“ฮัลโหล คุณออย คุณเป็นอะไรทำไมผมติดต่อคุณไม่ได้เลย”
“อาออยไม่อยู่หรอกฮะ ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหน ฮ้าว”
คิมหันต์ดึงโทรศัพท์ห่างจากหู ตาเรียวมองไปที่หน้าจอที่ยังคงแสดงเบอร์โทรของอาณกรทว่าเสียงที่รับสายกลับเป็นเสียงของเด็ก วินาทีแรกเขาคิดว่ามีการผิดพลาดทางสัญญาณเสียอีก เขาลองแนบหูกลับไปอีกครั้งตั้งสติให้มากกว่าเดิมแล้วถามกลับไป
“หนูเป็นใคร”
“พิกเล็ตฮะ พี่เป็นใครหรือฮะ”
“พี่เอง หมอคีย์ไง”
“อ้อ! พี่เองหรือฮะ” พิกเล็ตดูเหมือนจะตื่นเต็มตา น้ำเสียงไม่งัวเงียดังเช่นตอนแรก เขาได้ยินเสียงเสียดสีของผ้าคาดว่าเจ้าตัวน้อยคงจะลุกขึ้นจากที่นอน
“ทำไมพิกเล็ตถึงรับโทรศัพท์ของอาออยได้ล่ะ แล้วอาของหนูไปไหน”
“ไม่รู้ฮะ” เด็กชายตอบเสียงใสขึ้นกว่าเดิม “พี่เมี่ยงบอกว่าเจอโทรศัพท์ที่สนามหญ้าก็เลยเอามาให้หนูไว้”
“แล้วพี่เมี่ยงเอาโทรศัพท์มาให้พิกเล็ตตอนไหน” คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน ความสงสัยทวีคูณ
“ตอนเย็นฮะ พี่คีย์มีอะไรหรือเปล่าฮะถ้าหนูเจออาออยแล้วจะบอกให้”
“มะ ไม่มี พิกเล็ตนอนต่อเถอะครับ พี่กวนแล้ว”
“ได้ฮะ ราตรีสวัสดิ์นะฮะ”
“ครับ ฝันดีเจ้าตัวน้อย”
เขารอให้ปลายสายวางหูไปก่อนแล้วค่อยกดยุติการสนทนา เขาเชื่อว่าอาณกรไม่ใช่คนเผลอเรอจนทำโทรศัพท์หล่นแล้วไม่รู้ตัว ซ้ำช่วงเวลาที่เขาติดต่อไม่ได้ยังใกล้เคียงกับที่เมี่ยงเจอโทรศัพท์อีกด้วยเป็นไปได้ว่าอาณกรอาจจะหายตัวไปในช่วงเวลานั้นพอดี อีกความสงสัยที่ตามมาคืออาณกรหายไปไหน เป็นไปไม่ได้ที่จะถูกลักพาตัวไปเรียกค่าไถ่เพราะนอกจากเขาที่ไม่ค่อยจะลงรอยกันเท่าไรนักพ่อหนุ่มตัวเล็กก็ไม่น่าจะมีศัตรูที่ไหนอีก
ใจเขาหายวาบสิ่งที่กังวลอาจจะเป็นจริงก็ได้ อาณกรคงจะเสียใจมากจนเผลอทำเรื่องโง่ๆ ลงไป ความเป็นห่วงท้นในอก ร่างสูงตรงรี่ไปยังรถยนต์คู่ใจทันทีโดยมีเป้าหมายอยู่ที่ไร่เคียงฟ้า...
…………………….
อากาศตอนตีสองมันเย็นจนต้องห่อตัวเข้าหากันแม้จะใช้สองแขนโอบกอดตัวเองแล้วแต่ความหนาวเย็นก็ไม่ได้ทุเลาลงแม้แต่น้อยพอได้อยู่คนเดียวเขาก็กลับไปคิดเรื่องเดิมๆ อีกครั้ง แม้ว่าจะพอรู้อยู่บ้างว่าผู้ชายที่เขาแอบแรกมาเกือบสิบปีจะไม่เคยชายตามาแลกันมันเอาเข้าจริงๆ ไม่ว่าผู้ชายคนนั้นจะรักใครการทำใจให้ยอมรับมันก็ยังเป็นเรื่องยากอยู่ดี น้ำตาไม่ได้ไหลลงมาอีกแต่ความชอกช้ำในหัวใจก็ยังคงมีอยู่ เขารู้สึกถึงความปวดหนึบที่รอบกระบอกตาและลำคอที่แห้งผากก่อนหน้านี้คงจะร้องไห้หนักจนหลับไป ไม่ใช่แค่หลับไปเขายังไม่รู้ตัวอีกด้วยไม่รู้กระทั่งว่าปืนพาเขาไปที่บ้าน แถมยังนอนบนเตียงเดียวกันที่ร้ายไปกว่านั้นเขายังใช้อกของปืนเป็นที่ซับน้ำตาอีกด้วย ลมหายใจที่มีแต่ความเจ็บปวดถูกระบายออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า
ความรู้สึกที่มีต่อปืนแน่นอนว่ามันไม่มีอะไรเกินเลยนอกจากเพื่อนร่วมงาน เขาไม่เคยคิดว่าคนในไร่มีศักดิ์ต่ำกว่าตัวเองเพราะเขาก็กินเงินเดือนของพศินเช่นกัน แต่คำพูดของปืนมันทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่าอีกฝ่ายอาจจะคิดอย่างอื่นก็เป็นได้ เรื่องหัวใจของคนอื่นเขาไม่รู้ลำพังแค่หัวใจตัวเองก็เจ็บมากพอแล้ว ตอนนี้เขาไม่อยากคิดถึงเรื่องใดอีกอยากทำใจให้ชาชินได้เร็วในวันเท่านั้น ถึงอยากจะเป็นคนที่พศินเลือกแค่ไหนแต่ขณะเดียวกันเขาก็ไม่อยากถูกเกลียด
ร่างเล็กทรุดลงนั่งบนขอนไม้ใต้ต้นอินทนิลน้ำ ดอกสีชมพูดูสดใสแม้จะอยู่ในความมืดกลิ่นหอมอ่อนๆ ส่งกลิ่นไปทั่วบริเวณ น้ำค้างเริ่มเกาะตามใบเรียวและหยดใส่พื้นดิน บรรยากาศที่เขาคุ้นชินมาหลายปีแต่ไม่รู้ว่าจะได้อยู่ชื่นชมมันไปอีกนานแค่ไหน ยอมรับว่าเหนื่อยไม่น้อยกับการรักข้างเดียว เหนื่อยที่ต้องหลอกตัวเองซ้ำซากว่าตัวเองยังสำคัญทั้งที่หากไม่มีเขาแล้วอีกคนคงอยู่ได้ ดวงตาหวานเหม่อมองไปยังความมืดที่เวิ้งว้าง รอบกายมีแค่เสียงแมลงกลางคืนที่เป็นเพื่อนเท่านั้น บ้านเคียงฟ้าอยู่ห่างออกไปเกือบสามร้อยเมตรแต่ก็ยังมองเห็นได้ในระยะสายตา ไฟในบ้านปิดหมดมีแต่เพียงไฟดวงยาวที่หน้าบ้านเท่านั้นที่ให้แสงสว่าง พศินคงไม่มีเวลามาสนใจว่าเขาหายไปยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัวใจ แต่จะห้ามไม่ให้คิดก็ทำไม่ได้...จะรักมันไม่ยากแต่จะให้เลิกรักมันไม่ง่ายเลย ไม่เช่นนั้นเขาคงไปอยู่ที่อื่นนานแล้วไม่ปักหลักดักดานอยู่ที่นี่นานเกือบสิบปีอย่างนี้หรอก
เปลือกตาบวมปิดลงพลางลมหายใจที่ผ่อนออกเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นจากที่นั่งแต่ยังไม่ทันได้ยืดกายหูก็ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ที่ดังใกล้เข้ามา ความสงสัยมาพร้อมกับความหวาดระแวง ไร่เคียงฟ้าไม่เคยมีใครมาเยือนยามวิกาลเว้นเสียแต่ผู้ไม่ประสงค์ดี ร่างเล็กเคลื่อนกายซ่อนหลังต้นอินทนิลใช้ความมืดพรางกายรอคอยเจ้าเครื่องยนต์ที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ใจเต้นลุ้นระทึกคิดไปต่างๆ นานา ตั้งคนที่อาจรู้จักจนไปถึงโจรผู้ร้าย ไม่นานหลังจากการได้ยินรถยนต์ที่เป็นต้นตอของเสียงก็หยุดลงแถวหน้าบ้านเคียงฟ้า เขาเห็นเงาตะคุ่มที่ส่วนสูงและท่าทางการเดินคุ้นตาเดินตรงรี่เข้าไปที่ตัวบ้าน เจ้าของเงาดูคล้ายกระสับกระส่ายและละล้าละลัง เขาประเมินจากการมองเห็นและความจำของตัวเอง เพ่งมองเงาร่างสูงนั่นอีกครั้งแล้วพยายามคิดว่ารูปร่างและลักษณะเช่นนั้นเขาเคยเห็นที่ไหนมาก่อนหรือเปล่า เพียงไม่นานหลังจากใช้ความคิดเขาก็นึกขึ้นได้ว่าร่างที่เห็นนั้นมันคล้ายกับใครคนหนึ่ง...ใครคนที่โทรมาบอกเรื่องเจ็บปวดกับเขาเมื่อช่วงบ่าย
ถ้าเดาไม่ผิดผู้มาเยือนอย่างผิดเวลาน่าจะเป็นคิมหันต์ แต่นั่นไม่น่าแปลกใจเท่ากับว่าคิมหันต์มาทำอะไรที่นี่ตอนตีสอง ร่างบางสืบเท้าจากที่หลบซ่อนเขาเดินอย่างเงียบเชียบไปหาเจ้าของร่างสูง
“คุณมาทำอะไร”
“อ้าวเฮ้ย!” คุณหมอตัวสูงสะดุ้งโหยงพลิกตัวหมุนเร็ว ตาเรียวเบิกกว้างสะท้อนความตกใจมาช่วยประเดี๋ยว แต่แค่กระพริบตามันก็ฉายอีกแววออกมา “คุณไปไหนมา!”
“คุณต่างหากที่ต้องตอบคำถามผม” ร่างเล็กกอดอกเอียงคอมองอีกฝ่าย ไม่รู้ว่าเพราะตาที่บวมช้ำของตัวเองหรือความมืดกันแน่ที่ทำให้เขาเห็นความห่วงใยใจดวงตาคู่นั้น
“ก็คุณเล่นหายไปเลย ผมโทรเท่าไรก็ไม่รับ”
คิ้วเรียวแต่ไม่เล็กยกขึ้นก่อนจะคลำหาเจ้าเครื่องมือสื่อสาร แล้วก็ตกใจเมื่อค้นหามันไม่พบ “ตายแล้วโทรศัพท์ผม”
“อยู่กับพิกเล็ต” ผู้มาเยือนบอก “ผมโทรไปตอนตีหนึ่งกว่าๆ พิกเล็ตเป็นคนรับบอกว่าเมี่ยงเก็บโทรศัพท์ได้ แตไม่พบคุณผมก็เลยเป็นห่วง”
“เป็นห่วง?” แสงไฟจากหลอดนีออนหลอดยาวส่องสว่างมากพอที่จะเห็นความประหลาดใจบนใบหน้าสวยเกินชาย
“จะไม่ให้ห่วงได้ยังไง ก็เล่นหายไปเลย” คิมหันต์ตอบกลับ หันหน้าเข้าหามุมมืดเพื่อซ่อนใบหน้าที่อาจจะแดงขึ้นของตัวเอง แต่ตายังเหลือบมองไปยังคนตัวเล็ก ยอมรับว่าโล่งใจที่เห็นว่าอาณกรยังอยู่ครบสามสิบสองแม้ว่ารอบดวงตาหวานจะดูช้ำกว่าปกติ
“ผมไม่เป็นไร เจ็บจนชินแล้ว” อาณกรบอก ยิ้มขมขื่นให้กับตัวเอง เจ็บบ่อยๆ มันก็ค่อยๆ ชินไปเองอย่างที่เพลงว่านั่นแหละ
“แล้วคุณล่ะเป็นอย่างไรบ้าง เจ็บมากหรือเปล่า”
“ก็เจ็บอยู่นะ แต่คิดว่าอาจจะไม่เท่าคุณ” คิมหันต์รับสารภาพ จนถึงตอนนี้ก็ยังเจ็บที่หัวใจอยู่ใครจะไปทำใจได้ง่ายๆ คนที่ชอบไปนอนกับคนอื่น แถมยังทิ้งรอยไว้ให้ช้ำใจเล่นอีก ไอ้บ้าเสือมันร้ายกว่าที่คิดมากนัก
“ไม่หรอก จะเจ็บมากหรือเจ็บน้อยก็เจ็บมันก็เจ็บเหมือนกัน”
คุณหมอตัวสูงหันมองหน้าหวาน อาณกรเข้มแข็งกว่าที่คิดแม้ดวงตาจะเศร้าสร้อยกว่าปกติแต่เขาก็ยังเห็นความแข็งแกร่งซ่อนอยู่ หัวอกเดียวกันระดับความเจ็บปวดแตกต่างกันอยู่บ้างทว่าต่างฝ่ายต่างก็รู้ว่าควรจะทำให้อย่างไรเพื่อให้หลุดพ้นจากความรู้สึกนี้ คิมหันต์ถอนหายใจเป็นเชิงโล่งอกก่อนจะหัวเราะในความบ้าบิ่นของตัวเอง อุตส่าห์ขับรถฝ่าความมืดออกมาเพราะห่วงว่าคู่แข่งตัวเล็กจะเผลอทำเรื่องโง่ๆ เข้า ถ้าหากเขามีสติมากกว่าจะรู้ว่าคนที่โง่คือตัวเขาเองต่างหาก มือขาวยกขึ้นลูบท้ายทอยตัวเองเบาๆ พอทบทวนพฤติกรรมของตัวเองแล้วมันก็อดอายขึ้นมาไม่ได้
“คะ คุณยังไม่ได้ตอบคำถามผมเลยว่าหายไปไหนมา”
ตาหวานมองไปที่มือของคนตัวสูงที่ลูบอยู่แถวท้ายทอยก่อนจะหลุบต่ำมองยอดหญ้า อากาศเย็นถูกดึงเข้าปอด “บ้านปืน”
“บ้านนายปืน! คุณไปทำอะไรที่นั่น”
“ไม่รู้เหมือนกัน ตื่นมาก็อยู่ที่บ้านของปืนแล้ว”
“อย่าบอกว่านะว่าเสียใจจนสลบไป”
“จะบ้าหรือไง ผมคงเพลียมากจนไม่รู้เรื่องอะไร ปืนเขาเป็นห่วงก็เลยพาไปไว้...ที่บ้านตัวเอง” ท้ายประโยคแผ่วลง เพราะคนพูดก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทำไมปืนถึงพาไปที่บ้านพักส่วนตัวแทนที่จะพากลับไปที่บ้านเคียงฟ้า พูดแปลกๆ ใส่ ซ้ำยังไล่ออกมาอีก
“บ้านตัวเองเนี่ยนะ มันไม่แปลกไปหน่อยหรือไง”
“ช่างเถอะน่า ถึงอย่างไรเขาก็เป็นห่วงผม”
หนุ่มตัวสูงยักไหล่อย่างที่ชอบทำเป็นประจำ “มีคนเป็นห่วงแล้วก็ดี ผมจะได้กลับ”
อาณกรมองผู้ชายตัวสูงที่ยังอยู่ในชุดลำลองไม่ใช่ชุดนอน ซึ่งก็ไม่ต่างกันกับเขา คิมหันต์หมุนกายทำท่าจะกลับไปที่รถยนต์ของตัวเอง โดยไม่รู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่เขาเผลอยื่นมือไปคว้าท่อนแขนยาวไว้ ใบหน้าขาวสะอาดผินกลับมาคิ้วหนายกสูงเป็นเชิงสงสัย
“มีอะไรหรือ?”
“เอ่อ...” อาณกรมองมือตัวเองบนแขนของอีกฝ่าย ปากเม้มเข้าหากันเพราะทำไปโดยไม่คิดเลยหาคำพูดมาตอบคำถามไม่ได้ นานชั่วอึดใจจนที่สุดก็เอ่ยคำที่อยู่ในใจออกมาได้ “อย่าเพิ่งกลับได้ไหม”
คิ้วหนาเปลี่ยนมาขมวดเข้าหากันแทน ตาคมมองศีรษะกลมที่ก้มต่ำ เขาชั่งใจกับคำชวนนั้นแล้วพยักหน้าตอบรับ บางทีการที่ได้อยู่กับคนเจ็บเหมือนกันมันอาจจะแชร์ความเจ็บให้ทุเลาลงได้บ้าง
“แต่ผมไม่อยากอยู่ที่นี่ ไปที่อื่นได้หรือเปล่า”
อารณกรไม่รู้ว่าอะไรเข้าสิงเขาถึงได้ตอบตกลงไปโดยไม่มีแม้แต่คำถามว่าหากไม่ใช่ที่ไร่เคียงฟ้าคิมหันต์จะพาเขาไปที่แห่งใดกัน กว่าจะรู้ตัวรถเก๋งกลางเก่ากลางใหม่ก็เคลื่อนห่างจากไร่เคียงฟ้าหลายกิโลเมตรเสียแล้ว...
……………………….
“อาภูมิง่วงหรือฮะ”
อยากจะปฏิเสธข้อสงสัยของเจ้าตัวเล็กนักแต่ปากมันดันหาวไม่ยอมหยุด แถมน้ำตายังซึมที่ขอบตาอีกต่างหากฟ้องด้วยภาพให้เด็กจับได้ว่าเขากำลังง่วงจริงๆ จักษุแพทย์พยายามยิ้มที่ปากยังอ้าอยู่ให้หลานชายตัวน้อย ปล่อยมือจากพวงมาลัยข้างหนึ่งแล้วยกมือลูบที่หัวทุยเบาๆ
“อาเพิ่งออกเวรน่ะ ยังไม่ได้นอนเลย”
“ขอโทษนะฮะ เพราะพิกเล็ตอาภูมิเลยอดนอนเลย” เจ้าตัวเล็กหน้าจ๋อยลงไปจนเขารู้สึกผิดต้องรีบแก้ตัว
“ไม่ใช่เพราะพิกเล็ตหรอกครับ มันเป็นหน้าที่ของอาอยู่แล้ว”
แต่หลานชายยังไม่กลับมาสดใสเหมือนเดิม ใบหน้าขาวก้มต่ำไรผมทิ่มอยู่ตามเปลือกตาบาง “รู้อย่างนี้หนูหยุดเรียนดีกว่า”
“ไมได้นะครับ เป็นเด็กก็ต้องไปเรียนหนังสือ อาแค่ง่วงนอนเองครับพอส่งหนูเสร็จอาก็ได้นอนแล้ว ใช่ไหมกิ่งแก้ว”
เด็กหญิงกิ่งแก้วเงยหน้าจากเกมกดที่เพิ่งได้คิวมาจากเพื่อนในห้องทำหน้าเหรอหรามองผู้ใหญ่ แต่ก็พยักหน้าหงึกหงักไปตามเรื่องตามราวทั้งที่ไม่รู้สึกนิดว่าคุณอาหมอสุดหล่อคนนี้ถามว่าอะไร
“ว่าแต่วันนี้ห่ออะไรไปกินครับ อาออยไม่อยู่อย่างนี้ไม่ลำบากหรือครับ” หมอหนุ่มเปลี่ยนประเด็น ยอมรับว่ารู้สึกไม่ดีเอาเสียเลยเมื่อเห็นหน้าหงอยๆ ของหลานชาย พิกเล็ตยอมเงยหน้าจากตัก ตากลมกลิ้งไปมาอย่างใช้ความคิด
“พี่เมี่ยงทำฮะ วันนี้หนูเอาไข่ตุ๋นใส่ปูอัด แฮมแล้วก็แครอทไป เมื่อเช้าหนูก็กินข้าวเองพี่เมี่ยงบอกว่าหนูเก่งแล้วกินข้าวเองได้”
เขาแทบจะหายง่วงกับคำบอกเล่าที่แสนไร้เดียงสาของหลานชาย ตลอดห้าปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยได้ทำหน้าที่ของอาแท้ๆ เลยสักครั้ง เจอกันอีกทีพิกเล็ตก็โตจนช่วยเหลือตัวเองได้แล้วซ้ำยังเก่งกว่าที่เขาคิดไว้ เจ้าตัวน้อยไม่งี่เง่าเหมือนเด็กในวัยเดียวกัน น้ากลอยแม่ของกิ่งแก้วบอกว่าตอนที่ปารินทิ้งไปพิกเล็ตไม่เคยร้องหาด้วยซ้ำแถมยังดูแลพ่อที่ขี้เทาอีกด้วย พอจะรู้มาว่าอารณกรทำหน้าที่ทั้งแม่และพี่เลี้ยง เจ้าตัวเล็กเลยติดอาออยแจ เลยอดสงสารไม่ได้ว่าในยามที่อาออยหายตัวไปอย่างไร้สาเหตุเช่นนี้พิตเล็ตจะพึ่งตัวเองได้หรือไม่ แต่จากการประโยคเมื่อครู่หลานชายตัวน้อยของเขาพิสูจน์แล้วว่าแม้จะไม่มีผู้ใหญ่พิกเล็ตก็สามารถดูแลตัวเองได้
คิดแล้วก็อดโมโหไม่ได้ ไม่รู้ว่าทั้งพี่ชาย ปารินและอาณกรหายไปไหนกันหมดทิ้งให้เจ้าตัวน้อยอยู่บ้านกับเมี่ยงกันแค่สองคนเท่านั้น นี่ถ้าหากเมี่ยงไม่โทรไปบอกกับเขาว่าไม่มีใครไปส่งทั้งพิกเล็ตและกิ่งแก้วคงไม่ได้ไปโรงเรียน เขาเลยต้องออกจากเวรก่อนเวลา หูชาไปหมดเพราะโดนผู้อำนวยการใหญ่โทรมาเล่นงานข้อหาที่กลับก่อนเวลามาสองครั้งแล้ว ครั้งแรกเมื่อวันที่หนึ่งพฤศจิกายนวันเกิดของคุณพี่ชาย และวันนี้วันที่เขาได้ทำหน้าอาเป็นครั้งแรก ส่วนตอนเย็นถ้าอาณกรยังไม่กลับมาเขาก็จะมารับพิกเล็ตด้วยตัวเอง
เขาชวนเด็กทั้งสองคุยไปเรื่อยๆ ทั้งเรื่องอาหาร ขนม การเรียนรวมไปถึงการ์ตูนเรื่องโปรด นึกละอายใจเหลือเกินที่หลานอายุห้าขวบแล้วแต่เขาเพิ่งรู้ว่าพิกเล็ตชอบกินช็อกโกแล็ค
“พิกเล็ตรักอาไหมครับ” ชายหนุ่มถามเสียงนุ่ม ยกมือขึ้นลูบศีรษะเล็กเบาๆ เจ้าตัวน้อยพยักหน้าหงึก แต่ดวงตายังมีแววลังเล ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจนักเพราะพิกเล็ตเพิ่งจะรู้ว่ามีอาแท้ๆ เมื่อไม่กี่วันนี่เอง ภาคภูมิยิ้มอ่อนโยนในอกเต็มตื้นรู้สึกถึงคำว่าครอบครัวขึ้นมา “จากนี้ไปอาจะทำหน้าที่ของอาอย่างเต็มที่เสียที”
พิกเล็ตทำหน้างง คงไม่เข้าใจในคำพูดของผู้ใหญ่นัก เขาไม่พูดอะไรต่อเบนสายตากลับไปที่ถนนใหญ่หลายปีที่ผ่านมาเขาอยู่คนเดียวมาตลอดห่างเหินสิ่งที่เรียกว่าครอบครัวมานาน...นานจนเกือบลืมไปว่าบนโลกที่บูดเบี้ยวใบนี้ยังมีคนที่มีสายเลือดเดียวกันอยู่อีกสองคน...
…………………..
ต้องขอโทษด้วยนะคะที่หายไปนานเลย พอดีว่าข้าพเจ้าป่วยค่ะ นอนซมอยู่หลายวันเลย พอฟื้นตัวแม่ก็ป่วยอีกคน แถมอาการหนักกว่าเลยต้องปฐมพยาบาลแม่ (ให้ไปหาหมอก็ไม่ไป) ตอนนี้ค่อนข้างหลายฉากหน่อยนะคะอยากให้เห็นความหลากหลายของตัวละครค่ะ ส่วนหมอคีย์กับอาออยจะหายไปไหนด้วยกันนั้น มีอยู่ในตอนพิเศษค่ะ ^^
เอารูปน้องมะรุม มาฝากค่า ขอตัวไปตายแปบนึง น่ารักสุดๆ ไปเลย
[attachment deleted by admin]