ตอนที่ 21 # รสชาติแห่งความรัก ผมไม่ได้ตอบคำถาม แต่รีบเร่งมือเคลื่อนรถหนี และนั่นเป็นความคิดที่โง่มาก สองมือของคนพิการอย่างผมมีหรือจะสู้สองขาของคนปกติได้
“นิด!” เสียงเรียกดังขึ้นข้างหลังพร้อมกับมือที่คว้าหมับเข้าที่รถเข็นของผม คนด้านหลังออกแรงดึงไว้ทำให้ผมเคลื่อนตัวไปไหนไม่ได้อีก
“ไปขึ้นรถก่อน แล้วค่อยว่ากัน” คนพูดยืนหอบเหนื่อยเหตุเพราะรีบวิ่งมาเมื่อสักครู่ มือหนาค่อยๆจับรถเข็นของผมหมุนหันหลังกลับ แล้วพาไปยังรถที่จอดอยู่ ผมเลยปล่อยเลยตามเลย
เขาอุ้มผมขึ้นไปบนรถ ก่อนที่เจ้าโซ่จะตามขึ้นมานั่งด้วยอย่างรู้งาน
“เอาล่ะ เรียบร้อยแล้วทีนี้ ออกจากบ้านมาแบบนี้หมายความว่ายังไง ไอ้ฉกาจมันไล่เหรอ หือ” พี่เชนขับรถไปตามถนน ผมนึกขอบคุณพี่เชนอยู่ในใจที่ไม่พาผมกลับทางเดิม
“เปล่าครับ ผมออกมาเอง” ผมตอบเสียงแผ่วเบา
“ออกมาแล้วจะไปอยู่ไหน” พี่เชนหรี่ตาถาม แต่ยังมองทางข้างหน้าอยู่
“ยัง...ไม่ทราบครับ”
“อวดเก่งแท้ๆ...”
ถูกของพี่เชน ผมทั้งอวดเก่ง ทั้งโง่ และน่ารำคาญ ใครจะมาอดทนอยู่กับผม
“ถ้าไอ้ฉกาจรู้ว่านิดหายตัวไประเบิดคงถล่มทุกคนในบ้านแน่ๆ”
เหอะ ผมขอค้านเถอะเรื่องนี้...
“พี่เชนไม่รู้อะไร บ้านหลังนั้นเงียบสงบมาร่วมเดือนแล้วครับ ผมหายไปเขาคงไม่สนใจหรอก ดีเสียอีก จะได้หมดภาระกับคนอย่างผมสักที”
“นิดต่างหากที่ไม่รู้อะไร”
อะไร... พี่เชนจอดรถแล้วหันมามองผมช้าๆ ใบหน้าสะใจแบบนี้ ครั้งสุดท้ายที่ได้เห็นคือตอนที่ยั่วโมโหคนป่วยอย่างคุณฉกาจ มุมปากของพี่เชนกระตุกยิ้ม ผมเคยบอกแล้วใช่ไหม ว่าพี่เชนนั่นแหล่ะคือคนที่น่ากลัวที่สุด
“ไปอยู่กับพี่ดีกว่า พี่ไม่บอกมันหรอก อยากจะเห็นเหมือนกันว่าตอนที่กระทิงมันคลั่งจะเป็นยังไง”
.
.
.
บ้านเดี่ยวสองชั้นที่อยู่ตรงหน้าเป็นอะไรที่เหนือความคาดหมาย มันดูใหม่เกินกว่าที่จะมีคนเคยอาศัย อีกทั้งรอบนอกของบริเวณบ้านยังโล่งเกินไป เศษดินเศษปูนร่วงกราวอยู่ตามพื้น ต้นไม้แม้สักต้นก็ไม่มี
“หลังนี้พี่เพิ่งซื้อ ตกแต่งเสร็จแล้วล่ะ แต่อาจจะต้องเก็บกวาดกันหน่อย” พี่เชนบอกพร้อมกับเดินไปไขประตูของตัวบ้าน ผมเข็นรถตามไป เจ้าโซ่มันเดินตามมาติดๆ มันแวะดมนู่นดมนี่ คงแปลกที่ละมั้ง
“บ้านใหม่ไม่มีดินให้เกลือก ไม่มีสระให้ว่ายแล้วนะคุณโซ่ มีแต่ปูนล้วนๆ” ผมบอก มันเอียงคอมองแล้วแกว่งหางก่อนจะเดินมากระโดดขึ้นตักผมแล้วเดินเหยียบย่ำไปย่ำมา
“นวดขาให้คุณนิดเหรอไอ้โซ่” พี่เชนที่ยืนพิงกรอบประตูอยู่พูดกับมัน ก่อนจะหน้าหงายเมื่อโซ่มันเห่าตอบรับเสียงดัง
“มันแค่ทักทายครับพี่ แล้วถ้ามันสนิทกับพี่ มันจะเอาอาหารมาแบ่งให้ด้วย... ผมเองไม่อยากจะพูด โดนมันบังคับให้กินมาแล้ว” ผมบอก หัวเราะร่วนเมื่อนึกถึงพฤติกรรมแปลกๆของมัน
“แหม หมาอะไรนิสัยเหมือนเจ้าของไม่มีผิดเพี้ยน” คนอายุมากกว่าบ่นแล้วเดินเข้าบ้านไป ผมชะงัก มองหน้าเจ้าโซ่นิ่ง... ‘ดุ’ แล้วยังชอบ ‘บังคับ’ เหมือนกันไม่มีผิด
“พี่เชนนี่ตาถั่ว คุณโซ่น่ารักกว่าตั้งเยอะ” ผมว่า แล้วหัวเราะเบาๆกับท่าทีหรี่ตาเวลาพึงพอใจของมัน
ผมตามพี่เชนเข้ามาในบ้าน เห็นแกยืนมองซ้ายมองขวาเหมือนทำอะไรไม่ถูก ก่อนจะเดินไปเลิกผ้าสีขาวที่คลุมเฟอร์นิเจอร์ออกมากองไว้
“ปกติพี่ไม่ได้นอนที่นี่เหรอครับ”
“อืม พี่นอนอีกหลังที่เป็นบ้านของพ่อกับแม่ ส่วนหลังนี้บ้านพี่... ฮึบ” พี่เชนตอบแล้วเลื่อนโซฟาไม้ไปชิดมุมผนัง พี่แกบอกอยากให้บ้านโล่งๆ มันจะได้ไม่เกะกะเวลาผมไปไหนมาไหนภายในบ้าน
“ให้ผมช่วยอะไรไหมครับ” ผมถาม พี่เชนยืนเท้าสะเอวนึกอยู่ชั่วครู่
“อาบน้ำให้ไอ้โซ่หน่อยสิ จะได้เอามันเข้ามานอนในบ้าน...”
ผมทำตามที่พี่เชนบอก อาบน้ำให้มันจนตัวหอมฟุ้ง เสียอยู่อย่างเดียวคือเวลาอาบให้มัน ผมต้องลงไปนั่งเกลือกกับพื้น เลยทำให้ตัวเองเปียกไปด้วย
“เปียกทั้งคนทั้งหมา” พี่เชนว่าขำๆ ตอนที่ถือผ้าเช็ดตัวเดินมาทางผม
“เฮ้ย ผ้าเช็ดตัวนี่เอาไว้ให้เช็ดตัวเอง ดันเอาไปเช็ดหมาซะได้” คนพูดหัวเราะ แล้วเดินไปหยิบผ้าผืนใหม่มาส่งให้ผม
“พรุ่งนี้เช้าออกไปศูนย์กายภาพกับพี่ไหม ปกติพี่ทำงานที่นั่นอยู่แล้ว ถ้านิดไปด้วย ตอนบ่ายพี่จะได้ดูแลนิดต่อเลย” พี่เชนบอก แต่ใจความของประโยคทำให้ผมชะงัก
“พี่ไม่ต้องทำกายภาพให้ผมแล้วก็ได้ ผมไม่มีเงินจ้างพี่หรอกนะครับ”
“แล้วใครบอกว่าพี่จะเก็บเงินเรา พี่จะไปเก็บย้อนหลังกับไอ้ฉกาจต่างหาก”
หือ... “เขาจะยอมให้เก็บย้อนหลังเหรอครับ” ผมหมายถึงว่า เขาคงไม่รับผิดชอบอะไรเกี่ยวกับตัวผมอีกแล้วอะไรประมาณนั้น
“เดี๋ยวก็รู้ ว่ามันจะจ่ายให้รึเปล่า” พี่เชนพูดแล้วยืนยิ้มคนเดียว... เอ่อ โรคจิตมากครับพี่
.
.
.
ผมออกไปศูนย์กายภาพกับพี่เชนทุกวัน ซึ่งโดยปกติแล้วพี่แกจะไปทำงานที่นี่ตอนครึ่งวันเช้า พอตกบ่ายก็จะกลับมาทำกายภาพให้ผมที่บ้านของคุณฉกาจ แต่อะไรหลายอย่างมันเปลี่ยนไป ทำให้กลายเป็นว่าพี่เชนทำงานที่นี่เต็มวัน เพราะผมก็มาอยู่ที่นี่ เลยไม่ต้องเสียเวลาขับรถไปกลับ
“ตัวเองก็พิการยังมาช่วยคนอื่นอีก ไม่เจียมสังขาร” ผมหันไปมองค้อนคนว่า พี่เชนหัวเราะก่อนจะเดินไปหาคุณยายที่นอนอยู่บนเตียง ผมมองตาม เห็นพี่เชนเดินเข้าไปหาเหมือนถามไถ่อาการ แต่คุณยายกลับหัวเราะอย่างอารมณ์ดี สงสัยคงเล่นมุขอะไรประหลาดๆใส่คุณยายอีกแน่ๆ
“กินอีกคำนะครับคุณป้า” ผมหันกลับมาแล้วยิ้มให้คนที่นั่งอยู่บนเตียง งานป้อนอาหารเป็นงานหลักของผมครับ ผมจะคอยดูแลคนที่ไม่สามารถทานอาหารด้วยตัวเองได้
“ขาเป็นยังไงบ้างลูก” คุณป้าถามระหว่างที่ทานข้าว
“ก็...ดีขึ้น แต่ยังคงต้องทำกายภาพเรื่อยๆครับ”
“ดีแล้วลูก คนดีๆแบบหนู ป้าขอให้หายไวๆนะ” คุณป้าบอกก่อนที่จะเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ผมสังเกตมานานแล้วว่าคุณป้าท่านนี้ชอบเหม่อแบบนี้เป็นประจำ พอผมมองตามสายตาไป ก็เห็นแต่กระถางต้นไม้ที่ปลูกดอกแพรเซี่ยงไฮ้เรียงรายอยู่เต็มหน้าต่าง แต่ใบมันเหี่ยวเฉาชอบกล ผมนึกสงสัยอยู่ตลอดเวลา อยากรู้ว่าทำไม... แต่ไม่กล้าถาม
“ดอกไม้สวยดีนะครับ” ผมบอก คุณป้ายิ้มรับก่อนจะพูดขึ้นมาลอยๆ
“มันเป็นดอกไม้ที่ป้ารักที่สุดเลยล่ะ... คนรักของป้า ถือกระถางเล็กๆแบบนี้มาให้ในงานวันเกิด แต่ป้าเข้าใจผิด คิดว่ามันเป็นดอกคุณนายตื่นสาย ป้าโกรธมาก ทึกทักเอาว่ามันด่าป้าทางอ้อม เลยปากระถางใส่หัวมัน หัวแตกจนต้องเย็บไปหลายเข็ม” คุณป้าเล่าด้วยใบหน้าชื่นมื่นอย่างมีความสุข
“วันหนึ่งมันขับรถขึ้นเขาพาป้าไปเที่ยว แต่ระหว่างทางเราดันทะเลาะกันอย่างรุนแรง จนรถตกไหล่ทางแล้วพลิกคว่ำ ตรงนั้นมันเป็นป่ารกทึบ เวลาก็มืดมาก ไม่มีรถผ่านมาช่วยพวกเราสักคัน มันทำยังไงรู้ไหม...” ป้าแกหยุดพักหายใจแล้วเล่าต่อ
“มันถีบป้าออกมาจากรถ ตอนนั้นนึกด่ามันในใจ เพราะมันเล่นถีบซะแรงจนป้ากระเด็นไปไกล ส่วนตัวมันนะเหรอ... ช่วงอกกับแขนโดนทับ ป้าจะเข้าไปช่วย แต่ไม่มีแรงแล้ว แขนทั้งสองข้างก็ขาดตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว เรานอนมองกัน มันอยู่ในรถ ป้านอนอยู่บนพื้นหญ้า ไกล... เราไกลกันมาก แต่ต่อให้ไกลแค่ไหน ป้าก็ยังมองเห็นมันขยับปากบอกว่ารัก...เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่รถจะระเบิด... คนรักของป้าโดนไฟคลอกตายในรถคันนั้น”
คุณป้าเล่าจบแล้วหันมายิ้มจางๆให้ แขนที่ไม่สมบูรณ์ถูกยกขึ้นแล้วยื่นมาบริเวณใบหน้าของผม แต่มันไม่มีวันถึง...
“ป้าเลิกร้องไห้มาเป็นสิบปีแล้ว พอเห็นหนูร้อง เดี๋ยวป้าจะร้องตามนะ” ป้าแกพูดแซวอย่างอารมณ์ดี
“แล้วดอกไม้นั่น ไม่มีใครมาคอยรดน้ำเหรอครับ ผม...เห็นมันเฉาเลยอยากทราบ” ผมเปลี่ยนเรื่องแล้วถาม คุณป้าส่ายหัวไปมาแทนคำตอบ
“พอมันตาย ป้าถึงได้รู้ ว่าดอกแพรเซี่ยงไฮ้มันตั้งใจปลูกให้ป้า... มันใช้เวลาเป็นเดือนๆ กว่าจะปลูกจนโตมาได้ แต่กลับโดนป้าปาใส่หัวซะนี่... พอป้าออกจากโรงพยาบาลได้ ป้าเลยลองปลูกดู ใช้ปากกับเท้าของตัวเองนี่แหล่ะ ทำทุกอย่างตั้งแต่รดน้ำพรวนดิน ป้าแค่อยากรู้ ว่ากว่าดอกไม้จะบานมันลำบากขนาดไหน แล้วป้าก็ได้รู้ ว่ามันลำบากมากจริงๆ เพราะมันไม่เคยบานได้สวยเท่าดอกไม้ของวันนั้นที่มันเอามาให้ป้าเลย... แต่ตอนนี้ป้าแก่มากแล้ว ไม่มีแรงจะทำอะไรเหมือนสมัยสาวๆได้อีก เลยได้แต่ปล่อยให้มันเป็นไปตามลมตามฝน คอยมองมันอยู่เฉยๆอย่างนี้ ก็สบายใจดี”
ผมพยักหน้าเข้าใจ วิธีรักษาอาการเศร้า คือมีความสุขกับปัจจุบัน...
“แหวนวงนั้น คนสำคัญให้มาสินะ” คุณป้าถามพร้อมกับชำเลืองตามองมาที่มือของผม
“แต่คนสำคัญของผม เขาไม่ได้อยู่กับผมแล้วครับ” ผมตอบ ก้มลงมองแล้วคลึงนิ้วไปมาที่แหวนวงนั้น
“นี่แหล่ะรสชาติแห่งความรัก... มีทั้งหวาน เผ็ดร้อน จืดชืด และขมขื่น ก่อนจะเค็ม... เพราะน้ำตา…”
ผมเงยหน้ามองคุณป้า อดยิ้มตามไม่ได้กับสายตารักใคร่ที่ทอดมองไปยังกระถางดอกไม้ตรงหน้าต่าง...
.
.
.
“ไม่สบายรึเปล่า พี่เห็นเหม่อมาตั้งแต่ในรถแล้ว” พี่เชนว่าตอนที่วางผมลงบนรถเข็น ผมไม่ได้เหม่อหรอก แค่ได้ข้อคิดมา แล้วฉุกคิดอะไรนิดหน่อย
“คุณฉกาจติดต่อมาบ้างไหมครับ” ผมถามเพราะนี่กินเวลาไปร่วมเดือนแล้ว อยากรู้ ว่ามันรู้สึกอะไรบ้างไหมที่ผมหายตัวไป
“ถามทำไม” พี่เชนหรี่ตามองแบบเจ้าเล่ห์ ผมไม่ชอบสายตาแบบนี้เลยจริงๆ เหมือนโดนจับผิดอยู่ตลอดเวลา
“ไม่ถามแล้วก็ได้” ผมบอก แล้วหันรถกลับ
“ไม่แน่วันนี้ผีคุณฉกาจอาจมาหาก็ได้นะ...”
“พี่เชน! พูดอะไร เขายังไม่ตายสักหน่อย” ผมโผลงออกไปแทบจะทันทีด้วยความลืมตัว ใจประหวั่นนึกถึงเรื่องที่คุณป้าเล่า
“เป็นห่วงเหรอ”
หลงกลพี่เชนอีกแล้ว... “มันก็เป็นห่วงนิดเหมือนกัน มันตามหานิดทุกวันเลย... นิดยังดี มีพี่คอยให้ถาม แต่คนที่มืดแปดด้านไม่รู้อะไรเลยอย่างมัน กระวนกระวายเหมือนคนตายทั้งเป็น...” พี่เชนว่าตอนที่ย่อตัวลงตรงหน้าผม แล้วใช้มือลูบหัวของผมไปมาเหมือนปลอบ
“อาการหนักมากไหมครับ” ผมถามเสียงแผ่ว ไม่อยากถาม แต่ยังอยากรู้
“จากที่พี่วิเคราะห์ ตอนนี้กระทิงดุกลายร่างเป็นกระทิงเปลี่ยวไปเรียบร้อยแล้ว” พี่เชนตอบพร้อมกับระเบิดเสียงหัวเราะ คงสะใจมากที่ได้แกล้งเพื่อน ก่อนจะผละไปหยิบอะไรบางอย่างมาส่งให้ผม
“นี่ เอาขวดไปวางไว้ที่โต๊ะให้พี่หน่อยสิครับ” ผมพยักหน้าเข้าใจ ยื่นมือไปรับขวดแก้วที่บรรจุน้ำหวานสีแดงข้นมาถือไว้ ก่อนที่จะ...
“พี่เชน!” ผมร้องเสียงหลง เมื่อพี่แกเผลอทำขวดแก้วหลุดมือ หวิดจะกระแทกหัวผมอยู่รอมร่อ แต่เขาคว้าไว้ทัน สิ่งที่แย่กว่าคือ... น้ำแดงเหนียวข้นราดตัวผมตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า
“อ้าว ฝามันปิดไม่สนิทหรอกเหรอ เดี๋ยวๆอย่าเพิ่งเช็ดออก ขอถ่ายรูปก่อน” พี่เชนบอก หัวเราะร่วน ก่อนจะควักมือถือขึ้นมา ขนาดนี้ยังมีจิตใจจะถ่ายรูปได้ลงคอ
“โอ้ย พี่เชนมาตีผมทำไม” ผมแหวออกไปด้วยความเจ็บ โดนก้นขวดกระแทกหัวเต็มๆ มือก็ปาดเอาน้ำหวานที่เกาะเปลือกตาออก เข้าตาแล้วแสบมาก
“โทษที ไม่ได้ตั้งใจ” แหม หัวเราะแบบนั้นตั้งใจของแท้เลยล่ะ...
.
.
.
คืนนี้ผมฝัน... มันเป็นฝันที่ทำให้ผมไม่อยากตื่นเอาเสียเลย ร่างกายของคนที่ผมรักโอบกอดตัวผมแผ่วเบาเหมือนเคย ในฝันผมร้องไห้ ได้ยินมันกระซิบปลอบ ความอ่อนโยนแผ่ซ่านไปทุกอณูของร่างกาย ก่อนที่ผมจะลืมตาตื่นเพราะได้ยิน
เสียงประตู...
ผมมองไปทางต้นเสียง แสงไฟที่สาดเข้ามาทางหน้าต่างพาดลงบนแผ่นหลังของใครบางคนที่กำลังก้าวเท้าออกจากประตู แผ่นหลังที่ผมจำได้ไม่มีวันลืม
“คุณฉกาจ!” ผมเรียก ลุกขึ้นจากเตียงโดยอัตโนมัติ มือคลำทางปะป่ายไปตามความมืดอย่างรีบร้อน เพราะกลัวร่างนั้นจะหายไป รีบจนไม่ทันได้สนใจแจกันที่วางอยู่บนโต๊ะ... เสียงแตกกระจายดังไปทั่วทั้งบ้าน ก่อนที่ทั้งตัวของผมจะทรุดลงกับพื้น
“โอ้ย!”
ผมยกมือขึ้นหนีความคมของเซรามิกที่แตกกระจายตามสัญชาติญาณ แต่กว่าจะรู้ตัว มันก็แทงฝ่ามือของผมไปเรียบร้อย
“นิด!” แสงไฟสว่างวาบพร้อมกับพี่เชนที่ปรี่เข้ามาหา
“พี่เชน...เองหรอกเหรอ” ผมรำพึงรำพันกับตัวเอง แน่นอนว่าต้องเป็นพี่เชนอยู่แล้ว ที่นี่จะมีคุณฉกาจอยู่ได้ยังไง ผมคงตาฝาดไปเอง
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมแจกันตกลงมาได้ แล้วเรามาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง”
จริงสิ ผมมาอยู่นี่ได้ยังไง เหมือนจะ
เดิน มา มากกว่าคลาน
“ผม...คลานมาครับ” ผมตอบออกไป ปวดหนึบที่มือมากตอนนี้
“อย่าโกหก! แจกันอยู่สูงขนาดนี้ ถ้าไม่ยืน ไม่มีทางปัดโดนแน่” พี่เชนคาดคั้น
“พี่เชน ผม...เจ็บ เจ็บมาก” ผมบอก พี่เชนก้มลงมองมือของผมอย่างตกตะลึง เลือดออกเยอะมากเกินไป ผมรู้สึกเหมือนตัวเองจะเป็นลมได้ทุกเมื่อ
“พี่ขอโทษ เดี๋ยวพี่จะรีบพาไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้!” พี่เชนพูด รวบตัวของผมขึ้น ก่อนจะไปหยุดชะงักอยู่ที่หน้าประตู
“ไม่ได้ ออกไปไม่ได้... นิดรอพี่ที่บ้าน เดี๋ยวพี่จะไปตามหมอมา อดทนไว้นะ” พี่เชนอุ้มผมมานอนรอที่โซฟา กำชับหนักหนา ผมพยักหน้าตอบ รู้สึกอ่อนแรง ก่อนที่เปลือกตาจะค่อยๆปิดลงอย่างเชื่องช้า...
ตื่นมาอีกทีตอนเช้า มือของผมก็ถูกผ้าพันแผลพันไว้อย่างเรียบร้อย รู้สึกตึงที่บาดแผล จะขยับมือก็ปวดไปหมด
“ตื่นแล้วเหรอ ปวดมือมากไหม” พี่เชนถาม ผมนิ่วหน้าแทนคำตอบ
“ทานข้าวก่อน แล้วจะได้ทานยาแก้ปวด”
พี่เชนส่งชามข้าวมาให้ โชคดีมือที่โดนบาดเป็นมือซ้าย ผมเลยไม่มีปัญหาเรื่องทานข้าว
“พี่ว่าอาทิตย์นี้นิดพักอยู่บ้านดีกว่า แผลลึกจนมือเย็บไปห้าเข็มเลยนะ แล้วเรายังต้องใช้มือเข็นรถเข็นไปไหนมาไหนอีก กว่าจะหาย มือได้เน่ากันไปข้าง”
ผมก้มลงมองมือตัวเอง... มือเน่านี่ก็ไม่ไหวนะ
.
.
.
ผมพักอยู่บ้านวันนี้ก็วันที่สามแล้ว ช่วงนี้พี่เชนเลยเปลี่ยนตารางเวลา ไปทำงานตอนเช้า แล้วกลับเข้ามาหาผมตอนบ่ายหลังเลิกงาน... ผมได้ยินเสียงรถ เห็นว่าพี่เชนกลับมาแล้ว เลยรีบเข็นรถออกไปรับ
“มีคนมาหา” พี่เชนว่าตอนที่เดินเข้ามาในบ้าน
“พี่ป้อม...” ผมครางชื่อคนที่ปรากฏตัวตรงหน้า สลับกับมองไปทางพี่เชนอย่างไม่เชื่อสายตา ผมถอยรถหนีเว้นระยะห่างทันที
“นิดเป็นยังไงบ้าง” เสียงแหบพร่าทักขึ้น
“พี่ป้อมอยากให้ผมเป็นยังไงล่ะครับ” ผมตอบ สายตาสำรวจร่างกายพี่ป้อมไปด้วย ไม่รู้ว่าไปโดนอะไรมาแขนถึงเข้าเฝือก ศีรษะยังมีผ้ากอซแปะอยู่ รวมไปถึงรอยฟกช้ำตามใบหน้านั่น... แต่ผมไม่มีจิตใจเมตตาพอที่จะมาแสดงความเป็นห่วงตอนนี้หรอกนะ
“ผมเจ็บมากเลยครับ กับบทเรียนที่พี่มอบให้ ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่าการถูกคนที่ตัวเองรักปฏิเสธอย่างมันเป็นยังไง…นี่ก็เหมือนกัน... พี่ดูมือของผมสิ ถูกเย็บเหมือนกันกับมือของพี่เลยนะครับ อะไรที่ผมเคยทำไว้กับพี่... ตอนนี้มันสนองคืนผมหมดแล้ว พอใจแล้วรึยัง!”
“นิด... พี่ไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นถึงขนาดนี้”
“หึ ถ้าพี่ตั้งใจ ผมคงตายไปแล้วละครับ” ผมไม่ได้อยากจะพูดแบบนั้น แต่อดประชดประชันไม่ได้เลยจริงๆ
“ช่างมันเถอะครับพี่ป้อม ผมขอแค่อย่างเดียว อย่าอาฆาตผมอีกเลย ผมชดใช้ให้พี่หมดแล้ว ตัวของผม...ไม่เหลืออะไรแล้ว” ผมบอกเสียงสั่น ตอนนี้ผมยังคงกลัว และระแวง... พอเจอหน้าพี่ป้อมอีกหน ภาพใบหน้าของคนที่ยืนอยู่ตรงประตูในวันนั้น มันฉายซ้ำวนกลับขึ้นมาเป็นระลอก ความรู้สึกบางอย่างแทรกเข้ามาในห้วงความคิด... หัวใจของผมเหมือนกำลังถูกบีบ
“ที่พี่มาวันนี้ พี่แค่อยากจะมาขอโทษ... ขอโทษจากใจจริง ถึงนิดจะไม่ให้อภัยพี่ แต่อย่างน้อย ช่วยรับฟังก็ยังดี”
“ผมเป็นคนใจอ่อนพี่ก็รู้...” ผมตอบดักคอไว้ก่อน
“แต่ถ้าผมให้อภัย เราจะกลับไปเป็นแค่คนที่เพิ่งรู้จักกันเหมือนเดิม... เหมือนวันแรก ที่เราเจอกัน พี่ทำให้ผมได้ไหม” ความรู้สึกดีๆที่เคยมีให้กัน มันจะได้ไม่สูญเปล่า...
“พี่คงทำให้ไม่ได้... เพราะพี่เอง รักนิดตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกัน”
“นั่นมันก็เรื่องของพี่”
“แต่พี่... จะพยายามรักนิดให้น้อยลง ถึงวันนั้น หากพี่กลับมาหา นิดจะยังรอเพื่อที่จะให้อภัยพี่อยู่ไหม”
ผมนั่งนิ่ง ไม่ได้ตอบรับอะไรกับน้ำเสียงเว้าวอนนั่น
“พี่เข้าใจแล้ว ยังไงก็... รักษาสุขภาพตัวเองด้วยนะ” เขาพูด แล้วหันหลังกลับด้วยท่าทางโรยแรง
“พี่ป้อม!”
“ครับ” คนถูกเรียกหันกลับมามองผม
“ทำใจได้แล้วรีบกลับมาหาผมเร็วๆนะครับ ไม่ใช่ปล่อยให้ผมแก่ตายก่อน ไม่อย่างนั้นพี่จะรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตแน่ๆเลยนะ” ผมว่า เห็นพี่ป้อมยิ้มอย่างมีความสุขเหมือนตอนสมัยเรียน... ผมโบกมือลาก่อนที่เขาจะเดินออกจากบ้านไป พี่เชนที่ยืนฟังอยู่ด้วยเดินมายีหัวผมเล่นจนผมต้องสะบัดหัวหนีพลางยิ้มอย่างมีความสุข
...จากกันด้วยดี...
……………………………….......................................
คุณ wi_OoO_wi ...ขอบคุณสำหรับรูปที่วาดมาให้เมื่อตอนก่อนนู้นนะคะ ชอบมากเลย Room 69 และหน้าพี่ป้อมร้ายมาก 55 แต่จริงๆเขาหล่อกว่าไอ้ผักอีก คุณ j_world ...แล้วคุณผักกาด ก็ไม่เคยขอโทษในสิ่งที่หาประโยชน์จากคุณนิดเช่นกัน
ไอ้ผักมันเคยขอโทษแล้วนะคะ ตอนชุดยาม มีแต่นิดนั่นแหล่ะที่ยังไม่เคยพูดอะไรออกมา (มาแก้ตัวแทนยาม)คุณ MCMAXXIM …
(1) (ป้อม)...มึงส่งอีคุณนิดได้สะใจกูมาก(อันนี้พูดจริง) 55555 มึงน่าจะเขวี้ยงอีคุณนิดอัดกำแพงบ้านสักหน่อยนะ(ข้อหาหมั่นไส้) 55555 ///อินมากเว่อๆ
คือ นึกภาพตามแล้วฮามาก ฮ่าๆ...(2) ถามอะไรอย่างนึงคนเขียน ตั้งแต่ก่อนไปฮาวายอ่ะ นิดกับฉกาจ เค้าไปคบกันเป็นแฟนตอนไหนอ่ะ อ่านไม่เห็นเจอ 555
เป็นแฟนกันตอนชุดยาม... ฉกาจบอกว่ารักคุณนิดก็จริง แต่คนอย่างมันไม่ยอมบอกหรอกว่า ‘มาเป็นแฟนผมเถอะ’ อีกอย่าง สองคนนั้นมันเลยขีดจำกัดคำว่าแฟนนานแล้ว ซั่มกันมาตั้งสองครั้ง เลยข้ามตรงนี้ไปเลย...ลองสังเกตว่าฉกาจจะพูดจาเลวมาก แต่การกระทำกลับดีมาก ส่วนคุณนิดการกระทำและการพูดจาดีมาก แต่แท้จริงแล้ว ‘เกรียน’ กูมึงในใจตลอด ถึงขนาดต้องตั้งว่า No Drama เลยทีเดียว กลัวคนเลิกอ่าน 55 แต่หมดตอนหน้าก็ไม่มี Drama แล้วค่ะ...ขอบคุณทุกคนที่คอยติดตามอ่าน และ Comment นะคะ (เรากดบวกเป็ดและบวกหนึ่งให้ทุกคนตลอดเลยน้า)
สวัสดีค่ะ
