kagehana : เอาคุณเชฟกับน้องนัทมาแพลมไว้ เนื้อเรื่องของหมอบีมน้องรันจะเป็นเรื่องถัดจากคุณเชฟน้องนัทสองปีนะคะ
ขอให่มีความสุขกับการอ่านค่ะ

-5-
“สวัสดีครับคุณหมอบีม” รัญชน์ยกมือไหว้ทันทีที่เดินเข้าประตูห้อง ก่อนจะตามด้วยรอยยิ้มสดใสบนใบหน้า แสดงให้ดูว่าหายดีแล้ว
“สวัสดีครับคุณรัน หายไปหลายวันเลยนะ” ธนกฤตหันมาหาแล้วยิ้มให้ สีหน้าดูสดใสของอีกฝ่ายทำเอาเขาโล่งใจขึ้นมา
ทั้งโล่งใจที่อีกฝ่ายหายดี....และโล่งที่จะไม่ต้องเจอหน้ายักษ์ของคุณพี่ชายอีก
“คิดถึงยาหมอไหมครับ ไม่ได้มาเอาเองตั้งหลายวัน”
“ครับ... ที่สุดเลยนะ” เด็กหนุ่มรับคำพร้อมเสียงหัวเราะก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้ มือวางถุงคุกกี้ลงบนโต๊ะตรงหน้าธนกฤตแล้วว่าต่อ
“ผมทำมาให้นะ ตอบแทนที่พาผมกลับบ้านวันนั้นครับ แล้วก็ขอโทษ เผื่อว่าพี่ผมมาพูดอะไรแปลกๆใส่ครับ”
“น่ากินจังครับ” ธนกฤตเลี่ยงที่จะพูดถึงเรื่องพี่ชายอีกฝ่ายว่าแปลก... แค่ไหน
เขาหยิบถุงคุกกี้ขึ้นมาดู ช็อกโกแลตชิพเม็ดใหญ่ดูเปล่งประกายวิบวับ... นี่ถ้าหากไม่ได้อยู่ต่อหน้าคนไข้เขาคงแกะกินหมดไปนานแล้ว
“ขอบคุณนะครับ แล้ววันนี้คุณพี่ชายไม่มาด้วยเหรอ”
“ผมทำเองครับ! ชิมเลยก็ได้นะ ผมไม่ถือนะ” คนทำคุกกี้เอ่ยบอกอย่างสดใส
“พี่ผมต้องทำงาน ผมหายแล้ว ก็มาเองได้ครับ”
“งั้นหมอไม่เกรงใจนะ”
ธนกฤตแกะถุงแล้วหยิบคุกกี้หอมกรุ่นขึ้นมากัดเคี้ยวกิน รสชาติหวานของเนยเข้ากันได้ดีกับช็อกโกแลตชิพขมๆ เขาเพลินกับการกินจนหมดชิ้นไม่รู้ตัว
“โห เจ๋ง!” ธนกฤตยิ้มเขินที่หลุดคำพูดคุ้นปากที่ไม่เหมาะกับท่าทางของคนที่เป็นหมอเท่าไร
“เอ่อ... อร่อยมากเลยครับ หมอไม่เคยกินที่ไหนอร่อยเท่านี้เลย”
“ขอบคุณครับ” รัญชน์เผยรอยยิ้มหวานด้วยความดีใจ
“คุกกี้เพิ่งอบเสร็จก็อร่อยแบบนี้แหละนะครับ”
“คุณรันน่าจะเปิดร้านเบเกอรี่นะครับ หมอจะแวะไปเป็นลูกค้าทุกวันเลย” ธนกฤตหยิบอีกชิ้นเข้าปากแล้วรวบปากถุงปิด
“แหม... หมอกินเพลินจนลืมดูอาการเลย วันนี้เอาซองยามาให้หมอดูไหมครับ”
“... นึกว่าคุณหมอจะไม่ถามแล้ว...”
คนไข้ฉีกยิ้มก่อนจะล้วงมือไปในกระเป๋าเป้ของตัวเอง เมื่อค้นเจอแล้วก็หยิบถุงยาออกมาให้คนตรงหน้าดู
“เป็นไงครับ”
ธนกฤตรับถุงยาเปล่าขึ้นมาแล้วเอามาร์คเกอร์สีน้ำเงินเขียนวันที่ไว้ก่อนจะเก็บไว้บนตะกร้าด้านข้าง เขาเขียนยาที่จำเป็นแล้วยื่นผ่านช่องไปอีกครั้ง
“ดีมากครับคนเก่ง ถ้ากินหมดอย่างนี้ไปเรื่อยๆหมอจะเปลี่ยนเป็นอาทิตย์ละครั้งเหมือนเดิม” ธนกฤตยิ้มจางๆ
“คุณรันจะได้ไม่ต้องเดินทาง เห็นทุกวันเดี๋ยวเบื่อหน้าหมอหมด”
“มาบ่อยๆได้ครับ ไม่เป็นไร... เมื่อกี๊ก็แวะเล่นกับน้องปูเป้มา... ถ้าไปกับพี่ ผมเบื่อตาย” เด็กหนุ่มเอ่ยว่าทีเล่นทีจริง
“นั่นสินะครับ พี่คุณท่าทางหวงน้องมากๆด้วย มาคราวก่อนยังคาดโทษหมอจนหมองงเลย” ธนกฤตยิ้มขำ
“วันนี้จะให้คุณรันไปเจาะเลือดที่ห้องตรวจสองด้วยนะครับ หมอจะตรวจเช็คว่าผลเลือดเป็นยังไงจะได้รู้แนวทางรักษา”
“... เอ๋? พี่มาว่าอะไรเหรอครับ” นัยน์ตากลมโตกระพริบตามองปริบๆด้วยความแปลกใจ
“ไม่มีอะไรหรอกครับ” เขายิ้มนิดๆอย่างใจดีก่อนจะลุกขึ้นยืน
“เดี๋ยวหมอให้พยาบาลพาไปห้องเจาะเลือดนะครับ เอาใบประวัตินี่ไปยื่นแล้วรอเจาะเลย” ธนกฤตยื่นกระดาษให้แล้วเขียนยุกยิกๆบนชาร์ตต่อ
“อันนี้หมอฝากให้พยาบาลหน้าห้องครับ ให้จัดยาให้คุณรันจะได้ไม่ต้องวนไปวนมากลับบ้านได้เลย”
“ได้ครับ... ขอบคุณมากครับคุณหมอบีม... แล้วพรุ่งนี้พบกันครับ” ใบหน้าหวานระบายรอยยิ้มกว้างอีกครั้งก่อนจะยกมือขึ้นไหว้ ร่างบางลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วหันออกจากห้องไป
///////////////////////////
ทันทีที่ได้ยินเสียงประตูห้องเปิดออก ร่างเล็กที่นอนเล่นอยู่บนโซฟาก็รีบลุกไปหาคนที่เพิ่งปิดประตูทันที
“พี่ราม! ไปพูดอะไรกับหมอมานะ???”
“อะไร? ไม่ได้พูดอะไรสักหน่อย เราคิดมากไปปะ” ราเมนทร์ดึงร่างเล็กที่ทำหน้าบู้เข้ามากอดแล้วหอมเบาๆที่แก้มขาวทั้งสองข้าง
“หน้ายังกับแมวเปอร์เซีย ยู่ซะไม่มี”
“เออ ก็ยู่แหละ... บอกมาเลยนะว่าไปพูดอะไรมา ไม่งั้นไม่ทำคุกกี้ให้กินแล้วด้วย” รัญชน์ขยับดิ้นขลุกขลักไปมาในอ้อมกอดพลางทำเสียงเข้ม
“ก็แค่.... เตือนๆไปว่าอย่ามาโรคจิตใส่รัน”
เจ้าแมวเหมียวในอ้อมกอดที่ขู่ฟ่อๆดิ้นจะให้หลุดจากเขาทั้งนุ่มนิ่มและหอมไปทั้งตัว ราเมนทร์ซุกใบหน้าบนเรีอนผมสีอ่อนแล้วเอาปลายคางกดไว้
“เห็นมะ ไม่เห็นมีอะไรสักหน่อย เราน่ะคิดมาก”
“พี่รามอะคิดมาก หมอคนนี้ใจดีจะตาย” พอได้คำตอบที่น่าพอใจ เด็กหนุ่มก็หยุดดิ้น ปล่อยให้พี่ชายกอดเอาไว้ตามใจ
“ดีแตกมาหลายรายแล้ว ไว้ใจไม่ได้หรอก” นานๆครั้งจึงจะเห็นน้องชายใส่ใจคนอื่น ยิ่งเอ่ยชมซึ่งๆหน้ายิ่งแล้วใหญ่
“หิวแล้วล่ะรัน ไปหาอะไรกินข้างนอกไหม”
“อื้อ กิน! อยากกินสเต็ก” พอได้ยินเรื่องอาหาร เด็กหนุ่มก็ตัดประเด็นแรกออกไปได้ก่อนทันที
“อื้อ อยากไปกินร้านไหนล่ะ วันนี้พี่เลี้ยงเอง”
เลี้ยงดูกันมาตั้งหลายปีทำไมจะไม่รู้ว่าถ้าเอาของกินมาล่อล่ะอารมณ์ดีขึ้นมาทันที
“เอาที่สเต็กอร่อยๆ หรูๆดีๆ” รัญชน์เอ่ยบอกอย่างเอาแต่ใจ พลางขยับตัวออกจากอ้อมกอดของพี่ชายแล้วเดินไปยังห้องของตัวเอง แต่ก็ตะโกนไล่หลังมา
“รันเปลี่ยนเสื้อก่อน พี่รามหาร้านนะ”
“คร้าบบบบ”
ใครจะว่ายังไงก็ช่าง... เพราะเขารู้ดีว่าคนที่น้องชายจะเอาแต่ใจได้ด้วย... มีเพียงแค่ตนเอง
ราเมนทร์ยิ้มขำแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถามไถ่เพื่อนที่รู้จักว่ามีร้านไหนดีๆบ้าง เขาได้รับคำตอบที่น่าสนใจหลายที่แต่ที่ดูแล้วเข้าท่าที่สุดเป็นร้านแบบโฮมเรสเตอรองท์ที่มีเปียโนสด
“รัน ไปร้านนี้กันไหม” เขาพูดเมื่อคนตัวเล็กเดินกลับมา
“หือ? ร้านไหน?” คนถูกถามชะโงกหน้าไปอ่านเนื้อความบนหน้าจอมือถือของพี่ชาย จากเสื้อนอนย้วยๆตัวใหญ่กลายมาเป็นเสื้อยืดสีน้ำตาลอ่อนตัวบาง โดยมีแถบสีหลากหลายพาดไปมาบนตัวเสื้อ กับกางเกงขาสามส่วนที่เจ้าตัวชอบนักชอบหนา
“นี่ไง” ราเมนทร์ชี้ให้ดูภาพประกอบรีวิวร้านอาหารในบลอกที่เพื่อนส่งมา
บ้านที่มีสวนสวยและแนวกุหลาบขาวล้อมรอบยามกลางคืนสว่างไสวด้วยแสงเทียนสุดโรแมนติด อาหารในภาพต่อๆมาก็ดูน่ากิน... ยังไม่นับแกรนด์เปียโนตัวใหญ่ใต้ซุ้มผ้าขาวบางโปร่งที่ถูกมัดรวบด้วยริบบิ้นสีอ่อนที่มันปลาบล้อกับแสงไฟ
“ชื่อบ้านน้องนัท เพื่อนพี่ไปกินมาบอกอร่อยมาก เพลงก็เพราะ เชฟที่นี่เมื่อก่อนเป็นมือปืนรับจ้างให้พวกโรงแรมดังๆตั้งหลายที่ด้วย”
“? มือปืนรับจ้าง????” คนฟังมีสีหน้าประหลาดใจระคนไม่เชื่อนิดๆ
“ตลกแล้วนะพี่ราม”
“พี่หมายถึงพวกที่คอยทำงานเป็นเชฟในชื่อของโรงแรมต่างหากเล่า เหมือนพวกมือปืนที่รับจ้างยิงไง คนนี้เขาเป็นเชฟ รับจ้างทำอาหาร อ่าว งงล่ะสิ บอกแล้วไงว่าให้หัดอ่านหนังสือภาษาไทยเยอะๆ”
ราเมนทร์ลูบหัวเบาๆอย่างหมั่นเขี้ยว
“จะไปยัง ไม่งั้นไม่ทันร้านปิดนะ”
“ไปๆ ไม่อร่อยคอยดูนะ” ร่างเล็กเป็นฝ่ายเดินนำมาที่ประตูห้องแล้วหันมายิ้มกว้างให้
“เร็วสิพี่ราม”
“คร้าบบบบบ”
///////////////////
โฮมเรสเตอรองท์ขนาดกลางตั้งอยู่บนสวนที่มีแนวกุหลาบขาวรายรอบดูโรแมนติกมากขึ้นเมื่อมีซุ้มกระโจมสีขาวตั้งอยู่ด้านริม แกรนด์เปียโนเงาวับที่อยู่ข้างใต้เล่นแสงกับเทียนเล่มน้อยที่จุดอยู่รอบๆ
โต๊ะสีขาวแบบโปร่งเข้าชุดกับเก้าอี้มีจัดไว้เพียงด้านละสี่ห้าชุด ทุกโต๊ะจะมีเทียนเล่มเล็กๆและกุหลาบขาววางประดับ บรรยากาศตอนกลางคืนจึงเหมาะกับครอบครัวหรือคู่รักที่อยากจะทานอาหารอร่อยในบรรยากาศดีๆ
“ดีนะที่ยังมีที่ ปกติร้านนี้ต้องจองก่อนถึงกินได้ คนเข้าคิวจองยาวเหยียด” ราเมนทร์พูด
พนักงานต้อนรับสองตัวที่ติดหูกระต่ายนั่งเฝ้าซุ้มประตูกระดิกหางให้ ก่อนจะเห่าคล้ายเรียกคนที่อยู่ด้านในมารับแขก
“ยินดีต้อนรับค่า ไม่ทราบว่ากี่ท่านคะ” พนักงานเสิร์ฟสาวในชุดเสื้อเชิ้ตขาวทับด้วยผ้ากันเปื้อนสีดำเดินมาหาคนทั้งคู่ด้วยรอยยิ้มสดใส
“สองครับ” ชายหนุ่มตอบแล้วยิ้ม
บริกรสาวผายมือไปทางโต๊ะที่ว่างแล้วเดินนำไปก่อนจะยื่นเมนูให้
“เดี๋ยวสักครู่จะมารับออเดอร์นะคะ”
“รันกินอะไร”
“สเต็กย่างเตาถ่าน” คนตัวเล็กเอ่ยตอบร่าเริงพลางปิดเมนูลง
“กับโค้ก!”
“กินโค้กอีกแล้ว” คนเป็นพี่พูดเหมือนจะดุแต่กลับยิ้มกว้างให้แทน
“ของผมเอาสปาเก็ตตี้พอร์คบอลมะเขือเทศ ซี่โครงแบบฟูล ซุปเห็ด....แล้วก็เบียร์ครับ” พูดพร้อมส่งยิ้มหวานให้คนที่มายืนรับออเดอร์
“เรียบร้อยค่ะ กรุณารอสักครู่นะคะ” หญิงสาวรับคำอย่างสดใสก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป
“พี่รามอะ กินเบียร์อีกละ เดี๋ยวลงพุงนะ” รัญชน์เอ่ยว่าพี่ชายที่สั่งเบียร์มากินตั้งแต่หัววัน
“ลงพุงอะไร ออกจะหล่อสาวกรี๊ดขนาดนี้ งานอย่างพี่ก็เหมือนออกกำลังกายทุกวันอยู่แล้วน่า” ราเมนทร์พูดพลางยิ้มกว้างให้โต๊ะข้างๆที่เป็นสาวออฟฟิสสี่ห้าคนที่มองมาอย่างสนใจ
“เห็นมะ” ชายหนุ่มยักคิ้วอย่างได้ใจ
“... หลงตัวเอง” เด็กหนุ่มว่าก่อนจะแลบลิ้นใส่
“เค้าจะคิดว่าพี่รามเป็นเกย์ได้นะ มากับรัน” ใบหน้าหวานปรากฏรอยยิ้มยียวนขึ้นเพื่อกวนประสาทร่างสูง
“ตามใจดิ พี่ไม่เห็นแคร์” ชายหนุ่มดึงร่างเล็กเข้ามาใกล้แล้วหอมแก้มขาวๆอย่างหมั่นเขี้ยว
“ต่อให้ไม่มีผู้หญิงก็ไม่เป็นไร มีรันคนเดียวก็พอ”
“เอ๊า! พูดงั้นได้ไง ไหนเคยบอกว่าจะหาเจ้าสาวสวยๆมาเป็นพี่สะใภ้ให้รันไง” มือเรียวบางเอื้อมผลักหน้าของราเมนทร์ออก
“อยู่อย่างนี้ก็ดีแล้วน่า พี่อยู่กับเราไม่มีเวลาไปหาแฟนหรอก” ราเมนทร์ยอมกลับมานั่งที่แต่โดยดีก่อนจะเปลี่ยนเรื่องพูด
“รู้ไหม ที่นี่น่ะเปิดแค่อาทิตย์ละสามวันเองนะ แต่อย่างว่า...ทำแบบครอบครัวก็เหนื่อยเป็นธรรมดา”
“ไม่เจ๊งได้ไงนะ... เห็นเค้ามีแต่เปิดทุกวัน หยุดวันนึง อะไรแบบนี้” คนพูดมองไปรอบๆพลางแสดงความคิดเห็นของตัวเองออกมา
“ไม่คิดงั้นเหรอ?”
“ลองชิมดูเดี๋ยวก็รู้”
เท่าที่เคยได้ยิน... การที่ร้านเปิดเพียงสามวันต่อสัปดาห์ยิ่งทำให้เหล่านักชิมต่างจับจองควานหาทางที่จะได้มาชิม...และนั่นก็เป็นอีกเหตุผลที่ทำให้ร้านนี้เปิดต่อเนื่องมาได้2ปีแล้ว
“เค้าบอกว่าถ้าใครได้มากินที่นี่ ยังไงก็ต้องอยากกลับมาอีก”
“โอเค...” รัญชน์รับคำก่อนจะเหลียวมองไปรอบๆร้านอีกครั้งโดยหวังว่าจะเห็นบริกรเดินมาพร้อมกับสเต็กในถาด แต่ก็ยังต้องผิดหวัง
“เออ จริงสิ กินคุกกี้ไหม เมื่อเช้าที่รันลุกมาอบ เหลืออยู่” เขาว่าพลางหยิบคุกกี้ที่อยู่ในกล่องพลาสติกออกมา
“ของหวานเค้าไว้กินหลังอาหารสิ” ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่มือใหญ่ก็เอื้อมหยิบมากัด
“เหลืออยู่? แล้วไอ้ที่ไม่เหลือไปไหนล่ะ”
ไม่ทันจะได้รับคำตอบ บริกรสาวก็เดินนำอาหารมาเสิร์ฟ หญิงสาวจัดการเครื่องดื่มให้ทั้งสองคนแล้วหยิบจานอาหารที่วางอยู่บนรถเข็นขนาดเล็กเสิร์ฟให้คนสั่งอย่างแม่นยำ
“ขอให้มีความสุขกับอาหารของบ้านน้องนัทนะคะ” เธอโค้งตัวพร้อมรอยยิ้ม
“ให้หมอไป.... โห— หอมจัง” คนตอบไม่พูดเปล่าพลางสูดกลิ่นหอมของสเต็กที่ถูกย่างบนเตาถ่านเข้าปอดให้เต็มที่
“กินเลยนะ ไม่รอแล้ว ขอบคุณครับ” รัญชน์พูดกับคนตรงหน้าเสร็จก็หันไปยิ้มหวานให้กับบริกรสาวอีกทีหนึ่ง แล้วคว้ามีดกับส้อมขึ้นมาโดยไม่รอ
“ไปสนิทกันตั้งแต่เมื่อไหร่วะ” คนเป็นพี่พึมพำเบาๆแล้วกระดกเบียร์เข้าปากตามด้วยเนื้อซี่โครงนุ่มลิ้น
คนอื่นอาจจะสรรหาไวน์ที่มีรสเลิศเข้ากับเนื้อ แต่สำหรับตัวเขา เบียร์วุ้นเย็นๆแบบนี้เหมาะสมกับตัวเองมากกว่า ของเหลวรสขื่นผ่านลำคอไปหมดแก้วก่อนที่จะถูกรินต่อ ราเมนทร์ชิมของที่สั่งอย่างละนิดเพื่อพิสูจน์รสชาติก่อนจะพยักหน้าเบาๆด้วยความชื่นชม
“เยี่ยม... ทีนี้หายสงสัยยังล่ะรัน”
“อื้อ!! สุดๆ” รัญชน์ไม่ได้สนใจคำถามแรกเสียด้วยซ้ำ สเต็กเนื้อนุ่มหอมกลิ่นถ่านถูกหั่นส่งเข้าปากชิ้นแล้วชิ้นเล่าแทบไม่ได้หยุดพัก
“พี่รามเจ๋งที่สุดเลย... อือ อร่อยเป็นบ้า เหมือนที่นู่นเลย” เด็กหนุ่มว่าต่อพลางยกแก้วโค้กขึ้นดื่ม
“อยากเห็นหน้าเชฟที่นี่จัง”
“นั่นไง” ชายหนุ่มชี้ไปทางร่างสูงที่อยู่ในชุดเชฟ ผมสีทองงถูกรวบตึงเป็นหางม้าเล็กๆ เขาพาตัวเองออกมาทักทายแขกที่นั่งอยู่ตามโต๊ะพร้อมๆกับชายหนุ่มผมดำที่ตัวเล็กกว่า
“คนผมทองเป็นเชฟเจ้าของที่นี่ ส่วนตัวเล็กๆอีกคนเป็นนักเปียโนประจำร้าน แต่ไม่รู้ทำไมว่าชื่อร้านถึงใช้ชื่อของนักเปียโนน่ะนะ”
รัญชน์มองตามด้วยความสนใจ คนสองคนที่เดินข้างกันมีบรรยากาศที่ดูอบอุ่นจนเขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา เด็กหนุ่มรอจนคนทั้งคู่เดินมาใกล้ๆ จึงเอ่ยชมอย่างเริงร่า
“เชฟ— สเต็กอร่อยมากเลยครับ!”
“ขอบคุณมากครับ” เชฟหนุ่มโค้งศีรษะให้แล้วหันไปยิ้มกับคนข้างกาย
“ขอให้เป็นอีกมื้อหนึ่งในความทรงจำของคุณทั้งสองคนนะครับ คนนี้เป็นนักเปียโนประจำที่นี่ชื่อญาณัชครับ เขาจะเริ่มแสดงตอนทุ่มครึ่ง ถ้าไม่มีธุระอะไรผมขอเชิญทั้งสองท่านอยู่ฟังนะครับ”
มือใหญ่โอบเบาๆบนไหล่คนรักอย่างนุ่มนวล
“... อยู่ครับอยู่... คุณญาณัช... ผมยาวสีดำสวยจังเลยนะ... พี่รามว่ารันทำมั่งดีมะ? สีดำ” ใบหน้าหวานยิ้มแย้มกับทั้งสองคนแล้วหันมาถามความเห็นพี่ชายตัวเอง
“ไม่อะ อย่าเลยรันหน้าไม่ให้ อย่างนี้น่ารักอยู่แล้ว” คนถูกถามส่ายหน้าพลางแกล้งจับปอยผมสีอ่อนของเจ้าตัว
“ถ้างั้นพวกผมไม่รบกวนแล้วครับ ต้องการอะไรเพิ่มเชิญเรียกได้นะครับ” เจ้าของร้านพูดแล้วโค้งอีกรอบ
“เดี๋ยวครับ! ทำไมร้านถึงชื่อ บ้านน้องนัท ล่ะครับ?” รัญชน์ร้องถามก่อนที่เจ้าของร้านจะได้เดินหายไป เขามองญาณัชที่หันไปมองหน้าของร่างสูงคล้ายกับจะหาคำตอบ บนใบหน้าของเขาคล้ายกับจะมีรอยขัดเขินอยู่
“ก็เพราะ....ที่นี่เป็นบ้านของผมกับน้องนัทไงครับ” คนตอบไม่ได้ให้ความกระจ่างอะไร หากแต่ดวงตาสีแปลกที่มองคนที่ยืนข้างๆกลับทำให้คนที่กระดกแก้วเบียร์เข้าปากรู้ได้ดี
หากไม่รัก....ดวงตาเข้มคงไม่สามารถอ่อนโยนได้ขนาดนี้
ราเมนทร์ส่งยิ้มให้แล้วแสร้งสนใจกับอาหาร ด้วยกลัวว่าหากมองมากเกินไปคงไม่มีนักเปียโนขี้อายเล่นดนตรีให้ฟังในคืนนี้แน่
To be continued...