บทที่ 28 รถสีดำจอดเทียบลงกับรั้วบ้านคนรัก ก่อนที่ร่างใหญ่ของกีรติจะเดินลงมาพร้อมถุงน้ำตาลในมือ ดวงตาเรียวหรี่มองประตูที่เปิดทิ้งไว้อย่างไม่มั่นใจ
“พะภู!” ร้องเรียกเสียงดังพลางก้าวขายาวๆเข้าไปด้านในบ้าน ประตูทุกบานถูกปลดไว้ ภายในไม่มีใครขานกลับแม้แต่เสียงเดียว กองเอกสารของพะพายยังคงตั้งอยู่บนโต๊ะตัวเตี้ยหน้าโซฟาคล้ายกับว่าไม่ได้ตั้งใจจะหายไปอย่างนั้น...นี่มันเรื่องอะไร!?
“พะภู! พะพาย!...บ้าชิบ”
ติ๊ด ติ๊ด
เสียงข้อความจากโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ขณะกำลังร้อนใจ ติรีบควักออกมาเปิดดูก็ปรากฏเป็นข้อความภาพจากเบอร์ที่ไม่เคยบันทึกไว้ แต่ก็พอจำได้ว่าเป็นเบอร์ของใคร
ภาพถูกฉายขึ้นมาบนหน้าจอ เห็นพะภูกับพะพายกำลังถูกมัดด้วยเชือกเส้นหนา นั่งพิงเสาผุๆอยู่ภายในสถานที่ร้างแห่งหนึ่ง ดูท่าท่างไม่มีสติทั้งคู่ ฉากหลังมองเห็นกลุ่มคนจำนวนไม่น้อยกำลังยืนรายล้อมพร้อมอาวุธเต็มมือ แนบมาด้วยข้อความสั้นๆเชิงคำสั่งให้เขาไปหาเพียงลำพัง ไม่อย่างนั้นก็คงไม่อาจรับรองความปลอดภัยของตัวประกันได้
“ไอ้เหี้ยเอ๊ย!!” มือใหญ่กดปิดภาพนั้นลงพลางกำโทรศัพท์แน่น ติรีบสาวเท้ากลับไปขึ้นรถอย่างคนเดือดจัด รีบมุ่งตรงไปยังห้างร้างแห่งหนึ่งใกล้ๆกับวิไลวิทย์ เขาประมาทมากเกินไปที่คิดว่าไอ้ตัวการในคราวนี้จะยอมรามือไปแล้ว
ขณะที่สายตายังคงจับจ้องไปที่ถนนเบื้องหน้าซึ่งแออัดไปด้วยรถรามากมาย ซึ่งไม่ได้สะทกสะท้านกับสกิลการขับรถแบบทรามๆของเขาเท่าไร นิ้วเรียวก็เอื้อมไปกดปุ่มโทรหารุ่นน้องในกลุ่มอย่างรวดเร็ว พร้อมเปิดลำโพงจนเสียงต่อสายดังก้องไปทั่วทั้งคัน สักพักอีกฝ่ายก็รับสายพร้อมกรอกเสียงงัวเงียกลับมา
(ฮัลโหล ครับ)
“ไอ้นิว เรียกรวมตัวทุกคนด่วน”
(ครับ?)
“พะภูถูกไอ้แจนจับตัวไป!”
(ห๊ะ!!) เสียงแบบคนเพิ่งตื่นหายไปทันทีที่ได้ยิน และดูเหมือนรุ่นน้องตัวเล็กจะอุทานออกมาดังมากไปหน่อย ถึงปลุกร่างใหญ่ข้างๆตัวให้ตื่นขึ้นมารับรู้เรื่องราวอีกคน
(คุยกับใครอะ..)
(หวะ! พ..พี่ติ! ว่ายังไงนะครับ แล้วคราวนี้จับไปที่ไหน?)
นิวรีบกลอกเสียงแสบแก้วหูผ่านสัญญาณโทรศัทพ์เข้ามาอย่างลนลาน ทำเอาคนกำลังขับรถถึงกับขมวดคิ้วมุ่น จากที่หงุดหงิดอยู่แล้ว ก็ยิ่งอารมณ์ไม่ดีเข้าไปอีก ไม่รู้ว่านิวเป็นบ้าอะไรหรือทำอะไรอยู่ถึงได้ดูวุ่นวายแปลกๆ แถมยังได้ยินเสียงคุ้นหูของใครอีกคนดังลอดออกมาอีกต่างหาก คุ้นมากจนแทบไม่กล้าเดา
“ที่เดิม แต่คราวนี้มันมีอาวุธ และขู่ให้ฉันไปคนเดียว”
(คนเดียว!? ไม่ไหวมั้งครับ พี่ติรอพวกเร..)
“นายจะให้ฉันรอได้ยังไง!?”
(อึ่ก.. ข ขอโทษครับ ถ้าอย่างนั้นผมจะรีบตามเข้าไปช่วยทันที)
“ไม่ ฉันจะให้พวกนายรออยู่ในจุดที่ปลอดภัย พอฉันช่วยพะภูออกมาได้แล้ว ถึงเข้าไปเก็บกวาดไอ้เวรนั่น)
(อะไรกันครับ แน่ใจได้ยังไงว่าพี่ติไปคนเดียว แล้วมันจะไม่ทำอันตรายพะภู)
“เรื่องนั้นฉันไม่รู้ แต่ถ้าฉันไม่ทำตามมันสั่ง พะภูก็ต้องไม่ปลอดภัยแน่อยู่แล้ว”
(แต่ว...)
สายจากหัวหน้ากลุ่มถูกตัดไปอย่างรวดเร็วจนไม่ทันได้พูดต่อ นิวรีบโยนมือถือตัวเองเข้ากระเป๋าสะพายหนังแท้ที่พาดอยู่บนเก้าอี้ภายในห้องนอนขนาดใหญ่ ก่อนจะพรวดพราดลุกขึ้นจากเตียงทั้งที่ร่างกายเปลือยเปล่า แสงแดดอ่อนๆส่องผ่านหน้าต่างเข้ามากระทบผิวเนื้อสีขาวละเอียด ก่อนจะถูกบดบังด้วยกางเกงยีนส์สีซีดบนพื้น คนตัวเล็กหันไปออกปากเสียงจริงจังกับผู้ชายอีกคนบนเตียงยับย่น
“พี่ศิลป์แต่งตัวเร็วครับ พะภูถูกไอ้แจนจับไป”
“ว่าไงนะ!”
พอได้ยินแบบนั้นก็ถึงกับร้องอ๋อกับท่าทีร้อนรนของนิวในตอนนี้ ก่อนที่ศิลป์จะเด้งตัวออกจากที่นอน ตรงไปคว้าเสื้อกับกางเกงขึ้นสวมใส่อย่างว่องไว มือใหญ่คว้ามือถือขึ้นกดโทรออกหาเกต์ และสมาชิกคนอื่นๆในกลุ่มที่ยังเหลืออยู่ เพราะดูเหมือนหลายคนจะบินไปพักผ่อนช่วงปิดเทอมตามต่างประเทศกันเสียเกือบหมด
ทางด้านติซึ่งเหยียบคันแร่งปาดหน้ารถคันอื่นๆมาตลอดทาง ก็มาถึงจุดหมายด้วยความเร็วไม่กี่นาที ที่หน้าประตูกลวงๆซึ่งเคยถูกเขาฟากท่อนไม้เข้าใส่ครั้งหนึ่ง ถูกกั้นไว้ด้วยเด็กนักเรียนใต้บัญชาการของคู่อริชื่อแจน
“หลบไป”
ติว่าเสียงต่ำ ก่อนที่ทุกคนจะรีบขยับตัวออกห่างจากบริเวณประตูตามแรงกดดันที่แผ่ออกมาจากผู้มีอิทธิพลคนนี้ ปล่อยให้เขาเดินเข้ามาประชันหน้ากับเจ้าของข้อความอย่างง่ายดาย แจนยกยิ้มขึ้นอย่างไร้ความเกรงกลัว บนใบหน้าเปรอะไปด้วยแผลน้อยใหญ่ที่ได้จากการหาเรื่องต่อยตีกับกลุ่มนักเลงต่างๆภายในเมือง
“ตัวประกันคนเดิม แต่ทำไมคราวนี้หน้าซีดเชียว ไม่เห็นทำกร่างเหมือนก่อนหน้านี้เลยนะ...ไอ้ติ”
แจนโยนมือถือตัวเองส่งให้ลูกน้องใกล้ๆ และค่อยสาวเท้าเข้ามาท้าทายติอย่างวายร้าย ดูเหมือนว่าแจนจะรู้ทันเรื่องราวในคราวนี้ดี ตั้งแต่ข่าวการคบกันของติกับพะภูแพร่กระจายออกไปทางโลกออนไลน์ เขาก็ตามสืบเรื่องของเด็กธารวิทยาคนนี้อย่างละเอียดตั้งแต่วันแรกที่โผล่หน้ามายังวิไลวิทย์ จนมั่นใจว่านี่แหละคือจุดอ่อนของกีรติในปัจจุบัน และครั้งนี้เขาก็จะไม่พลาดอีกแล้ว
“มึงต้องการอะไรก็บอกมา”
มือหนากำแน่นจนเส้นเลือกปรากฏขึ้นชัดเจน ต้องพยายามควบคุมน้ำเสียงให้เรียบเข้าไว้ ทั้งที่สายตาดุดันกำลังจับจ้องไปยังเบื้องหลังของกำแพงมนุษย์ตรงหน้า เห็นร่างของพะภูกับพะพายที่นั่งสงบนิ่งลอดออกมาจากระหว่างขาของพวกลูกน้องไอ้แจน ในมือมีทั้งมีดสั้น ท่อนไม้ และราวเหล็กกันเกือบทุกคน
“ง่ายมากก มึงก็แค่ก้มกราบขอร้องกูเท่านั้นเอง” รองเท้าขัดมันจงใจเหยียบลงตรงพื้นด้านหน้า ก่อนแสยะยิ้มพอใจ ท่ามกลางเสียงหัวเราะซุบซิบจากคนอื่นๆ
“ไอ้...แ..”
“ถ้ามึงขอร้องกูดีๆ รับรองว่าเด็กมึงปลอดภัย”
แจนไม่สนใจท่าทีเดือดจัดของติ ซึ่งดูคล้ายกับกาน้ำที่เตรียมระเบิดเต็มทีแล้ว คิ้วสองข้างขมวดเข้าหากันจนแทบเป็นโบ เส้นเลือดปูดขึ้นบนขมับและกำปั้นยิ่งเสริมให้ภาพของชายคนนี้ยิ่งดูน่ากลัว ถึงอย่างนั้นกลับต้องสะกดกลั้นความโกรธทั้งหมดไว้จนอวัยวะในร่างกายต้องสูบฉีดอย่างหนัก ติกัดฟันกรอดพร้อมพ่นลมหายใจรุนแรงออกมา ทันทีที่เห็นแจนหันหลังกลับไปนั่งลงตรงหน้าพะภูซึ่งยังคงสลบไม่ได้สติ
มือสากฟาดลงบนแก้มซ้ายขวาของเด็กผู้ชายตัวเล็ก ไม่นานนักเปลือกตาหนักอึ้งก็ค่อยๆลืมขึ้น พร้อมรับความรู้สึกมึนตื้อในหัว พะภูกระพริบตาถี่ๆสองสามที่พอให้สายตาคุ้นชินกับทิวทัศน์เบื้องหน้า พอเห็นแจนกับลูกน้อง รวมทั้งติที่ยืนแข็งเป็นหินอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ก็ถึงกับแผดเสียงดังลั่น
“พี่ติ!!!” ร่างบางรีบประมวลผลและลำดับเหตุการณ์ทั้งหมด ก่อนจะใช้เท้าเขี่ยไปยังร่างของผู้หญิงข้างๆ สักพักพะพายก็เริ่มได้สติขึ้นมาอีกคน พร้อมกรีดร้องด้วยความตกใจระคนหวาดกลัว
“ไอ้ติ” แจนลุกขึ้นว่าเสียงทุ้มต่ำ พลางก้าวเท้ากลับไปยืนอยู่ระหว่างร่างสูงของติ กับ ตัวประกันอ่อนเปลี้ยทั้งสองคนด้านหลัง ลูกน้องทั้งหมดเริ่มกระจายตัวกันออกไปตามจุดต่างๆรอบบริเวณ “กราบตีนกูสิ แล้วทุกอย่างจะจบ”
“ห๊า?...พี่ติ! อย่านะ!” พะภูรีบร้องบอก ก่อนจะกวาดสายตาไปรอบๆให้ชัดเจนอีกครั้ง นี่มันบ้าอะไร ทำไมเขาถึงมาที่นี่แค่คนเดียว และคงบ้ายิ่งกว่าถ้าคนอย่าง กีรติ อัครโภคิน จะยอมก้มหัวให้ใครง่ายๆ เพื่อปกป้องคนอย่างเขา
ติทำท่าจะก้าวขาเข้าไปหาต้นเสียง แต่ก็ถูกพวกแจนสกัดไว้ทันที ตอนนี้เขาสับสนไปหมด น้ำเสียงเยาะเย้ยของแจน กับเสียงร้องจากพะภูมันตีกันจนวุ่น ไม่มั่นใจว่าตอนนี้กำลังรู้สึกอะไรอยู่ ทั้งเกลียดทั้งโกรธไอ้เหี้ยตรงหน้า แล้วก็ทั้งห่วงเด็กด้านหลังโน่น
เม็ดเหงื่อชุ่มไปทั่วทั้งตัวด้วยแรงกดดันมหาศาล บวกกับความเครียดที่เริ่มไต่ระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ ติรีบสะบัดลูกน้องของแจนให้ออกห่าง พร้อมส่งเสียงฮึดฮัดอย่างคนเดือดจัด สายตามาดร้ายราวกับจะฆ่าให้ตาย จับจ้องตรงไปยังใบหน้ากวนส้นของแจนอยู่สักพัก ขณะที่เสียงของพะภูยังคงดังลอดเข้ามาภายในโสตประสาทตลอดเวลา
“ห้ามนะพี่ติ! พี่ไม่จำเป็นต้องทำขนาดนั้น!”
คำพูดของพะภูไม่ผิดเลย คนอย่างกีรติ อัครโภคิน หัวหน้ากลุ่มนักเลงที่ใหญ่ที่สุดในย่าน แถมยังเป็นถึงลูกชายเจ้าของบริษัทอาหารและเครื่องดื่มอันดับต้นๆของประเทศ จะต้องมาก้มหัวกราบเท้าใคร มันใช่เรื่องที่ไหนกัน ศักดิ์ศรีของทั้งตระกูลและตัวเขาที่สั่งสมมาจะเอาไปโยนทิ้งไว้ไหนล่ะแบบนั้น!?
“เร็ว! หรือต้องให้เมียมึงกับพี่สะใภ้มึงเสียโฉมซะก่อน?”
“เชี่ยแจน ห้ามทำอะไรสองคนนั้น!”
ติคำรามลอดไรฟันอย่างเดือดดาล เมื่อเห็นแจนกำลังจะตั้งท่าหันไปกลับหาคนถูกจับ พะพายได้แต่เงียบราวกับถูกสาป ขณะที่พะภูก็เอาแต่ตวาดซ้ำไปซ้ำมาเหมือนคนเสียสติ ทั้งที่ตัวเองจะโดนอะไรบ้างก็ไม่รู้ ยังเป็นห่วงศักดิ์ศรีแทนเขาอยู่ได้ ดวงตากลมโตของคนรัก บัดนี้กลับหม่นหมองพร้อมทั้งหยดน้ำที่ค่อยๆเอ่อขึ้นมา ช่างเป็นภาพที่บีบหัวใจเขามากเกินไป...
มากเกินไปแล้ว...
แค่คิดว่าเขาจะต้องเจอกับอะไรบ้าง หลังจากที่ยอมกราบเท้าคู่อริกะโหลกกะลานี่ ก็ปวดหัวมวนท้องจนแทบสำรอกให้ตายคาที่ เขาจะทนแบกหน้าแบกชื่อสกุลต่อไปยังไง ในเมื่อใครๆก็คงเอาแต่นินทา ถึงกีรติผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งครั้งหนึ่งยอมศิโรราบให้กับไอ้กระจอกจากโรงเรียนเล็กๆ ความเข้มแข็งและน่าเกรงขามของกลุ่มกีรติที่เขาสร้างขึ้นมา ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นที่ใครจะเอามาบดขยี้ได้ง่ายๆแบบนี้ เพราะไม่เคยยอมใคร ถึงทำให้เขาไม่เคยแพ้ ความคิดที่จะให้คนอย่างเขาก้มหัวให้ คงเป็นได้แค่ความฝันปัญญาอ่อนของพวกหมาขี้เรื้อนเท่านั้น
.
.
.
ตราบเท่าที่เขายังไม่รู้จักความรักที่ชื่อ พะภู น่ะนะ!!
“พี่ติ!!!” พะภูตะโกนออกไปจนสุดเสียง พร้อมปล่อยให้น้ำตามันไหลออกมาอย่างคุมไม่ได้ ภายในใจถูกบีบรัดและเจ็บปวดเมื่อเห็นติค่อยๆชันเข่าข้างหนึ่งลงไปกับพื้น ท่ามกลางสายตาเย้ยหยันและสนุกสนานของไอ้พวกนักเลงไม่มีระดับ พะพายเองแม้จะส่งเสียงอะไรไม่ออก แต่ก็ตกใจกับภาพตรงหน้าไม่แพ้กัน ในเมื่อคนที่ยึดติดกับอำนาจบ้าบอรวมทั้งศักดิ์ศรีที่กินไม่ได้อย่างกีรติ ตอนนี้กลับยอมลดตัวลงมาเกลือกกลั่วในแผนตื้นๆเสียได้
ติพยายามส่งสายตาไปให้พะภูเพื่อบอกให้สงบใจ เขาไม่เป็นไรหรอก เพราะคิดแล้วว่า...สิ่งที่ตัวเขาในตอนนี้จะยอมสูญเสียไปไม่ได้ ก็คือพะภูเท่านั้น
เขาค่อยๆทิ้งตัวลงคุกเข่าต่อหน้าแจนซึ่งกำลังยักยิ้มอย่างพอใจ พลางเลื่อนรองเท้าสกปรกมาจ่อใกล้ๆ ได้แต่หัวเราะในลำคอให้กับความบ้าของตัวเอง ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงไม่สนใจไอ้สิ่งที่เรียกว่า ความปลอดภัยของตัวประกันพรรค์นี้หรอก คงได้ยกพวกเข้าตะลุมบอนกันยกใหญ่ ถ้าไอ้ลูกน้องหรือผู้หญิงคนไหนที่พลาดโดนจับตัวมา โชคดีหน่อยก็รอดไป แต่ถ้าโชคร้ายก็อาจจะได้แผลบ้างไม่มากก็น้อย แต่ช่างปะไร แค่ไม่ตายเขาก็ไม่แคร์อยู่แล้ว แค่ได้กระทืบไอ้พวกเหี้ยนี่แล้วทำให้เรื่องมันจบก็พอ
แต่คราวนี้มันไม่ใช่ มันไม่เหมือนกัน ตัวประกันไม่ใช่ใครต่อใครที่เขาจะเพิกเฉยไปได้ นี่คือคนรักที่เขารักจริงๆ คนรักหนึ่งเดียวที่กลายมาเป็นจุดอ่อนชิ้นโตของเขา... ตอนนี้สิ่งที่ต้องสนใจ มีแค่ความปลอดภัยของพะภู ไม่ใช่ความเป็นกีรติ หรือแม้แต่ความเป็นอัครโภคิน ถึงได้ต้องยอมอดกลั้นความโกรธที่ใกล้ปะทุออกจากอกเต็มที ถ้าเป็นเรื่องของเด็กคนนี้ในตอนนี้...เขาไม่กล้าจะเสี่ยงกับอะไรทั้งนั้น
“พี่ติ อย่าทำแบบนี้!!”
คนตัวสูงทำเป็นไม่ได้ยินเสียงกรีดร้องของคนรัก พลางปิดตาลงและกัดปากแน่น พยายามสะกดอารมณ์ที่กำลังเดือดพล่านภายในร่างกายเอาไว้ แม้จะเจ็บใจที่ต้องทำเรื่องแบบนี้ แต่นี่คือหนทางที่จะช่วยให้พะภูปลอดภัย เขาถึงต้องทำ! ต้องทำ ทั้งๆที่รู้ดีว่า หลังจากนี้อาจต้องจมลงสู่ความรู้สึกผิดต่อตัวเอง และการสูญเสียความนับถือเชื่อใจจากใครต่อใครไปอีกนาน
แต่ถ้าจะเกิดอะไรขึ้นกับคนคนนี้ เขาเองก็ทนไม่ได้เหมือนกัน...
“กราบกู ติ” แจนเร่งพลางเลื่อนเท้าเข้าไปใกล้กว่าเดิม ติเม้มปากแน่น มือทั้งสองทั้งกำหมัดจนเส้นเลือดปูดชัด สายตาว่างเปล่าตอนนี้ดูน่ากลัวและน่าเห็นใจยิ่งกว่าครั้งไหน จนพะภูถึงกับต้องเบือนหน้าหนี ไม่อาจมองภาพของคุณชายนักเลงผู้ยิ่งใหญ่ ที่ต้องมาโดนเหยียบย่ำศักดิ์ศรี และถูกกดดันจนหมดสภาพถึงขนาดนี้
ศีรษะของติค่อยๆก้มลงไปยังเบื้องล่าง ช้าๆ.....
ช้า...ช้า...
“อ๊ากกก!!”
เสียงหวีดร้องของหนึ่งในลูกน้องแจนดังขึ้น ทำให้ทุกคนต้องรีบหันไปมองยังด้านหลัง พบว่าเด็กผู้ชายเจ้าของผิวขาวซีดกับผมสีน้ำตาลอ่อนกำลังถือเครื่องช็อตไฟฟ้าไล่จี้พวกถืออาวุธทีละคนทีละคน พร้อมทั้งกลุ่มวัยรุ่นคุ้นหน้าคุ้นตาอีกสิบกว่านายที่เริ่มกระจายตัวกันออกไปจัดการพวกของแจนด้วยมือเปล่า ดูช่ำช่องและเชี่ยวชาญการต่อสู้มากจนเริ่มได้เปรียบในเวลาเพียงไม่กี่นาที หลังจากแอบลอบเข้ามาจากด้านหลังห้างฯ
“ไอ้เวร!!” แจนคำรามอย่างโกรธจัด ตั้งท่าจะพุ่งเข้าไปหาตัวประกันทั้งสองซึ่งยังคงขยับร่างกายไม่ได้ แต่ไม่ทันได้ทำตามใจ ก็ถูกรั้งไว้ด้วยมือใหญ่ของติเสียก่อน
หัวหน้ากลุ่มกีรติใช้มือข้างหนึ่งปัดเศษฝุ่นออกจากกางเกง ก่อนจะปล่อยหมัดลุ่นๆออกไปปะทะกับใบหน้าเรียวของอริตัวแสบ ตามด้วยการจับทุ่มลงกับพื้นปูนของตัวห้าง และต่อยเข้าใส่อีกอย่างไม่ยั้งมือ ท่ามกลางเสียงตะลุมบอนรุนแรงจากทุกฝั่ง แจนที่ตามไม่ทันค่อยๆตาปรือด้วยความจุก ก่อนที่ติจะลุกขึ้นฝังส้นรองเท้ามันเงาลงไปกลางหน้าผากของร่างแน่นิ่งบนพื้น กดขยี้จนร่างข้างใต้หวีดร้องออกมาไม่เป็นภาษาพลางดิ้นขลุกขลักอย่างทรมานเต็มทน
“พี่ติ พอแล้ว!” ยังไม่ทันสาแก่ใจ มือเล็กของใครบางคนก็ตรงเข้ารั้งตัวเขาไว้ก่อน ติตวัดสายตากลับไปตามเสียงคุ้นหู และรีบผละตัวออกจากแจนเข้าหาพะภูทันที
“พะภู!”
ทั้งสองคนรีบสวมกอดกันและกันอย่างโหยหา จนไม่ทันสังเกตว่าบรรยากาศรอบข้างเริ่มสงบลงแล้วตามลำดับ กลุ่มกีรติเพียงกลุ่มเดียวสามารถจัดการกับพวกนักเลงติดอาวุธของแจนได้อย่างราบคาบ ไม่ต่างอะไรกับฟิล์มม้วนเก่าที่เคยเล่นไปแล้วครั้งหนึ่ง
“พะภู มานี่”
เสียงของผาดังขึ้นเรียกให้พะภูหลุดออกจากภวังค์ เมื่อหันไปเห็นสายตาจริงจังของคนที่เหลือ จึงยอมผละตัวออกจากติอย่างเชื่องช้า ก่อนที่เกต์กับศิลป์จะสาวเท้าเข้าไปฝากหมัดหนักๆลงกับใบหน้าเรียวของหัวหน้ากลุ่มตัวเองกันคนละที โดยมีผาคอยปิดปากไม่ให้พะภูส่งเสียงร้องโวยวายออกไป
“ไอ้พวกเวร! ทำอะไรวะ!?” ติรีบยันตัวเองลุกขึ้นหลังจากที่ล้มลงไปด้วยแรงต่อย ตั้งท่าจะเข้าไปหาเรื่องเพื่อนสนิททั้งสอง แต่กลับถูกหยุดไว้ด้วยคำพูดแดกดันของเกต์
“มึงสิไอ้เวร! ไม่เชื่อใจพวกกูหรือไง!?”
“กล้ามากสินะ บุกเข้ามาหาศัตรูคนเดียวแบบนี้” ศิลป์เสริมทัพขึ้นทันที สายตาดูโกรธเคืองและผิดหวังไม่ต่างจากคนอื่นๆ “พวกกูทุกคนห่วงพะภูไม่น้อยไปกว่ามึงหรอก แต่มึงรู้ไหม ว่าพวกกูก็ห่วงมึงเหมือนกัน!”
“พะภู บอกสิว่านายไม่ได้เอาหัวใจไอ้บ้านี่ไปอย่างเดียว แต่เอาสมองไปด้วยใช่ไหม!!”
เกต์หันมาเอาเรื่องพะภูซึ่งกำลังพูดไม่ออกเพราะโดนผาจับปิดปาก จนได้แต่แสดงความรู้สึกผ่านทางแววตาที่สับสนและมึนงงเท่านั้น
“ถ้ามึงคิดสักนิด มึงก็จะรู้ว่า มันง่ายมากในการจัดการไอ้พวกกระจอกนี่ โดยที่ไม่ทำให้พะภูเป็นอันตรายแม้รอยเล็บ อย่างเช่นที่ไอ้กัสวางแผนไว้เมื่อกี้” เกต์ยังคงว่าต่อไป พร้อมทั้งโยนความดีความชอบไปทางรุ่นน้องซึ่งกำลังก้มหน้าขยับแว่นตัวเองอย่างไม่ใส่ใจนัก
“อะไรวะ ก็ตอนนั้นกูตกใจอะ กูทั้งเป็นห่วงทั้งกังวล...แล้วก็กลัวด้วย มึงเข้าใจไหม กูจะเสี่ยงให้พะภูเป็นอันตรายไม่ได้”
“ด้วยการมองข้ามประสิทธิภาพของลูกน้องตัวเองไปเลยงี้ สัตว์! กูเกลียดมึงห้าวิ!”
“ไอ้เกต์ มึงกลับมาได้ละ” ศิลป์ทำท่ากวักมือเรียก เมื่อเห็นว่าเกต์ชักจะพูดจานอกออกประเด็น และเริ่มเข้าข่ายไร้สาระ
“ช่างเถอะครับ ยังไงเรื่องก็จบแล้ว ตอนนี้เราออกไปจากที่นี่ดีกว่า” ผายอมปล่อยมือออกจากพะภูในที่สุด และเป็นฝ่ายเตือนสติให้ทุกคนทราบ ว่านี่ไม่ใช่สถานที่ไว้คุยเล่น
ศิลป์ประกาศทิ้งท้ายให้ทุกคนไปเจอกันที่ร้านอาหารร้านหนึ่งเพื่อเคลียร์ทุกเรื่องวันนี้ ก่อนจะแยกย้ายกันไปขึ้นรถของตัวเอง โดยมีนิวติดสอบห้อยตามมาอยู่เบาะหลังของรถติด้วยอีกคน เพราะถูกย้ำให้คอยดูแลสภาพจิตใจของพะพายให้ดี เนื่องจากเป็นคนเดียวที่ไม่เคยประสบเหตุการณ์เชิงนี้มาก่อน และดูท่าว่าจะตกใจไม่ใช่น้อยเลย
คนเก๋งสีดำค่อยๆเคลื่อนตัวออกจากบริเวณห้างร้างแห่งนี้ ระหว่างทางเต็มไปด้วยความเงียบอันชวนอึดอัด จนเมื่อพะภูส่งเสียงออกมา
“พี่ติ...วันหลังไม่เอาแบบนี้แล้วนะครับ”
“อะไร?”
“จะยอมก้มหัวให้ใครง่ายๆได้ยังไง!” พะภูหันไปขึ้นเสียงใส่จนที่กำลังตีหน้าเครียดมองตรงไปยังถนนเบื้องหน้า
“แต่ฉันทำเพื่อนายนะ”
“ก็นั่นแหละ ต่อไปห้ามนะครับ ผมทนเห็นพี่อยู่ในสภาพนั้นไม่ได้ ร้องไห้เลย..” คนตัวเล็กพูดเสียงอ่อยพลางทำแก้มป่องอย่างเด็กๆ ติค่อยๆชะลอความเร็วรถเมื่อมาถึงไฟแดงตรงทางแยก ก่อนจะหันไปเชยคางพะภูให้กลับมาเผชิญหน้าตนอีกครั้ง
“ที่ฉันยอมเพราะเห็นนายสำคัญที่สุดยังไงเล่า เพราะงั้นก็ไม่เห็นต้องร้องไห้เลย สู้เก็บน้ำตาไว้ร้องตอนอยู่บนเตียงยังดีกว่า”
“อะแฮ่ม!” ไม่ทันที่พะภูจะได้โต้กลับ เสียงกระแอมไอที่จงใจขัดก็ดังแทรกขึ้นมาจากด้านหลัง เมื่อเงยหน้ามองกระจกก็พบว่าพะพายกำลังส่งสายตาคมกริบมาให้ จนไม่กล้าพูดอะไรต่อ ผู้หญิงหนึ่งเดียวในนี้เริ่มเอ่ยปากพูดบ้าง หลังจากสงบจิตใจจากเหตุการณ์เมื่อครู่ได้มากแล้ว
“นายติ”
“ห..หะ?”
“ขอบใจมากนะ”
“หื้อออ!?” คนตัวใหญ่ส่งเสียงอย่างไม่เชื่อหู พะพายที่เอาแต่จิกกัดเข้ามาตลอด ยอมพูดว่าขอบใจเนี่ยนะ นี่เรียกว่าการพัฒนาแบบก้าวกระโดดได้รึเปล่า
พะภูหันหลังไปส่งยิ้มให้พี่สาวตัวเอง และไม่ลืมมอบยิ้มสดใสแบบเดียวกันให้คนข้างๆ ติเองก็หลุดยิ้มกว้างแบบที่ไม่ได้เห็นบ่อยนักออกมา พร้อมเอื้อมมือเข้าไปกุมมือพะภูไว้แน่น รถทั้งคันกลับสู่ความเงียบซึ่งต่างออกไป ก่อนที่เสียงใสเสียงเดิมจะดังขึ้นอีกครั้ง
“ต่อไปนี้ ก็ฝากดูแลน้องชายฉันด้วย”
รอยยิ้มทั้งสี่ระบายขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงกัน พอดีกับที่ไฟจราจรถูกสลับไปยังดวงสีเขียวสุกสว่าง เป็นสัญญาณแห่งการขับเคลื่อนไปข้างหน้า ท่ามกลางความอบอุ่นที่โอบล้อมไปทั่วทั้งคันรถ
---------------------------------------
บอกแล้วว่ายังไม่ดราม่าหรอก ;w;
ช่วงนี้หวานแหวว เยิฟๆ มาก
ถ้ายังไงขอคอมเม้นเป็นกำลังใจให้กันสักนิดนะคะ
เผื่อมีแรงปั่นนิยาย จะได้ไม่ดอง 5555
ขอบคุณนักอ่านทุกๆคนเลยนะคะ ! 