Kagehana : เคลียร์คัทไปแล้วหนึ่ง แต่เหลือน้องจินเรานี่แหละ....ตอนนี้ยังกุบกิบหัวใจ แต่ต่อไปไม่แน่นะคะ ฮิฮิ

ขอบคุณทุกๆคอมเม้นต์ ทุกๆกำลังใจค่ะ อ่านเม้นท์ทีไรปลื้มใจทุกที ฮี่----
-7-
...หนาว...
ร่างสูงใหญ่ที่นอนอยู่ในบ้านเกวียนหลังเล็กขยับตัวยุกยิกไต่มือหาผ้าห่ม...ไอ้พี่คีย์เปิดแอร์23อีกแล้วแหงๆ...
จิณณ์ขมวดคิ้ว ก่อนจะค่อยๆลืมตาขึ้น จนเมื่อนัยน์ตาสีเข้มมองเห็นเพดานหลังคานั่นแหละ เขาถึงได้รับรู้ว่าที่ๆนอนอยู่ตอนนี้ไม่ใช่คอนโดของคิรากร เขาขยับตัวโยนเป้ที่ใช้หนุนไปข้างๆ ก่อนจะก้มลงมองแฮมสเตอร์ที่นอนขดตัวกลมผมปิดหน้า...หลับแปะอย่างสบายใจอยู่ข้างๆ
หนาวไหมวะนั่น..จิณณ์พูดในใจแล้วเอื้อมมือไปแตะแขนที่เย็นเฉียบ
“พี่คีย์... มานอนดีๆ ตัวเย็นหมดแล้ว”
“อือ...” แขนที่เย็นๆนั้นยกขึ้นก่อนจะคว้าเอามือของร่างสูงไปกอดเอาไว้โดยไม่ยอมแม้แต่จะลืมตา
“กอดอีกแล้ว แต๊ะอั๋งป่ะเนี่ย”
คนที่ถูกกล่าวหาค่อยๆลืมตาขึ้นก่อนจะรีบปล่อยมือออก “เปล่า...ตื่นแล้วเหรอจิน เดี๋ยวจะได้ไปกินข้าวกับคนอื่นๆ” คิรากรลุกขึ้นนั่งก่อนจะถอดแว่นออกมาเช็ดไปพลาง จัดผมตัวเองไปพลาง
“พูดแล้วหิวเลย เห็นพี่ไผ่ว่ามีดูดาวกลางคืน หลังกินข้าวมั้ง อากาศเย็นแบบนี้เอาผ้าห่มไปด้วยดีกว่า”
“อื้อ พี่เริ่มหิวแล้วเหมือนกัน” คนอายุมากกว่ารับคำก่อนจะฉวยเอาผ้าห่มมาพับทีละทบอย่างเรียบร้อยแล้วพาดกับแขนเอาไว้
จิณณ์รอให้ไอ้แว่นแฮมจัดการตัวเองให้เรียบร้อย ก่อนทั้งคู่จะเดินออกมาพร้อมกัน
หลังจากหลับเพลินจนพลาดมื้อกลางวัน ท้องก็ส่งเสียงประท้วงทันทีที่มาถึงลานกว้างที่มีเตาบาร์บีคิวที่ขนกันมาวางไว้ กลิ่นเนื้อย่างปนซอสทำเอาจิณณ์แทบอยากจะพุ่งเข้าหาเตาทันที ถ้าไม่ติดที่ว่า...ที่เตามีบรรยากาศแปลกๆ ของเพื่อนเขาทั้งสองคนลอยอยู่จางๆ ไม่ใช่เรื่องแปลกที่พี่ไผ่จะมายืนย่าง...แต่ไอ้คนขี้ร้อน กลัวเหม็นอย่างเม็ดโฟม ทำไมถึงมายืนยิ้มทำหน้ามุ้งมิ้งช่วยย่างได้
ปกติก็นู่น นั่งสั่งแล้วรอกินอยู่ที่โต๊ะ
“หือ? โฟม...มึงย่างเองอย่างงี้กินได้เหรอวะ”
“พี่ไผ่สอน กูช่วย จะได้เสร็จเร็วๆให้พวกมึงกินไงครับ หรือมึงไม่กิน” อิชย์ที่ยืนยิ้มอยู่หันมาทำตาขวางใส่ร่างสูงที่เดินเข้ามาทันที
“ตั้งแต่โดนพี่ไผ่ลากไป กลับมามึงอารมณ์ดีเลยนะครับน้องเม็ดโฟม พี่ไผ่ให้แดกเพ็ดดีกรีแล้วหายบ้าเหรอ” คนที่ยืนอยู่อีกด้านของเตาแซวเสียงดัง
“พ่อมึงครับไอ้ถัง ไม่ต้องแดก ไปหาที่เตาอื่นไป” เขาสวนกลับพร้อมทั้งแยกเขี้ยวใส่ให้
“เด็กๆไปพักกันเถอะ เดี๋ยวพี่ทำให้เอง เร็วกว่า” คิรากรรีบอาสาพร้อมก้าวไปที่ข้างเตาย่างทันที
“สกิลเมียกำเริบเหรอ ไปนั่งกับอาลัวไป เดี๋ยวผมย่างให้”
“ไม่เอา พี่อยากทำให้ นะ” นะสุดท้ายคนอายุมากกว่าลากหางเสียงให้ยาวพร้อมทั้งรอยยิ้มกว้าง
“ใครย่างก็เอาค่า น้องลัคกี้หิวจนจะกินหัวนังน้องแจ๊สได้แล้ว” ลัคกี้ที่มาในชุดธีมเสื้อขนประหนึ่งอยู่เกาหลีเดินมาหน้าเตาแล้วเบะปาก “อี๊ น้องโฟมคะ มึงย่างเนื้อหรือถ่านคะ กระเทยแดกบาร์บีคิวค่ะไม่ใช่แดกก้อนมะเร็ง”
“ก็กูเพิ่งหัดทำครับ”
“เห็นไหม ให้พี่ทำให้นะ” คิรากรไม่พูดเปล่า ชายหนุ่มขยับดันน้องลัคกี้ออกไปพร้อมทั้งดึงอิชย์ออกมายืนข้างๆ
“ไผ่...” คนอายุมากกว่าแบมือออก เป็นสัญญาณให้ส่งที่คีบมาให้ มืออีกข้างดันแว่นขึ้นคาดไว้บนศีรษะก่อนจะรับเอาที่คีบมา
“จินจะถือจานให้ไหม”
“เออ” คนตอบพูดเสียงห้วน จิณณ์ยืนถือจานเปลรอรับเนื้อที่อีกฝ่ายกำลังพลิก ดูจากท่าทางแล้ว อนาคตของเพื่อนสัตว์โลกที่อุทิศตัวเป็นอาหาร ดูจะคุ้มค่ามากกว่าเวลาที่อิชย์เป็นคนทำ
“มือโปรก็ไม่บอก อยู่ที่นู่นย่างบ่อยอ่ะดิ”
“อื้ม เวลามีปาร์ตี้ พี่จะย่างน่ะ ปล่อยให้พ่อไม่ก็อันไปรับแขก” คิรากรตอบพลางคีบเนื้อไก่ที่สุกแล้ววางลงบนจานก่อนจะหยิบชิ้นใหม่มาวางแทน
“พี่ดูรักคนชื่ออันมากเลยเนอะ...ถามตรงๆเหอะ ไม่เกลียดเขาบ้างเหรอที่ทำแบบนี้กับพี่”
“ก็ เรียกว่าเสียใจดีกว่า ไม่ได้เกลียดหรอก” เขาหันมายิ้มให้ ก่อนจะหยิบเนื้อที่เสียบไม้ทั้งหมดใส่จานให้
“แล้วถ้าเขามาง้อ จะยอมคืนดีไหม” ถามออกไป...โดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองรอฟังคำตอบแค่ไหน
“ก็...ถ้าอันหย่าจริงๆ พี่คงยอม” คนอายุมากกว่าหยิบเนื้อใหม่ลงวางบนเตา
นัยน์ตาสีดำเข้มมองน้ำมันที่ฉาบผิวเนื้อหยดลงบนถ่านแดงร้อนโดยไม่พูดอะไรต่อ จิณณ์ได้แต่คิดถึงใครอีกคนที่ถูกรักทั้งที่เป็นคนทำร้ายทุกอย่าง ถูกรัก...โดยไม่มีเงื่อนไข เช่นเดียวกับแม่เขาที่เคยรักพ่อแบบนี้หมดทั้งหัวใจ
แต่ก็ไม่ได้อะไรตอบแทน...
“ชาตินี้จะมีใครรักผมแบบนี้ไหมเนี่ย” คำพูดติดตลก แต่คนพูดรู้...ว่ามันฝืดเฝื่อนเหลือเกิน
“ทำไมจะไม่มีล่ะ เดี๋ยวจินก็ได้เจอ” คิรากรพลิกเนื้อทีละชิ้น “บอกแล้ว มาติดอยู่กับพี่ เดี๋ยวก็ไม่มีใครสนใจ”
“จีบพี่คีย์ดีกว่า” จิณณ์ปรับรอยยิ้มที่แปร่งปร่าให้กลายเป็นยิ้มสดใส... “จีบนะ?”
มือของเขาหยุดค้างไปก่อนจะมองหน้าอีกฝ่ายด้วยความประหลาดใจ “...อะไรนั่น”
“ตกใจอ่ะดิ” คนที่ถือจานอยู่ยิ้มขำกับท่าทางเหวอๆ “ซ้อมไว้ไง เผื่ออยากจีบเมื่อไหร่จะได้พูดคล่องๆ”
“ไม่ต้องมาแกล้งพี่เลย...” คิรากรทำเสียงขุ่นพลางคีบเนื้อที่เริ่มสุกแล้วใส่จานอย่างรีบร้อน “เอาไปให้คนอื่นเลย”
“โกรธหรือเขินเนี่ย ยังไม่ได้จีบซะหน่อย...หรือจะให้จีบเลย”
“ทั้งสองนั่นแหละ ไม่เคยคบผู้ชายไม่ต้องเลย” คนอายุมากกว่าไม่พูดเปล่า เขารีบยกมือขึ้นปัดๆให้อีกฝ่ายยกจานไปให้คนอื่นที่นั่งรออยู่ที่โต๊ะ
“พี่คีย์คร้าบบบ มานั่งกินก่อนก็ได้ เดี๋ยวให้ไอ้จินมันทำต่อ” รฐกรที่นั่งล้อมวงอยู่กวักมือเรียก “แจ๊ส มึงไปช่วยไป”
“ไม่เป็นไร พี่ทำให้เสร็จก่อนแล้วเดี๋ยวตามไป เด็กๆกินก่อนเลย”
“ต๊ายยย น่ารวั๊กที่สุดค่ะ อยากได้กระเทยไปช่วยย่างๆปิ้งๆไหมคะพี่คีย์ขา”
“น้องลัคกี้ทานเลยครับ ตามสบาย พี่ทำคนเดียวสะดวกกว่า ขอบคุณนะครับ” คิรากรส่งยิ้มกว้างให้
“แมนม๊ากกกกกกก คุณผู้ชายดูไว้นะคะ ดีไม่ได้ครึ่งของพี่คีย์สุดเลิฟของน้องกี้เลยสักคน อิถัง มึงอย่าแดกเนื้อในจานกูค่ะ อิถังงงงงงง” คนที่ยืนชมอยู่วิ่งถลาเข้าไปตบตีอีกคนที่คีบเนื้อออกมาใส่จานตัวเอง ส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดไม่คิดชีวิต
จิณณ์ที่ยืนมองอยู่หัวเราะลั่น แล้วก้มลงกระซิบข้างหู “อยากเปลี่ยนแนวเป็นน้องกี้ไหมครับ พี่คีย์สุดแมน แมนมากกกก แมนพันธุ์แฮมสเตอร์”
คนถูกเรียกเป็นหนูแฮมสเตอร์ถึงกับขมวดคิ้วทำหน้ายุ่งใส่ “ไม่ต้องมาล้อเลียนพี่เลย ไปกินไป...”
“ไอ้จินคะ มึงกระหนุงกระหนิงกับพี่คีย์มากๆกูคิดนะคะ” จิรนันท์เอ่ยเสียงดังโดยที่สายตายังไม่ละไปจากอาหารในจานของตัวเอง
“ก็คิดไปดิ” คนพูดยิ้มเจ้าเล่ห์ยักคิ้วให้อย่างท้าทาย
“กรี๊ดดดดด ไม่นะคะพี่คีย์ขา พี่จินขา อย่าทำอย่างงี้ คนหล่อ นิสัยดี อย่ากินกันเอง กูเสียใจ พี่คีย์มากินน้องกี้ดีกว่าค่ะ แซ่บเวอร์นะ”
คิรากรได้แต่ยิ้มแห้งๆให้ “ไม่ได้กินกันเองครับน้องลัคกี้...” ปากพูดไปอย่างนั้น แต่ชายหนุ่มก็รู้ดีว่าหลังจากที่อีกฝ่ายยอมโอบเขาไว้ในอ้อมกอดตอนที่นอนด้วยกันนั้น เขาก็รู้สึกได้ถึงตัวเองที่เปลี่ยนไป— คิดไปเองว่าอีกฝ่ายมีบรรยากาศรอบๆตัวบางอย่างที่ชวนให้คิดถึงอนล ทั้งๆที่รู้ว่าเป็นการคิดไปเองฝ่ายเดียวล้วนๆ แต่บางที การกระทำของจิณณ์ก็ทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะได้บ้างไม่ต่างกัน
“ใช่ไหมจิน” เขารีบหันไปให้อีกคนช่วยแก้ข่าว
“ตอนนี้ยัง แต่อนาคตไม่แน่” พูดจบเสียงเป่าปากแซวก็ดังขึ้น ถ้ามองไม่ผิด เขาแอบเห็นนัยน์ตาของแฮมสเตอร์ตวัดค้อนออกมาอีกด้วย
“ค่อยย่าง ไปกินได้แล้ว โฟม มึงมาย่างต่อเร็ว”
“จะเสร็จแล้ว กินไปก่อนเลย” คิรากรไม่ยอมเชื่อฟังง่ายๆ เขารีบกวาดเนื้อจานสุดท้ายในถาดวางบนเตาก่อนจะเริ่มย่าง
“เดี๋ยวกินจานนี้ได้ พวกเรากินไปก่อน” ชายหนุ่มก้มหน้าก้มตาย่างโดยที่เสียงของอีกฝ่ายยังดังก้องอยู่ในหู
...อนาคตไม่แน่...
...งั้นเหรอ...
ทางฝั่งโต๊ะที่นั่งอยู่ ปกติแล้วจะมีคุณชายอะไรก็ได้อย่างนภัสรพีนั่งเงียบ...ยิ้ม... แต่ที่แปลกคือ คนขี้โวยอย่างอิชย์กลับนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา เอาแต่เบียดกระแซะคนนั่งข้างๆ
“โฟม...หนาวเหรอ” ประธานรุ่นกระซิบถามเสียงแผ่ว
เจ้าของชื่อส่ายศีรษะเป็นคำตอบ “อยากนั่งใกล้ๆเฉยๆ”
“งั้น....” คนถามเลื่อนมือลงแอบด้านหลังแล้วดึงมืออีกฝ่ายมากุมไว้...ซ่อนเร้นจากสายตาไอ้พวกเพื่อนๆตัวกวนทั้งหลาย “ขอจับมือนะ”
“อื้ม” อิชย์อมยิ้มก่อนจะยกน้ำขึ้นดื่ม แล้วค่อยหยิบไม้บาร์บีคิวมาวางบนจาน
“อ้าวๆๆๆๆๆ สองคนนั้นครับ โลกไม่ได้มีแต่มึงครับ สนใจกุกะอาลัวบ้าง จะแดกหญ้าแทนเนื้อแล้ว”
“อะไรของมึงวะถัง เนื้อก็มีเยอะ แดกๆเข้าไปดิวะ” คนตัวเล็กโวยกลับบ้าง
“ถังหึงเหรอ ที่โฟมอยู่กับพี่ไผ่” จิรนันท์ว่าขึ้นบ้างก่อนจะรีบยกโค้กขึ้นดื่มอึกใหญ่
“นั่นไง กูว่าละ ในหัวแกนี่มีแต่ไอ้พลอตนิยายวายให้ผู้ชายได้กันรึไง”
“ก็ดูพูดสิ เรียกร้องความสนใจชัดๆ จะไม่ให้เราคิดได้ไง”
“แจ๊สครับ หน้าอย่างกูเนี่ย” เจ้าตัวชี้หน้าตัวเอง แล้วชี้ไปฝั่งตรงข้ามซึ่งอิชย์นั่งอยู่ “ไม่เอามันทำเมียแหงๆ เพราะกูชอบผู้หญิง ขีดเส้นใต้สามเส้นอย่างหนาว่าผู้หญิงเว้ย ไม่ใช่กระเทยอย่างมึงด้วยอีกี้”
“กัดกูอีกแล้วนะคะถังขา คืนนี้อย่ามามุดเกวียนกี้แล้วกัน น้องแจ๊สขา คืนนี้นอนกะกี้นะ กี้กลัวโดนมันปล้ำ” ลัคกี้คนสวยประจำคณะยิ้มเชือดเฉือนเหมือนนางงามที่เพิ่งตัดหน้าเข้าวินได้ตำแหน่งก่อนจะพูดต่อ “กี้สวย แล้วเลือกด้วย”
“อื้อ นอนด้วยกันสิ ไม่นอนกะกี้เราจะนอนกะใคร” เธอหันมายิ้มให้แล้วหยิบแก้วเปล่าวางลงบนจาน “อิ่มแล้ว พี่คีย์ ตาพี่คีย์แล้วนะคะะะ”
“มาแล้วครับน้องแจ๊ส” คิรากรเดินมาที่โต๊ะโดยที่มีอีกคนเดินตามมาด้วย
“หลบไปอีกี้” ชายหนุ่มหัวสกินเฮดพูดแล้วดันไหล่ เรียกเสียงกรี๊ดกร๊าดโวยวายของคนไม่อยากลุก แต่สุดท้ายลัคกี้ก็แพ้แก่สายตาของจิณณ์ที่มองมา หญิงสาวในร่างชายหนุ่มเดินบ่นปอดแปดจิกกัดเป็นพิธีก่อนจะเดินออกไปช่วยเพื่อนสาวอีกคนที่นำหน้าไปยืนอยู่ที่เตาเรียบร้อย
“เอาน้ำอะไร โค้ก เบียร์ หรือเหล้า” จิณณ์ก้มลงกระซิบข้างหูคิรากรเพราะเสียงวงดนตรีเริ่มจะลอยมาจากวงอีกด้านแล้ว
“จินล่ะ เดี๋ยวพี่ไปเอาให้”
มือใหญ่กดที่ไหล่ให้คนที่ทำตัวเป็นรุ่นพี่ตลอดเวลานั่งลงแล้วก้มกระซิบข้างหู “นั่งเลย ผมบริการมั่ง”
คิรากรอดไม่ได้ที่จะต้องยกมือขึ้นมาปิดหูตัวเองข้างนั้นเอาไว้ คล้ายกับอยากจะให้มันหายร้อนเพราะรุ่นน้องตัวโตที่ชอบก้มลงมาพูดข้างๆ
“เอาโค้ก...ก็พอ...”
จิณณ์ตะเบ๊ะล้อเลียนพร้อมกับยักคิ้วให้ เขาก้าวยาวๆเข้าไปกลางวงที่พวกรุ่นพี่นั่งกอดถังน้ำแข็งแล้วหยิบเบียร์ในถังน้ำแข็งพร้อมๆกับรินโค้กใส่แก้วที่ทำจากขวดน้ำตัดครึ่ง ชายหนุ่มถูกให้ดื่มเหล้าในวงไปเกือบสองแก้วกว่าจะหลุดออกมาได้
“โทษที นานไปหน่อย” คนพูดหน้าแดงนิดๆแล้วทิ้งตัวลงนั่งข้างๆเบียดแลกไออุ่นกันและกัน ยังดีที่ว่าตอนนี้รถถังกับลัคกี้ลากอาลัวไปร่วมวงร้องเพลงแล้ว ส่วนพี่ไผ่กับโฟมก็เดินเล่นสร้างโลกส่วนตัว อาการอ้อน...ที่เกิดอยากจะทำขึ้นมาจึงไม่ตกเป็นเป้าสายตาใคร
“กินเหล้ามาเหรอ...” เขาหันมาถามเพราะกลิ่นแอลกอฮอล์ที่โชยมาอ่อนๆ “อายุยังไม่ถึง...ไม่ใช่เหรอ”
จิณณ์ตอบคำถามด้วยรอยยิ้มบางเบาก่อนจะพรูลมหายใจใกล้ผิวแก้มสีนวลของรุ่นพี่
“อ...อะไรจิน” คิรากรเอนตัวออกห่างเล็กน้อยเพื่อจะมองสีหน้าของอีกฝ่ายให้ถนัดขึ้น
“มึนหัว...พี่เต้แม่งผสมเหล้าขาวแหง แรงชะมัด” ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่ปลายนิ้วก็สะกิดฝาเบียร์แล้วกดเปิดออก
“ก็ไม่ต้องกินแล้วสิ...กินโค้กกับพี่แทน” เขาเอื้อมมือมาจับกระป๋องเบียร์เอาไว้
“จะกินเบียร์....” ปลายเสียงตวัดอย่างตั้งใจจะรวนเต็มที่...เช่นเดียวกับรอยยิ้มพราวระยับบนใบหน้านั่นแหละ
“ดื้อนะเรา ถ้าเมาพี่แบกกลับไม่ไหวนะ” คนอายุมากกว่าถอนหายใจออกมาเบาๆก่อนจะจิบโค้กของตัวเองสลับกับจิ้มเนื้อในจานขึ้นกิน
ท่ามกลางความเงียบในคืนฟ้าพร่างดาว จิณณ์กลับไม่รู้สึกเหงาหรือหนาวสักนิด ถ้าจะรู้สึก...ก็มีเพียงสัมผัสอุ่นๆของคนข้างๆ แขนแนบแขน ไหล่แตะไหล่ ไม่ได้มากมายแต่ก็มากพอที่จะทำให้รู้สึกดีกว่าอยู่คนเดียว เขาเอนหัวซบลงบนไหล่ของตัวยุ่ง...รุ่นพี่ที่ต้องคอยดูแล ไอ้แว่นแฮม แล้วได้แต่แอบอมยิ้มอยู่คนเดียว
...พี่ไม่รู้หรอก ว่าผม ‘แอบ’ มีความสุขแค่ไหน...
“ไม่เมาหรอก เมาก็นอนนี่ก็ได้”
“เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก...แล้วมาอ้อนพี่จะได้อะไร ดูถังนู่น ไปตามสาวๆไม่ยอมเลิก...” คิรากรหัวเราะเบาๆ เขาขยับแขนอีกข้างมาลูบศีรษะของรุ่นน้องที่ตัดผมทรงสกินเฮด
“อ้อนไม่ได้เหรอ”
“ก็ไม่ได้ว่าอะไร...แต่ทำมากๆ.........พี่....” เขาถอนหายใจออกมาอีกครั้ง รู้ตัวดีว่ายังลืมคนรักเก่าไม่ได้ แต่ถ้าจิณณ์ยังทำตัวแบบนี้ ก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะเผลอใจไปเมื่อไหร่
และถ้าถึงตอนนั้น คงไม่ได้คุยเล่นกันอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้
...ผู้ชายปกติที่ไหนจะอยากให้ผู้ชายมาชอบ...
“ทำไมอ่ะ...ก็อยู่กับพี่แล้วผมสบายใจ” จิณณ์กระดกเบียร์ผ่านลำคอแล้วหันมามองหน้าคิรากร
“ก็รู้.....แต่พี่.......จินก็รู้ว่าพี่...ชอบผู้ชาย.......”
“ก็รู้...” คนตอบจงใจทำเสียงอ่อนให้เหมือนเสียงของรุ่นพี่ที่พูดออกมา “รู้อยู่แล้ว...แล้วไง”
“ทำมากๆ........พี่คิดขึ้นมาจะทำยังไง” คิรากรก้มหน้าลงเพราะไม่รู้ว่าตัวเองควรจะทำหน้าแบบไหน แต่ทางที่ดี ก็ควรจะพูดให้ชัดเจนไว้ก่อน
“ก็ถ้าคิดแล้วพี่ลืมแฟนเก่าได้...ไม่ทำหน้าเศร้า...ก็คิดได้นะ” จิณณ์ยิ้มแล้วยกเบียร์ขึ้นดื้ม กระป๋องเปล่าถูกบี้จนแบนก่อนจะชู้ตลงไปยังถุงดำที่อยู่ใกล้ๆ
“รู้หรือเปล่าว่าพูดอะไรออกมา...” คนอายุมากกว่าเม้มปากแน่น ค่าที่อีกฝ่ายชอบทำตัวสบายๆเกินไปเลยอาจทำให้ไม่คิดถึงผลที่จะตามมาจากการกระทำของตัวเอง
“อ้าว คนนะพี่ไม่ใช่ปลาทอง....ไม่ได้เมาด้วย ที่พูดน่ะจะเอาจริงก็ได้นะ” คิ้วเข้มยักตบท้ายอย่างไม่ทิ้งลายความกวน
ชายหนุ่มเม้มปากเข้าหากันอีกครั้งก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากับจิณณ์ “พี่บอกแล้วไง ว่าเลิกแหย่ได้แล้ว”
“ไม่ได้แหย่...แต่เอาจริง”
คิรากรไม่เคยคิดว่าตัวเองจะต้องเป็นฝ่ายทำแบบนี้ ร่างบางถือโอกาสที่จิณณ์ยังไม่ทันตั้งตัว จับใบหน้าอีกฝ่ายเอาไว้ก่อนจะขยับเข้าหาแล้วแตะริมฝีปาก...จูบ เพียงแผ่วเบา
คนที่นั่งยิ้มอยู่เมื่อครู่ถึงกับเหวอ ดวงตาที่เบิกค้างจับจ้องมองที่คิรากรก่อนจะกระพริบตาย้ำๆราวกับจะเรียกสติว่าถูกทำอะไรลงไป เกือบสิบวินาทีนั่นแหละ...จิณณ์ถึงรู้ตัวว่าตัวเองโดนรุ่นพี่ตัวแสบขโมยจูบไปแบบจังๆ
“ไอ้พี่คีย์....” พูดได้เท่านั้นเสียงก็ขาดหายไป “จูบจริงเหรอวะ”
“ก็ไม่ยอมเลิกแหย่พี่...ทีนี้เลิกหรือยัง”
คนถูกจูบไม่พูดอะไรแต่ดวงตาสีเข้มกลับถลึงใส่อย่างเอาเรื่องแล้วหันไปอีกทาง เขาไม่รู้จะเรียกความรู้สึกนี่ว่ายังไง รังเกียจก็ไม่ใช่แน่นอน ชอบ...ก็คงไม่ แต่ที่แน่ๆ นอกเหนือกว่าอะไร จิณณ์เชื่อว่าถ้าจ้องหน้ากันต่อไอ้แว่นแฮมที่ขโมยจูบเขาจะจับอาการได้แน่
...สัด เขินทำเชี่ยไรวะไอ้จิน....
“เดี๋ยวโดนจูบกลับแน่” ตั้งสติได้ จิณณ์ก็ยกยิ้มปิดอาการสวนคำพูดกลับ
“จูบผู้ชายนะ ทำไม่ได้หร-?! หือ?” ความสนใจถูกเบนไปยังเสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้น ปกติคนที่ติดต่อกันก็มีแต่คนตรงหน้า ทำให้คิรากรแปลกใจจนต้องหยิบขึ้นมาดู
“ไม่โชว์เบอร์ด้วย...” แม้จะพูดแบบนั้น เขาก็กดรับสายแล้วเอ่ยตามมารยาท
“สวัสดีครับ?”
-คีย์ ผมอันนะ....คิดถึง...-
“?!” น้ำเสียงที่ไม่ได้ยินมานานทำเอาคิรากรถึงกับชะงักไป หัวใจเต้นรัวขึ้นจนต้องยกมือขึ้นกดไว้
“อ เอาเบอร์ผมมาจากไหน...”
จิณณมองท่าทางที่ดูแปลกไปของคนตรงหน้าอย่างสงสัย...ใครกันที่โทรมาแล้วทำให้พี่คีย์เป็นแบบนี้
-เรื่องนั้นช่างเถอะ กลับมานะคีย์ ผมคิดถึงคุณ....อันคิดถึงคีย์นะ-
แค่คำว่าคิดถึงของอีกฝ่ายก็ทำให้อยากจะเจอหน้าขึ้นมาเสียได้ คิรากรนึกเกลียดตัวเองที่หวั่นไหวไม่เข้าท่าแบบนี้ ตัวเองตัดสินใจชัดเจนแล้วว่าจะไม่กลับไป ถ้าอนลไม่ยอมหย่า
“...ผมบอกแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าถ้าเลือกไม่ได้......ผมก็ไม่กลับไป แค่นี้นะอัน” ชายหนุ่มรีบกดตัดสายก่อนที่ตัวเองจะคุมน้ำเสียงให้ราบเรียบไม่ได้
คนที่อยู่ข้างๆรู้ได้ทันทีว่าเป็นใคร จิณณ์ยืนมองคิรากรที่จ้องโทรศัพท์อย่างเงียบงัน ก่อนที่จะก้าวเข้าไปหาแล้วดึงมากอดเอาไว้ ถ่ายทอดความอบอุ่นเข้าแทนที่ในหัวใจบอบช้ำ
“ไม่เป็นไรนะ...ผมอยู่ด้วย”
“................ขอบคุณนะ...จิน” คิรากรเอ่ยพูดเสียงเบา ปล่อยให้ร่างสูงโอบกอดตัวเองที่รู้สึกว่างเปล่าเอาไว้
“มัน.....เขา...โทรมาทำไม”
“บอกว่าคิดถึง ขอให้พี่กลับไป” เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะดันตัวเองออกจากอ้อมกอดของจิณณ์ “บ้าเนอะ รู้อยู่แล้วว่าถ้าไม่หย่า พี่ก็ไม่กลับ คงนึกว่าพี่จะใจอ่อนอย่างทุกที”
“แล้ว...อ่อนหรือเปล่า” ถามไป แต่ไม่รู้เลยว่าลุ้นกับคำตอบตัวเองแค่ไหน จิณณ์ได้แต่กอดคิรากรที่ดูอ่อนแอเสียดื้อๆเอาไว้แนบอกอย่างเป็นห่วง...ห่วง...ทั้งที่เป็นเพียงบัดดี้กัน
“ก็...พยายามไม่อ่อนอยู่ ถึงได้ตัดสายไปนี่ไง” พอถูกกอดเอาไว้อีก ร่างบางจึงปล่อยเลยตามเลย อาศัยความอบอุ่นจากอีกคนให้รู้สึกดีขึ้น
“ดีมาก เป็นหนูแฮมสายพันธุ์ใหม่แบบพัฒนาแล้ว” ปลายคางของคนสูงกว่ากดลงที่กลางศีรษะแล้วถูเบาๆด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก มือใหญ่โอบกระชับรัดด้วยท่อนแขนแข็งแรงจนตัวแทบจะแนบเป็นเนื้อเดียวกัน จิณณ์ภาวนาให้คนในอ้อมกอดไม่เงยหน้าขึ้นมามอง...เพราะไม่รู้ว่าตอนนี้สีหน้าของตัวเองกำลังเป็นยังไงอยู่
“เป็นแฟนผมแทนไหม”
คิรากรหัวเราะเบาๆกับคำถามของอีกคน “แหย่พี่อีกแล้วนะ”
เสียงหัวเราะแผ่วเบาไร้ความหมายดังอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเงียบลงพร้อมๆกับท่อนแขนที่คลายให้อีกฝ่ายเป็นอิสระ จิณณ์จับมือของคิรากรแล้วพาจูงเดินไปยังลานดูดาวที่อยู่ใกล้ๆ
ท้องฟ้ายามค่ำคืนเต็มไปด้วยดวงดาวนับร้อยที่ส่องแสงระยิบระยับ ลมพัดแผ่วพริ้วกิ่งไม้ไหวเอน...เป็นลมหนาวที่ชวนให้บรรยากาศอ่อนหวานจับหัวใจ จิณณ์นั่งเอนหลังพิงท่อนไม้ที่วางทิ้งไว้ก่อนจะดึงใครอีกคนที่นั่งอยู่ข้างๆให้เขยิบเข้ามาชิด ไหล่เกยไหล่ ผิวสัมผัสผิวผ่านเนื้อผ้า และเมื่อคิรากรนั่งนิ่ง เขาก็ล้มตัวลงนอนหนุนตักแหงนหน้ามองท้องฟ้า...และใบหน้าเศร้าๆของใครบางคน
“.....” คนอายุมากกว่าก้มลงมามองจิณณ์แล้วยิ้มให้จางๆ “อะไรหือ”
“ยังไม่ได้ชำระความเรื่องพี่จูบผมเลย”
“.........เรื่องนั้น...ต้องชำระอะไรเหรอ” ถ้าอีกฝ่ายไม่พูดถึง เขาคงลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเมื่อครู่ทำอะไรลงไป
“รับผิดชอบด้วยสิ” ปลายนิ้วที่เอื้อมขึ้นแตะกลีบปากบางไล้แผ่วเบา...เช่นเดียวกับแววตาวาวระยับ
“...” แววตาของคิรากรหมองลงก่อนที่จะเอ่ยตอบ “...ขอโทษนะ พี่...ไม่ได้ตั้งใจ.....”
“พูดเล่นน่า...ดาวสวยจะตาย ก้มหน้าทำไม เงยหน้ามองฟ้าสิ”
ชายหนุ่มแหงนหน้ามองฟ้า ดวงดาวน้อยใหญ่เรียงรายประดับผืนฟ้าสีดำดูงดงามแบบที่หาดูไม่ได้ในเมืองใหญ่ “อืม...สวยจริงๆด้วย”
“เรื่องอะไรที่มันวุ่นวายใจก็ทิ้งไปบ้างก็ได้ พรุ่งนี้ก็วันใหม่แล้ว.....พี่คีย์ต้องผ่านไปได้แน่ๆ”
เพราะคำพูดให้กำลังใจทำให้คิรากรรู้สึกอบอุ่นในหัวใจขึ้นมา ชายหนุ่มขยับตัวเล็กน้อยพลางขยับเรียกอีกคน “จิน...ลุกขึ้นก่อนได้ไหม...”
จิณณ์ขยับลุกขึ้นนั่งตามคำขอ เขามองเข้าไปในดวงตาของคิรากรแทนคำถามมากมาย
“ขอยืมตัวหน่อยนะ...” คิรากรไม่รอฟังคำตอบ แต่เอนศีรษะพิงซบกับหัวไหล่ของอีกคน แล้วดึงแขนข้างนั้นของจิณณ์มากอดเอาไว้ “แป๊บเดียวก็ได้...”
ไม่รู้ความความรู้สึกไหนมากกว่ากัน ระหว่างตกใจ...กับอบอุ่นใจ
แต่อย่างน้อย...ชายหนุ่มที่ขาดแคลนความอบอุ่นมานานอย่างเขา ดีใจที่มีคิรากรอยู่ข้างๆ....
...ดีใจ...และสุขใจ...
To be continued...