NO SHOTA
ตอนที่ 2ใครๆ ก็คิดว่าการที่ต้องมาเป็นพี่เลี้ยงเด็ก จะทำให้ต้องตัดขาดจากเพื่อนฝูง จะต้องอยู่ในสถานะเหมือนเด็กรับใช้ในบ้าน แต่ไม่จริงสักนิด เพราะที่ผ่านมา พนาหรือฟาง ก็ไม่ได้เป็นคนติดเพื่อนอะไรมากมาย แล้วยิ่งมีน้องเล็กๆ อีก 2 คนก็ยิ่งต้องช่วยแม่เลี้ยงน้อง
ในทางตรงข้ามการมาเลี้ยงหมี่กลับสบายกว่าเดิม เพราะแม่มักจะบอกให้ไปดูหมี่ก่อนที่จะทำงานอย่างอื่น งานช่วยพ่อในสวนกลายไปเป็นหน้าที่หลักของเจ้าฝุ่นน้องชาย ส่วนฝ้ายน้องสาวคนเล็กก็ช่วยแม่ทำงานที่บ้านมากขึ้น
ส่วนเรื่องงานบ้านใหญ่ ก็ไม่ได้ทำอะไรมากมาย เพราะแม่ใหญ่ชอบทำเองมากกว่าให้คนอื่นทำให้
พ่อกับแม่ของฟางเคยทำนา แต่หลุดจำนองให้กับนายทุนไปตั้งแต่ฟางยังไม่เกิด ดีที่พ่อใหญ่ชวนให้มาทำงานที่สวนนี้ เพราะเห็นว่าพ่อเป็นคนซื่อ และไว้ใจได้
"จำไว้ว่าที่ทุกวันนี้เราไม่ต้องไปเป็นคนงานรับจ้างทำนา นอนเพิง ก็เพราะพ่อเอ็งเป็นคนซื่อ แล้วในเมื่อเขาไว้ใจให้เอ็งดูลูกหลานเขา เอ็งก็ต้องทำให้ดี" แม่สั่งสอนขณะที่เก็บปลาที่ตากแห้งไว้ มีฟางคอยช่วยอยู่ข้างๆ ส่วนน้องชายน้องสาวกำลังช่วยกันหุงข้าว
"ว่าแต่ หมี่นี่เป็นลูกพ่อตาลเขาใช่มั้ย"
ฟางถึงกับขำเพราะแม่ถามคำถามนี้บ่อยมาก "ไม่รู้"
"อะไรของเอ็งวะ ไปสอนการบ้านลูกเขาอยู่ทุกวัน ไม่รู้ได้ยังไง"
อย่างที่เห็นนั่นแหละ ถึงจะมีคำถามมากมาย แต่ลึกๆ แล้วทุกคนก็ยังเชื่อว่าหมี่ก็เป็น "ลูกเขา"
"หมี่เรียกพี่ตาลว่าน้านะแม่"
"ข้อนั้นข้ารู้แล้ว ข้าก็บอกคนอื่นไป ว่าอาจเป็นลูกเพื่อนตำรวจที่สนิทกัน เพราะหมี่หน้าตาไม่ได้ใกล้พ่อตาลกับแฟนเขาเลยแม้แต่นิด จะคิ้วจะสีผิวก็ไม่ใกล้ แต่ก็สงสัยกันต่อว่าแล้วปู่ย่าตายายไม่มีหรือไง ทำไมเขาถึงได้รับมาอยู่ที่นี่"
"ไม่รู้" ฟางทำตาใสบอกแม่คำเดิม
"ห่า ไม่ได้เรื่องเลยลูกกู บอกกูมาอย่างที่มึงเห็นน่ะ หมี่เป็นลูกใคร"
เสียงใหญ่ๆ ของพ่อดังขึ้นก่อนที่ตัวจะมาถึง "จะลูกใครก็ช่าง แต่เขาวางใจให้เราดู เราก็ควรดูแลให้ดี" พ่อวางอุปกรณ์ทำสวนไว้ที่แคร่ไม้หน้าบ้าน "แล้วนี่น้องอาบน้ำกินข้าวแล้วหรือไง ถึงได้มาช่วยแม่เอ็ง"
คำว่าน้องของพ่อ ไม่ได้หมายถึง 2 คนที่ชะโงกหน้ามาจากในครัว แต่หมายถึงหมี่ที่บ้านพ่อใหญ่ต่างหาก
"ยังหรอกพ่อ แต่แม่ใหญ่บอกให้ฉันกลับมาได้"
"หมี่ไม่ได้เข้าไปอยู่กับพ่อใหญ่ในสวนหรือไง" แม่ถาม
"เปล่า วันนี้เลิกเรียนทำการบ้านเสร็จ แม่ใหญ่ก็บอกว่าอากาศมันเริ่มเย็น ค่ำเร็วเลยบอกให้อ่านหนังสืออยู่กับบ้าน"
พอพ่อคล้อยหลังขึ้นไปหากับข้าวในครัว แม่ก็สะกิดถามฟาง
“เห็นเขาว่าหมี่ร้องไห้เวลาที่เห็นพ่อใหญ่กินเหล้าแล้วร้องว่าไม่อยากให้เหมือนพ่อจริงมั้ย”
“จริง”
“งั้นเก๊าะแสดงว่าอาจเป็นลูกเพื่อนของพ่อตาลที่ตับแข็งตายเพราะกินเหล้า” แม่ต่อเรื่องเองแล้วสรุปเสร็จ ขณะที่พ่อดุมาจากในครัว
“แม่เอ็งนะ ช่างนินทาเสียจริง”
“ข้าไม่ได้นินทา แค่ดูว่าอะไรจริงไม่จริง”
"แล้วมันมีอะไรจริงที่แม่เอ็งพูดมาน่ะ" พ่อถาม
"เก๊าะ ใครจะไปรู้"
แต่พอค่ำลงกินข้าวเย็นกับพ่อแม่เสร็จ ฟางก็ขี่จักรยานมาที่บ้านใหญ่
บ้านชั้นล่างปิดเงียบแล้ว แต่ไฟที่ชั้นบนยังเปิดสว่าง แสดงว่าทุกคนอยู่ที่ชั้นบน ก็เลยเดินขึ้นมาบนเรือน
เห็นหมี่นอนดูโทรทัศน์อยู่กับแม่ใหญ่
หนุ่มตาคมเดินไปที่ชั้นวางหนังสือเรียนของหมี่ แล้วจัดตารางสอนให้ แต่พอเปิดซองเครื่องเขียนฟางก็หันมามองหน้าเด็กชายตัวเล็กที่รีบเข้ามาแย่ง
"ของหมี่"
"ดินสออันนั้นไม่ใช่ของหมี่"
"ของหมี่" หมี่ย้ำคำเดิม ทั้งขยับตัวบังไม่ให้แม่ใหญ่มองเห็น
แต่แม่ใหญ่ยังได้ยิน เพียงแต่ปล่อยให้ฟางแก้ปัญหา
"ดินสอนี้มันใช้ไปตั้งเยอะแล้ว พรุ่งนี้หมี่เอาดินสอกลับไปวางที่เดิมแล้วตอนเลิกเรียนฟางพาหมี่แวะร้านที่ตลาดดูดินสอแท่งใหม่ ที่มันสวยกว่านี้ดีมั้ย"
"แต่หมี่ไม่ได้ขโมยมานะ"
"ฮื่อ หมี่ไม่ได้ขโมยมา เพราะหมี่ถ้าทำอย่างนั้นแล้วน้าตาลรู้เข้าน้าต้องโกรธแน่ๆ เลยใช่มั้ย"
"ฟางอย่าบอกน้านะ"
"ไม่หรอก ก็หมี่ไม่ได้ขโมยของใครมานี่นา"
หมี่พยักหน้าคืนดินสอใส่ซองเครื่องเขียนแล้วนั่งลงข้างฟาง
"วันนี้หมี่โดนล้อว่าอ่านภาษาอังกฤษไม่ได้ ทำไมหมี่อ่านนิทานกับฟางได้ แต่ไปอ่านที่โรงเรียนไม่ได้ล่ะ"
ฟางขำ มองเลยไปที่พ่อใหญ่กับแม่ใหญ่ก็เห็นว่ายิ้มขำอยู่เหมือนกัน
"แล้วครูให้อ่านอันไหนล่ะ"
"อันที่อยู่ที่ชั้นหนังสือหลังห้อง"
ฟางเกาหน้าผาก "มันชื่อเรื่องอะไร พรุ่งนี้ฟางไปยืมห้องสมุดโรงเรียนมาหัดอ่านกัน"
หมี่ส่ายหน้า "พอฟางไปยืมเล่มนั้นมา ครูก็จะเอาอันอื่นมาให้อ่านอีกแหละ แล้วหมี่ก็จะอ่านไม่ได้"
"อ้าว..." แม่ใหญ่ร้อง "เอ็งบอกว่าอ่านไม่ได้ ตั้งแต่ยังไม่ทันอ่าน แล้วมันจะอ่านได้ ได้ยังไงวะ"
หมี่บ่นพึมพำ "ก็หนูอ่านไม่ได้นี่ย่า"
ฟางบอกกับหมี่ "ถ้าหมี่อยากไปอยู่กรุงเทพฯ กับน้าตาลก็ต้องทำให้ได้"
หมี่ทำหน้าตายุ่งๆ "อย่างอื่นไม่เกี่ยงเลยนะ แต่ภาษาอังกฤษนี่มันคุยกันไม่รู้เรื่อง"
"ก็ท่องศัพท์ไปเรื่อยๆ ไง วันละ 5 คำ" ฟางเปิดหนังสือภาษาอังกฤษเล่มเล็ก ทำให้พี่วันชาติที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จเดินผ่านมาร้องทัก
"อย่ามัวแต่สอนหมี่จนลืมเรื่องสอบของตัวเองนะฟาง"
"ไม่ลืมหรอก ฉันก็อ่านอยู่ตลอดน่ะแหละ"
หมี่กะพริบตามอง "ฟางจะไปกรุงเทพฯ เหรอ"
"ไม่หรอก สอบโรงเรียนประจำจังหวัดน่ะ"
"โรงเรียนนั้นอยู่ไกลมั้ย แล้วจะกลับมาบ้านหรือเปล่า"
ฟางหันไปมองผู้ใหญ่ 3 คน
พี่วันชาติจับศีรษะเล็กๆ ของหมี่ "กลับสิ จะให้ฟางไปไหนล่ะ"
"แล้วถ้าเรียนมหาวิทยาลัยถึงจะเข้ากรุงเทพฯหรือไง"
"ไม่แน่หรอก มันต้องสอบกันหลายขั้นหลายตอน ถ้าไม่ได้ก็เรียนที่นี่ หรือไม่ก็ไม่เรียน"
"หื้อ เรียนไหวก็เรียนไป" แม่ใหญ่บอก "พ่อแม่เอ็งส่งไม่ไหว ข้ายังส่งไหว"
"โห แม่ใหญ่ใจกว้างนะเนี่ย" พี่วันชาติหันมาแซวแม่
"ข้าไม่เคยขัดใจใครที่อยากเรียนอยู่แล้ว เรียนให้จบแล้วอยู่บ้านทำสวนก็ยิ่งดีกับบ้านเรา"
"อ้าว นั่นมันฉันนี่แม่"
"ก็เอ็งน่ะแหละ" แม่บอกแล้วหัวเราะร่วน "เรียนให้มาก อ่านให้มาก รู้จักคนหลายๆ แบบจะได้ฉลาดทันคน"
ฟางสอบเข้าม.4 โรงเรียนประจำจังหวัดได้อย่างที่คิด ส่วนหมี่ขึ้น ป.5 ด้วยคะแนนสอบที่ทุกคนต้องทึ่งแม้แต่ภาษาอังกฤษที่เจ้าตัวบอกว่าไม่ถนัด คะแนนก็ยังออกมาดี
"ปิดเทอมหนูไปอยู่กับน้าตาลที่กรุงเทพฯ ได้มั้ย"
หมี่อ้อนถามตาลาไตทันทีที่นายตำรวจหนุ่มก้าวลงจากรถ
"ปิดเทอมกลางแล้วกัน" ตาลาไตบอก "ให้ฟางไปด้วยเวลาน้าไม่อยู่จะได้มีคนดูแล"
"ปิดเทอมกลางมันกี่วันกัน" แม่หันมาถาม
"ไม่เกินเดือนหนึ่งนะแม่" วันชาติบอก "แต่มันไม่ผิดปกติหรือไง มีแต่ปิดเทอมเด็กคนอื่นเขามาอยู่บ้านนอกกับปู่ย่า เอ็งกลับจะอยากไปกรุงเทพฯ กัน"
"ก็เด็กคนนี้อยู่บ้านนอกมาตลอด ปิดเทอมก็อยากไปกรุงเทพฯไง จะได้ไปซื้อหนังสือ น้าอยากให้หนูเรียนเก่งๆ ไม่ใช่หรือไง"
"เออ จริง" วันชาติยอมรับ
ขณะที่ผู้ใหญ่กำลังหันไปคุยกัน เรื่องเรียนของหมี่ กับเรื่องงานที่สวน หมี่ก็โพล่งขึ้น "ไม่ให้หนูกับฟางไปกรุงเทพฯ ตอนปิดเทอม ฟางมีเมียไม่รู้ด้วย"
เท่านั้นเองแม่ก็ขยับตัวเข้ามาใกล้
"อะไรของเอ็ง ไอ้ฟางจะมีเมียแล้วหรือ"
"ปู่ก็เห็น" หมี่โยนให้ปู่ทันทีจนปู่หน้าเหวอ "ลูกสาวแม่ค้าที่ตลาดน่ะ มาหาฟางถึงที่สวน เดินตามพี่ฟาง~~ไปเที่ยวกัน"
เด็กน้อยทำเสียงอ้อนๆ จนวันชาติหันมาขำกับพ่อ "ทำเสียงอย่างนี้เลยหรือพ่อ"
"หวานหยดกว่านี้อีก"
"อ้าว ไอ้แก่ แทนที่มึงจะห้ามเด็กมันเพิ่ง 15 -16 จะเล่นผัวเล่นเมียไม่เรียนหนังสือซะแล้ว" แม่หันไปโวย
“ผู้หญิงน่ะเขาชอบคนหล่อๆ ผอมๆ ไม่ใช่ถึกแบบพี่วันชาติหรอก” หมี่นินทากับแม่ แต่วันชาติเดือดร้อน
“หยั่งกูน่ะ เขาเรียกสุขภาพแข็งแรงโว้ย กล้ามกูได้มาด้วยการทำงาน ไม่ใช่เข้าฟิตเนส”
“ถึก” หมี่ย้ำคำเดิม
กำลังคุยกันอยู่ที่แคร่สารพัดประโยชน์หน้าครัว ฟางก็ขี่รถจักรยานคันเดิมเข้ามา ยกมือไหว้ตาลาไต แล้วหันไปยกตะกร้าผักจากท้ายรถ เอาเข้าไปไว้ในครัว
หันมาเจอตาลาไตยืนกอดอกอยู่ข้างหลัง
คนรูปร่างสูงใหญ่ทำให้ครัวกว้าง กลายเป็นคับแคบ
“ไง จะไม่เลี้ยงน้องแล้วหรือไง”
“ทำไมละครับ”
ฟางไม่รู้เรื่อง แต่หมี่ชะโงกหน้ามาจากด้านหลังของตาลาไตรีบบอก
“ฟางจะมีเมียแล้ว”
“ห๊ะ เมียที่ไหน”
“ก็อีหมวยเล็กนั่นไง”
“เฮ้ย ไม่ใช่นะ” ฟางรีบบอก โบกมือวุ่นวาย
…มันจะเป็นไปได้ยังไง ไอ้ฟางคนนี้จะชอบผู้หญิงเนี่ยนะ...
ตาลาไตชี้บอกให้หมี่ไปอยู่กับแม่ใหญ่ข้างนอก พอหมี่ออกไปตาลาไตก็หันกลับมา
“ห้ามมีเมีย ห้ามมีแฟน” นายตำรวจตัวใหญ่รู้ตัวเหมือนกันว่าคำสั่งนี้มันแปลกๆ “เพราะฟางต้องเลี้ยงน้อง”
ยิ่งประโยคหลังยิ่งแปลกหนักกว่าเดิม เพราะยังมีเจ้าฝ้ายน้องสาวคนเล็กของฟางที่เป็นเด็กผู้หญิง และสามารถมาเลี้ยงน้องได้ แต่ก็กลับให้ฟางเลี้ยงหมี่มาตั้งแต่แรก
“ครับ” ฟางเสียอีกที่รับคำทันทีโดยไม่ต้องคิด เพราะก็ไม่ได้อะไรกับหมวยเล็กนั่นอยู่แล้ว
…ไอ้ฟางคนนี้จะมีเมีย คิดได้ยังไงกัน....
แต่ดูเหมือนว่าตาลาไตยังไม่ค่อยพอใจ
“แล้วที่ส่งให้ไปเรียน คือให้ไปเรียนไม่ได้ให้ไปมีเรื่อง”
“ก็....” ฟางอึกอัก ยกมือลูบท้ายทอยเกรียนๆ
เป็นท่าทีที่ตาลาไตรู้ได้ทันทีว่าฟอร์มลักไก่ยังคงได้ผลเสมอ
ก็เวลาว่างของเด็กผู้ชายจะมีอะไรนอกไปจากผู้หญิง บุหรี่ แล้วก็ไล่ชกกัน
“โรงเรียนเดียวกันหรือโรงเรียนอื่น”
“โรงเรียนอื่นครับ แต่ฉันรีบกระโดดขึ้นท้ายรถกระบะอาจารย์ออกมา”
“เออ” ตาลาไตกระแทกเสียงใส่ จนคนโดนดุสงสัย
....ทำไมถึงได้ไม่พอใจไปเสียทุกอย่างนะ...
“มีอะไรอีกหรือเปล่าครับ”
“มี เอาเวลาว่างมาอ่านหนังสือ มาทำงาน แทนที่จะไปทำเรื่องไร้สาระ แล้วพอจบ ม.5 แต่หมี่จบป.6 จะให้หมี่ไปลองสอบเข้าม.1 ที่กรุงเทพฯ”
“พี่ตาลจะให้ฉันเลิกเรียนไปอยู่กรุงเทพฯ กับน้องหรือครับ”
ปกติฟางก็เรียกตาลและวันชาติว่าพี่อยู่แล้ว แต่เมื่อทั้งคู่เรียกแทนตัวเองว่าน้า เวลาที่คุยกับหมี่ ทำให้บางครั้งฟางก็พลอยเรียกทั้งคู่ว่าน้าตามหมี่ไปด้วย
“ไม่ใช่ ช่วงสอบคงต้องให้ฟางตามไปด้วย มันก็ไม่กี่วันหรอก แต่....”
ตาลาไตหันไปมองด้านหลัง ที่มีทั้งพ่อ แม่ วันชาติ แล้วก็หมี่นั่งมองอยู่ ก็เลยหันมาพูดกับฟางด้วยเสียงเบาลง “สอบมัธยมใช่ว่าจะง่าย แล้วหมี่ก็เริ่มเรียนช้าไปหลายปี อยู่บ้านเราคุยกันได้ ครูเขาถึงให้กระโดดข้ามมาเรียนตามเกณฑ์อายุ ทั้งที่แทบอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ แต่ที่กรุงเทพฯ มันอีกเรื่อง”
ฟางเข้าใจเรื่องที่ตาลาไตบอก
“พี่กลัวน้องสอบไม่ได้แล้วจะเสียใจหรือครับ”
ตาลาไตพยักหน้า ฟางเลยบอก “แต่หมี่ขยันนะครับ จากที่อ่านไม่คล่องมาถึงตอนนี้สอบได้คะแนนดีมากเลย”
ตาลาไตยังคงไม่เห็นด้วย “มันไม่มีอะไรง่ายอย่างที่คิดหรอก”
“หรือพี่ยังไม่อยากให้น้องไปอยู่ด้วยที่กรุงเทพฯ” ฟางดักทางทำให้โดนดุ
“อย่าพูดอะไรแบบนั้น งานของฉันเป็นแบบนี้ ไม่อยากให้ไปอยู่ตามลำพังมันไม่ปลอดภัย”
“ถ้าน้องสอบได้จริงๆ ฉันไม่ต่อ ม.6 ก็ได้”
“ไม่ได้” คราวนี้เป็นแม่ใหญ่ที่ส่งเสียงคัดค้านทันทีจากหน้าครัว ตาลาไตเลยต้องพยักหน้าเรียกให้ออกมาคุยที่แคร่ตัวใหญ่
“เรื่องอื่นข้าไม่ขัด แต่เรื่องเรียนข้าไม่ยอม” แม่ใหญ่ย้ำเหมือนเดิม
“ฉันต้องเลี้ยงน้อง ไม่เรียนก็ได้”
“แล้วฟางอยากเรียนมหาวิทยาลัยหรือเปล่า” พ่อใหญ่ถาม
ฟางพยักหน้า ขณะที่หมี่รีบขัด
“ไม่ให้เรียน ฟางต้องอยู่กับหนู”
ผู้ใหญ่ทุกคนนิ่งเงียบ เกี่ยงให้ตาลาไตเป็นคนพูด เพราะรู้ได้ทันทีว่าความคิดของหมี่ที่มีต่อฟางไม่ถูกต้อง
“หมี่” ตาลาไตหันมาดุ “ถ้าฟางอยากเรียนก็ต้องให้เขาเรียน”
“เรื่องที่ช่วงเวลาเรียนมันมีปัญหา” พ่อใหญ่ไกล่เกลี่ย “เรายังมีเวลาอีก 2 ปีตอนนี้คนหนึ่งอยู่ป.5 อีกคนอยู่ ม.4 ไว้สอบได้จริงๆ ค่อยคิด”
พอสอบเทอมกลางเสร็จตาลาไตก็มารับฟางกับหมี่มากรุงเทพฯ ตามสัญญา แต่อพาร์ตเม้นท์ ที่ตาลาไตอยู่เป็นห้องพักขนาดเพียง 30 ตารางเมตร มันเหมาะสำหรับคนโสด แต่เล็กแคบเกินไปสำหรับวัยรุ่นกับเด็กที่คุ้นเคยกับพื้นที่โล่งกว้าง
“อยู่ได้มั้ย” ตาลาไตถามหมี่
เด็กชายมองไปรอบห้องแล้วพยักหน้า “หนูเคยอยู่ห้องเล็กกว่านี้ตั้งเยอะ” แต่เท้าเล็กๆ กลับก้าวตรงไปที่ตู้เสื้อผ้าแล้วเปิดออกทันที "ของครูบุ๋มหรือของใครครับ"
ดวงตาที่หันมาจ้องมองตาลาไตไม่ใช่แววตาของเด็กน้อยวัยสิบขวบเศษเลยสักนิด ฟางรีบเข้ามาปิดตู้
"หมี่ อย่ารื้อของน้าตาลสิ"
แต่หมี่กลับจ้องมองตาลาไตด้วยแววตาแบบเดิม "ที่ไม่อยากให้หนูกับฟางมา ก็เพราะอยากอยู่กับครูบุ๋มกัน 2 คนละสิ"
"หมี่" ฟางดุอีกครั้งแต่ตาลาไตกลับเปิดตู้เสื้อผ้า
"เสื้อผ้าของครูบุ๋ม แต่ที่ไม่อยากให้มาเพราะยังเล็กมาก แล้วน้าก็ทั้งเรียนโททั้งทำงาน ไม่อยากให้อุดอู้อยู่ในห้องแคบๆ กัน 2 คนต่างหาก"
"อุดอู้ตรงไหน น้าตาลหาที่เรียนปิดเทอมให้หนูกับฟางแล้วไม่ใช่หรือไง"
"ก็เออน่ะสิ"
ฟางหันมองตาลาไตที มองหมี่อีกทีแล้วหันไปยกกระเป๋าเสื้อผ้าวางไว้ที่ข้างตู้ ยังมีหนังสือมากมายเรียงเป็นตั้งกับคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ
...เพิ่งรู้ว่าตาลาไตเรียนต่อ...
"ส่วนเรื่องครูบุ๋มน่ะ น้าไม่ได้ปิดบังหรือคิดว่าต้องปิดบังหลบซ่อน แต่เขาไม่ได้อยู่ที่นี่ทุกวัน"
หมี่กัดปากแน่น จนตาลาไตต้องใจเย็นลงกว่าเดิม
"น้าเป็นแฟนกับครูบุ๋มไม่ได้แปลว่าน้าจะผิดสัญญากับหมี่"
"หนูก็สัญญากับน้าไว้ว่าจะไม่เป็นงูเห่าที่กัดชาวนา"
ตาลาไตจับศีรษะเล็กโยกเบาๆ แล้วหันไปกดรับโทรศัพท์ของบุ๋ม พอวางสายก็บอกให้ทั้ง 2 คนไปล้างหน้า เตรียมตัวออกไปข้างนอก
"จะพาไปดูโรงเรียนกวดวิชา อยู่ใกล้ๆ พอให้เดินไปเรียนกันได้ เสร็จแล้วจะพาไปกินข้าวดีมั้ย"
โรงเรียนกวดวิชาที่ตาลาไตบอก เป็นเพียงห้องแถวเล็กๆ ส่วนร้านอาหารที่ไปกินข้าวกันมีบุ๋มมารออยู่ก่อนแล้ว พร้อมกับสั่งอาหารไว้ด้วย
หมี่ส่งสายตาไม่เป็นมิตรให้กับบุ๋มตลอดเวลา จนกระทั่งแวะซูเปอร์มาร์เก็ตก่อนกลับเข้าห้องพัก บุ๋มถึงกับพยักหน้าหงึกหงักกับตัวเอง
....ตาลาไตมีความรู้สึกดีๆ ให้กับฟาง และสงสารหมี่
....ฟางค่อนไปทางเกรงใจตาลาไต
....หมี่หวงตาลาไตแน่นอน
....ดูไปดูมา เจ้าฟางกลายเป็นคนไม่มีพิษมีภัยกับใครมากที่สุด...
ถามใจตัวเอง ทำไมความรู้สึกถึงหยุดแค่ความน้อยใจที่เป็นส่วนเกิน แต่ไม่เคยคิดหึงหวง ไม่เคยสักครั้งที่อยากให้ตาลาไตไม่มองฟางแบบนี้
ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน
น้อยใจ แต่ไม่เคยคิดห้าม...
รู้แต่เพียงว่าตาลาไตเป็นคนดี
และฟางก็เป็นเด็กดี
เมื่อกลับเข้ามาในห้องพัก ฟางพาหมี่ไปอาบน้ำ ขณะที่บุ๋มเก็บของที่ซื้อมาเรียงเข้าตู้พลางหันมากระซิบกระซาบกับตาลาไต
"ตาลจะว่าบุ๋มคิดมาก หรืออะไรก็ตาม แต่ขอบอกไว้ก่อนเลยนะ ว่าถ้าบุ๋มเป็นอะไรไปก่อน ก็ขอให้เป็นฟางที่อยู่กับตาล"
"พูดอะไรน่ะบุ๋ม แช่งตัวเอง"
"ไม่ใช่แช่งตัวเอง" บุ๋มกลืนความรู้สึกบางอย่างไว้ในอก "แต่บุ๋มรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ชีวิตเรามันไม่มีอะไรแน่นอน ตาลอย่าติดว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ที่สำคัญหมี่น่ะมันเจอคนเลวมากกว่าคนดี ประสบการณ์ชีวิตของมันน่ะไม่ต้องพูดถึง ห่างจากฟางที่ทั้งชีวิตมันมีแต่เลี้ยงน้องกับเก็บผลไม้ลงเข่ง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น บุ๋มอยากให้ตาลฟังฟาง ไม่ใช่ตามใจแต่หมี่"
"ผมก็ไม่ได้ตามใจหมี่"
"เหรอ แล้วไอ้ขนมที่ซื้อมาเนี่ยของใคร"
ตาลาไตหันมามองขนมขบเคี้ยวที่ซื้อมาแล้วก็ต้องยอมรับ "ผมรู้สึกว่าเขาขาด"
"ก็เติมให้พอดี อย่าให้มันล้น"
"คร๊าบบบบ คุณครู"
"น้าตาล!" หมี่ทำเสียงเขียวออกมาจากห้องน้ำ เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของตาลาไตกับบุ๋ม
ทำให้บุ๋มหันมายิ้มขำกับตาลาไตทำนองว่า พูดยังไม่ทันขาดคำ ตาลาไตก็เลยหันมาให้ความสนใจกับหมี่
"หมี่จะ 12 แล้วทำไมยังให้ฟางอาบน้ำให้อีก หมี่เป็นหนุ่มแล้วอาบเองได้แล้วนะ"
"อยู่บ้านหนูทำเองนะ" หมี่รีบบอก "แต่ฟางอยากทำให้ต่างหาก"
ที่จริงอยู่บ้านหมี่ก็อาบน้ำเอง แต่ฟางเห็นว่าตาลาไตกับบุ๋มแทบจะไม่ได้คุยกันเลย เพราะหมี่คอยขัดอยู่ตลอด ก็เลยหาเรื่องมาอาบน้ำให้น้องเท่านั้น
ตาลาไตไปส่งบุ๋มแล้วกลับมาที่ห้องตอนสองทุ่มกว่า หมี่ถึงได้เข้านอน รอจนหมี่หลับสนิท ฟางถึงมีโอกาสบอกตาลาไต
นายตำรวจตัวใหญ่เข้าใจสิ่งที่ฟางบอก และเปลี่ยนไปถามเรื่องเรียน "เออ ก็พอจะเดาได้ ว่าแต่เราจะต้องซื้อแบบฝึกหัดแบบทดสอบอะไรหรือเปล่า"
“ฉันยืมของห้องสมุดโรงเรียนกลับไปทำที่บ้านได้ ไม่ต้องซื้อหรอก พี่เสียเงินจ่ายค่าเรียนพิเศษให้ฉันแล้ว"
นายตำรวจจับศีรษะเล็กๆ "นอนซะ พรุ่งนี้ฉันต้องเข้าเวรแต่เช้า จะกลับมากี่โมงก็ไม่รู้ เวลาจะลงไปกินข้าวต้องปิดล็อคห้องให้ดี"
"ครับ" ฟางรับคำสั่งแต่หันไปมองหมี่ที่หลับสนิท "เพราะเรา 2 คนมาทำให้พี่บุ๋มต้องกลับไปนอนบ้าน"
"อย่าแก่แดด" ตาลาไตดุ ทั้งที่ตอนที่ตัวเองอายุเท่าฟางแก่แดดมากกว่านี้ไม่รู้กี่เท่า "ฉันกับบุ๋มยังไม่ได้อยู่ด้วยกัน ก็แค่อยากมาก็มา"
ฟางนิ่วหน้า "พี่พูดแบบนี้พี่บุ๋มเสียหาย"
ตาลาไตเห็นด้วยกับที่ฟางพูด แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะบอกอย่างไรให้เข้าใจ
"เออ แล้วจะให้บอกว่ายังไงล่ะ ตอบแบบดาราหรือไง ว่างก็นัดเจอกัน"
ฟางยิ้มกว้าง "แบบนั้นดีกว่าตั้งเยอะ"
หมี่กับฟางหลับไปแล้ว แต่คนที่ตั้งใจว่าจะอ่านหนังสือกลับเสียสมาธิ เพราะรอยยิ้มซื่อๆ ของฟางยังติดตา
"กูหนอกู" ตาลาไตบ่นกับตัวเอง
เห็นกันมาตั้งนานทำไมจู่ๆ ถึงมีอาการแบบนี้
ตื่นเช้าด้วยเสียงเปิดประตูห้องและเสียงก๊อกน้ำ ที่จะว่าไปตอนที่บุ๋มมาค้างที่ห้องก็ไม่เคยได้ยินเสียงแบบนี้
หนุ่มตาคมกำลังรดน้ำต้นไม้ในกระถาง และเตรียมจะซักผ้าในตะกร้า
"ฟาง เอาผ้าลงไปซักที่ร้านข้างล่าง ไม่ต้องซักมือ" ตาลาไลเดินมาบอก ยกตะกร้าผ้าที่ระเบียง แต่ฟางรีบหันมาแย่ง
"ฉันซักผ้าได้นะครับ"
"เออ รู้ว่าซักได้ แต่ปกติฉันส่งซักที่ร้าน"
ฟางมองผ่านตาลาไตไปที่คนที่ยังนอนหลับอยู่ในห้องแล้วลดเสียงลง
"งั้นฉันซักของฉันกับหมี่ก็ได้"
"ก็จะซักทำไมให้มันยุ่งยาก"
ฟางส่ายหน้า ดวงตาใสซื่อบอกว่า เกรงใจไม่ใช่ดื้อ "ไม่ได้ยุ่งอะไร แค่ซักผ้าไม่กี่ชิ้น ห้องพี่ก็เล็กนิดเดียว กวาดถูไม่ถึง 10 นาทีก็เสร็จแล้ว"
"เออ ขอโทษที่ห้องเล็กไป"
ตาลาไตกระแทกเสียงใส่ ทำให้ฟางได้แต่ก้มหน้าพูดเสียงอ่อยๆ
"ไม่ได้หมายความอย่างนั้น"
แล้วฟางก็ได้ทำงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ สมใจ ก่อนที่จะออกมาทำงาน ตาลาไตไม่ลืมย้ำให้ปิดห้องให้ดี กลับเข้าห้องมาตอนค่ำ หนุ่มน้อย 2 คนนอนดูโทรทัศน์กันอย่างมีความสุข
....ห้องแคบไปสำหรับคน 3 คนจริงๆ....
สามทุ่มครึ่งหมี่ก็หลับไปแล้ว ส่วนฟางนั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงระเบียง ตาลาไตถือกระป๋องเบียร์เดินไปนั่งข้างๆ
"จะเรียนคณะอะไร"
"ครุมั๊งครับ" ฟางตอบแล้วก้มหน้าอ่านหนังสือต่อ
หนุ่มตาคมจดจ่ออยู่กับหนังสือในมือก็จริง แต่พอถูกคนที่นั่งข้างๆ จ้องหน้าก็ต้องหันกลับมามอง
"พี่ไม่เห็นด้วยหรือครับ ฉันยังไม่ได้ตัดสินใจหรอก"
"ฉันบอกอย่างนั้นหรือไง"
"ก็...." ฟางพูดแล้วเงียบ แต่ตาลาไตก็ยังคงจ้องมองอยู่เหมือนเดิม
"มีแฟนหรือยังน่ะเรา"
ฟางส่ายหน้า "พี่ห้ามฉันมีแฟน"
ตาลาไตยักคิ้ว ทั้งยกยิ้มมุมปาก "นั่นสินะ คำสั่งเพี้ยนๆ"
"ที่จริงพี่ไม่ต้องสั่ง ฉันก็ไม่มีอยู่แล้ว ใครจะมาสนใจลูกคนงานท้ายสวน"
"แล้วที่หมี่บอกว่า ลูกแม่ค้าอะไรนั่นล่ะ"
"หมี่กับไอ้ฝุ่นอาละวาดจนกระเจิงไปแล้ว" ฟางยิ้มจนตาพราว เมื่อนึกถึงตอนที่หมี่กับฝุ่นที่เป็นน้องชายคนรอง พยายามกีดกันเด็กสาวที่คอยเดินตามฟาง ด้วยเหตุผลที่ว่า ฟางต้องเลี้ยงน้อง ตอนนี้ยังมีแฟนไม่ได้
"กลายเป็นคาถาป้องกันตัวฉันไปเลย"
ฟางไม่ใช่คนคุยเก่งนัก แต่เวลาเล่าเรื่องก็ฟังเพลินเหมือนกัน หันไปดูนาฬิกาในห้องเกือบสี่ทุ่มก็เลยบอกให้เข้านอน
ตาลาไตกับหมี่นอนบนเตียง ส่วนฟางนอนหน้าเตียงเหมือนคืนก่อน
แต่ใจมันแปลกๆ สมองก็สั่งงานแปลกๆ
....มันสั่งว่าให้ลุกขึ้นแล้วลงไปนอนหน้าเตียง....
เป็นคำสั่งที่ไม่ต้องถูกต้องโดยสิ้นเชิง ทั้งยังคงเป็นคำสั่งที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ยิ่งขัดขืนไม่ทำตามก็กลายเป็นนอนไม่หลับ
...เป็นเอามากว่ะกู....
เรียนพิเศษช่วงปิดเทอมกลางเสร็จ ฟางหอบเอกสารและแบบทดสอบกองโตกลับบ้าน เพราะมีของหมี่ด้วย
"ตั้งใจเรียน สอบเข้าโรงเรียนกรุงเทพฯ ให้ได้ จะได้อยู่ด้วยกัน" ตาลาไตย้ำก่อนที่จะขับรถกลับออกมา
แต่พอหมี่ขึ้น ป.6 เทอมปลาย ตาลาไตก็ซื้อทาวน์ฮ้าส์ แล้วมารับพ่อกับแม่ไปกรุงเทพฯ แต่หมี่กับฟางไม่ได้มาด้วย น้าวันชาติบอกสั้นๆ แค่ว่าทั้ง 3 คนต้องไปศรีสะเกษต่อ
"ทำไมต้องไปไกลขนาดนั้น" หมี่ถาม "ไกลแค่ไหนหนูก็ไปได้"
"เออ เอ็ง 2 คนต้องได้ไปแน่ แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้"
เมื่อพ่อใหญ่กับแม่ใหญ่กลับมาหมี่ก็ได้ยินที่ผู้ใหญ่คุยกัน ว่าไปงานทำบุญที่ศรีสะเกษ เด็กน้อยวิ่งไปร้องไห้อยู่ในสวน จนกระทั่งฟางต้องมาตาม
"น้าตาลจะมีเมีย เขาจะมีลูกแล้วเขาก็จะทิ้งหมี่"
"ยังสักหน่อย เขาไปทำบุญบ้านพี่บุ๋มต่างหาก เขายังไม่ได้จะแต่งงานกัน" ฟางปลอบเด็กชายที่ตัวเล็กกว่าเด็กในวัยเดียวกัน โดยมีฝุ่นน้องชายของฟางอยู่ข้างๆ
"เดี๋ยวเขาก็แต่ง เขาพาผู้ใหญ่ไปพบกันแล้วนี่"
ฝุ่นช่วยปลอบตามประสาเด็กม.ปลาย "ถ้าเขามีครอบครัวแล้วไง หมี่ก็ยังมีพ่อใหญ่กับแม่ใหญ่ มีน้าวันชาติ ที่นี่ยังมีคนตั้งเยอะแยะ"
"มันไม่เหมือนกัน" หมี่หันไปตะคอกใส่หน้าฝุ่น
ปกติถ้าทำแบบนี้กับฟาง ฟางจะเฉยๆ แต่ฝุ่นโกรธจนลุกหนีไปนั่งหันหลังให้
"เด็กเอาแต่ใจ"
ฟางฟาดหลังมือลงที่ไหล่น้องชาย แต่หันมาปลอบหมี่จนหมี่หยุดร้องไห้ ฝุ่นถึงกับส่ายหน้าบ่นพึมที่พี่ชายเอาใจหมี่มากเกินไป
"พี่กู"
"ฝุ่น" พี่ชายหันมาดุน้องชายแล้วจับหมี่ขี่หลังกลับบ้าน "กลับเข้าบ้านอาบน้ำนอนดีกว่า"
เมื่อขี่จักรยานกลับมาบ้าน ฝุ่นบอกพี่ชายตามตรง "กูว่าคุณชายหมี่สอบ ม.1 โรงเรียนที่กรุงเทพฯ ไม่ได้หรอก"
"รู้ได้ไง หมี่อยากไปอยู่กรุงเทพฯ กับพี่ตาลมาก"
"อยากไปอยู่ก็ใช่ แต่ต้องสอบได้เท่านั้น แล้วดูคะแนนคุณชายที่พี่ชื่นชมนักหนาสิ วิทย์ สังคม อังกฤษ ได้กี่คะแนน พี่เก็บแรงไว้เหอะถ้าสอบไม่ได้ คุณชายงอแงสามวันสามคืนไม่จบแน่ๆ"
เงียบไปอีกอึดใจ ฝุ่นก็พูดอีก
"ถ้าพี่ต้องไปเรียนมหา'ลัยแล้วจะให้กูสอนคุณชายหมี่จริงๆ น่ะเหรอ ให้ไอ้ฝ้ายไม่ดีกว่าเหรอ"
"กูอาจสอบไม่ได้แล้วต้องเรียนเกษตรที่นี่ หรือไม่ก็เรียนมสธ.มึงก็ไม่ต้องเลี้ยงหมี่"
"จะเป็นไรมั้ย ถ้ากูไม่อยากให้พี่สอบได้น่ะ"
"แน่จริงมึงไปพูดต่อหน้าแม่ใหญ่สิ"
...เพราะแม่ใหญ่คือคนที่ประกาศว่าจะส่งฟางเรียนมหาวิทยาลัย....
"จ้างเหอะ ใครจะไปกล้า กูก็พูดไปงั้นแหละ พี่ได้ไปเรียนก็ดีมหา'ลัย เขามีหอพักใช่มั้ย"
"เออ"
"ดีเนอะ"
แต่ในใจฝุ่นยังคงไม่ค่อยอยากให้พี่ชายสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้สักเท่าไหร่
...ให้เป็นพี่เลี้ยง คอยสอนหนังสือคุณชายหมี่เนี่ยนะ ไอ้ฝุ่นคงต้องพกยาแก้ปวดหัวไว้ตลอดเวลาแน่ๆ....
====จบตอนที่ 2====
ที่ใส่ตัวสีแดงไว้ด้านบน ไม่ได้มีเจตนาต่อต้าน คัดค้าน ประท้วง หรือขับไล่ (นี่ถ้าใส่หน้ากากอีกอย่างจะอินเทรนมาก) คือผมแค่ไม่อยากสร้างความผิดหวัง หากคุณต้องการจะเห็นหมี่เป็นนายเอก
คิดว่าถ้าคุณอ่านมาถึงตรงนี้ คงรู้แล้วหล่ะ ว่าใครคือนายเอก
ตาลาไต ที่จริงคือ ตาราไต ที่แปลว่าดอกบัว แต่เปลี่ยน ร>>>ล เพื่อให้คล้องกับชื่อเล่น
เรื่องของเรื่องก็คือ หลังจากที่พี่ไจฟ์วางพล็อต ความรักความเชื่อมั่นในหมู่เพื่อนและพี่น้องมาหลายเรื่อง มาคราวนี้ พลิกครับพลิก
เนื่องจากพล็อตทั้งเรื่อง พี่ไจฟ์วางไว้ 25 ตอน แต่แบ่งออกเป็น 2 ภาค
ภาคแรก 19 ตอน ภาค 2 เพิ่งเขียนไปได้ 5 ตอน (มันจะเหลือแ่ค่ตอนเดียวก็จบใช่ป่ะละ) แต่ผมกำลังอู้ เอ้ยไม่ใช่ ขยายเรื่อง เพื่อไม่ให้มันห้วนเหมือนเรื่องก่อนหน้านี้
ที่มีองค์ขยันมาหนึ่งวูบ แล้วก็กลับหายวับไปไม่มาอีกเลย พี่ไจฟ์เขาเขียนอะไรเป็น post it อยู่แล้ว เขียนจบก็จบ ต่อไม่ได้อีกเหมือนกัน
เมื่อเวลาผ่านไป ก็กลับมาสุมหัวยอมรับ ...เอ่อ ต้องเป็นก้มหัวยอมรับสินะ ว่า มันห้วนเกินไป และไม่ควรเขียนอะไรแบบนั้นอีก
ขอขอบคุณที่คุณให้ความสนใจ และให้คำแนะนำ ขอบคุณมากครับ
อ่านไปเรื่อย ๆนะ อย่าเพิ่งทิ้งกัน...โตโน่กับริท เต๋าคชา ณเดชญาญ่า บอยมากี้ ด้วย
อย่าแปลกใจ ว่าทำไมวันนี้เวิ่นอะไรเนี่ย ผมกำลังเมาเค้กช็อคโกแลตน่ะ
ไจฟ์กับที ครับ
:m22:เดี๋ยวนะเดี๋ยว วันนี้วันศุกร์ ตามตารางต้องมาอีกทีวันจันทร์ใช่มั้ย แต่เราลงวันเว้นวัน แล้วตอนต่อไปจะมาวันอะไรไม่รู้เหมือนกัน