http://www.youtube.com/watch?v=c4kagvhbCwc <<< จิ้มฟังเพิ่มบรรยากาศค่ะ (ลงเพลงไม่เป็น ฮือออ
)
-16-
หลังจากที่ไปขนซื้อของสด ของแห้ง และของใช้ต่างๆมาจนรถมอเตอร์ไซค์แทบไม่เคลื่อนแล้ว จิณณ์กับคิรากรก็ลงมือทำอาหารเย็นด้วยกัน จิณณ์ทำหน้าที่เป็นลูกมือในการหั่น สับ หรือทำอะไรก็ตามที่ถูกสั่ง ส่วนอีกคนยืนอยู่หน้าเตาปรุงรส
“จะทำอะไรมั่งเนี่ย” ร่างสูงยื่นหน้ามองชะโงก เขาเดินไปชิดจนแผ่นหลังของคิรากรสัมผัสเบาๆ
“ก็ ผัดเต้าหู้หมูสับ กับแกงจืดไข่น้ำตำลึง…..” พูดจบคิรากรก็ตักน้ำซุปในหม้อขึ้นมาชิมรสชาติ “โอเคไหม” เขาตักอีกครั้งก่อนจะเป่าเบาๆแล้วยื่นให้อีกคน
จิณณ์เป่าเบาๆแล้วชิมรส “อร่อย”
คิรากรยิ้มกว้างแล้วดึงช้อนคืนมา “งั้นยกหม้อไปตั้งไว้ตรงนี้นะ พี่ผัดเต้าหู้แวบเดียว ข้าวสุกหรือยัง”
“สุกแล้วมั้ง” ผู้ช่วยยกหม้อแกงจืดไปวางไว้พลางหันไปมองที่หม้อ “สุกแล้ว ผัดเลย ผมหิว…”
“อื้อ แป๊บเดียวเอง ไปเตรียมพวกจานเลยก็ได้…ไม่งั้นไปนั่งรอที่โต๊ะนะ” พูดจบคิรากรก็เทหมูสับที่ผู้ช่วยเตรียมไว้ให้ลงกระทะ แล้วค่อยเริ่มปรุงรส– หลังจากเทเต้าหู้ลงไปแล้ว ผัดอยู่ไม่นานคิรากรก็ยกกระทะมาเทผัดเต้าหู้หมูสับใส่จานที่วางเอาไว้
“เสร็จแล้ว”
พอได้ยินว่าอีกฝ่ายเรียบร้อย จิณณ์ก็ตักข้าวแบ่งใส่จาน มือใหญ่รินน้ำขวดที่เพิ่งเอาออกมาลงแก้วของเขาและคิรากร
เพราะก่อนหน้านี้เขาใช้ชีวิตอยู่ในห้องของคิรากรบ่อยๆ จำนวนของใช้ในห้องเลยมีส่วนที่เป็น..ของจินและของพี่คีย์…ปะปนอยู่มาก ชายหนุ่มนั่งมองแก้วคู่แล้วอมยิ้มจางๆ
“ลืมไปเลยว่านัดพวกพี่ไผ่ไว้..แต่ช่างแม่งเหอะ”
“อ้าว หรือจะชวนมาไหม”
“ไม่ล่ะ อยากอยู่กับพี่คีย์มากกว่า…”
“…เดี๋ยวเพื่อนเกลียดนะ” คิรากรว่า ใบหน้ามีรอยยิ้มจางๆขณะที่หยิบจานผัดเต้าหู้มาวางลงที่โต๊ะ “กินข้าวกัน”
จิณณ์ตักข้าวเข้าปาก บอกไม่ถูกว่าอร่อยหรือเปล่าเพราะสิ่งเดียวที่รู้คือ…เขามีความสุข
ถึงจะเป็นสุข…ที่พร้อมจะสิ้นสุดตลอดเวลาก็ตาม
“พี่คีย์กินเยอะๆ มัวแต่ร้องไห้ไม่กินข้าว ตัวจะหักแล้ว”
“จินเถอะ…กินแต่มาม่าล่ะสิ…” เขาไม่พูดเปล่า แต่เอื้อมตักเต้าหู้หมูสับไปวางลงบนจานอีกคน
“กินทุกอย่าง กินไปงั้นๆ คิดถึง…แต่ไม่กินก็ตาย”
“…ขอโทษ…นี่…กลับมาแล้ว จะทำให้กินทุกวันเลย…” พูดจบคิรากรก็ตักไข่เจียวจากแกงจืดตำลึงวางให้อีก
“ก็ไม่ต้องขนาดนั้นหรอก ผมดูแลพี่เหมือนเดิมได้ จะทำทุกอย่างให้เหมือนเดิม” จิณณ์วางช้อนลง นัยน์ตาเข้มจับจ้องใบหน้าของคนที่หลงรักจับใจ
“ถ้าให้รัก…ก็จะรัก ถ้าไม่ให้รัก…ก็จะไม่ให้รู้ อย่างนี้ได้ไหม”
“ไม่ได้…พี่รู้แล้ว…”
“ก็ถ้าไม่ได้….จะไม่พูด ไม่บอกก็ได้ เป็นเหมือนเดิมไง แค่พี่น้องก็ได้ แต่อย่าอยู่คนเดียว”
“……จิน……” เพราะอีกฝ่ายพูดจาแบบคิดถึงความรู้สึกของเขา ไม่ได้เอ่ยถึงความต้องการของตัวเองออกมาเลยสักนิดเดียวทำให้คิรากรรู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบ “ทำ…พูด…อย่างที่รู้สึก…ได้ไหม…พี่ขอ”
“อืม…” จิณณ์ตอบรับ “กินข้าวเถอะ”
ชายหนุ่มร่างสูงบอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร ใจหนึ่งก็ดีใจที่อีกฝ่ายบอกให้แสดงความรู้สึก แต่อีกใจหนึ่งก็กลัว…ว่าถ้าทำลงไป วันไหนที่ไม่มีคิรากรอีกแล้ว จะเป็นตัวเขาเองที่อยู่ไม่ไหว
“กินเยอะๆ…พี่ชอบเวลาทำอาหารแล้วมีคนกินด้วยกัน…แฮปปี้” เขายิ้มกว้างก่อนจะทานข้าวต่อ คิรากรรู้สึกได้ว่าเพียงแค่ช่วงเวลานี้ เขาก็ยิ้มมากกว่าตอนที่กลับไปหาอนลตั้งไม่รู้เท่าไหร่แล้ว
“ถ้าชอบทำไว้จะชวนพวกพี่ไผ่มา ไอ้ถังน่ะตัวกินล้างกินผลาญเลย” จิณณ์ตักข้าวเข้าปากอีกคำ “ว่าแต่..พวกนั้นคงแปลกใจที่พี่กลับมาแล้ว”
“เหรอ อืม…พี่ไปปุบปับเนอะ” กับข้าวทั้งสองถูกตักใส่จานของจิณณ์อยู่เรื่อยๆ แทบจะไม่ปล่อยให้มีว่าง
“พอเลยๆ กินเองมั่ง ไม่ต้องตักให้แล้ว”
“ก็กินอยู่นี่ไง” และก็เป็นอย่างที่ว่า ข้าวในจานของคิรากรก็พร่องลงไปไม่ต่างกัน “พี่อยากตักให้”
รุ่นน้องที่ตัวใหญ่กว่าได้แต่พยักหน้าเงียบๆ ใช้เวลาไม่นานนัก กับข้าวทั้งหมดก็หมดไป จิณณ์ยกจานซ้อนกันแล้วเดินไปยังอ่างล้าง เขาเปิดน้ำล้างเศษอาหารแล้วเริ่มต้นล้างจานช้าๆ
“นี่…ไปอาบน้ำก่อนเลย เดี๋ยวพี่ล้างให้เอง” คนตัวเล็กกว่ายกที่เหลือตามมายืนอยู่ข้างๆ
“เดี๋ยวกลับบ้าน ไม่ได้เอาเสื้อมา แค่จะเข้ามาทำความสะอาดเฉยๆ”
“แล้วเสื้อที่ซื้อทิ้งไว้ให้ล่ะ…” ใบหน้าของคิรากรหมองลงไปเล็กน้อย
“เอากลับบ้าน ตั้งแต่พี่ไปผมไม่เคยนอนที่นี่เลย” จิณณ์มองใบหน้าของคิรากรแล้วได้แต่ใช้ปลายคางกดกลางศีรษะเบาๆ
“อย่าทำหน้าอย่างนี้สิ พรุ่งนี้…จะมารับแต่เช้าเลย เอาตารางเรียนมาให้ด้วยล่ะ”
“…..ขอโทษที่พูดแบบนี้….แต่พี่…ไม่อยากอยู่คนเดียว…..” เขาเงยหน้ามองคนตัวสูงกว่า
จิณณ์ล้างมือแล้วเลื่อนมือลงจับมืออีกฝ่ายไว้ แค่ดูก็รู้…ว่าหนีกลับมาด้วยหัวใจบอบช้ำ ยิ่งคิรากรเรียกร้อง..ยิ่งแสดงให้เห็นว่าคงอยู่คนเดียวไม่ไหวจริงๆ
จะทำยังไงได้…
“เดี๋ยวงั้น..ผมไปยืมเสื้อผ้าพี่ไผ่ โอเคไหม”
“อื้ม” เขาค่อยยิ้มจางๆก่อนจะพยักหน้า “งั้นพี่ทำที่เหลือให้…นะ” พูดจบเขาก็นำจานที่เหลือลงในอ่างแล้วค่อยเปิดน้ำต่อโดยไม่รออีกฝ่ายตอบอะไร
จิณณ์มองร่างเพรียวบางที่ดูจะบางลงกว่าครั้งสุดท้ายที่เห็นมาก แนวหลังไหล่ดูอ่อนล้า และกว่าจะรู้ตัว ชายหนุ่มก็เดินเข้าไปกอดซ้อนหลัง แนบกายใกล้ชิดเข้าแล้ว
“ผมรักพี่นะ…”
“!? จ จิน?!” ชามที่ถืออยู่ในมือลื่นหลุดแต่คิรากรก็ยังตั้งสติประคองเอาไว้ได้ทัน เขาได้แต่ยืนนิ่ง ไม่เอ่ยอะไรตอบนอกจากผงกศีรษะตัวเองช้าๆ
คนที่กอดอยู่จูบเบาๆที่แก้มขาว แววตาเศร้าสร้อยซ่อนไว้ใต้ท่าทางร่าเริง “เดี๋ยวไปเอาเสื้อแป๊บเดียว จะรีบกลับมานะ”
“อ อื้อ” ใบหน้าของตัวเองร้อนขึ้นมาจนรู้สึกได้ เขาหันไปมองแผ่นหลังกว้างที่หายลับสายตาไป
//////////
คิรากรที่ทำความสะอาดจนเรียบร้อยแล้ว เห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่กลับมา ก็หยิบไม้ขนไก่ออกมาจากตู้แล้วค่อยเริ่มปัดฝุ่นตามที่ต่างๆเป็นการฆ่าเวลา กะว่าถ้าจิณณ์กลับมาถึง อาบน้ำออกมา จะได้ไม่คลุกฝุ่นเอา
เขาคิดถึงคำรักที่จิณณ์บอกเมื่อครู่แล้วก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเป็นสุข มันฟังดูต่างจากเวลาที่อนลบอกรัก แต่ก็ทำให้รู้สึกอบอุ่นจนต้องยิ้มออกมา
เสร็จจากห้องนั่งเล่น เขาก็ค่อยยกของไปที่ห้องนอน ก่อนจะเริ่มดึงผ้าปูที่นอนออกมา ทำให้ฝุ่นคลุ้งไปทั่วห้องจนต้องยกมือขึ้นปิดปาก
“กลับมาแล้ว…ซื้อขนมมาฝาก แค่กๆ” จิณณ์ไอจนสำลัก “ทำอะไรเนี่ย จะเปลี่ยนผ้าปูทำไมไม่รอ”
“อ้าว…ก็ทำฆ่าเวลาไง ไปอาบน้ำไป…ออกมาห้องสะอาดพร้อมนอน” ใบหน้าของเขายังคงมอบรอยยิ้มกว้างให้กับร่างสูงที่เดินเข้ามา
“ช่วยก่อน” ไม่รอให้ปฏิเสธ จิณณ์ออกแรงยกที่นอนที่ยังอยู่ครึ่งๆกลางๆออกแล้วดึงผ้าปู เปลี่ยนปลอกหมอน หมอนข้าง ปลอกผ้าห่มเอาออกทั้งหมดแล้วหอบไปไว้ที่เครื่องซักผ้า “ของใหม่อยู่ในตู้หรือเปล่าพี่คีย์”
“อื้อ…อยู่…ไปอาบน้ำก่อนไหม แล้วค่อยมาเปลี่ยน ผ้าใหม่จะได้ไม่คลุกฝุ่น” คนพูดพูดจบก็กดสวิทช์เจ้าหุ่นยนต์ดูดฝุ่นตัวกลมให้มันเคลื่อนไปรอบๆห้อง
ชายหนุ่มที่เพิ่งกลับมาพยักหน้าแล้วทำตามอย่างว่าง่าย เขาเดินไปใช้ห้องน้ำด้านในแล้วจัดการล้างห้องน้ำไปในตัว ถึงแม้ว่าจะมาทำความสะอาดบ้างแต่ก็ประสาผู้ชาย ไม่ได้สะอาดเอี่ยมนัก แต่อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขาไม่คิดว่าเจ้าของห้องจะกลับมา
แต่ในเมื่อกลับมาแล้ว…ก็ต้องทำให้ดีที่สุด
จิณณ์ล้างห้องน้ำแล้วขัดพื้นกระเบื้อง เขาไล่ฉีดน้ำตามซอกมุมต่างๆและขัดถูจนเหงื่อท่วมตัว จนเมื่อเสร็จทั้งหมดเขาจึงอาบน้ำ…ด้วยสบู่เหลวกลิ่นแอปเปิ้ล…กลิ่นที่มักโชยอยู่บนร่างของคิรากรเสมอ
“จิน โรบ็อตคงอีกสักพักกว่าจะทำเสร็จ…ไม่ต้องรีบนะ” เจ้าของห้องมายืนพูดอยู่หน้าห้องน้ำ และยืนรอคำตอบจากด้านใน
“เสร็จแล้วล่ะ” ผ้าขนหนูถูกหยิบมาพันกายก่อนที่ร่างสูงจะเดินออกมา “ลืมหยิบชุดนอนเข้ามา”
ไม่รู้เพราะอีกฝ่ายบอกรักเขา หรือเพราะร่างกายอยู่ใกล้กันที่ทำให้หัวใจของคิรากรเต้นผิดจังหวะ ทั้งๆที่คิดว่าจิณณ์เป็นเพียงรุ่นน้องมาตลอด แต่พอเห็นแผ่นอกกว้างก็ทำเอาใบหน้าร้อนขึ้นมาอีกครั้ง เขาก้มใบหน้าหลบแล้วเอ่ยต่อ “ง งั้นเดี๋ยวพี่อาบต่อนะ…”
จิณณ์ยิ้มกว้างเมื่อเห็นหน้าคิรากรชัด มือชื้นฉ่ำน้ำยกขึ้นใช้ปลายนิ้วลูบไล้ข้างแก้มและสันจมูกโด่งเชิด “หน้าดำปี๋เลย”
“ก็ไม่ต้องจับสิ เลอะ…หมด….” ร่างบางเบี่ยงตัวหลบเบาๆ “พี่อาบแวบเดียว….” ซ่อนเสียงหัวใจเต้นของตัวเอง
“อื้อ เดี๋ยวผมไปปูเตียงแล้วกัน”
คิรากรรีบเดินเข้าห้องน้ำไป ถอดเสื้อผ้าออกแล้วรีบพาตัวไปยืนใต้สายน้ำอุ่น เขาผ่านการเดินทางมายาวนาน ควรจะรู้สึกเหนื่อยและอยากนอน แต่เพราะจิณณ์กลับทำให้ยังไม่อยากนอนด้วยซ้ำ– หรือถ้าต้องนอน ก็ไม่อยากจะนอนคนเดียว
อีกฝ่ายจะว่าเขาเห็นแก่ตัวไหมที่ทำแบบนี้ คิรากรไม่อยากอยู่คนเดียว อยากให้อีกคนอยู่ด้วยอย่างที่เคย แต่ความรู้สึกของจิณณ์จะทำให้ทุกอย่างยังเหมือนเดิมอยู่ได้ไหม เขาเองก็ไม่แน่ใจ
ถ้าเป็นไปได้ คิรากรก็อยากจะตอบแทนความรักที่อีกฝ่ายมีให้อย่างเท่าเทียม– ก่อนที่จิณณ์จะทนไม่ไหวและเป็นฝ่ายจากไป
หลังจากอาบน้ำเรียบร้อย เขาเช็ดตัวแล้วสวมชุดนอนที่อยู่ในตู้ ร่างโปร่งก็เปิดประตูห้องน้ำออกมา
จิณณ์ในชุดนอนหยิบกีตาร์ที่เขาเอามาทิ้งไว้ขึ้นมาจูนสาย เขาดีดเบาๆทดสอบเสียง นัยน์ตาเข้มสบตาคิรากรครู่หนึ่งก่อนจะหรุบลงพร้อมๆกับคอร์ดที่เริ่มบรรเลง
“คนเพียงคนเดียวในเวลานี้ที่เธอ คงต้องการ
เธอคงรอคอย เพียงใครคนนั้นเดินเข้ามานั่งกับเธอ
น้ำตาที่รินไหล มีแค่เขาที่จะหยุดมันไว้
ชั่วโมงที่อ่อนไหว มีแค่เขาที่ใจเธอต้องการ
ระหว่างที่รอเขา ให้ฉันนั่งข้างเธอจะได้ไหม
เผื่อไว้ว่าเธอต้องการอะไร เผื่ออยู่คนเดียวจะไม่ไหว
ระหว่างที่รอเขา อย่างน้อยช่วยเธอไม่ต้องเหงา
อยากทำหน้าที่นี้ แม้เพียงแค่ชั่วคราว
แค่ต้องการเท่านี้ได้ไหม ก่อนที่เขาจะมาแทน...”
ชายหนุ่มกรีดสายกีตาร์ เพลงทำนองหวานเศร้ายังคงดำเนินต่อไป….เพลง ที่แทนทุกความรู้สึกของจิณณ์
“คนที่เธอรอ คงอีกไม่ช้าก็มาอยู่ข้างเธอ
คนที่รอเธอ มีเวลาเหลือแค่ไม่นานก็ต้องไป
น้ำตาที่รินไหล มีแค่เขาที่จะหยุดมันไว้
ชั่วโมงที่อ่อนไหว มีแค่เขาที่ใจเธอต้องการ
ระหว่างที่รอเขา ให้ฉันนั่งข้างเธอจะได้ไหม
เผื่อไว้ว่าเธอต้องการอะไร เผื่ออยู่คนเดียวจะไม่ไหว
ระหว่างที่รอเขา อย่างน้อยช่วยเธอไม่ต้องเหงา
อยากทำหน้าที่นี้ แม้เพียงแค่ชั่วคราว
แค่ต้องการเท่านี้ได้ไหม ก่อนที่เขาจะมาแทน…”
ร่างบางที่ยืนฟังอยู่ตัดสินใจเดินมานั่งลงข้างๆคนที่กำลังร้องเพลง
“ระหว่างที่รอเขา ให้ฉันนั่งข้างเธอจะได้ไหม
เผื่อไว้ว่าเธอต้องการอะไร เผื่ออยู่คนเดียวจะไม่ไหว
ระหว่างที่รอเขา อย่างน้อยช่วยเธอ ไม่ต้องเหงา
อยากทำหน้าที่นี้ แม้เพียงแค่ชั่วคราว
แค่ต้องการเท่านี้ได้ไหม ก่อนที่เขาจะมาแทน…”เสียงกีตาร์หยุดลง จิณณ์รู้ดีว่าในห้องเงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจ มือใหญ่เลื่อนไปจับมือเรียวของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ..บีบกระชับเบาๆเตือนให้รู้ว่าเขายังอยู่ข้างกายเสมอ
“ได้ไหม….” ขออยู่ข้างๆได้ไหม ก่อนที่เขาจะกลับมา…จิณณ์ไม่ได้ถามออกมา เพราะคำตอบทั้งหมดอยู่ในแววตาแล้ว
“…พี่…ไม่รอ…ไม่ได้รออันอีกแล้ว…เข้าใจ…ไหม” อาจจะเป็นเพราะน้ำเสียงของคนร้องหรือเสียงของกีต้าร์ที่บาดลงไปในใจ ทำให้เสียงของเขาสั่นเครือ
“อืม…” เป็นคำตอบรับ…มากกว่าจะที่หมายความว่าเข้าใจ
ในตอนนี้ที่พี่ยังโกรธยังเกลียดเขา คำพูดเหล่านี้อาจจะไม่ได้ออกจากใจทั้งหมด วันนึงที่พี่ให้อภัย…คำพูดของพี่ก็จะย้อนกลับคืนไป
ไม่ได้รออีกแล้ว…ไม่ได้หมายความว่าเลิกรัก
“ช่างเถอะ…” จิณณ์ยิ้มให้..แม้จะยากลำบากก็ตาม “…ผมไม่เป็นไร…”
“…ตอนนี้พี่อาจจะยังพูดไม่ได้ว่ารัก…แต่จินเคยบอกพี่ ว่าให้ลืมคนแบบนั้น……..” เขาสบตาอีกฝ่ายอย่างจริงจัง “พี่ก็จะลืมให้ได้…แล้วก็…มีแค่จิน…..เท่านั้น ที่จะทำให้พี่ลืมได้…..” คิรากรเม้มริมฝีปากแน่นก่อนจะเอ่ยต่อ “เชื่อ…..นะ…..ว่าพี่จะรักจิน….ในอนาคต”
จิณณ์วางกีตาร์ลงเขาดึงร่างบางเข้ามากอดไว้เบาๆ ปลายนิ้วสากลากไล้บนกลีบปากบางสีอ่อนแผ่วเบา เขาเคลื่อนหน้าเข้ามาใกล้แล้วแตะริมฝีปากจรดกันเชื่องช้า
“เชื่อผมสิ…ว่าต่อให้จะลงท้ายยังไง ผมก็จะไม่เป็นไร…”
จิณณ์กระซิบแผ่วเบา…บอกกับคนตรงหน้า
และบอก..กับตัวเอง…
To be continue…
kagehana : หายไปนานเลย ฮือออออ ขอโทษด้วยนะคะ พอดีมีเรื่องยุ่งๆนิดหน่อย
แฮ่----- พี่คีย์ร้าวราน จินร้าวราน แต่ยังกุบกิบนะ(เหรอ......)