“กูไม่ได้หวังว่าสิ่งที่ให้จะไปทดแทนให้มึงหายเกลียด ไม่ได้หวังให้มึงเห็นว่ามีค่า สูงส่ง หรือ คู่ควร จะได้รับ ไม่หวังอะไรเลยเพราะกูไม่ควรได้รับสิ่งนั้นจากมึงอยู่แล้ว”มันพูดเหมือนตัดพ้อ น้อยใจ ดูถูกตัวเอง ถ้าเป็นแต่ก่อนผมคงถุยน้ำลายรดหน้าและเดินเอาหูหนีจากมันไปแล้ว ไม่เสียเวลาฟังหรือแม้แต่จะเอาตัวเองเข้าใกล้มันด้วยซ้ำ แต่ครั้งนี้ผมกลับฟังด้วยความรู้สึกว่า กูไม่ได้คิดแบบที่มึงพูดนะ รู้สึกผิดที่เห็นสีหน้าเศร้าๆ ตาล่ะห้อยพอกับปากของมัน เก็บรายละเอียดมันอีกแล้ว กำลังจะพูด มันก็แทรกขึ้นมาซะก่อน
“มึงพูดเองไม่ใช่เหรอ ว่าถ้ากลับตัวกูจะได้เห็นรอยยิ้มด้วยความรักอีกครั้ง ช่วยให้โอกาสกูหน่อยนะ รัน”เสียงอ้อนวอนขอโอกาสจากผม ถ้าผมไม่ให้มันจะคุกเข่าแล้วบอกว่า จะไม่ลุกขึ้นจนกว่าจะได้ยินคำว่าให้โอกาสจากปากผม หรือเปล่าวะ คิดให้ขำแต่กูขำไม่ออกเลยเมื่อเจอไอ้เข้มเวอร์ชั่นนี้เข้าไป มันเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ ไม่รู้อะไรทำให้มันเปลี่ยน คนสำคัญของมัน หรือ ผม แล้วทำไมผมต้องเปรียบเทียบตัวเองกับคนตายไปแล้ว ไม่ดีเลย เหมือนผมกำลังอิจฉาคนที่เคยได้รับมาก่อน
“มึงยังไม่ต้องให้ตอนนี้ก็ได้ กูจะพิสูจน์ตัวเองให้มึงเห็น ว่าสมควรจะได้”ตั้งแต่พูดได้ แม่ง พูดไม่มีหยุด ไม่คิดจะให้กูพูดมั่งหรือไง ผมจิ๊ปากพูดเสียงดังใส่มัน
“มึงรู้ได้ไง ว่ากูไม่ให้”มันมองผมอย่างตะลึง ในขณะที่ผมยังไม่รู้ว่าตัวเองโพล่งอะไรออกไป ก่อนมันจะฉีกยิ้มกว้าง
“มึงให้กูแล้ว มึงอนุญาตแล้ว”มันพูดเสียงตื่นเต้น ดีใจ
“ไอ้สัด มึงพูดเบาๆก็ได้ แล้วกูให้อะไร”ผมด่ามันพร้อมถาม ตาก็มองรอบข้าง เป็นใจอีกแล้ว สองต่อสอง
“ก็มึงพูดเมื่อกี้ว่า ให้โอกาสกูดูแลมึงไง อะไรวะ ลืมง่ายจัง”มันทวนคำพูดมีตำหนิทิ้งท้าย
“กูแค่ถาม ยังไม่บอกว่าให้สักหน่อย”ผมนึกได้พูดกลับใส่มันที่หน้าหงอยลงไปอีกแล้ว
“ไม่เป็นไร กูรอได้ ไม่บังคับมึงหรอก ถ้าต้องได้มาด้วยความไม่เต็มใจ มันก็สูญเปล่า แต่กูจะทำตามที่พูดแน่นอน”ตัดพ้อกูอีกแล้ว ดูทำหน้าเข้าสิ ไม่เหมาะกับหนังหน้ามึงเลย
“มึงนี่มัน สำบัดสำนวน ฉิบหาย ดูละครมากไปหรือเปล่าวะ”ผมพยักหน้าพูดเหน็บมันอย่างหมั่นไส้
“กูพูดจากใจ ไม่เคยพูดอะไรน่าอายแบบนี้กับใครมาก่อน”มันตอบจริงจัง ซะจนผมเหวอ กูพูดเล่นเอง แล้วมึงรู้สึกอายเป็นด้วยกับเขาด้วยเหรอ แม้แต่กับ เอาอีกแล้ว เปรียบอีกแล้ว เดี๋ยวกูว่าได้มาเข้าฝันกูแน่
“แม้แต่ เต ก็ไม่เคย”นั่นไง พูดอย่างรู้ว่าใจกูคิดอะไรอีกแล้ว ไม่ได้คิดเปล่า เต้นแรงอีกต่างหาก ผมไม่รู้จะทำยังไง เลยพูดออกไปเพื่อให้ใจเต้นน้อยลง
“กูก็ไม่เคย ฟังคำพูดน่าอายแบบนี้มาก่อนเหมือนกัน”ผมไม่รู้ว่า ใจมันเต้นแรงแบบผมหรือเปล่า ผมรู้แต่ว่า ตอนนี้ ไอ้เข้ม หน้าแดง ตัดกับผิวดำแดงจนเห็นได้ชัด แสดงว่ามันอายเป็นเหมือนกัน แล้วก็เงียบกันไปอีก ผมมองมันอีกครั้งอย่างชั่งใจว่า ผมจะลองเชื่อใจและให้โอกาสมันพิสูจน์ตัวเอง ในเมื่อมันพูดขอผมด้วยตัวเองแล้ว ผมจะไม่ถามว่าทำไมต้องเป็นผม
“ไอ้เข้ม”ผมเรียกมันให้หันกลับมามองหน้า
“ถ้ามึงไม่ได้หวังอะไรจากกู กูก็ไม่ได้หวังอะไรจากมึงเหมือนกัน กูก็คนเดินดินธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ได้วิเศษไปกว่าใคร รวมถึงมึงด้วย ความเป็นคนเราเท่ากัน”
“ส่วนเรื่องโอกาส มึงอย่าขอเลย”มันมองผมด้วยสีหน้าผิดหวังทันทีที่ผมพูดจบ
“นับจากวันนี้”
“มึงกับกู”
มันทำหน้าเหมือนทนฟังอีกไม่ได้
“เป็นเพื่อนกัน”และหน้ามันก็เปลี่ยนอีก เมื่อผมพูดจบ
“กูให้มึงได้แค่นี้ ถ้ามึงไม่รับ ก็”ผมพูดพร้อมกับจะลุกขึ้น มันดึงแขนผมเอาไว้ก่อน
“รับ กูรับ มันยิ่งกว่ามึงให้โอกาสกูอีก ขอบใจ ขอบใจนะ รัน”มันพูดพยักหน้ารัวเร็วๆ ยิ้มกว้างอย่างดีใจ
“เพราะฉะนั้น ก็ช่วยกันดูแล ช่วยเหลือ ไม่ต้องแบกรับไปคนเดียวหรอก เข้าใจไหม”ผมยกยิ้มให้มันในตอนท้าย
“เข้าใจ แต่”มันพยักหน้า
“แต่อะไรอีกวะ มึงนี่เยอะจริงๆ”ผมขมวดคิ้วใส่มัน
“อะไรที่กูพูดออกไป กูขอทำตามเดิมแล้วกัน สัญญา ว่าจะไม่ทำให้มึงอึดอัด”มันยังยืนยันจะทำตามที่พูด
“เออๆๆ”ผมเลยตัดความรำคาญ มันจะได้ไม่พูดอีก
“กูจะทำให้ดีที่สุด เผื่อว่าสักวัน กูจะได้รับรอยยิ้มของความรักอีกครั้ง”แล้วมันก็พูดอีกจนได้ แต่ทำไมมึงต้องมองกูด้วยสายตาหวานเยิ้มด้วยวะ
“เอาล่ะๆ ไหนมาดูสิ หมอให้ยาอะไรมึงมาบ้าง กูเห็นเขาพูดมึงไม่สนใจเลย”ผมเปลี่ยนเรื่อง ไปสนใจเรื่องยาแทน และหยิบจากมือมันมาดูซะเอง
“มึงก็กินตามฉลากที่เขาบอก กินให้หมดด้วยล่ะ ไม่ใช่หายเจ็บก็ไม่แดกต่อ”ผมดูก่อนจะคืนให้มัน ที่หยิบขึ้นมาพลิกดู
“กินยังไง”มันเงยหน้ามาถาม
“ควาย มึงก็หยิบออกจากซอง มายัดใส่ปากตามด้วยน้ำ ก็จบแล้ว”ผมว่ามันกับคำถามที่ไม่ควรถาม เรื่องง่ายๆ
“กูรู้ แต่กูจะกินเวลาไหน ยังไง”มันรู้ แต่เสือกถามต่ออีก
“มึงก็อ่านดูสิ เขาก็เขียนบอก อะไรวะ ไม่เคยแดกยาหรือไง”ผมจิ้มๆบนซองยา ส่ายหน้าเอือม ยังไม่ทันไรกูเริ่มเอือมมึงและ
“เคย”
“แต่”
มีแต่อีกแล้ว
“กูอ่านหนังสือไม่ออก”กลายเป็นกูที่อึ้งแทน มองหน้ามันที่แสดงความหงอยบ่อยเหลือเกิน และก็ทำให้กูรู้สึกผิดอีกแล้ว
“กูลืมไปหมดแล้ว ว่าอ่านและสะกดยังไง”มันพูดต่อ พอเถอะอย่าตอกย้ำกูอีกเลย แค่นี้กูก็รู้สึกแล้ว
“แล้วที่ผ่านมา มึงทำงานได้ยังไง”แต่ก็อดจะสงสัยไม่ได้ ถ้ามันไม่พูดผมไม่รู้เลย ว่าไอ้เข้มที่ดูฉลาด โหดเหี้ยม ฆ่าคนอย่างเลือดเย็น ทำงานให้นายไม่เคยพลาด แต่มันกลับอ่านหนังสือไม่ออก
“กูฟังและก็จำเอา มึงอ่านตัวนี้สิ”มันบอกและชี้ให้ผมอ่าน
“หลังอาหาร”ผมออกเสียง
“ตัวนี้อ่านว่า หลังอาหาร แต่กูไม่รู้ว่ามันคือตัวอะไร สะกดยังไง เขียนก็เหมือนกัน กูใช้วิธีเลียนแบบคล้ายวาดรูปเอา แต่ก็อ่านไม่ออกอยู่ดี ครึครึ”มันพูดอย่างตลกตัวเอง แต่ผมไม่ขำสักนิด
“กูขอโทษนะ”ผมพูดแผ่วเบา
“เฮ้ย ขอโทษทำไมวะ”มันถามหน้าขำๆ
“กูว่ามึงว่า ควาย ไง กูไม่ได้ตั้งใจ กูนึกว่ามึงแกล้งกวนตีนกู”ผมพูดกับมันพร้อมกลั้นเสียงที่เกือบสะอื้นเอาไว้
“ก็มึงไม่รู้นี่หว่า”มันยิ้มน้อยๆ วันนี้มันยิ้มจนผมนับไม่ทันแล้วว่ายิ้มกี่ครั้ง ยิ้มแบบไหนบ้าง ผมพยักหน้า
“เออ แล้วเมื่อวานมึงรู้ได้ไง ว่าเป็นเอกสารให้มึงเซ็นรับความผิด”ผมอดจะแปลกใจในตัวมันไม่ได้อีกแล้ว
“มันพูดออกมาเอง แต่ถึงไม่พูดกูจำได้”มันบอกตามตรงและใช้วิธีเดิม
“แต่มันเยอะนะโว้ย ไม่ใช่แค่ไม่กี่ประโยค”ผมถามมันต่ออีก ไม่น่าเป็นไปได้
“เพราะอ่านไม่ออกนี่แหละ กูเลยขโมยเอกสาร มาให้ลูกน้องอ่านให้ฟัง แต่พวกมันไม่รู้หรอก นึกว่ากูขี้เกียจอ่าน และกูก็จำว่าฉบับไหนคือเรื่องอะไร อีกอย่างกูดูท่าทางการแสดงออกพวกมันด้วย ก็คิดไว้ก่อนต้องไม่ดีแน่ แต่ก็มีผู้คุมที่ดีบางคนที่เขารู้ว่ากูอ่านไม่ออก เขาจะอ่านให้กูฟังก่อนเซ็นรับทุกครั้ง กูจำและเขียนชื่อตัวเองได้แค่นั้น นี่มึงรู้ไหม ลายเซ็นกูไม่เคยเหมือนกันเลยสักครั้ง กูมั่วไง กว่าผู้คุมจะรู้กูก็เซ็นเป็นร้อยฉบับแล้วมั้งตั้งแต่ติดที่นี่ ฮ่าๆๆๆๆ”มันหัวเราะปิดท้าย ไม่รู้ขำตัวเองหรือขำผู้คุมที่ไม่เคยตรวจสอบ ผมเป็นผู้คุมก็คงไม่มีเวลามานั่งดูหรอก นอกจากจะสำคัญจริง
“สัด มึงนี่กวนตีนจริง ครึครึ”ผมด่าและหัวเราะมันบ้าง มันก็ยักไหล่ มองซองยาและอ่านทวนอีกครั้ง
“ยาซองอื่นก็เหมือนกัน กินหลังอาหารทั้งหมด และถ้ามันกินก่อนอาหารล่ะ มึงจะรู้ได้ไงวะ”ผมบอกมันอีกครั้ง แต่ยังไม่วายมีปัญหาถามมันให้หายสงสัย
“กูก็ดูว่า มันเขียนไม่เหมือนไอ้หลังอาหารไง มันคงไม่เขียนเหมือนกันหรอกมั้ง ใช่ไหม”มันแสดงความฉลาดที่ผมอดจะทึ่งไม่ได้ แต่ก็ยังดูไม่แน่ใจเท่าไหร่
“อืมๆ เอาอย่างนี้นะ ถ้าอันไหนมึงไม่แน่ใจ ก็ถามกูก่อน”ผมพยักหน้าก่อนจะเสนอความช่วยเหลือในเบื้องต้นให้มันไปก่อน
“อืม กูไม่กล้าถามใครหรอก อายเขา”มันยอมรับว่าอายอีกแล้ว
“แล้วไม่อายกูหรือไง”ผมเลิกคิ้ว
“ก็ มีบ้าง”มันก้มหน้าตอบอ้อมแอ้ม
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ”ผมหัวเราะกับท่าทางมัน อยากจะทำคลิปไว้ดูจริงๆ แต่คิดอีกที ดูคนเดียวดีกว่า มันเอามือเกาหัวยิ้มแหยๆ
“รัน”มันเรียกผมที่เดินนำหน้ามัน หลังจากลุกจากตรงนั้นแล้ว
“อะไร”ผมหันไปมอง
“มึง หัดให้กูอ่านและเขียนหน่อยสิ เอาที่จำเป็นๆก็ได้ เผื่อมึงออกไปแล้ว กูไม่รู้จะถามใคร อีกอย่าง”มันขอให้ผมสอนอ่านและเขียนให้ ซึ่งหนักใจพอสมควร ว่าจะเริ่มตรงไหนก่อนดี แต่ดูหน้ามันแล้วก็ปฏิเสธไม่ลง แล้วอีกอย่างที่มันพูดคาไว้คืออะไรวะ
“กูอยากเขียนจดหมายไปหามึง”ผมมอง ไอ้เข้ม ที่ตอนนี้เป็น ไอ้โข่ง ไปเรียบร้อยแล้ว
“และถ้ามึงจำไม่ได้ล่ะ มึงจะเขียนได้ยังไง เกิดมึงนึกไม่ออกจริงๆ แบบสมองมึงฝ่อไปแล้ว”ผมพูดขำๆ แต่ในอกตื้อไปหมด
“อืม ทำไงเหรอ”มันทำท่าคิด ก่อนจะนึกออก
“กูก็จะวาดรูปแทนไง”เป็นคำตอบที่นึกไม่ถึงจริงๆ
“แล้วกูจะรู้ได้ไงล่ะ ว่ามึงรู้สึกยังไง”ผมถามมันอีกไม่ได้สงสัยแล้ว แต่อยากต่อปากต่อคำกับมัน จนกว่ามันจะจนมุม
“ก็ถ้ากูเหงา กูก็จะวาดภาพหน้าตัวเองหงอยๆ และถ้ากูมีความสุขก็ยิ้ม ไง ไม่เห็นจะยากเลย กูวาดรูปเก่งนะโว้ย”มันบอกราวกับเป็นเรื่องง่ายๆ ยอตัวเองไปด้วย ผมไม่ได้สนใจท่าทางนั้น กลับถามมันด้วยคำถามที่อยากรู้ว่ามันจะวาดยังไง
“ และ ถ้าคิดถึง ล่ะ”มันมองหน้า พูดออกมาอย่างไม่เสียเวลาคิด
“กูก็จะวาดตัวเองนั่งมองท้องฟ้า ที่มีมึงอยู่บนนั้น”ผมหันหลังกลับทันที ซ่อนน้ำตาที่มันไหลออกมาอย่างมากมาย ไม่คิดว่าจะต้องมาร้องไห้ให้มัน ให้ไอ้คนที่ผมเกลียดยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด แต่ความรู้สึกนั้นมันแค่ เคยเกลียด ตอนนี้มันหายไปอยู่ซอกไหนแล้วก็ไม่รู้
“บางที อาจจะมีรูปหัวใจ ติดไปด้วยก็ได้”
มันพูดออกมาอีก ทำเอาผมชะงักเท้า ถามออกไปเสียงสั่นๆ
“ทำไมล่ะ”
“ก็มันจะได้ครบ”
“ครบอะไร”
“รัก และ คิดถึง”“ได้ใช่ไหม”
“ห๊ะ อะ อะไร”
ผมมัวแต่จมอยู่กับความหมายที่มันบอก ไม่ได้ฟัง ว่ามันถามอะไร
“ก็ รักและคิดถึงไง กูเคยเห็นเวลาที่ลงท้ายจดหมาย มันใช้กับเพื่อนได้ ถ้ากูจำไม่ผิดนะ”มันมองหน้าผมประมาณว่ากูพูดถูกใช่ไหม มึงพูดถูก แต่กูเสือกตีความหมายไปอีกทางในตอนแรก
“อืม”เลยตอบมันแค่นั้น ก้าวเท้าเดินต่อ เสียงมันก็ยังตามหลังมาติดๆ
“ที่จริง กูว่าโทรศัพท์มันคงจะง่ายกว่า แต่มันติดที่ กูจะเอาตังค์ที่ไหนไปหยอดวะ ถ้าไปใช้ห้องผู้คุมทุกวันก็คงจะไม่ได้ เพราะไม่มีเหตุจำเป็น”มันยังคิดถึงเรื่องจะติดต่อผมยังไงให้ง่ายที่สุด ผมส่ายหน้ากับความพยายามของมัน แต่ปากกับอมยิ้ม
“กูว่ามึงอย่าเพิ่งไปนึกถึงวันนั้นเลย ฉิบหาย อีกตั้งสามปี”ผมหยุดความคิดในอีกสามปีข้างหน้าของมันเอาไว้ก่อน
“แต่ถ้าไม่ได้จริงๆ เหลือวิธีเดียว”มึงไม่ได้ฟังกูเลยใช่ไหม ก็ได้ กูจะฟังวิธีสุดท้ายของมึง ผมหันไปมองหน้ามัน
“มึงมาหากู”O_O
“ดีไหม เพราะยังไง กูก็ไม่ได้ย้ายไปไหนอยู่แล้ว”มันยังมีหน้าเสนอความคิดอันชาญฉลาด
“ไม่ดีโว้ย ไอ้สัด”ผมหุบปากได้ หันหลังพูดเสียงดังเดินหนีมันเร็วๆ
“กูคิดเผื่อไว้ก่อน”มันเดินมาย้ำอีก
“หยุดคิด มึงคิดอีก กูจะไม่พูดกับมึง”ผมหันไปชี้หน้าสั่งและขู่มัน ซึ่งได้ผลมันเดินตามเงียบกริบ กลายเป็นผมที่คิดแทนมัน
‘กูจะรับไว้พิจารณาก่อนแล้วกัน ถ้ามันเป็นวิธีสุดท้ายที่เหลืออยู่’.
.
.
.
หลังจากวันนั้นก็ผ่านมาสองอาทิตย์ เหตุการณ์ในเรือนจำกลับมาเป็นปกติ ไม่มีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้น ผู้คุมถูกเปลี่ยนหน้า พอกับ พัศดี ที่เปลี่ยนใหม่ แต่ดีขึ้นกว่าเดิม พวกไอ้ดำก็ไม่มายุ่ง เรียกได้ว่า เดินสวนกัน เหมือนไม่รู้จักกันมาก่อน ดูมันหงอด้วยซ้ำ ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ถามไอ้เฮียมันก็คงไม่บอกอยู่ดี แต่ก็ดีแล้ว ผมขอให้เป็นอย่างนี้ตลอดไป เอาเวลาที่เหลือทำความดีซะดีกว่ามาแก่งแย่งความเป็นใหญ่ไม่ถูกที่
แต่ที่เปลี่ยนแปลงเห็นได้ชัด ชัดมาก คือ เรือนนอน ที่ผมประจำอยู่ มีนักโทษมาอยู่ใหม่ แต่หน้าเดิม ผมไปไหนมันไปนั่น แทบไม่ต้องหยิบต้องจับอะไรด้วยซ้ำ แม้แต่เข้าห้องน้ำ มันก็ยืนเฝ้าหน้าห้องซะจนผมต้องขมิบไปซะทุกอย่าง ไล่มัน มันก็เดินไปตดไม่ทันเสียงหาย มันก็วกกลับมายืนที่เดิมอีก อาบน้ำมันก็ให้ผมชิดริมสุด โดยมันยืนจังก้าท้าทุกสิ่งทุกอย่างบังผมอีกที แต่มันเองนั่นแหละเหลือบตาแม่งทุกครั้ง พอด่า มันก็บอกว่า
‘จะได้ชินเอาไว้ เห็นบ่อยๆก็ไม่คิดอะไรแล้ว’
ดูเหตุผลมัน ฟังขึ้นมาก มึงไม่คิด แต่ไอ้นั่นมึงเหมือนจะไม่เชื่อฟัง ดูแข็งข้อตลอด จนกูต้องตบด้วยขัน ถ้ายังไม่เชื่อฟัง กูจะตบแม่งให้หักไปเลย
เป็นอย่างนี้ทุกวันทุกวัน สิ่งที่มันขอแลกเปลี่ยน ก็ไม่ยาก สอนครั้งเดียวจำได้เลย แถมเขียน อ่านออกเสียงได้ด้วย คำนั้นคือ
รัน
รัน
คุ้นไหมครับ
ต่อมาพัฒนาขึ้น
รู้จักประยุกต์เอาคำเก่าเขียนร่วมกับคำใหม่ กลายเป็น
รัน เข้ม รัน เข้ม รัน เข้ม รัน เข้ม รัน เข้ม รัน เข้ม รัน เข้ม รัน เข้ม สลับกันจนตาลาย เห็นเหมือนเป็นคำเดียวกัน
“แล้วคำว่า”มันเงยหน้าจากกระดาษขึ้นมาถาม อุปกรณ์การเรียน ไอ้เฮียหามาให้ เวลาว่างจากงานที่ทำประจำ ก็มาฝึกเขียน ฝึกอ่าน กันข้างเรือนนอน ตอนแรกไอ้ปาน ไอ้โจ๊ก มันก็สงสัย และมันก็รู้ด้วยตัวเอง แต่มันก็ไม่ถามหรือหัวเราะไอ้นักเรียนโข่ง มีแต่ช่วยสนับสนุนการศึกษามันอย่างเป็นทางการ
“มึงหยุดไปเลย เร้ารื๊ออีก กูไม่สอน”
ผมชี้หน้าดักคอมันไว้ก่อน ทำเป็นหน้าซื่อหลอกให้กูสอน
“มึงก็สอนมันไปเถอะ ครึครึ”ไอ้ปานชะโงกหน้ามาดู
“มันจะได้เขียนแทรกตรงกลาง ครึครึ”ไอ้โจ๊กลูกคู่ก็ช่วย
“ให้ไปแทรกหว่างขามึงไหมล่ะ ไปไกลตีนกูเลย”ผมด่าพร้อมไล่มัน อยู่มีแต่เสียดแทงกูตลอด
“ไอ้ปาน เขาอยากสอนกันตัวต่อตัว เราก็ไปเถอะวะ”ไอ้โจ๊กกอดไหล่ไอ้ปานพูดยิ้มๆ
“ใช่ เราอยู่เขาเลยกระดากตูด ทำให้พูดสอนคำนั้นไม่ออก ฮ่าๆๆๆๆ”ไอ้ปานทำหน้ากวนตีนพอกับเสียง ก่อนจะหนีรองเท้าผมอย่างไว
“เขียนไป คำอื่น หัดเขียนด้วย เขียนแม่งแต่คำนี้ แล้วอยากจะเขียนจดหมาย”หันมาพาลไอ้โข่ง ตบด้วยสมุดไปสองที
“ก็มันเป็นคำลงท้าย มึงไม่สอนกูเขียน มันก็มีแต่คิดถึง มีแต่คิดถึง โอ้ยยยยยย”มันย้อนกลับมาเป็นเพลง เลยโดนสันสมุดอีกสองโป๊ก และมันก็ดังต่อเนื่อง จนมันเลิกสนใจ เขียนคำอื่นแทน มันก็ไม่เคยไปถามคนอื่นนะ แสดงว่ามันคงเกรงใจผมที่สละเวลาปากเปียกปากแฉะสอนมัน และในบางครั้งก็เมื่อยมือกับมันเหมือนกัน จะอะไร ตัวไหนมันเขียนไม่ได้ ผมก็ต้องจับมือมันลากขึ้นลากลง ห่าราก แล้วบอกวาดรูปเก่ง แค่ตัวอักษรง่ายๆ เสือกเขียนไม่ได้ ไม่อยากจะด่า โง่ เดี๋ยวจะทำหน้าหงอยใส่ให้กูรู้สึกผิดอีก
.
.
.
.
หลังเหนื่อยมาทั้งวัน ได้เวลานอนพักผ่อน ผมสวดมนต์อย่างที่ทำเป็นประจำ ล้มตัวนอน ไอ้โข่งก็ตามติด มันขอให้สอนบทสวดให้มันหน่อย เอาแผ่เมตตาด้วย จะขัดก็บาป มันคงอยากสวดให้คนสำคัญของมัน นั่นไม่ใช่ประเด็น
‘ไอ้เข้ม มึงสวดในใจไม่ได้หรือไง ฉิบหาย คุกนะมึง ไม่ใช่วัด’
‘กูลองแล้ว พอหลับตามันมืด ทำให้กูลืมจนสวดผิดสวดถูก มันต้องออกเสียงด้วยกูถึงจะจำได้’
‘มึงออกเสียงเบาๆก็ได้ ไม่ใช่สวดอย่างกับมีพระสักสิบองค์ อื้อหือ แม่ง กูจะด่าอะไรมึงดีวะ’
ด่าไม่ออก หันไปเพื่อนร่วมคลาส แม่งนอนเอามือกุมท้องปิดปากกลั้นเสียงไม่หวัดไม่ไหว ก่อนมันจะพยักหน้าและทำใหม่ อีกหลายครั้งจนทำได้ นึกแล้วก็ขำจนต้องหันไปมองหน้ามันในความมืดที่หลับไปแล้ว สมุดวางอยู่ไม่ห่างตัว ผมหยิบมาดู หน้าแรก หน้าถัดไป ถัดไป ไม่มีอะไร จนมาสะดุดกับหน้าที่มีภาพคน อดจะขำไม่ได้ที่มันบอกว่า มันวาดรูปเก่ง เก่งจริงๆ ประมาณประถมสี่ได้ ถึงไอ้คนในภาพมันจะจมูกหัก ยิ้มกว้างเกิน ขาก็ลีบ แต่ใครได้ดูก็รู้ มันเขียนกำกับใต้ภาพว่า ‘รัน’
“ขี้เหร่ฉิบหายเลย กู”ผมพึมพำ เปิดไปอีก ภาพไม่ต่างกัน ตัวโตกว่า แขน ขา ก้ามเป็นมัด ไม่ต้องบอกมั้งครับ ว่า ใคร
“ทุเรศกว่ากูอีก”ผมพูดขำๆ ก่อนจะเปิดไปอีก
เป็นพัฒนาการของภาพ เมื่อนำมารวมกัน พร้อมกำกับข้างใต้
เข้ม
รัน
มึงพยายามมาก
กูลืมไป
ว่ามึงเขียนไม่ได้
แต่ วาดได้
วาดได้เหมือนการ์ดมงคงสมรส ฉิบหาย ไอ้เข้ม ฮึ่มมมมมมมมม อยากจะเอาสันสมุดฟาดให้หน้าแหก แต่มันเสือกนอนยิ้มเหมือนหลับฝันดี เลยต้องลดมือลงวางไว้ที่เดิม กูจะทำเป็นไม่รู้แล้วกัน กูคิดผิดหรือคิดถูกวะที่ให้มึงมาใกล้ชิดด้วย อีกสามปี จะมีอะไรเปลี่ยนไปหรือเปล่า เฮ้อ ทำไมกูต้องมานอนถอนหายใจกลุ้มคนเดียวด้วยวะ ช่างมันเถอะ อยู่ไปเดี๋ยวก็รู้เองแหละว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ขอให้เป็นไปในทางที่ดีก็แล้วกัน
*********************************************************************************************************************
ปล. กลับมาแล้วจ้า (ใครถามหาแก) กลับมาถึงก็ขอเคลียร์งานก่อนเลย
เป็นตอนจบของคู่นี้ ผลจะเป็นยังไง อีกสามปีมาดูกัน ฮ่าๆๆๆๆๆๆ
(มุกเดิม) คู่นี้เขาชีวิตรันทดดีเน๊าะ เหมาะกันจริงๆ ไม่ได้แกล้งนะ
แต่อยากให้เขามีอะไรมาเติมให้กันและกัน ส่วนตอนหน้าเราจะปิดการปล้นแล้วนะ ติดตามกันด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ เจอกันอีกที อาทิตย์หน้านะคะ