บทที่ 22 ‘นะครับ...’
แค่พูดออกมาคำเดียว ก็สามารถทลายกำแพงของเด็กชายพะภูลงได้ในเสี้ยววินาที ไม่ยุติธรรมเลย! อยากรู้จริงๆว่าใครสั่งใครสอนวิธีอ้อนแบบนั้น สาบานได้ว่าถ้ากีรติไม่มีดีกรีเป็นนักเลงใหญ่โต ก็คงมีชื่อติดในอันดับคาสโนว่าตัวพ่อเป็นแน่!
โดนขโมยหอมไปฟอดใหญ่ไม่พอ ยังถูกบังคับให้นอนกอดกันตลอดทั้งคืน ไอ้เตียงในห้องนั้นก็แคบได้ใจเหลือเกิน ทำเอาเขากับติแทบจะรวมเป็นเนื้อเดียวกันอยู่แล้ว แต่อย่างน้อยต้องถือว่าโชคดี ที่ติยังพอเกรงใจเจ้าของบ้านอยู่บ้าง จนไม่กล้าทำอะไรเกินเลยกว่านั้น
“วันนี้ปู่ยัยฟางจะลงมาหา ลุงคงต้องไปดูแลเขาหน่อยนะ” ลุงยศพูดขึ้นทำลายความเงียบบนโต๊ะอาหาร ฟางดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ตามประสาหลานที่ห่างญาติมานาน ไม่รู้คิดถึงคุณปู่ หรือคิดถึงขนมของเล่นที่แกมักจะซื้อมาฝากกันแน่
“เพราะงั้นคงต้องขอฝากบ้านด้วย”
“วางใจเถอะครับ ฝากทักทายคุณปู่ด้วย”
ลุงยศยิ้มกว้าง แต่คงไม่เท่าเด็กผู้ญิงข้างๆซึ่งกำลังอมยิ้มมองเขากับติสลับไปมาอย่างมีเลศนัย ทันทีที่ลุงยศลุกขึ้นเอาจานข้าวไปเก็บ พะภูก็ได้ฤกษ์ออกปากเอาความกับน้องสาวตัวแสบ
“ยิ้มอะไรหึ ยัยฟาง”
“ความจริงเมื่อคืน หนูตั้งใจเอาผ้านวมมาให้ แต่ได้ยินอะไรแปลกๆ เลยไม่อยากรบกวน...”
พูดไปยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไป ทำเอาคนฟังถึงกับสะดุ้ง แก้มสองข้างร้อนผ่าวขึ้นมา ได้ยินอะไรแปลกๆเนี่ยหมายถึงอะไร!? นี่อย่าบอกนะว่าฟางรู้เรื่องความสัมพันธ์ของเขากับติเรียบร้อยแล้ว ตายละหว่า แบบนี้จะทำเด็กเสียคนไหม!
“บะ..บ้า! ได้ยินอะไรของเรา?” พะภูยังคงพยายามทำเนียนต่อ ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าไม่ทันการเสียแล้ว ในขณะที่อีกฝ่ายกลับเอาแต่นั่งยิ้มกริ่มอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไร
“จะให้พูดจริงๆเหรอ..?”
พี่ชายตัวบางแยกเขี้ยวใส่ก่อนทำท่าจุ๊ปาก ไม่ยอมให้พูดอะไร พอดีกับที่พ่อของตนเดินกลับมาคว้าหนังสือพิมพ์บนโต๊ะไปอ่าน ฟางอาสายกจานข้าวทีเหลือของคนอื่นๆไปล้าง จนเมื่อใกล้สาย เจ้าของบ้านทั้งคู่ก็เตรียมตัวออกเดินทาง
“ตามสบายเลยนะ มีอะไรก็โทรมาแล้วกัน”
“ครับ เดินทางดีๆนะครับ”
ลุงยศพยักหน้ายิ้มแย้ม ก่อนเดินไปสตาร์ทรถรอลูกสาวที่ยังเอาแต่จ้องหน้าแขกไม่ได้ตั้งใจทั้งสอง ยัยฟางตัวดีดึงแขนเสื้อของติลง กระซิบอะไรบางอย่างไม่ให้อีกคนได้ยิน ไม่ทันจะต่อว่าอะไรก็รีบแจ้นขึ้นรถออกไปเสียแล้ว ทำให้เขาต้องหันมาเอาเรื่องร่างโปร่งข้างๆแทน
“ยัยฟางพูดอะไรครับ?” ติอมยิ้ม เอื้อมมือไปปิดประตูบ้าน ก่อนเดินเข้ามาประชิดคนถาม
“น้องบอกว่าอย่ารุนแรง”
“หา!?”
สิ้นเสียงกระซิบ ติก็รวบเอวบางยกขึ้นสูง พะภูรีบร้องโวยวายพลางทุบไหล่คนอุ้มหนักๆ ถึงอย่างนั้นมืออีกข้างกลับรวบท้ายทอยคนตัวใหญ่เอาไว้แน่น ติกระชับแขนแกร่งขึ้นก่อนเอื้อมมือไปหมุนลูกบิดห้องนอนเมื่อคืนให้เปิดออก โยนคนตัวเล็กลงกับเตียงจนก้นระบม
“โอ้ย พี่ติ ทำอะไ...อุ๊บ!!”
ยังพูดไม่ทันจบ ก็ถูกกดราบลงไปกับฟูกนิ่ม ริมฝีปากอมส้มบดขยี้ลงมาดูดกลืนทุกซุ้มเสียงอย่างไม่ให้ตั้งตัว ยิ่งพยายามผลักอกกว้างตรงหน้าออกไป กลับยิ่งเพิ่มความเร่าร้อนของรสจูบที่ได้รับ อะไร!? ไหนว่าไม่รุนแรงไง!
ม..ไม่ ไม่ใช่ดิ! จะรุนแรงหรือไม่รุนแรงก็ไม่ได้ทั้งนั้น!!
“พ..พี่…อื้อ!”
กึก
“โอ้ยย!!” กีรติรีบผละตัวออกจากปากบาง สีหน้าหงุดหงิดบ่งบอกถึงความโมโหร้ายเต็มทน ไอ้เด็กนี่! เดี๋ยวนี้กล้าดีถึงขั้นกัดลิ้นเขาแล้วใช่ไหม
คนตัวสูงยกมือขึ้นกดริมฝีปากบวม ใบหน้ากระตุกไปตามอารมณ์โกรธ หากแต่ว่ากลับไม่กล้าแม้แต่จะลงมืออะไร เพราะข้างหน้านี้คือผู้ชายที่เขาสัญญากับตัวเองหนักแน่นแล้วว่า...จะไม่ยอมให้จากไปอีก พะภู นายแน่มาก ทำให้คนอย่างเขาศิโรราบได้ทั้งๆที่เลือดกำลังขึ้นหน้าแบบนี้
“ข..ขอโทษครับ แต่ว่า...ผม ผมยังไม่พร้อม” คนตัวเล็กเอ่ยเสียงสั่น สายตาเสมองไปทางอื่นด้วยท่าทีหวาดหวั่น
“.....อ่า ฉันขอโทษ”
ติส่งเสียงไม่พอใจในลำคอ แต่ก็ยอมย้ายตัวออกไปจากร่างเล็กข้างใต้ พะภูรีบฉวยโอกาสนี้พาตัวเองลุกขึ้นนั่ง ขาสองข้างขยับออกห่างจากคนจู่โจ่มเมื่อครู่ทันทีตามสัญชาตญาณ ทั้งคู่ปล่อยให้ความเงียบทำหน้าที่ของมันต่อไปอีกสักพักโดยไม่หันหน้ากลับมามองกันอีก...คนเด็กกว่าชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง จึงเริ่มขยับตัวกลับเข้าไปนั่งข้างๆ แขนเล็กโอบรอบเอวเป็นคลื่นของติอย่างกล้าๆกลัวๆ นัยน์ตากลมโตช้อนขึ้นมองร่างสูงพลางตีสีหน้าเหมือนเด็กๆ
“รอให้ผมพร้อมก่อนนะครับ...”
เข้ามากอดแบบนี้ ทำหน้าทำตาแบบนี้ แล้วยังน้ำเสียงนี่อีก คิดว่าเขามีความอดทนมากเท่าไรกัน แค่ต้องฝืนตัวเองไม่ให้จับคนข้างกายเข้ามาจูบทุกครั้งที่เห็นหน้ามันก็แย่พอแล้ว นี่กลับมาขอให้รอ รอโดยที่ไม่มีคำใบ้ถึงเส้นชัยเลย ตั้งใจจะทรมานให้ตายทั้งเป็นชัดๆ!
“เฮ้อ..” ได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ พลางพยักหน้าอ้อยอิ่ง ปล่อยให้เจ้าของมือเล็กๆไชศีรษะเข้ากับต้นแขนด้วยท่าท่างดีใจระคนโล่งอก เอาเถอะพะภู คราวนี้เขาจะยอมปล่อยไป...
แต่ถ้าพร้อมเมื่อไร จะทำให้ลุกไม่ขึ้นอีกเลย คอยดู!
กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง
เสียงกดกริ่งถี่รัวดังขึ้นจากหน้าบ้าน พะภูค่อยๆผละตัวออก หันมองหน้าติเป็นเชิงสงสัย คนตัวใหญ่เพียงแค่ยักไหล่และปล่อยให้คนรักเป็นฝ่ายเดินออกไปต้อนรับแขกปริศนา เดาว่าอาจจะเป็นคนรู้จักของลุงยศก็ได้
“ครับๆ”
พะภูรีบขานตอบพร้อมเอื้อมมือไปบิดลูกบิดให้เปิดออก ปรากฏเป็นภาพผู้ชายตัวสูงใหญ่กลุ่มหนึ่ง สองคนด้านหลังสวมเสื้อกล้ามสีขาวแบบเดียวกัน หน้าตาโหดเอาเรื่อง กล้ามเป็นมัดๆสีแทนเด่นชัดจนแทบทะลุสายตาออกมา ผิดกับเจ้าของผิวขาวอมเหลืองตรงกลางในชุดเสื้อเชิ้ตยี่ห้อดัง ผมสีน้ำตาลเข้มถูกเซตเข้าทรงอย่างเช่นผู้ชายวัยรุ่นทั่วไป ดวงตาคมกริบก้มลงมองเขาอย่างไร้อัธยาศัย
“นายยศอยู่ไหน?” น้ำเสียงส่อแววประสงค์ร้ายดังขึ้นจากปากสีส้มธรรมชาติตรงหน้า คนไม่รู้เรื่องเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนตั้งคำถามกลับไป
“พวกคุณเป็นใคร?”
“เฮ้ย! คุณชุนถามว่านายยศอยู่ไหน”
ผู้ชายในเสื้อกล้ามคนหนึ่งพูดเสียงดัง ท่าทางอยากมีเรื่องเต็มทีแล้ว แต่อย่างน้อยก็ทำให้เขาพอเดาข้อมูลบางอย่างได้บ้าง คนตรงกลางท่าทางคุณชายคงจะชื่อชุน ส่วนสองคนด้านหลังไม่แคล้วเป็นพวกลูกน้องขาใหญ่ แบบนี้เห็นทีจะเจอกับพวกนักเลงเมืองตราดเข้าให้แล้ว แต่ที่น่าสงสัยก็คือ...ลุงยศไปข้องเกี่ยวอะไรกับไอ้พวกนี้
“ลุงยศไม่อยู่ แล้วพวกนายมีอะไร?” คนตัวเล็กวางท่า ไม่แสดงสีหน้าเกรงกลัวใดๆ ถ้าแค่นักเลง...ทางนี้เองก็มีอยู่คนหนึ่งเหมือนกัน
“หึ คงจะไม่รู้เรื่องสินะ คนนี้คือคุณชุน ลูกชายคนเดียวของเสี่ยพิชัย เจ้าหนี้รายใหญ่ของนายยศยังไงเล่า!”
“ว่าไงนะ!?”
เมื่อกี้ไอ้พวกกล้ามปูมันพูดว่า เจ้าหนี้ อย่างนั้นใช่ไหม! นี่มันเรื่องอะไรกัน ลุงยศขัดสนเรื่องอะไร และมากเท่าไรกัน ถึงขนาดต้องไปกู้หนี้ยืมสินจากไอ้เศษเดนพวกนี้ ทั้งๆที่น่าจะรู้อยู่แล้วว่าพวกเจ้าหนี้นอกระบบมันน่ากลัวขนาดไหน...ทั้งที่รู้ดีขนาดนั้นแท้ๆ!
“ถึงเวลาชำระหนี้แล้ว”
ลูกน้องอีกคนขยับเท้าผ่านหน้าเจ้านายตัวเองเข้ามาในตัวบ้าน รอยยิ้มชั่วร้ายระบายอยู่บนใบหน้าโหด น่ากลัวมากพอจะทำให้เขาถึงกับเซถอยหลัง ทันทีที่ได้ยินคำว่าเจ้าหนี้ ร่างกายมันก็สั่นเทาไปเอง ความทรงจำในอดีตต่างหลั่งไหลเข้ามาในหัวสมอง ราวกับฆ้อนที่จงใจตอกย้ำซ้ำแผลเก่าซึ่งยังไม่หายสนิท มือสองข้างยกขึ้นกดขมับ ดวงตากลอกซ้ายขวาอย่างคนใกล้เสียสติ
“ถ้านายยศไม่อยู่ แกก็ไปเอาเงินมา”
“ย..อย....อย่า...”
เสียงแหบพร่าเปล่งออกไปอย่างยากลำบาก แขนข้างหนึ่งกำลังถูกลูกน้องของนายชุนรั้งขึ้นสูงจนตัวเกือบลอย ภาพในปัจจุบันถูกซ้อนทับด้วยแผ่นฟิล์มจากอดีต ยิ่งกระตุ้นความกลัวที่หลบซ่อนอยู่ให้ทะลักออกมา พะภูที่ว่าเก่งกล้าบ้าบิ่นนักหนา แพ้แค่เรื่องตรงหน้านี้เอง...
เจ้าหนี้ที่เคยพรากชีวิตของพ่อแม่ตัวเองไป
เจ้าหนี้ที่เคยจับเขาไปขังไว้ในสถานที่ที่เรียกว่านรก
เจ้าหนี้...ไม่ว่าจะใครต่างก็เลวร้ายพอกัน!! ความน่ากลัวในคืนนั้นไม่อาจจลบเลือนออกไปจากสมองและหัวใจได้เลย ทั้งกลัว ทั้งเกลียด ทั้งโกรธ ทั้งชัง คับแค้นฝังลึกมาจนถึงตอนนี้
สติสตังเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัว หูสองข้างอื้ออึงไม่รับรู้ถึงคำพูดมากมายจากนักเลงตัวโต มีน้ำใสๆรื้นขึ้นมาบนขอบตาซึ่งกำลังเบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนก เป็นอีกครั้งที่เสียงปืนและหยดเลือดในวันนั้นย้อนคืนกลับมาชัดเจนอีกครั้ง หลังจากที่ไม่ได้คิดถึงมันมานาน
“เฮ้ย ปล่อย”
เสียงเย็นเยียบจากด้านหน้าประตูดังขึ้น ทำให้มือสากที่เกาะกุมแขนพะภูไว้ต้องรีบปล่อยออกแทบไม่ทัน รองเท้าหนังอย่างดีค่อยๆเยื้องย่างเข้ามาในบ้าน หยุดลงตรงหน้าเด็กที่กำลังทรุดตัวลงกับพื้น มือข้างหนึ่งเอื้อมมาพยุงร่างบางเอาไว้ได้ทัน ก่อนโน้มตัวเข้ามาใกล้
“นายชื่ออะไร?”
ดวงตากลมโตไหวระริก ปากบางเม้มสนิทด้วยทั้งโมโหและหวาดกลัวในคราวเดียวกัน แต่เมื่อรู้สึกได้ถึงแรงบีบที่เพิ่มขึ้นบริเวณต้นแขน จึงยอมเผยอปากออกเล็กน้อย
“พ..พะภู”
“พะภู...เป็นอะไรกับนายยศงั้นเหรอ?”
“ฉันเป็นญาติของลุงยศ พวกแกคิดจะทำอะไร!?” ร่างบางพยายามควบคุมสติทั้งหมดไว้ เท้าสองข้างช่วยกันยันตัวเองให้ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง
“ไม่ต้องกลัว พวกเราก็แค่มาเก็บเงินที่ลุงนายยืมไปเท่านั้น”
“เท่าไร?” ถึงจะยังตกใจและแปลกใจอยู่มากกับการรู้ว่าลุงยศไปกู้เงินอันธพาลท้องถิ่นพวกนี้ แต่ก็ทำได้แค่เก็บคำถามทั้งหมดเอาไว้ในใจ ยังไงตอนนี้คงต้องจัดการเรื่องตรงหน้า และไล่ไอ้พวกบ้านี่ออกไปซะก่อน
“ลุงนายใช้คืนมาพอตัวแล้วล่ะ วันนี้แค่มารับก้อนสุดท้ายไป ตามที่ตกลงกันไว้ก็...หนึ่งแสนบาท”
“หนึ่งแสน!!?”
“ใช่ นายรีบติดต่อลุงนายให้เอาเงินมาเลยดีกว่า จะได้จบๆกันไปไง” ชุนว่าเสียงเรียบ มือที่รั้งต้นแขนของพะภูไว้จนถึงเมื่อครู่ค่อยๆเลื่อนมาอยู่บริเวณข้อมือ เกาะกุมแน่นซะยิ่งกว่าเดิม
“อึ่ก...”
เงินตั้งหนึ่งแสน จะบ้าหรือยังไง! นี่ลุงยศมีปัญหาอะไรกันแน่ ทำไมต้องใช้เงินมากมายขนาดนี้ แล้วที่บอกว่าใช้คืนไปพอตัวแล้ว แปลว่าจำนวนเต็มยังมากกว่านี้อีกงั้นเหรอ ปัญหาที่เขาเชื่อว่าพะพาย หรือแม้แต่ยัยฟางก็คงไม่รู้ แต่ในเมื่อมันมาอยู่ต่อหน้าของพะภู เขาก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องช่วยลุงยศทุกทาง ช่วย...ให้เหมือนกับตอนที่ถูกช่วยไว้ แต่ประเด็นก็คือ จะทำยังไงล่ะ เขาไม่ได้มีเงินก้อนโตแบบนั้นสักหน่อย และดูท่าว่าไอ้พวกนี้จะไม่ยอมไปไหนง่ายๆจนกว่าจะได้รับค่าใช้หนี้คืนซะด้วยสิ
“หรือจะแลกด้วยอะไรอย่างอื่นดี...?” ใบหน้าพะภูกระตุกเกร็งทันทีที่ชุนเริ่มขยับตัวเข้ามาใกล้ มือข้างหนึ่งบีบข้อมือเขาไว้แน่น อีกข้างพักลงตรงแถวสะโพกมน น่าสะอิดสะเอียนยิ่งขึ้นด้วยสายตากะลิ้มกะเหลี่ยแบบที่นึกเกลียดนักหนา
ให้ตายสิ! นอกจากจะเป็นพวกเจ้าหนี้น่าโหดแล้วยังโรคจิตจนน่ารังเกียจอีก... กีรติ ช่วยสะกิดใจแล้วเดินออกมาช่วยเขาซะทีเถอะ!!
กร็อบ
“อ๊าก!!”
นายชุนร้องลั่นท่ามกลางสายตาตกอกตกใจจากลูกน้องทั้งสอง แขนข้างที่รวบข้อมือพะภูไว้ถูกใครอีกคนตรงเข้าบิดรุนแรงจนได้ยินเสียงเคลื่อนตัวของกระดูก เจ้าของร่างโปร่งด้านหลังรีบฉวยโอกาสนี้ คว้าตัวพะภูให้ถอยกลับมาซบลงกับอกกว้าง พลางสบถเสียงเย็นเยียบ
“อย่าเอามือสกปรก มาแตะต้องคนของกู”
“พี่ติ!”
“เห็นออกมาตั้งนานแล้ว นี่มันเรื่องอะไรกัน?” ติตั้งคำถาม สายตามาดร้ายพุ่งตรงไปยังผู้ชายทั้งสาม ท่าทีน่าเกรงขามทำเอาพวกแขกไม่รับเชิญถึงกับหน้าซีด ไม่กล้าแม้แต่ขยับตัว ชุนลูบข้อมือตัวเองเบาๆพลางว่าเสียงแข็ง
“นายยศติดเงินพวกเราหนึ่งแสน ไปเอามา!”
ติเลิกคิ้วขึ้นสูง ก้มหน้ามองพะภูที่เอาแต่ส่ายหน้าน้อยๆ มือใหญ่ผลักให้คนรักเข้าหลบด้านหลังตน ก่อนจะควักกระเป๋าเงินออกมาจากกางเกง ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์แต่ดูเหมือนแค่ให้เงินไปก็คงจบสินะ ไม่อยากทำให้เป็นเรื่องใหญ่ด้วยสิ
“ตอนนี้มีเท่านี้ แต่เดี๋ยวจะไปกดเงินทีเหลือมาให้” แบงค์พันปึกใหญ่ถูกดึงออกมาจากกระเป๋าหนังเนื้อดี ชุนรีบคว้าเอาไว้ก่อนส่งให้หนึ่งในลูกน้องเอาไปนับ
“สามหมื่นครับ”
“เหอะ เอางั้นก็ได้ แล้วพรุ่งนี้ฉันจะมาใหม่ เตรียมเงินเอาไว้ให้ดีล่ะ”
เงินก้อนนั้นถูกส่งคืนให้ชุนที่ยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้ถอยกลับ เมื่อพวกคนแปลกหน้าเดินพ้นประตูบ้าน ร่างของพะภูก็ทรุดลงกับพื้นทันทีด้วยความเหนื่อยอ่อนระคนโล่งใจ ติรีบเบี่ยงตัวกลับประคองคนตัวเล็กเอาไว้ ก่อนจะอุ้มเข้าไปพักในห้องนอน
“เป็นอะไร พวกมันได้ทำอะไรนายรึเปล่า?”
คนตัวสูงเอ่ยปากถามอย่างเป็นห่วง สีหน้าของพะภูตอนนี้ทำเขาใจไม่ดีเอาซะเลย แต่สิ่งที่ตอบกลับมาก็มีเพียงคำว่าไม่เป็นไรเท่านั้น ท่าทางหวาดกลัวแบบนี้จะไม่เป็นไรได้ยังไง เด็กชายพะภูผู้ไม่เคยกลัวทำไมกลายเป็นแบบนี้ล่ะ มีอะไรที่เด็กนี่ไม่ได้บอกเขางั้นเหรอ ไม่สิ..จะว่าไปแล้ว เขาไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับตัวพะภูเลยด้วยซ้ำ...
“พี่ติ ผมไม่เป็นไรจริงๆ แค่ตกใจครับ”
คำแก้ตัวที่ฟังไม่ขึ้นเลยยิ่งทำให้คนตัวใหญ่อดคิดมากไม่ได้ ถึงอย่างนั้นก็ยอมพยักหน้าเข้าใจโดยดี กีรติเอื้อมมือปัดเส้นผมที่ปรกหน้าของคนบนเตียงออก ก่อนก้มลงจูบเน้นบนหน้าผากเพื่อถ่ายทอดกำลังใจ พะภูยิ้มรับ พลางส่งมือข้างหนึ่งให้ติกุมเอาไว้ ค่อยๆหลับตาลงช้าๆ
ไม่เป็นไรหรอก... ถ้ามีคนคนนี้อยู่ก็ไม่เป็นไร...
------------------------------------------
ช่วงนี้ดองงานทุกอย่าง มานั่งปั่นนิยายรัวๆ
ขอบคุณทุกๆคนที่เข้ามาอ่านนะค้า
ถ้ายังไงคอมเม้นเป็นกำลังใจให้กันด้วยเน้อ <3
ป.ล. ช่วงนี้พี่ธรหลบฉากก่อนน้า ปล่อยให้สองคนได้สวีทกันบ้าง