สวัสดีค่ะๆๆ
เป็นยังไงกันบ้างค้ะช่วงนี้
น้ำแข็งใสกำลังยุ่งได้ที่กับการจัดของจัดกระเป๋า
แต่ยังมีเวลามานั่งอัพนิยาย
แต่ยังไงก็อ่านให้สนุกนะค่ะ
บทที่ 19
[/b]
“นั่น...ราชันใช่ไหม” เสียงทักจากด้านหลังทำให้ร่างสูงใหญ่หันไปดู
“...” นัยน์ตาคมกริบเปิกขึ้นเล็กน้อยก่อนแปรเปลี่ยนเป็นสายตาที่อ่านไม่ออก
“ไม่เจอกันนานมากเลยนะ” คนผู้นั้นยังคงเดินเข้ามาใกล้ๆมากขึ้น “กี่ปีแล้วน้า สิบปีได้ไหมเนี่ย ตั้งแต่ไปเมืองนอก”
“...” ร่างสูงยังคงเงียบ
“พ...พลอย...” หากคนที่เอ่ยออกมากลับเป็นชายหนุ่มขี้เล่น จักรภพเงียบลงกว่าเดิม
“อ้าว...สวัสดีชิน” หญิงสาวทักแล้วเลยไปมองอีกคน “แล้วนั่น...ใช่...จักรหรือเปล่า” เจ้าของชื่อพยักหน้าให้พร้อมกับรอยยิ้มนิดๆ
คนที่ชายหนุ่มทั้งคนเจอนั้นเป็นหญิงสาวรูปร่างสมส่วน หน้าตาเนียนใสถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอาง เธออยู่ในชุดเส็คหญิงสีโอโอลด์โรสสะดุดตา
“เอ่อ...เป็นยังไงบ้างละ” ชินกฤตถามขึ้นท่ามกลางบรรยากาศมาคุ
เธอยิ้ม “ก็ดีจ้ะ” แล้วหันสายตาไปจ้องชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่ยืนเงียบ “ราชันจะไม่ยอมคุยกับพลอยจริงๆหรือ”
จอมราชันแสยะยิ้มเล็กน้อย “ผมชื่อ
จอมราชัน กรุณาเรียกให้ถูก” ถ้าเป็นเมื่อก่อนอาจจะชื่อราชันเฉยๆแต่ตอนนี้ไม่ใช่อีกต่อไป
หญิงสาวหน้าเจื่อนลงก่อนยิ้มฝืน “อ้อ...จ้ะ”
จักรภพที่เข้าใจว่าเพื่อนคงไม่อยากจะอยู่ตรงนี้เท่าไรจึงเอ่ยปากอย่างสุภาพ “พลอย พวกเราต้องขอตัวก่อนนะ พอดียังต้องเข้าบริษัทอีก” ในเมื่ออีกฝ่ายขอตัวอย่างสุภาพหญิงสาวก็ไม่มีเหตุผลที่จะรั้งได้อีก จึงต้องยอมปล่อยไปแม้ในใจอยากจะคุยต่ออีกสักหน่อย โดยเฉพาะกับผู้ชายหน้าเคร่งที่ไม่มองเธอแม้แต่หางตา
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“แกไม่น่าหักหน้าผู้หญิงแบบนั้น” คนสุภาพบุรุษสุดๆต่อว่าเพื่อนที่เดินหน้าเข้มมาที่รถอย่างเสียไม่ได้
“ฉันทำแบบนั้น?” เสียงทุ้มเข้มขึ้น ตวัดสายตาคมกริบจ้องมองเพื่อน เจ้าตัวยกมือยอมแพ้ ไม่ต่อปากต่อคำต่อ เพราะรู้ว่าเพื่อนอารมณ์ไม่ค่อยสู้ดีนัก
รองประธานหนุ่มนั่งด้านข้างคนขับโดยมีนายจักรภพอาสาขับให้ ว่ากันตามจริง...ที่อาสาขับให้เป็นเพราะจอมราชันกำลังโกรธ พอโกรธทีไรเยียบจนมิดไมล์ทุกที
กว่าจะฝ่าการจารจรที่ติดขัดบนถนนใจกลางเมืองมาถึงตัวบริษัทได้เล่นเอาสามหนุ่มหงุดหงิดพอกัน จักรภพจอดรถหน้าตึกแล้วก็มียามประจำมารับรถไปเพื่อขับไปจอด
จอมราชันเลี่ยงไปที่สวนด้านหลังบริษัทที่ทางท่านประธานกันพื้นที่ส่วนหนึ่งให้สร้างเป็นสวนพักผ่อนขนาดไม่ใหญ่ มีเก้าอี้สวนวางอยู่ประปรายเพื่อพนักงานหรือใครก็ตามที่ที่นี่ได้นั่งเล่น ชินกฤตทำท่าจะตามไป หากจักรภพส่ายหน้าไม่ให้เพื่อนสนิทจอมทะเล้นเดินตามร่างสูงใหญ่อารมณ์กรุ่นไป...ตอนนี้ควรจะปล่อยให้เจ้าตัวอยู่คนเดียวดีกว่า...
“ปล่อยราชันไว้คนเดียวเถอะ” คนรั้งไว้บอก
“แต่...” อีกฝ่ายทำท่าจะค้าน “ฉันไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้”
“เขาจะโอเค เชื่อฉัน”
“แม่งเอย...ทำไมพลอยต้องมาทักด้วยนะ” เจ้าตัวหงุดหงิด หากไม่เป็นเพราะเพื่อนหญิงคนนั้นมาละก็ รองประธานของเขาก็ไม่ต้องเป็นแบบนี้
“แล้วเราห้ามไม่ให้มันเกิดได้ที่ไหนละ” คนใจเย็นยังปลอบ ตบไหล่เพื่อนเบาๆ
“ฉันไม่คิดว่าเธอยังจะกล้ามาทักเราอีก” ชินกฤตบ่น “บางทีฉันรู้สึกแย่แทนราชันนะ”
คราวนี้คนตรงหน้าก็ไม่ตอบ
“เฮ้อ...ถ้าเรื่องนั้นมันไม่เกิด เราก็คงยังเป็นเพื่อนกันอยู่” ถอนหายใจเฮือก “เนอะ...” แล้วหันไปพยักเพยิดให้เพื่อน
...ใช่...
...อะไรๆมันคงจะดีกว่านี้...
...ถ้า...ไม่มีเรื่องนั้น!!!...
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
อารมณ์ของพี่ใหญ่ของบ้านไม่ได้ดีขึ้นเลยตลอดวันนั้น เวลาล่วงเลยถึงตอนเย็นเสียที
ความเหนื่อยล้า ความเครียดจากการประชุมเมื่อช่วงเช้า รวมถึงการเจอหน้ากันของเพื่อนเก่าทำให้ร่างสูงหน้าเคร่ง เจ้าตัวไม่พูดพร่ำทำเพลงกับใคร พอถึงเวลาเลิกงานเจ้าตัวเดินฉับๆลงมาที่ลานจอดรถทันที ไม่ว่าใคร ลูกน้องคนไหน หรือเลขารุ่นเก๋าหน้าห้อง รวมถึงเพื่อนสนิทของคนก็ยังเข้าหน้าไม่ติดสักคน
เครื่องยนต์ของรถบีเอ็มคันโปรดดังกระหึ่มเมื่อเจ้าของเหยียบคันเร่งรัวเป็นชุด เจ้าตัวตบเกียร์จากPเป็นDอย่างแรงแล้วกระชากรถออกตัวจากซองจอด ความเร็วเร่งขึ้นเป็นลำดับจนพอรถออกจากตึกลงสู่ถนนใหญ่ เข็มบนหน้าปัดรถก็ชี้ถึงหนึ่งร้อยยี่สิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่หากการจราจรในช่วงเย็นของกรุงเทพฯทำให้ต้องลดความเร็วเป็นบางช่วงอย่างเสียไม่ได้ ยิ่งพาให้อารมณ์ที่กรุ่นค้างอยู่ปะทุเป็นระลอกๆ
กว่าจะถึงบ้าน หน้าตาหล่อเหลายิ่งบึ้งหนักไปกันใหญ่ พอกดรีโมทประตูอัตโนมัติก็เคลื่อนรถเข้าไป หลังจากจอดรถในโรงรถเสร็จก็ก้าวเข้าตัวบ้าน
ภายในบ้านเงียบเหงาเพราะไม่มีคนอยู่ ยังไม่มีใครกลับบ้าน เลยลองเดินเข้าไปทางฝั่งห้องครัวก็เจอหน้าแตงไทยที่ยืนเช็ดจานอยู่ พอรู้ว่ามีคนเข้ามาเธอเลยหันมาดู
“อ้าว...สวัสดีค่ะคุณราชัน” เธอทักทายแม้จะแอบหวาดๆกับสีหน้าของชายหนุ่มตอนนี้
“อืม...แล้วป้าอุ่นไปไหน”
“เอ่อ...ป้าอุ่นไปทำความสะอาดห้องคุณท่านค่ะ”
ชายหนุ่มพยักหน้าเข้าใจ
“เอ่อ...มีอะไรให้รับใช้หรือค่ะ” แตงไทยถามกล้าๆกลัวๆ
“อืม...ไม่เป็นไรผมเตรียมเองดีกว่า” ชายหนุ่มสาวเท้ามาอีกฝั่งของห้องครัว มีถังไม้ขนาดกลางๆที่ดูเหมือนเป็นของตกแต่งบ้านสไตล์ยุโรป แต่ถูกแค่ส่วนเดียว อีกส่วนที่ถูกคือต้องบอกว่าถังไม่นี้เป็นที่เก็บวิสกี้ชั้นดีของบ้าน และผู้ที่ชื่นชอบที่สุดคือจอมทัพน้องชายคนที่สามผู้ชื่นชอบสะสมเป็นงานอดิเรก เวลาเจ้าตัวเดินทางไปต่างประเทศทีไรต้องมีวิสกี้กลับมาด้วยขวดสองขวด เรียกได้ว่าคอชั้นสูงจริงๆ
ในถังมีทั้งสกอต วิสกี้ ไอริช วิสกี้ และอื่นๆ รวมถึง เบล็นเดด วิสกี้
“เบล็นเดด วิสกี้” ก็คือวิสกี้ที่แพร่หลายที่สุด ได้จากการผสมผสานระหว่างมอลต์ วิสกี้และเกรนด์ วิสกี้ เข้าด้วยกันตามสูตรเฉพาะของมาสเตอร์ผู้ปรุงวิสกี้ โดยมักจะมีส่วนผสมของเกรน วิสกี้ มากกว่ามอลต์ วิสกี้
แต่พี่ใหญ่เลือกขวดที่เขาชอบที่สุดอย่าง “ดีลักซ์ วิสกี้” ซึ่งนับว่าเป็น เบล็นเดด วิสกี้ ระดับสูง หายาก เก็บบ่มไว้นานปีด้วยวิธีพิเศษ หรือได้รับการปรุงเนื่องในโอกาสเฉลิมฉลองต่าง ๆ ถ้าเป็นดีลักซ์ เบล็นเดด วิสกี้ มักจะมีส่วนผสมของมอลต์ วิสกี้ มากกว่า เกรน วิสกี้ และจะต้องเก็บบ่มไว้นานกว่า 12 ปี ขึ้นไป
แตงไทยเห็นว่าคุณชายของเธอเลือกได้แล้วจึงส่งแก้วให้อย่างรู้งาน เธอไม่รู้หรอกว่าที่ชายหนุ่มกินเรียกว่าอะไร รู้แต่เป็นของแพง
มือใหญ่รับแก้วมาแล้วผงกหัวให้ ก่อนเดินขึ้นไปที่ห้องของตัวเอง ชายหนุ่มวางขวดน้ำธัญพืชหมักลงบนโต๊ะข้างเตียงพร้อมแก้ว
เจ้าตัวคลายเนคไทออก ถอดเสื้อแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป
สักพักก็เดินออกมาด้วยชุดกางเกงขาสั้น เสื้อยืด ร่างสูงทรุดตัวลงนั่งกับเตียง ค่อยๆรินน้ำสีอำพันลงในแก้วโดยไม่ได้ผสมอะไรสักอย่าง
นั่งจิบน้ำเมาไปเรื่อยจนเวลาล่วงเลยไปเท่าไรไม่รู้ รู้แต่เพียงว่าหัวเริ่มหนักอึ้ง ตาใกล้ปิดลง ความจริงแค่วิสกี้ไม่มีผลต่อเขาเท่าไร แต่อาจเป็นเพราะความเหนื่อยสะสมบวกกับฤทธิ์แอลกอฮอลล์ทำให้เขาง่วงงุนอย่างช่วยไม่ได้
เมื่อหัวลงถึงหมอนก็หลับไปไม่รู้เรื่อง มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่...
“พ...พ...พี่ราชัน” แรงเขย่ารวมกับเสียงเรียกที่ลอดเข้ามาในโสตประสาททำให้เขาเริ่มรู้สึกตัว ค่อยๆขยับเปลือกตาอย่างยากลำบาก และในที่สุดเขาก็ลืมตาขึ้นได้
ภาพที่สะท้อนเข้าตาคือร่ากลมๆนุ่มนิ่มของเจ้าลูกหมูที่นั่งข้างเตียงจ้องหน้าเขาอยู่
“อา...” เขาแสบคอ น้องเหมือนจะรู้จึงยื่นแก้วน้ำเปล่าใสแจ๋วมาให้ มือใหญ่รับไปดื่ม จนหมดแก้วน้องก็เอาแก้วกลับไป
เขาสะบัดหัวสองสามทีให้หายมึน
“เป็นออย่างไรบ้างครับ” เสียงทุ้มออกแหลมเล็กน้อยถาม ตากลมโตมองร่างสูงอย่างเป็นห่วง
จอมใจเพิ่งกลับบ้านมาได้สักพักเพราะวันนี้มีเรียนดึก พอกลับมาถึงก็ลองมาดูบ้านใหญ่เผื่อจะมีใครกลับมาแล้วบ้าง เข้ามาถึงเจอบรรดาแม่บ้านกำลังตั้งโต๊ะอาหารเย็น
เห็นลุงไตร ป้านงค์ พี่ทัพ พี่เวทย์นั่งอยู่ มองซ้ายมองขวาไร้วี่แววของพี่ใหญ่ จึงลองถามคนในบ้านและได้คำตอบมาว่านอนอยู่ข้างบน ไม่มีใครอยากรบกวนเขาเพราะจอมไตรบอกแล้วว่าวันนี้จอมราชันคงเหนื่อยมากปล่อยให้เขาได้พักผ่อนบ้าง ส่วนอาหาร...รอให้เขาตื่นแล้วค่อยมากินทีหลังก็ได้
เจ้าหนูจึงลองเดินมาดูที่ห้องพี่ชาย แต่พอเข้ามาแล้วก็นิ่วหน้าเมื่อเห็นขวดแก้วที่วางบนโต๊ะกับแก้วที่เหลือน้ำสีอำพันเล็กน้อย
เขารู้ได้ทันทีว่าวันนี้พี่ชายมีเรื่องไม่สบายใจแน่นอนเพราะชายหนุ่มไม่ใช่คนขี้เมา เขาเลือกที่จะดื่มเฉพาะเวลาสังสรรค์และเวลาที่ทุกข์ใจเท่านั้น
แม้ใจหนึ่งอยากจะให้นอนต่อ แต่ว่าเขาก็ไม่อยากให้พี่ชายนอนหลับทั้งที่ตัวมีกลิ่นติดจึงตัดสินใจปลุก
“พี่ราชัน” น้องน้อยเรียกอีกครั้งเมื่อเห็นว่าพี่ชายไม่ตอบ
“พี่โอเคครับ”
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ” ชายหนุ่มรู้ว่าน้องกังวลเรื่องเขา
“ไม่มีครับ” เขาปดเพราะไม่อยากให้น้องไม่สบายใจ เขากำลังเครียดกับปัญหาที่บริษัท ซึ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้หญิงคนนั้นสักนิด!!!!
จอมใจรู้ว่าพี่ชายไม่ยอมบอกความจริง แต่ก็ไม่เซ้าซี้
“งั้นลงไปกินข้าวกับใจนะครับ” เจ้าหนูอ้อน เอาหัวซุกลงกับต้นแขนแข็งแรง ชายหนุ่มก้มหน้าสูดความหอมจากเรือนผมนิ่มๆราวกับเป็นยาชูกำลัง
“ไปครับ” พี่ใหญ่ฉุดร่างกลมๆขึ้นแล้วบอกให้น้องรอแล้วเจ้าตัวก็เข้าไปล้างหน้าล้างตา
ทั้งสองพี่น้องพากันเดินลงมาข้างล่างเพื่อท่านอาหารเย็น คนอื่นๆที่เห็นก็ยิ้มยินดี
เจ้าหนูก็พลอยยิ้มกว้างอย่างให้กำลังใจพี่ชาย
...เขาไม่รู้หรอกว่าพี่ราชันมีเรื่องอะไร...
...แต่...
...เขาไม่ยอมให้พี่ชายเขามีสีหน้าอมทุกข์แน่นอน...
...เขาเอาใจช่วยพี่ชายเสมอ...
...แล้ว...กลับมาเป็นพี่ใหญ่ที่ใจดี น่ารักของใจไวๆนะครับ...
...บ่องตง!!! หนูคิดถึง...
To be Continue
แหมน้องใจนี่วัยรุ่นใช้ศัพท์ใหม่ด้วย บ่องตง...ฮะๆๆ
น้ำแข็งใสเห็นครั้งแรกยังคงว่านี่มันอารายยยยยเนี่ย
ถึงจะใช้ภาษาวิบัติ แต่ก็อย่างลืมรากฐานของภาษาไทยนะคะ
ปล. ขอสปอยว่าตอนหน้าบอกได้คำเดียวว่าอย่าพลาด แต่จะอะไรนั้นขอให้ติดตาม (คือความจริงมันก็ไม่ได้แปลกใหม่ แต่ป้าน้ำแข็งอยากออกตัวแรว๊งไปงั้นละ อิอิ
)