาของผมอีกครั้ง ผมได้แต่จำทนเก็บมันเอาไว้ กำมือจนแน่นแต่ไม่สามารถระบายสิ่งที่เก็บกักอยู่ภายในออกมาได้

ผมออกจากห้องของตัวเองอย่างรวดเร็ว ตั้งความหวังว่าอย่างน้อยที่สุดก็ต้องหาของมีค่าที่สุดของผมซึ่งถูกทิ้งขว้างอย่างไม่ไยดีกลับคืนมา ของอื่นๆ ผมไม่สนใจ ของเพียงแค่มีอุปกรณ์วาดรูปเท่านั้น

ดูเหมือนว่าวันนี้แม่กับพ่อจะไม่อยู่ มันเป็นโอกาสดีของผมเลยก็ว่าได้ ผมจึงตรงออกไปทางหน้าบ้าน ไปหาถังขยะที่ใหญ่ที่สุดซึ่งรอคอยรถขยะมาเก็บ คุ้ยหาของสำคัญของผมในนั้นโดยไม่สนใจกลิ่นเหม็นชวนคลื่นเหียนหรือคราบมันคาวสกปรกใดๆ ทั้งสิ้น

ไม่คิดมาก่อนว่าในชีวิตนี้ผมต้องมาคุ้ยขยะแบบนี้

แต่ผมก็เต็มใจที่จะทำ หากว่ามันทำให้ผมได้ของของผมกลับคืนมา

ผมคุ้ยลงไปลึกมากขึ้นๆ ผ่านสิ่งปฏิกูลทั้งหลายในช่วงสามวันที่ผ่านมา กระทั่งเจอ...รูปวาดของผมที่ถูกฉีกทิ้งไม่เป็นชิ้นดี ผลงานที่ผมสร้างขึ้นด้วยความสามารถของตัวเองมาหลายวันกลายเป็นขยะไร้ค่าไปแล้ว

ความกล้ำกลืนถาโถมเข้ามาในใจผมอีกครั้ง ผมเก็บเสียงสะอื้นที่ดันทุรังจะทะลักออกมาจากลำคอเอาไว้อย่างสุดกำลัง ขณะที่มือยังคว้านหาของอย่างอื่นที่ไม่ถูกทำลาย กระปุกสีโปสเตอร์ถูกทุบแตกจนของที่อยู่ภายในไหลเปรอะออกมาจนปนกันไปหมด จานสีถูกหักออกเป็นสองส่วน พู่กันถูกตัดขนออกจนเหี้ยนเตียน

โหดร้ายเกินไปแล้ว

ในที่สุด...น้ำตาหนึ่งหยดก็ตกลงมาในถังขยะที่ผมกำลังคุ้ยอยู่

ผมไม่เหลืออะไรแล้ว ไม่เหลือเลยจริงๆ

วันรุ่งขึ้นผมสามารถกลับไปเรียนได้ ผมมีความหวังนิดหน่อยที่จะได้กลับไปอยู่ในโลกเล็กๆ ที่เติมเต็มความสดชื่นให้กับผม ทว่าเมื่อไปถึงโรงเรียน สิ่งที่ผมได้รับรู้มาจากอาจารย์คือ...ผมถูกย้ายห้อง วันก่อนแม่มาดำเนินการขอย้ายห้องเรียนของผม เข่าผมแทบไร้แรงพยุงในตอนนั้น ร่างเกือบจะทรุดลงไปกองกับพื้น

ทำลายของของผมยังไม่พอใจอีกเหรอ ทำไมถึงทำลายที่อยู่ของผมอีก

จะทำร้ายผมไปถึงไหน ต้องทำให้ผมกลายเป็นหุ่นยนต์ไร้ความรู้สึกจริงๆ ใช่ไหมถึงจะพอใจ

ผมไม่สามารถกลับไปเรียนที่ห้องเดิมได้ และกลายเป็นบุคคลส่วนเกินภายในห้องเรียนภาษา เพราะว่าเปิดเทอมมาได้เกือบสองเดือนแล้ว หัวใจของผม ความรู้สึกของผมเกินกว่าคำว่าห่อเหี่ยวและหดหู่ไปแล้ว

ผมไม่รู้ว่า...ทุกวันนี้ผมมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร อยู่เพื่อให้พ่อแม่ทำลายมันอย่างนั้นเหรอ?

บางทีผมไม่น่าเกิดมาด้วยซ้ำ แบบนั้นมันอาจจะดีกว่าก็ได้

สุดสัปดาห์ผมได้ไปหามิ้น โลกแห่งความหวัง โลกที่สดใสเพียงหนึ่งเดียวของผม คนที่ทำให้ผมรู้สึกว่าผมยังมีชีวิตอยู่จริงๆ ไม่ได้ตายไปแล้วเหลือเพียงร่างกายที่ไร้วิญญาณ

มิ้นยังสดใสเหมือนเคย รอยยิ้มที่เธอมีให้ผมยังไม่เปลี่ยนแปลง มันช่วยทำให้หัวใจที่แห้งผากและร่างกายที่ไร้กำลังเกินเยียวยาของผมกลับมามีความรู้สึกอีกครั้ง เสียงใสๆ ของเธอทำให้ผมอยากฟัง ผมอยากอยู่แบบนี้ อยากหยุดเวลาไว้เพียงเท่านั้น อยากให้เธอกักขังผมด้วยเธอเอาไว้และไม่ปล่อยผมให้ออกมาพบกับความจริงอีกเลย

“นี่ๆ อาทิตย์หน้าไนล์ไปกับมิ้นนะ”

อยู่ๆ เธอก็รวบรัดตัดความมาจนผมงุนงง แม้จะไม่รู้ว่าจุดหมายคือที่ไหน แต่หากเธออยากให้ผมไปด้วย ผมก็ยินดีและเต็มใจที่จะไปด้วย ถึงกระนั้นก็ยังเอ่ยถามเพื่อให้เข้าใจสถานการณ์

“ไปไหน”

“กราฟชวนไปทะเล ไปกับเพื่อนๆ ของกราฟอีกสามคน แล้วก็มิ้น”

“ผู้หญิงคนเดียวเหรอ”

เรื่องที่ผมห่วงที่สุดก็คือเรื่องนี้ เพราะถึงจะรู้มาบ้างว่ามิ้นกับกราฟมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกันไปแล้ว แต่การไปเที่ยวต่างจังหวัดกับผู้ชายหลายๆ คนอย่างไรคนก็มองไม่ดี

“อืม ก็คนอื่นๆ ไม่มีแฟนนี่ แต่ถ้ามีแฟนมิ้นว่าแปลกออก ก็พวกนั้นน่ะ มีแต่เสือผู้หญิงทั้งนั้น”

“แล้วแบบนี้ไม่อันตรายเหรอ คุณลุงกับคุณป้าจะให้ไปเหรอ”

“มิ้นถึงต้องมาชวนไนล์ไง เพราะยังไงพ่อกับแม่ก็ไว้ใจไนล์อยู่แล้ว แล้วมิ้นก็จะได้แนะนำกราฟให้รู้จักไนล์ไปเลยไง ทีนี้ทั้งสองคนก็จะได้เป็นเพื่อนกันสักที อยากเห็นจังนะ ตอนที่ไนล์อยู่กับกราฟเนี่ย”

มิ้นยังดูไม่ทุกข์ร้อน ท่าทางออกจะสนุกซะด้วยซ้ำ เธอไม่ห่วงตัวเองบ้างหรืออย่างไรกันนะ ถ้าเกิดพวกเพื่อนๆ ของกราฟเป็นคนไม่ดี แล้วเกิดทำร้ายมิ้นขึ้นมาล่ะ จะทำอย่างไร

“ถึงเราไปด้วย แต่มันก็อันตรายอยู่ดี ถ้าเกิดพวกนั้นหวังร้ายขึ้นมาแล้วทำอะไรมิ้น เราก็ช่วยไม่ไหวหรอกนะ พวกนั้นมีตั้งหลายคน แถมเราก็ไม่เคยมีเรื่องกับใครด้วย”

“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ไม่เกิดเหตุการณ์แบบนั้นหรอก ไนล์ก็รู้ว่ากราฟเป็นคนยังไง แถมไฮยีน กัส เคถึงจะเหมือนเป็นพวกเสเพลเละเทะ แต่ก็ไม่ได้เป็นคนไม่ดีหรอกนะ พวกเขารักกันจะตาย ไม่มีทางทำร้ายแฟนกราฟหรอก”

“มองโลกในแง่ดีเกินไปแล้ว”

คำแก้ตัวของเธอไม่มีผลกับผมสักเท่าไร ผมได้แต่ถอนใจกับความมั่นใจของเธอ ถึงอย่างไรผมก็ไม่ไว้ใจเสียทีเดียว เพราะผมไม่รู้ว่าเพื่อนๆ ที่ว่านั่นนิสัยเป็นอย่างไรกันบ้าง ที่ผมไว้ใจมีแค่กราฟเท่านั้น

“ตกลงว่าไปใช่ไหม ดีเลยๆ ไนล์จะได้ไปเปิดหูเปิดตาด้วย ส่วนเรื่องคุณน้า มิ้นจัดการเอง”







อ่านต่อด้านล่าง


v


v

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥



ต่อจากข้างบน


v



v


พอเธอออกปากอย่างนั้น เธอก็จัดการได้เรียบร้อยอย่างที่ออกปากไว้จริงๆ มิ้นเป็นคนที่ร่าเริงคล่องแคล่วทั้งในการพูดและการกระทำ มีลูกล่อลูกชนที่ดี เธอจึงสามารถหาเหตุผลสารพัดอย่างมาอ้างเพื่อให้พ่อแม่ของผมอนุญาตให้ผมไปทะเลกับเธอได้

ในตอนนั้น...ผมเหมือนลูกนกอ่อนหัดที่เพิ่งขยับปีกออกมาจากกรง

โลกมันกว้างใหญ่และสวยงามจนผมคาดไม่ถึง

สีของท้องฟ้า เสียงแห่งท้องทะเล สัมผัสของคลื่นลม

เหมือนผมกำลังเหยียบย่างไปสู่อีกโลกหนึ่งที่ไม่เคยได้รู้จักว่ามี

ผมรู้สึกแบบนั้นตอนที่ได้ไปทะเลกับมิ้น แต่จะบอกว่าไปกับมิ้นก็ไม่ค่อยถูกนัก เพราะว่าผมแยกไปกับเธอ มิ้นวางแผนเอาไว้ว่าให้ผมตามไปที่นั่น ให้ผมอยู่ในบริเวณที่เป็นเขตที่พักของเธอ แล้วตอนช่วงอาหารเย็นเธอจะเปิดตัวผมกับแฟนของเธอและเพื่อนๆ เราตกลงกันไว้ตามนั้น ทว่า... เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น

เมื่อครู่ผมยังได้ยินเสียงหัวเราะของมิ้นกับแฟนของเธอ

เมื่อครู่ผมยังเห็นทั้งสองคนวิ่งไล่กันในทะเล วักน้ำสาดกัน ตามประสาคู่รัก

แต่เมื่อครู่... ผมกลับเห็นมิ้นหายไปต่อหน้าต่อตา หายไปจากมือของกราฟที่จับกันเอาไว้

สิ่งที่ผมเห็นตอนนี้ คือภาพของชายหนุ่มที่ผมคุ้นหน้าเป็นอย่างดีกำลังกระเสือกกระสน ควานหาบางสิ่งบางอย่างที่สำคัญที่สุดใต้ผืนน้ำที่สาดซัดเข้าหาเขาระลอกแล้วระลอกเล่า เสียงกรีดร้องตะโกนอย่างบ้าคลั่งของเขาอื้ออึ้งในหูของผม ก้องกังวานเหมือนกับเสียงนั้นเป็นเพียงเสียงเดียวที่มีอยู่บนโลกใบนี้

“มิ้น! มิ้น มิ้นไปไหน! ตอบกราฟสิ!! ตอบกราฟมา อย่าทำแบบนี้! มิ้น!!!”

แสงสว่างที่ผมเคยเห็น ความสวยงามที่ผมประทับใจยามมาเยือนสถานที่แห่งนี้เปลี่ยนไปในฉับพลัน

ทั้งที่ท้องฟ้ายังคงเป็นสีฟ้า แต่สิ่งที่ผมรู้สึกว่ากำลังปรากฏอยู่ตรงหน้าคือความดำมืด เงาทะมึนล่องลอย ความอึมครึมแผ่สะพัดไปทั่วทุกจุดที่ผมกำลังทอดสายตามอง

ผมขยับร่างกายไม่ได้...

อะไรบางอย่างในตัวผมกำลังกรีดร้องโหยหวน

ที่ไหนสักทีในร่างของผมกำลังแตกหักพังทลาย...

หัวใจของผมเต้นอยู่หรือเปล่า ผมกำลังหายใจอยู่ไหม

คำถามเกิดขึ้นมากมายในหัวของผม พร้อมกับประโยคเดียว

มิ้นล่ะ?

มิ้น

มิ้น...

ภาพเบื้องหน้าเปลี่ยนไป กลายเป็นใครสักคนวิ่งลงไปยังทะเล ฉุดกระชากร่างของผู้ชายคนที่กำลังบ้าคลั่งขึ้นมา ผมอยากเข้าไปถามเขาว่า มิ้นล่ะ? ญาติของผมล่ะ? โลกของผมล่ะ? แต่ขาของผมก้าวออกไม่ หัวสมองมึนตื้อไปหมด มันหมุนคว้างราวกับว่าผมกำลังตกลงไปอยู่ในมฤตยูอะไรสักอย่าง ที่อยู่คนละมิติกับสิ่งที่ผมกำลังเห็นอยู่

ผมสัมผัสไม่ได้ ผมเข้าไปหามันไม่ได้ เหมือนถูกตะปูตอกเท้าเอาไว้ให้ฝังติดอยู่บนพื้นทรายทั้งที่อยู่ห่างจากเขาไม่เท่าไร

ร่างของผู้ชายที่ชื่อกราฟถูกลากขึ้นมาพ้นทะเล และนอนแผ่อยู่บนพื้นทราย เขาไม่ไหวติง ไม่ขยับเขยื้อนขณะที่ผู้ชายอีกคนทั้งตบทั้งทุบเขา ริมฝีปากของชายคนนั้นประกบลงบนปากคนรักของมิ้น ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ก่อนคนที่นอนอยู่ราวกับตุ๊กตาจะสำลักน้ำออกมา

เกิดอะไรขึ้น?

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร ผมยังคงยืนอยู่ที่เดิม ไม่ขยับเขยื้อน ร่างของผู้ชายสองคนที่ผมเห็นก่อนหน้านี้หายไปแล้ว กลายเป็นผู้คนมากมายที่ดำผุดดำว่ายอยู่บริเวณนั้น พร้อมกับกลุ่มชายอีกหลายคนในชุดเครื่องแบบตำรวจ

ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีไปแล้ว จากช่วงบ่ายแก่เข้าสู่ช่วงเย็น และล่วงสู่ค่ำคืน

คนมากมายเหล่านั้นกลับไปหมดแล้ว แต่ผมยังยืนอยู่ที่เดิม ยังมองอยู่ในตำแหน่งเดิม ราวกับกำลังรอให้ใครบางคนมารับ

ผมกำลังรอใคร?

เงารางที่เป็นเค้าร่างของใครบางคนปรากฏขึ้นอีกครั้ง มันคุ้นตาผมจนทำให้หัวใจที่เหมือนจะหยุดทำงานของผมเริ่มมีจังหวะขึ้นเล็กน้อย เขาก้าวลงไปในทะเล ควานมือหาอะไรบางอย่างเหมือนกับคนบ้า กรีดร้องออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเสียใจ เสียงสะอื้นไห้ดังก้องมาถึงผมที่ยืนอยู่ตรงนี้

ภาพนั้นกำลังห่างออกไปเรื่อยๆ กระแสน้ำที่เซาะร่างของเขาสูงขึ้น จากเอวขึ้นไปถึงอก ขึ้นไปจนถึงคอ...

ผมมองภาพนั้นทั้งที่น่าจะรู้ว่ามันกำลังจะเกิดอะไร แต่ขณะเดียวกันผมกลับไม่รู้

สมองของผมไม่ทำงาน เหมือนสมองของผมตายไปแล้ว จึงได้แต่ยืนมองภาพนั้นราวกับมันเป็นเพียงภาพลวงตาที่ไม่มีวันเกิดขึ้นจริง

สักพักคนคนเดิมที่ผมไม่รู้จักก็วิ่งสุดชีวิตลุยน้ำลงไป ลากเอาร่างที่กำลังจะจมหายขึ้นมาอย่างทุลักทุเล เสียงตะโกนเรียกของเขาก้องไปทั่วบริเวณนั้น แต่มันเงียบสงัดเพราะเป็นพื้นที่ส่วนตัว

“กราฟ มึงจะทำอะไร!! “

“กราฟ มึงพอเถอะ มึงอย่าทำแบบนี้เลยนะ ถ้ามึงเป็นอะไรอีกคนจะทำยังไง“

เสียงบทสนทนาฝ่ายเดียวดังก้อง ผมไม่รู้ว่ากราฟตอบกลับไปว่าอะไรบ้างก็ต้องสะดุ้งเพราะโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกง

คุณลุงโทรมา...

ตอนนั้นเองที่ผมคลายออกจากมนต์สะกด ล้วงไปหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกง เสียงของคุณลุงสั่นเครือเหมือนกับกำลังร้องไห้

“ไนล์...จริงหรือเปล่า”

“จริงอะไรครับ”

ผมไม่เข้าใจ ถึงถามกลับไปแบบนั้น คุณลุงจึงตอบกลับมาด้วยเสียงที่สั่นมากกว่าเดิม มันแหบแห้ง สั่นไหวเหมือนน้ำที่อยู่ในแก้วกำลังกระเพื่อม

“ตำรวจโทรมาบอกว่า...มิ้นจมน้ำ ยังหาร่างไม่เจอ”

วินาทีนั้นผมเพิ่งเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ภาพที่ผมมองเห็นทั้งหมดมาตั้งแต่ช่วงบ่ายคืออะไร หยดน้ำใสๆ พรั่งพรูออกมาจากตาของผมทั้งที่ผมไม่ได้อยากร้องไห้

ผมเบนสายตากลับไปยังสองร่างที่ผมเห็นก่อนหน้านี้ พวกเขากำลังกอดกัน เสียงร้องไห้ดังระงมจากคนที่ผมไม่ต้องคาดเดาเลยว่าเป็นใคร มันตอกย้ำให้ผมรู้ได้ว่าสิ่งที่คุณลุงพูดมาเป็นเรื่องจริง และสะท้านสะเทือนให้หัวใจของผมต้องปวดร้าว เหมือนถูกบีบขยี้ขยำจนแทบแหลกเหลว เพียงแค่รู้สึกถึงลมหายใจของตัวเอง ผมก็รู้สึกรังเกียจมันแล้ว

ทำไมผมยังมีชีวิตอยู่

ทั้งที่โลกของผมล่มสลายลงไปแล้ว...






----------------
ตอนพิเศษมาแล้วค่ะ เป็นยังไงบ้างคะ ชีวิตของไนล์
มาช้าเพราะแอบอู้ไปหน่อย
เหลืออีกตอนนึงนะคะ

Undel2Sky


ออฟไลน์ Wut_Sv

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 902
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-1
โอ้ยยยยยยยย ทำไมชีวิตไนล์มันถึงได้รันทด หดหู่ขนาดนี้เนี่ย ไนล์ยืนหยัดมาได้ยังไงเนี่ย อ่านตอนแรกก็คิดอยู่หรอกว่าชีวิตน่าจะโตมาแบบไม่ปกติ แต่นี่มันเกินไปแล้ว  :sad4: :sad4: :m15: :m15: :monkeysad: :monkeysad: :o12: :o12:

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
ตอนพิเศษ : โลกกับดวงจันทร์








ผมเคยคิดว่าผมเหมือนดวงจันทร์

โคจรไปรอบๆ เขาโดยไม่มีทางเข้าไปใกล้เกินกว่านี้

ทว่าผมกลับยิ่งถลำลึกหลังจากก้าวขาข้างหนึ่งเกินขอบเขตของตัวเอง

เคยไหมครับที่ความใกล้ชิด ความเอาใจใส่ ความเห็นอกเห็นใจของใครคนหนึ่งจะทำให้เรารู้สึกอบอุ่น และมีความสุขจนอยากจะอยู่ข้างๆ เขาไปนานๆ ทั้งที่รู้ว่าเราก็ไม่ต่างจากคนอื่นๆ

เขาใจดีกับทุกคน...

แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ห้ามหัวใจตัวเองไม่ได้

ทั้งที่พร่ำบอกตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าให้หยุดรู้สึกแบบนั้นเสียที มันไม่มีประโยชน์อะไร





หลังเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดนั้น ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าผมกลับมาที่บ้านได้อย่างไร แต่สถานที่ที่ผมไปเป็นที่แรกคือบ้านของมิ้น ผมก้มลงกราบแทบเท้าคุณลุงคุณป้าด้วยความรู้สึกผิดจากก้นบึ้งของหัวใจ ผมช่วยมิ้นไม่ได้ ทั้งที่ผมก็อยู่ตรงนั้นด้วย ผมเป็นไอ้โง่ที่ได้แต่ยืนเฉยๆ ไม่แม้จะขยับตัวไปช่วยหาเธอที่หายไปต่อหน้าต่อตา คุณลุงเจ็บปวดเกินกว่าจะมีแรงต่อว่าผม คุณป้าร้องไห้จนหมดสติไป ผมไม่แก้ตัวที่ผมไม่เอาไหน เพราะมันเป็นแบบนั้นจริงๆ

พ่อแม่ทุบตีด่าทอผมสารพัดด้วยความผิดหวัง กล่าวโทษว่าผมเป็นคนที่พามิ้นไปตาย กล้าดีอย่างไรถึงเอาตัวเองไปรับผิดชอบชีวิตคนอื่นให้พวกเขาต้องอับอายขายขี้หน้า ความเป็นญาติแตกหักเพราะพ่อแม่ไม่กล้าสู้หน้าคุณลุงกับคุณป้า แม้แต่ผมเองก็เช่นเดียวกัน ผมไร้ค่าเกินกว่าจะไปเผชิญหน้ากับพวกท่าน

ในงานศพของมิ้น กล่องที่ตั้งอยู่ต่อหน้าทุกคนไม่มีสิ่งที่สมควรมีอยู่ ไม่มีใครพบเธออีกหลังจากวันนั้น สิ่งที่ถูกบรรจุอยู่จึงมีเพียงเสื้อผ้าชุดที่เธอชอบที่สุดเท่านั้น คุณลุงข่มน้ำตาด้วยความเจ็บปวดสุดกลั้น คุณป้าร้องไห้จวนเจียนจะขาดใจ พ่อกับแม่แค่ส่งพวงหรีดแสดงความเสียใจไปให้ ขณะที่ผมถูกสั่งห้ามไปที่งานโดยเด็ดขาด แต่ผมก็หนีมาจนได้

อย่างน้อยผมก็อยากจะล่ำลาเธอเป็นครั้งสุดท้าย

ที่งานนั้น ผมได้พบกับกราฟอีกครั้ง เขามาพร้อมเพื่อนๆ และพ่อแม่ สภาพของเขาดูไม่ได้เลย ผิดจากกราฟที่แจ่มใสและอบอุ่นอย่างที่ผมเคยได้เห็นจากรูปถ่ายของมิ้น เขาก้มลงกราบขอโทษคุณลุงคุณป้าด้วยดวงตาที่แดงก่ำ หน้าซูบซีดผอมโซ แต่คุณลุงก็ได้แค่เบือนหน้าหนีโดยไม่กล่าวโทษอะไร ไม่ต่างจากที่ท่านปฏิบัติกับผมเลยสักนิด

ผมใช้ชีวิตอย่างเคว้งคว้างหลังจากนั้น เหมือนข่อนไม้เก่าๆ ที่ลอยไปตามกระแสน้ำที่พัดพา อาจเรียกได้ว่าผมทำตัวเสมือนหุ่นยนต์อย่างที่พ่อแม่ต้องการได้อย่างสมบูรณ์แบบเลยก็ได้ ทว่า...ขณะที่ผมเปิดหนังสือเล่มหนึ่ง รูปถ่ายที่สอดเอาไว้ก็ตกลงมาบนโต๊ะ

ภาพของมิ้นและผมที่กอดคอกันยิ้ม

รอยยิ้มที่ผมมีแทบนับครั้งได้

มันทำให้ผมชาไปทั้งตัว ขอบตาร้อนผ่าวอย่างไม่อาจห้าม ก่อนสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจจะพรั่งพรูออกมาเป็นหยด

ผมคิดถึงมิ้น... ผมคิดถึงช่วงเวลาที่ผมเคยได้พบกับความสุข

ตอนนี้เธอไปอยู่ที่ไหนกันแน่ ยังมองดูผมอยู่หรือเปล่า

‘รู้ไหมว่ามิ้นเป็นห่วงนะ’

คำพูดของเธอ น้ำเสียงของเธอก้องสะท้อนในหูผมอีกครั้ง เสี้ยววินาทีนั้นเหมือนแสงสีขาวสว่างวาบขึ้นมาในใจผม

คนอย่างผมจะทำอะไรได้บ้าง จะทำอะไรเพื่อเธอได้บ้างไหม

หลังจากครุ่นคิดเรื่องนี้ขึ้นมา ผมก็พยายามทบทวนถึงเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับมิ้น คำพูดของเธอ สิ่งที่เธอให้ความสำคัญ และมันก็ทำให้ผมนึกขึ้นได้

‘มิ้นอยากเรียนวิศวะล่ะ เพราะจะได้มาช่วยงานของพ่อหลังจากเรียนจบ’

เธอเคยพูดแบบนั้น แต่ตอนนี้เธอไม่สามารถทำอย่างที่พูดได้แล้ว คุณลุงคุณป้าเองก็มีพระคุณกับผม ให้ความรัก ความเอ็นดู และสนับสนุนผมมาตลอด ถึงแม้ว่าท้ายที่สุดแล้ว ผมจะกลายเป็นคนที่ทำให้ท่านต้องสูญเสียลูกสาวไปเพราะไม่สามารถปกป้องและช่วยเหลือเธอไว้ได้

พอจะเป็นไปได้ไหมที่ผมจะทำเพื่อพวกท่านแทนมิ้น

เมื่อไตร่ตรองถึงเรื่องนี้แล้ว ผมก็ตัดสินใจได้อย่างไม่ยากเย็น ผมจะรับสืบทอดความฝันของมิ้นเอง ผมจะเป็นตัวแทนมิ้น ถึงแม้ไม่รู้ว่าพอถึงวันนั้นที่ผมบากหน้าไปบอก คุณลุงกับคุณป้าจะยอมรับคนบาปแบบผมหรือเปล่า แต่ผมก็จะทำมัน

หลังจากตัดสินใจได้ดังนั้น เสียงบทสนทนาที่เคยเกิดขึ้นก็ดังขึ้นมาในใจผมอีกหน

‘มิ้นน่ะรักกราฟมากๆ เลยนะ เพราะไม่ว่าเมื่อไรกราฟก็ทำให้มิ้นมีความสุข แล้วกราฟก็บอกว่ามิ้นทำให้กราฟมีความสุขเหมือนกัน ถ้าเป็นไปได้ มิ้นก็อยากอยู่ข้างๆ กราฟจนกว่ากราฟจะมีความสุขอื่นที่ไม่ใช่มิ้น แบบนี้มันดูโง่หรือเปล่านะไนล์’

‘ทำไมถึงคิดว่ากราฟจะมีความสุขอื่นที่ไม่ใช่มิ้นล่ะ ทั้งที่กราฟเองก็บอกว่ามิ้นทำให้กราฟมีความสุข’

‘ไม่รู้เหมือนกัน แต่ว่าชีวิตคนเรามันไม่แน่นอนนี่นา วันนี้เราอาจจะรักกันก็จริง แต่ไม่แน่อาจมีสักวันที่ทำให้เรารักกันต่อไปไม่ได้ ถึงอย่างนั้นมิ้นก็มั่นใจว่ามิ้นยังคงจะคิดว่าอยากให้กราฟมีความสุขเหมือนเดิม’


รอยยิ้มที่เธอมีในวันนั้นหลังจากพูดกับผมจบยังคงตราตรึงอยู่ในหัวใจและความทรงจำของผม ผมรู้สึกได้ถึงความรักที่ยิ่งใหญ่ของเธอ และมันก็ทำให้ผมคิดได้ว่าแม้ตอนนี้มิ้นจะไม่อยู่แล้ว แต่ผมเชื่อว่ามิ้นจะยังคงหวังให้กราฟมีความสุข

ถ้าแบบนั้น...ผมจะเป็นคนคอยเฝ้ามองความสุขนั้นแทนมิ้นเอง

ผมจะเฝ้ามองกราฟจนกว่าเขาจะพบกับความสุขอีกครั้ง

เมื่อตั้งปณิธานกับตัวเองแล้ว ผมก็ตัดสินใจออกจากบ้านที่ไร้อิสรภาพแห่งนี้ ผมเอาเงินเก็บทั้งหมดออกมา เก็บของใช้ส่วนตัวกับเสื้อใส่กระเป๋าสองสามชุด และแอบเอาสำเนาเอกสารต่างๆ ที่จำเป็น เช่น ทะเบียนบ้าน บัตรประชาชนพ่อและแม่ออกมาจากบ้านหลังนั้น มีเพียงกระดาษแผ่นเดียวเหลือทิ้งไว้ในห้องที่ว่างเปล่า พร้อมข้อความสั้นๆ



ถ้าไม่อยากอับอายขายขี้หน้าที่ลูกชายคนเดียวหนีออกจากบ้าน ก็ไม่ต้องตามหา



เหมือนระหว่างเขียนข้อความนั้นจะทำให้ผมรู้สึกปวดหนึบในใจอยู่บ้าง แต่ว่ามันก็คือความจริง ผมรู้ดีว่าพ่อแม่รักหน้าตาของตัวเองมากแค่ไหน ดังนั้นผมจึงเชื่อว่ามันจะใช้ได้

สถานที่แรกที่ผมมุ่งไปคือร้านถ่ายเอกสาร ผมก๊อบปี้สำเนาเอกสารออกมาสองสามชุด ปลอมลายเซ็นพ่อกับแม่ลงไปบนนั้นสำหรับเตรียมพร้อมไว้ใช้ในวันพรุ่งนี้ สถานที่นอนของผมในค่ำคืนนี้เป็นโรงแรมเล็กๆ ราคาถูกที่สุดเท่าที่จะหาได้ เพราะผมมีเงินติดตัวมาไม่มาก

ถึงแม้ว่าครอบครัวผมจะมีฐานะ แต่เงินก็ไม่ได้ตกมาถึงผมมากนัก เพราะมันเป็นตัวที่จะช่วยให้ผมมีอิสรภาพมากเกินไป พ่อกับแม่ถึงจำกัดไว้แค่เท่าที่ผมพอใช้ หากพูดว่าเงินเก็บที่ผมมีมาจากการที่คุณป้าช่วยนำรูปภาพของผมไปขายให้ก็คงไม่ผิดนัก

นึกมาถึงตอนนี้ผมก็รู้สึกถึงรสขมปร่าในลำคอ จนจำต้องฝืนกลืนมันลงไปและข่มตาหลับในห้องที่เล็กกว่าห้องน้ำในบ้านของผมอีกทั้งยังสกปรกและเหม็นอับแทบหายใจไม่ออก ถึงกระนั้นผมก็สามารถหลับลงได้ อาจเพราะมนุษย์มีสิ่งที่เรียกว่า การปรับตัว ก็เป็นได้

เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ผมจึงได้มองเห็นพระอาทิตย์ ผมอาบน้ำล้างหน้าแปรงฟันเปลี่ยนชุด ก่อนจะเดินทางไปยังจุดหมายที่หวังไว้ ยื่นเอกสารที่เตรียมมาพร้อมกับลายเซ็นปลอมๆ ของพ่อแม่ เมื่อเห็นหลักฐานที่ว่ามานั้นและข้ออ้างข้างๆ คูๆ ของผม ผมจึงได้รับอิสรภาพอีกครั้ง

ไม่เหลือพันธะใดกับชีวิตของนายเนรมิต แม้กระทั่งโรงเรียนเดิม

เป้าหมายต่อไปของผมคือสถานศึกษาแห่งหนึ่ง ด้วยจำนวนเงินที่ผมมี แน่นอนอยู่แล้วว่าผมไม่สามารถเข้าโรงเรียนเอกชนที่ค่าเทอมสูงลิ่วได้ ผมจึงเลือกโรงเรียนวัดที่อยู่ใกล้โรงเรียนของกราฟมากที่สุดแทน และมันก็ไม่ใช่เรื่องยากในเมื่อผมมีเอกสารเตรียมมาพร้อมทั้งหมดแล้ว

การเริ่มต้นชีวิตใหม่ของผมคือวันพรุ่งนี้ ผมซื้อชุดนักเรียนไว้ แค่ชุดสองชุดยังพอไหว แต่สิ่งสำคัญที่ผมจะต้องคิดต่อจากนี้ไปคือจะดำเนินชีวิตให้อยู่รอดไปวันๆ ได้อย่างไร ไหนจะที่พัก ไหนจะค่ากินอยู่ คิดได้ดังนั้นผมก็เริ่มรู้สึกถึงความลำบากของจริง

ช่วงแรกๆ ผมอาศัยอยู่ในโรงเรียนโดยไม่ให้ใครรู้ ใช้เงินแค่เฉพาะค่าอาหารเท่านั้น แต่เพียงไม่ถึงเดือนเงินที่มีอยู่ก็ร่อยหรอ แม้ว่าจะพยายามใช้ให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วก็ตาม ผมเครียดมากเพราะคิดไม่ตกว่าควรทำอย่างไร เดินเตร็ดเตร่ไปเรื่อยเปื่อยเหมือนคนเร่ร่อนทั่วๆ ไป กระทั่งมีคนมาทัก

“หนุ่มน้อย เป็นอะไรไปจ๊ะ หน้าตาดูเหมือนมีเรื่องไม่สบายใจนะ”

ผมหันไปมองเจ้าของเสียงที่บีบให้ดูเล็กหวานเหมือนผู้หญิง สรีระของเขาอ้อนแอ้นอรชร ผมสั้นจนเกือบเกรียน แต่ติดขนตาจนเด้งออกมาหลายเซนติเมตร ริมฝีปากสีชมพูสด เสื้อผ้าบนร่างแม้จะเป็นเสื้อเชิ้ตกางเกงสแล็ก แต่มันก็แน่นฟิตไปทั้งตัว ยิ่งเสริมให้เห็นว่าร่างกายของเขาอัดแน่นด้วยกล้ามเนื้ออย่างสมส่วน

ผมไม่รู้จักเขา และไม่แน่ใจว่าจะตอบเขาไปดีไหม จึงเบือนหน้าไปอีกทางพลางเดินหลบ แต่เขาก็มาดักหน้าผมไว้พร้อมกับเรียก

“เดี๋ยวก่อนสิจ๊ะ มีอะไรไม่สบายใจปรึกษาเจ๊ได้นะ เจ๊ชอบช่วยเหลือเด็กหนุ่มๆ โดยเฉพาะเด็กหน้าตาดีๆ แบบน้องเนี้ย ถูกใจเจ๊เลย”

“ผมไม่ขายตัว”

เพราะกลัวว่าจะถูกตามตื๊อหรือวุ่นวายไปมากกว่านี้ ผมจึงรีบตัดบทเพื่อให้เขาเลิกตามผมโดยเร็วที่สุด แต่ว่าเขากลับคว้าแขนของผมไว้พร้อมอุทาน ‘อุ๊ยตายๆ’ กำลังมหาศาลที่แตกต่างจากผมทำให้ผมไม่สามารถก้าวขาต่อไปได้ จึงต้องหยุดและหันไปเผชิญหน้าเขาตรงๆ

“ไปนั่งคุยกันหน่อยไหม เจ๊ไม่ได้จะให้เราขายตัวหรอก”

แม้เขาจะพูดออกมาอย่างนั้น แต่ผมก็ยังเคลือบแคลงและเขาก็อ่านมันออกได้อย่างชัดเจน เพราะผมตั้งใจแสดงสีหน้าอย่างเต็มที่เป็นครั้งแรกในชีวิต ผู้ชายคนนั้นถึงดึงมือผมอีกครั้ง

“เจ๊พูดจริงๆ สาบานเลยเอ้า”

ไม่รู้ว่าเพราะคำพูดนั้นหรือเปล่า ผมจึงยอมผ่อนแรงจิกเท้าเพื่อรั้งร่างตัวเองเอาไว้ และยอมเดินตามเขาไปโดยดี คนที่เรียกตัวเองว่า ‘เจ๊’ พาผมไปนั่งในร้านอาหารติดแอร์ร้านเล็กๆ แถวนั้น ที่นั่นมีบริการขนมหวานและไอศกรีมด้วย เขาสั่งไอศกรีมช็อกโกแลตมาให้ผมถ้วยหนึ่ง ขณะที่เขาเองก็สั่งไอศกรีมสตรอเบอร์รี่กับบูลเบอร์รี่มาถ้วยใหญ่

“ว่ายังไงล่ะจ๊ะ มีความทุกข์เรื่องอะไร”

เขาถามผมง่ายๆ ด้วยท่าทีสบายๆ ทำเหมือนเรารู้จักกันมาก่อน ขณะที่ผมยังคงอุดปากปิดสนิท เอาช้อนเขี่ยไอศกรีมเล่นโดยไม่คิดจะตักเข้าปาก เขาจึงเอียงคอนิดๆ ก่อนจะเอ่ยออกมาอีกครั้ง

“งั้นเจ๊แนะนำตัวก่อนแล้วกัน เจ๊ชื่อช็อกโก้นะ เวลาเรียก็ให้เรียกเต็มๆ ล่ะ อย่าเรียกช็อกหรือโก้ เพราะเดี๋ยวเจ๊หัวใจวาย” ปากของเขาพูดพร่ำขณะเดียวกันก็ตักไอศกรีมสองสีเข้าปากคำใหญ่ ทำหน้าเหมือนพึงพอใจในความหวานและเย็น  “แล้วเธอล่ะ ชื่ออะไร”

“...”

“อย่าระแวงกันนักสิ เจ๊ไม่ทำร้ายหรอกน่า บอกแล้ว่าเจ๊ชอบช่วยเด็กหนุ่มๆ”

ผมไม่เข้าใจเจตนาของเขาเลยว่าต้องการอะไรกันแน่ แต่ดูจากลักษณะแล้ว ก็เหมือนจะไม่มีลับลมคมในอะไร ผมควรจะตอบกลับไปหรือไม่ควรตอบดี

เงียบอยู่พักใหญ่เลยทีเดียว เจ๊ช็อกโก้ก็ตักไอศกรีมเข้าปากกรวมๆ รอคำตอบจากผม หมดถ้วยเก่าก็เรียกพนักงานมาสั่งถ้วยใหม่เพิ่ม ส่วนไอศกรีมสีน้ำตาลในถ้วยของผมละลายไปเกินครึ่งก้อนแล้ว

“ไนล์”

สุดท้ายผมก็ยอมเปล่งเสียงออกมาสั้นๆ แต่เท่านั้นก็เพียงพอที่จะทำให้เขายิ้มแป้นแทบปากฉีกแล้ว จากนั้นก็ย้ำถามผมด้วยคำถามเดิม

“แล้วสรุปว่ามีปัญหาอะไร ถ้าให้เจ๊เดานะ หนุ่มๆ แบบนี้ไม่อกหักก็ไม่มีเงินใช้ล่ะสิท่า”

ผมยังคงนิ่ง ไม่แสดงปฏิกิริยาใดๆ ออกไป แต่เขาหรี่ตามองผมราวกับพิจารณา แล้วเอ่ยเสียงออกมาอีกครั้ง

“เจ๊ยื่นข้อเสนอให้เอาไหม”

“ผมไม่ขายตัว”

ก่อนที่เขาจะพูดอะไรออกมาอีก ผมก็แทรกขึ้นเสียก่อน เพราะสายตาที่เขามองผมเมื่อครู่มันเหมือนว่าเขากำลังประเมินค่าผมเหมือนสิ่งของอย่างหนึ่งเสียมากกว่าจะเรียกว่าเห็นอกเห็นใจ แต่คำตอบของผมกลับเรียกเสียงหัวเราะจากเขาได้

“ไม่ต้องรีบร้อนขนาดนั้น ไม่ขายตัวก็ไม่ขายตัวจ้ะ ถึงจะเห็นแบบนี้ แต่เจ๊ก็รักนวลสงวนตัวเหมือนกันนะ ก็แค่...” เขาเหลือบตามองผมไปทั่วร่างอีกครั้ง ถ้าไม่ได้นั่งอยู่ ผมแน่ใจได้ว่าเขาคงมองไล่ไปจนถึงเท้า “ชอบเล่นสนุก ควงหนุ่มๆ หน้าอ่อนไปชอปปิ้งให้ชุ่มชื่นหัวใจเท่านั้นแหละ”

ไอศกรีมถ้วยใหญ่ที่เขาสั่งไปมาเสิร์ฟหลังจากพูดประโยคนั้นจบ เขาหันไปยิ้มแฉ่งให้พนักงานก่อนจะจ้วงไอศกรีมก้อนโตเข้าปากราวกับไม่กลัวอาการเสียวฟัน

“สนใจหรือเปล่า”

หลังจากกลืนของกึ่งแข็งกึ่งเหลวนั่นเข้าปากไปแล้ว เขาก็หันมาถามผมอีกครั้ง ผมยังคงนั่งมองเขาอย่างเงียบๆ ไม่ได้ให้คำตอบใดๆ

“ถ้าเธอให้ฉันควงอวดชาวบ้าน ช่วยถือของและเอาใจฉันสักหน่อย ฉันมีค่าขนมให้นะ” เสียงพูดหยุดไปชั่วครู่ขณะที่เขาย่นคิ้วเข้าหากัน ทำท่านึกอะไรสักอย่าง ก่อนจะอ้าปากออกมา “สักสองพันพอไหม สำหรับวันนี้ ก็แค่ประมาณสี่ห้าชั่วโมงเอง สี่ทุ่มฉันก็จะปล่อยเธอกลับบ้านแล้ว เด็ก ม.ปลาย นอนดึกมันไม่ดีนี่เนอะ”

สิ้นเสียง เขาก็ตักไอศกรีมเข้าปากอีกอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน รอให้ผมพิจารณาข้อเสนอและตอบเขากลับไป ซึ่งมันก็ทำให้ผมมึนงงไปหมด ไม่เข้าใจว่าเขาจะมายื่นข้อเสนอแบบนี้กับผมเพื่ออะไร ไม่ใช่คนรู้จักกัน อยากเล่นสนุกเหรอ? หรือว่าอะไร ผมไม่เข้าใจความคิดนี้ของเขา หรือผมไม่เข้าใจความคิดของผู้ใหญ่กันแน่

ผมคิดอยู่นาน จนไอศกรีมถ้วยที่สองของเขาหมดไป ไอศกรีมช็อกโกแลตในถ้วยผมละลายไปจนหมดแล้ว ผมก็ยังมองหน้าเขานิ่งๆ เพื่อจับผิด แต่ไม่มีอะไรที่จะทำให้ผมแน่ใจได้เลยว่าจุดประสงค์ของเขาคืออะไรกันแน่

“คุณต้องการให้ผมทำแค่นั้นจริงๆ เหรอ”

“จะลองเสี่ยงเดิมพันดูไหมล่ะ”

เขาตอบอย่างไม่เป็นเดือดเป็นร้อนเท่าไร กลับเป็นผมเสียเองที่คิดหนักมากกว่าเดิม เพราะมีข้อเสนอดีๆ มายื่นอยู่ตรงหน้า ในขณะที่ตัวเองกำลังจนตรอก แต่ก็ใช่ว่าผมสามารถวางใจว่าจะไม่มีเหตุอันตรายได้ ถึงผมจะเป็นผู้ชาย แต่สังคมทุกวันนี้ ผู้ชายก็ยังต้องระวังตัว

ผมควรจะเสี่ยงหรือว่าหาทางออกอื่น

ไตร่ตรองอย่างหนัก จนเวลาล่วงเลยไปอีกมากกว่าห้านาที เขายังไม่มีทีท่าว่าจะเปลี่ยนใจแล้วจบการเจรจาครั้งนี้ ยิ่งทำให้ผมกดดันมากกว่าเดิม ทว่าสุดท้ายแล้ว ผมก็ขอลองดูสักตั้ง

“ก็ได้ แต่ถ้ามันไม่ใช่แค่นั้น ผมก็คงไม่อยู่เฉยเหมือนกัน”

หลังจากได้ยินคำตอบของผม เขาก็หัวเราะคิกคักเหมือนเป็นเรื่องสนุกๆ ก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้และเดินไปจ่ายเงินค่าไอศกรีม แล้วนำออกจากร้านโดยไม่หันมามองผมสักนิด ทำให้ผมรู้ว่าผมมีหน้าที่เดินตามไป และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมเริ่มยืนด้วยลำแข้งตัวเองได้

ถือว่าเจ๊ช็อกโก้เป็นผู้มีพระคุณของผมเลยก็ว่าได้ เขาไม่ได้มีแผนการร้ายอยู่เบื้องหลัง และไม่ได้ทำร้ายผมไม่ว่าแบบใดทั้งสิ้นอย่างที่หวาดระแวง มีแต่จะช่วยเหลือและสนับสนุนผมเพราะความเห็นใจ มีอีกหลายครั้งที่เขาชวนผมให้ไปเที่ยวเป็นเพื่อนเขา แต่ก็ไม่เคยทำอะไรเกินเลยที่พอจะเรียกได้ว่าเป็นการคุกคามทางเพศ อย่างมากก็แค่จับมือ ควงแขน

เขาสอนให้ผมรู้จักยิ้ม รู้จักเทคแคร์ผู้หญิง ตอนแรกๆ โดนเขาตำหนิว่า ‘ถึงร่างกายของฉันจะเป็นผู้ชาย แต่จิตใจของฉันเป็นผู้หญิงนะยะ เพราะฉะนั้นต้องคอยเอาใจใส่ให้ดีหน่อย’ ด้วย ผมถึงเริ่มเรียนรู้วิธีการแสดงให้ผู้อื่นพึงพอใจ

หลังจากได้เงินจากการเป็นเพื่อนเที่ยวหลายๆ ครั้งเข้า ผมก็เริ่มมีที่อยู่เป็นของตัวเอง แม้จะเป็นห้องพักเล็กๆ แต่มันก็ทำให้ผมสะดวกสบายขึ้น อีกทั้งผมยังสามารถกลับมาวาดรูปได้เหมือนเดิม มีลูกค้าที่เคยติดต่อกันไว้ในช่วงที่ผมยังอยู่ที่บ้านมาจ้างงานบ้าง ทำให้ผมมีรายได้อีกทาง

ผมเคยถามเจ๊ช็อกโก้ว่าทำไมถึงมาทักผมในวันนั้น เขายอมบอกแต่โดยดีว่าเพราะเห็นท่าทางผมดูเคร่งเครียด กลัวว่าจะทำอะไรไม่ดีลงไป อย่างเช่น ลักขโมย จี้ปล้น หรือไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด เขามีเงินมากมายพอที่จะช่วยเหลือคนได้ หากว่าเขาช่วยผมไว้สักคน ก็ถือว่าได้บุญโขอยู่ แต่ก็ใช่ว่าจะช่วยเหลือไปหมดซะทุกคน เขาต้องดูด้วยว่าเป็นคนที่สมควรจะช่วยหรือไม่ มีโอกาสที่จะมาหักหลังเขาภายหลังเพราะหวังทรัพย์สินของเขาหรือเปล่า ซึ่งเขามองว่าผมไม่ได้อยู่ในข่ายนั้น เพราะถึงผมจะดูโศกเศร้าเคร่งเครียด แต่ขณะเดียวกันก็ดูว่างเปล่า เหมือนมีเพียงร่างแต่ข้างในกลวงโบ๋จนเขากลัวว่าจะทำอะไรบ้าๆ แบบไม่คิดลงไป

หลังจากชีวิตผมเข้ารูปเข้ารอยมากขึ้น ผมก็ดำเนินชีวิตประจำวันของผมได้ตามปกติ หลังจากเรียนเสร็จ ผมจะเดินไปโรงเรียนของกราฟที่อยู่ไม่ไกลเพื่อดูความเป็นไปของเขา ภาพใบหน้าของเขาที่เศร้าสลดและซีดเซียวค่อยมีชีวิตชีวามากขึ้น ทำให้ผมรู้ว่าเขาคงทำใจเรื่องมิ้นได้อย่างน้อยก็ครึ่งหนึ่งแล้ว

ขณะเดียวกันความสัมพันธ์ของกราฟกับเพื่อนอีกคนที่ผมจำได้ว่าเป็นคนที่ช่วยเขาเอาไว้ที่ทะเลก็เริ่มแน่นแฟ้นมากขึ้น มันมากเกินกว่าเพื่อนกันจนผมรู้สึกหน่วงๆ ในใจ แม้ว่าจะได้เห็นรอยยิ้มที่คุ้นตากลับมาเยือนใบหน้าของเขาอีกครั้งก็ตาม

กราฟเป็นคนที่ใส่ใจความรู้สึกคนอื่นเสมอ คิดถึงคนอื่นมากกว่าตัวเอง เขาเป็นคนแจ่มใสที่ทำให้ใครก็ตามที่อยู่ใกล้รู้สึกอบอุ่น เขาชอบดีดกีตาร์และอยู่ชมรมดนตรี มีงานอดิเรกคือการไปแข่งรถกับเพื่อนๆ ที่สนามแข่งในตอนกลางคืน ชอบกินอาหารรสไม่จัด และชอบช็อกโกแลต

ผมได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่เขาชอบ หรือความรู้สึกนึกคิดของเขาผ่านทางการสังเกตเขาตลอดระยะเวลาที่เลยผ่าน จนบางครั้งก็สามารถคาดเดาการตัดสินใจของเขาได้ล่วงหน้าเสียด้วยซ้ำ คนอื่นอาจจะมองว่าผมเป็นโรคจิตก็ได้ที่คอยตามดูเขาแบบนี้ ตั้งแต่เวลาเลิกเรียนกระทั่งเขากลับถึงบ้าน หากไม่จำเป็นต้องกลับไปวาดรูปหรือถูกเจ๊ช็อกโกเรียกให้ไปเที่ยวด้วย ผมมักจะแอบตามเขาอยู่แบบนั้นโดยที่เขาไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย

มองดูเขาพูดคุย เล่นหัวกับเพื่อน

มองดูรอยยิ้มของเขาที่กลับมาเป็นเหมือนเดิม

มองดูความสนิทสนมของเขากับผู้ชายคนนั้นที่มากเกินกว่าเพื่อนจนแทบเรียกได้ว่าคนรักกัน

ผมควรจะดีใจหรือเปล่าที่กราฟกำลังมีความสุขกับผู้ชายคนนั้น?

ผมไม่แน่ใจเลย

มันเหมือนมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่เบื้องหลัง อาจจะเป็นคำพูดแว่วๆ ที่ผมได้ยินที่ทะเลในวันที่มิ้นจากไปก็เป็นได้

‘กูรู้ว่ากูไม่ใช่มิ้น กูแทนที่มิ้นไม่ได้ แต่เวลาที่มึงนึกถึงมิ้น มึงมาหากูได้ กูจะเป็นมิ้นให้มึง เพราะงั้นมึงต้องดูแลตัวเอง แล้วก็ต้องดูแลกู เข้าใจไหม’

ผมเชื่อว่าเวลานี้เขายังไม่ได้พบเจอความสุขที่แท้จริง มันเป็นแค่ความรู้สึกลวงๆ ที่ใช้หลอกตัวเองเท่านั้น เพราะแบบนั้นผมจึงยังคงเฝ้ามองเขาอยู่ต่อไป จากเดือนเป็นปี จากปีเป็นสองปี กระทั่งเราเรียนจบ ม.6

กราฟเลือกเรียนต่อมหาวิทยาลัยเอกชนที่ค่าเทอมสูงมาก และมันก็สร้างปัญหาให้ผมค่อนข้างมากเช่นเดียวกัน ถึงผมจะขายงานอยู่ และยังได้รับค่าจ้างจากการเป็นเพื่อนเที่ยวของเจ๊ช็อกโก้ แต่มันก็ไม่เพียงพอสำหรับจ่ายค่าเทอม โชคยังดีที่อย่างน้อยมหาวิทยาลัยแห่งนี้มีคณะวิศวกรรมศาสตร์ที่ผมจำเป็นต้องเข้า ที่เหลือผมคงต้องหาทางออกให้ตัวเอง แต่จะทำอย่างไร?

ระหว่างที่คิดไม่ตก ผมก็ต้องกลายเป็นหนี้เจ๊ช็อกโก้อีกครั้ง ถึงปกติผมจะนิ่งเฉย ไม่แสดงสีหน้า แต่เขาก็สามารถจับความผิดปกติได้อย่างง่ายดาย ผมไม่ได้เล่าออกไปว่าที่มาที่ไปเป็นอย่างไร แต่เขาก็คะยั้นคะยอให้ผมยอมบอก อย่างน้อยๆ ก็เรื่องที่กำลังเป็นทุกข์ใจอยู่ในตอนนี้

หลังจากรู้ว่าผมต้องการเงินไปเข้ามหาวิทยาลัยเอกชน เขาก็เสนอเงินให้ผมก้อนหนึ่ง แม้ว่าผมจะปฏิเสธแล้ว แต่เขาก็ยังยัดเหยียดให้ผมพร้อมกับคำพูดที่ทำให้ผมรู้สึกใจหาย

“เธอเป็นเด็กดีมาตลอด ขยัน อดทน ถึงเจ๊จะไม่รู้เรื่องราวในอดีตว่าทำไมเธอถึงต้องเป็นแบบนี้ แต่เจ๊ก็เชื่อว่ามันมีเหตุผลมากพอให้เธอตัดสินใจทำ รวมถึงครั้งนี้ด้วยเหมือนกัน เพราะฉะนั้นถือว่านี่เป็นของขวัญชิ้นสุดท้ายจากเจ๊แล้วกัน เพราะว่าต่อจากนี้เจ๊คงไม่ได้ดูแลเธอแล้วล่ะ”

“ทำไมล่ะครับ”

“เจ๊จะไปอยู่อเมริกากับสามีเจ๊แล้วน่ะสิ โรเบิร์ตที่เจ๊เล่าให้ฟังไง แล้วเราก็คงไม่ได้เจอกันอีกแล้ว”

ผมอึ้งจนพูดไม่ออก เพราะไม่คิดว่าจะมาถึงวันนี้ ไม่ใช่ว่าผมเสียใจที่ต่อไปนี้จะขาดคนที่ให้ความช่วยเหลือ หรือควรจะเรียกว่าคนอุปถัมภ์ด้วยซ้ำ เพราะช่วงสองปีหลังมานี้ เขาค่อนข้างเอ็นดูผมเหมือนน้องชายคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ และมันก็ทำให้ผมรู้สึกซาบซึ้งใจในน้ำใจและความกรุณาของเขาที่หยิบยื่นให้ผมเสมอมา ถึงเขาจะไม่ได้เปรียบเสมือนโลกที่สดใสเหมือนอย่างมิ้น แต่เขาก็เป็นสายลมอุ่นๆ ที่พัดผ่านเข้ามา จึงอดที่จะรู้สึกผูกพันกับเขาไม่ได้

“จำไว้ว่าเจ๊ไม่เคยรู้สึกเสียใจหรือเสียดายเงินเลยได้ที่ช่วยเหลือเธอ เป็นเด็กรักดีแบบนี้ต่อไปล่ะ”

สุดท้ายผมก็รับเงินจากเขามา พร้อมส่งเขาด้วยรอยยิ้มที่ผมได้เรียนรู้จากเขา

ต่อจากนี้ผมต้องเปลี่ยนการดำเนินชีวิตเสียใหม่ ไม่มีเจ๊ช็อกโก้ที่คอยช่วยเหลือและพยุงหลังผมเอาไว้อีกแล้ว

ตลอดช่วงปิดเทอม ผมคอยติดตามกราฟไปทุกหนทุกแห่ง ขณะเดียวกันก็รับจ้างวาดงานไปเรื่อยๆ แม้ว่าจะไม่เยอะนัก และได้เงินไม่มากมาย กระนั้นก็ยังทำให้ผมเอาตัวรอดต่อไปได้เรื่อยๆ จวบจนกระทั่งเปิดเทอม

ผมเริ่มหาลู่ทางเพิ่มรายได้ให้ตัวเองด้วยการชักชวนผู้หญิงในมหาวิทยาลัยให้เป็นลูกค้าของผม เพราะจะต้องเตรียมเงินไว้สำหรับค่าเทอมหน้าด้วย กฎเหมือนเดิมทุกอย่างคือไม่มีการล่วงเกินหรือสัมพันธ์ที่เกินเลย ซึ่งลูกค้าทุกคนต่างก็ปฏิบัติตามเป็นอย่างดี จะมีบางคนที่ค่อนข้างมีปัญหาเพราะดูเหมือนว่าเขาจะพอใจกับการเทคแคร์ของผม

ถึงผมจะไม่ได้บริการใครเป็นพิเศษ แต่ก็มีลูกค้าประเภทนั้นเข้ามาเรื่อยๆ ซึ่งผมก็ต้องปฏิเสธ และเลิกรับงานกับคนพวกนั้นไปเพื่อความปลอดภัยของตัวเองและลูกค้าคนอื่นๆ

หากไม่ติดขัดปัญหาอะไร เช่น ต้องวาดงานส่ง ติดเรียน หรืออ่านหนังสือเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับควิซแล็บ ผมจะไปดักรอกราฟที่โรงอาหารเสมอ เพราะเขาจะไปกินข้าวกับเพื่อนๆ ทุกวันก่อนจะเข้าเรียน อย่างน้อยก็เพื่อให้ผมได้รู้ความเป็นไปของเขาในแต่ละวัน ทั้งช่วงเช้าและเย็น ทว่าในวันนี้ ผมกลับพบเจอเหตุการณ์ใหม่ และมันก็ยิ่งทำให้ผมตกใจยิ่งไปกว่าเดิมเมื่อเห็นใบหน้าของคนที่เขากำลังพูดคุยอยู่ด้วย

“มิ้น...”

ผมอุทานออกมาอย่างลืมตัว ก่อนจะตั้งสติได้ว่าเจ้าของชื่อนั้นไม่ได้อยู่บนโลกนี้อีกแล้ว แต่ถึงอย่างไรคนที่ผมเห็นว่ายืนต่อหน้ากราฟก็หน้าเหมือนมิ้นไม่มีผิด ขาของผมหยุดชะงัก ไม่ก้าวเข้าไปใกล้และไม่ถอยออก รู้สึกมึนเบลอไปหมด แต่ขณะเดียวกันก็พยายามจับสังเกตสีหน้าของกราฟเอาไว้ไม่ให้พลาดไป เพราะผมอยากรู้เช่นกันว่าเขากำลังรู้สึกแบบไหน

สังหรณ์ประหลาดเริ่มลุกลามในใจของผมในวินาทีนั้น

รอยยิ้มของกราฟมันทำให้ผมรู้สึกแบบนั้นขึ้นมาอย่างไม่อาจห้ามได้ เหมือนจะต้องเกิดเหตุอะไรบางอย่างและผมก็ไม่ต้องการให้เป็นแบบนั้น อาจเพราะผมสามารถคาดเดาความรู้สึกนึกคิดของเขาได้เสียส่วนใหญ่ก็เป็นได้ ผมจึงตัดสินใจที่จะทำอะไรสักอย่าง

ในวันนั้นผมได้ยินว่ากราฟจะไปที่ผับแห่งหนึ่ง และผมก็ได้รับโทรศัพท์จากลูกค้า เพื่อนัดไปเที่ยวกินดื่มกัน แน่นอนว่าผมใช้โอกาสนี้แนะนำร้านกับเธอ และเธอก็ยินยอมตอบรับคำขอของผม

ภายในร้านนั้นไม่ต่างจากผับทั่วๆ ไปนัก มีแสงสี เสียงเพลง ผู้คนเบียดเสียดทั้งพร้อมจะลวนลามและมีเรื่องกัน ผมนั่งจิบแอลกอฮอล์พลางจ้องมองใบหน้าของคนที่ผมเฝ้ามองมาตลอดสามปี เขาสังสรรค์เฮฮาอยู่กับเพื่อนๆ ก๊วนเดิม แต่มีเพิ่มเติมเป็นพวกรุ่นพี่ ใช้ชีวิตเหมือนคนธรรมดาทั่วไปที่คงไม่มีใครมองออกว่าเขามีหลุมลึกในใจที่ทำอย่างไรก็กลบไม่ผิด

เช่นเดียวกับผม... ที่ทั้งร่างกลวงโบ๋ มีแต่ความว่างเปล่า

ผมรู้ว่าตัวเองไร้ค่า ไร้ตัวตน ที่คงสภาพอยู่ในทุกวันนี้มีเพียงเปลือกนอกที่เรียกว่าร่างกายเท่านั้น

ที่ผมสามารถยิ้มแย้ม พูดคุย เอาใจผู้หญิงได้ก็เป็นเพียงแค่โปรแกรมที่ถูกฝังมาจากการผู้มีพระคุณเท่านั้น เพื่อให้ผมสามารถเอาตัวรอดต่อไป และมีชีวิตอยู่ได้จวบจวนผมสามารถทำตามปณิธานของตัวเองสำเร็จ

ผมมีชีวิตอยู่เพื่อเรื่องเท่านั้น...จริงๆ




อ่านต่อด้านล่าง

v


v

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥

อ่านต่อจากข้างบน



v


v




“นี่ อย่าเอาแต่นั่งเหม่อสิ ช่วยสนใจน้ำผึ้งสักนิด”

เสียงหญิงสาวพะเน้าพะนอพร้อมกับเอนหัวซบลงกับไหล่ของผม ผมจึงจำต้องละสายตากจากกราฟกลับไปหาเธออย่างช่วยไม่ได้ ส่งยิ้มที่เกิดจากกระบวนเรียนรู้ว่ามันสามารถทำให้ผู้หญิงพอใจได้ไปให้ และเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มๆ ที่จำเป็นต้องทำ

“ขอโทษครับ พอดีผมงานยุ่งนิดหน่อย ก็เลยอาจจะเบลอๆ”

“แหม อะไรกัน รับลูกค้าเยอะล่ะสิไม่ว่า”

ผมถูกนิ้วชี้ของเธอกดลงมาบนหน้าผากเบาๆ ขณะที่เธอทำหน้างอนๆ แต่ไม่ได้จริงจังนัก เพราะต่างคนก็รู้ดีว่าผมไม่เคยบริการใครเป็นพิเศษ ทุกคนเท่าเทียมกันหมดเพื่อไม่ให้เกิดปัญหา ถ้าใครอยากให้ผมเอาใจเป็นพิเศษก็อาจจะต้องจ่ายหนักหน่อย ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับการพิจารณาว่าคุ้มค่าหรือไม่ของลูกค้า

“ผมมีควิซเกือบทุกวันน่ะครับ ก็เลยต้องอ่านหนังสือทุกวันเลย”

ท้ายเสียงผมเอื้อนอ้อนนิดหน่อย ทำให้อีกฝ่ายยอมปล่อยผ่านไม่ตื๊ออะไรมาก ผมจึงได้โอกาสเหลือบไปสนใจกราฟอีกครั้ง เห็นว่าเขากำลังลุกขึ้นจากโต๊ะที่นั่งอยู่ ดูเหมือนว่าจะไปห้องน้ำ ผมจึงรีบเอ่ย

“เดี๋ยวผมขอไปห้องน้ำหน่อยนะครับ”

ไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายตอบมา ผมก็ลุกขึ้นแล้ว เป้าหมายของผมไม่ใช่ที่อื่นเลยในเมื่อผมมีโอกาสแล้ว ผมจะขัดขวางความตั้งใจของเขา ก่อนจะเกิดเหตุอย่างที่ผมกังวลไว้จริงๆ

ผมไม่อยากให้เขาต้องกลับมานึกเสียใจทีหลังกับการตัดสินใจแบบนั้น

อย่าใช้ใครเป็นตัวแทนมิ้นเลย... เลือกคนที่ทำให้นายรักจริงๆ สิ

ผมก้าวเท้าพร้อมกับมีความคิดนั้นอัดแน่นอยู่ในหัวและในใจ

และนั่นก็เป็นครั้งแรกที่ผมย่างเท้าเข้าไปในขอบเขตของเขา...

พื้นที่ที่ผมไม่คิดก้าวเข้าไปมาตลอดสามปี

พื้นที่ที่ผมไม่สมควรเข้าใกล้

ผมล้ำเส้นเข้าไปด้วยความหวังดี แต่ว่ามันกำลังทำให้ทุกอย่างผิดเพี้ยนไปหมด แรกเริ่มเดิมทีผมต้องการขัดขวางไม่ให้กราฟใกล้ชิดกับผู้หญิงที่ชื่อดาหลา ไม่ต้องการให้เขาใช้ผู้หญิงคนนั้นเป็นตัวแทนมิ้นเพียงเพราะว่าหน้าเหมือน เพราะต่อให้เหมือนมิ้นทุกอย่าง แต่เธอก็ไม่ใช่มิ้น

ผู้หญิงที่กราฟรัก คือจิตใจของมิ้น ไม่ใช่เปลือกนอกของมิ้น

การแสดงของผมอาจจะดูเหมือนมากไปบ้าง ทั้งการเสนอตัวทำเหมือนว่าผมชอบเขา ฉุดรั้งให้เขามาทางตัวเองแทนที่จะไปหาผู้หญิงคนนั้น ดูๆ เหมือนไอ้โง่ด้วยซ้ำที่ทำแบบนั้น แต่ไม่รู้ว่าทำไมยิ่งทำ ผมกลับยิ่งรู้สึกติดอยู่ในบทบาทมากขึ้น

ผมยัดเยียดกุญแจห้องของผมให้กับเขาทั้งที่ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นก็ได้ เขาปฏิเสธผมอย่างตรงไปตรงมา แต่ผมก็ยังพยายามทำให้เขาติดอยู่ในบ่วงที่ผมสร้างขึ้น เพื่อพันธนาการเขาเอาไว้ให้ห่างจากผู้หญิงคนนั้นให้มากที่สุด และมันก็สำเร็จด้วยดี เพราะว่าผมรู้จักเขาดี ผมถึงรู้ว่าควรทำอย่างไรให้เขาเดินตามเกมของผม

ถึงแม้ผมจะรู้ดีว่าเขาเป็นคนใจดี และคิดถึงความรู้สึกของคนอื่นอยู่เสมอ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังเผลอดีใจตอนที่เขามาหาผมที่คอนโดฯ ของเขาทั้งที่เขาอยู่ที่บ้านแล้ว เพียงเพราะผมบอกว่าอยากกินบะหมี่ และก็ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ผมถึงมานั่งเสียเวลาในการทำงานหลายชั่วโมงเพื่อรอให้เขามาหาทั้งที่ไม่จำเป็น

ความใส่ใจของเขาทำให้ผมรู้สึกเหมือนมีอะไรหมุนวนอยู่ในใจ...นับแต่นั้น

และมันก็น่ากลัวมากขึ้นทุกวัน

รอยยิ้มของเขา น้ำเสียงของเขา ทั้งที่ผมเคยเห็นมาตลอด แต่ยิ่งนานวันผมก็ยิ่งรู้สึกว่า...มันมีอิทธิพลกับผมมากเกินไป

หัวใจของผมสั่นทุกครั้งที่เห็นรอยยิ้มนั้น

แผ่นหลังของเขาอบอุ่น

ผมมีความสุขที่เห็นเขาวุ่นวายใจเพราะไม่เข้าใจการกระทำของผม

มันอันตราย... สัญญาณบางอย่างกำลังร้องเตือนผมแบบนั้น จนผมต้องห้ามปรามตัวเอง

นิ่งเฉยสิ ทำให้เหมือนกับว่าไม่รู้สึกอะไรซะ

ทั้งที่บอกตัวเองอย่างนั้น แต่ผมกลับทำไม่ได้เลย

ผมพยายามนิ่งเฉยให้มากที่สุด จนเหมือนว่าผมเปลี่ยนไป แต่ไม่ใช่ ผมแค่กลับไปเป็นอย่างเดิม ก่อนที่จะเข้าไปทักเขา ทำราวกับเขาไม่มีตัวตน แต่นั่นกลับกลายเป็นตัวเขาเองที่เหวี่ยงตัวเข้ามาหาวงโคจรของผม แล้วผมก็ถูกแรงดึงดูดมากมายมหาศาลจากตัวเขาฉุดรั้งให้เข้าไปใกล้

“จูบของฉันก็มีค่ามากเหมือนกัน”

สัมผัสที่แตะลงมาบนริมฝีปากของผม แผ่วเบา ความรู้สึกบางอย่างกำลังซึมลึกลงมาตามรอยประทับที่แนบชิดนั้นราวกับว่ามีน้ำหนัก ตัวของผมเบาหวิวเหมือนลอยอยู่บนพื้น ทั้งที่สติรับรู้ดีว่าร่างของผมกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ มันช่างขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิง แต่ผมก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าผมรู้สึกแบบนั้น

ตัวของผมลอยขึ้นช้าๆ...

หัวมึนตื้อ เหมือนกับมีเสียงวิ้งๆ ดังอยู่ในหู

ไม่รู้ว่านานแค่ไหน แต่แม้ว่าจะผ่านไปหลายวันแล้ว ผมก็ยังรู้สึกเหมือนยังรู้สึกถึงมันได้อยู่ตลอด ทุกครั้งที่หยิบบุหรี่ขึ้นแตะปาก ผมก็จะคิดถึงช่วงเวลานั้น

กราฟเข้ามาใกล้ผมมากขึ้น... มากขึ้นทุกที

และผมก็ยิ่งได้รับการดูแลจากเขามากขึ้นเท่านั้น เขาเป็นห่วงผมเสมอ เขาคอยช่วยเหลือ จนผมหยุดคิดถึงเขาไม่ได้

ผมกำลังขาดเขาไม่ได้...

ทว่าพระจันทร์ก็ยังคงเป็นพระจันทร์ ยังคงมีระยะห่างจากโลกเสมอ ต่อให้ใกล้กันเท่าไร ก็ต้องห่างกันไกลกันอยู่ดี และวันนั้นก็กำลังจะมาถึง ถึงมันจะเร็วไปสักหน่อย แต่บางทีมันอาจจะดีแล้ว

ผมและเขาต่างมีนัด เขามีนัดกับพี่ดาหลา ผมไม่รู้ว่าเขาจะพูดคุยกันเรื่องอะไร อาจเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ให้คืบหน้าไปมากกว่านั้น เพราะถึงช่วงหลังมานี้เขาจะอยู่กับผมบ่อยๆ แต่ก็ด้วยเพราะมีนิสัยประจำตัวที่ชอบห่วงคนไปทั่ว และผมก็ดันใช้ชีวิตได้น่าเป็นห่วงในความรู้สึกของเขามากไปก็เท่านั้น เขาจึงไม่สามารถทิ้งผมไปได้

ขณะที่ผมถูกลูกค้าจ้างให้ไปร่วมงานเลี้ยงวันเกิด ค่าตอบแทนก็ค่อนข้างดี เพราะเขาอยากให้ผมเทคแคร์เขาอวดเพื่อนๆ ซึ่งผมก็ปฏิบัติหน้าที่เป็นอย่างดี เอนจอยปาร์ตี้กันจนดึก มีดื่มผสมโรงไปบ้างประปราย แต่อาจจะเพราะโดนคะยั้นคะยอจากเจ้าของวันเกิดมากเกินไปสักหน่อย ผมจึงได้หมดสภาพ

ตื่นมาอีกครั้งผมอยู่ในห้องนอนของเธอแล้ว ส่วนเธอก็นอนอยู่ข้างๆ แต่ไม่มีอะไรเกินเลยเกิดขึ้น พวกเรายังอยู่ในชุดเสื้อผ้าครบถ้วน แม้ตอนแรกตื่นมาแล้วผมจะตื่นตะลึงไปสักหน่อย แต่เธอก็ยืนยันว่าไม่ทำอย่างนั้น ซึ่งผมก็ค่อนข้างมั่นใจว่าคำพูดของเธอเป็นจริง เพราะนอกจากพวกเราแล้ว ยังมีเพื่อนของเธออีกสองคนนอนอยู่บนเตียงร่วมกันด้วย ผมจึงขอตัวกลับ เพราะเห็นว่าเช้าแล้ว แต่เธอแนะนำว่าให้ผมอาบน้ำก่อนจะดีกว่า เนื่องจากว่าทั้งตัวมีแต่กลิ่นเหล้าคลุ้ง ออกไปข้างนอกทั้งอย่างนี้จะเสียลุคเสียเปล่าๆ ผมจึงยอมรับความหวังดีของเธอแต่โดยดี และเข้าไปอาบน้ำ

ทว่าเมื่อออกมาจากห้องน้ำ สิ่งที่ผมเห็นกลับทำให้ต้องตื่นตะลึงอีกครั้ง จนหลุดเสียงถามออกไป

[...เดี๋ยวจะได้บอกไนล์ไว้]

ผมไม่รู้ว่าปลายสายเป็นใคร อาจจะเป็นลูกค้า หรือ...

กราฟ

ชื่อนั้นดังก้องอยู่ในใจของผม และอยู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนตัวสั่นขึ้นมา ผมรู้ว่ามันเป็นเพียงแค่การอุปาทาน แต่กระนั้นก็ยังอดคิดไม่ได้ว่าเขาจะมีความคิดแบบไหน และทั้งสองคนได้คุยอะไรกันไปบ้าง คิดได้เท่านั้นผมก็ขอตัวกลับ และออกมาจากบ้านของลูกค้าเพื่อตรงไปยังแมนชั่นเก่าซอมซ่อของตัวเอง

ชื่อที่ปรากฏในรายชื่อคนโทรเข้าล่าสุดเป็นกราฟจริงๆ ผมได้แต่คิดว่าเมื่อพบหน้าเขาแล้ว ผมจะพูดอะไรเป็นอย่างแรก ควรจะนิ่งเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หรือเอ่ยปากบอกเขาก่อนดี ทั้งที่ยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่าตอนนี้เขาอยู่ที่แมนชั่นผมจริงอย่างที่คิดไว้หรือเปล่า แต่เพราะเขาเป็นคนแบบนั้น ผมจึงคิดว่าเขาต้องอยู่ อีกทั้งผมก็บอกเขาไปแล้วว่าคงกลับไม่ดึก

ตอนนี้เขาคงกำลังเป็นห่วงผมที่ไม่กลับไปเมื่อคืน ห่วงว่าผมไปนอนที่ไหน เป็นอะไรหรือเปล่าถึงกลับไปไม่ได้ ทั้งที่เหมือนจะตอบกึ่งๆ สัญญาเอาไว้แล้ว

เพราะเขาเป็นแบบนั้นถึงทำให้ผมรู้สึกร้อนรนอยู่ในใจเป็นครั้งแรก ทว่าเมื่อไปถึงห้อง สิ่งที่ตอบรับผมมันกลับตาลปัตรไปหมด คำพูดของเขา คำถามของเขา เหมือนมีดแหลมๆ กรีดเข้ามาในใจผม

ผมขายตัวใช่ไหม...

เพียงแค่นั้นผมก็รู้สึกตัวชา ทั้งที่ไม่มีอะไรจะเสีย แต่เมื่อได้ยินคำถามนี้จากเขา ผมกลับรู้สึกว่าเย็นสะท้านไปทั้งร่าง กลัวเขาจะมองผมอย่างเดียดฉันท์ทั้งที่ผมไม่จำเป็นต้องแคร์เขาขนาดนั้นก็ได้ เขาจะมองผมอย่างไร ก็เป็นเรื่องของเขา แค่เพียงผมสามารถทำให้เขาถอยห่างจากผู้หญิงคนนั้นอย่างที่วางแผนไว้ตั้งแต่ทีแรก เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว

แต่ผมกลับรู้สึกว่า... ผมไม่อยากให้เขาเข้าใจผิด

ผมรู้สึก...น้อยใจที่เขาไม่เชื่อใจผมเลย

ทั้งที่เขาก็น่าจะรู้จักผมดี หรือว่าจริงแท้แล้วเขาไม่เคยมองผมอย่างตรงไปตรงมาเลยสักครั้ง ไม่เคยมองตัวตนจริงๆ ผม แต่ที่ทำดีด้วยเพียงเพราะว่าเป็นความเคยชิน แค่การกระทำผิวเผินที่มีให้กับคนทุกคนบนโลกนี้

ยิ่งคิดก็เหมือนว่าผมกำลังตกลงไปในหลุมดำมืด เหมือนโดนแม่เหล็กอะไรสักอย่างที่ติดอยู่ก้นหลุมนั้นดึงดูดให้ยิ่งตกลึกลงไป แล้วในที่สุด ผมก็ทำอะไรที่ไม่ใช่ตัวเองลงไป

ร่างกายที่สอดประสานกันนั้นไม่ได้ทำให้ผมมีความสุขเลย แม้สีหน้าจะไม่ได้แสดงออกมา แต่ผมกลับรู้สึกปวดร้าวอยู่ในอก มันเหมือนจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ทุกจังหวะและน้ำหนักที่ถ่ายเทจากร่างของเขามาสู่ร่างของผมมันทำให้ผมยิ่งทรมาน

ผมเจ็บ...

ความรู้สึกร้อนที่ขอบตามันกลับมาอีกครั้งหลายจากผ่านไปหลายปี...ครั้งสุดท้ายคือตอนที่เสียมิ้นไป

ผมลุกขึ้นไปอาบน้ำ สายน้ำเย็นๆ ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นแม้แต่น้อย มีแต่จะทำให้ร่างกายของผมเย็นชืดมากกว่าเดิม ผมรู้สึกหนาวสะท้านจนแทบสั่นเยือก แต่ก็พยายามข่มความรู้สึกเหล่านั้นเอาไว้ให้ได้มากที่สุด ไล่เขาไปอาบน้ำแล้วหยิบแบงก์สีเขียวออกมาจากกระเป๋าเงินของเขา

ค่าตัวของผม...ช่างถูกจริงๆ

แต่มันก็เหมาะสมแล้ว สำหรับคนไร้ค่าอย่างผม

ผมก้าวเดินออกมาทั้งอย่างนั้นโดยไร้จุดหมาย ไม่รู้ว่าคนอย่างผมควรจะยืนอยู่ที่ไหนบนโลกแห่งนี้...

ไม่สิ ผมไม่มีโลกแล้วต่างหาก โลกของผม...สลายไปนานแล้ว เพราะแบบนั้นผมถึงไม่เคยมีที่อยู่เป็นของตัวเองจริงๆ ไม่มีที่พักพิงที่จะทำให้ผมมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ แม้กระทั่งกราฟ... คนที่ผมให้เขาเป็นเสมือนโลกที่ผมจินตนาการขึ้นมา เพื่อหลอกตัวเองว่ายังมีชีวิตอยู่ได้โดยการเฝ้ามองเขาเหมือนตัวเองเป็นพระจันทร์ มันก็กลับห่างออกไปทุกที

เพราะโลกใบนั้นมันไม่มีอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว

ผมทิ้งร่างลงบนพื้นหญ้า ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ที่ไหน ตั้งแต่ออกมาจากแมนชั่น ผมก็เดินไปเรื่อยๆ โดยไม่สนใจทิศทาง เมื่อยก็หยุดพัก หายเมื่อยก็เดินต่อ ทำแบบนี้ซ้ำๆ กันกี่ครั้งแล้วก็ไม่แน่ใจ ท้องฟ้าเปลี่ยนสีกี่ครั้งแล้วผมไม่ได้นับด้วยซ้ำ

แบงก์สีเขียวที่หยิบติดมือมาถูกล้วงออกมาราวกับเป็นของดูต่างหน้า

นี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมได้พบเขาแล้วก็ได้...

เมื่อคิดแบบนั้นผมกลับรู้สึกฝืดเฝื่อนในคอขึ้นมาทันที ลำคอแห้งผากจนไม่สามารถส่งเสียงออกมาได้

ผมดื่มน้ำครั้งสุดท้ายเมื่อไรกันนะ?

คำถามนั้นผุดขึ้นมาในหัวขณะที่ผมทอดมองดูแอ่งน้ำที่อยู่ตรงหน้า เหมือนที่นี่จะเป็นสวนสาธารณะหรืออะไรประมาณนั้นล่ะมั้ง

คิดพลางผมก็ขยับมือไปด้วย ตายังมองสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าอย่างเลื่อนลอยไร้จุดหมาย กระทั่งรู้ตัวอีกทีสิ่งที่อยู่ในมือก็แปรสภาพเป็นรูปหัวใจไปซะแล้ว

เหมือนมีอะไรทิ่มแทงอยู่ในอก มันมีขนาดใหญ่จนผมรู้สึกเจ็บพอดู พร้อมๆ กับความร้อนที่มาอออยู่ตรงขอบตา และอะไรสักอย่างเหลวๆ ไหลออกมา

อ่า... ผมรู้แล้ว

นี่คือความรัก




-------------------
จบแล้วค่ะ ชีวิตแสนรันทดของไนล์ แล้วก็เป็นการจบเรื่องนี้ด้วย
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามอ่านทั้งที่เรามองเห็นและมองไม่เห็นนะคะ
จะมีเรื่องใหม่มาค่ะ จะเปลี่ยนแนวไปสักหน่อย (?)

Undel2Sky

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-11-2015 19:23:16 โดย undersky »

ออฟไลน์ zuu_zaa

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2003
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +115/-1

ออฟไลน์ Wut_Sv

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 902
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-1
จบแล้วหรอเนี่ยยยยยยย ยังไม่อยากให้จบเลยอ่ะ  :o12: :o12: :o12:

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ ที่มีมาให้อ่านแล้วมีความสุข  :sad4: :sad4: :sad4:

อยากให้มีตอนพิเศษแบบ สวีทหวาน อีกสัก 2-3 ตอนจังเลย  :serius2: :serius2: :serius2:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-11-2015 13:35:00 โดย Wut_Sv »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ชีวิตไนล์น่าสงสารจัง เหมือนทั้งสองคนได้รับผลกระทบมาจากเหตุการณ์เดียวกันแล้วช่วยเยียวยากันและกันเลย
ขอบคุณคนเขียนมากค่ะ

 :pig4:   :pig4:   :pig4:

ออฟไลน์ Aumy8059yaoi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
 :o12: :o12: :o12: โฮ~ ไนล์น่าสงสารอ่าาาาาา
ยังไม่อยากให้จบเลยค่ะ อย่างน้อยขอตอนพิเศษมาเพิ่มความหวานให้คู่นี้หน่อยได้มั๊ยค่ะ???!! :call:
อย่างตอนที่ไนล์เปิดใจเล่าทุกๆเรื่องที่ตนเองพบเจอมา ทั้งมาเป็นสตอล์กเกอร์ได้ยังไงให้กราฟฟัง
อยากรู้จริงๆว่ากราฟจะทำหน้ายังไงนะ น้องน่าสงสารขนาดนี้ :hao5: :hao5:
ทั้งนี้ ทั้งนั้น ขอขอบคุณคนเขียนมากๆๆๆๆๆค่ะที่แต่งเรื่องราวสนุกๆแบบนี้มาให้อ่าน ได้แง่คิดเยอะเลยค่ะ
ขอบคุณจริงๆนะคะ :pig4: :pig4: :กอด1: :L1:

ออฟไลน์ kawisara

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1583
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-7
ไนล์ชีวิตหนู รันทดกว่าที่ป้าคิดมากนั๊ก







บางที พ่อกับแม่ที่เป็นแบบนี้ ก็ทำร้ายความสุขของลูกมากกว่าที่คิดนะ







ตอนนี้ หนูมีกราฟและการวาดภาพที่เป็นความสุขของหนูแล้วนะ






ซึมซับเอา ความสุขใว้เยอะๆ รับเอาความสุขไปทดแทนความทุกข์ในอดีตของหนู

ออฟไลน์ khuan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 353
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
ขอเพิ่มช่วงน้องมีความสุขอีกหน่อยได้มั๊ย  :กอด1:

ออฟไลน์ Kio

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 109
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
ชีวิตไนล์เศร้าจริงๆ ฮรืออออออออออออออออออ  :hao5:

แต่ไนล์เก่งจริงๆ นะ ที่หนีออกมาได้ จัดการอะไรเองได้หมด ทั้งๆ ที่ตอนนั้นอายุแค่นั้น

รักเจ๊ช็อกโก้ เจ๊เป็นแม่พระของจริงอะ นึกไม่ออกเลยว่าถ้าตอนนั้นไม่มีเจ๊ ไนล์จะแย่ขนาดไหน #รัก

ปล. อยากให้มีหวานๆ กลบสักตอนจังเลยค่ะ แง

ออฟไลน์ kiolkiol

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 337
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ Wut_Sv

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 902
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-1
คนเขียนเรื่องนี้มีผลงานอะไรอีกมั้ยครับ นอกจาก ภูยีน กราฟไนล์  :hao7: :hao7: :hao7:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด