ร่างกายของผมอ่อนเพลีย ด้วยความที่ว่าขับรถมาเมื่อวาน บวกกับอดหลับอดนอนเขียนแบบงานอื่นๆต่อโดยไม่ได้พัก...อันที่จริงผมจะงีบสักหน่อยแล้วค่อยออกไปคุมงานก็ยังได้ แต่เมื่อนึกถึงใครบางคน ผมเลือกที่จะเก็บของลงกระเป๋าแล้วรีบขับรถไปยังสถานที่ก่อสร้างนั่นแทน
‘พี่ดีใจมาก...ที่ได้เจอเมืองอีกครั้ง’ ผมเขียนความรู้สึกลงไปในสมุดบันทึกเล่มเก่า...สมุดบันทึกของเมือง...ที่ผมพกติดตัวตลอดเวลา...
“มาแต่เช้าเลยนะครับคุณ” หัวหน้างานก่อสร้างทักแล้วยิ้มให้ผม มือก็เตรียมของ เตรียมอุปกรณ์งานก่อสร้างไปด้วย ผมยิ้มตอบแก...ตาก็มองหาร่างของเมืองไปพลาง
“เมือง...เอ่อ...น้องก้องไม่มาเหรอครับ” ผมถาม เมื่อมองไม่เห็นร่างของคนที่หวังว่าจะได้เจอในเช้าวันนี้
“โอย มันโดนคุณเติมกักตัวไว้ มาไม่ได้หรอก”
คุณเติม...คุณเติมอีกแล้ว...
“คุณเติมนี่เขาเป็นใครกัน...”
“ลูกชายของผู้รับเหมางานนี้ไงคุณ ลูกชายของเจ้านายผมเอง”
...แล้วเขาเป็นอะไรกับเมือง...
ผมได้แต่คิดคำถามนั้นในใจ ไม่กล้าถามอะไรออกไปเพราะ...กลัว...หากว่ามันจะเกินเลยไปมากกว่าที่ผมคิด...ผมขอเลือกที่จะไม่รับรู้เสียเลยดีกว่า
“เดี๋ยวช่วงเที่ยงคุณเติมก็จะพามันเข้ามาเองล่ะคุณ ยังไงก้องมันต้องเข้ามาส่งข้าวส่งน้ำให้คนงานอยู่แล้ว เดี๋ยวคงได้เจอ”
ใช่...เดี๋ยวคงได้เจอ...มันไม่ทรมานเท่าไหร่นักหรอกกับการรอในตอนนี้...หกปีที่ผ่านมาผมทรมานมากกว่านี้เสียอีก
...
“เฮ้ย คุณเติมมาแล้ว พักเที่ยงๆ!” เสียงหัวหน้างานก่อสร้างตะโกนผ่านโทรโข่งบอกลูกน้อง ผมเองก็ก้าวออกมายืนรอด้วยความใจจดใจจ่อ เห็นร่างเล็กๆนั่นหิ้วกระติกน้ำเข้ามาจนตัวเอียง ก่อนจะวางปุลงข้างหม้อใหญ่ๆที่คุณเติมยกมาวางก่อนหน้านี้
“วันนี้มีอะไรกินวะไอ้ก้อง”
“ลุงสมัยอยากทานอะไร ก้องทำให้หมดเลย”
...พี่โอ้อยากทานอะไร เมืองทำให้หมดเลย... ผมเห็นภาพของเมืองคนเก่า ซ้อนทับกับภาพของเมืองคนใหม่ในวันนี้ แตกต่างกันตรงที่รอบตัวเมือง มีแต่คนห้อมล้อมด้วยความเอ็นดู ไม่มีใครรังเกียจเขาแบบเมื่อก่อน...ไม่มีใครรังเกียจน้อง เหมือนที่ผมเคยทำพลาดไป...
“อ้าวคุณ ยืนเหม่ออะไรอยู่ครับ มาทานข้าวด้วยกันไหม ไอ้ก้องทำกับข้าวอร่อยนะ” หัวหน้าคนงานเอ่ยปากชวน คนทำกับข้าวมาจึงมองมาทางผมก่อนจะหลุบสายตาแล้วเข้าไปยืนชิดคุณเติม...หัวใจของผมวูบโหวง...เมื่อได้เห็นภาพนั้น
“น่าทานมากเลยนะครับ” ผมเดินเข้าไปเอ่ยปากชม น้องก็เอาแต่ก้มหน้า ไม่ยอมมองผม
“เชิญๆ อร่อยมากครับคุณ ไม่ต้องไปหากินร้านแพงๆ ฝีมือไอ้ก้องคนเดียวนี่แหล่ะเอาอยู่” เขาพูดแล้วหัวเราะร่วน
...รู้สิ ทำไมผมจะไม่รู้ว่าเมืองทำอาหารอร่อยมากแค่ไหน...
“ทานกันก่อนเลยครับ ถ้าเหลือ...ก็เก็บไว้ให้ผมด้วยนะ” ผมพูดแล้วมองหน้าน้อง
...ถ้าพี่ยังพอมีโอกาส ก็เก็บไว้ให้พี่ด้วยนะ...
“พี่เติม กลับกันเถอะ” เสียงเบาๆพูดขึ้นมา พร้อมกับกระตุกชายเสื้อของผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างๆ รู้ไหมว่าการแสดงท่าทีที่รังเกียจกัน มันทำให้ผมเจ็บปวดมากแค่ไหน
“อ้าว วันนี้ไม่อยู่ช่วยกูผสมปูนก่อนวะ ชอบไม่ใช่เหรอ” เสียงหัวหน้างานก่อสร้างพูดล้อ
“นี่ไง เจอแล้วตัวการใช้แฟนผมผสมปูน รู้ไหมว่าน้องเกลื้อนขึ้นตามตัวเต็มไปหมด”
...แฟน... เมื่อกี้คุณเติมพูดว่าแฟนอย่างนั้นเหรอ...
“อ้าว มึงไม่อาบน้ำให้ดีๆวะไอ้ก้อง” หัวหน้างานก่อสร้างพูด เรียกเสียงหัวเราะจากคนงานที่นั่งล้อมวงกินข้าวอยู่ตรงนั้น ผมเห็นเมืองแก้มแดง พร้อมกับยิ้มเขิน
สีหน้าของผมเจื่อนลง...และคงไม่มีใครรู้ ว่าภายใต้ใบหน้าที่แสร้งทำเป็นปกตินั่น...ผมอยากร้องไห้ออกมามากเพียงใด
...
เวลาล่วงเลยไปจนมาถึงวันนี้...วันสุดท้ายที่ผมจะอยู่คุมงานที่นี่...และอาจเป็นวันสุดท้ายที่ผม...จะได้พบหน้าเมือง...
ตลอดระยะเวลาหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่าน ผมคอยจับตา และเฝ้าสังเกต...ทำแม้กระทั่งขับรถตามไปดูว่าที่ๆน้องอาศัยอยู่มันเป็นยังไง เมื่อผมได้เห็นก็เบาใจ น้องไม่ได้ลำบากอย่างที่เคยคิด และคุณเติมก็เป็นผู้ชายที่ดีพอ...ดีพอที่จะดูแลน้องได้ดีกว่าคนเลวอย่างผม
“ตรงตามแบบเรียบร้อยดี ไม่มีปัญหาอะไรนะครับ...ส่วนอาคารนี้เรารับประกันหนึ่งปี หากมีส่วนไหนชำรุด เช่นหลังคารั่วหรือฝนสาด ให้ทางเจ้าของอาคารแจ้งได้เลยครับ ทางเราจะรีบแก้ไขให้” คุณเติมพูดกับผม ก่อนจะหันไปพูดกับเจ้าของอาคารตอนที่เราเดินตรวจงานกันอยู่ แต่บอกตามตรง...จิตใจของผมไม่ได้จดจ่ออยู่กับเนื้อความเลย สายตามันคอยแต่จะแอบมองคนที่เดินตามหลังคุณเติมต้อยๆนั่น...วันนี้วันสุดท้ายแล้ว เรายังไม่มีโอกาสได้คุยกันจริงๆจังๆสักที
“หวังว่าจะได้ร่วมงานกันอีกนะครับคุณเจ้าของ แล้วก็คุณ...”
“โอฬารครับ” ผมตอบและยกมือขึ้นจับตอบคนตรงหน้า ผมบีบมือเขาแน่น พยายามสื่ออะไรบางอย่างผ่านแววตา
...ฝากดูแลเมืองด้วย ดูแลเขาให้ดีกว่าผม...
“มันยังมีนั่งร้านบางส่วนที่ยังไม่ได้ขนย้ายออกไป ถ้ายังไงผมจะเร่งให้คนงานรีบจัดการนะครับ” คุณเติมพูดหลังจากที่เราออกมาจากอาคาร ก่อนจะขอปลีกตัวเดินไปหาคนงานที่รออยู่...ใครบางคนที่ผมเฝ้าคิดถึงตลอดเวลากำลังเดินตามไป ถ้าไม่ติดว่าผมเรียกเอาไว้เสียก่อน
“เมือง...” ผมครางชื่อของน้องออกไปอย่างเจ็บปวด อีกคนไม่ได้หันมามอง แต่ก็ไม่ได้แสดงอาการหวาดกลัวเกินกว่าที่เป็น
“พี่มีของจะคืนให้...สมุดบันทึกของเมือง...ขอโทษนะที่ถือวิสาสะเปิดอ่าน แล้วก็...เขียนอะไรไร้สาระนิดหน่อย ฮะๆ...”
เสียงหัวเราะของผมเงียบหาย เมื่อพบว่ามันไม่ตลก...
“พอดีว่า เจ้าของหอที่เมืองเช่าอยู่ เขาเห็นว่าเมืองหายไปนาน ก็เลยขนข้าวของในห้องของเมืองออกมาทิ้ง พี่เลยไปเก็บเอามา...สมุดบันทึกนี่ก็ใช่...ยังมี...เสื้อผ้า...หนังสือเรียน...ของใช้อื่นๆของเมือง...เยอะแยะเต็มห้องพี่ไปหมด...ถ้าเมืองอยากได้คืน พี่จะเอามาให้นะ”
ว่างเปล่า...เมื่อไม่มีเสียงตอบกลับมา เหมือนผมเป็นบ้า พูดกับตัวเองคนเดียว...
“พี่วาง...สมุดบันทึกไว้ตรงนี้นะ ไม่รู้ว่าเมืองจะอยากได้คืนอยู่รึเปล่า แต่พี่...ไม่อยากแบกรับความทุกข์ทั้งของเมืองและของพี่เอาไว้อีกแล้ว”
ผมวางมันลงกับพื้น ข้างๆเท้าของคนที่ยืนนิ่ง...อยากจะโอบกอดแผ่นหลังนั่นอีกสักครั้ง แต่ผม...คงทำไม่ได้
“พี่ขอโทษ...และไม่เป็นไรเลย หากเมืองจะไม่ยกโทษให้...”
...แต่อย่างน้อยตอนนี้ เมืองช่วยหันมามองพี่สักครั้งได้ไหม...
“พี่ดีใจที่ได้เจอเมืองอีกครั้ง...ได้เห็นเมืองมีชีวิตที่ดีเท่านี้พี่ก็มีความสุขแล้ว...พี่รักเมืองนะ และจะรักตลอดไป...”
...แค่รับรู้ไว้ก็พอ อย่าได้ใส่ใจคำบอกรักโง่ๆของพี่เลย...
ผมหันหลังกลับ เมื่อรู้ตัวว่าน้ำตาพาลจะไหลลงมา...และมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ...ผมก้าวเดินอย่างคนไร้สติ...ไม่อยากรับรู้เรื่องราวที่เจ็บปวดอะไรทั้งนั้น...ความใฝ่ฝันของผมที่อยากได้ยินเสียงของคนที่รัก...อยากกอด...อยากกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อน...มันพังทลายลงแล้วในวันนี้...
“พี่โอ้ ระวัง!” ...สำหรับผม ถ้าหัวใจไม่เจ็บปวดอีกเลย ก็คงจะดี...
...