บทที่ 6
บรรยากาศที่บ้านเงียบสนิทคนงานของม๊าป๋ากำลังทำหน้าที่ขนกระเป๋าเสื้อผ้าของผมขึ้นรถที่ม๊าส่งมารับ หลังจากออกจากโรงพยาบาลป๋าแค่เดินมาบอกกับผมว่าจะให้ย้ายไปอยู่บ้านใหญ่สักพักและหลังจากนั้นก็ไม่มีคำพูดอะไรที่หลุดออกมาจากป๋าหรือแม้กระทั่งผม ผมเดินลงมาจากห้องหลังจากที่สมศักดิ์ขนกระเป๋าใบสุดท้ายของผมลงมา ป๋ายังนั่งอ่านหนังสือวรรณกรรมฝรั่งอยู่ที่โซฟาด้านล่างผมได้แต่มองด้วยความหวังว่าป๋าจะเรียกผมหรือรั้งผมเอาไว้บ้างหรือเปล่า
"คุณไมล์ครับเหลืออะไรหรือเปล่าครับ"ผมปล่อยมือที่จับกรอบรูป ผมหันไปมองป๋าอีกครั้งแต่ทุกอย่างก็ยังคงอยู่ในความเงียบป๋าไม่ได้หันมามองตั้งแต่ที่ผมลงมา
"ไม่ละ ไปกันเถอะ"ผมเดินไปหยิบรองเท้าคูโปรดออกมาจากชั้นใส่เสร็จก็กำลังจะออกแต่ป๋าก็มาดึงมือผมไว้พร้อมกับยัดกล่องขนาดเล็กใส่มือผม
"หนู..อย่าไปเลยนะ"ผมเปิดกล่องดูก็พบว่ามันคือแหวนทองคำขาวมีเพชรฝังอยู่หนึ่งเม็ด ผมหันกลับมามองหน้าป๋าแต่ป๋าไม่หันมาสบตาผมเลยสักครั้ง มือผมกำแน่นและในวินาทีต่อมากล่องที่บรรจุของมีค่าก็ถูกผมปาลงกับพื้นอย่างไม่ไยดี
"ไปเถอะสมศักดิ์"ผมรีบเดินไปขึ้นรถและไม่ได้หันกลับไปมองด้านหลังว่าป๋ากำลังทำหน้ายังไง ผมแค่โกรธว่าทำไมถึงได้ให้แหวนเพรชกับผมทั้งที่คำพูดของป๋าเพียงแค่ไม่กี่คำก็ทำให้ผมอยู่กับเค้า แต่เค้าก็เลือกที่จะทำกับผมเหมือนทำกับคนอื่นหรือที่จริงแล้วผมก็เป็นคนอื่นสำหรับเค้าเสมอมา
หลังจากนั้นหนึ่งอาทิตย์ทางมหาวิทยาลัยก็ได้ส่งอาจารย์พิเศษคนใหม่มาสอนนักศึกษาป๋าแทบจะหายไปจากวงจรชีวิตของผมแต่เค้าก็คงไปโผล่ในวงจรชีวิตของคนอื่นแทน
"เอ้ามึงไหนว่าไม่ชอบนาฬิกาเรือนนี้ไง"เดือนทักเมื่อเห็นที่ข้อมือผมมีนาฬิกาพูม่าแทนที่จะเป็นนาฬิกาโรเล็กซ์แบบทุกที
"อันเก่ามันตายอ่ะ"เปล่าหรอกครับเรือนเดิมมันก็ยังเดินดีอยู่แต่ผมแค่อยากใส่อันนี้เพราะมันเป็นของเพียงอย่างเดียวที่ป๋าซื้อให้และผมยังเอามาด้วย
"ถ่านหมดหรือเปล่าแก"
"ไม่รู้ดิกูไม่ได้แกะออกมาดู"
"เออจริงด้วยกูลืมไปกูนัดนพไว้ที่ร้านหน้ามอแล้วนี้มึงจะไปหอสมุดใช่ป่ะ"
"เออมึงรีบไปเหอะเดี๋ยวกูไปเอง"ผมบอกลาเดือนที่รีบวิ่งแจ้นออกไป ส่วนผมก็เดินไปที่หอสมุด เดินเลือกหนังสือมาทำรายงานจนได้เล่มที่ถูกใจผมก็หยิบออกมาเปิดดู
ตุ้บ!
หนังสือตกลงพื้นเพราะผมถูกชนอย่างกะทันหันกำลังจะหันไปเอาเรื่องคนที่ชนแต่ผมก็ต้องชะงักเมื่อเห็นว่าคนนั้นคือป๋า สภาพป๋ายังดีอยู่ไม่ได้โทรมเป็นคนบ้าเหมือนในละครป๋ายังดูปกติป๋ามองหน้าผมนิ่งไม่กระพริบตาแต่ผมไม่ได้มองกลับ ชั่วพริบตาป๋าดึงผมเข้าไปกอดแน่นแต่ผมไม่ได้กอดตอบเพราะกำลังอึ้งอยู่ หลายวันที่เราไม่ได้เจอกันจนเกือบลืมไปแล้วว่าคนตรงหน้านี้มีตัวตนทำให้ใจผมเต้นรัว ป๋าผละออกจากผมอย่างอ้อยอิ่งเค้าก้มลงไปหยิบหนังสือผมไม่เข้าใจว่าทำไมป๋าถึงทำแบบนี้ทั้งที่ตอนผมออกมาทำเหมือนไม่แคร์กันเลยแต่ทำไมตอนนี้ถึงทำเหมือนต้องการผม
"หนู.."ผมยังยืนนิ่งไม่ขยับไปไหนและไม่พูดอะไรออกมา ผมสบตาป๋าอยากรู้ว่าตอนนี้เค้ากำลังคิดอะไรอยู่แต่ผมก็อ่านมันไม่ออก ป๋าก้มลงมาหาผมแต่ไม่รู้ทำไมผมถึงได้ถอยหนีออกมาทั้งทีไม่มีทางไหนให้ไปแล้ว ผมเบือนหน้าหนีจมูกป๋ามันปฎิกิริยาอัตโนมัติเลยครับ ผมหลับตาปี๋มือไม้สั่นเทาไปหมดผมรับรู้ได้ถึงลมหายใจของป๋าที่เป่ารดหน้าผม สัมผัสอุ่นๆแตะลงที่หน้าผากผมป๋าจูบหน้าผากผมพร้อมกับยัดหนังสือใส่มือผมแล้วเดินออกไป ผมกอดหนังสือไว้กับตัวแน่นได้แต่มองตามหลังป๋าไป
"พี่เพชร.."เสียงของผมมันดังไม่พอให้เค้าหยุดป๋าเดินห่างออกไปในขณะที่ผมได้ยืนนิ่งอยู่กับที่ ผมเดินมาหาที่นั่งและพยามที่จะรวบรวมสมาธิกับหนังสือปกแข็งที่อยู่ตรงหน้า
"วันนี้ไปทำอะไรมาที่มหาลัยเหรอ"มารติถามทันทีที่ลูกชายโผล่หน้าเข้ามาในห้อง พชรถอนหายใจก็รู้ว่ามารดาสายเยอะแต่ก็ไม่คิดว่าจะรู้เรื่องเร็วขนาดนี้
"ไปเก็บของ"พชรเดินอ้อมหลังมารดามานั่งที่เก้าอี้
"ม๊าว่าจะไปดูทำเลที่ต่างจังหวัดหน่อย อยู่ทางนี้ก็ฝากดูแลบริษัทด้วยละ"
"แล้วม๊าจะไปกี่วัน"
"สักสามวันมั้ง ถ้าไม่มีอะไรคลาดเคลื่อน เดี๋ยวม๊าไปก่อนละกันเห็นว่าฝ่ายบัญชีหัวหมุนกันน่าดู"
"หวัดดีครับม๊า"มารติรับไหว้ลูกชายแล้วเดินออกไป พชรได้แต่อมยิ้มกับตัวเองในที่สุดฟ้าก็ส่งโอกาสมาให้เขา เขาจะได้มีโอกาสได้ใกล้ชิดพันไมล์และต่อให้ต้องปืนบ้านตัวเองเขาก็ยอม
Rrr
"หวัดดีครับ"
-สวัสดีดีค่ะพี่พชร นี่นิดนะค่ะ-ชายหนุ่มร้องอ่อ พลางคิดถึงนิตยาเฟรชชี่น้องใหม่ของมหาลัยที่เขาทำงานอยู่นิตยาเป็นหญิงสาวเพียงคนเดียวที่เขาคุยแต่เรื่องงานไม่มีส่วนเอี่ยวทางด้านชู้สาวแต่ก็ไม่รู้ว่าพันไมล์จะคิดไปถึงตรงไหนเพราะพักหลังๆที่พันไมล์มาหาก็ต้องเจอเขาอยู่กับนิตยาโดยตลอด
"อ่อครับว่าไงครับ"
-คือนิดจะโทรมาถามว่าแหวนที่พี่พชรสั่งทำใส่พอดีมั้ยค่ะ คือนิดกลัวว่ามันจะไม่พอดีอ่ะค่ะ-
"ไม่รู้สิครับ"เขาตอบ พลางมองไปที่กล่องกำมะหยีสีเข้มที่คนที่เขาตั้งใจให้ปามันทิ้งอย่างไม่ไยดีแต่เขาก็ไม่คิดจะโกรธอะไรพันไมล์เลยเพราะเขาสมควรได้รับมันแล้ว สิ่งที่พันไมล์ทำมันยังเทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่เขาละเลยพันไมล์มาตลอด ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าลึกๆ
"คือนิดไม่มีอะไรใช่มั้ยครับ พอดีผมติดงานไม่สะดวกคุยนะครับ"
-อ่อขอโทษที่รบกวนนะค่ะ-
"ครับไม่เป็นไรครับ"พชรวางสาย เขาโยนโทรศัพท์ไว้ให้ไกลสายตามือยังถือกล่องเจ้ากรรมแกว่งไปมา หนทางที่เคยคิดว่าจะเรียบง่ายและสวยงามทุกสิ่งทุกอย่างที่วาดฝันเอาไว้พังลงกับตาด้วยมือของตัวเองด้วยการกระทำของตัวเอง
เสียงฟ้าร้องดังมาเป็นระลอก ผมปิดประตูปิดหน้าต่างแล้วรีบเข้านอนแต่หัววัน ฝนที่ทำท่าจะตกตั้งแต่บ่ายมาถึงเวลานี่ก็ตกลงมาแค่ปรอยๆเท่านั้น ผมเลิกผ้าห่มขึ้นแล้วสอดตัวเข้าไปด้านใน หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูแต่ไม่รู้ทำไมผมถึงได้กลับไปอ่านหน้าแชทที่เคยคุยกับป๋าคงเพราะไม่มีป๋ามานอนกอดแบบทุกคืน ไม่มีเสียงที่คอยกระซิบเบาๆก่อนหลับผมเองก็เพิ่งจะรู้ว่าตัวเองโหยหาความรู้สึกแบบนั้นอีกครั้ง
ก๊อก ก๊อก
ผมมองไปที่ประตูช่องว่างด้านล่างไม่ปรากฏเงาใดๆ ผมเดินไปที่หน้าต่างบานใหญ่ที่เพิ่งจะปิดไปเมื่อกี้ เงาสีดำพาดผ่านมาผมขยับเท้าถอยหลังอัตโนมัติกำลังคิดอยู่ว่าเมื่อกี้ผมได้ลงกลอนหน้าต่างหรือเปล่าแต่มันก็ไม่ทันให้วิ่งไปปิดแล้วคนที่อยู่ภายนอกเหมือนจะหาลูกบิดหน้าต่างได้แล้ว ผมหันหลังเตรียมตัวจะวิ่งถ้าไม่มีมือเย็นๆมาดึงแขนผมไว้สักก่อน
"ไมล์"
"พี่เพชร!"ตัวผมถูกดึงเข้าไปกอดอีกครั้ง ไอเย็นที่ส่งผ่านมาที่ผมทำให้ผมสอดมือเข้าไปกอดร่างของพี่เพชร มือพี่เพชรตรึงร่างผมเอาไว้กับอกเค้าริมฝีปากเย็นเฉียบประทับลงที่หน้าผากผมหลายครั้ง บ้านหลังใหญ่ที่กว้างขวางทำให้ผมอ้างว้างมากกว่าเดิมและสิ่งที่เติมเต็มผมก็มีแค่เขาคนนี้เท่านั้น
"เช็ดตัวก่อนนะ"ผมส่งผ้าขนหนูให้
"ทำไมไม่เข้าทางประตูละ"
"ไม่อยากให้ม๊ารู้"ผมแอบยิ้ม ทั้งที่ภายนอกเหมือนคนแข็งกร้าวขนาดนั้นไม่น่าเป็นคนกลัวแม่เลย ผมกำลังลุกขึ้นไปหยิบเสื้อให้พี่เพชรเปลี่ยนแต่ก็โดนดึงไว้พี่เพชรสบหน้าลงกับหน้าท้องผมห่างกันไม่แค่กี่อาทิตย์ทำไมถึงได้ติดกอดขนาดนี้นะ ผมยกมือขึ้นลูบหัวพี่เพชรเบาๆแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป
"เพชรจะเอาไมล์กลับคืนมาจากม๊าให้ได้ เพชรจะเลิกเจ้าชู้เพชรจะทำตัวดีๆจะไม่ทำให้ไมล์เสียใจอีกดีมั้ย"ผมเงียบได้แต่สบตาคนที่มองมา พี่เพชรสบตาผมไม่กระพริบตานี่เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าเค้าจริงจังกับคำพูดของตัวเอง ผมยกมือขึ้นลูบหน้าพี่เพชรเบาๆ
"อื้ม..อย่ายอมแพ้นะ"ผมยิ้ม พี่เพชรจับมือผมมาจูบเบาๆแค่เพียงจูบเบาๆที่ปลายนิ้วแต่มันเหมือนเป็นคำมั่นสัญญาระหว่างเรา