ตอนที่ 9ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของตาลาไต และถึงแม้ว่าวันชาติที่เป็นน้องชายจะยอมรับเรื่องนี้โดยไม่มีข้อโต้แย้ง แต่ในตอนสายๆ ของวันถัดมา พี่ชายก็เดินหลังตรงออกมาหาที่ห้องโถง แล้วพูดสั้นๆ ว่า
“กลับบ้านกัน”
เท่านั้นจริงๆ เพราะพอกลับมาถึงพี่ชายก็ไปอาบน้ำแล้วบอกว่าจะนอนพัก ถามว่าจะกินอะไรก่อนมั้ยก็ไม่ยอมตอบ
รู้แต่ว่ามีความเครียดและความโกรธที่ไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้อยู่ในใจของพี่
แล้วเวลาอย่างนี้ไอ้วันชาติจะต้องทำยังไง
ยังไม่ทันที่จะตอบคำถามของตัวเอง มือมันก็กดโทรศัพท์แล้วโทรหา
“ฟาง เลิกเรียนแล้วมาด้วย กูรับพี่ตาลกลับมาแล้ว เขาไม่พูดอะไรกับกู มึงลองดูหน่อยเหอะ”
...กูนี่มันสันดานเสีย...ทั้งที่กูเป็นน้องชาย กูทิ้งไร่ทิ้งสวนมาดูพี่ชายที่กำลังซวยซ้ำซวยซ้อน แต่พอเข้าตาจน กูก็กลับโทรศัพท์เรียกไอ้คนซื่อมาทำหน้าที่แทนกูเองอีกครั้ง
เดลทักทันทีที่ฟางกดวางสายโทรศัพท์
“เขาโทรมาตามอีกล่ะสิ”
“อือ กูก็ตั้งใจไว้อยู่แล้วว่าจะเลิกเรียนกูจะไป”
“ตกลงเขามีเรื่องอะไร”
“ปัญหาเรื่องงานน่ะ กูก็ไม่รู้อะไรมากหรอก กูก็แค่คนรับใช้ แต่จะให้กูทำไม่รู้ไม่เห็นเวลาที่เขาเดือดร้อนก็เนรคุณ”
เดลจ้องมองเพื่อนอย่างรู้ทันแล้วหันไปมองทางอื่น
...ไม่ใช่แค่เพราะกตัญญูหรอก เพราะมึงรักเขาด้วย...
“พี่วันชาติโทรมาบอกว่า กลับมาบ้านกันแล้ว แล้วถ้ามึงไม่อยากไปก็ไม่เป็นไรนะ”
“มึงไม่อยากให้กูไปด้วยก็บอกมาเถอะ”
ฟางคนซื่อทำหน้าตาไม่เข้าใจ
“กูเห็นว่าวันก่อนมึงมีปัญหากับพี่วันชาติ ก็เลยคิดแทนมึงว่า มึงอาจไม่อยากไปก็เท่านั้นเอง”
“เออ ๆ” เดลตัดบท เพราะฟางมันเป็นคนแบบนี้ไง ถึงได้รู้สึกดีๆ กับมันมากกว่าใคร “ไปเย็นใช่มั้ยล่ะ ขอกูคิดก่อน ว่าจะไปกับมึงดีมั้ย”
ฟางได้แต่ส่ายหน้าอีกครั้ง
....เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่...
พอเลิกเรียนฟางก็ไปที่บ้านตาลาไต วันชาติที่ดูโทรทัศน์อยู่รีบลุกมาหา
“มึงไปเรียกกินข้าวทีเหอะ วันนี้ทั้งวันเขาไม่กินอะไรเลย นอนนิ่งๆ อยู่อย่างนั้น กูใจเสียว่ะ”
ฟางวางหนังสือเรียน ล้างมือล้างหน้าแล้วถึงได้ขึ้นไปหา
ตาลาไตคนที่นอนลืมตามองเพดานห้องในตอนนี้ ไม่ต่างอะไรจากเมื่อครั้งหลังเผาศพของบุ๋ม
เพียงแต่คนที่มาพบตอนนั้นคือฉลอง
ขณะที่วันชาติไม่เคยเห็นพี่ชายในสภาพนี้มาก่อน ไอ้ที่อึดอัดคับข้องใจก็ยังเป็นอยู่ อยากเอาเรื่องคนที่ใส่ร้ายก็ใช่ แต่สุดท้ายก็ต้องวนกลับมาที่เดิมว่าต้องรอดูว่าพี่ชายตัดสินใจอย่างไร
ฟางปิดประตูห้องแผ่วเบา เดินไปนั่งที่พื้นข้างเตียง
“พี่ครับ หิวหรือยัง กินข้าวมั้ย”
ตาลาไตเบนสายตามามอง คิ้วเข้ม แววตาจริงจังมีแววอ่อนลง เมื่อยกมือจับศีรษะคนตามใจแล้วดึงให้ขึ้นมานอนข้างๆ พลิกตัวกอดไว้หลวมๆ
“พี่ครับ บ่ายจัดแล้วไม่หิวเหรอ”
แต่ตาลาไตไม่ตอบ ปิดเปลือกตาลงพร้อมกับลมหายใจที่สม่ำเสมอบอกว่า เขาหลับไปแล้ว
ใบหน้าคมเข้มอยู่ใกล้แค่คืบ ฟางยังคงไม่ได้คิดจะขัดขืนจริงจัง ก็เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา
เสียงในสมองบอกว่าพี่โกรธมาก ในหัวใจบอกว่า พี่กำลังพยายามกดความรู้สึกเหล่านี้ไว้ จากนั้นก็คือตัวเราเองที่ท้วงขึ้นมาว่า รู้ได้อย่างไรว่าที่กำลังคิดอยู่มันถูกต้อง สามารถอ่านใจพี่ได้ตั้งแต่เมื่อไหร่
ครั้งแรกที่พี่กอดไว้แบบนี้คือตอนไหน
ตอนที่มาบอกแม่ใหญ่กับพ่อใหญ่ให้ไปขอพี่บุ๋ม ซึ่งมารู้ทีหลังจากคำบอกเล่าของพี่วันชาติ ว่า สาเหตุที่ทำให้มาเร่งรัดให้พ่อแม่ไปขอสาวก็เพราะความไม่สบายใจ
ต่อมาตอนที่กอดไว้แบบนี้ ก็คือหลังจากเผาพี่บุ๋มไปแล้ว แม้เรื่องราวในคืนนั้นมันจะไม่น่าจดจำ เพราะออกไปทางบังคับ
แต่พอพี่ทำแบบเดียวกันเป็นครั้งที่ 3 มันก็ถึงเวลาคิดทบทวน
คนจริงจังเคร่งเครียดคนนี้ ก็มีมุมที่อ่อนแอไม่อยากให้ใครเห็น ไม่อยากให้ใครรับรู้เหมือนกัน
ถึงจะไม่เข้าใจความคิดของพี่ได้ชัดเจน แต่มันก็จะมองเห็นที่ยืนของตัวเอง จากมุมมองของพี่
......ฉันรู้ ว่าวันหนึ่งพี่จะพบผู้หญิงที่พี่รัก อ้อมแขนของพี่ก็จะไม่ใช่ของฉันอีกต่อไป รู้ดีและเตือนตัวเองอยู่เสมอ ว่าฉันเป็นใคร....
วันชาติเห็นว่าฟางไม่พาพี่ชายลงมากินข้าวสักที ก็เดินตามขึ้นมา
แต่เพียงแค่แง้มประตู มองเห็นว่าพี่ชายกอดฟางไว้ ก็เลยยื่นหน้าเข้ามาอ้าปากพะงาบๆ ไม่มีเสียงถามตอบกับฟาง ได้ความว่า ตาลาไตหลับไป แล้วก็เลยเดินลงมาข้างล่าง
หัวใจมันจุกและเจ็บแบบแปลก ๆ
...กูเป็นอะไรของกู นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่กูเห็นพี่ชายกอดไอ้ฟางสักหน่อย แล้วกูเป็นอะไร...
หันมองซ้ายขวา ยังไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อไปดี
“อย่างน้อย ตอนนี้เขาก็หลับได้ละวะ”
สิ่งที่ทำในลำดับต่อไปก็คือโทรศัพท์กลับบ้าน เพื่อรายงานความคืบหน้า
“พูดกันตรงๆ ฉันอยากให้เขากลับบ้าน แต่ไอ้ฉันเพิ่งเคยเห็นว่าเขาเป็นแบบนี้ เลยไม่รู้จะบอกกับพ่อแม่ว่าไงเหมือนกัน”
“ก็มันยังไงกับละวะเนี่ย” แม่ซักต่อ
“เขาโกรธนะ โกรธมากแต่เขาอัดมันไว้ข้างใน แต่ฉันก็คิดว่าเขาเสียใจมาก ต่อให้ไม่มีน้ำตาสักหยดก็เหอะ ไม่พูดคร่ำครวญ ไม่อะไรสักอย่าง”
“ไม่อะไรสักอย่างคืออะไรล่ะ”
“แบบนอนลืมตามองเพดานนิ่ง ๆอยู่อย่างนั้นน่ะ แต่ตอนนี้หลับไปแล้ว”
....วันชาติไม่ได้บอกว่า ใครทำให้พี่ชายหลับได้...
แม่วิเคราะห์เท่าที่วันชาติเล่าให้ฟัง “ข้าก็ตัดสินใจลำบากพอกัน เพราะถ้าข้าไปกรุงเทพ ฯ บังคับมันกลับบ้าน ทำเหมือนพี่เอ็งเป็นเด็ก ๆ มันก็ไม่ถูก เพราะมันเป็นคนมั่นใจตัวเองมาก แล้วยิ่งมันไม่ได้ทำผิดแต่ถูกคนชี้ว่าผิดแบบนี้” แม่ถอนหายใจแรง ๆ ”รอเขาอีกนิด เอ็งบอกว่า เขาจะไปสอนมหาลัยใช่มั้ยล่ะ” แม่ถามมา โดยมีพ่อส่งเสียงอืออออยู่ข้างๆ
“นั่นมันเป็นเรื่องที่คุยกันก่อนหน้า ไม่ใช่เรื่องวันนี้ เขาอาจเปลี่ยนใจก็ได้” วันชาติอธิบาย “เออ หรือจะไม่เปลี่ยนใจวะ”
“เอ็งก็เป็นซะอย่างงี้” แม่ทำน้ำเสียงประชดผสมเหนื่อยใจ “ทำท่าว่าจะพึ่งพาได้ แล้วก็ไม่ได้ตามเคย”
ลูกชายคนเล็กได้แต่ส่งเสียงหัวเราะแปลกๆ มาตามสาย ไม่ยอมสารภาพความจริงว่า โทรไปตามยาสามัญประจำบ้านให้มาช่วยดูพี่ชาย
“ก็เอาเป็นว่า ถ้าเขาตื่นมาแล้วฉันจะคุยกับเขาอีกทีได้ความคืบหน้าไงจะโทรไปบอก”
“เออ ดีอยู่กับเขาก่อน พี่น้องกัน ไม่ดูแลกันตอนนี้จะมีพี่น้องไว้ทำห่าอะไร”
“แม่” วันชาติทำเสียงเข้ม “ไม่ต้องสอนผสมด่าอย่างนี้ก็ได้ ฉันรู้หน้าที่ของฉันหรอกน่า ว่าแต่เรื่องที่สวนเป็นไงมั่ง”
พอวันชาติชวนเปลี่ยนเรื่อง แม่ก็ละจากเรื่องของตาลาไต มาเป็นเรื่องของที่บ้านได้ทันที
จนกระทั่งรถมอเตอร์ไซค์มาจอดหน้าบ้าน วันชาติถึงได้ขอวางสายจากแม่
“แม่ ฉันวางสายก่อนนะ ต้องออกไปตลาด หาซื้อของมาทำข้าวเย็น”
เดลชะงักอยู่ที่หน้าประตูบ้าน เมื่อเห็นวันชาติเดินออกมาเปิดประตูให้
“ฟางบอกว่าจะมานี่”
“ก็มาน่ะสิ”
พูดมาครึ่งประโยค วันชาติก็ตอบไปครึ่งประโยคเหมือนกัน
“แล้วมันอยู่ไหน”
“ข้างบน”
วันชาติตอบยิ้มๆ ส่อเจตนาชัดเจนจนเดลหน้าตึง
...ก็รู้อยู่ว่าถ้าตามมาแล้วอาจเจอกับอะไร แต่ไม่คิดว่าจะถึงขนาดที่น้องชายรู้เห็นเป็นใจกันขนาดนี้
“กลางวันแสกๆ เนี่ยนะ”
“จะตอนไหนมันก็เป็นเรื่องของเขา 2 คนแล้วมึงตามมาทำไมเนี่ย”
“เพราะผมคิดว่านี่คือสิ่งที่ผมควรทำน่ะสิ” เดลกระแทกเสียงใส่หน้าคนที่ทั้งตัวหนากว่าแล้วก็ยังสูงกว่า
วันชาติเสียอีกที่ยังคงตอบด้วยลีลาเปื้อนรอยยิ้มเหมือนเดิม “ควรทำอะไร มึงเป็นพ่อเขาหรือไง ก็แค่คนอยากกินเนื้อหงษ์ แต่กลับจะโดนเสือแดก”
“นี่!” เดลเสียงดัง ทำให้วันชาติจุ๊ปาก
“เสียงดังทำห่าอะไร ไปตลาดกับกูดีกว่า”
มือหนาๆ จับที่ไหล่บางให้หมุนตัวตาม แต่เดลสะบัดออก
“ไม่ ผมจะขึ้นไปตามฟาง”
“มึงนี่บาปหนา” วันชาติไม่เลิกลักไก่ ทั้งที่รู้ว่าพี่ชายหลับสนิท
....แต่ถึงจะมีอะไรมากกว่านั้น มันก็เรื่องของ 2 คนนั้นอยู่ดี...
“ไปตลาดซื้อกับข้าวกับกู เย็นนี้จะได้กินข้าวด้วยกันไง ทำไมมึงเป็นคนพูดยาก เข้าใจอะไรยากอย่างนี้นะ”
“ผมไม่ได้มากินข้าว”
“วะ ไอ้คนนี้นี่!” วันชาติเท้าเอวชักเริ่มอารมณ์ไม่ดีตามไปด้วย “ก็บอกอยู่นี่ว่าฟางอยู่ในห้องกับพี่ตาล เขาไม่กลับไปกับมึงตอนนี้หรอก แล้วนี่มันก็เย็นมากแล้ว ถ้ามึงจะกลับก็กลับไปตอนนี้เลย”
เดลหันซ้ายหันขวา ไม่อยากมาเสียเที่ยว แต่ก็กล้าๆ กลัวๆ ที่จะต้องรับรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นในห้องข้างบน
“ไปก็ได้”
“เออ แม่ง คนห่าอะไรพูดดีๆ ไม่เข้าใจ อธิบายไปสามวันไม่รู้เรื่อง ต้องให้ขู่”
แต่พอเห็นว่าหนุ่มตัวขาวหน้าเสีย วันชาติก็ต้องถอนหายใจ กอดไหล่พาออกมาจากบ้าน
“มึงถามตัวเอง ว่ามึงจะเป็นคนเลวไปพรากคนที่เขารักกันเพื่ออะไร”
“แฟนของพี่ตาลเพิ่งจะเผาไปได้ไม่กี่วัน พี่ก็ส่งไอ้ฟางให้เขาแล้ว” เดลพูดทั้งที่รู้สึกปวดหนึบในใจ
วันชาติได้แต่ส่ายหน้า “กูไม่ได้ส่งใครให้ใคร แต่คนหนึ่งเป็นพี่แท้ๆ ของกูอีกคนถึงไม่ได้คลานตามกันมาแต่ก็เห็นกันมาตั้งแต่มันยังเป็นเด็กเล็กๆ มันมีอะไรหลายอย่างที่มันค่อยๆ เปลี่ยนไปตามเวลา”
“นี่หมายความว่าเขาชอบกันมานานแล้วเหรอ ทั้งที่พี่ตาลมีแฟนเนี่ยนะ”
วันชาตินึกตาม
.....มันอาจเกิดขึ้นก่อนที่พี่ตาลรู้จักกับพี่บุ๋มด้วยซ้ำ...แต่อันนี้มันยากเกินไปว่ะ ขอผ่าน ไม่ทำความเข้าใจกับมันได้มั้ย....
“คนที่รู้จักตัวเองเร็วอย่างมึงคงไม่เข้าใจ แต่พี่ตาลเขาเป็นผู้นำมาตลอด การที่จะยอมรับว่าตัวเองชอบผู้ชาย ทั้งเป็นเด็กในบ้าน มันอาจยากที่จะยอมรับ”
“แล้วพี่ล่ะ” เดลหันมาถาม “วันก่อนพี่ชวนผมเป็นแฟนพี่”
“เออ กูจำได้”
“พี่ชอบผมหรือไง”
“เปล่า คนงอแงอย่างมึงน่าให้ชอบตายล่ะ”
เดลหันมาชกเข้าที่ท้องหนาๆ ของวันชาติ “สัดเหอะ พี่นี่แม่งผีเจาะปากมาให้พูด”
ทั้งที่โดนชกโดนด่า แต่วันชาติกลับหัวเราะ “แต่มึงน่ารักดี”
เดลหน้าร้อนผ่าว
...ตกลงนี่เขาสารภาพแล้วหรือเปล่าเนี่ย หรือว่าพูดไปเรื่อยๆ เหมือนเดิม...
“พี่แม่ง เอาไงกันแน่เนี่ย”
“เอากันก็ต้องเข้าห้อง” วันชาติทำไม่รู้ไม่ชี้ ทำให้เดลรู้ตัว
“กวนตีนสัด ถ้าไม่ติดว่ามีเรื่องคุยกับฟางผมกลับหอดีกว่า”
วันชาติหัวเราะหึหึ
....ไอ้คนนี้ ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ แต่ก็ยังหวงฟางจนลืมเหตุผล....
“มึงน่าจะคิดเรื่องกับข้าวเย็นนี้ ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้”
เดลปิดปากสนิท ภาษาในดวงตาเรียวกำลังบอกว่า สิ่งที่วันชาติบอกว่าเป็นไปไม่ได้ มันจะต้องเป็นไปได้
ฟางขยับตัวตั้งแต่ได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซค์จอดที่หน้าบ้าน เพราะแม้ห้องนอนของตาลาไตจะอยู่ชั้น 3 ของทาวน์เฮ้าส์ แต่ก็อยู่ด้านหน้าของบ้าน
ติดที่แขนใหญ่ที่พาดตัวอยู่รั้งกอดไว้ กับเสียงต่ำๆ ที่บอกให้อยู่เฉยๆ ทำให้ได้แต่หันไปมองผ่านหน้าต่าง
ได้ยินเสียงแว่วๆ เหมือนเดลจะเถียงกับวันชาติแล้วก็ได้ยินเสียงปิดประตูอีกครั้ง
หันกลับมามองคนที่ยังหลับตาอยู่ ก็เลยขยับตัวจะลุก
“พี่วันชาติคงออกไปข้างนอก”
เสียงต่ำๆ รับรู้แต่ยังคงไม่คลายแขนออกอยู่ดี จนกระทั่งได้ยินเสียงเปิดประตูอีกครั้ง ฟางมองนาฬิกาที่ข้างเตียง
“พี่ตาล จะหกโมงเย็นแล้วพี่ลุกมาอาบน้ำ กินข้าวก่อนนะครับ”
ตาลาไตถึงได้ลุกขึ้น “อย่าเพิ่งไปไหนนะ”
คนออกคำสั่งหายเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำล้างหน้า ออกมาเห็นฟางกำลังหอบผ้าปูที่นอนผืนเก่าเตรียมจะเก็บไปซักเลยได้แต่ส่ายหน้า
ฟางยิ้มแหย “แม่ผมสอนว่าเวลาซวยหนัก ๆต้องล้างบ้าน ทำความสะอาดครั้งใหญ่”
“ตามใจ ค่อยๆ ทำไปเรื่อยๆ ก็แล้วกัน”
เดลไม่ได้ต่อปากต่อคำอะไรกับวันชาติอีกจนกระทั่งกลับมาบ้าน แล้วเดินเข้าครัวไปช่วยวันชาติเตรียมทำอาหารมื้อเย็น
ทั้งที่กำลังเถียงกับตัวเองอยู่ในใจว่ากูไม่ได้เป็นคนรับใช้อะไรในบ้านนี้ แล้วก็รู้ทั้งรู้ เรื่องของฟางกับพี่ตาล แล้วกูจะยังอยู่ทำไม แต่พอหันไปเห็นว่าฟางเปลี่ยนเสื้อผ้ามาเป็นเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้น ส่วนพี่ตาลคือคนที่ถือตะกร้าผ้าปูที่นอนเดินตามฟางลงมาซัก สมองมันก็ยิ่งคิดเตลิดไปไกล
วันชาติมองสีหน้าของเดลก็รู้ว่าไอ้คนนี้มันกำลังคิดๆๆ และคิด จนอยากเติมเชื้อไฟ ติดก็แต่ที่พี่ชายยืนอยู่ตรงนี้ ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาตกลงกับฟางไว้ยังไง เกิดพูดอะไรไปแล้วเขาไม่รับมุกขึ้นมามันจะแป้ก
...เรื่องแกล้งไอ้คนนี้ไว้ก่อนก็ได้...กูมีเวลาเหลือเฟือ...
ตาลาไตเองก็อ่านสีหน้าของเดลออกเหมือนกัน แต่เพราะไม่ใช่คนมีนิสัยวุ่นวายก็เลยแค่พยักหน้าทักทาย หันมามองฟางที่ดึงตะกร้าผ้าไปจากมือ แล้วเอาไปจัดการ
ได้แต่ยืนนิ่งๆ จนน้องชายมาดึงมือไปนั่งเหยียดขาพาดโต๊ะ มองหน้าจอโทรทัศน์ที่เปลี่ยนภาพไปเรื่อยๆ
....วิธีการกดโทรทัศน์แบบนี้มันบ่งบอกชัดเจนถึงความสับสนในใจ
ตาลาไตรู้ดีว่าต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ชีวิตเดินหน้า แต่ก็กลับไม่รู้ว่าจะเริ่มที่ไหนดี....
“พรุ่งนี้พี่จะกลับบ้านพร้อมฉัน หรือจะไปหาเพื่อนที่มหาวิทยาลัย”
“ไม่รู้เหมือนกัน”
“ถ้าไม่รู้งั้นกลับบ้านกับฉันก่อนนะ ต้องกลับไปเก็บของส่งพ่อค้าเขานัดวันมาแล้ว”
ตาลาไตเหลียวกลับไปมองคนที่แช่ผ้าไว้แล้วเข้าไปช่วยในครัว
“ฟางมันต้องเรียน” วันชาติตอบแทนหนุ่มคนซื่อที่พยักหน้า ขณะที่เดินเข้ามาหา
ตาลาไตหันกลับมาหยิบโทรศัพท์ จู่ ๆก็คิดออกว่า ควรจะเริ่มต้นที่ไหน
“เดี๋ยวกูโทรหาเพื่อนก่อน ถามว่าเขายังต้องการอาจารย์อยู่หรือเปล่า แล้วกูจะตอบมึงว่าพรุ่งนี้กูจะทำอะไร”
----จบตอนที่ 9----ตอนเช้าคิดว่าวันนี้จะร้อน แต่แล้วก็กลับฝนตก (เออ ก็นี่มันหน้าฝนนี่เนอะ ถ้าฝนไม่ตกค่อยบ่นละกันนะ)
ตอนอ่านพล็อต ผมคิดว่าเดลคือนายเอก เพราะว่าขาวกว่า หล่อกว่า กวนตีนกว่า คิดอยู่ว่าถ้าคนนี้เป็นนายเอกเรื่องก็คงสนุกดี แต่พอเสนอความคิด แล้วคุยกัน มันกลับจะทำให้เกิดดราม่าแบบ Extravaganza ด้วยความขี้เกียจ อะไม่ใช่ ด้วยความเป็นคนดี ให้เกียรติคนขึ้นพล็อต การทำให้เดลเป็นนายเอกจึงพับไปในที่สุด
พบกันวันอาทิตย์นะครับ
ขอบคุณที่สละเวลาให้ความเห็น และขอบคุณมากที่คุณชอบเรื่องนี้ครับ
พี่ไจฟ์กับนายน้ำชา พี่ iPongPaeng ครับพี่คือคำตอบที่ถูกต้องวันนี้ เย๊
