ตอนที่ 20 # ย้อนเวลา ผมคิดมาตลอด ว่าการที่ตัวเองมาช่วยงานพี่ป้อม อาจทำให้เราเข้าใจผิดและโกรธกันได้ และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมคิดว่าตัวเองสามารถอธิบายให้มันเข้าใจ แล้วเราจะกลับมาดีกันเหมือนเดิม แต่ผมไม่ได้คิดเผื่อไว้... ว่าสถานการณ์เลวร้ายแบบนี้จะเกิดขึ้น ไม่ได้คิดเผื่อไว้ ว่าจะอธิบายยังไง ในเมื่อภาพที่เห็น ต่อให้อธิบายไปกี่แสนล้านคำ ใจความสำคัญของมันก็จะมาหยุดอยู่ตรงที่ผมยอมให้เขากระทำอยู่ดี
แม้จะได้ยินเสียงพี่ป้อมพูดอะไรอีกยาวเหยียด แต่ผมจับใจความไม่ได้ เหมือนสมองถูกสั่งการให้มองไปยังคนที่ยืนอยู่ใต้กรอบประตูนั่น ผมไม่รู้ บอกไม่ถูกว่ามันทำหน้ายังไง แต่มันแย่... แย่กว่าครั้งไหนที่ผมเคยเห็นมา ผมภาวนา ขอให้มันโวยวายออกมาสักคำ แต่ผม... คงขอมากไป มันยืนนิ่ง สายตามาดร้ายที่เคยใช้มองแต่พี่ป้อม ตอนนี้... ผมกลายเป็นผู้แบกรับแทนเสียเอง
“กูแพ้มึงแล้วไอ้ป้อม...” มันพูด ก่อนหมุนตัวกลับแล้วเดินออกไป ถึงตอนนั้นผมเองเพิ่งจะได้สติ
“มะ...ไม่! อย่าเพิ่งไป ฮึก...ฟังผมก่อน” ผมตะเกียดตะกายออกจากตัวพี่ป้อม แต่ไม่เป็นผล เมื่อคนด้านบนฉุดกระชากตัวผมเอาไว้
“ปล่อยผม!” ผมบอกออกไป มือก็เอาแต่ทุบตีพี่ป้อมตามแต่ที่เรี่ยวแรงจะมี
“มีปัญญาเดินไปเองได้ก็เชิญ” ผมชะงัก นึกสมเพชตัวเอง พลางเหลือบมองขาที่ใช้การไม่ได้ ใช่... ถูกของเขา ผมไม่มีปัญญา แต่ถึงเดินไม่ได้ ผมก็จะคลานไป…
“หยุดทำอะไรโง่ๆสักที มันไปตั้งนานแล้ว!” เขาตะโกน ก่อนจะดึงตัวผมที่กำลังไถลลงจากเตียงกลับขึ้นไปอย่างรวดเร็วจนหลังของผมกระแทก มันเจ็บ... เจ็บจนตัวงอ
“เพราะอะไร...” ผมถาม แล้วมองหน้าเขา แม้จะบังคับให้ตัวเองพูดออกมามากแค่ไหน แต่น้ำตาที่มันเอาแต่ไหล ทำให้ผมมีแรงพูดได้เท่านั้น
“
หึ... นิดจะได้รู้ซะบ้าง ว่าการถูกคนที่ตัวเองรักปฏิเสธ มันเป็นยังไง” คนพูดกดเสียงรอดไรฟัน ข้อมือที่ถูกบีบอยู่โดนสะบัดออก
“เมื่อก่อน...ฮึก... พี่ไม่ได้เป็นคนแบบนี้” ผมพูด น้ำเสียงติดจะพึมพำกับตัวเองมากกว่าค้นหาคำตอบ
“อยากรู้ไหมว่าทำไม...” เสียงทุ้มต่ำกระซิบที่ข้างหู เส้นผมของผมถูกจิกดึงจนแทบหลุด
“นิดเป็นคนเปลี่ยนพี่ยังไงล่ะ ทั้งหมดมันเป็นความผิดของนิดคนเดียว...”
ผมผิดมากใช่ไหม... แล้วทำไมความผิดพลาดทั้งหมดที่เกิดขึ้นในชีวิต ผมถึงต้องเป็นผู้แบกรับแต่เพียงผู้เดียวตลอด
.
.
.
พี่ป้อมพาผมกลับมาส่งที่บ้านตอนช่วงสายของอีกวัน เขาคงเอือมระอากับท่าทีตายซากของผมมาก พอส่งผมถึงแค่หน้าประตู ก็รีบขับรถกลับไปเลย
มือของผมค่อยๆเลื่อนประตูใหญ่หน้าบ้านออกช้าๆ ก่อนจะพาตัวเองเคลื่อนตัวเข้าไปอย่างยากลำบาก ผมพยายามรีดเร้นเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี เพื่อที่จะเข็นรถเข้าไปในบ้านให้ได้ แต่ฉับพลันที่สายตาของผมมองเห็นรถของใครบางคนจอดอยู่ มือทั้งสองข้างที่จับล้อก็ตกลงข้างตัวทันที น้ำตาเริ่มเอ่อซึมออกมาอีกครั้ง ผมหยุดนิ่งอยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน ไอแดดทำให้ตัวของผมร้อนผ่าว แต่ถึงอย่างไร ผมยังไม่อยากเข้าบ้าน ยังไม่อยากให้ใครบางคนเห็น...
โฮ่ง! เจ้าโซ่วิ่งหูลู่มาทางผมอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกระโดดขึ้นมานั่งบนหน้าขาของผมเหมือนปกติ
“หนักจังเลยครับคุณโซ่”
หนัก... ปัญหานี้มันหนักมากเกินไปสำหรับผม
ผมเอามือลูบหัวของมันเบาๆ เหมือนมันรู้ ว่าผมไม่สบายใจ มันเลยนั่งมองหน้าผมนิ่งๆ ก่อนจะครางหงิงในลำคอ ลุกขึ้นเดินย่ำบนหน้าขาของผมแล้วกระโดดลง ผมมองตามว่ามันจะไปไหน มันเดินวน อ้อมไปหลังรถเข็นของผม แล้วเอาหัวดันเพื่อที่จะให้ตัวผมเคลื่อนไปข้างหน้า แต่ตัวมันจะมีแรงขนาดไหนกันเชียว
“พอแล้ว... พอแล้วครับคุณโซ่” มันหยุด ก่อนจะเดินกลับมาด้านหน้า ได้ยินมันขยับปากครางภาษาของมันที่ผมฟังไม่เข้าใจ ก่อนจะวิ่งไปยังตัวบ้าน สักพักก็เห็นมันวิ่งนำพี่สุทินออกมา
“คุณนิด!” เสียงของพี่สุทินดังมาก่อนที่จะถึงตัวผมซะอีก ผมยิ้มบางๆให้ ตาพร่าเลือนไม่รู้ว่าเป็นเพราะแสงแดด หรือน้ำตาของผมกันแน่
“ทำไมมานั่งตากแดดอยู่ตรงนี้ละครับ ผมพาเข้าบ้านนะ” พี่สุทินบอกอย่างร้อนรน แล้วอ้อมไปเข็นรถให้ผม เขาไม่ได้ถาม ว่าผมหายไปไหนมา แต่ผมคิดว่าพี่สุทินคงรู้…
กำลังจะเข็นรถเข้าไปในตัวบ้าน คนที่ผมเฝ้าคิดถึงอยู่ตลอดเวลาก็เดินสวนออกมา มันปรายตามองผมนิ่ง ผมเอื้อมมือไปหามันด้วยท่าทีอ่อนระโหยโรยแรง แต่มันเบี่ยงตัวหลบแล้วเดินไปยังรถที่จอดอยู่แทน
“เสร็จธุระแล้วรีบตามผมมาด้วยนะคุณสุทิน” น้ำเสียงเย็นชาบอกออกมา ไม่มีแม้แต่จะหันหลังกลับมามองกัน
“พี่สุทินรีบไปเถอะครับ เดี๋ยวเขาโกรธ ผมดูแลตัวเองได้” ผมบอกเสียงเบาให้ได้ยินกันสองคน พยักพเยิดให้พี่สุทินรีบเดินไปหามัน เขาทำหน้าลำบากใจเล็กน้อย แต่ก็ยอมทำตาม เมื่อเห็นว่าผมยืนยันหนักแน่น
ไม่เป็นไร... ตอนนี้มันยังคงโกรธอยู่ ไว้กลับบ้านมา เราจะกลับมาคุยกันเหมือนเดิม
.
.
.
ผมนั่งรอเวลามาทั้งวัน ตอนนี้เข้าสู่วันใหม่แล้ว แต่ผมก็ยังคงนั่งรออย่างมีความหวัง จนได้ยินเสียงรถที่ขับเข้ามานั่นแหล่ะ ผมถึงยืดตัวขึ้นจนสุดตัว มือก็เคลื่อนรถไปดักมันตรงประตูทางเข้า ชะเง้อคอมองหา เห็นมันก้มลงถอดรองเท้าวางไว้ที่ชั้น ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตาผมที่นั่งรออยู่
ผมยิ้มให้ พยายามเค้นเสียงเรียกชื่อมันออกไป แต่เมื่อเห็นสีหน้าและแววตาที่มองมา ผมไม่พูด... คงจะดีกว่า
ผมเข็นรถตามคนที่เดินผ่านตัวของผมไป จนไปหยุดอยู่ที่บันได มันเดินขึ้นไปแล้ว ทิ้งไว้แต่ผม ที่นั่งอยู่ด้านล่างเพียงลำพัง ผมหยุดนิ่งตรงหน้าบันไดอยู่นาน รอมัน... หวังว่ามันคงจะลงมาหาผม แต่จนแล้วจนรอด... มันก็ไม่ลงมา
ไม่เป็นไร ไม่ลงมา ผมขึ้นไปหาเองก็ได้ แม้จะไม่รู้ว่าตัวเองจะขึ้นไปได้ไหม แต่ผมไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว
ผมค่อยๆใช้แรงมือและแรงแขนทั้งหมดโหนราวบันได ค่อยๆโหนไปทีละซี่ ลากตัวเองผ่านขั้นบันไดทีละขั้น แรงครูดของผิวหนังช่วงขากับพื้นบันได ทำเอาผมรู้สึกเจ็บไปหมด
เจ็บ... ใช่แล้ว มันเจ็บ ความรู้สึกตรงส่วนขาของผมมันกลับมาตั้งนานแล้ว เพียงแต่ยังขยับขาไม่ได้ เรื่องนี้ผมไม่เคยบอกใคร เพราะกลัว... กลัวว่าวันหนึ่งหากตัวเองหายดี ความเอาใจใส่ของมันที่มีต่อผม จะลดหายลงไป
มีบางจังหวะที่ผมคว้าพลาด ตัวของผมไถลลื่น ร่างกายตั้งแต่ช่วงอกเรื่อยไปจนถึงขาเจ็บไปหมด แต่ผมยังไม่อยากยอมแพ้ ต่อให้ตกลงไปตาย ผมก็ไม่สนใจ
ในที่สุด ผมก็คลานมาถึงหน้าห้องของมันจนได้ ผมค่อยๆเอื้อมมือสั่นๆไปบิดลูกบิดประตู เพียงเพื่อจะพบว่ามันล็อก...
“คะ... คุณฉกาจครับ” ผมเรียก พร้อมกับเคาะประตูไปด้วย
“เปิดประตูให้ผมหน่อย” เงียบ... ไม่มีเสียงใดๆตอบกลับมา
“ฮึก... คุณฉกาจ ผมขอโทษ เปิดประตูให้ผมที” ผมร้องเรียกอยู่นานจนหมดแรง นั่งพิงประตูรอมันอยู่อย่างนั้น ก้มลงมองฝ่ามือของตัวเอง เห็นผิวหนังปริแตกจนเลือดซิบ ขาและหัวเข่ามีแต่รอยแผลถลอก ผมร้องไห้ แต่ต่อให้ร้องจนน้ำตาเหือดแห้ง ประตูบานนี้ก็คงจะไม่มีวันเปิดออกมา...
.
.
.
ผมตื่นมาอีกทีด้วยอาการปวดหัวอย่างรุนแรง แม้แต่จะลุกขึ้นก็ทำไม่ไหว เลยได้แต่ลืมตามองเพดานของห้องด้านล่างอยู่อย่างนั้น ผมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง หรือผมป่วยจนเพ้อ แล้วฝันไป... แต่เมื่อยกฝ่ามือขึ้นมอง ผมเลยรู้ว่าตัวเองไม่ได้ฝัน พลาสเตอร์ถูกปิดลงบนแผลอย่างเรียบร้อย บางที มันอาจจะเป็นคนปิดให้ผม... คิดได้ดังนั้นก็ดีใจ จึงฝืนตัวลุก พร้อมกับที่ใครบางคนเปิดประตูเข้ามา ผมยิ้มค้างรอรับ ก่อนที่มันจะค่อยๆเจื่อนลงทันที
“ป้าเรือง...” ผมครางชื่อออกมาเบาๆ ก้มหน้าเสหลบอาการผิดหวังที่เกิดขึ้นบนใบหน้า
“คุณนิด!” ป้าเรืองดูตกใจที่เห็นผม ก่อนจะโผเข้ามากอดผมเบาๆ
“
โถ คุณนิดของป้า ตื่นสักที หลับไปเกือบสองวัน ปล่อยให้คนแก่อย่างป้าเป็นห่วงแทบแย่ รอก่อนนะลูก เดี๋ยวป้าไปหาอะไรมาให้ทาน” ป้าเรืองบอก ก่อนจะดันตัวผมให้นอนลง แล้วรีบออกจากห้องไป
สองวันเลยเหรอ... สองวันที่ผ่านมา ผมอยากรู้แค่อย่างเดียวว่ามันมาดูแลผมบ้างไหม...
“ทีหลังอย่าไปนอนตรงนั้นอีกนะคะ แล้วถ้าอยากขึ้นข้างบนให้บอกป้า เดี๋ยวป้าบอกสุทินให้พาไปเอง อย่าทำอะไรอันตรายแบบนั้นอีกนะลูก” ป้าเรืองบอกน้ำเสียงสั่นเครือ มือก็เช็ดหน้าเช็ดตาให้ผมระหว่างทานข้าว
“พี่สุทิน... เป็นคนพาผมลงมาเหรอครับ” ผมถามออกไป ในใจก็ภาวนาขอให้ป้าตอบว่า ไม่... คุณฉกาจต่างหากที่เป็นคนพาผมลงมา แต่แรงพยักหน้าน้อยๆของป้าเรืองทำให้หัวใจของผมเจ็บร้าว
“แล้วคุณหนูของป้า...” ผมถามไม่จบประโยคดี ไม่กล้าถาม กลัวคำตอบเหลือเกิน
“คุณหนูไม่ได้กลับบ้านมาสองวันแล้วค่ะ” ป้าเรืองหลบหน้าผมแล้วบอกออกมาเสียงเบา
หมดแล้วสินะ ความห่วงใยที่เคยมีให้กัน... ผมพยักหน้าเข้าใจ อาหารที่ทานอยู่พาลไม่อร่อยขึ้นมาเสียอย่างนั้น เลยยื่นจานให้ป้าเรือง ก่อนจะบอกป้าว่าผมขอนอนพักผ่อน แต่แท้จริงแล้ว ผมเอาแต่นอนมองนาฬิกาตรงผนัง และรอฟังเสียงรถยนต์ ในใจก็คิดว่าวันนี้มันจะกลับมาไหม รอจนรอไม่ไหว เลยต้องพยุงตัวเองไปนั่งรถเข็นแล้วออกไปรอข้างนอกห้องทั้งที่มึนหัวอยู่อย่างนั้น มองซ้ายมองขวา... ตอนนี้ไม่มีใครอยู่ และมันก็ไม่อยู่บ้าน ถ้าอย่างนั้น ประตูห้องนอนของมันคงไม่ได้ล็อก และถ้าผม... จะขึ้นไปข้างบนอีกครั้งคงไม่เป็นไรสินะ
ผมค่อยๆทิ้งตัวลงจากรถเข็น แล้วพาตัวเองโหนราวบันไดขึ้นไป แผลตรงฝ่ามือถูกกดทับจนเจ็บอีกครั้ง แต่นั่นไม่สำคัญสำหรับผม
“ทำอะไร!” เสียงตะคอกดังขึ้นข้างหลังโดยที่ผมไม่ทันได้ตั้งตัว จนผมเองเกือบเผลอปล่อยมือออกจากราวบันไดนั่น สักพักตัวของผมก็ลอยหวือ กลิ่นน้ำหอมที่คุ้นเคยทำเอาผมลอบยิ้ม... มันกลับมาแล้ว
มันพาผมกลับเข้ามาในห้องด้านล่าง การกระทำอาจจะดูรุนแรงแตกต่างจากปกติไปนิด แต่ผมเข้าใจว่ามันกำลังโกรธ
“ปล่อย!” มันว่าเสียงดังตอนที่ผมไม่ยอมปล่อยมือที่คล้องคอของมันออก จนมันต้องกระชากมือของผมทิ้ง ผมนั่งนิ่งอยู่ที่เตียง ดวงตาพร่าเลือนก้มลงมองมือของตัวเองที่โดนกระชากเมื่อสักครู่ นี่เป็นครั้งแรก... ที่มันทำรุนแรงกับร่างกายของผม
“ผมขอโทษ ผมรู้ว่าตัวเองผิด แต่ทำไมคุณไม่ฟังผมบ้าง ไหนบอกว่ามีอะไรให้บอกกันไง คุณคิดอะไร ทำไมไม่ยอมบอกผม” ผมส่งเสียงถามคนที่กำลังเดินออกจากห้อง มันหยุดฝีเท้า แล้วหันกลับมามองผม
“
ก็ดี วันนี้ผมจะบอกคุณทุกอย่าง จะได้หมดเรื่องกันสักที” มันว่า เดินไปเปิดลิ้นชักเพื่อหยิบซองเอกสาร แล้วหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากซองโปรยลงต่อหน้าผม ภาพถ่ายหลายร้อยใบร่วงหล่นลงมาภาพแล้วภาพเล่า มันเป็นภาพเก่าตั้งแต่สมัยเรียนของผมกับพี่ป้อม แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับสิ่งที่ทำให้ผมต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ หัวใจของผมกระตุกสั่นไหวด้วยความกลัว มือก็กวาดภาพที่กองอยู่มาดูเพราะไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง มันเป็นภาพเปลือยของชายหนุ่มสองคนนอนกอดก่ายกันบนเตียง ท่วงท่าที่แนบชิดนั่น หากคนภายนอกได้เห็น ไม่ต้องบรรยายก็คงรู้ ว่าคนทั้งสองมีความสัมพันธ์กันแบบไหน
“มีคลิปด้วยนะ” มันยืนกอดอก แค่นยิ้มแล้วมองผม
“ผะ...ผมไม่รู้เรื่องพวกนี้ ผม...” ผมพยายามจะอธิบาย แต่ไม่รู้ที่มาที่ไปของภาพ เลยได้แต่อึกอัก
“คุณไม่ต้องอธิบายหรอก ผมรู้ ว่าไอ้ป้อมมันพยายามปั่นหัวผม แต่ผมก็อดทน อดทนมาตลอด ทั้งที่ใจมันกระวนกระวายเต็มที ผมรู้ ว่าคุณไม่มีทางทันคนเลวอย่างมันแน่ แต่ที่ผมไม่เข้าใจ ทำไมคุณต้องยอมมันขนาดนั้น คุณดูถูกความรักของเรา
ดูถูกความรักของผม!” มันพูดเสียงดัง
“ที่ผมยอมพี่ป้อมเป็นเพราะเขาขอเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่เราจะไม่ได้เจอกันอีกเลยตลอดชีวิต ผมเลยยอม เพื่อจะได้ให้มันเป็นไปตามที่คุณเคยขอผมไว้ไง!” ผมเสียงดังไม่แพ้กัน ผมรู้... ว่าตัวเองผิด แต่ช่วยฟังเหตุผลของผมก่อนได้ไหม
“หึ... แล้วคุณก็เชื่อมันอย่างนั้นเหรอ ทำไม... ทำไมคุณถึงใจอ่อนกับคนอื่นได้ง่ายๆ แต่กับผม ทำไมคุณถึงใจแข็งนัก คุณลืมนึกไปแล้วรึไง ว่ากว่าเราจะมาถึงวันนี้ได้ มันใช้เวลานานขนาดไหน” มันบอก ผมยอมจำนนทุกข้อกล่าวหา นั่งก้มหน้าน้ำตาไหลเอ่อ หมดปัญญาที่จะหาเหตุผลมาเถียง
“คุณเอาแต่ร้องขอความรักจากผม แต่ตัวคุณเองเคยบอกผมว่ารักสักครั้งไหม หรือคุณใจดีกับทุกคนแบบนี้ไปทั่ว ผมเองคงเป็นหนึ่งในนั้นด้วยสินะ”
“ไม่...ไม่ใช่! ผมรักคุณ ผมรักคุณจริงๆนะ” ผมเงยหน้าขึ้นมาตอบทันควัน มือก็ตะกายเสื้อของมัน กลัวว่าเจ้าตัวจะเดินหนีหายไปเหมือนตอนนั้น
“คุณมาบอกทำไมในตอนที่ผมไม่อยากรับฟัง...” คำพูดของมันทำเอาผมนิ่งค้าง ใบหน้าแหงนเงย ดวงตาจ้องมองหน้าคนพูดนิ่งงัน
“ฮึก… ผมรักคุณจริงๆนะคุณฉกาจ” ผมร้องไห้ อ้อนวอน ร้องขอให้มันเชื่อผม แต่ก็ไม่เป็นผล...
“ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมเอาแต่พร่ำบอก ขอร้องให้คุณเลิกยุ่งกับมัน แต่คุณไม่เคยฟังผมเลย แล้วตอนนี้คุณจะมาหวังอะไรจากผม” มันพูดก่อนจะแกะมือของผมออก แล้วหันหลังกลับ ผมรีบคว้ามันไว้สุดตัว
“อย่าเพิ่งไป
โอ้ย!” มือที่ยื่นออกไปสัมผัสได้แต่อากาศ แรงทั้งหมดที่พยายามโถมเข้าหาทำให้ตัวของผมหล่นลงจากเตียง ร่างกายกระแทกกับพื้น เจ็บจนตัวแทบแตกเป็นเสี่ยงๆ แต่คนที่ผมรักกลับไม่หันมามองกันสักนิด
“เกิดอะไรขึ้นคะคุณหนู” ป้าเรืองเปิดประตูเข้ามาดู พอเห็นผมนอนจุกอยู่กับพื้นก็ตกใจ
“ดูแลเขาด้วยครับป้า” มันบอกก่อนจะเดินออกไป แต่ยังไม่ทันพ้นประตูห้องดี ป้าเรืองก็คว้าตัวมันเอาไว้
“มีอะไรทำไมไม่คุยกันดีๆ ป้าไม่ได้เลี้ยงมาให้คุณเป็นคนใจร้ายแบบนี้นะ” ป้าเรืองว่า มือก็ทุบตีคนตัวโตนั่น แต่แรงของป้า ไม่ได้ทำให้มันสะทกสะท้านสักนิด
“ป้าก็ลองถามเขาดูสิครับ ว่าใครใจร้ายกับใครก่อน” มันบอกป้าเรือง ก่อนจะเดินจากไป ทิ้งให้ป้าเรืองมาพยุงตัวผมให้ลุกขึ้นจากพื้น หมดกันแล้วสินะ ความรักของผม...
.
.
.
วันนี้เป็นวันที่คุณหมอนัดตรวจร่างกาย ฉากเก่าๆทำให้ผมนึกถึงคนที่เคยมาด้วย แต่ตอนนี้ มันกลับไม่มีอีกแล้ว...
“เจ็บเหรอ” คุณหมอถามตอนที่ใช้ค้อนยางเคาะที่หัวเข่าของผม
“เปล่าครับ ผม...ไม่รู้สึกอะไรเลย” ผมหลบตา บอกออกไปเรียบๆ
“อย่าโกหกหมอนะ หมอรู้” คุณหมอว่า ยิ้มให้เหมือนผมเป็นเด็ก
“พอจะกระดิกนิ้วเท้าได้ไหม” เขาไม่รอคำตอบจากผม แต่ถามต่อ เมื่อโดนจับได้ ผมเลยพยักหน้าตอบ
“หมออยากให้คุณเข้ามารับการฝึกเดินด้วยหุ่นยนต์กับทางโรงพยาบาลนะ ลำพังหวังพึ่งแต่กายภาพอย่างเดียวคงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะหาย” คุณหมอว่า แล้วอธิบายกลไกของเครื่องที่ว่าให้ฟัง แต่มันไม่เข้าหัวของผมเลย
“ผม... ขอคิดดูก่อนนะครับ” ผมบอกตอนที่คุณหมออธิบายเสร็จ คนสูงวัยกว่าถอนหายใจแผ่วเบา มองผมด้วยสีหน้าลำบากใจ
“อย่าคิดนานนะ ยิ่งปล่อยไว้มันจะยิ่งไม่ดีกับตัวเอง” ผมพยักหน้ารับ ถึงยังไง ไม่ว่าจะเดินได้หรือไม่ได้ ผลลัพธ์ก็ไม่ต่างกันแล้วตอนนี้...
“พี่สุทิน อย่าบอกคุณฉกาจนะ เรื่องขาของผม” ผมพูดขึ้นระหว่างทางที่พี่สุทินขับรถ
“คุณนิดครับ...” พี่แกปรามเบาๆ หันมามองผมชั่วครู่สลับกับมองทางเป็นระยะ
“ผมขอร้อง ผมยังไม่อยากออกจากบ้านหลังนั้น ถ้าเขารู้ เขาต้องให้ผมย้ายออกแน่ๆ” ผมบอกออกไปตามที่คิด
“นายไม่มีวันทำอย่าง...”
“ขอร้องล่ะครับ แค่เขาไม่สนใจ ผมก็เจ็บจะตายอยู่แล้ว...”
.
.
.
ตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา ผมตื่นแต่เช้าทุกวัน เพียงเพื่อจะรอพบหน้าใครบางคน เราไม่ได้ทานข้าวด้วยกัน ไม่ได้นอนกอดกันทุกวันเหมือนเคย เลยมีแต่โอกาสนี้เท่านั้น ที่ผมจะได้เห็นหน้ามันก่อนที่เจ้าตัวจะไปทำงาน
ใกล้เวลาที่มันจะลงมาแล้ว ผมเลยเข็นรถพาตัวเองไปแอบอยู่หลังเสา เมื่อเห็นมันเดินออกมาจากตัวบ้าน รอยยิ้มเศร้าๆของผมก็ผุดขึ้น ทำได้แค่เพียงแอบมอง...
โฮ่ง! เสียงของเจ้าโซ่ทำผมสะดุ้ง มันมายืนกระดิกหางยิกๆอยู่ข้างหน้าผม ผมทำตัวลีบอยู่หลังเสา กลัวว่าใครบางคนจะผิดสังเกต แล้วมันก็เดินมาทางนี้จริงๆ
“มีอะไรไอ้โซ่...” มันถาม ก่อนจะมาหยุดนิ่งยืนอยู่ข้างหน้าผม เห็นเจ้าโซ่เดินไปคลอเคลียตะกุยขาของเจ้านายจนกางเกงทำงานเปื้อนไปหมด
“คะ...คือผม...” ผมพูดไม่ออก ก้มหน้าหลบสายตา คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าทำเอาผมตัวสั่นด้วยความประหม่า
“ผมขอกอดคุณได้ไหม” ผมลองเสี่ยงบอกออกไปเสียงเบา ปกติเราจะกอดกันทุกเช้าไม่ใช่รึไง... แต่คำร้องขอไม่เป็นผล เมื่อคนฟังผละจาก คำพูดของผมมันกลืนไปกับอากาศ หัวใจถูกบีบเค้นอย่างหนักหน่วง
“ถ้าผมรู้ว่ามันจะเป็นอย่างนี้ ผมคงจะไม่ทำแบบนั้น ถ้าเราย้อนเวลากลับไปได้ มันก็คงจะดีกว่านี้สินะ” ผมรำพึงรำพันกับตัวเอง ไม่คิดว่าจะให้อีกฝ่ายจะได้ยิน แต่ผมคิดผิดถนัด เมื่อเสียงทุ้มต่ำนั่นตอบกลับมา
“
ใช่... ถ้าย้อนเวลาได้ เราอย่าเจอกันเลยจะดีกว่า”
ผมเหม่อมองแผ่นหลังของคนที่เดินจากไป น้ำตาไหลลงเงียบเชียบ ต้องเสียใจเท่าไหร่ถึงจะพอ...
.
.
.
ผมมองไปรอบบริเวณบ้าน ความทรงจำมากมายผุดขึ้นมาในหัว แต่ต่อจากนี้... บ้านหลังนี้จะกลายเป็นบ้านที่ผมเคยอยู่ ในเมื่อมันไม่ต้องการผมแล้ว ผมก็ควรจะไป ถึงมันจะไม่ได้ออกปากไล่ แต่ผมทนแบกรับแรงกดดันไม่ไหวอีกแล้ว ผมนั่งซึมเหมือนคนตายซากอยู่เป็นเดือน มันทรมานเหลือเกิน
ผมค่อยๆเลื่อนประตูใหญ่ออกช้าๆ พยายามไม่ให้เกิดเสียง กลัวคนที่อยู่ในบ้านจะรู้ แต่ก็พลาด เมื่อเจ้าโซ่มันเห็นผมจนได้ ผมรีบปิดประตูอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นมันวิ่งมาทางผม แล้วออกแรงเข็นรถหนีมันทันที แต่มันก็ยังมุดรั้วออกมายืนดักหน้าผมอยู่ดี
“ร้ายจริงๆคุณโซ่” ผมว่า เคลื่อนรถพาตัวเองไปตามแนวถนน แกล้งทำเป็นไม่สนใจเจ้าสี่ขาที่เดินตาม พอผมหยุด หันไปมอง มันก็หยุด พอผมเคลื่อนตัว มันก็เดินตาม
“จะไปกับผมเหรอ” ผมถาม มันแกว่งหางให้ แลบลิ้นยาวๆออกมาแล้วหายใจหอบเพราะอากาศร้อน
“ผมยังไม่รู้เลยนะว่าจะไปไหน สงสัยวันนี้ได้นอนข้างถนนแน่ๆ คุณโซ่แน่ใจนะว่าอยากตามผมไป อยากเป็นหมาข้างถนนเหรอ หือ” ผมถาม มันไม่แสดงปฏิกิริยาอะไร แต่เดินมาหยุดข้างหน้าแล้วใช้ลิ้นสากๆเลียเท้าเปล่าของผม ผมน้ำตาซึม ร้องไห้ออกมาอีกแล้ว ทำไมผมถึงร้องไห้บ่อยขนาดนี้ รำคาญตัวเอง เมื่อไหร่จะหยุดอาการแบบนี้ได้สักที
“เหนื่อยจังเลยครับคุณโซ่...ฮึก...เหนื่อยจนไม่อยากจะมีชีวิตอยู่อีกแล้ว” ผมนั่งตากแดดตอนกลางวันอยู่อย่างนั้น ก้มหน้าปาดน้ำตาอย่างคนสิ้นหวัง
ปี๊น! ได้ยินเสียงรถบีบแตรไล่หลังมาแต่ไกล ผมลืมไป ว่าตัวเองกำลังอยู่บนถนน แต่ช่างมัน ทุกอย่างมันเกินจะทนแล้ว ชีวิตของผมมันแย่ รถชนอีกรอบก็คงจะดี คราวนี้ขอให้ผมตายไปเลยดีกว่า…
ผมหลับตากลั้นใจรอรับแรงปะทะ แต่กลับได้ยินเสียงรถยนต์จอดเทียบข้างตัว ก่อนจะลืมตาขึ้นเมื่อได้ยินเสียงเรียกที่คุ้นเคย
“นิดจะไปไหน!”.....................................................
http://www.youtube.com/v/koostPSWlTg