ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
สรุปข้อสำคัญดังนี้
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม
5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว
6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
- 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชมกรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0 kagehana : เปิดเรื่องใหม่จ้ะ หลังจากที่เขียนนิยายดราม่ามานาน หมีกับดอกไม้เลยลงมติในที่ประชุม(นั่นก็คือกูเกิลด็อกซ์ ฮ่าๆ) ว่า "เรื่องถัดไปจะเอาแบบหวานๆ กุบกิบๆ"
กุบกิบคืออะไร?
กุบกิบ = กรุบกริบ เป็นภาษาที่หมีกับดอกไม้ใช้เรียกนิยายเบาๆ หวานบ้าง เศร้าบ้าง แต่ไม่ดราม่ากระจาย มีตัวขำๆไว้คอยชูโรง ประมาณว่าเรื่องรักใสๆปนฮา
หลังจากเขียนกันไปได้สักพัก เราก็คิดชื่อเรื่องอยู่นาน ทาสรักบ้าง บลาๆไป แล้วก็พบว่าชื่อไม่ได้ไปทางเดียวกับนิยายเลย

สุดท้ายคิดอยู่นาน ก็ลงตัวที่
"รักกุบกิบ"

ขออภัยที่ภาษาที่ใช้ในชื่อเรื่องอาจจะวิบัติเพื่อความบันเทิงไปบ้าง แต่ภาษาในเนื้อเรื่องไม่วิบัตินะคะ (หรือถ้ามีก็เป็นวิบัติเพื่อเสียง เพิ่มความเร้าใจในการอ่าน)
ขอฝากตัวละครเซทใหม่ จิน พี่คีย์ พี่ไผ่ เม็ดโฟม รถถัง อาลัว ไว้ในอ้อมใจด้วยนะคะ
รักคนอ่านค่ะ
ป.ล. แต่ไม่รับประกันนะคะว่าจะกุบกิบไปได้กี่น้ำ....นิสัยคนเขียนชอบลากเข้าดราม่าตลอด มือมันไปเอง

-1-
“ผมต้องแต่งงานกับเมย์” น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นอย่างลำบากใจหลังจากเสร็จสิ้นบทรักเร่าร้อนบนเตียง
“เมย์? เมย์ลินดา? แต่งอะไรอีก ไหนว่าอันว่าคุยกับพ่อแล้วไง” ชายหนุ่มร่างบางที่เอนซบอยู่บนตัวคนรักเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
มือสากแตะไล่บนผิวเปล่าเปลือยและลาดไหล่เนียนนุ่มก่อนจะดันตัวคิรากรออกห่าง “ก็คุยแล้ว สรุปว่าพ่อยอมให้คบกับคีย์ต่อ...แต่มีข้อแม้ว่าต้องแต่งกับเมย์ คีย์เข้าใจใช่มั้ยว่าพ่อผมเป็นคนยังไง ได้แค่นี้ก็ดีแล้ว”
อนลแตะริมฝีปากที่ข้างแก้มเบาๆก่อนจะพูดต่อ “แต่ยังไง คนที่ผมรักก็มีแต่คีย์นะ”
คิรากรขยับใบหน้าหนี “แปลว่าอะไร ทำไมอันคิดว่าผมจะโอเคกับการที่ต้องเห็นอันแต่งงาน” ร่างบางดันตัวเองออกมาก่อนจะลุกขึ้นนั่ง ใบหน้าที่มักจะมีแต่รอยยิ้มมีแต่ร่องรอยของความไม่พอใจ
“ก็จะให้ผมทำไง ผมรักคีย์จริงๆนะ” นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มบอกถึงความจริงใจ อนลกอดคนรักที่เป็นผู้ชายอีกครั้งแล้วพูดด้วยน้ำเสียงงอนง้อ “รอผมหย่านะ สัญญาว่าจะทำให้เร็วที่สุด”
“หย่า... แล้วอันจะหย่าได้เหรอ” คิรากรเงยใบหน้าที่มีแต่ร่องรอยของความกังวล คนอายุน้อยกว่ารู้ดีว่าอีกฝ่ายที่มีพ่อแม่มีหน้ามีตาในสังคมชั้นสูงนั้นต้องระวังตัวอย่างไรบ้าง-- โดยเฉพาะสังคมชั้นสูงที่สหรัฐอเมริกา
“ได้สิ....รอผมนะคีย์”
“ผมไม่รอแล้วอัน”
“ไหนว่าเราเข้าใจกันแล้วไง” อนลกระแทกตัวนั่งลงบนโซฟาตัวนุ่มในห้องของคิรากร “....รู้ว่ามันตั้งปีนึงแล้ว แต่ผมยังหย่าตอนนี้ไม่ได้จริงๆ เมย์เขาไม่ได้ทำอะไรผิด ผมไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง”
...เมย์ไม่ได้ทำอะไรผิด...
...ผมไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง...
...แล้วความรู้สึกของผมล่ะ...
“ผมรักคีย์นะ” อนลพูดคำหวานที่รั้งหัวใจของคนรักไว้ได้มาตลอด ชายหนุ่มชอบคิรากรมาก ทั้งความคิด ร่างกาย การกระทำ เข้ากันได้ดีทุกอย่าง ถ้าหากต้องเสียไป ก็ไม่รู้ว่าจะหาคนรักแบบนี้ได้อีกที่ไหน
รักก็รัก แต่ไม่สามารถจะทิ้งทุกอย่างเพื่อรักได้
“แต่อันรักผมไม่พอ” คิรากรตัดสินใจพูดความรู้สึกของตัวเองออกมาอย่างชัดเจนเป็นครั้งแรก และตัวเองก็รู้สึกเจ็บปวดกับความจริงที่หลุดออกมา
...ผมยอมรับได้ทุกอย่าง...
...แต่ไม่ใช่แบบนี้...
“ผมได้เจออันในวันที่อันไม่มีนัดกับเมย์ ต้องหลบๆซ่อนๆ ไม่ต่างอะไรกับเป็นชู้กันสักนิด ทั้งๆที่เราเป็นคนรักกัน”
อนลสวมกอดร่างโปร่งแล้วลูบศีรษะกลมมนที่มีเส้นผมอ่อนนุ่มสีดำอย่างอ่อนโยน เขารู้ดีว่าคนรักของเขาต้องใช้ความอดทนมากแค่ไหนในการที่จะต้องคบหากันแบบนี้ อนลรู้สึกผิด...แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่าอยู่ไปอย่างนี้ก็ไม่เป็นไร พ่อเขายังมีภรรยาน้อยที่รักกันมาก สังคมก็เป็นอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว จะให้แลกทุกสิ่งทุกอย่างกับความรักดูจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
“แต่เมย์เป็นเมียตามกฏหมาย...ถึงคีย์จะมาก่อนก็เหอะ”
คำพูดของอีกฝ่ายยิ่งทำให้คิรากรรู้สึกแย่กว่าเก่า ราวกับหาค่าของตัวเองไม่ได้ในความรักที่มีให้กัน
“ผมมาก่อน... ก็แค่เวลาเท่านั้น...”
“น้อยใจเหรอ” อนลดึงร่างโปร่งเข้ามากอดไว้แล้วซบใบหน้าลงกับช่วงท้อง คิรากรเป็นคนน่ารักที่เขาประทับใจตั้งแต่แรกเห็น เจ้าตัวมีผิวขาวที่จะกลายเป็นแดงก่ำยามเขินอาย ดวงตากลมโตฉายแววซุกซนในบางครั้งทำให้เวลาอยู่ใกล้แล้วมีความสุข เส้นผมสีดำขลับอ่อนนุ่มที่ตัดสั้นรู้สึกดียามสัมผัส แต่ก็ไม่เท่าริมฝีปากหวานๆที่พร้อมจะบอกรักในทุกเวลา
“ผมมีคีย์คนเดียวตอนนี้ไม่ได้...รออีกสักพักได้ไหม...”
“ผมอยากจะตอบว่ารอได้นะอัน แต่ผมไม่ไหวแล้ว...” ดวงตาที่เคยฉายสะท้อนแต่ความรักมีแต่ความเจ็บปวด ตลอดเวลาสี่ปีที่คบกันมา สามปีแรกนั้นมีแต่ความสุขจนกระทั่งอนลบอกว่าจะต้องแต่งงาน คิรากรก็ยังจะอดทน
“คีย์จะทิ้งผมเหรอ....” นักธุรกิจหนุ่มเอ่ยถามน้ำเสียงแผ่วเบา ถึงจะเป็นเพศเดียวกัน ถึงคิรากรจะอายุน้อยกว่า แต่ความรักที่มีให้ไม่ใช่เรื่องหลอกลวง
“อย่าพูดเหมือนคีย์ผิดสิ”
“ผมเลือกไม่ได้...เลือกไม่ได้จริงๆ นะคีย์ อันรักคีย์นะ”
“ถ้าเลือกไม่ได้ผมก็ไม่เอาด้วยแล้ว” คิรากรมองใบหน้าของคนรักแล้วก็หลบสายตา
“แล้วจะให้ผมทำยังไง จะให้เลิกกับเมย์ คบคีย์ออกหน้าออกตางั้นเหรอ ไม่มีทางหรอก...ทำอย่างนั้นคนอื่นจะมองว่ายังไง แล้วเพื่อนๆคีย์จะมองคีย์ยังไง ถึงในอเมริกาจะเป็นเรื่องไม่แปลก แต่ไม่ใช่กับในสังคมคนไทยที่นี่นะ”
“แล้วทำไมอันต้องแคร์สังคมมากกว่า เพื่อนๆคีย์เขาก็รู้กันหมดนั่นแหละ มีแต่อันที่ไม่ยอมรับความจริง” ร่างบางดันตัวเองออกจากอ้อมกอด เจ็บปวดจากคำพูดทุกคำที่คนรักพูดออกมา
“คีย์ไม่เข้าใจ....ผมกลับก่อนแล้วกัน ไว้คีย์ใจเย็นผมจะมาหาใหม่”
ร่างสูงคว้ากระเป๋าแล้วเดินออกไปทันที ตัดปัญหาทุกอย่างไว้เบื้องหลังเหมือนที่เคยทำมาตลอด แต่อนลไม่รู้เลยว่า...ครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งสุดท้าย ที่เขาจะได้เห็นคนที่ตัวเองพูดว่ารัก
“ให้ตายเถอะ เปิดเทอมวันแรกไอ้จินมันไปอยู่ไหนนะ” ชายหนุ่มผิวขาวร่างเล็กกับเรือนผมยาวตรงสีดำบ่นออกมาพร้อมกับทำหน้ายุ่งประกอบคำพูดขณะที่เดินลงบันไดอาคารเรียน
“ก็คงไปสิงแถวไหนของมันแหละ เม็ดโฟมจะกลับหอป่ะ เดี๋ยวเราไปส่ง” คนตอบเป็นชายหนุ่มร่างสูงกับแว่นตากรอบเหลี่ยม เส้นผมสั้นๆเสยขึ้นอย่างไม่เป็นระเบียบ เช่นเดียวกับชุดนักศึกษาที่เป็นเสื้อขาวกางเกงยีนส์
“พี่ไผ่แอบคิดอะไรเปล่าครับ ไปรับไปส่งแต่ไอ้จิ๋วโฟม ที่น้องรถถังกับน้องอาลัวปล่อยให้เดินตากแดด” รถถัง...รฐกร ชายหนุ่มว่าที่ตำแหน่งคาสโนว่าประจำคณะเอ่ยแซว เพราะตัวที่อ้วนเป็นรถถังถึงได้ชื่อนี้มาตั้งแต่เด็ก แม้ว่าตอนนี้จะกลายร่างเป็นหนุ่มหล่อสุดแสนจะเจ้าชู้แล้วก็ตาม เขาโอบไหล่เพื่อนอีกคนที่ยืนกอดชีททำหน้ายิ้มๆ...หน้ายิ้มที่หวานเหมือนขนมอาลัวสมชื่อ
“อ้าว อกุศลนะครับไอ้ถัง มีรถก็พาอาลัวไปดิ พี่ไผ่เห็นใจเด็กอ่อนแออย่างโฟมต่างหาก” อิชย์ ชายหนุ่มร่างเล็กเจ้าของชื่อเล่นที่ฟังเหมือนสาวน้อยน่ารักคิขุทำหน้าเบ้ใส่เพื่อนจอมเจ้าชู้
“อย่างมึงอ่อนแอตายแหละ พี่ไผ่เขาเห็นใจ กลัวมึงเดินกลับแล้วจะไปฉุดใครเขาเข้า สงสารสัตว์โลกคนอื่นๆ พี่ไผ่แม่งโคตรพ่อพระเลยว่ะ สาธุ”
“อย่างกูจะไปฉุดใคร มีแต่มึงนั่นแหละที่จะไปฉุดคนอื่น เนอะพี่ไผ่” เขารีบหันไปมองหน้าเจ้าของชื่อก่อนจะยิ้มให้
“ทะเลาะกันอยู่ได้ เม็ดโฟมจะกลับหอเลยหรือว่าจะกินข้าวก่อน ถ้ากินจะได้ไปที่โรงอาหาร โทรเรียกจินมาด้วย” พี่ไผ่...กลายเป็นชื่อเล่นของเขาไปแล้ว ทั้งๆที่อายุก็เท่ากัน แต่ดูเหมือนท่าทางที่เป็นผู้ใหญ่ทำให้ทุกๆคนเรียก พชร ว่าพี่ไผ่ๆ ไม่เว้นแม่กระทั่งคนที่หายหัวไปเป็นประจำอย่างจิณณ์
“พี่ไผ่หิวเปล่า โฟมหิวก็ได้ ไปโรงอาหารกัน อาลัว ไปกับไอ้ถังนะ” อิชย์หันไปพูดแกมสั่งกับเพื่อนสนิทของตัวเอง
“อือ เราไงก็ได้ ถ้าถังว่างก็โอเค” นภัสรพียังคงยิ้มรับกับคำพูดของเพื่อนตามประสาคนง่ายๆที่มีคำพูดติดปากว่าไงก็ได้
“อะหือ ไม่ถงไม่ถามกูสักคำ สั่งเสร็จสรรพเลยนะครับไอ้น้องเม็ดโฟม เอาแต่ใจชิบหาย ขี่มอไซค์ ปั่นจักรยานก็ไม่เป็น ยังอยากจะเรื่องมากอีกเนอะ เดี๋ยวกูให้พี่ไผ่ทิ้งไว้แถวนี้ให้หมาไล่ฟัดเลย” รฐกรตั้งใจเรียกชื่อเต็มของโฟม...ชื่อที่ถ้าคนอื่นนอกจากพี่ไผ่เรียกเมื่อไหร่ ไอ้โฟมจะโวยทันที
“ใครให้มึงเรียกเม็ดโฟมวะ มีแต่มึงแหละทิ้งกู พี่ไผ่ใจดีไม่ทิ้งกูหรอก” พูดจบชายหนุ่มผมยาวก็หันมาหาร่างสูงที่ยืนยิ้มจางๆ “ไปกันเถอะพี่ไผ่”
เจ้าของชื่อที่ถูกกล่าวอ้างพยักหน้าเบาๆ “ฝากโทรหาจินด้วยนะอาลัว บอกเจอกันที่โรงอาหาร”
“โอเค”
“ว่าไงอาลัว” น้ำเสียงทุ้มห้าวของชายหนุ่มหน้ายุ่งกรอกใส่โทรศัพท์ เจ้าของชื่อที่ทุกคนถามหาเมื่อเช้าขับมอตอร์ไซค์มือเดียวแล้วคุยไปด้วย
-ทุกคนรออยู่ที่โรงอาหารนะ โดนโฟมสวดยับแน่วันนี้-
“บอกมันว่ากินก่อนไปเลย ใกล้ถึงแล้ว....เฮ้ย!!!” คนขับเหยียบเบรกตัวโก่งเมื่อเห็นเงาคนตัดหน้าแถวถนนหน้าคณะ จิณณ์หักหลบลงข้างทางเสยพุ่มไม้ไปเป็นแถบ ในแบบที่เรียกว่าคนไปทางรถไปทาง
“เชี่ยเอ๊ย” ชายหนุ่มร่างสูงลุกขึ้นอย่างโมโหแล้วเดินมาที่อีกคนที่นอนกลิ้งอยู่ใกล้ๆ “เป็นไรรึเปล่า เจ็บตรงไหนไหม”
ถึงแม้ว่าจะถูกตัดหน้า แต่ยังไงกับอีกฝ่ายที่เดินอยู่ริมถนน ถ้าเกิดเป็นอะไรไปก็มีแต่ซวยไปเท่านั้น
คนที่ล้มลงไปรีบลุกพรวดขึ้นก่อนจะกระพริบตามองร่างสูงด้วยความแปลกใจ “ขอโทษครับ ผมกำลังหาตึกเรียนอยู่... ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ”
เขาหยิบแว่นกรอบหนาสีดำทรงเหลี่ยมที่หล่นอยู่ไม่ไกลขึ้นมาเช็ดแล้วสวมคืนพลางลุกขึ้นยืนปัดเนื้อตัวที่มอมแมม “รถล่ะครับ เสียหรือเปล่า”
คนที่ยืนค้ำหัวอยู่เดินไปยกรถขึ้นมองสำรวจ พอลองสตาร์ทว่าไม่มีปัญหาก็ส่ายหัว ชายหนุ่มมองไปยังอีกคนที่ยืนตัวเปื้อนผมยุ่ง ตัวที่บอบบางกับแก้มขาวๆที่เป็นสีแดงจัดทำให้เจ้าตัวดูต่างกับผู้ชายคนอื่นนิดหน่อย เป็นไทป์ใกล้เคียงมนุษย์พันธ์แฮมสเตอร์ ยังไม่นับรวมดวงตาโตใต้กรอบแว่นที่ดูยังไงก็ขัดหูขัดตาเหลือเกิน
“รถไม่เป็นไร แต่คนเจ็บ หน้าพุ่งเข้ากอต้นไม้ ทีหลังหัดดูทางบ้าง ถ้าไม่อยากเป็นผีเฝ้ามหาลัย”
“ขอโทษครับ ผมเพิ่งมา ยังไม่คุ้นทางเท่าไหร่ครับ” ชายหนุ่มก้มศีรษะอีกครั้ง
“จะไปไหนล่ะ นี่มันทางไปคณะ...” จิณณ์พูดถึงชื่อคณะของตัวเองที่ปกติมักจะมีแต่ผู้หญิงเรียน ถ้ามีผู้ชาย...ไม่เกย์ กระเทย ก็พวกหน้าหม้อหื่นไม่เลือกหวังฟันสาวสวยทั้งคณะ
“งั้นแปลว่าผมมาถูกทางแล้วสิ... เดี๋ยวตอนบ่ายผมต้องไปพบอาจารย์...” เขาก้มลงมองกระดาษในมือแล้วจึงพูดต่อ “สุนันทา...”
“อ่อ เจ๊ฟู ป่านนี้ไปกินข้าวมั้ง ค่อยไปหาบ่ายๆดิ่” จิณณ์ปัดเบาะแล้วพยักเพยิด “ไปนั่งรอที่โรงอาหารไหม ไปส่งก็ได้ ถือว่าขอโทษที่เฉี่ยว”
“อ๊ะ ก็ได้ครับ ขอบคุณมากเลย” คนแปลกหน้าที่เพิ่งมายิ้มรับคำชวนก่อนจะยื่นมือออกไปข้างหน้าด้วยความเคยชิน
“ผม... คิรากรครับ...”
“ชื่อแปลก ฉันจิน...” ชายหนุ่มจับมือแล้วดึงเข้ามาใกล้ มองอย่างพิจารณาก่อนจะปล่อยมือออก พยักหน้าไปทางเบาะด้านหลัง
“เรียกคีย์ก็ได้ ชื่อเล่น...” เขายิ้มให้อีกครั้งก่อนจะก้าวไปยืนข้างๆรถมอเตอร์ไซค์
จิณณ์ไม่แน่ใจว่ากำลังทำเรื่องน่าเบื่ออย่างช่วยคนที่เพิ่งรู้จักทำไม แต่เพราะอีกฝ่ายหน้าเหมือนไอ้พวกสัตว์ตัวกลมนิ่ม ที่ตื่นกลัวตลอดเวลา เลยคิดว่าถ้าปล่อยทิ้งไป คงได้นอนตายเปล่าแถวนี้ ไหนจะท่าทางไม่รู้เรื่องรู้ราว ไม่รู้ว่าตอนหลบรถไปชนอะไรเข้าหรือเปล่า คงจะเป็นพวกปีหนึ่งเข้าใหม่มากกว่าจะรุ่นเดียวกัน
“คีย์ เล่นเปียโนเหรอถึงชื่อนี้”
“เปล่าครับ เป็นชื่อเล่นเฉยๆ” เขาตอบก่อนจะก้าวขาขึ้นซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ของคนตัวสูงกว่า
จิณณ์มองคนตรงหน้าที่ก้าวขึ้นนั่งอย่างเก้ๆกังๆแล้วถอนใจ นิสัยก็ไม่ใช่...ทำไมต้องมาดูแลวะ
“จะขึ้นวันนี้หรือพรุ่งนี้ ให้มันเร็วหน่อยสิวะ”
พอได้ยินน้ำเสียงที่ฟังเหมือนรำคาญ คิรากรก็รีบนั่งให้เรียบร้อย กระชับกระเป๋าที่สะพายข้างไว้ให้แน่นก่อนจะเอ่ยปากบอก “ครับ เสร็จแล้ว”
จิณณ์ออกรถไปชนิดที่เรียกว่ากระแทกกระทั้นนิดๆ แต่ถึงอย่างงั้นก็ไม่มีเสียงบ่นสักแอะ มีแต่มือสั่นๆที่เอื้อมมาดึงเสื้อเอาไว้...ไอ้เด็กนี่มันเอ๋อหรือเบลอกันแน่วะ
ฟีโน่สีดำขับผ่านแนวต้นไม้สองข้างทาง จิณณ์คิดว่าตัวเองโชคดีมากที่ได้เรียนมหาวิทยาลัยที่ร่มรื่นแห่งนี้ ฟากฝั่งหนึ่งเป็นสระน้ำกว้างชื่อเดียวกับชื่อเดิมของมหาวิทยาลัย เป็นแหล่งรวมพลของนักศึกษาที่มาจีบ กินเหล้า เดินเล่น หรือกระทั่งคึกอยากว่ายน้ำเล่นกับสัตว์น้ำเจ้าถิ่นที่นี่ เขาชอบที่นี่..ติดแต่เพียงว่าบางครั้งความตั้งใจในการเรียนของตัวเองช่างน้อยเหลือเกิน
จิณณ์จอดลงที่แนวจอดรถมอเตอร์ไซค์หน้าโรงอาหารใหญ่ ซึ่งเป็นโรงอาหารเก่า และเสียเวลาเกือบครึ่งนาทีในการยืนรอแฮมสเตอร์ใส่แว่นที่มองทุกอย่างอย่างสนใจ
“ไม่เคยเห็นโรงอาหารเหรอ เปิดเรียนมาสักพักแล้วนะ”
ก่อนที่เขาจะได้เอ่ยตอบ เสียงตะโกนก็ดังมาจากด้านใน เรียกให้ต้องหันไปมองหาต้นเสียง
“คุณชายจินครับ จะยืนเอ๋ออีกนานไหมมึง เข้าเรียนก็ไม่เข้า ยังจะไม่แดกข้าวอีกเหรอวะ” เป็นอิชย์ที่โบกไม้โบกมือพลางส่งเสียงร้องเรียกจิณณ์ให้มาร่วมโต๊ะทานข้าว
“เพื่อนคุณเรียกแล้ว ขอบคุณมากนะครับที่มาส่ง” คนที่ซ้อนท้ายมาไม่ลืมที่จะเอ่ยขอบคุณพร้อมกับรอยยิ้มอีกครั้ง
“ไม่เป็นไร ไปนั่งกินด้วยกันสิ” จิณณ์ดึงคิรากรไว้แล้วลากเข้าไปนั่งในกลุ่ม...ใช่ เขาไม่ได้ห่วงไอ้แว่นแฮมนี่สักนิด ที่จริง จะนั่งกินไหน กินอะไรก็ช่าง แต่เพราะอยากกินข้าวแบบสงบๆเลยจำใจลากมานั่งกลางวงด้วย
ก็เพราะว่าน้องเม็ดโฟมของเพื่อนๆเป็นผู้ชายที่ว่างเป็นคุย ถ้าเอามาเรียกความสนใจได้ ก็คงชวนคุยกันยาว ให้กินข้าวได้สบายๆ
“พี่ไผ่อุดปากมันหน่อยเหอะ เชี่ยแม่งตะโกนดังป้าร้านข้าวแกงทัพพีหล่นแล้ว”
“ให้พี่ไผ่เอาอะไรอุดดีจ๊ะ น้องเม็ดโฟม” รฐกรที่หาจังหวะมานานแซวขึ้นทันที “เอาจุ๊บหรือเอาส้นพี่ดีจ๊ะ”
“เอาส้นกูอุดปากมึงเป็นไงไอ้ถัง” อิชย์เอื้อมมือไปหมายจะผลักอีกคน ทว่าสายตามองเห็นชายหนุ่มร่างโปร่งบางอีกคนที่เดินมาด้วยจึงยั้งมือไว้ได้
“ใครอะจิน”
“คิรากรครับ เรียกคีย์ก็ได้...” คนแปลกหน้าไม่รอให้จิณณ์ได้เอ่ยแนะนำ แต่กลับเป็นฝ่ายทักทายด้วยรอยยิ้มกว้าง
“เก็บได้เมื่อกี้ จะกินอะไร” ประโยคแรกตอบอิชย์ แต่ประโยคที่สองเปลี่ยนเป็นก้มถามคนที่มาด้วยกัน
“เอ่อ... ข้าวไข่เจียวหมูสับ... ก็ได้ครับ” เขาหันไปตอบร่างสูงข้างๆ ปล่อยให้อิชย์ได้แต่ทำหน้ายุ่งด้วยความแปลกใจ
“เก็บได้... คีย์อยู่เอกอะไรน่ะ”
“เอกอังกฤษครับ”
“ปีหนึ่งเลือกเอกได้ที่ไหน โดนรถเฉี่ยวประสาทกลับป่ะวะ” จิณณ์ที่ยังยืนอยู่บ่นแล้วหันไปหา รฐกร พชร และนภัสรพี ที่นั่งทำหน้างงๆ “น้องปีหนึ่งมั้ง ถัง มึงเคยเห็นหน้าป่ะ”
“กูว่าไม่คุ้นนะ กูเข้าไปซ้อมเชียร์น้องตั้งหลายรอบ ไม่เห็นเคยเจอ”
“ผมอยู่ปีสี่ครับ เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน” คิรากรไขข้อข้องใจและเครื่องหมายคำถามบนใบหน้าของคนกลุ่มใหญ่ “มาจากประเทศอเมริกาครับ”
“ก็เป็นพี่สิครับ อาลัวครับ” นภัสรพียกมือไหว้แล้วยิ้มให้กับคนที่บอกว่าอยู่ชั้นปีที่สี่
“โฟมครับ...” พอเห็นเพื่อนทำแบบนั้น อิชย์เลยแนะนำตัวตามพลางยกมือไหว้บ้าง
“ผมรถถังครับ แต่เพื่อนเรียกถังเฉยๆ นี่พี่ไผ่” รฐกรแนะนำตัวเองพร้อมพชรเสร็จสรรพ
“แล้วทำไมไม่บอกแต่แรกว่าปีสี่.....” จิณณ์พูดเสียงอ่อนลง เห็นหน้าอ่อนๆนึกว่าจะอายุน้อยกว่า ที่ไหนได้....ไอ้บ้าเอ๊ย
“ปกติต้องบอกด้วยเหรอ จินก็ไม่ได้ถามผมนี่” คิรากรที่อายุมากกว่ายิ้มให้จางๆเมื่อสังเกตได้ถึงท่าทีที่อ่อนลง
“สัด” ชายหนุ่มพูดสั้นๆแล้วเดินไป เรียกเสียงฮาครืนจากคนทั้งโต๊ะ จะมีก็เพียงคิรากรที่กระพริบตาปริบๆมองงงๆ พชรที่นั่งเงียบอยู่นานจึงเฉลยให้
“ไอ้จินมันเขินน่ะครับพี่ หน้าแหกแถมพี่ยังตอกย้ำมันอีก”
“เห็นหน้าเถื่อนๆตัดสกินเฮด แต่จริงๆมันขี้เขินนะพี่คีย์ ใช่มั้ยน้องเม็ดโฟม” รฐกรพูดกลั้วเสียงหัวเราะ
“อ้าว... ไหนว่าชื่อโฟม”
“โฟมครับพี่ ขอร้อง อย่าเรียกเม็ดโฟม” เจ้าของชื่อน่ารักทำหน้าเบ้
“แล้วไผ่อยู่ปีอะไรเหรอ ทำไมมาขลุกอยู่กับรุ่นน้อง” คนมาใหม่ถามต่อด้วยความสงสัย
“ปีสองเหมือนกัน แต่อยู่ๆก็โดนเรียกพี่...เลยเลยตามเลย แล้วย้ายมากลางเทอมแบบนี้ไม่เป็นไรเหรอครับ”
คิรากรยิ้มกว้างขึ้น ไม่อยากจะบอกออกไปว่าที่ไม่เป็นไรก็เพราะพ่อของตัวเองช่วยขอร้องให้ จึงได้แต่ตอบอ้อมแอ้มไป
“ก็... มาได้ ไม่เห็นเป็นไรนี่...”
“พี่คีย์ สาวฝรั่งอึ๋มป่ะ เผื่อซัมเมอร์นี้ผมจะไปตามหารักแท้สักหน่อย” เจ้าของตำแหน่งคาสโนวา ประจำกลุ่มพูดกรุ้มกริ่ม
“... ก็ เท่าที่เห็น ก็อึ๋มนะ แต่ตัวก็จะอวบด้วย” คนพูดทำหน้าคิดไปพลาง เท่าที่สังเกตก็ตามนั้น แต่เพราะปกติตัวเองไม่ได้มองผู้หญิงเท่าไหร่เลยไม่สามารถจะตอบได้ชัดเจนมากนัก
“ลามกนักนะมึง” คนที่เดินกลับมาพร้อมข้าวสองจานในมือด่ายิ้มๆ จิณณ์วางข้าวไข่เจียวร้อนๆลงตรงหน้าคิรากร แล้วนั่งลงข้างๆ “กินเป็นเด็กประถมเลยนะ คีย์...เอ่อ...พี่คีย์”
“จริงๆเรียกคีย์เฉยๆก็ได้ ไม่ถือ แล้วไข่เจียวหมูสับที่นี่ ไม่เหมือนที่นู่นน่ะ” เขาหันไปเปิดกระเป๋าตัวเองออก “เท่าไหร่เหรอ”
“ให้” พูดจบก็นั่งลงกินเงียบๆ ปล่อยให้คนหยิบกระเป๋าเงินเก้อไป
“ขอบคุณนะ” คิรากรยิ้มให้คนเลี้ยง (ข้าว) อีกครั้งก่อนจะเริ่มตักไข่เจียวทานด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข
จิณณ์ก้มหน้าก้มตากินข้าวไปเงียบๆ ฟังเสียงไอ้รถถังกับไอ้โฟมทะเลาะกันบ้าง เถียงกันบ้าง โดยมีพี่ไผ่กับอาลัวเป็นกรรมการห้ามทัพ จนเมื่อนาฬิกาเลื่อนตัวเองมาถึงเวลาบ่าย เขาก็หันกลับไปมองหน้าคิรากรที่อยู่ใกล้ๆ
...ไอ้แว่นแฮมเอ๊ย...
“ให้ไปส่งหาอาจารย์ป่ะ พี่คีย์”
เจ้าของชื่อหันมาทำหน้าสงสัย ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองมีนัด เลยรีบพยักหน้ารัวๆ “ได้ไหม ยังไม่ค่อยรู้ทาง อ้อ แล้วก็บอกว่าเรียกคีย์เฉยๆ ไม่เป็นไร”
“จะเรียกอะไรก็เรื่องของกู...ของผม.... พวกมึง กูไปก่อนนะ” จิณณ์จับแขนคิรากรให้ลุกแล้วเลื่อนจานเปล่ามาถือ พาทั้งคนทั้งจานไปที่เก็บจานแล้วเดินออกมานอกตัวอาคาร
เอาเหอะ....
ช่วยครั้งสุดท้าย...
คราวหน้าเจอกันอีกกูจะแกล้งทำไม่รู้จักแล้ว!
To be continued...