บทที่ 10 “พะภูนี่มันอะไร? นายรู้จักธรด้วยเหรอ?” เกต์คาดคั้นเสียงดัง จนพะภูถึงกับหงอ ไม่เคยเห็นเขาแสดงสีหน้ากราดเกรี้ยวแบบนี้ต่อหน้าตัวเองมาก่อน
“แล้วนี่นายรู้จักไอ้พวกนี้ด้วยเหรอ เป็นอะไรกัน?”
ธรเป็นอีกคนที่หันมาเอาความ ไม่รู้ว่าควรจะตอบคำถามใครก่อน และควรจะพูดว่ายังไง แต่ไม่ทันจะคิด เกต์ก็เป็นคนตอบให้เสร็จสรรพ มีความเหนือกว่าแฝงอยู่ในน้ำเสียงนั้น
“พะภูเป็นเด็กของติ มึงอย่ามายุ่ง!”
พูดจบก็เข้าไปผลักธรให้ออกห่าง ก่อนจะคว้าตัวพะภูมาส่งต่อให้ศิลป์ดูแล ติเพียงแค่เหลือบสายตาเรียบเฉยลงมามองเท่านั้น ลูกน้องของธรทำท่าจะพุ่งเข้าใส่ แต่ยังดีที่เจ้านายยกมือขึ้นห้ามไว้ก่อน แววตาน่ากลัวเพ่งตรงไปยังคนตัวเล็กที่ได้แต่ยืนทำอะไรไม่ถูก
“ไว้พบกันใหม่แล้วกันนะ พะภู”
สิ้นเสียงธร ลูกน้องคนหนึ่งก็รีบวิ่งไปเปิดประตูรอ ไม่นานนักรถคันหรูก็ขับออกไปจนลับสายตา ศิลป์ดันหลังพะภูให้เดินตามไปที่รถเก๋งสีเงินวาว ตัวเองรีบไปประจำที่ที่นั่งคนขับ และปล่อยให้คนตัวเล็กนั่งบนเบาะหลังข้างๆติ พอเจอสถานการณ์เมื่อครู่เข้าไป ก็หมดอารมณ์จะกลับไปทำงานแล้วล่ะ
“อธิบายมาหน่อยสิ ว่านายรู้จักธรได้ยังไง รู้จักมานานรึยัง สนิทกันมากไหม มาทำอะไรที่นี่ แล้วเมื่อกี้กำลังจะไปไหน” ทันทีที่รถออกตัว คำถามมากมายจากเกต์ก็ถูกรัวเข้าใส่ ทำเอาเบลอไปหลายวิ
“เอ่อะ...คือมันไม่มีอะไรเลยนะครับ ผมแค่มาทำงานพิเศษที่ร้านฮิคาริ ส่วนพี่ธรก็มาเป็นลูกค้า เพิ่งเคยเจอกันวันนี้เอง แล้วอยู่ดีๆผมก็ถูกลากออกมาจากร้าน ยังงงๆอยู่เลย ว่าแต่.. พวกพี่ก็รู้จักกันหรอครับ?”
“ไอ้ธรเป็นศัตรูของติ ทั้งที่โรงเรียน แล้วก็ทางธุรกิจด้วย ฉะนั้นนายห้ามไปสนิทกับมันเด็ดขาด เข้าใจไหม?”
“อ..เอ่อ ครับ...”
ตอบออกไปเสียงแผ่ว ก่อนจะก้มหน้าก้มตามองพื้นรถ ไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมาอีกตลอดทาง สมองมีเรื่องให้คิดมากมายจนปวดหัวไปหมด เท่าที่จับความได้.. ถ้าเมื่อกี้เขายอมไปกับธร ร้านของจินก็คงไม่เดือดร้อนเรื่องค่าเช่า แต่พอลงเป็นแบบนี้ ไม่รู้ว่าทางนั้นจะต้องรับเคราะห์อะไรหรือเปล่า แล้วถ้าพะพายรู้เรื่องวันนี้จะเป็นห่วงมากขนาดไหนนะ
อีกอย่าง...เรื่องของธรกับติ เขาไม่ได้ศึกษามาให้ดีเลย ความจริงแล้วเขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับวิไลวิทย์ หรือพวกทายาทตระกูลเศรษฐีทั้งหลายนักหรอก ข้อมูลทั้งหมดเป็นแค่การพูดคุยปากต่อปากจากเด็กนักเรียนและพี่สาวคนดี การเข้ามาตีสนิทกับติก็เป็นแค่แผนการเด็กๆ ที่เขาเอาชนะใจติไม่ได้ เพราะว่าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับติเลยรึเปล่า... แล้วการที่ไปรู้จักกับศัตรูของตัวเอง จะทำให้ตินึกโมโหบ้างไหม ทำไมถึงเอาแต่นั่งเงียบไม่พูดอะไรเลยแบบนี้ล่ะ อึดอัดชะมัดให้ตายเหอะ..
“เอ่อ ที่นี่ ที่ไหนครับ?” รีบส่งเสียงออกมาทันทีที่รถขับมาถึงหน้าบ้านหลังใหญ่ เกต์หันกลังมายิ้มกว้าง ก่อนจะชี้นิ้วเข้าหาตัว “บ้านฉันเอง ยินดีต้อนรับ”
สรุปว่าวิไลวิทย์เป็นแหล่งรวมลูกคนรวยไม่ต่างอะไรกับธารวิทยาจริงๆเหรอเนี่ย ถึงแม้การเรียนการสอน และกฎระเบียบจะต่างกันโขก็เถอะ ธารวิทยาสั่งสอนให้นักเรียนเติบโตขึ้นอย่างสง่างามและชาญฉลาด ในขณะที่วิไลวิทย์เอาแต่รับเงิน โดยปล่อยอิสระให้อย่างเต็มที่ จนกลายเป็นลูกเศรษฐีเอาแต่ใจไปสินะ
พะภูถูกพาไปล้างเท้าในห้องน้ำขนาดกว้างกว่าห้องนอนบ้านเขาซะอีก จากนั้นก็ได้แต่เดินตามอีกสามหนุ่มขึ้นไปยังห้องชั้นบน มีเด็กในกลุ่มกีรติกำลังนั่งเล่นเกมอยู่ 3-4 คน หนึ่งในนั้นคือคนคุ้นหน้าคุ้นตา ที่วันนี้ออกจะแปลกไปจนน่าตกใจเชียว
“เอ๊ะ นาย?”
“อ้าว เด็กธารวิทยาที่มาตามตื้อพี่ติ”
ตั้งใจจะเรียกแบบนี้ไปตลอดจริงดิ?!
“ฉันเห็นนายบ่อยๆ แต่ไม่เคยได้คุยกันเลย อยู่ม.4เหมือนกันใช่ไหม?”
“ใช่ ฉันชื่อนิวนะ”
“อื้อ ต่อไปเรียกฉันว่าพะภูนะ”
“อ๋อ..อืม”
นิว...เท่าที่จำได้คือเด็กม.4 ที่ชอบตามสืบตามสอด(แนม)เรื่องต่างๆมาคอยรายงานหัวขบวนทั้งสาม เป็นแค่ผู้ชายตัวเล็ก ผอมบางต่างจากคนอื่น จงน่าสงสัยว่าถูกหลอกมาเข้ากลุ่มหรือเปล่านะ ความจริงแล้วเขาไม่เหมาะจะเรียนที่วิไลวิทย์ด้วยซ้ำ ท่าทางอ่อนแอเกินไป แต่ที่ยังใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียนได้ น่าจะเป็นเพราะความจืดจางจนแทบไม่มีใครสนใจจะหาเรื่องนั่นแหละ ปกติก็ตัดผมทรงเรียบๆ แสกกลางธรรมดา ไม่มีการจัดทรงใดๆทั้งสิ้น มีแว่นตากรอบเหลี่ยมสีน้ำตาลไม้หนาเตอะ ยิ่งเสริมให้ใบหน้าขาวซีดนั้นดูจืดสนิทเข้าไปอีก
แต่วันนี้ที่บอกว่าแปลกไปก็เพราะ เขาตัดผมมาใหม่น่ะสิ! เปลี่ยนไปมากจนตอนแรกนึกว่าจำผิดคนด้วยซ้ำ มีแค่โครงร่างกับแว่นอันเดิมที่ทำให้แน่ใจว่าเป็นนิวเท่านั้น ผมที่เคยแสกแบบขอไปที ตอนนี้กลับถูกซอยเป็นหน้าม้า ไล่ความยาวลงมาเจอกันตรงกลางระหว่างคิ้ว ผมด้านหลังถูกซอยขึ้นเป็นทรง มีวอลลุ่มจากความหยักศกธรรมชาติ ซึ่งไม่ได้ดูรกรุงรังอย่างแต่ก่อน ดูเหมือนจะทำสีผมให้อ่อนขึ้นนิดหน่อยด้วย เห็นได้ชัดตอนที่แสงในห้องตกกระทบ เป็นประกายน้ำตาลสวยทีเดียว สรุปว่าหมอนี่มันหน้าตาดีเห็นๆเลยไม่ใช่เรอะ! แล้วตลอดมาเอาความหล่อไปซ่อนไว้ที่ไหนหมดเนี่ย??
“ตัดผมมาใหม่ ดูดีนะ”
“อ๊ะ สังเกตด้วยเหรอ ขอบใจ”
สังเกตสิเฮ้ย! ใครไม่สังเกตก็ต้องเรียกว่าตาบอด ไม่ก็บ้าแล้ว!
“ทำไมไม่ลองถอดแว่นด้วยล่ะ?”
“มะ..ไม่เอา” ไอ้มือเล็กๆที่เล็กกว่าเขาเสียอีก ยกขึ้นปัดไปมาในอากาศ สายตาหลังเลนส์เหลือบขึ้นมองใครบางคน พอหันไปก็เห็นแววตานิ่งเฉยของศิลป์กำลังก้มต่ำลงมา แค่แวบเดียวก็เบือนหน้าหนีกันไป อะไรหว่า?
จะว่าไปเขาก็ไม่เคยคุยกับศิลป์เลย แล้วก็ยังอยากรู้จักนักเรียนคนอื่นๆภายใต้กลุ่มของกีรติให้มากขึ้นอีกด้วย ถ้าต้องมาป้วนเปี้ยนบ่อยๆ การสนิทกันไว้มันก็คงทำให้บรรยากาศดีขึ้นกว่าทุกทีที่เป็น แต่จะคุยอะไรดีล่ะ ในสามคนนั้นศิลป์ดูน่ากลัวสุดเลยไม่ใช่หรือไง ชอบขึ้นเสียงดังตลอด แถมตีสีหน้าหงุดหงิดอยู่เรื่อยเลย
“กูไปหยิบขนมมาเพิ่มนะ” ว่าไม่ทันขาดคำ ซุ่มเสียงกระโชกโฮกฮากของศิลป์ก็ดังออกมาจากด้านหลัง คนตัวเล็กชั่งใจได้แค่แวบเดียว ก็รีบพรวดพราดลุกขึ้นท่ามกลางสายตาของทุกคน
“ผ..ผม ผมไปด้วยครับ”
“อะ..อ่า...”
คนที่กำลังจะก้าวเท้าออกไปจากห้อง ตีสีหน้าไม่ถูก แต่ก็ยอมให้เขาเดินตามลงบันไดไปแต่โดยดี ไม่ได้หันกลับมามองปฏิกิริยาของคนที่เหลือ ก็เลยไม่ทันได้เห็นว่า แต่ละคนกำลังงงกับการกระทำของเขามากแค่ไหน ช่วยไม่ได้นะ นี่อาจจะเป็นโอกาสเดียวที่จะได้ลองเริ่มต้นสนทนากับศิลป์ดูก็ได้
“เอ่อ...พี่ศิลป์ครับ”
“หือ?”
“เรื่องพี่ธร... พวกพี่เกลียดกันมากหรอครับ?”
“มากสิ ไอ้ธรชอบใช้อำนาจในทางที่ผิด คอยแต่จะบีบคั้น รังแกคนอื่น เป็นพวกไม่น่าคบ นายเองก็อย่าไปเข้าใกล้มันอีกจะดีกว่า”
ไอ้เรื่องการใช้อำนาจของผู้ชายคนนั้นเขาได้สัมผัสมันมาแล้วล่ะ แต่ถ้าตัดเรื่องความกร่างนั่นออกไป ก็ดูเป็นคนดีออก ถึงจะยังไม่ค่อยเข้าใจก็เถอะ แต่การที่พูดคุยกับเขาอย่างเป็นกันเอง และการที่หัวเราะออกมาแบบนั้นได้ มันไม่น่าจะใช่อย่างที่ศิลป์หรือเกต์พูดเลยนี่น่า
“แต่ว่าวันนี้เขาคุยกับผมดีมากเลย..”
“น่ากลัวนะ ระวังให้ดีล่ะ” มือใหญ่เอื้อมขึ้นเปิดตู้ในห้องครัว มีขนมสองสามถุงร่วงลงมาบนเคาน์เตอร์ขนาดกว้าง
“หมายความว่าไงครับ?”
“จะผู้หญิงหรือผู้ชายมันไม่เกี่ยง ขอแค่หน้าตาน่ารักถูกใจ ก็จะหลอกเอาให้ได้ มันเป็นคนแบบนั้นแหละ แล้วถ้ามันคุยกับนายดีอย่างที่ว่าจริงๆ บางทีนายอาจตกเป็นเป้าหมายใหม่ของมันแล้วก็ได้”
น้ำเสียงเรียบเฉยอธิบายออกมาเหมือนไม่ได้สนใจอะไร แต่ในแววตาสีนิลตรงหน้ากลับแฝงความห่วงใยบางๆไว้อยู่ ธร...เป็นคนแบบนั้นจริงๆน่ะเหรอ..
“แต่ว่า...”
“อย่างที่ไอ้ศิลป์ว่านั่นแหละ” ไม่ทันได้พูดต่อ เสียงทุ้มคุ้นหูก็ดังขึ้นด้านหลัง
“พี่ติ!”
เส้นผมสีดำที่หล่นลงมาปรกหน้า ถูกเสยขึ้นอย่างรำคาญ ก่อนที่มือใหญ่ของติจะตรงเข้าคว้าข้อมือพะภูไว้แน่น คนตัวเล็กถูกลากขึ้นไปตามบันไดอย่างเงอะๆงะๆ เดินผ่านหน้าห้องที่คนอื่นนั่งเล่นเกมกันอยู่ไป ไม่ทันได้ทักถ้วง ประตูห้องอีกบานก็เปิดขึ้น ก่อนจะถูกผลักเข้าไปในนั้นอย่างไร้ความปราณี
ห้องขนาดกว้าง มีเตียงคิงไซส์ตั้งอยู่ตรงกลาง ที่ขอบกำแพงอีกด้านเป็นโต๊ะทำงานกับชั้นหนังสือยาวเป็นทาง การตกแต่งน้อยชิ้น เน้นความเรียบเป็นหลัก ถึงอย่างนั้นก็ยังสัมผัสได้ถึงความหรูหรา ไม่นานนัก เสียงล็อกประตูก็ดังขึ้นเรียกพะภูให้ตื่นจากภวังค์ คนตัวสูงค่อยๆขยับตัวเข้าหาจนเขาต้องก้าวถอยหลังไปเรื่อยๆ กว่าจะรู้ตัวก็จนมุมเข้าที่ปลายเตียงซะแล้ว
“เฮ้ยย!”
ตุ้บ
เจ้าของห้องออกแรงผลักแค่นิดหน่อย ร่างของพะภูก็ล้มลงไปนอนแหมะอยู่บนฟูกขนาดใหญ่ ผ้าห่มที่ถูกพับไว้อย่างดีถูกเท้าเล็กๆถีบออกไปอย่างไม่เกรงใจ ทันทีที่ติคลานตามขึ้นมา ขยับตัวหนีได้อีกแค่ไม่กี่ที แผ่นหลังก็ชนเข้ากับหัวเตียงเสียงดังปัก
“เอาแต่พูด ‘แต่ว่าๆ’ อยู่ได้”
“หะ? อะไรกันครับ?”
“ไอ้เหี้ยนั่นมันดีกับนายนักหรือไง เจอกันครั้งแรกก็กลายเป็นทาสมันแล้วเหรอ?”
หมายถึงธรงั้นเรอะ? อะไรกัน อยู่ดีๆก็มาพูดเอาตอนนี้ ทั้งที่เงียบมาตลอดเนี่ยนะ ถ้าโมโหที่เขาไปคุยกับศัตรูก็บอกแต่แรกสิ ไม่ใช่เก็บมาระบายเอาบนเตียงแบบนี้! ตั้งใจจะทำอะไรกันแน่กีรติ?!
“ไม่ใช่นะครับ แต่ว่า...”
อ๊ะ! เผลอหลุดจะแก้ตัวให้ธรอีกแล้ว
“ชิ!”
แววตาดุดันจ้องเข้ามาเหมือนอยากจะกินเลือดกินเนื้อกัน น้ำเสียงไม่พอใจดังขึ้น คนตัวใหญ่ขยับเข้ามาใกล้จนแทบไม่เหลือช่องว่างใดๆ ลมหายใจอุ่นเป่ารดอยู่ตรงหน้า...
ใกล้... ใกล้เกินไปแล้ววววว !!!??
------------------------------------------
เปิดเทอมแม่งหนักหนาจริงๆ TT
การบ้านกองท่วมหัว เอาตัวไม่รอด
วันนี้รีบมาปั่นสักตอนก่อน ก็ได้แค่นี้แหละ ฮืออ
บทก่อนหน้านี้ เปิดตัวพี่ธร
คอมเม้นหายวูบ แอบตกใจแต่ไหวอยู่
เห็นอนาคตเรตติ้งของธร ทำท่าจะดิ่งลงเหว รำไรๆ....555555
อยากขอโอกาสให้ผู้ชายคนนี้ด้วยค่ะ 55
ส่วนบทนี้... ด้วยความที่รีบจัด
เลยตัดจบแค่นี้ (แอบเลว)
ไม่รู้ต่อไปจะเกิดอะไร เอาใจช่วยพะภูกันด้วยนะค้า
อย่าทิ้งเราน้าา~~ ขอบคุณทุกคอมเม้นเช่นเคยค่ะ