สวัสดีค่ะ วันนี้น้ำแข็งใสเอาตอนรีไรท์มาให้อ่านกันค่ะ
ต้องขอขอบคุณคุณTopFeeที่มาแนะนำเรื่องการผ่าตัดค่ะ
เลยรีบไปแก้ไขและมาลงใหม่
ตอนแรกอยากจะรอเขียนให้จบแล้วค่อยมารีไรท์ แต่รู้สึกว่าการที่เราเขียนนิยายแล้วมันดูผิดหลักความจริง
น้ำแข็งใสก็ำม่อยากปล่อยเลยไป อยากใหคนอ่านทุกคนรุ้สึกสนุกและอ่านได้ไหลลื่น
ขอบคุณที่เอ็นดูน้องใจและพี่ๆมาตลอดค่ะ
ปล. ตอนนี้ส่วนที่รีไรท์เป็นช่วงของพี่พลนะค่ะ ส่วนอื่นไม่ได้เปลี่ยน
อาจจะเหมือนไม่ค่อยเปลี่ยนไปเท่าไร แต่อยากให้ทุกท่านอ่านดูค่ะ เพื่อความเหมือนจริงมากขึ้นไม่มั่วเหมือนอันเก่า
บทที่ 18 (รีไรท์)
[/b]
“คุณหมอค่ะ คนไข้ฉุกเฉินมาค่ะ” เสียงร้อนรนจากนางพยาบาลทำเอาร่างสูงโปร่งรีบเร่งฝ่าเท้าขึ้นไปอีก ภายในส่วนหน้าห้องฉุกเฉินนั้นกำลังวุ่นวายได้ที่ ทั้งพยาบาล แพทย์อีกสองสามท่านกำลังเดินกันให้ควัก ในขณะที่รถฉุกเฉินเพิ่งจะเข็นรถผู้ป่วยลงมา
บุรุษพยาบาลเข็นรถเตียงนอนอย่างรวดเร็ว คนที่นอนอยู่ถูกครอบด้วยเครื่องช่วยหายใจ กรอบพลาสติกใสเป็นฝาขาวขุ่นบ่งบอกถึงลมหายใจแผ่วที่คนนอนยังคงมีอยู่เป็นระยะๆ
ดวงตาคู่สวยเห็นคนที่น่าจะเป็นญาติหรือคนใกล้ชิดของคนไข้วิ่งลงจากรถตามมาด้วย เจ้าตัวถูกนางพยาบาลรั้งเอาไว้เพื่อสอบถามประวัติอย่างรวดเร็ว
ศัลยแพทย์หนุ่มพินิจคนไข้ ซึ่งคนไข้คราวนี้เป็นชายหนุ่มผิวเข้มร่างสูงใหญ่ มีแผลน่าจะถูกกระสุนปืนที่ช่วงชายโครงด้านขวาหนึ่งนัดและที่แขนซ้ายหนึ่งนัดและคงจะเสียเลือดมาก ใบหน้าคมสันเลยซีดเผือดแทบไม่มีเลือด
ร่างของนางพยาบาลคนหนึ่งวิ่งเข้ามาพร้อมกับชาร์ตคนไข้ที่เพิ่งซักจากชายหนุ่มร่างสันทัดที่มาพร้อมกับคนป่วย “นี่เป็นประวัติของคนไข้ค่ะ”
จอมพลรับมาพร้อมกับกวาดสายตาไปทั่วๆอย่างเร่งรีบแต่ก็รอบคอบจนในที่สุดศัลยแพทย์หนุ่มก็สั่งทันทีที่อ่านเสร็จ
“พาคนไข้เข้าห้องผ่าตัดด่วน เตรียมทำการผ่าตัด รบกวนเตรียมเครื่องมือให้พร้อมนะครับ” จอมพลสั่งพยาบาลเสียงเครียด
ใบหน้าสวยคมก็เคร่งเครียด แล้วรีบเดินเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เป็นชุดปลอดเชื้อสีเขียว ใส่ถุงมือ หน้ากากฆ่าเชื้อโรค พอเสร็จก็รีบเข้าห้องผ่าตัดที่มีร่างผู้ป่วยที่ต้องการความช่วยเหลืออยู่
การผ่าตัดกินเวลานานถึงสามชั่วโมงเนื่องจากต้องผ่าตัดเอากระสุนออกสองแห่งและคนไข้ก็อ่อนแรงอย่างเห็นชัด แต่เพราะดูเหมือนชายหนุ่มที่ถูกยิงจะเป็นคนที่แข็งแรงพอสมควรเลยไม่ได้ช็อคแต่อย่างใด
ความเครียดและความกดดันของการผ่าตัดทำให้นายแพทย์ก็เหงื่อตกแต่ก็ทำหน้าที่ตัวเองได้อย่างดีเยี่ยม จนเมื่อการผ่าตัดเรียบร้อย ร่างสูงโปร่งถอดหน้ากากแล้วเดินออกมาด้านนอกพบกับร่างสันทัดที่ยืนกระวนกระวายอยู่น้าห้องเพียงคนเดียว พอเห็นหมอเดินออกมาชายหนุ่มคนนั้นก็สะอึกกายเข้ามาหา ถามเสียงร้อนรน
“หมอครับ ผู้กองเป็นอย่างไรบ้างครับ” เสียงที่ถามถึงผู้บังคับบัญชานั้นดูให้ความเคารพและเป็นห่วงกลายๆ
รอยยิ้มอบอุ่นที่มีอยู่เป็นนิจส่งไปให้อีกฝ่าย “การผ่าตัดเรียบร้อยดีครับ คนไข้ถูกย้ายไปอยู่ห้องผู้ป่วยเรียบร้อยแล้วครับ ตอนนี้ยังไม่อนุญาตให้เยี่ยมนะครับ” คนฟังพยักหน้ารับ สีหน้าเครียดคลายออกเป็นโล่งอก
“ขอบคุณครับคุณหมอ”
“ไม่เป็นไรครับเป็นน้าที่ของหมอ ยังไงหมอขอตัวก่อนนะครับ” ร่างสูงโปร่งเอ่ยลา อีกฝ่ายผงกหัวให้
จอมพลเดินถอนหายใจมาที่ห้องพักของตัวเองหลังจากทุกอย่างเสร็จสิ้น ใบหน้าคมสวยดูอ่อนล้าอย่างเห็นได้ชัด ร่างสูงโปร่งทรุดตัวลงนั่งกับเก้าอี้นวมภายในห้องพัก นิ้วเรียวสวยคลึงขมับเลยไปถึงนวดเบาๆที่ลูกตาทั้งสองข้าง
อาชีพหมอนั้นเป็นอะไรที่ต้องทำงานแข่งกับเวลา ช้าไปเพียงเสียวนาทีเดียวคนไข้อาจไม่รอด แม้จะเหนื่อยแต่เขาก็ดีใจที่ได้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เขายินดีและดีใจที่ทั้งสองมือของเขานั้นยังสามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้บ้าง
วันนี้โชคดีที่คนไข้ดวงแข็งและอดทนเป็นอย่างดีแม้จะเสียเลือดไปปริมานมากแต่การผ่าตัดก็ผ่านพ้นไปเรียบร้อยดีไม่มีปัญหา
เขายินดีและดีใจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
หลังจากการผ่าตัดสองวัน นายแพทย์หนุ่มอนุญาตให้เยี่ยมคนไข้ในความดูแลได้แต่หากต้องไม่เกินเวลาที่กำหนด จอมพลเดินเข้ามาในห้องช้าๆ มองร่างสูงใหญ่ที่นอนทอดยาวอยู่บนเตียง ใบหน้าคมเข้มมรหนวดไรเขียวครึ้มขึ้นจางๆ
พอได้ยินเสียงฝีเท้าเข้ามาในห้อง นายตำรวจหนุ่มความรู้สึกไวก็ลืมตาขึ้น นัยน์ตาสีดำขลับมองไปที่ผู้มาใหม่ พอจอมพลเห็นว่าคนไข้เขาลืมตาขึ้นมาก็ยิ้มอ่อนให้
“รู้สึกอย่างไรบ้างครับวันนี้คุณศักเรนทร์” เดินเข้าไปใกล้ๆถามไถ่อาการคนป่วยที่นอนอยู่ หมอหนุ่มเอ่ยชื่อคนไข้ตามที่ได้อ่านจากชาร์ตมาแล้วและเหมือนมันยังคงติดอยู่ในความทรงจำอยู่ช่วงนี้...อาจจะเป็นเพราะชื่อแปลกหูและไม่รู้ความหมาย
ชายหนุ่มที่ถูกยิงเป็นนายตำรวจหนุ่มยศร้อยตำรวจเอกหรือภาษาชาวบ้านเรียกว่าผู้กอง
...ร้อยตำรวจเอก ศักเรนทร์ ธีรวัฒน์...
...สังกัดกองป้องกันและปราบปรามยาเสพติด...
...อายุ 33 ปี...
...มิน่าถึงถูกยิงมา เป็นตำรวจนี่เอง...
...แต่ชื่อแปลกดีชะมัด แปลว่าอะไรละเนี่ย...
...ศักเรนทร์... สงสัยเขาคงต้องหาเวลาไปเปิดพจนานุกรมหาความหมายสักหน่อยแล้ว
“ก็ดีครับ” เสียงแหบแห้งดังออกมาจากปากกระจับนั่น
“ขอหมอตรวจทั่วไปหน่อยนะครับ” ว่าแล้วเจ้าตัวก็พยักหน้าให้พยาบาลมาวัดความดัน และอื่นๆ “โดยรวมดีขึ้นแล้วครับ พักอีกสัก
สามสี่วันก็คงกลับบ้านได้แล้ว” เมื่อหมอวินิจฉัยเสร็จก็ขอตัวเพื่อให้คนไข้ได้พักผ่อน
ระหว่างที่เดินผ่านเคาน์เตอร์หมอหนุ่มก็ได้ยินเสียงซุบซิบ
“แกๆ...คนไข้ห้อง605อะ ดูดีเนอะ ขนาดป่วยยังดูเข้มๆ” นางพยาบาลซึ่งดูแล้วน่าจะจบมาใหม่พูดกับเพื่อน จอมพลส่ายหน้าแล้วเดินเข้าไปกระแอมเบาๆ
“อะแฮ่ม...” เธอสองคนนั้นสะดุ้งโหยงพอเห็นว่าผู้มาขัดจังหวะเป็นใครก็ยิ้มแหยแล้วรีบหันกลับไปก้มหน้าก้มตาทำงานของตัวเองต่อไป หมอหนุ่มส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วเดินไป
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ด้านพี่ใหญ่ของบ้านสุทธิไพศาลก็กำลังหน้าเคร่งเครียดเช่นเดียวกับน้องชายคนที่สองที่เป็นหมอแต่ไม่ได้มาจากการผ่าตัดแต่อย่างใด ผลมาจากการประชุมที่ยืดเยื้อและกินเวลามาเกือบครึ่งวัน
ความเครียด ความหงุดหงิดถูกสะสมเรื่อยๆอยู่เป็นนิจแต่หากด้วยภาระและหน้าที่ของคำว่าฝ่ายผู้บริหารที่มันค้ำคอทำให้ต้องยังคงปั้นหน้าขรึมต่อไป
“ผมคาดการณ์ว่าทางบริษัทคู่แข่งจะต้องยอมถอยแน่นอน” ท่ามกลางความเคร่งเครียดในห้องประชุม ร่างสูงสมส่วนของนายจักรภพกำลังยืนสง่าอยู่หน้าห้องที่มีคนนั่งรายล้อมโต๊ะอยู่ เขากำลังทำการพรีเซนต์งานอยู่
และในที่สุดหลังจากการพรีเซนต์จบลงการประชุมที่กินเวลานานก็จบลงเช่นกัน ผู้เข้าประชุมต่างทยอยออกจากห้องจนหมด เหลือเพียงร่างสูงไล่เลี่ยกันสามคนเท่านั้นที่ยังคงอยู่ในห้องไม่ไปไหน
“เฮ้อ...เหนื่อยชิบ” นายชินกฤตถอนหายใจเฮือกพลางนั่งกระแทกลงบนเก้าอี้เลื่อนอย่างแรงหมดลุค “เครียดโคตรเลยประชุมรอบนี้”
“ทำไงได้เรากำลังโดนคู่แข่งโจมตีหลายด้านอยู่” รองประธานหนุ่มเอ่ย
ใช่...ตอนนี้บริษัทกำลังเจอปัญหาเมื่อมีบริษัทคู่แข่งกำลังเล่นงานพวกเขาอยู่หลายทางซึ่งมีทั้งต่อหน้าและลับหลัง มันกำลังทำให้พวกเขาปวดหัวมากกว่าที่เป็น
“ไปหาไรกินกันดีกว่ายังไม่ได้กินอะไรมากันเลย” นายจักรภพชวนเพื่อนทั้งสองเนื่องจากพวกเขาทั้งสามคนยังไม่มีอะไรตกถึงท้องมาตั้งแต่เช้าและนี่ก็คล้อยเข้าช่วงบ่ายแก่ๆไปแล้ว
“ไปดิ ฉันหิวจนตาลายละ” ชายหนุ่มหน้าทะเล้นโอด “แกเลี้ยงนะไอ้หล่อ” แล้วหันไปพูดกับท่านรองประธานที่นั่งอยู่
“เรื่องอะไรฉันต้องเลี้ยงแกไอ้ชิน” จอมราชันบ่นขรึมๆ
“อ้าว...ก็แกใช้งานพวกฉันหนักเกินนี่หวา”
เจ้าคนกวนประสาทยังคงแถต่อไป เพื่อนที่ดูอยู่ก็ส่ายหน้าหน่ายๆ นิสัยแบบนี้เห็นกันมาตั้งแต่เรียนแล้ว
“จะไปก็ไป” คนที่ถูกสั่งให้เลี้ยงพูดก่อนเดินฉับๆออกไป อีกฝ่ายกระดี๊กระด๊าเต็มเปี่ยมลากเพื่อนอีกคนออกมาอย่างเร็ว
...แน่นอน มีของฟรีมาเกย ใครไม่เอาละ...
สามหนุ่มตัดสินใจว่าจะมากินร้านบุฟเฟ่เนื้อย่างกันที่ห้าง ซึ่งคนอยากกินก็เป็นนายชินกฤตเจ้าเก่าทั้งๆที่เพื่อนสองคนที่เหลือต่าง
แย้งว่าตัวจะเหม็นและอึดอัดเพราะต้องกลับไปทำงานต่อ
“แกจะกินเนื้อย่างแล้วกลับไปนั่งดมกลิ่นตัวแกในห้องทำงานหรือไง” จอมราชันแทบจะเอาเท้ากายหน้าผากเพื่อนรัก
“เออน่า...กินนี่แหละ ฉันหิวมาก”
“กินอย่างอื่นเถอะ”
“อันนี้แหละ ฉันตัดสินใจแล้ว” คนตัดสินใจแล้วรีบเดินเข้าไปในร้านอย่างรวดเร็ว บอกพนักงานในร้านอย่างคล่องแคล่วว่ามาสามคน คนที่เหลือทำอะไรไม่ได้นอกจากเดินตามเข้าไปอย่างจำใจ
ภาพของชายหนุ่มร่างสูง หน้าตาดีน้องๆพระเอก ในชุดเสื้อเชิ้ต กางเกงเสล็ค ดูเป็นจุดเด่นไม่น้อย ก็แบบ...ดูแล้วน่าจะไปกินร้านหรูๆมากกว่าจะมานั่งร้านบุฟเฟ่ที่ส่วนมากจะเป็นเด็กวัยรุ่น คนที่มาเดินเล่นมากินเสียมากกว่า
พอนั่งลงปุป ชินกฤตก็สั่งทุกอย่างที่ในเมนูมาเกือบทั้งหมด ดูเหมือนเยอะแต่เชื่อเถอะ...เขาสามคนกวาดเรียบ ยิ่งหิวๆกันอยู่
รอไม่นานพนักงานก็เอาเตาถ่านร้อนมาวางในหลุมพร้อมตะแกรงและเนื้อสัตว์ ผักต่างๆก็มาเสิร์ฟ ทั้งสามคนใรอช้าลงมือย่างเนื้อกันทันที
เสียงฉู่ฉ่าจากการที่เนื้อกระทบตะแกรงร้อนเรียกน้ำย่อยในกระเพาะ สุกได้ที่ก็ขยับตะเกียบกันไปเรื่อย
จนในที่สุดเนื้อที่สั่งมาเรื่อยก็หมดลง ตะแกรงที่ถูกเปลี่ยนไปสองสามครั้งก็เป็นสีดำ สามหนุ่มถึงรู้ตัวว่าอิ่มแปล้
จ่ายเงินก็เดินออกมา จักรภพขอเพื่อนเดินดูหนังสือสุกครู่
ระหว่างที่เดินอยู่นั้นเสียงจากทางด้านหลังก็ทำให้สามคนชะงัก
“นั่น...
ราชันใช่ไหม” เจ้าของชื่อหันไปตามเสียงเรียก นัยน์ตาคมกริบเบิกขึ้นเล็กน้อยก่อนแปรเปลี่ยนสายตาที่อ่านไม่ออก
“...”
To be Continue
มาแก้ตอนนี้แล้วขอตัวนะค่ะ
เจอกันตอนหน้าค่ะ