พิมพ์หน้านี้ - Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ[UPDATE] มีข่าวประกาศเรื่องรวมเล่มหนังสือค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: kagehana ที่ 20-12-2012 11:01:23

หัวข้อ: Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ[UPDATE] มีข่าวประกาศเรื่องรวมเล่มหนังสือค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: kagehana ที่ 20-12-2012 11:01:23
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
 
หัวข้อ: Re: ・・・ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน1 ฝนแรก (20/12/12)
เริ่มหัวข้อโดย: kagehana ที่ 20-12-2012 11:14:53
kagehana : ฝากไว้อีกเรื่องด้วยนะคะ อันนี้เป็นรีรันใหม่หลังจากที่แจ้งลบอันเก่าไป เพราะมีแก้ไขบ้างค่ะ

 ตอนเขียนเรื่องนี้ได้เจอคุณหมอบุคลิกเหมือนหมอบีมในเรื่องด้วย หน้าตามุ้งมิ้งน่ารักก๊าวใจ แถมเรียกเราว่าหนูแล้วพูดค่ะด้วย(แต่ได้ข่าวว่าหนูของคุณหมอนี่26แล้วอ่ะนะคะ)  หมอแถวบ้านน่ารักๆทั้งนั้น เห็นแล้วอยากไปเฝ้าที่โรงพยาบาล(เอ๊ะ?) :-[


ขอให้สนุกไปกันการอ่านนะคะ :pig4:







・1・







ท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายอยู่ไม่ขาดสาย รถญี่ปุ่นรุ่นเกือบใหม่ได้เลี้ยวออกมาจากลานจอดรถ ชายหนุ่มในรถกดที่ปัดน้ำฝนให้ปัดพลางหักเลี้ยวสู่ถนนใหญ่ เขาหมุนพวงมาลัยจนเอา ‘น้องบูบู้’ รถยนต์คู่ใจเข้ามาติดบนถนนสายหลักกลางใจเมืองได้


“รู้แล้วน่า พี่กำลังกลับอยู่นี่ไง รถมันติด” กดสมอลทอล์คของโทรศัพท์ที่ดังระงมอยู่ได้ก็รีบกรอกเสียงลงไป ค่าที่ว่าหากช้ากว่านี้วินาทีเดียวอาจไม่มีโอกาสได้พูดเลยก็เป็นได้


-ก็รู้นี่ ติดคนไข้สาวๆอีกใช่ไหมเนี่ย? ปะป๊ารอทานข้าวอยู่นะ อีกห้านาทีจะถึงไหมพี่บีม??- เสียงใสหวานบาดแก้วหูดังไปทั่วคันรถ และดูท่าว่าจะไม่ยอมเปิดโอกาสให้เจ้าของรถได้ทันแย้งอะไร เจ้าหล่อนก็เสริมต่อถึงความไม่รู้จักปฏิเสธใครของ 'พี่บีม'


“ห้านาทีบ้าอะไรล่ะแบม น้องบูบู้เพิ่งได้ขึ้นถนนเนี่ย บอกป๊ากินไปก่อนเลย อ๊ะ! อย่ากินหมดนะเหลือให้พี่ด้วย หิวไส้จะแตกแล้ว” ชายหนุ่มบ่นงึมงำ มือใหญ่เอื้อมไปเปิดเสียงวิทยุให้ดังกลบเสียงน้องสาวที่แว้ดจนต้องเบ้หน้าหนี


“เออ รีบอยู่ๆ ฝนตกรถติดวันนี้ออกเวรหกโมงกำลังได้ที่เลย ติดชิบ”


-บ่นไปเถอะ กลับมาช้าไม่มีข้าวกินไม่รู้ด้วย- หล่อนยื่นคำขาดก่อนที่จะมีเพียงเสียงสัญญาณตัดสายดังอยู่แทนที่เสียงแปดหลอดของเธอ


“โห...น้องหรือแม่วะเนี่ย” ไฟเลี้ยวถูกเปิดก่อนน้องบูบู้จะเลี้ยวเข้าสู่ทางลัด


ธนกฤต วิโรจนไพศาล หมอหนุ่มประจำแผนกโลหิตวิทยาฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี มือหนาที่เด็กต่างแย่งกันจับเสยผมสั้นยุ่งเหยิงไปด้านหลัง กระจกสะท้อนใบหน้าชายหนุ่มผิวขาวสะอาดที่มีแนวคิ้วเฉียงดกพาดขึ้นสูงรับกับดวงตาอ่อนโยน จมูกโด่งได้รูปจรดกับริมฝีปากหยักลึกเจือรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลา ปลายนิ้วเรียวเคาะพวงมาลัยเบาๆเข้ากับจังหวะเพลงในขณะที่กำลังขับรถเลียบสวนสาธารณะ


ท่ามกลางสายฝนขาวโพลน นัยน์ตาเข้มมองเห็นเด็กคนหนึ่งยืนเงยหน้าอยู่กลางสวนสาธารณะ ปอยผมยาวสองข้างแนบลู่ไปกับเสื้อ ใบหน้าขาวที่มองเห็นไกลๆดูดีไม่น้อย แต่การที่ออกมาตากฝนในที่แบบนี้... จะให้ชมก็ยังไงอยู่


“บ้าป่าววะเนี่ย....”


ธนกฤตชะลอรถลงแล้วเฝ้ามอง ใบหน้าที่เจือหยดน้ำหันมาทางเขา...และเขาก็ได้รู้ว่าคนที่อยู่ตรงนั้นไม่มีทางที่จะมีอาการทางประสาทได้แน่นอน


ชายหนุ่มลดกระจกลงช้าๆในขณะที่ดวงตาสบกับเด็กคนนั้น ผิวขาวบอบบางดูอ่อนแอแต่เจือสีเลือดฝาด ริมฝีปากบางแย้มให้นิดๆ เด็กคนนั้นยกนิ้วปาดปลายผมยาวที่เปียกปอนทัดข้างหูแล้วก้มหน้าลงจนหยดน้ำฝนร่วงจากปลายจมูก


‘ปรี๊นนนนนนนนนนนน’


เสียงแตรจากคันข้างหลังปลุกธนกฤตขึ้นจากภวังค์ เขารีบเคลื่อนรถออกไปแต่ไม่วายเหลียวหลังกลับไปดูรอยยิ้มหวานของคนที่ยืนอยู่


“น่ารักชิบ....” พึมพำกับตัวเองแล้วรีบเร่งเครื่องกลับไปยังจุดหมายเดิม

 




/////////////////////////////////////////////////


 

หมอหนุ่มจอดรถในโรงรถของบ้านหลังใหญ่ที่มีต้นไม้ร่มรื่นก่อนจะเดินเข้าประตูบ้าน


“หวัดดีไอ้ตัวยุ่ง” มือใหญ่ตะปบลงบนศีรษะกลมมนของคนที่มายืนกอดอกรอรับ


ไอ้ตัวยุ่งที่ถูกกล่าวหายกแขนขึ้นปัดมือข้างนั้นออก


“ใครเป็นไอ้ตัวยุ่งหา? รีบมาเลย ปะป๊าอยากรอกินพร้อมพี่ฉันถึงต้องหิ้วท้องรอไปด้วย!”


“ก็บอกแล้วให้กินก่อนๆ รถมันติดนี่หว่า” ได้แต่บ่นงึมงำเพราะนัยน์ตาวาวๆของผู้เป็นน้องสาวโตขึ้นจนแทบถลน ใครๆต่างก็บอกว่าน้องสาวของเขาน่ารัก... ลองมาเห็นมาดนี้มั่งเหอะ ชมไม่ออกแหงๆ


“ไปๆ กินข้าว”


“ปะป๊า— พี่บีมมาแล้วค่า—”


หญิงสาวหันไปเอ่ยเรียกบิดาด้วยเสียงหวานหูน่าฟัง ธิวรางค์ หรือ แบม นักข่าวคนสวยที่คอยดูแลผู้ชายสองคนในบ้านแทนมารดาที่เสียไปมักจะคอยตักเตือนธนกฤตพี่ชายด้วยความเป็นห่วงเสมอ


“ป๊า— บีมมาแล้วค่า——” ธนกฤตแกล้งทำเสียงหวานเลียนแบบน้องสาวเรียกเสียงหัวเราะของบิดา...และค้อนวงใหญ่ของน้องสาว


เขานั่งลงตรงข้ามผู้เป็นพ่อแล้วรินน้ำให้อย่างเอาใจพร้อมทั้งตักข้าวให้อีกด้วย


“ป๊า วันหลังไม่ต้องรอบีมก็ได้นะ สงสารไอ้แบมมันหิวจนตาถลนแล้วเนี่ย”


“นั่นๆ พอเลยเรา... ป๊าก็อยากกินข้าวกันพร้อมหน้า” คนสูงวัยเอ่ยปรามด้วยรอยยิ้มจางๆบนใบหน้า


“แล้วเป็นไงมั่งเรา... บีม”


“จะเป็นไงล่ะคะปะป๊า ก็เหมือนเดิม เห็นคนไข้สวยๆเป็นใจอ่อนหมด”


“ป๊าขา— แบมใส่ความน้องบีม” ชายหนุ่มแกล้งทำเสียงงุ้งงิ้งกอดแขนอวบๆของพ่อไว้


“ก็เหนื่อยๆน่ะครับป๊า คนไข้เยอะทั้งเก่าทั้งใหม่ ไอ้หมอหนุ่มหล่อล่ำใจดีอย่างบีมเลยต้องเหนื่อยเป็นธรรมดา” ว่าแล้วก็ตักข้าวคำโตเข้าปากเคี้ยวอย่างมีความสุข


“แต่ว่าที่คอนโดรกมากๆ อยากได้สาวน้อยคนสวยบ้านนี้ไปช่วยจัดให้จัง”


ชายหนุ่มพูดถึงคอนโดใกล้โรงพยาบาลที่เขาซื้อไว้อยู่ในวันธรรมดา ส่วนวันว่างนั้นเขามักกลับมาบ้านเสมอ และตามประสาชายโสดที่งานยุ่งในห้องเลยรกเป็นปกติ


“ให้แฟนไปทำให้ดิ ฉันไม่ทำ... อ๊ะ ลืมไป... ไม่มีแล้วเนอะ แฟน” หางประโยคธิวรางค์จงใจลากเสียงยียวนกวนประสาทพี่ชาย


“อ้าว แบม... ก็ไปทำให้พี่เขาหน่อยเป็นไรล่ะ”


“ปะป๊า— ทำไมต้องให้ท้ายพี่บีมด้วยคะ?” หญิงสาวทำเสียงยานก่อนจะหันไปค้อนให้พี่ชายอีกวงหนึ่ง


“ไอ้แบม! เออ อกหักก็ยังดีกว่าคนไม่เคยมีแฟนล่ะน้า—” ยักคิ้วให้อย่างล้อเลียน


ธนกฤตเอื้อมไปตักปลาดึงก้างออกให้แล้ววางบนจานน้องสาว ถึงจะทะเลาะอะไรยังไงแต่เขาก็รักไอ้ตัวยุ่งหน้ามุ่ยนี้เป็นที่สุด


เมื่อก่อนตอนที่ยังเล็ก เด็กหญิงธิวรางค์ เป็นไอ้ตัววุ่นที่ป่วยบ่อยที่สุดในโลกในสายตาของคนเป็นพี่... แต่ก็เพราะอย่างนั้น ภาพน้องสาวที่ได้แต่นอนซมบนที่นอนจึงเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้เขาอยากเป็นหมอจนประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้ได้


“เพราะฉันเลือกต่างหาก ผู้ชายที่จะมาเป็นแฟนฉันได้ต้องเก่งย่ะ ฉันไม่ให้ใครมาหลอกง่ายๆเหมือนพี่หรอก” คนพูดไม่พูดเปล่า ซ้ำยังแลบลิ้นใส่ราวกับยังเป็นเด็กเล็กๆอยู่เสียด้วยซ้ำ


ผู้เป็นพ่อได้แต่ส่ายศีรษะไปมา


“โตกันจนท่วมหัวป๊าแล้วยังตีกันเป็นเด็กๆอยู่เลยนะ”


“แบม ป๊าว่าแบมน่ะ” ชายหนุ่มบุ้ยหน้าไม่ยอมรับ


ชายหนุ่มตักกับข้าวใส่จานคนที่เขารักทั้งสองทางนู้นทีทางนี้ทีสลับกับแกล้งหยอกน้องสาวไปมาจนจบมื้ออาหาร

 


//////////////////////////////////////////
 



ในยามเย็นที่โรงพยาบาลนั้นคลาคล่ำไปด้วยคนไข้มากมาย ประตูอัตโนมัติแผนกโรคเลือดเปิดเลื่อนออกพร้อมกับนายแพทย์หนุ่มเพียงคนเดียวประจำแผนกนี้ พยาบาลสาวที่กำลังง่วนกับเอกสารอยู่เงยหน้าขึ้นมาเห็นชายหนุ่มกำลังเดินผ่านก็ร้องเรียกเอาไว้


“คุณหมอธนกฤตคะ... คุณ... รัญชน์.... ที.... เคนซิงตัน คนไข้ที่นัดไว้ตอนทุ่มนึงมาแล้วค่ะ” หญิงสาวเอ่ยบอกขณะที่ไล่สายตาไปบนแฟ้มประวัติคนไข้ก่อนจะยื่นให้กับเขา


“โอ๊ะ ขอบคุณนะครับ คุณกุ้งคนสวย” หมอหนุ่มหยอดอย่างอารมณ์ดี


ชายหนุ่มไล่สายตาคราวๆ... รัญชน์... ชื่อสวยขนาดนี้ตัวจริงน่ารักแหง...


ธนกฤตยิ้มกับตัวเองพลางหมุนตัวเดินไปยังห้องนัดที่อยู่ติดกัน เขากระแอมเบาๆก่อนจะเข้าไปข้างใน


“คุณรัญชน์ ที เคนซิงตัน ที่นัดไว้นะครับ ผมหมอธนกฤต หมอเจ้าของไข้....” เสียงทุ้มต่ำเงียบไปครู่หนึ่งเพราะมัวแต่มองคนที่อยู่ตรงหน้า


ร่างเล็กที่นั่งอยู่บนโซฟารับรองค่อยๆลุกขึ้นช้าๆ นัยน์ตากลมโตสีน้ำตาลอมเทาทอประกายสดใสรับกับรอยยิ้มหวานที่ระบายอยู่บนใบหน้าน่ารัก มือสองข้างยกขึ้นประสานกันก่อนจะค้อมหัวลงเล็กน้อยเป็นการไหว้ที่ดูจะขัดกับเจ้าตัวเสียหน่อย เรือนผมสีน้ำตาลอ่อนที่ซอยไล่กับลำคอกลับมีปอยผมสองปอยซ้ายขวาปล่อยยาวลงจนเกือบถึงเอว


“สวัสดีครับ”


“เอ่อ...... คุณรัญชน์.... เหรอครับ” ใบหน้าท่ามกลางสายฝนกลับเข้ามาในความทรงจำ ธนกฤตกระพริบตาถี่ราวกับไม่อยากเชื่อ


เขาหยิบประวัติคนไข้ขึ้นดูสลับกับมองรอยยิ้มและดวงตายิ้มได้


“ชื่อเพราะดีนะครับ ตอนแรกหมอนึกว่าเป็นผู้หญิงซะอีก”


“ขอบคุณครับ...” น้ำเสียงของรัญชน์ยังฟังดูนิ่มนวล ริมฝีปากสีชมพูอ่อนแย้มรอยยิ้มกว้างกว่าเดิมแสดงความเป็นมิตรก่อนที่จะค่อยๆเดินเข้ามาหา ใบหน้าหวานเงยขึ้นมองคนที่ตัวสูงกว่าก่อนจะเอ่ยเจือเสียงหัวเราะ


“คุณหมอธนกฤตไม่ใช่คนแรกที่เข้าใจผิดว่าผมเป็นผู้หญิงหรอกครับ ตั้งแต่กลับมาที่นี่ ไปสมัครอะไรที่ไหน ก็งงกันหมดนะ”


“อะ เอ่อ... งั้นเหรอครับ ฮ่าๆๆ” หัวเราะทั้งที่ไม่รู้ว่าจะหัวเราะอะไร พอรวบรวมความคิดได้เขาก็เดินนำไปที่โต๊ะตรวจอาการและผายมือให้คนตัวเล็กนั่ง


ธนกฤตหยิบชาร์ตประวัติขึ้นมาเปิดดูพลางไล่สายตาอ่านรายละเอียดทั้งหมดอีกครั้ง... ก็เห็นอยู่ทนโท่ว่าเป็นนาย ยังโดนชื่อกับใบหน้าหวานๆหลอกซะได้


“คุณรัญชน์ เป็นอะไรมาเหรอครับ” ถามทั้งรอยยิ้ม... ในวันแรกที่มาเจอกันนั้นถึงจะมีประวัติที่บ่งบอกอยู่แล้ว แต่การจะรักษาให้ได้ดีที่สุดก็ควรจะต้องมีความสนิทสนมกันในระดับหนึ่งด้วย


“ITPครับ...” เจ้าของชื่อเอ่ยตอบราวกับเป็นเพียงไข้หวัด ทว่าโรคITPที่รัญชน์เป็นนั้น หมายถึงภาวะเกร็ดเลือดต่ำ ที่ร่างกายจะสร้างแอนติบอดี้ต่อต้านเกร็ดเลือดของตัวเอง ทำให้เกิดการทำลายเกร็ดเลือดของตนเองที่ม้าม จำนวนเกร็ดเลือดในกระแสเลือดจะลดต่ำลง ทำให้เกิดปัญหาเลือดออกง่ายเนื่องจากเกร็ดเลือดต่ำ


แม้จะรักษาให้หายขาดได้ แต่ค่าที่เจ้าตัวเป็นคนสบายๆ จึงทำให้ละเลยการกินยาหลายหน ถึงได้ไม่หายขาดเสียที


“อาฮะ แล้วตอนนี้ร่างกายคุณรัญชน์เป็นยังไงบ้างครับ ยังกินยาอยู่ใช่มั้ยครับ” ประวัติการรักษาดูกระจัดกระจาย คนไข้ของเขารายนี้เปลี่ยนหมอเจ้าของไข้มาหลายคนในต่างประเทศ ซึ่งในแง่ทางการแพทย์แล้วถือว่าไม่ดีเท่าไร


โรคของรัญชน์ต้องใช้ระยะเวลาในการรักษา แต่ก็ไม่ใช่โรคที่รักษาให้หายขาดไม่ได้หากกินยาและพบหมออย่างเคร่งครัด


“เอายามาหรือเปล่า ขอหมอดูหน่อยนะ” ธนกฤตยิ้มให้อย่างอารมณ์ดี


คนไข้ผู้น่ารักยิ้มตอบ


“ยาหมดได้พักนึงแล้วครับ... ตอนนี้เท่าที่เห็น... ร่างกายผมก็โอเคนะครับ ไม่ได้มีรอยช้ำ.... อะไรนะ...” ท้ายประโยคคล้ายกับคนพูดเองก็ไม่มั่นใจเท่าไหร่นัก แต่เด็กหนุ่มร่างเล็กก็ยังดูไม่ยินดียินร้ายเท่าไหร่


“โทษนะครับ ถ้าอย่างนั้นช่วยถอดเสื้อ... ไม่สิ แค่เปิดก็ได้ ขอหมอดูอาการหน่อยนะ” การที่เขาชินกับการอยู่กับเด็กๆทำให้น้ำเสียงและการกระทำคล้ายกับเวลาพูดกับเด็ก... หรือส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะคนตรงหน้าดูตัวเล็กกว่าอายุจริงมากก็ได้


“ขอโทษนะครับ... พอดีว่าหมู่นี้ไปช่วยหมอเด็กเขาบ่อย เลยติดวิธีการพูดแบบนี้มา” หมอหนุ่มยิ้มให้ทั้งปากและนัยน์ตา จนดวงตาเรียวหยีปิด


คนตรงหน้ากระพริบตาสองสามทีด้วยความแปลกใจก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ มือสองข้างค่อยๆแกะกระดุมเสื้อเชิ้ตตัวบางออกแล้วถอดออกมาถือไว้ จากนั้น ขยับหันหลังให้กับผู้เป็นหมอดู


“ไม่มี... ใช่ไหมครับ?”


ผิวขาวเนียนละเอียดดูราวกับเรืองแสง นัยน์ตาสีเข้มจับจ้องไล่ตามแผ่นหลังหารอยที่น่าจะมี รอยช้ำแกมเขียววางพาดบนผิวหนังส่วนเหนือสะโพกที่โผล่พ้นขอบกางเกง ธนกฤตก้มดูใกล้ๆแล้วยืดตัวขึ้น


“ยังเป็นรอยอยู่ครับ ตรงเหนือสะโพก”


“หือ? ยังมีอยู่อีกเหรอครับ?” เจ้าของร่างบอบบางเอี้ยวตัวหันมา พยายามบิดดูรอยที่ว่า แต่กลับมองไม่เห็น


คนเป็นหมอมองท่าทางเก้กังที่พยายามหันมามองก็อดจะหัวเราะออกมาไม่ได้ เขาพูดต่อด้วยรอยยิ้มที่พยายามกลั้น


“มองไม่เห็นหรอกครับมันอยู่เหนือสะโพกแน่ะ” มือใหญ่จับที่ปลายนิ้วอีกฝ่ายแล้วจิ้มบริเวณที่ขึ้นรอยเบาๆ


“เนี่ยครับ แถวนี้”


“.... อะไรกัน... ผมอุตส่าห์คิดว่าหายแล้วชัวร์นะ...” เด็กหนุ่มหน้าหวานร้องท้วงอย่างเสียดาย


“คิดว่าหายชัวร์... เลยไม่กินยาใช่มั้ยครับ” ธนกฤตปล่อยมือนุ่มๆแล้วยิ้มกว้าง


“อย่างที่ผมบอกไป โรคของคุณต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องและสามารถหายได้”


หมอหนุ่มเดินไปยังโต๊ะแล้วเขียนอาการ ลักษณะรอยช้ำและยาที่ต้องกินต่อเนื่องในแฟ้มประวัติคนไข้ ครู่หนึ่งเขาก็เงยหน้าขึ้นมองรัญชน์ที่ยืนหน้ามุ่ย


“มาหายจากโรคนี้กันนะครับ หมอจะดูแลเอง”


รอยยิ้มกว้างมอบให้อย่างจริงใจและเอื้อเอ็นดู เขาไม่รู้ว่าเพราะอะไร.... แต่รู้สึกเหมือนเขาจะถูกชะตากับคนไข้ที่ได้พบตั้งแต่วันฝนตก... วันนั้น






To be continued...

หัวข้อ: Re: ・・・ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน1 ฝนแรก (20/12/12)
เริ่มหัวข้อโดย: wan_sugi ที่ 20-12-2012 11:28:53
อ่านแล้วสำนวนไหลลื่นกว่าเดิม จากความรู้สึกนะคะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: ・・・ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน1 ฝนแรก (20/12/12)
เริ่มหัวข้อโดย: Mookkun ที่ 20-12-2012 13:38:27
ติดตามเหมือนเดิมครับผม :')
หัวข้อ: Re: ・・・ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน1 ฝนแรก (20/12/12)
เริ่มหัวข้อโดย: Non_stop ที่ 20-12-2012 15:02:29
 :mc4: :mc4:

ชอบๆๆๆมาต่อเรื่อยๆๆน่ะค่ะ

 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ・・・ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน1 ฝนแรก (20/12/12)
เริ่มหัวข้อโดย: Eternal luv ที่ 20-12-2012 15:32:02
“มาหายจากโรคนี้กันนะครับ หมอจะดูแลเอง”

แอบชอบข้อความนี้ของคุณหมออะ  o13
หัวข้อ: ・・・ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน2 พี่ชาย...แสนดี (24/12/12)
เริ่มหัวข้อโดย: kagehana ที่ 24-12-2012 20:01:08

kagehana : เป็นเรื่องความรักของน้องชายขี้อ้อนกับพี่ชายสุดเท่ค่ะ  /โดนหมอบีมเตะ  :z6:






-2-





ประตูห้องของคอนโดหรูหราถูกเปิดออกพร้อมกับร่างเล็กที่แทรกตัวเข้ามา เนื้อตัวเปียกชุ่มจากสายฝนที่เทกระหน่ำอยู่ด้านนอก เสื้อเชิ้ตที่สวมทับแนบติดไปกับร่างกายบอบบางจนแทบจะกลายเป็นสีเดียวกัน มือโยนกระเป๋าเป้ไปบนพื้นแถวๆนั้นก่อนจะเดินเข้าไปหมายคว้าผ้าเช็ดตัวมาเช็ดศีรษะให้แห้งเสียก่อน


“เปียกขนาดนั้นไปอาบน้ำเลยรัน” ชายหนุ่มที่นั่งหันหลังให้บนโซฟาตัวนุ่มพูดโดยไม่ต้องหันมา เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่ชอบตากฝนมาแต่ไหนแต่ไร


“ไปหาหมอมาเป็นไงบ้างล่ะ” คนพูดวางหนังสือลงแล้วหันมาหา ใบหน้าหล่อเหลาดูโทรมนิดๆด้วยหนวดรกบนริมฝีปากหยักสวยที่ไม่ได้โกนเสียที หากแต่ดวงตาสีน้ำตาลอมเทาบนใบหน้าขรึมยังส่อแววอ่อนโยนไม่น้อย


“ก็บอกว่ายังไม่หาย... เนี่ย บอกว่ารันมีรอยช้ำตรงนี้... ก็เลยให้ยามาอีกกิโลนะ” รัญชน์เอ่ยติดตลกแต่ก็ไม่ได้เลี้ยวเข้าห้องน้ำไป ร่างเล็กเดินอ้อมโซฟามาหาคนตัวโต


“... พรุ่งนี้ทำงานไม่ใช่เหรอ? ทำไมหน้าตาเหมือนโจรเงี้ยล่ะ...” เด็กหนุ่มไม่พูดเปล่า เขาเอื้อมมือมากดปลายนิ้วบนหนวดแข็งๆ


“เฮ้ย ตัวเปียกๆยังมาจับอีก” บ่นออกไปแต่รอยยิ้มกลับกว้างขึ้น


“ก็รอให้พรุ่งนี้ก่อนค่อยโกนไง เคราที่เพิ่งโกนเนี่ยแหละสาวๆบอกเซ็กซี่ที่สุดแล้ว”


เขาลุกขึ้นยืนแล้วเอาผ้าเช็ดตัวที่ตกอยู่แถวนั้นมาครอบบนหัวซับน้ำให้


ราเมนทร์ ที เคนซิงตัน พี่ชายแท้ๆของเด็กหนุ่มร่างเล็กมีดีกรีเป็นถึงช่างภาพมืออาชีพที่เน้นถ่ายภาพธรรมชาติ แต่ถึงอย่างนั้นด้านการถ่ายรูปคนเองก็ดีถึงขนาดที่ถูกเรียกตัวกลับมาประเทศบ้านเกิดเพื่อเป็นช่างภาพในราคาที่เทียบเท่าตัวนางแบบ


“ไหนล่ะยา”


“อยู่ในกระเป๋า... เดี๋ยวกิน รันไปอาบน้ำนะ...” ผู้เป็นน้องชายส่งยิ้มหวานให้แล้วดึงเอาผ้าเช็ดตัวมาถือไว้เอง


“เมื่อวานรันอบคุกกี้ไว้ พี่รามกินรอก่อนนะ จะรีบอาบ...” รัญชน์บอกพลางเดินไปเปิดตู้เย็น หยิบเอาคุกกี้ออกมาวางไว้บนโต๊ะแล้วเลี้ยวหายเข้าห้องน้ำไป


ไม่นานนัก ประตูห้องน้ำก็เปิดออกอีกครั้งพร้อมกับร่างเล็กในชุดนอนสีครีม รัญชน์เป็นคนชอบใส่เสื้อตัวหลวมกับกางเกงขาสั้นมาตั้งแต่เด็ก และมีหลายครั้งที่เด็กหนุ่มชอบเอาเสื้อของพี่ชายที่เปื่อยจนไม่ควรใส่แล้วมาเปลี่ยนเป็นชุดนอนของตัวเอง


“... กินข้าวกันพี่ราม”


“ใส่ไอ้ย้วยนี่อีกแล้ว” เขามองเสื้อเนื้อนิ่มที่เริ่มจะย้วยตรงปลายค่าที่ใช้งานมานาน


เขาตักข้าวใส่จานน้องชายก่อนแล้วเลื่อนส่งให้ จากนั้นก็ตักของตัวเองแล้วเริ่มกิน กับข้าวง่ายๆแต่ปรุงสุกร้อนๆให้รสชาติอร่อยไม่น้อย


“แล้วหมอเจ้าของไข้เป็นไงบ้าง ไปเจอโรคจิตแบบไอ้ลุงอ้วนพอล หรือเจอต๊องๆแบบไอ้สติเฟื่องเจมส์รึเปล่า ถ้าใช่ก็บอกพี่ เดี๋ยวย้ายไปที่อื่น”


“... ก็ดูเป็นคนดีนะ... นะ... ก็ตรวจเท่าที่จำเป็น ไม่ได้ทำประสาทๆแบบไอ้หมอพอลหรอก” รัญชน์เอ่ยตอบก่อนจะตักไข่เจียวเข้าปากพลางนึกไล่ไปถึงตอนอยู่ในห้องตรวจ พอธนกฤตบอกว่าจะขอดูว่ายังมีรอยช้ำอยู่ไหม เขาเองก็นึกหวั่นเล็กน้อยว่าจะมาแบบหมอตัวอวบอ้วนที่ชอบลวนลามหรือเปล่า แต่หมอธนกฤตคนนี้กลับไม่ทำให้รู้สึกแย่เลยแม้แต่น้อย


“ก็ดีแล้ว ไม่รู้ทำไมเรานี่อย่างกับตัวดูดพวกโรคจิตเลย” ราเมนทร์ส่ายหัว หลายต่อหลายครั้งการรักษาต้องหยุดลงด้วยสาเหตุแปลกๆของพวกไร้จรรยาบรรณ ทั้งลวนลามทั้งโรคจิตใส่ และก็เป็นเขาเองที่ต้องออกโรงโวยวายปกป้องน้องชายที่เป็นครอบครัวคนเดียวที่เหลืออยู่ในโลก


“ช่วยไม่ได้นี่... รันตัวเล็กมั้งนะ...” เหยื่อโรคจิตยังคงยิ้มร่าอย่างไม่เดือดร้อน อย่างน้อยครั้งนี้ก็หวังว่าจะราบรื่นดีไม่มีอุปสรรคอื่น


“ไม่ได้ตัวโตเป็นหมีอย่างพี่รามนี่”


“เดี่ยวเหอะ อย่างพี่เค้าเรียกหล่อเหลากล้ามโตกำลังดี ไปไหนมีแต่สาวกรี๊ด” คนเป็นพี่ชายลูบหนวดสากเบาๆเชิงคุยข่ม ที่เขาพูดก็ไม่ผิดไปจากความจริงเท่าไร ดูได้จากที่ตั้งแต่กลับไทยมานางแบบและพีอาร์สาวที่ทำงานร่วมกันต่างก็อยากสานสัมพันธ์นอกรอบบนเตียงด้วยทั้งนั้น


“ตัวเล็กอย่างเราเนี่ยสิ ถึงไม่มีแฟนสักที เออ... พรุ่งนี้พี่ไปถ่ายแบบภาพศิลป์ให้น้องเอ็มมี่... ไปด้วยกันป่ะ”


น้องเอ็มมี่... นักร้องสาวหุ่นสะบึมที่โด่งดังเพราะเรือนร่างเซ็กซี่แต่หน้าตาใสปิ๊ง ค่าตัวจากการถ่ายภาพสิลปะโชว์เรือนร่างครั้งแรกจึงสูงลิบแบบที่มนุษย์เงินเดือนทั่วไปได้แต่อิจฉา


และน้องเอ็มมี่คนนี้... ก็เป็นหนึ่งในความสัมพันธ์ชั่วข้ามคืนที่เขาคุ้นเคยดี


“อือ ไปสิไป... จะได้ดูว่ากองถ่ายที่นี่เป็นยังไง” เด็กหนุ่มตอบรับอย่างกระตือรือร้นก่อนจะรวบช้อนเข้าหากัน


“พี่รามล้างนะ รันทำคุกกี้ให้กินแล้ว”


“คร้าบๆคุณน้องบังเกิดเกล้า” มือใหญ่เอื้อมลูบหัวจนอีกฝ่ายทำหน้ามุ่ย ก่อนจะชิ่งหนีหยิบจานไปล้างในครัว


 




/////////////////////////////////




 

“อย่าดิ้นสิ เป็นเด็กดีว่าง่ายๆหน่อย” ร่างสูงจับไหล่บอบบางกระแทกกับกำแพงข้างโต๊ะตรวจแล้วกดจนแผ่นหลังบอบบางสั่นระริก


เขาเตะหลอดฉีดยาที่ตกแตกบนพื้นไปอีกทาง ห้องตรวจที่เคยสะอาดเรียบร้อยกลับรกด้วยเศษแก้วและกระดาษที่เกิดจากการต่อสู้


จมูกโด่งกดไซร้ซอกคอขาวเนียนก่อนที่ริมฝีปากจะระดมจูบบดเบียดกับกลีบปากบางที่บวมช้ำ


“คุณรัญชน์... หมอรักคุณรัญชน์..”


“ย... อย่า... ครับ... คุณหมอ.....” นัยน์ตากลมโตคลอไปด้วยน้ำใสๆ มือสองข้างที่ไร้เรี่ยวแรงยังคงพยายามยกขึ้นดันแผ่นอกของร่างสูงออก ใบหน้าหวานพยายามขยับหนีสัมผัสจากริมฝีปากดุดันจนเรือนผมยาวสวยยุ่งเหยิงไปเสียหมด


...กระนั้น น้ำเสียงสั่นไหวก็ยังคงอ้อนวอน


“คุณรัญชน์ไม่รักหมอเหรอครับ.....” ร่างสูงเบียดเข้าแนบชิดจนรู้สึกถึงอุณหภูมิที่ส่งผ่าน ผ่ามือหยาบกร้านสอดลงไปเคล้นคลึงส่วนอ่อนไหวที่อยู่ใต้กางเกงเนื้อนิ่ม


“....เด็กดี...เป็นถึงขนาดนี้แล้วนะ....”


“อึก! ฮะ.. ม... อือ—” รัญชน์ยึดเอาไหล่เสื้อกาวน์ไว้แน่นพลางหลับตาลง ปล่อยให้เสียงครางลอดผ่านริมฝีปากแดงช้ำออกมา ไม่อาจต้านทานคนที่กำลังรุกไล่ได้แม้แต่น้อย


ปลายนิ้วสากค่อยไล้ช้าๆกระตุ้นให้สิ่งที่อยู่ในมือแข็งขึ้น หยาดน้ำที่หลังออกมาถูกใช้เป็นสารหล่อลื่นให้มือขยับได้สะดวกขึ้น


“รู้สึกดีไหม...เด็กดีของหมอ...”


“ผ.. ผม....” ร่างบางรู้สึกคล้ายกับถูกคนตรงหน้าดึงเอาพลังไปสิ้น เรียวขาสองข้างสั่นไหวทว่าร่างกายด้านบนกลับแข็งเกร็งไปตามแรงอารมณ์ที่ถูกดึงให้สูงขึ้น


“อ๊า...”


หมอหนุ่มรู้สึกถึงหยาดอุ่นร้อนที่ไหลถะถั่งบนฝ่ามือ ร่างเล็กซวบซบลงบนแผ่นอกหนาพลางหอบหายใจผะแผ่ว เขาดึงมือที่เปียกชุ่มด้วยหยาดอุ่นร้อนออกมาก่อนจะไล้ปลายลิ้นเลียของเหลวสีขาวที่ติดปลายนิ้ว





'Trrrrrrrrrrrrrrrr Trrrrrrrrrrrrrrrrr'





“ว้ากกกกกกกกกกก!!!!!”


เสียงโทรศัพท์ปลุกคนที่นอนอยู่บนเตียงหลังกว้างขึ้นจากความฝัน ธนกฤตคว้าแว่นสายตาที่ใส่แต่เฉพาะเวลาอยู่บ้านขึ้นมาสวม เขาหายใจหอบและพยายามสลัดภาพในความฝันเมื่อครู่ออกไป


“บ้าเอ๊ย! ฝันบ้าอะไรวะเนี่ย”


 โทรศัพท์ที่ดังต่อเนื่องไม่มีทีท่าจะหยุดถูกหยิบมากดรับแล้วกรอกเสียงลงไปโดยที่ไม่ต้องดูชื่อ— เพราะรู้อยู่แล้วว่าคนที่โทรมาเวลานี้มีเพียงคนเดียว


“ตื่นแล้วๆ”


-ไม่รับพรุ่งนี้เลยล่ะคะ?- เสียงสูงปรี๊ดลอดผ่านโทรศัพท์ออกมาจนคิดว่าหากมีคนนั่งอยู่ข้างๆก็คงได้ยินโดยไม่ต้องเปิดระบบสปีกเกอร์เสียด้วยซ้ำ


“ไอ้แบมอย่าเสียงดังเว้ย ตื่นเช้ามันปวดหัว” พูดตอบไปด้วยเสียงดังไม่แพ้กัน เมื่อคืนนี้เขาเข้านอนดึก... แถมยังฝันอะไรก็ไม่รู้อีก


ธนกฤตนวดหัวตัวเองเบาๆ ก่อนจะเลื่อนมาลูบปลายคางสากๆของตัวเอง


“อยู่ไหนแล้วเนี่ย วันนี้มีทำงานเหรอ”


-อืม ไปทำข่าวตากล้องที่เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ แล้วเค้าจะไปดริ๊งค์กันต่อ จะบอกว่าฝากดูปะป๊าด้วย ได้ป่าว หรือคืนนี้ต้องเข้าเวร?- ธิวรางค์ร่ายต่อด้วยน้ำเสียงที่ไม่ต่างจากเดิมเท่าไหร่นัก โดยทำเป็นหูทวนลมกับคำว่า ‘ตื่นเช้ามันปวดหัว’ ของพี่ชายไปเสีย


“ก็เข้าเวรเช้าเลิกเย็นๆว่าจะรับป๊าไปเดทดินเนอร์กันขำๆตามประสาคนรักกัน” พูดจบก็ได้ยินเสียงขู่ฟ่อของน้องสาวจนหัวเราะออกมา


“แหมเดี๋ยวนี้หัดทำตัวเป็นสาวซ่ามีด่งมีดื่ม อย่าไปเมาปลิ้นล่ะดูแลตัวเองด้วย”


-คราวหน้ามาแข่งกันเลยดีกว่าพี่บีม ไม่ต้องห่วงนะ ฉันดูแลตัวเองได้อยู่แล้ว งั้นนอนต่อไป ไม่กวนแล้ว- พูดธุระตัวเองเสร็จเจ้าหล่อนก็วางสายไปปล่อยทิ้งพี่ชายแสนดีไว้โดยไม่รอฟังคำลา


“นิสัยเหมือนใครวะเนี่ย โทรมาพูดๆๆพอใจแล้ววาง” ธนกฤตบ่นแบบขำๆเนื่องจากชินเสียแล้ว เขาบิดกายซ้ายขวาขับไล่ความเมื่อยขบก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงคว้าผ้าเช็ดตัว นัยน์ตาคมเหลือบไปมองเห็นเสื้อกาวน์ที่แขวนอยู่ก็นึกถึงความฝันเมื่อครู่ที่ดูสมจริงจนตกใจไม่ได้


“เก็บกดเหรอวะเรา....” ยิ่งไปกว่านั้น กับอีกฝ่ายที่เป็นผู้ชายด้วยแล้วยิ่งไปกันใหญ่


“ถึงจะเหมือนผู้หญิง... แต่นั่นเด็กผู้ชายชัดๆ”


 ธนกฤตตบหัวตัวเองเบาๆไล่ความคิดและความฝันออกจากสมองแล้วรีบเดินเข้าห้องน้ำไป




/////////////////////////



 

 

ท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายลงมาในยามค่ำคืน นัยน์ตาสีน้ำตาลอมเทาคู่สวยจับจ้องหยดน้ำที่เกาะอยู่กับหน้าต่างบานใหญ่ ค่อยๆไหลลง หยดแล้ว หยดเล่า ก่อนจะถอนหายใจออกมา


รัญชน์ชอบอุณหภูมิของฝนที่ทำให้ร่างกายเย็นขึ้นมา ชอบสระว่ายน้ำ และทะเล จนถูกแซวบ่อยๆจากพี่ชายตัวโตว่าเป็นปลาไปแล้ว แต่ทั้งๆที่เป็นคนชอบน้ำเย็น เวลานอนกลับชอบที่จะซุกกายใต้ผ้าห่มผืนหนาให้อุ่นเสียมากกว่า


ร่างบางบนเตียงหลังกว้างพลิกตัวไปมาสองสามครั้งพลางเหลือบไปมองนาฬิกา...


“ไปค้างกับยัยเอ็มมี่อะไรนั่นล่ะมั้ง...” เด็กหนุ่มบ่นพึมพำออกมาเบาๆ จากที่ไปดูราเมนทร์ทำงาน ทำให้ได้รับรู้ถึงความสัมพันธ์ของพี่ชายกับนักร้องสาวคนนั้น สายตาที่เจ้าหล่อนมองมาตอนทำงานเสร็จดูจะไม่พอใจเท่าไหร่ จนเขาเอ่ยปากว่าจะกลับบ้าน สายตาคู่นั้นถึงได้หายไป


“... ไม่เห็นสวยเลย...”


“กลับมาแล้ว” น้ำเสียงยานนิดๆบ่องบอกให้รู้ว่าคนที่เพิ่งมาถึงคงมีแอลกอฮอล์อยู่ในเลือดไม่น้อย


ราเมนทร์จับขอบประตูเพื่อยันกาย อันที่จริงสำหรับเขาที่รู้ลิมิตตัวเองมักจะไม่ดื่มให้สิ้นสภาพแบบนี้ แต่วันนี้นอกจากจะเจอกลุ่มนักข่าวดื่มดุท้าดวลแล้ว ยัยเอ็มมี่นมตู้มยังจะพยายามมอมเหล้าอีก


“ยัยเอ็มมี่ตัวแสบเอ๊ย เล่นซะไปไม่เป็นเลย” บ่นพึมพำเบาๆก่อนจะลากตัวเองมาที่ห้องนอนคนตัวเล็กแล้วโถมตัวกอดน้องชายเต็มแรง


“รัน....กลับ...อึก...มาแล้ว...”


“... พี่ราม??” เด็กหนุ่มหันมองคนที่นอนทับเขาด้วยความประหลาดใจน้อยครั้งที่จะเห็นราเมนทร์มีสภาพเช่นนี้หลังกลับจากดื่มกับเพื่อนฝูงที่ทำงาน รัญชน์ค่อยๆพลิกตัวแล้วยกมือขึ้นลูบใบหน้าของพี่ชายเบาๆ


“กลิ่นเหล้าหึ่งเลยนะ...” คนบ่นทำหน้ายุ่งก่อนจะซุกใบหน้าเข้ากับลาดไหล่กว้าง


“... กลิ่นน้ำหอมยัยนมโตนั่นด้วย... ไปอาบน้ำเลย...”


“รันอาบให้หน่อย...นะ...เด็กดี...” ท่อนแขนแข็งแรงโอบรอบร่างบางแต่นุ่มนิ่ม กลิ่นแชมพูกับสบู่บนตัวน้องชายเขาหอมกว่าน้ำหอมหวานเอียนฉุนกึกเป็นไหนๆ


“กินยา... หรือ... เปล่า..” ถึงจะเมาให้ตายยังไงเรื่องของรัญชน์ก็เป็นเรื่องที่เขาใส่ใจมาเป็นอันดับหนึ่ง


ฝ่ามือหยาบๆลูบบนหลังคนตัวเล็กเบาๆเหมือนจะปลอบประโลม


“... กินแล้ว...” รัญชน์ตอบพร้อมรอยยิ้มอ่อนหวานพลางค่อยๆดันร่างสูงใหญ่ให้ลุกขึ้นจากตัว เขาจับมือพี่ชายเอาไว้แล้วพูดต่อ


“มาสิ... เดี๋ยวอาบให้....”


“ขี้เกียจลุก” ราเมนทร์ล้มตัวฝังหน้าลงกับหมอนอุบอิบเบาๆ เขานอนอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่งก่อนจะหลับไปจริงๆ


“.... พี่ราม...” ผู้เป็นน้องชายทำเสียงต่ำพลางเอื้อมมือไปเขย่าราเมนทร์แรงๆ


“ตื่นเดี๋ยวนี้นะ! บอกให้อาบน้ำก่อนไง”


“อือ....” เสียงพร่าครางในลำคอ หัวคิ้วเข้มขมวดมุ่นอย่างขัดใจ


“อย่าเขย่าสิรัน ง่วงจะตายแล้ว ยัยเอ็มมี่นั่นใส่อะไรไม่รู้ในแก้วพี่ด้วย”


คราวนี้ร่างบางถึงกับลุกพรวดแล้วรีบเขย่าพี่ชายที่แสนดีอีกเต็มแรง


“ใส่อะไร?? หมายความว่าไง?? ยัยนั่นจะวางยาพี่เหรอ??? เลิกเลยนะเลิก!” รัญชน์ประท้วงอย่างไม่สนใจคำว่าง่วง


“อืม... ไม่ใช่ยาหรอก... แค่เหล้านอก” ราเมนทร์ปัดมือน้องชายที่เขย่าจนเขาจะอ้วกออกเบา ถ้านี่เป็นเพื่อนหรือรุ่นน้องที่ทำงานมีหวังโดนตบกระโหลกไปแล้ว


“แรงชิบ เหล้าอะไรไม่รู้”


ทั้งที่คิดจะลองเล่นด้วยหน่อยแท้ๆ เจอฤทธิ์แบบนี้ไปบอกลาดีกว่า ขืนคบกันไปจะเจออะไรอีกไม่รู้


“ผู้หญิงแบบนั้นอยู่กับรันของพี่ดีกว่า” พูดจบก็คว้าตัวเล็กนุ่มนิ่มที่เลี้ยงมาแต่เด็กเข้ามากอดแล้วหอมเบาๆที่ผิวแก้มเนียน


“รันน่ารัก... กว่าตั้งเยอะ”


“อื๊อ— โกนเคราไม่หมด จั๊กกะจี้นะ” เด็กหนุ่มขยับใบหน้าหนีก่อนจะซุกตัวเข้าอ้อมกอดอุ่นที่คุ้นเคยมานาน


“ถ้าจะอยู่กับรันก็ไปอาบน้ำเลย... นะ”


“อาบก็ได้” พูดอย่างนั้นแต่ชายหนุ่มตัวโตยังกอดน้องชายแน่นหลับตาพริ้มโชว์ขนตายาวที่ทำให้ดวงตาคู่นี้มีแต่สาวๆบอกว่าเจ้าเสน่ห์... และเจ้าชู้ที่สุด


“น้ำหอมโคตรเหม็นเลย....”


“มาๆ... รันอาบให้... ต้องล้างแอลกอฮอล์เลยไหมนะ” รัญชน์ดันตัวเองออกมาแล้วหย่อนปลายเท้าลงบนพื้นที่เย็นเยียบ มือคว้าเอาแขนของพี่ชายไว้แล้วออกแรงดึงให้ลากตามมาทางห้องน้ำ


“อือ อาบให้หน่อย” ราเมนทร์ที่เริ่มสร่างเมาแล้วแกล้งซบตัวเทน้ำหนักไปที่คนตัวเล็กกว่า


 น่าแปลก... ทั้งที่พ่อแม่เดียวกันแท้ๆแต่ความแตกต่างของขนาดร่างกายรวมไปถึงหน้าตาแทบจะเรียกได้ว่าไม่น่าเป็นพี่น้องกัน ซึ่งหลายต่อหลายครั้งน้องชายแท้ๆก็ดันถูกหึงจากสาวที่เข้ามาหาพี่ชายด้วย


แต่ยังไงก็ตาม คนที่เขารักที่สุดในโลกตอนนี้ก็ยังเป็นน้องชายอยู่ดี


 





To be continued...
หัวข้อ: Re: ・・・ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน2 พี่ชาย...แสนดี (24/12/12)
เริ่มหัวข้อโดย: Non_stop ที่ 24-12-2012 20:41:13
 :a5: :a5:

เอิ่มพี่น้องคู่นี้ยังไงๆอยู่น่ะ

แต่พี่หมอของเราฝันมิดีต่อนายเองซะแล่ว

รอๆๆตอนต่อไปเน้อ  :z2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ・・・ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน2 พี่ชาย...แสนดี (24/12/12)
เริ่มหัวข้อโดย: Mookkun ที่ 25-12-2012 03:22:40
ติดตามตลอดๆๆฮะะะะะ

:L2:
หัวข้อ: Re: ・・・ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน2 พี่ชาย...แสนดี (24/12/12)
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 25-12-2012 06:54:41
มีแฟนเป็นหมอนี้สบายทั้งชาตินะคะ ฮ่าๆๆ
หัวข้อ: ・・・ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน3 คนแปลกหน้าที่ห่วงใย (29/12/12)
เริ่มหัวข้อโดย: kagehana ที่ 29-12-2012 12:56:31


kagehana : ก็อยากมีหมอบีมบ้าง เป็นผู้ชายอ่อนโยน ไร้พิษภัย(เหรอออ) แต่จะไร้ได้ตลอดรอดฝั่งมั้ยน้า อิอิ


ขอให้สนุกกันการอ่านนะคะ







-3-







ประตูกระจกอัตโนมัติของโรงพยาบาลเลื่อนเปิดออกพร้อมกับรัญชน์ที่เดินสะพายเป้เข้ามา ก่อนที่จะได้ยินเสียงเด็กร้องกรี๊ดสลับกับเสียงหัวเราะดังมาจากมุมหนึ่ง เด็กหนุ่มยั้งมือที่จะกดลิฟท์แล้วเดินไปตามเสียงนั้น


ริมฝีปากสีชมพูอ่อนค่อยๆคลี่ยิ้มออกมาเมื่อเห็นภาพตรงหน้า หมอธนกฤตกำลังวิ่งเล่นกับเด็กๆในชุดผู้ป่วย บางคนมีผ้าพันรอบหัว บางคนยังใส่เฝือกอยู่ด้วยซ้ำ


“น้องปูเป้อย่าวิ่งเร็วสิคะ เดี๋ยวเฝือกแขนหลุดพี่หมอบีมโดนอาหมอภูมิดุเอานะ” ชายหนุ่มย่อตัวให้เท่ากับเด็กหญิงใส่เฝือกที่ยิ้มแป้นจนเห็นฟันหลอพลางทำเสียงเล็กเสียงน้อยคุยกัน


‘อาหมอภูมิ’ ที่พูดถึงคือหมอรุ่นพี่ใจดีที่ดูแลกุมารเวช ซึ่งเขาเองก็แวะมาหาและมาเล่นกับเด็กๆของแผนกนี้บ่อยๆ


นัยน์ตาสดใสมองเห็นคนที่เดินมาแวบหนึ่งก็จำได้ว่ามีนัดกันไว้ เขาชี้ชวนกลุ่มเด็กๆที่กำลังเล่นกันให้หันมองรัญชน์


“เด็กๆหวัดดีพี่รัญชน์สิคะ”


“ซาหวาดดีดีคร้าบ/ซาหวัดดีค่า พี่รันนน”


เสียงเล็กประสานกันเซ็งแซ่ถูกส่งมาพร้อมรอยยิ้มกว้างของคนดูแล


“สวัสดีครับเด็กๆ” ใบหน้าหวานระบายรอยยิ้มเต็มที่ไปจนถึงดวงตาคู่สวยพลางยกมือรับไหว้เด็กๆตัวเล็ก แล้วหันมาหาคนตัวโตที่ยืนอยู่ท่ามกลางเขา


“สวัสดีครับคุณหมอธนกฤต”


“หมอทะนะกิดคือใครเหรอค้า” เด็กหญิงปูเป้ดึงเสื้อกาวน์พลางเงยหน้ามองจนสองจุกเทไปด้านหลัง


“พี่หมอบีมเองค่ะ” ตอบแล้วก็หับไปหาเจ้าของใบหน้าสวยและรอยยิ้มหวาน


“คุณรัญชน์เรียกแบบน้องปูเป้ก็ได้นะครับ หมอชื่อบีมครับ”


“... พี่หมอบีมเหรอครับ? ยาวจังเลย... งั้นผมเรียกหมอบีมเฉยๆแทนนะครับ” เด็กหนุ่มหน้าหวานเอ่ยบอกพร้อมรอยยิ้มที่ยังไม่จางหายไป


“ครับ แล้วคุณรัญชน์มีชื่อเล่นไหม คือ...ผมไม่คุ้นกับการเรียกชื่อจริงกับคนที่ต้องเจอหน้าบ่อยๆน่ะครับ” ธนกฤตยิ้มจนหาหยี เขาลูบหัวเด็กๆทีละคนเบาๆก่อนจะเดินออกไปหารัญชน์


“ขึ้นไปพร้อมกันนะครับ”


“ก็รัน... น่ะแหละครับ” คนตอบยิ้มตามก่อนจะเดินกลับไปที่ลิฟท์อีกครั้ง ปลายนิ้วกดปุ่มขึ้นแล้วก็หันมาหาเจ้าของไข้ตัวเอง


“เหมือนRunที่แปลว่าวิ่งนั่นแหละครับ”


“ครับ คุณรัน” หมอหนุ่มยิ้มหวานตอบ


ลิฟท์ที่ลอยถึงชั้นบนจอดลง ธนกฤตกดลิฟท์ให้คนตัวเล็กออกก่อน


“แล้วคราวนี้ดีขึ้นไหมครับ รอยหายไปบ้างหรือเปล่า เอายามาให้หมอดูไหม” ระหว่างทางที่เดินก็ถามหลากหลายคำถามต่อ


“... ครับ... ก็ไม่เห็น—!” รัญชน์หยุดก้าวขาก่อนจะหลับตาลงช้าๆ เด็กหนุ่มรู้สึกเวียนศีรษะขึ้นมาจนคล้ายกับหน้ามืด ช่วงสองสามวันที่ผ่านมา เขาลงไปยืนตากฝนบ่อยครั้งจนอาจทำให้อุณหภูมิในร่างกายปรับเปลี่ยนไม่ทันเพราะอากาศร้อนในกรุงเทพมหานคร


ร่างบางยกนิ้วขึ้นกดระหว่างคิ้วเพื่อขับไล่อาการที่เกิดขึ้นก่อนจะก้าวขาต่อ ทว่าเขากลับรู้สึกคล้ายกับพื้นหมุนได้จนทรงตัวไม่อยู่


ทันทีที่เห็นว่าร่างเล็กกำลังจะทรุดลงไปต่อหน้าธนกฤตก็รีบคว้าเข้ามากอดไว้ ร่างเล็กบอบบางที่อยู่ในอ้อมกอดนุ่มนิ่มราวกับผิวผู้หญิง ใบหน้าซีดๆที่มองมาส่อแววตกใจเล็กน้อย


“คุณรันไหวไหม...เวียนหัวเหรอครับ”


ผิวเนื้อที่แนบกันส่งผ่านอุณหภูมิที่แสดงออกมาว่าอีกฝ่ายมีไข้พอสมควร


“แค่มึนๆนิดหน่อยครับ... ไม่เป็นไร...” เขายกมือขึ้นแตะบนแผ่นอกของธนกฤตเป็นการบอกว่าไม่เป็นไร นัยน์ตากลมโตปิดลงอีกครั้งเพื่อตั้งหลักให้มั่น แล้วค่อยๆยืนด้วยตัวเอง แต่ก็ยังไม่เป็นผลเมื่อยังรู้สึกว่าพื้นหมุนได้อยู่อย่างนั้น


เขาประคองอีกฝ่ายเอาไว้ ธนกฤตมองอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยขอโทษเบาๆแล้วย่อตัวอุ้มคนตัวเล็กขึ้นแนบอก


“ขอโทษนะครับ แต่เดี๋ยวหมอจะพาไปนอนในห้องตรวจนะ.....คุณรันหลับตานะครับ...แป๊บเดียว...” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยเบาๆราวกับจะปลอบประโลมไม่ให้ตกใจเกินไป


“เอ่อ... จริงๆแล้ว ไม่ต้องอุ้ม... ก็ได้นะครับ...” แม้จะรู้สึกประหลาดใจกับความเอาใจใส่แบบกระทันหัน แต่น้ำเสียงของรัญชน์ฟังดูแผ่วเบาก่อนจะยอมปล่อยให้ร่างสูงพาเขาไปยังห้องตรวจ


ร่างสูงวางคนตัวเล็กในอ้อมกอดลงบนเตียงในห้องตรวจ มือใหญ่แตะที่หน้าผากและลำคอเพื่อวัดไข้... ไข้อ่อนๆแต่ดูแล้วไม่น่าจะมีปัญหาอะไร


ธนกฤตมองไปรอบๆห้องก่อนจะนึกถึงความฝันที่เหมือนจริง เขามองร่างเล็กบอบบางที่นอนหลับตาอยู่สลับกับผนัง  ทั้งที่เมื่อกี้ยังไม่คิดอะไรแท้ๆแต่พออยู่ในที่ๆเดียวกับความฝันกลับคิดขึ้นมาซะได้


“เอ่อ.... คุณรัน ลืมตาได้ไหมครับ”


พอได้ยินดังนั้น คนที่นอนอยู่ก็ค่อยๆลืมตาขึ้นมาช้าๆ


“ครับ... ผมแค่เวียนหัวนิดหน่อย...” รัญชน์กระพริบตาสองสามทีก่อนจะค่อยๆยันตัวขึ้นมา


“แล้ว... วันนี้เอายามาให้หมอดูหรือเปล่าครับ” หากเป็นเด็กเกคงจะต่อท้ายด้วยคำว่า... คนเก่ง... ไปแล้ว หากแต่คนตรงหน้าถึงจะร่างกายเล็กแต่อายุก็ถือเป็นผู้ใหญ่แล้ว


ธนกฤตถอยห่างออกมาอีกนิดเพราะคนที่เพิ่งยันตัวขึ้นมามีสีหน้าเหมือนในฝันไม่มีผิด ใบหน้าหวานขาวซีดนิดๆ แพขนตาที่หรี่ปรือ... หากเป็นผู้หญิงเขาอาจจะจีบไปแล้วก็ได้


...ทั้งที่น่ารักขนาดนี้แท้ๆ...


“เอามาครับ...” เขาเอ่ยตอบพลางคว้ากระเป๋าสะพายมาเปิดออก มือล้วงเข้าไปแล้วหยิบเอาถุงยาออกมา


“นี่ครับ...” ในซองยานั้นยังมียาเหลืออยู่จำนวนหนึ่ง แม้จะลดลงไปจากตอนที่ได้ไปเยอะก็ตาม


ธนกฤตรับซองยาแล้วนับจำนวนเม็ดที่เหลือในใจ หัวคิ้วขมวดมุ่นเมื่อรู้ถึงจำนวนที่แท้จริง


“หมอให้ยาไปอาทิตย์นึง... เหลือกลับมาคืนหมอทำไมตั้ง2วันครับ” ถามด้วยรอยยิ้มจางๆ


“ก็... มีวันนึงผมลืมเอายาไปด้วย... แล้วก็... ลืมบ้าง... ครับ” คนตอบไม่หลบสายตาแต่อย่างใด ซ้ำยังตอบหน้าตาเฉยราวกับสิ่งที่ทำไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร


ไม่แปลกใจเลยที่ไม่หายเสียที... ธนกฤตคิดในใจแต่ยังยิ้มแย้มเหมือนปกติ


“คุณรันทราบใช่ไหมครับว่าโรคนี้มันหายได้ โดยไม่ต้องทำอะไรมากไปกว่าการกินยา”


มือใหญ่เขียนไปในประวัติคนไข้... ทานไม่หมด ลืมทานยา.... หมอหนุ่มยิ้มอีกครั้งพลางแตะที่บ่าเล็กเบาๆ


“หมอจะทำยังไงดีครับ คุณถึงจะทานยาได้ครบ...”


“ไม่รู้สิครับ” ใบหน้าหวานปรากฏรอยยิ้มคล้ายกับรัญชน์กำลังกวนอีกฝ่ายเล่น


“พี่ชายผมยังทำไม่ได้เลย” เด็กหนุ่มพูดติดตลก


“งั้นเอางี้” ธนกฤตรู้สึกถึงความท้าทายในฐานะของคนเป็นแพทย์ เขายิ้มกว้างก่อนจะดข้อมูลแล้วมาร์คทำไฮไลท์ไว้เพื่อส่งให้พยาบาล


“คุณรันบ้านอยู่ไกลจากที่นี่ไหมครับ แล้วปกติเวลามาจะมารถอะไร”


“...” คนฟังขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจในคำถามนั้น


“อยู่คอนโดใกล้ๆนี่ครับ... ปกติก็มาบีทีเอสเอา...”


“ดีเลยครับ” คนพูดยิ้มหวานแล้วเขียนยุกยิกบนกระดาษโน้ตใบเล็กรวมไปถึงชาร์ตคนไข้


“คุณรันยังเรียนอยู่ใช่ไหมครับ งั้นตกลงว่าหมอจะจัดยาให้1วันแล้วพรุ่งนี้แวะมาเอาใหม่พร้อมซองยาเก่านะครับ”


“ผมเพิ่งเรียนจบครับ.......... แต่ว่า... ต้องทำทุกวันเลยเหรอ อย่างงี้จับผมนอนอยู่รพ.เลยง่ายกว่าไหมนะ” รัญชน์เอ่ยพร้อมรอยยิ้มและเสียงหัวเราะเบาๆ


“ไม่แน่นะครับ ถ้าถึงขั้นนี้แล้วยายังกินไม่ครบ หมออาจจะต้องพิจารณาวิธีของคุณรันแล้ว” ธนกฤตยิ้มตอบ เขารู้สึกถูกชะตากับเด็กหนุ่มคนนี้อย่างบอกไม่ถูก


ทั้งใบหน้าและท่าทางชวนให้รู้สึกเอ็นดูและสนิทใจที่จะเย้าแหย่... หากสนิทกันมากกว่านี้อีกนิด


“คุณรันมีปัญหาหรือเปล่าครับ ถ้าไม่สะดวกก็ตามเดิมก็ได้”


“... มาได้ครับ... ไม่มีปัญหาหรอก....” เด็กหนุ่มยิ้มก่อนจะยกขาลงขยับจากเตียง แม้จะยังเซๆบ้างแต่ก็ไม่ได้เวียนศีรษะหนักอย่างตอนแรกแล้ว


“ไหวไหมครับ....” มือใหญ่จับเบาๆที่ต้นแขนช่วยพยุงไว้


“หมอนัดเป็นช่วงเย็นนะครับ มาถึงก็โทรหาหมอไม่ก็บอกพยาบาลหน้าห้องนะครับ ไม่ต้องเอาบัตรจะได้ไม่เสียเวลา” ธนกฤตส่งเป้ที่วางอยู่ให้ หน้าตาของคนไข้ดูซีดเซียวจนต้องเอ่ยปากต่อ


“แล้ววันนี้กลับยังไงครับ ให้คนที่บ้านมารับดีกว่านะหมอว่า”


“วันนี้พี่ผมกลับดึกครับ... ผมกลับเองได้... แค่นี้เอง” ริมฝีปากบางคลี่รอยยิ้มกว้างให้คนที่ดูจะเป็นกังวลกับสุขภาพเขาเหมือนพี่ชาย


“วันนี้หมอนัดคุณรันเป็นคนสุดท้ายแล้ว.... ถ้ายังไงหมอไปส่งไหมครับ ท่าทางคุณรันดูไม่ดีเลย ถ้าขึ้นรถไฟฟ้าเจอคนเบียดจะยิ่งแย่เอานะ” เสียงอ่อนโยนพูดเบาๆ วันนี้เขาเองก็ไม่ได้มีธุระอะไร แถมนั่งไปสองคนยังประหยัดช่วยชาติอีก


ธนกฤตยิ้มบางๆด้วยไม่อยากเร่งเร้าหรือให้อีกฝ่ายตีความได้ว่าเขาบังคับ ชายหนุ่มเปิดช่องด้านข้างแล้วยื่นชาร์ตออกไปให้นางพยาบาลด้านหน้าจัดยาให้


“... ไม่ลำบากไปจริงๆเหรอครับ?” รัญชน์ออกจะแปลกใจหนักกว่าเดิมอีกเมื่อพบกับข้อเสนอแบบนี้ มองอย่างไรอีกฝ่ายก็ไม่มีท่าทีเหมือนหมออ้วนพอลคนนั้น


“ไม่เป็นไรจริงๆครับ หมอใจดี” ธนกฤตหัวเราะต่อท้ายแล้วหันไปเปิดช่องด้านข้างเพื่อคุยกับพยาบาล


“วันนี้หมอกลับก่อนนะครับคุณกุ้ง เดี๋ยวเก็บของแป๊บนึง” เขาหันมาที่รัญชน์


“เดี๋ยวคุณรันเชิญรับยาก่อนนะครับ หมอขอเปลี่ยนเสื้อเก็บของก่อน เดี๋ยวตามไป”


“... ครับ...” รัญชน์กระพริบตาปริบๆก่อนจะลุกหยิบกระเป๋าขึ้นสะพาย ร่างบางเดินออกจากห้องตรวจแล้วรอให้พยาบาลสาวนำใบรับยาให้ เมื่อนำเอกสารไปวาง กลับพบว่าไม่มีค่าใช้จ่ายอื่นนอกจากค่ายา


“หมอประหลาด...” เขาพึมพำกับตัวเองก่อนจะรีบลุกไปรับยา พอฟังคำอธิบายเสร็จ รัญชน์ก็พบว่า ‘หมอประหลาด’ มายืนรออยู่แล้ว แม้จะอยากรีบเดินไปหา แต่เด็กหนุ่มก็รู้ตัวดีว่าหากรีบร้อนขยับตัวตอนนี้ ดีไม่ดีจะได้ล้มกันอีกรอบ


“หมอจอดรถอยู่ใกล้ๆ พอจะเดินไหวไหมครับ” ธนกฤตเป็นฝ่ายเดินเข้ามาหาแล้วถือวิสาสะถือถุงยาและกระเป๋าอีกฝ่ายให้


เขาทิ้งช่วงการเดินให้ช้าลงและเดินในระยะที่หากรัญชน์ทำท่าจะล้มเมื่อไหร่ก็เข้าไปประคองได้ทันที พอถึงรถมือใหญ่กดสัญญาณปลดล็อกแล้วเปิดประตูให้


“เชิญครับ รกหน่อยนะ รถคนโสดก็อย่างนี้แหละครับ”


“ครับ... ไม่เป็นไร...” ใบหน้าหวานปรากฏรอยยิ้มขึ้นอีกครั้ง รถคนโสดที่ว่าไม่ได้รกเท่าไหร่เมื่อเทียบกับรถของราเมนทร์ ที่สะอาดได้ก็เพราะเขาช่วยจัดให้ยามว่างหรอก ร่างบางยืนรอให้ธนกฤตหยิบของบางส่วนออกจากเบาะนั่งเนื่องจากเขาไม่อยากถือวิสาสะเข้าไปหยิบเอง เมื่อเรียบร้อยแล้ว เขาจึงก้าวขึ้นนั่งแล้วปิดประตูรถก่อนจะคาดเข็มขัดนิรภัย


“ต้องให้ลำบาก... ขอบคุณนะครับ”


“แค่นี้สบายมาก บอกแล้วไงครับหมอบีมใจดีเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” ยิ้มตาหยีก่อนจะออกรถช้าๆ เขาเปิดเครื่องปรับอากาศแผ่วๆแล้วปัดให้ออกห่างร่างเล็ก


“แล้ว... แหม ขึ้นรถมาก็แล้วแต่หมอยังไม่รู้จักบ้านคุณรันเลยนะครับ”


“อะ... ครับ ออกจากโรงพยาบาลไปแล้วเลี้ยวซ้ายครับ... อยู่ซอย8...” เขารีบเอ่ยบอกพลางชี้มือประกอบการอธิบายเส้นทาง


คอนโดที่ราเมนทร์กับรัญชน์อาศัยอยู่ด้วยกันนั้น ตั้งอยู่ไม่ห่างจากสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสมากนัก เพื่อความสะดวกสบายในการเดินทางของทั้งคู่ในเวลารถติด และราเมนทร์เองก็เลือกไม่ให้อยู่ไกลจากโรงพยาบาลนักด้วยเช่นกัน


“อ๊ะ! ทางเดียวกับคอนโดหมอเลย” ธนกฤตไม่ได้บอกว่าคอนโดของเขาเองก็อยู่เส้นเดียวกันแต่อยู่ถึงก่อน เพราะกลัวคนไข้ขี้เกรงใจจะขอลงกลางทาง


“คุณรันอยู่กับพี่ชายสองคนเหรอครับ”


“ครับ... พ่อกับแม่ผมเพิ่งเสียตอนผมเรียนจบไฮสคูล... ก็เลยย้ายกลับมาอยู่ที่นี่น่ะครับ...” เด็กหนุ่มหน้าหวานเอ่ยตอบเรียบๆพลางมองออกไปด้านนอกเมื่อได้ยินเสียงฟ้าคำรามเบาๆ เขายิ้มออกมาเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าฝนกำลังจะตกอีกครั้ง


“ขอโทษนะครับที่ทำให้รู้สึกไม่ดี” การสูญเสียคนในครอบครัวเป็นเรื่องที่เขาเข้าใจได้ดี เมื่อครั้งหนึ่งเขาต้องเป็นฝ่ายสูญเสียเอง


มารดาของเขาเสียในวันพระราชทานปริญญาบัตร ซึ่งนั่นก็คือเหตุผลที่เขาไม่มีรูปถ่ายในชุดปริญญาใส่กรอบสวยเหมือนเพื่อนร่วมรุ่นคนอื่น


“ไม่เป็นไรครับ พี่ชายผมดูแลผมแทนพ่อกับแม่มาตั้งแต่เด็กๆแล้ว... ก็เลย... หายเสียใจเร็วน่ะครับ” เขาหันมายิ้มให้คนที่ขับรถอยู่โดยไม่ได้คิดว่าอีกฝ่ายจะต้องหันมามองหรืออะไร


คนขับยิ้มบางๆอย่างเข้าใจ เพราะตัวเขาเองที่เสียแม่ก็ต้องคอยปลอบธิวรางค์ที่ขวัญเสียอยู่เหมือนกัน


การจราจรในเมืองใหญ่ดูจะราบรื่นกว่าปกติ เพียงไม่นานรถของเขาก็จอดที่ลานจอดรถของคอนโดเด็กหนุ่มที่นั่งข้างๆได้แล้ว


“คุณรันขึ้นห้องเองไหวไหมครับ หรือถ้ายังไงให้หมอขึ้นไปส่งไหม”


เด็กหนุ่มหันใบหน้าของแพทย์เจ้าของไข้ นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนอื่นที่ไม่ใช่พี่ชายเอาใจใส่ขนาดนี้ รัญชน์ยิ้มน้อยๆก่อนจะพูดตามใจคิด


“... ก็ดีนะครับ เกิดผมตายขึ้นมา หมอจะได้มาหาพี่ผมเจอ” ร่างบางหัวเราะออกมาเบาๆก่อนจะค่อยๆก้าวลงจากรถ


“หมอไม่ยอมให้ตายหรอกครับ สัญญากันไว้แล้วว่าจะหายนี่” ด้วยรู้ว่าอีกฝ่ายพูดเล่นมากกว่าพูดจริงเขาเลยหยอกกลับ


“หมอขึ้นไปส่งเพราะว่าถ้าวันไหนไม่มีข้าวกินจะมาขอข้าวคุณรันทานต่างหากล่ะครับ”


ร่างสูงคว้าของทั้งหมดมาถือเพื่อให้คนป่วยได้เดินสบายๆ เขาล็อกรถแล้วเดินตามเจ้าของห้อง


เด็กหนุ่มหัวเราะกับคำพูดติดตลกของธนกฤตแล้วกดลิฟท์พาขึ้นไปชั้นบน เขาหันไปหาคนที่ช่วยถือของแล้วเอ่ยบอก


“ห้องนี้ครับ...” รัญชน์เอื้อมมือมาเปิดกระเป๋าที่ร่างสูงถือไว้ให้ แล้วหยิบเอากุญแจห้องออกมาก่อนจะเปิดเข้าไป


“หมอส่งแค่นี้นะครับ” กับคนที่รู้จักแค่เพียงเล็กน้อย การเข้าไปในห้องอีกฝ่ายดูจะเป็นการละลาบละล้วงเกินไป


ธนกฤตยื่นของส่งให้พร้อมรอยยิ้ม


“คุณรันทานยาหมอแล้วอย่าลืมทานยาลดไข้ด้วยนะครับ ดื่มน้ำหรือไม่ก็หาส้มทานด้วยจะได้หายป่วยไวๆ”


“จะพยายามนะครับ... ขอบคุณมากครับคุณหมอบีม” เด็กหนุ่มยกมือขึ้นไหว้แล้วค่อยถอยตัวเข้าก่อน ก่อนจะปิดประตูลง


ธนกฤตยืนฟังเสียงจนแน่ใจว่าไม่มีเสียงล้มหรือชนอะไรก่อนจะเดินจากมา ความรู้สึกห่วงแบบแปลกๆที่แม้แต่ตัวเองยังไม่ชัดเจนว่ามันคืออะไรและเกิดได้อย่างไรซึ่งก่อตัวขึ้นช้าๆ


แต่เขาก็ยินดี...ที่จะห่วงใครสักคนที่เพิ่งรู้จักกัน



 











To be continued....
หัวข้อ: Re: ・・・ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน3 คนแปลกหน้าที่ห่วงใย (29/12/12)
เริ่มหัวข้อโดย: RUMINA ที่ 29-12-2012 15:06:08
//ส่อง
หัวข้อ: Re: ・・・ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน3 คนแปลกหน้าที่ห่วงใย (29/12/12)
เริ่มหัวข้อโดย: Lemon_Tea ที่ 29-12-2012 15:36:52
คุณหมอบีม รับคนไข้เพิ่มมั้ย  :-[
เห็นชื่อจริงนายเอกแล้วแอบสะดุ้ง
ฮุฮุ แต่ไม่บอกเหตุผลหรอก :m18:
หัวข้อ: Re: ・・・ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน3 คนแปลกหน้าที่ห่วงใย (29/12/12)
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 29-12-2012 21:40:49
ชอบนะ ชือเรื่องน่าสนใจดีแต่กลัวมาม่ากลัวผิดหวังกับเรื่องนี้ ตอนที่ฝันแอบผิดหวังในตัวหมอมาก ไหนบอกว่าเป็นคนดี พออ่านผ่านไปเฮ้อโล่งใจ พี่ชายรันเจ้าชู้จัง แอบผิดหวังนิดๆ แต่ก็ดีที่รักน้องมากกว่า รอต่อไป
หัวข้อ: Re: ・・・ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน3 คนแปลกหน้าที่ห่วงใย (29/12/12)
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 29-12-2012 22:45:22
ชอบตอนคุณหมอบีมเล่นกับเด็กมากให้ตายเหอะ สุภาพอะไรอย่างงี้
หัวข้อ: Re: ・・・ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน3 คนแปลกหน้าที่ห่วงใย (29/12/12)
เริ่มหัวข้อโดย: andear ที่ 30-12-2012 00:05:52
คุณหมอสุภาพบุรุษสุดๆ :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: ・・・ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน3 คนแปลกหน้าที่ห่วงใย (29/12/12)
เริ่มหัวข้อโดย: mutoo ที่ 30-12-2012 09:24:40
ภาษาไทยดีเลิศอ่ะค่ะ
เราอ่านไม่เจอคำผิดเลย ซู๊ดยอด
หัวข้อ: Re: ・・・ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน3 คนแปลกหน้าที่ห่วงใย (29/12/12)
เริ่มหัวข้อโดย: เฉาก๊วย ที่ 30-12-2012 14:48:40
ต้อนรับเรื่องใหม่ค่า  :L2:
หัวข้อ: ・・・ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน4 ความรู้สึกของคนใกล้ (02/01/13)
เริ่มหัวข้อโดย: kagehana ที่ 02-01-2013 23:09:09

kagehana : เอาตัวขี้อ้อนหนึ่งหน่วยมาฝากค่ะ เจอแบบน้องรันเข้าไป ใครจะอดใจไหวเนอะ







-4-







ร่างสูงในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์สะพายกล้องคู่ใจยืนไขกุญแจหน้าห้อง ปลายเท้าหนักๆเหยียบบนพื้นเดินเข้าในห้องในขณะที่นัยน์ตาคมสีเหลือบเทามองหาใครบางคนที่มักจะโผล่มายิ้มต้อนรับทุกครั้ง


ราเมนทร์มองหาน้องชายรอบห้อง แต่ก็เห็นเพียงปลายผมยาวๆที่โผล่พ้นโซฟามา


“เพลียขนาดนั้นเลยเหรอเรา” เขายิ้มจางๆแล้วลดเสียงฝีเท้าเดินเข้าไปหาคนที่นอนหลับ


ชายหนุ่มตัวโตทรุดลงนั่งคุกเข่ากับพื้นแล้วเอื้อมมือแตะผิวแก้มเนียนแผ่วเบา... ก่อนจะรู้สึกถึงความร้อนที่มากเกินกว่าอุณหภูมิปกติ


“รัน....รัน...”


“อือ...” นัยน์ตากลมโตเปิดขึ้นช้าๆก่อนจะยกมือขึ้นจับแขนของพี่ชายไว้


“... กลับมาแล้ว... เหรอ” น้ำเสียงที่มักจะสดใสเริงร่ากลับฟังดูอ่อนแรงกว่าเคย


“รัน ลุกไหวไหม ไปหาหมอนะ” สัมผัสร้อนผ่าวที่ถ่ายทอดจากฝ่ามือทำให้คนที่เพิ่งกลับมาตกใจ


ราเมนทร์แตะหน้าผากและลำคอเพื่อวัดไข้ก่อนจะยืนยันคำเดิมอีกครั้ง


“เดี๋ยวพี่พาไปหาหมอ”


“... ไม่ต้อง... พี่ราม...” เด็กหนุ่มพยายามเอ่ยปฏิเสธ


“รันหามาแล้ว... ยาแก้ไข้... ก็มีแล้ว...” เขายึดเอามือพี่ชายไว้ ซึมซับความเย็นจากผิวกายอีกคน


“ได้ยังไง ตัวร้อนขนาดนี้กินยาไม่หายหรอก เราอย่ามาดื้อเลย” แม้จะพูดเหมือนดุแต่น้ำเสียงกลับอ่อนโยน มือเย็นๆแตะทั่วผิวแก้มและลำคอระบายความร้อนให้เขาก้มลงเอาหน้าผากวัดไข้แล้วทำหน้าเครียด


“แล้วเราอาบน้ำหรือยัง เช็ดตัวไหม”


“... เพิ่งตื่นนะ.... เช็ดตัวละกัน...” รัญชน์เอ่ยบอกพลางยึดเอาร่างสูงเป็นหลักไว้ในการดึงตัวขึ้นมา แม้จะยังรู้สึกมึนศีรษะอยู่แต่ก็ค่อยๆหย่อนปลายเท้าลงบนพื้นห้อง


“เช็ดที่นี่แล้วกัน พี่เช็ดให้” เขาจับคนตัวเล็กให้นั่งลงเหมือนเดิม


ราเมนทร์อาจจะดูเงียบขรึมและดุสำหรับเพื่อนร่วมงาน แต่สำหรับน้องชายแล้วกลับอ่อนโยนและใจดีจนไม่น่าเชื่อว่าบุคลิกอย่างเขาจะทำได้


“อือ...” ร่างบางหันมองคนที่ลุกไปจัดการหาผ้ารองน้ำใส่ชามพลาสติกใบใหญ่ก่อนจะเอนตัวลงพิงหลังกับโซฟาตัวใหญ่


“ถอดเสื้อไหวไหมรัน” ราเมนทร์วางอ่างน้ำลงกับพื้นแล้วจุ่มผ้าจนชุมก่อนจะบิดให้หมาด


“ถอดกางเกงด้วยเลย เดี๋ยวพี่เช็ดให้ ไม่ต้องอายหรอก”


“อือ... ไหว” คนป่วยตอบก่อนจะค่อยๆถอดเสื้อตัวบางออกทั้งสองตัว ร่างบางยกขาขึ้นบนโซฟาแล้วขยับถอดกางเกงสามส่วนที่ใส่ไว้ออกไป


“... อายอะไร... รันไม่ใช่ผู้หญิงนะ” กระนั้น รัญชน์ก็ยังมีกะใจจะเอ่ยเย้าแหย่พี่ชายขณะที่ดึงเอากางเกงในออก แขนเรียวเล็กสองข้างยกขึ้นแล้วยื่นไปตรงหน้าราเมนทร์


“อะ...”


“ทำตัวยังกะเด็ก” ถึงจะบ่นแต่พี่ชายคนดีก็ยังยอมทำตามแต่โดยดี เขาค่อยๆเอาผ้าชุบน้ำเช็ดใบหน้าขาวแล้วไล่ลงมาที่แผ่นอกตึงเรียบ


“นี่ถ้าพี่เป็นสาวๆเราโดนปล้ำแน่... ไม่สิ ในกรณีเรา ผู้ชายก็ด้วยละนะ”


ราเมนทร์ยื่นผ้าที่เพิ่งซักอีกทีส่งให้


“ข้างล่างเช็ดเองไหม หรือให้พี่เช็ด”


“ใครปล้ำรัน พี่คงไล่ฆ่า... แล้วใครที่ไหนจะกล้า” รัญชน์เอ่ยว่ายามนึกถึงวัยเด็กจนโตที่เขาคอยมีราเมนทร์ดูแลไม่ให้ห่าง


“พี่รามเช็ด...” น้องชายขี้อ้อนบอกกึ่งออกคำสั่ง ก่อนพลิกตัวแล้วนอนคว่ำลงบนโซฟาพลางหลับตาลงอย่างสบายใจ


“เด็กขี้อ้อนเอ๊ย”


มือใหญ่ลูบผ้าขนหนูเนื้อนิ่มที่บิดหมาดไล่เช็ดบนแผ่นหลังเนียนที่แอ่นโค้งนิดๆด้วยอีกฝ่ายเลือกนอนคว่ำ เขาไล่มือมายังเอวและสะโพกตึงแน่นเช็ดทำความสะอาดให้อย่างคุ้นเคย


“พลิกตัวสิ”


“อ้อนไม่ได้รึไง...” คนป่วยเอ่ยหยอกเย้าก่อนจะพลิกตัวตามคำของพี่ชาย สัมผัสจากผ้าขนหนูทำให้รู้สึกดีขึ้นกว่าเดิมเยอะจนอดไม่ได้ที่จะหลับตาลงอีกรอบ


“สบายจัง”


“หลับเป็นคุณชายให้คนรับใช้บริการเลยนะ ไม่อายบ้างเหรอเราน่ะ”


ราเมนทร์พูดหยอกแล้วยำท่อนขาเรียวเช็ดให้ กระทั่งเลยไปถึงต้นขาด้านในและส่วนอ่อนไหวซึ่งอ่อนตัวแนบต้นขา เขาสัมผัสเบาๆด้วยเนื้อผ้าอุ่นชื้นเช็ดทำความสะอาดให้ทั้งหมดก่อนจะหยิบกางเกงบ็อกเซอร์เข้าสวมให้ที่ปลายขา


“ยกก้นขึ้นหน่อยรัน พี่ใส่กางเกงให้”


ร่างบางขยับลุกตามราเมนทร์บอก


“อายทำไม... ก็พี่ราม...” เด็กหนุ่มขยับตัวไปมาก่อนจะทิ้งตัวลงนอนบนโซฟาตัวนุ่มอีกครั้ง


“หมายความว่าไงฮึ” ยิ้มจางๆอย่างพอใจ


“เอ้าเสื้อ เปื่อยที่สุดนิ่มที่สุดในตู้พี่แล้ว” ชายหนุ่มวางเสื้อตัวเก่าบนแผ่นอกเรียบตึงขาวนวล


“ใครมาเห็นรันตอนนอนคงคิดว่าพี่ใจร้ายให้ใส่แต่ของเก่าแหงเลย”


“ช่างคนอื่นดิ ก็รันชอบของรันนะ” ร่างเล็กค่อยๆยกแขนขึ้นแล้วขยับเคลื่อนแขนเสื้อผ่านท่อนแขนเข้ามา พยายามยัดสวมผ่านศีรษะลงทั้งๆที่ยังนอนอยู่อย่างนั้น เมื่อเสร็จแล้ว ก็ค่อยแย้มรอยยิ้มให้


“ขอบคุณนะพี่ราม”


“ขอบคุณพี่ไว้เยอะๆล่ะ ตัวขี้อ้อน” ราเมนทร์ขยี้ผมอีกฝ่ายอย่างหมั่นเขี้ยว


“ป่วยแบบนี้ต้องนอนพักเยอะๆรู้ไหม อย่าไปยืนตากฝนอีกล่ะ เดี๋ยวพี่จะดุแทนหมอเองถ้ายังไม่หายเนี่ย”


“อื้อ... พูดถึงหมอ พรุ่งนี้ไปเอายาให้รันได้ไหม หมอเขาให้ไปเอาทุกวันนะ...” ‘ตัวขี้อ้อน’นึกถึงสิ่งที่ธนกฤตบอกไว้ได้ เงื่อนไขแปลกๆที่เขาต้องเป็นคนเข้าไปรับยาทุกวัน


“อ่าว ก็เพิ่งไปเอามาวันนี้ไม่ใช่เหรอ ทำไมต้องเอาทุกวัน หมอมันประสาทหรือเปล่าน่ะรัน” ขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ มีอย่างที่ไหนให้คนไข้ไปหาทุกวัน


“หรือมันหวังอะไรเราหรือเปล่า ระวังหน่อย จะย้ายโรงบาลไหม”


“เปล่า... หมอบอกว่ารันต้องกินยาให้ครบ ต้องเอาถุงยาไปให้เขาดูว่ารันกินยาหมดนะ ไม่งั้นรันไม่หายซักที” เด็กหนุ่มสาธยายสาเหตุของการที่ต้องไปเอาทุกวัน


“ไม่ได้โรคจิตแบบไอ้อ้วนพอลนะ”


“ก็ยังฟังดูงี่เง่าอยู่ดี” ราเมนทร์บ่นอย่างไม่จริงจัง


ชายหนุ่มยกอ่างน้ำไปจัดการแล้วเดินกลับมานั่งบนพื้นข้างๆ มือใหญ่เกาะกุมมือเล็กไว้เบาๆ ครอบครัวที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวของเขาคนนี้... เป็นคนสำคัญยิ่งกว่าใครๆบนโลก


“หลับซะ เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่ไปเอาให้....”


“อื้อ... ขอบคุณนะพี่ราม” คนป่วยขี้อ้อนบีบมือใหญ่เบาๆแล้วค่อยหลับตาลง ปล่อยให้ความเย็นจากมือนั้นถ่ายทอดมายังเขา


“ฝันดีนะ ตัวกวนของพี่” ราเมนทร์จูบเบาๆบนหน้าผากน้องชาย




//////////////////////


 

 

หลังจากใช้เวลาทั้งวันจัดการกับเรื่องของน้องชายและพักผ่อนอย่างเต็มตื่น ร่างสูงที่ร่ำลาน้องเรียบร้อยก็เดินออกมานอกห้องพัก เขาเดินสวนกับชายคนหนึ่งที่หอบหนังสือเป็นตั้งและยืนง่อนแง่นควานหากุญแจในกระเป๋า


“หอบของเยอะเชียวนะครับ” เขาทักเพื่อนบ้านอย่างอารมณ์ดี


“อ๊ะ? สวัสดีครับคุณราม” ชายหนุ่มชะโงกหน้าผ่านกองหนังสือที่หอบไว้มาทักทายร่างสูงพร้อมรอยยิ้ม


“พอดีซื้อหนังสือมาใหม่น่ะครับ”


“มา ผมช่วย” ราเมนทร์ดึงเอาหนังสือกองโตมาถือแทน เขามองรอยยิ้มกว้างบนใบหน้าอีกฝ่าย อาจจะเป็นเพราะสีผมที่ค่อนข้างอ่อนกันรูปร่างที่ติดจะบางกว่าผู้ชายทั่วไปทำให้เขาเอื้อเอ็นดูคนๆนี้ไม่น้อย


...แม้ว่าอีกฝ่ายจะแก่กว่าก็ตาม...


เขาเคยนึกเสียดายที่ใบหน้าเกลี้ยงเกลาได้รูปแต่ถูกบดบังด้วยแว่นกรอบหนาสีดำทรงภูมิฐาน


ราเมนทร์อยากจะถอดแว่นแล้วถ่ายรูปอีกฝ่ายที่ดูจะเข้ากันได้ดีกับธีมเคร่งขรึมแต่น่ารัก... แต่ก็คงต้องใช้เวลาอีกสักพักใหญ่


“วัตถุดิบนิยายเรื่องใหม่เหรอครับ”


“ขอบคุณครับ คุณราม” มือเอื้อมเปิดประตูห้องพลางยิ้มน้อยๆออกมา เขาก้าวเดินเข้าไปในห้องแล้วชี้มือไปที่โต๊ะไม้กลางห้อง


“วางไว้บนโต๊ะนั้นก็ได้ครับ ขอบคุณมากเลย...” คราวนี้เขาอยากได้เรื่องแนวแฟนตาซี ผมไม่เคยอ่าน เลยต้องหามาอ่านเสียหน่อยน่ะครับ...”


“คุนธันเก่งจังนะครับ เห็นเขียนทีไรขายดีทุกที เป็นผมเข้าหน่อย... เรื่องเดียวยังไม่จบเลย” ราเมนทร์หัวเราะเบาๆแล้ววางลง


ธันย์ชนกเป็นเพื่อนร่วมชั้นห้องตรงข้ามที่คุ้นเคยกันดี และเป็นนักเขียนนิยายรักโรแมนติกที่ดูไม่เข้ากับท่าทางเรียบๆ หนังสือของธันย์ชนกอ่านง่ายแต่บรรยายความรู้สึกและถ่ายทอดทุกอารมณ์ได้สมบูรณ์


“เดี๋ยวผมขอตัวก่อนนะครับ จะไปเอายาให้รัน”


“น้องรันไม่สบายเหรอครับ?” คนอายุมากกว่าเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ


ในสายตาของเขา ถึงรัญชน์จะเป็นเด็กตัวเล็ก แต่ก็ดูแข็งแรงกว่าที่คิด


“โรคประจำตัวน่ะครับ นี่ยังดี... เมื่อก่อนป่วยแทบจะวันเว้นวันทำเอาผมหัวปั่นไปหมดเลย” แม้จะฟังดูคล้ายบ่นแต่คนพูดกับยิ้มนิดๆอย่างมีความสุข


“อ๊ะ! โทษนะครับ”ราเมนทร์ยิ้มให้คนข้างตัวก่อนจะเอื้อมมือไปใกล้เพื่อจะปัดเศษฝุ่นที่ติดไหล่


“! อ... ขอบคุณครับ” ธันย์ชนกได้แต่ยิ้มอย่างอายๆ ผิวแก้มเปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้นเล็กน้อย


“ถ้าอย่างนั้นคุณรามไปเอายาเถอะครับ เดี๋ยวผมจะจัดหนังสือเข้าชั้นด้วย”


“ไปก่อนนะครับ” ราเมนทร์เดินออกจากห้องอีกฝ่ายแล้วปิดประตูห้องให้


อย่างที่คิดไว้เลย... ใบหน้าเขินๆนั่นดูเหมาะกันธีมรูป ‘น่ารัก’ จริงๆ


ชายหนุ่มเผลอยิ้มกับตัวเอง ก่อนจะเดินลงลิฟท์ไป





///////////////////////////


 

 

‘ก๊อกๆ’


“เชิญครับ” ขานตอบรับก่อนหมอหนุ่มที่นั่งหันหลังจะหมุนเก้าอี้ออกมาเจอกับร่างสูงที่เดินผ่านประตูที่เปิดค้าง


“เอ่อ... เป็นอะไรมาเหรอครับ” ธนกฤตมองหน้าคนที่หยุดยืนมองเขาอย่างพิจารณาโดยไม่พูดอะไร ท่าทางดูแข็งแรงจนไม่น่าเชื่อว่าจะสามารถป่วยเป็นอะไรได้


“เปล่า... มาเอายาแทนรัญชน์ คนไข้ที่คุณนัดไว้”


เสียงทุ้มห้าวตอบอย่างชัดเจนพอที่จะทำให้เขาเข้าใจชัดเจน ธนกฤตพยักหน้าแล้วเอื้อมไปหยิบชาร์ตคนไข้ที่วางแยกไว้


“คุณรันไม่มาเอาเองเหรอครับ จะได้เช็คร่างกายด้วย”


“เป็นไข้”


...ประหยัดคำพูดจริงนะ... ธนกฤตคิดในใจ


“มีไข้ แล้วมียาทานหรือยัง...”


“มีแล้วไม่ต้องสั่งให้ แค่มาเอายาที่บอกต้องมาเอาทุกวันเฉยๆ” พี่ชายคนป่วยพูดแทรกก่อนจะยกมือกอดอกยืนรอมองอย่างติดจะหงุดหงิดเล็กๆ


“ครับ”


น้องออกจะน่ารัก ไหงพี่หน้าหยั่งกับยักษ์วะ...


ธนกฤตเขียนยาที่จำเป็นแล้วเปิดช่องเล็กๆด้านหลังยื่นส่งให้นางพยาบาลด้านนอก


“เรียบร้อยแล้วครับ เดี๋ยวเชิญนั่งรอด้านนอกสักครู่แล้วพยาบาลจะเรียกรับยาครับ” เขายิ้มให้อย่างผูกมิตร


ราเมนทร์ยืนจ้องหน้าเจ้าของไข้ของน้องชายอีกครู่หนึ่ง และทิ้งท้ายด้วยคำพูดก่อนเดินออกไปว่า


“น้องชายผมย้ายโรงบาลหลายครั้งเพราะเจอไอ้พวกหมอโรคจิต ผมหวังว่าคุณจะไม่ใช่พวกเดียวกับมัน”


ธนกฤตมองแผ่นหลังหนาๆของคนที่เดินออกไปพลางทอดถอนใจ... เจอหน้าไม่ทันไรดันคาดโทษหวงใส่ซะแล้ว


...อย่างนี้สินะที่เรียกว่า...พี่หวงน้อง...


 



//////////////////////////////


 

หลังจากหยิบคุกกี้ขึ้นจากถาดแล้วจัดใส่ถุงให้สวยงามแล้ว เด็กหนุ่มร่างบางก็หยิบเป้ใบโปรดขึ้นสะพายพร้อมกับดึงเอาสายหูฟังของไอพอดออกมาพลางเปิดประตูห้องออก


“อ้าว คุณธัน จะไปข้างนอกเหมือนกันเหรอครับ” รัญชน์เอ่ยถามตามประสาคนมนุษยสัมพันธ์ดี รวมไปถึงอีกฝ่ายที่เป็นคนข้างห้องเขาก็นับเป็นเพื่อนบ้าน


“ครับ น้องรันหายแล้วเหรอครับ?” คนอายุมากกว่าตอบรับก่อนจะถามไถ่ถึงสุขภาพ


“หายแล้วครับ” ร่างเล็กหัวเราะเบาแล้วพูดต่อ


“ไม่ต้องเรียกน้องรันก็ได้ครับ ฟังดูตลกดี เรียกรันเฉยๆก็ได้ ผมไม่ว่าหรอก”


“...” ธันย์ชนกได้แต่ยิ้มรับคำขอนั้น


“จริงสิ ยังมีคุกกี้เหลืออยู่ เดี๋ยวผมเอามาให้นะครับ” พูดเสร็จรัญชน์ก็วิ่งหายกลับเข้าไปในห้อง ไม่นานนักก็ออกมาพร้อมกับคุกกี้ถุงเล็กกว่าเมื่อครู่


“นี่ครับ”


“ขอบคุณนะครับน้อ- เอ่อ รัน...” พอรู้ตัวว่าเผลอพูดออกไปก็รีบแก้พร้อมกับหัวเราะเบาๆออกมา


“ครับ งั้นผมไปก่อนล่ะ” รัญชน์ยกมือขึ้นบ๋ายบายแล้วก็วิ่งไปทางบันได ปล่อยให้คนที่เพิ่งรับคุกกี้ไปมองด้วยความประหลาดใจ ทั้งๆที่ลิฟต์ก็มี แต่เด็กหนุ่มตัวเล็กกลับเลือกที่จะลงบันไดไป...









To be continued...

หัวข้อ: Re: ・・・ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน4 ความรู้สึกของคนใกล้ (02/01/13)
เริ่มหัวข้อโดย: nunnan ที่ 02-01-2013 23:22:45
โดนพี่ชายดักคอสะแล้วววว o18 o18 o18
หัวข้อ: Re: ・・・ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน4 ความรู้สึกของคนใกล้ (02/01/13)
เริ่มหัวข้อโดย: Mookkun ที่ 03-01-2013 21:29:53
คุณพี่...
หัวข้อ: Re: ・・・ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน4 ความรู้สึกของคนใกล้ (02/01/13)
เริ่มหัวข้อโดย: เฉาก๊วย ที่ 03-01-2013 23:40:55
คนของคุณพี่มาแล้ว  (หรือเปล่า :m28: )
หัวข้อ: Re: ・・・ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน4 ความรู้สึกของคนใกล้ (02/01/13)
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 03-01-2013 23:47:47
อะนะ น้องจริงๆนะคุณราเมนทร์ แอบเชียร์ราเมนทร์กับคุณธันแต่แอบสงสารคุณธันที่เจอผู้ชายอย่างราเมนทร์ที่เป็นเสือผู้มากรักทางด้าน...ละไว้ในฐานที่เข้าใจ
หัวข้อ: ・・・ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน5 เพิ่มเติมทีละนิด (04/01/13)
เริ่มหัวข้อโดย: kagehana ที่ 04-01-2013 16:19:33

kagehana :  เอาคุณเชฟกับน้องนัทมาแพลมไว้ เนื้อเรื่องของหมอบีมน้องรันจะเป็นเรื่องถัดจากคุณเชฟน้องนัทสองปีนะคะ


ขอให่มีความสุขกับการอ่านค่ะ :bye2:








-5-










“สวัสดีครับคุณหมอบีม” รัญชน์ยกมือไหว้ทันทีที่เดินเข้าประตูห้อง ก่อนจะตามด้วยรอยยิ้มสดใสบนใบหน้า แสดงให้ดูว่าหายดีแล้ว


“สวัสดีครับคุณรัน หายไปหลายวันเลยนะ” ธนกฤตหันมาหาแล้วยิ้มให้ สีหน้าดูสดใสของอีกฝ่ายทำเอาเขาโล่งใจขึ้นมา


ทั้งโล่งใจที่อีกฝ่ายหายดี....และโล่งที่จะไม่ต้องเจอหน้ายักษ์ของคุณพี่ชายอีก


“คิดถึงยาหมอไหมครับ ไม่ได้มาเอาเองตั้งหลายวัน”


“ครับ... ที่สุดเลยนะ” เด็กหนุ่มรับคำพร้อมเสียงหัวเราะก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้ มือวางถุงคุกกี้ลงบนโต๊ะตรงหน้าธนกฤตแล้วว่าต่อ


“ผมทำมาให้นะ ตอบแทนที่พาผมกลับบ้านวันนั้นครับ แล้วก็ขอโทษ เผื่อว่าพี่ผมมาพูดอะไรแปลกๆใส่ครับ”


“น่ากินจังครับ” ธนกฤตเลี่ยงที่จะพูดถึงเรื่องพี่ชายอีกฝ่ายว่าแปลก... แค่ไหน


เขาหยิบถุงคุกกี้ขึ้นมาดู ช็อกโกแลตชิพเม็ดใหญ่ดูเปล่งประกายวิบวับ... นี่ถ้าหากไม่ได้อยู่ต่อหน้าคนไข้เขาคงแกะกินหมดไปนานแล้ว


“ขอบคุณนะครับ แล้ววันนี้คุณพี่ชายไม่มาด้วยเหรอ”


“ผมทำเองครับ! ชิมเลยก็ได้นะ ผมไม่ถือนะ” คนทำคุกกี้เอ่ยบอกอย่างสดใส


“พี่ผมต้องทำงาน ผมหายแล้ว ก็มาเองได้ครับ”


“งั้นหมอไม่เกรงใจนะ”


ธนกฤตแกะถุงแล้วหยิบคุกกี้หอมกรุ่นขึ้นมากัดเคี้ยวกิน รสชาติหวานของเนยเข้ากันได้ดีกับช็อกโกแลตชิพขมๆ เขาเพลินกับการกินจนหมดชิ้นไม่รู้ตัว


“โห เจ๋ง!” ธนกฤตยิ้มเขินที่หลุดคำพูดคุ้นปากที่ไม่เหมาะกับท่าทางของคนที่เป็นหมอเท่าไร


“เอ่อ... อร่อยมากเลยครับ หมอไม่เคยกินที่ไหนอร่อยเท่านี้เลย”


“ขอบคุณครับ” รัญชน์เผยรอยยิ้มหวานด้วยความดีใจ


“คุกกี้เพิ่งอบเสร็จก็อร่อยแบบนี้แหละนะครับ”


“คุณรันน่าจะเปิดร้านเบเกอรี่นะครับ หมอจะแวะไปเป็นลูกค้าทุกวันเลย” ธนกฤตหยิบอีกชิ้นเข้าปากแล้วรวบปากถุงปิด


“แหม... หมอกินเพลินจนลืมดูอาการเลย วันนี้เอาซองยามาให้หมอดูไหมครับ”


“... นึกว่าคุณหมอจะไม่ถามแล้ว...”


คนไข้ฉีกยิ้มก่อนจะล้วงมือไปในกระเป๋าเป้ของตัวเอง เมื่อค้นเจอแล้วก็หยิบถุงยาออกมาให้คนตรงหน้าดู


“เป็นไงครับ”


ธนกฤตรับถุงยาเปล่าขึ้นมาแล้วเอามาร์คเกอร์สีน้ำเงินเขียนวันที่ไว้ก่อนจะเก็บไว้บนตะกร้าด้านข้าง เขาเขียนยาที่จำเป็นแล้วยื่นผ่านช่องไปอีกครั้ง


“ดีมากครับคนเก่ง ถ้ากินหมดอย่างนี้ไปเรื่อยๆหมอจะเปลี่ยนเป็นอาทิตย์ละครั้งเหมือนเดิม” ธนกฤตยิ้มจางๆ


“คุณรันจะได้ไม่ต้องเดินทาง เห็นทุกวันเดี๋ยวเบื่อหน้าหมอหมด”


“มาบ่อยๆได้ครับ ไม่เป็นไร... เมื่อกี๊ก็แวะเล่นกับน้องปูเป้มา... ถ้าไปกับพี่ ผมเบื่อตาย” เด็กหนุ่มเอ่ยว่าทีเล่นทีจริง


“นั่นสินะครับ พี่คุณท่าทางหวงน้องมากๆด้วย มาคราวก่อนยังคาดโทษหมอจนหมองงเลย” ธนกฤตยิ้มขำ


“วันนี้จะให้คุณรันไปเจาะเลือดที่ห้องตรวจสองด้วยนะครับ หมอจะตรวจเช็คว่าผลเลือดเป็นยังไงจะได้รู้แนวทางรักษา”


“... เอ๋? พี่มาว่าอะไรเหรอครับ” นัยน์ตากลมโตกระพริบตามองปริบๆด้วยความแปลกใจ


“ไม่มีอะไรหรอกครับ” เขายิ้มนิดๆอย่างใจดีก่อนจะลุกขึ้นยืน


“เดี๋ยวหมอให้พยาบาลพาไปห้องเจาะเลือดนะครับ เอาใบประวัตินี่ไปยื่นแล้วรอเจาะเลย” ธนกฤตยื่นกระดาษให้แล้วเขียนยุกยิกๆบนชาร์ตต่อ


“อันนี้หมอฝากให้พยาบาลหน้าห้องครับ ให้จัดยาให้คุณรันจะได้ไม่ต้องวนไปวนมากลับบ้านได้เลย”


“ได้ครับ... ขอบคุณมากครับคุณหมอบีม... แล้วพรุ่งนี้พบกันครับ” ใบหน้าหวานระบายรอยยิ้มกว้างอีกครั้งก่อนจะยกมือขึ้นไหว้ ร่างบางลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วหันออกจากห้องไป





///////////////////////////



 

 

ทันทีที่ได้ยินเสียงประตูห้องเปิดออก ร่างเล็กที่นอนเล่นอยู่บนโซฟาก็รีบลุกไปหาคนที่เพิ่งปิดประตูทันที


“พี่ราม! ไปพูดอะไรกับหมอมานะ???”


“อะไร? ไม่ได้พูดอะไรสักหน่อย เราคิดมากไปปะ” ราเมนทร์ดึงร่างเล็กที่ทำหน้าบู้เข้ามากอดแล้วหอมเบาๆที่แก้มขาวทั้งสองข้าง


“หน้ายังกับแมวเปอร์เซีย ยู่ซะไม่มี”


“เออ ก็ยู่แหละ... บอกมาเลยนะว่าไปพูดอะไรมา ไม่งั้นไม่ทำคุกกี้ให้กินแล้วด้วย” รัญชน์ขยับดิ้นขลุกขลักไปมาในอ้อมกอดพลางทำเสียงเข้ม


“ก็แค่.... เตือนๆไปว่าอย่ามาโรคจิตใส่รัน”


เจ้าแมวเหมียวในอ้อมกอดที่ขู่ฟ่อๆดิ้นจะให้หลุดจากเขาทั้งนุ่มนิ่มและหอมไปทั้งตัว ราเมนทร์ซุกใบหน้าบนเรีอนผมสีอ่อนแล้วเอาปลายคางกดไว้


“เห็นมะ ไม่เห็นมีอะไรสักหน่อย เราน่ะคิดมาก”


“พี่รามอะคิดมาก หมอคนนี้ใจดีจะตาย” พอได้คำตอบที่น่าพอใจ เด็กหนุ่มก็หยุดดิ้น ปล่อยให้พี่ชายกอดเอาไว้ตามใจ


“ดีแตกมาหลายรายแล้ว ไว้ใจไม่ได้หรอก” นานๆครั้งจึงจะเห็นน้องชายใส่ใจคนอื่น ยิ่งเอ่ยชมซึ่งๆหน้ายิ่งแล้วใหญ่


“หิวแล้วล่ะรัน ไปหาอะไรกินข้างนอกไหม”


“อื้อ กิน! อยากกินสเต็ก” พอได้ยินเรื่องอาหาร เด็กหนุ่มก็ตัดประเด็นแรกออกไปได้ก่อนทันที


“อื้อ อยากไปกินร้านไหนล่ะ วันนี้พี่เลี้ยงเอง”


เลี้ยงดูกันมาตั้งหลายปีทำไมจะไม่รู้ว่าถ้าเอาของกินมาล่อล่ะอารมณ์ดีขึ้นมาทันที


“เอาที่สเต็กอร่อยๆ หรูๆดีๆ” รัญชน์เอ่ยบอกอย่างเอาแต่ใจ พลางขยับตัวออกจากอ้อมกอดของพี่ชายแล้วเดินไปยังห้องของตัวเอง แต่ก็ตะโกนไล่หลังมา


“รันเปลี่ยนเสื้อก่อน พี่รามหาร้านนะ”


“คร้าบบบบ”


ใครจะว่ายังไงก็ช่าง... เพราะเขารู้ดีว่าคนที่น้องชายจะเอาแต่ใจได้ด้วย... มีเพียงแค่ตนเอง


ราเมนทร์ยิ้มขำแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถามไถ่เพื่อนที่รู้จักว่ามีร้านไหนดีๆบ้าง เขาได้รับคำตอบที่น่าสนใจหลายที่แต่ที่ดูแล้วเข้าท่าที่สุดเป็นร้านแบบโฮมเรสเตอรองท์ที่มีเปียโนสด


“รัน ไปร้านนี้กันไหม” เขาพูดเมื่อคนตัวเล็กเดินกลับมา


“หือ? ร้านไหน?” คนถูกถามชะโงกหน้าไปอ่านเนื้อความบนหน้าจอมือถือของพี่ชาย จากเสื้อนอนย้วยๆตัวใหญ่กลายมาเป็นเสื้อยืดสีน้ำตาลอ่อนตัวบาง โดยมีแถบสีหลากหลายพาดไปมาบนตัวเสื้อ กับกางเกงขาสามส่วนที่เจ้าตัวชอบนักชอบหนา


“นี่ไง” ราเมนทร์ชี้ให้ดูภาพประกอบรีวิวร้านอาหารในบลอกที่เพื่อนส่งมา


บ้านที่มีสวนสวยและแนวกุหลาบขาวล้อมรอบยามกลางคืนสว่างไสวด้วยแสงเทียนสุดโรแมนติด อาหารในภาพต่อๆมาก็ดูน่ากิน... ยังไม่นับแกรนด์เปียโนตัวใหญ่ใต้ซุ้มผ้าขาวบางโปร่งที่ถูกมัดรวบด้วยริบบิ้นสีอ่อนที่มันปลาบล้อกับแสงไฟ


“ชื่อบ้านน้องนัท เพื่อนพี่ไปกินมาบอกอร่อยมาก เพลงก็เพราะ เชฟที่นี่เมื่อก่อนเป็นมือปืนรับจ้างให้พวกโรงแรมดังๆตั้งหลายที่ด้วย”


“? มือปืนรับจ้าง????” คนฟังมีสีหน้าประหลาดใจระคนไม่เชื่อนิดๆ


“ตลกแล้วนะพี่ราม”


“พี่หมายถึงพวกที่คอยทำงานเป็นเชฟในชื่อของโรงแรมต่างหากเล่า เหมือนพวกมือปืนที่รับจ้างยิงไง คนนี้เขาเป็นเชฟ รับจ้างทำอาหาร อ่าว งงล่ะสิ บอกแล้วไงว่าให้หัดอ่านหนังสือภาษาไทยเยอะๆ”


ราเมนทร์ลูบหัวเบาๆอย่างหมั่นเขี้ยว


“จะไปยัง ไม่งั้นไม่ทันร้านปิดนะ”


“ไปๆ ไม่อร่อยคอยดูนะ” ร่างเล็กเป็นฝ่ายเดินนำมาที่ประตูห้องแล้วหันมายิ้มกว้างให้


“เร็วสิพี่ราม”


“คร้าบบบบบ”

 

///////////////////

 

โฮมเรสเตอรองท์ขนาดกลางตั้งอยู่บนสวนที่มีแนวกุหลาบขาวรายรอบดูโรแมนติกมากขึ้นเมื่อมีซุ้มกระโจมสีขาวตั้งอยู่ด้านริม แกรนด์เปียโนเงาวับที่อยู่ข้างใต้เล่นแสงกับเทียนเล่มน้อยที่จุดอยู่รอบๆ


โต๊ะสีขาวแบบโปร่งเข้าชุดกับเก้าอี้มีจัดไว้เพียงด้านละสี่ห้าชุด ทุกโต๊ะจะมีเทียนเล่มเล็กๆและกุหลาบขาววางประดับ บรรยากาศตอนกลางคืนจึงเหมาะกับครอบครัวหรือคู่รักที่อยากจะทานอาหารอร่อยในบรรยากาศดีๆ


“ดีนะที่ยังมีที่ ปกติร้านนี้ต้องจองก่อนถึงกินได้ คนเข้าคิวจองยาวเหยียด” ราเมนทร์พูด


พนักงานต้อนรับสองตัวที่ติดหูกระต่ายนั่งเฝ้าซุ้มประตูกระดิกหางให้ ก่อนจะเห่าคล้ายเรียกคนที่อยู่ด้านในมารับแขก


“ยินดีต้อนรับค่า ไม่ทราบว่ากี่ท่านคะ” พนักงานเสิร์ฟสาวในชุดเสื้อเชิ้ตขาวทับด้วยผ้ากันเปื้อนสีดำเดินมาหาคนทั้งคู่ด้วยรอยยิ้มสดใส


“สองครับ” ชายหนุ่มตอบแล้วยิ้ม


บริกรสาวผายมือไปทางโต๊ะที่ว่างแล้วเดินนำไปก่อนจะยื่นเมนูให้


“เดี๋ยวสักครู่จะมารับออเดอร์นะคะ”


“รันกินอะไร”


“สเต็กย่างเตาถ่าน” คนตัวเล็กเอ่ยตอบร่าเริงพลางปิดเมนูลง


“กับโค้ก!”


“กินโค้กอีกแล้ว” คนเป็นพี่พูดเหมือนจะดุแต่กลับยิ้มกว้างให้แทน


“ของผมเอาสปาเก็ตตี้พอร์คบอลมะเขือเทศ ซี่โครงแบบฟูล ซุปเห็ด....แล้วก็เบียร์ครับ” พูดพร้อมส่งยิ้มหวานให้คนที่มายืนรับออเดอร์


“เรียบร้อยค่ะ กรุณารอสักครู่นะคะ” หญิงสาวรับคำอย่างสดใสก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป


“พี่รามอะ กินเบียร์อีกละ เดี๋ยวลงพุงนะ” รัญชน์เอ่ยว่าพี่ชายที่สั่งเบียร์มากินตั้งแต่หัววัน


“ลงพุงอะไร ออกจะหล่อสาวกรี๊ดขนาดนี้ งานอย่างพี่ก็เหมือนออกกำลังกายทุกวันอยู่แล้วน่า” ราเมนทร์พูดพลางยิ้มกว้างให้โต๊ะข้างๆที่เป็นสาวออฟฟิสสี่ห้าคนที่มองมาอย่างสนใจ


“เห็นมะ” ชายหนุ่มยักคิ้วอย่างได้ใจ


“... หลงตัวเอง” เด็กหนุ่มว่าก่อนจะแลบลิ้นใส่


“เค้าจะคิดว่าพี่รามเป็นเกย์ได้นะ มากับรัน” ใบหน้าหวานปรากฏรอยยิ้มยียวนขึ้นเพื่อกวนประสาทร่างสูง


“ตามใจดิ พี่ไม่เห็นแคร์” ชายหนุ่มดึงร่างเล็กเข้ามาใกล้แล้วหอมแก้มขาวๆอย่างหมั่นเขี้ยว


“ต่อให้ไม่มีผู้หญิงก็ไม่เป็นไร มีรันคนเดียวก็พอ”


“เอ๊า! พูดงั้นได้ไง ไหนเคยบอกว่าจะหาเจ้าสาวสวยๆมาเป็นพี่สะใภ้ให้รันไง” มือเรียวบางเอื้อมผลักหน้าของราเมนทร์ออก


“อยู่อย่างนี้ก็ดีแล้วน่า พี่อยู่กับเราไม่มีเวลาไปหาแฟนหรอก” ราเมนทร์ยอมกลับมานั่งที่แต่โดยดีก่อนจะเปลี่ยนเรื่องพูด


“รู้ไหม ที่นี่น่ะเปิดแค่อาทิตย์ละสามวันเองนะ แต่อย่างว่า...ทำแบบครอบครัวก็เหนื่อยเป็นธรรมดา”


“ไม่เจ๊งได้ไงนะ... เห็นเค้ามีแต่เปิดทุกวัน หยุดวันนึง อะไรแบบนี้” คนพูดมองไปรอบๆพลางแสดงความคิดเห็นของตัวเองออกมา


“ไม่คิดงั้นเหรอ?”


“ลองชิมดูเดี๋ยวก็รู้”


เท่าที่เคยได้ยิน... การที่ร้านเปิดเพียงสามวันต่อสัปดาห์ยิ่งทำให้เหล่านักชิมต่างจับจองควานหาทางที่จะได้มาชิม...และนั่นก็เป็นอีกเหตุผลที่ทำให้ร้านนี้เปิดต่อเนื่องมาได้2ปีแล้ว


“เค้าบอกว่าถ้าใครได้มากินที่นี่ ยังไงก็ต้องอยากกลับมาอีก”


“โอเค...” รัญชน์รับคำก่อนจะเหลียวมองไปรอบๆร้านอีกครั้งโดยหวังว่าจะเห็นบริกรเดินมาพร้อมกับสเต็กในถาด แต่ก็ยังต้องผิดหวัง


“เออ จริงสิ กินคุกกี้ไหม เมื่อเช้าที่รันลุกมาอบ เหลืออยู่” เขาว่าพลางหยิบคุกกี้ที่อยู่ในกล่องพลาสติกออกมา


“ของหวานเค้าไว้กินหลังอาหารสิ” ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่มือใหญ่ก็เอื้อมหยิบมากัด


“เหลืออยู่? แล้วไอ้ที่ไม่เหลือไปไหนล่ะ”


ไม่ทันจะได้รับคำตอบ บริกรสาวก็เดินนำอาหารมาเสิร์ฟ หญิงสาวจัดการเครื่องดื่มให้ทั้งสองคนแล้วหยิบจานอาหารที่วางอยู่บนรถเข็นขนาดเล็กเสิร์ฟให้คนสั่งอย่างแม่นยำ


“ขอให้มีความสุขกับอาหารของบ้านน้องนัทนะคะ” เธอโค้งตัวพร้อมรอยยิ้ม


“ให้หมอไป.... โห— หอมจัง” คนตอบไม่พูดเปล่าพลางสูดกลิ่นหอมของสเต็กที่ถูกย่างบนเตาถ่านเข้าปอดให้เต็มที่


“กินเลยนะ ไม่รอแล้ว ขอบคุณครับ” รัญชน์พูดกับคนตรงหน้าเสร็จก็หันไปยิ้มหวานให้กับบริกรสาวอีกทีหนึ่ง แล้วคว้ามีดกับส้อมขึ้นมาโดยไม่รอ


“ไปสนิทกันตั้งแต่เมื่อไหร่วะ” คนเป็นพี่พึมพำเบาๆแล้วกระดกเบียร์เข้าปากตามด้วยเนื้อซี่โครงนุ่มลิ้น


คนอื่นอาจจะสรรหาไวน์ที่มีรสเลิศเข้ากับเนื้อ แต่สำหรับตัวเขา เบียร์วุ้นเย็นๆแบบนี้เหมาะสมกับตัวเองมากกว่า  ของเหลวรสขื่นผ่านลำคอไปหมดแก้วก่อนที่จะถูกรินต่อ ราเมนทร์ชิมของที่สั่งอย่างละนิดเพื่อพิสูจน์รสชาติก่อนจะพยักหน้าเบาๆด้วยความชื่นชม


“เยี่ยม... ทีนี้หายสงสัยยังล่ะรัน”


“อื้อ!! สุดๆ” รัญชน์ไม่ได้สนใจคำถามแรกเสียด้วยซ้ำ สเต็กเนื้อนุ่มหอมกลิ่นถ่านถูกหั่นส่งเข้าปากชิ้นแล้วชิ้นเล่าแทบไม่ได้หยุดพัก


“พี่รามเจ๋งที่สุดเลย... อือ อร่อยเป็นบ้า เหมือนที่นู่นเลย” เด็กหนุ่มว่าต่อพลางยกแก้วโค้กขึ้นดื่ม


“อยากเห็นหน้าเชฟที่นี่จัง”


“นั่นไง” ชายหนุ่มชี้ไปทางร่างสูงที่อยู่ในชุดเชฟ ผมสีทองงถูกรวบตึงเป็นหางม้าเล็กๆ เขาพาตัวเองออกมาทักทายแขกที่นั่งอยู่ตามโต๊ะพร้อมๆกับชายหนุ่มผมดำที่ตัวเล็กกว่า


“คนผมทองเป็นเชฟเจ้าของที่นี่ ส่วนตัวเล็กๆอีกคนเป็นนักเปียโนประจำร้าน แต่ไม่รู้ทำไมว่าชื่อร้านถึงใช้ชื่อของนักเปียโนน่ะนะ”


รัญชน์มองตามด้วยความสนใจ คนสองคนที่เดินข้างกันมีบรรยากาศที่ดูอบอุ่นจนเขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา เด็กหนุ่มรอจนคนทั้งคู่เดินมาใกล้ๆ จึงเอ่ยชมอย่างเริงร่า


“เชฟ— สเต็กอร่อยมากเลยครับ!”


“ขอบคุณมากครับ” เชฟหนุ่มโค้งศีรษะให้แล้วหันไปยิ้มกับคนข้างกาย


“ขอให้เป็นอีกมื้อหนึ่งในความทรงจำของคุณทั้งสองคนนะครับ คนนี้เป็นนักเปียโนประจำที่นี่ชื่อญาณัชครับ เขาจะเริ่มแสดงตอนทุ่มครึ่ง ถ้าไม่มีธุระอะไรผมขอเชิญทั้งสองท่านอยู่ฟังนะครับ”


มือใหญ่โอบเบาๆบนไหล่คนรักอย่างนุ่มนวล


“... อยู่ครับอยู่... คุณญาณัช... ผมยาวสีดำสวยจังเลยนะ... พี่รามว่ารันทำมั่งดีมะ? สีดำ” ใบหน้าหวานยิ้มแย้มกับทั้งสองคนแล้วหันมาถามความเห็นพี่ชายตัวเอง


“ไม่อะ อย่าเลยรันหน้าไม่ให้ อย่างนี้น่ารักอยู่แล้ว” คนถูกถามส่ายหน้าพลางแกล้งจับปอยผมสีอ่อนของเจ้าตัว


“ถ้างั้นพวกผมไม่รบกวนแล้วครับ ต้องการอะไรเพิ่มเชิญเรียกได้นะครับ” เจ้าของร้านพูดแล้วโค้งอีกรอบ


“เดี๋ยวครับ! ทำไมร้านถึงชื่อ บ้านน้องนัท ล่ะครับ?” รัญชน์ร้องถามก่อนที่เจ้าของร้านจะได้เดินหายไป เขามองญาณัชที่หันไปมองหน้าของร่างสูงคล้ายกับจะหาคำตอบ บนใบหน้าของเขาคล้ายกับจะมีรอยขัดเขินอยู่


“ก็เพราะ....ที่นี่เป็นบ้านของผมกับน้องนัทไงครับ” คนตอบไม่ได้ให้ความกระจ่างอะไร หากแต่ดวงตาสีแปลกที่มองคนที่ยืนข้างๆกลับทำให้คนที่กระดกแก้วเบียร์เข้าปากรู้ได้ดี


หากไม่รัก....ดวงตาเข้มคงไม่สามารถอ่อนโยนได้ขนาดนี้


ราเมนทร์ส่งยิ้มให้แล้วแสร้งสนใจกับอาหาร ด้วยกลัวว่าหากมองมากเกินไปคงไม่มีนักเปียโนขี้อายเล่นดนตรีให้ฟังในคืนนี้แน่







To be continued...
หัวข้อ: Re: ・・・ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน5 เพิ่มเติมทีละนิด (04/01/13)
เริ่มหัวข้อโดย: nunnan ที่ 04-01-2013 20:48:46
อยากกินบ้างจังงง :z1: :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: ・・・ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน5 เพิ่มเติมทีละนิด (04/01/13)
เริ่มหัวข้อโดย: เฉาก๊วย ที่ 04-01-2013 21:37:00
คนอ่านอยู่ในช่วงกินเจ  อ่านตอนนี้ทำเอาเจเกือบแตก  :call:
หัวข้อ: Re: ・・・ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน5 เพิ่มเติมทีละนิด (04/01/13)
เริ่มหัวข้อโดย: Mookkun ที่ 05-01-2013 02:23:56
หิวขึ้นมาเบยยย
คุณเชฟน่ารักจังงงงง

ส่วนคุณพี่...ดุชิบ 555555.
รันน่าร้ากกกกกกกกกกกกกกกก >.<

:pig4:
หัวข้อ: ・・・ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน6 เมื่อฝนเป็นใจ (08/01/13)
เริ่มหัวข้อโดย: kagehana ที่ 08-01-2013 10:36:08
kagehana : เห็นน้องนัทโผล่มาในเรื่องที่ไรก็อดมุ้งมิ้งน้องไม่ได้ เป็นเคะไทป์ที่แพ้จริงๆ ส่วนน้องรันของเรา....จะเสร็จพี่หมอมั้ยนะ(เอ๊ะ?)



ขอให้สนุกกับการอ่านนะคะ


-6-









“... พี่ยุตอะ......” พอเดินพ้นจากโต๊ะของแขกที่เข้ามาทานอาหาร ญาณัชก็ทำเสียงเข้มใส่คนที่ยังโอบเขาเอาไว้


“ครับ” ทยุตแกล้งยื่นศีรษะเข้าไปใกล้เอียงหูชิดอีกฝ่าย


“นัทมีอะไรเหรอ”


คนตัวเล็กกว่ารีบหลบจากใบหน้าอีกฝ่ายที่ยื่นเข้ามา


“ไม่ต้องเลย....” ญาณัชพูดเสียงเข้มพลางใช้มือเรียวผลักใบหน้าของทยุตที่ยื่นเข้ามาใกล้


“ทำไมต้องทำอะไรน่าอายแบบนั้นต่อหน้าลูกค้าด้วย...” คนบ่นยังคงทำหน้ายุ่ง ญาณัชเดินหนีไปนั่งลงที่เก้าอี้เปียโนโดยมีสุนัขสองตัวมายืนขนาบข้างคล้ายกับจะรอฟัง


“ไส้กรอกกับลูกชิ้นยังว่าง่ายกว่าเลย”


“โฮ่ง แบ๊ก” สองตัวที่นั่งอยู่ใกล้ๆกระดิกหางเห็นด้วย ทำเอาคนที่เดินตามมาอดจะเขกกะโหลกตัวละทีไม่ได้


“ทีนี้ล่ะทำเป็นรู้มากนะไอ้พวกนี้” ทยุตเดินเข้ามาใกล้แล้วจับมือคนรักเบาๆ


“มีตรงไหนที่น่าอาย พี่ว่าการที่เราทำตัวปกปิดไม่ยอมรับต่างหากที่น่าอาย นัทเป็นน้องนัทที่พี่รักและภูมิใจมากๆนะครับ พี่ว่าคนอื่นเค้าคงอิจฉาพี่มากกว่าจะว่ามั้ง”


“.... นัทไม่ได้ปกปิดหรืออะไรซะหน่อย... ก็แค่ไม่ชอบทำต่อหน้าคนอื่นเฉยๆ บอกว่าเป็นแฟนก็ไม่ว่าหรอก” ร่างบางหันมายิ้มให้จางๆก่อนจะหันกลับไปวางนิ้วมือบนแป้นเปียโนสีขาว


“เอาเพลงอะไรก่อนดี...”


“Romance d’Amour เพลงที่เล่นให้พี่ฟังครั้งแรก..... นะครับ” เชฟหนุ่มก้มลงกระซิบข้างหูก่อนจะส่งยิ้มให้แล้วเดินกลับไปทำหน้าที่ตัวเอง


เสียงเปียโนหวานแผ่วดังขึ้นในสวนที่อบอวลด้วยความรักและความอบอุ่นส่งผ่านอาหารและบทเพลง ทยุตมองคนรักผ่านม่านมุ้งสีขาวที่กางกั้นไว้ เงาร่างเล็กบอบบางเคลื่อนไหวอย่างงดงามต่อเนื่องบนแป้นคีย์สร้างมหัศจรรย์ให้กับวันธรรมดาของใครหลายๆคน


มนต์วิเศษ... ที่ทำให้กลายเป็นค่ำคืนพิเศษ


 


////////////////////////


 

“มาทั้งเปียกๆเลยเหรอครับ?” คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หันมามองแล้วขมวดคิ้วใส่


“เดี๋ยวก็ไม่สบายอีกหรอกคุณรัน” ธนกฤตมองหาผ้าที่พอจะมี แต่เสียดายที่ไม่มีอะไรที่ใช้ได้เลย


“ผมไม่มีร่มครับ ฝนตกหนักด้วย ถ้าไม่มาเดี๋ยวผมไม่มียากิน ไม่หายซักทีจะทำไงครับ?” เด็กหนุ่มร่างเล็กเอ่ยตอบด้วบใบหน้ายิ้มแย้ม มือยกขึ้นเสยผมม้าที่เกาะติดตามใบหน้าออกแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ


“ทำให้ห้องเปียกเลย.... ขอโทษด้วยนะครับ”


“เรื่องห้องเปียกน่ะช่างเถอะ” ธนกฤตนึกขึ้นได้ก็รีบล้วงผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าเสื้อเชิ้ตส่งให้


“หมอให้ สะอาดแน่นอนดมพิสูจน์ได้”


นายแพทย์หนุ่มรีบเขียนรายการยาบนโต๊ะแล้วยื่นส่งพร้อมเงินในกระเป๋าของตัวเองฝากกันยาให้ไปเอายาพร้อมจ่ายเงินให้


“คุณรันนั่งรอที่นี่แหละ เช็ดหน้าเช็ดตาไปก่อน หนาวไหมครับ”


“นิดหน่อยครับ แต่ไม่เป็นไร ก็เย็นดีนะ” รัญชน์ยิ้มกว้างพลางรับผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กมาคลี่ออกแล้วทาบลงบนใบหน้า


“อือ... หอมจัง...”


“..........” จะว่าพูดไม่ถูกก็ไม่เชิง แต่ธนกฤตรู้สึกว่ากิริยาแบบเด็กๆของคนตรงหน้าดูแล้วน่ารักจริงๆ


“งั้น... เดี๋ยวหมอไปขอผ้าขนหนูมาให้แล้วกันนะ”


เจ้าของไข้ทิ้งคนไข้ไว้ในห้องแล้วออกตามหาผ้าเช็ดตัว พอดีกับที่นางพยาบาลหน้าห้องได้ยามา เขาเลยได้เดินเข้าห้องมาทั้งผ้าและยาพร้อมกัน


“นี่ยาครับ แล้วนี่ผ้า ส่วนนี่....” ร่างสูงถอดเสื้อกาวน์ออกพาดบนพนักพิงแล้วหนีบกระเป๋าคู่กายใบเล็กไว้ในแขน


“กุญแจรถ...เดี๋ยวให้หมอไปส่งที่บ้านนะ”


“ไม่ต้องก็ได้ครับ วิ่งแว้บเดียวถึงบีทีเอสละ” เด็กหนุ่มรีบปฏิเสธก่อนจะรับผ้าขนหนูผืนนุ่มมาโปะๆลงบนศีรษะของตัวเอง ขยี้ให้พอแห้งแล้วก็ส่งคืน


“ไม่เอาครับ หมอจะกลับพอดี คาร์พูลไงประหยัดน้ำมันทางเดียวกันไปด้วยกัน” รับผ้าขนหนูมาแล้ววางลงบนโต๊ะ หมอหนุ่มยิ้มหวานพูดต่อ


“ไม่ให้ส่งหมอไม่ยอมนะ ครึ่งนึงก็เป็นความผิดหมอที่นัดคุณรันมาทุกวันด้วยล่ะ ไม่งั้นคุณรันก็คงไม่เปียกขนาดนี้หรอก”


“... หมอไม่ผิดหรอกครับ ฮะฮะฮะ” ได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายพูดเข้าก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา


“ครับๆ ไปส่งผมก็ได้... ขอบคุณนะครับ” ริมฝีปากบางค่อยๆแย้มรอยยิ้มให้


“ไปครับ อ๊ะ เอาไปด้วยดีกว่า” ธนกฤตคว้าผ้าขนหนูมายื่นให้แล้วออกเดินนำ


“ผ้าเช็ดไปเรื่อยๆแล้วทิ้งไว้ในรถหมอนะ เดี๋ยวหมอเอามาคืนเอง”


“ครับ” คนตัวเล็กกว่ารีบก้าวขาตามให้ทัน


“หมอบีมใจดีจัง”


“เด็กๆก็พูดแบบนี้ครับ แต่พอผมพาไปฉีดยาเจาะเลือดบ่นอุบว่าใจร้ายกันทุกคน”


เมื่อเดินมาถึงรถหมอหนุ่มก็กดสัญญาณเปิดแล้วเปิดประตูข้างคนขับให้


“ออกนอกโรงบาลไม่มีหมอกับคนไข้แล้วนะครับ ผมขี้เกียจแทนตัวว่าหมอตลอดเวลา...เก๊กเมื่อย” พูดจบก็หัวเราะเบาๆแล้วขึ้นประจำที่นั่งคนขับ


คนตัวเล็กหัวเราะตามไปด้วยก่อนจะใช้ผ้าขนหนูที่ได้มาวางรองบนเบาะนั่ง แล้วค่อยก้าวขึ้นรถ


“คุณหมอบีมเป็นคนตลกดีนะครับ”


“ครับ น้องสาวผมยังบอกเลยว่ามัวแต่ตลกแฟนเลยทิ้งหมด”


ธนกฤตหมุนพวงมาลัยขึ้นสู่ถนนใหญ่ และเป็นเหมือนทุกวันที่ฝนตก... คือรถติด ปกติแล้วตัวเขาเองไม่ค่อยหงุดหงิดกับรถติดเท่าไรเพราะถึงอารมณ์เสียไปก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี


“คุณรันหนาวไหมครับ.... ผมหรี่แอร์นะ”


“ไม่เป็นไรครับ ผมชอบนะ... เย็นดี” คนพูดไม่พูดเปล่า ซ้ำยังหลับตายิ้มแย้มให้กับลมเย็นที่พ่นออกมาตรงหน้า


“แต่คุณหมอบีมก็ตลกจริงๆแหละครับ ผมว่าผู้หญิงน่าจะชอบคนตลกไม่ใช่เหรอครับ แบบ... ทำให้ยิ้มได้ตลอดเวลา อะไรแบบนั้น... ไหมนะ”


“ตลกน่ะดีครับแต่ไม่รู้ทำไม... สงสัยผมจะไม่ค่อยมีเวลาให้เค้ามั้งเลยทิ้งผมไปหมดเลย แล้วคุณรันชอบคนตลกไหมครับ... ลองถามผู้ชายดูบ้างเผื่อจะเปลี่ยนแนว” คนขับรถพูดยิ้มๆพลางลอบมองใบหน้าขาวๆที่หลับตาพริ้ม ยิ่งมองยิ่งรู้สึกน่ารักจนไม่อยากเชื่อว่าเป็นผู้ชายจริงๆ


“ถ้าตลกอย่างคุณหมอก็ขำดีครับ” รัญชน์เอ่ยตอบก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ เด็กหนุ่มลืมตาขึ้นมาแล้วมองคนข้างๆ


“ไม่เหมือนพี่ชายผม คนนั้นน่ะคาสโนว่า...” ริมฝีปากสีชมพูอ่อนแย้มรอยยิ้มยามพูดถึงพี่ชายตัวโตที่มีแต่สาวๆมาติดพัน


“ก็คงงั้นแหละครับ แต่ผมว่าการจะรักใครสักคน... ถ้าจริงจังกับคนๆนั้นแค่คนเดียวคงดีกว่า” เขาไม่ได้ไม่ชอบที่ผู้ชายส่วนใหญ่เจ้าชู้ แต่ถ้าเป็นตัวเขา เขาอยากจะให้ความสำคัญกับคนรักแค่เพียงคนเดียวมากกว่า


“คุณรันหนาวหรือเปล่าครับ ตัวสั่นๆ...หมอเปิดแอร์แรงไปใช่ไหมครับ” ธนกฤตขยับลดแอร์ แต่ข้างนอกที่ฝนตกหนักก็ไม่ได้ช่วยบรรเทาเท่าใดเลย


“... ปกติครับ... ผมชอบที่หนาวๆมากกว่าที่อุ่นๆอยู่แล้ว ไม่ต้องกังวลขนาดนั้นก็ได้ครับ” เด็กหนุ่มอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเมื่อรู้สึกได้ว่าธนกฤตแสดงความเป็นห่วงออกมา— ไม่ต่างกับพี่ชายของตน


“ไม่ดีต่อสุขภาพนะครับ ยิ่งตัวเล็กๆอยู่....ทำไมวันนี้รถติดจัง” ธนกฤตบ่นเบาๆเมื่อรถที่เคลื่อนออกได้หยุดอยู่ตรงห่างจากจุดเดิมไม่ถึง2เมตร


เขานึกเป็นห่วงคนนั่งข้างๆ ถึงจะบอกว่าชอบอากาศเย็นก็เถอะ แต่เพิ่งหายป่วยมาอย่างนี้จะให้นั่งตากแอร์จนสั่นคงไม่ไหว


“บ้านคุณรันยังอีกไกล ถ้ายังไงแวะห้องผมเปลี่ยนเสื้อก่อนไหม แล้วเดี๋ยวผมค่อยส่งที่บ้าน”


“อ้าว? บ้านคุณหมอไม่ได้อยู่เลยบ้านผมเหรอครับ?” คราวนี้รัญชน์หันมามองหน้าของคนที่กำลังขับรถอยู่ด้วยความแปลกใจ เพราะคิดว่าบ้านของตัวเองเป็นทางผ่านคราวก่อน ถึงได้ยอมติดรถไป


“ผมมีหลายบ้านครับ” ....บ้านนึงอยู่ก่อน ส่วนอีกบ้านไปอีกทางน่ะนะ


“คอนโดผมถึงก่อนไม่ไกลจากที่คุณเท่าไหร่ แต่ขืนรถติดอย่างงี้ได้เป็นหวัดแน่” นัยน์ตาอ่อนโยนเหลือบมองคนนั่งข้างๆ


“ถ้าคุณรันไม่รังเกียจแวะไปที่บ้านผมนะ”


เด็กหนุ่มนึกถึงสิ่งที่พี่ชายเตือนไว้ก่อนหน้า จะกลายเป็นแบบหมออ้วนพอลไหมก็ไม่รู้


“... ก็ได้ครับ ไม่เป็นไร” รอยยิ้มแต้มขึ้นบนใบหน้า


อาจจะเป็นเพราะว่ารู้สึกดีๆด้วยมาก่อนหน้านี้ถึงได้ไม่รู้สึกกลัวอะไร


“อืม” หมอหนุ่มขับรถไปอีกพักหนึ่งก็เลี้ยวเข้าซอยใกล้ๆ คอนโดของเขาอยู่ใกล้รถไฟฟ้าและถนนทำให้ราคาค่อนข้างสูงพอสมควร แต่เพื่อความสะดวกก็คุ้มอยู่


ธนกฤตลดกระจกลงทักทายยามแล้วขับเข้าไปยังที่จอดรถที่แบ่งชั้นและห้องไว้อย่างชัดเจนก่อนจะดับเครื่องแล้วปลดล็อก


“ทิ้งผ้าไว้นี่แหละคุณรัน เดี๋ยวผมเอาผืนใหม่ให้นะ”


“ขอบคุณครับ” รัญชน์เอ่ยบอกก่อนจะก้าวลงจากรถ แต่เขาก็ไม่ลืมที่จะหยิบเอาผ้าขนหนูมาด้วย ใบหน้าหวานมีรอยยิ้มจางๆประดับอยู่


ชายหนุ่มพาคนไข้ของเขาเข้าลิฟท์ไปยังห้องส่วนตัวที่อยู่ชั้นสูงเกือบสุด ธนกฤตเสียบคีย์การ์ดและไขกุญแจก่อนจะดันประตูกว้างเพื่อให้คนที่ตามมาเข้าไปได้


“ห้องคนโสด รกหน่อยนะครับ”


ไฟสีนวลตาถูกเปิดขึ้นให้เห็บห้องกว้างที่มีโซฟาสีครีมอ่อนวางอยู่หน้าทีวีและเครื่องวีดีโอเกมที่วางทิ้งไว้


“ไม่รกเท่าไหร่ครับ ฮะฮะฮะ” รัญชน์หัวเราะออกมาเบาๆขณะที่มองไปรอบๆห้อง


“ดีจังครับ ผมว่าแล้วว่ายัยแบมมันพูดเกินจริง” ร่างสูงเดินเร็วๆไปที่ตู้แล้วคว้าผ้าเช็ดตัวมายื่นให้


“อาบน้ำก่อนเลยครับ เดี๋ยวผมขอขยับของแป๊บ”


“ขอบคุณนะครับ” รัญชน์รับเอาผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่มาคลุมศีรษะของตัวเองไว้แล้วหันซ้ายทีขวาที


“... ทางไหนครับ?”


“ตรงไปเลยครับ อยู่ติดกับห้องนอน” คนพูดหยิบข้าวของที่วางเกะกะจัดให้เข้าที่แล้วถอดเนคไทออกพร้อมเสื้อเชิ้ตก่อนจะมองหาเสื้อยืดใส่เล่นที่มักจะพาดไว้บนโซฟา


“อีะ เสื้อผมอยู่ในตู้นะ หยิบเอาได้เลย”


ร่างบางก้าวเดินไปตามที่อีกฝ่ายบอกก่อนจะหายเข้าไปในห้องน้ำ รัญชน์กวาดตามองไปรอบๆก่อนจะคิดว่าตัวเองอาจจะกำลังสำรวจเกินจำเป็น เขาจึงถอดเสื้อผ้าที่เปียกชื้นออกจากร่างกายแล้วค่อยเปิดฝักบัวเพื่ออาบน้ำ


หลังจากปล่อยให้สายน้ำอุ่นกำจัดความเย็นที่เกาะตามผิวกายออกไปได้แล้ว รัญชน์ก็หันมาสระผมพอให้ไม่เป็นหวัด จากนั้นถึงค่อยปิดน้ำแล้วใช้ผ้าขนหนูผืนใหญ่ที่พาดศีรษะเข้ามาเมื่อครู่เช็ดผิวกายลวกๆแล้วเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า


“.... มีแต่เสื้อใหม่ๆ” เด็กหนุ่มพึมพำออกมา ด้วยความเคยชินของเจ้าตัวทำให้สุดท้าย ร่างบางก็เดินออกมาจากห้องน้ำโดยมีผ้าเช็ดตัวพันอยู่รอบเอว


“ขอโทษนะครับ... มีเสื้อแบบที่จะทิ้งแล้วไหมครับ”


ธนกฤตที่ถือขวดนมกำลังจะอุ่นเงยหน้าขึ้นมองตามเสียงเรียก และในวินาทีนั้น...ก็เหมือนหัวใจไหววูบอย่างรุนแรง


ร่างบอบบางที่ผิวขาวสะอาดตาแปรเป็นสีแดงระเรื่อจากน้ำอุ่น เส้นผมสีอ่อนหมาดชื้นลู่ตามรูปหน้าได้สัดส่วน เขาแอบไล่สายตาดูแผ่นอกที่เจ้าตัวไม่ได้ระวังสักนิดแล้วก็ได้แต่หลบตาเพราะนัยน์ตาสีแปลกของเจ้าตัวที่มองเขาอย่างบริสุทธิ์ใจ


...ซวยแล้ว...ดันคิดว่าผู้ชายน่ารักซะได้..


“เอ่อ...ไอ้มีก็มีอยู่หรอกครับ...แต่เอาไปทำไมล่ะ” เสียงตะกุกตะกักที่ปล่อยออกมาทำเอาแทบอยากตบหัวตัวเอง


...ตัวเล็กน่ารักชะมัด...


“คุ..คุณรันเอาเสื้อในห้องผมสิครับ”


“... ผมชอบครับ มันนิ่มดี ถ้าคุณหมอจะทิ้งอยู่แล้ว ก็ให้ผมแทน ดีไหมครับ” รัญชน์ไม่พูดเปล่า เด็กหนุ่มแย้มรอยยิ้มไปทั่วใบหน้า คล้ายกับจะโน้มน้าวใจร่างสูงให้เห็นด้วย— ตามความเคยชินที่ชอบยิ้มบังคับราเมนทร์กลายๆ


“คุณรันไปเช็ดผมก่อนนะครับ เดี๋ยวเอาไปให้ ที่ห้องนอนมีไดร์เป่าผมด้วยใช้ได้นะครับ”


ธนกฤตบอกให้อีกฝ่ายไปแล้วแสร้งทำท่าสนใจขวดนมในมือกับกระปุกน้ำผึ้ง


...อันตราย...


...ดันเผลอไปคิดถึงฝันตอนนั้นอีกแล้ว...


“ขอบคุณครับ—” คนตัวเล็กเอ่ยบอกอย่างเริงร่าพลางเดินเข้าไปในห้องนอนของอีกฝ่าย แกะผ้าเช็ดตัวที่พันเอวออกมาเช็ดปลายผมให้พอแห้ง จากนั้นค่อยเอามาคลุมร่างกายไว้ลวกๆขณะเป่าผมให้แห้ง


“................”


คนที่เดินถือเสื้อกับนมน้ำผึ้งอุ่นๆมาให้เหมือนโดนโจมตีต่อเนื่อง ให้ร้อยคน...ต่อให้เป็นผู้ชายกว่าครึ่งเจอแบบนี้ก็อดจะหลงไม่ได้


“บ้าเอ๊ย..” เค้าพึมพำกับตัวเองเบาๆแล้วปรับสีหน้าให้เป็นปกติ


...นั่นมันคนไข้ แถมเป็นผู้ชายอีก...


...อย่ามาบ้าแถวนี้ไอ้บีม...


“เอ่อ...เสื้อกับนมอุ่นครับ”


พอได้ยินเสียงเรียก รัญชน์ก็วางไดร์เป่าผมลงบนโต๊ะแล้วใช้ผ้าขนหนูต่างผ้าห่ม คลุมตัวไว้แล้วเดินมารับแก้วนมกับเสื้อตัวเปื่อยนิ่ม


“ขอบคุณครับ คุณหมอไม่ถือใช่ไหมครับ ถ้าจะเอาไดร์เป่าเสื้อผ้าผม”


“ครับ ตามสบายเลย” ธนกฤตไม่รู้จะบอกยังไงกับต้นขาขาวๆที่ถูกผ้าเช็ดตัวปิดไว้แบบหมิ่นเหม่ มือใหญ่วางแก้วนมลงบนโต๊ะในห้องนอนแล้วเสมองพื้นพรมในห้อง


“จริงๆคุณรันทิ้งไว้ก็ได้ เดี๋ยวผมให้แม่บ้านที่นี่ซักแล้วเอาไปให้ที่โรงบาล”


สงสัยเพราะไม่ได้มีอะไรกับใครนาน...ความรู้สึกมันถึงอึดอัดจนเป็นแบบนี้


...ขืนเปิดมากกว่านี้อีกนิดไอ้หมอบ้าตรงนี้มีระเบิดตัวตายแน่


“... ผมใส่เสื้อตัวเดียวกลับบ้านคงไม่ดีแน่... แค่บ๊อกเซอร์... ตากไว้เดี๋ยวก็แห้งมั้งครับถ้างั้น” คนพูดหัวเราะเบาๆแล้วยกแก้วนมขึ้นดื่มโดยที่มือข้างหนึ่งยังจับผ้าเช็ดตัวเอาไว้


“เอากางเกงขาสั้นผมไหม ยังมีนะ....แต่ฝนยังตกอยู่ คุณรันใส่เสื้อเป่าผมแล้วมานั่งเล่นก่อนดีกว่าเนอะ”


ธนกฤตพูดยิ้มๆแล้วมองไปรอบกาย ทั้งเตียงนอน..ทั้งบรรยากาศดูจะเป็นใจไปหมดจนอดคิดไม่ได้ว่าพระเจ้ากำลังกลั่นแกล้งตัวเขาอยู่หรือเปล่า


พระเจ้าครับ....ถึงจะน่ารักแค่ไหนแต่ก็เป็นผู้ชายนะ


“คือ...ผมไปรอข้างนอก...นะครับ”


“ครับ ยืมก็ได้... ผมใส่คงกลายเป็นสามส่วน” รัญชน์หัวเราะออกมาอีกครั้งก่อนจะยกนมขึ้นดื่มอีกครั้ง นัยน์ตาสีน้ำตาลอมเทาลอบมองแผ่นหลังกว้างของคนที่เพิ่งเดินออกจากห้องไป เด็กหนุ่มอมยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงความมีน้ำใจที่ธนกฤตมีให้กับคนไข้อย่างเขาจนทำให้เกิดความรู้สึกดีๆขึ้นมา


...ไว้อบคุกกี้มาฝากดีกว่า...


“คุณรันครับ กางเกง” กลับเข้ามาอีกครั้งร่างบอบบางก็ยังนุ่งผ้าเช็ดตัวอยู่ ธนกฤตยื่นส่งกางเกงให้จากด้านนอกห้องแล้วโบกเบาๆให้อีกฝ่ายสนใจ


“หิวข้าวไหมครับ เดี๋ยวผมทำอะไรรองท้องให้ก่อนไหม อยากกินอะไรดีครับ”


“ไม่เป็นไรครับ นมนี่อร่อยแล้ว” ริมฝีปากบางแย้มรอยยิ้มหวานให้


“ฝนยังไม่หยุดเลย รองท้องหน่อยเนอะ” หมอหนุ่มวางวางเกงลงที่ชั้นแล้วปลีกตัวเองออกมายังห้องครัว


เขาหั่นแฮมเป็นชิ้นหนาพร้อมๆกับปิ้งขนมปังจนได้ที่ก่อนจะประกบรวมแล้วใส่เครื่องแซนวิชอื่นๆ มือใหญ่เคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วจนได้กองแซนวิชเกือบพูนจาน นมชมพูที่ชงไว้ถูกรินใส่แก้วทรงสูงยกไปวางหน้าทีวีก่อน พอยกแซนวิชตามมาก็เป็นอันเสร็จ


ธนกฤตทิ้งตัวลงบนโซฟาแล้วคว้ารีโมทมาเปิดทีวีฆ่าเวลา






To be continued...

--------
หัวข้อ: Re: ・・・ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน6 เมื่อฝนเป็นใจ (08/01/13)
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 08-01-2013 12:41:44
คุณหมออออออออออออแฟนคนไหนหนอชักทิ้งได้ลงคอ แบบนี้ไม่มีอีกแล้วนะคะ
หัวข้อ: Re: ・・・ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน6 เมื่อฝนเป็นใจ (08/01/13)
เริ่มหัวข้อโดย: nunnan ที่ 08-01-2013 15:35:57
อิอิ จะกลายร่างเป็นหมาป่าแล้ววว o18 o18
หัวข้อ: ・・・ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน 7 คุณหมอขี้เหงา (12/01/13)
เริ่มหัวข้อโดย: kagehana ที่ 12-01-2013 18:15:17

kagehana : <3 น้องรัน สั้นๆค่ะ ฮิ






-7-






“เสร็จแล้วครับ” ร่างเล็กเดินออกมาพร้อมกับแก้วนมในมือ


“หอมจัง” รัญชน์วางแก้วลงตรงหน้าทีวีแล้วเอื้อมหยิบแซนด์วิชมาหนึ่งชิ้นก่อนจะนั่งลงบนโซฟาแล้วยกเข่าขึ้นมา


“ทำไมนมถึงเป็นสีชมพูล่ะครับ”


“ผมชอบครับ นมชมพู เอาน้ำแดงใส่นมแล้วหวานๆหอมๆดี”


ธนกฤตหันไปมองต้นขาขาวๆที่โผล่พ้นชายเสื้อจนเกือบจะเห็นสะโพก ก่อนจะหันหน้าออกทันที


...บ้าจริง...ต้นขาทำลายล้าง...


“แซนวิชแฮมอร่อยไหมครับ หมอเคยแต่ทำกินเองเลยไม่มั่นใจ”


“อ๋อ... อ๊ะ! กางเกง!” รัญชน์นึกขึ้นได้ก็ลุกพรวดจากโซฟา วางแซนด์วิชลงที่เดิมก่อนจะคว้ากางเกงมาสวมเข้า มือสองข้างผูกเชือกที่เอวเข้าจนสุด ก็ยังเป็นกางเกงที่ยาวเลยเข่าอยู่ดี


“คุณหมอตัวสูง ฮ่าๆ เลยกลายเป็นอย่างนี้เลย”


เจ้าของกางเกงได้แต่ลอบหายใจเฮือก ยังดีที่อีกฝ่ายนึกได้ทัน


“คุณรันต่างหากที่ตัวเล็ก สงสัยจะโดนพี่ชายแย่งทานหมดมั้ง...แล้วตอนนี้คุณรันทำอะไรอยู่เหรอครับ กำลังเรียนต่อเหรอ”


“เรียนจบแล้วครับ ตอนนี้ก็... พักผ่อน... งดรับงานถ่ายแบบชั่วคราวครับ” เด็กหนุ่มหันมาตอบพร้อมทั้งยิ้มกว้างให้ ร่างเล็กหยิบแซนด์วิชขึ้นมาอีกครั้งแล้วเดินกลับมานั่งบนโซฟาดังเดิม มือสองข้างยกเอาแซนด์วิชขึ้นกัดคำหนึ่งแล้วก็หันมามองคนที่อยู่ข้างๆ


“อร่อยดีครับ...”


“โห เป็นนายแบบด้วย เก่งจังครับ ท่าทางจะสนุกเนอะ” นัยน์ตาสีเข้มมองเด็กหนุ่มนั่งกินแซนวิชอย่างเอ็นดู


“แล้วอยากเรียนต่อที่ไหนเหรอครับ ต่างประเทศป่ะ”


“สนุกสิครับ... แต่ผมยังไม่เรียนต่อหรอก อยากพัก ชิวๆ” เมื่อแซนด์วิชหมดมือ เขาก็ยกขาขึ้นมากอดเข่าไว้แล้วแนบแก้มลงกับขาตัวเอง


“ก็... สบายครับตอนนี้”


หลังจากที่ได้คุยคร่าวๆ ธนกฤตรู้สึกว่าอีกฝ่ายยังมีความเป็นเด็กอยู่มาก เขาส่งยิ้มจางๆอย่างเอื้อเอ็นดูด้วยความรู้สึกเหมือนเห็นน้องชายตัวเล็ก


“งั้นก็ว่างเยอะเลยสิ น่าอิจฉาจัง พี่...เอ่อ...ผมทำงานหัวหมุนจนอยากลาพักร้อนไปเที่ยวทะเลสักอาทิตย์เลย” คำแทนตัวที่หลุดปากออกมาทำเอาแทบจะกัดลิ้นตัวเอง...แต่ก็ยังเนียนผ่านไปได้แบบหน้าตาเฉย


“ก็น่าจะหาเวลาว่างบ้างนะครับ ทำงานอย่างเดียวเครียดตายพอดี” เด็กหนุ่มหน้าหวานยิ้มกว้างให้ก่อนจะยืดแขนยืดขาออกมาจนสุด


“เบื่อจัง...”


“เบื่อหน้าผมเหรอครับ” คนพูดพูดยิ้มๆอย่างตั้งใจจะแหย่


“ฝนตกนานจังเนอะ ทนหน่อยแล้วกันนะครับเดี๋ยวลุยฝนไม่สบายอีก”


“ยังไม่เบื่อหรอกครับ...” คนพูดมองไปรอบๆห้องอีกครั้ง สภาพห้องดูยังไงก็เหมือนเอาไว้ใช้นอนเท่านั้น ที่บอกว่าไม่มีแฟนก็คงจะเป็นเรื่องจริงเพราะแทบไม่มีอะไรในห้องที่จะบอกว่ามีแฟนได้เลย


“คุณหมอมีกล้องไหมครับ”


“มีครับ แต่เป็นแบบคอมแพคธรรมดานะ” พูดจบก็ลุกขึ้นไปหยิบมาให้ มันเป็นกล้องแบบธรรมดาที่สามารถหาได้ตามร้านทั่วไปในราคาและประสิทธิภาพที่น่าพอใจ


“แต่ว่า...คุณรันเอามาทำไมเหรอครับ”


“เป็นตากล้องให้คุณหมอเล่นไงครับ” รัญชน์ยิ้มหวานก่อนจะลุกขึ้นจากโซฟา ร่างบางหันมาหาอีกครั้งแล้วเอียงศีรษะเล็กน้อย


“หรือคุณหมออยากจะเป็นคนถ่ายครับ?”


“เนื่องจากผมหล่อเกินไป ขอเป็นอย่างหลังดีกว่าครับ” หมอหนุ่มรีบฉวยกล้องมาจนกุมมืออีกฝ่ายอย่างไม่ตั้งใจ


มือใหญ่ละออก..ทั้งที่ความรู้สึกแปลกประหลาดยังคลุมเครือ ชายหนุ่มยกกล้องขึ้นวัดแสงก่อนจะกดถ่ายทั้งที่อีกฝ่ายยังเผลอ


“ฮ่าๆๆ คุณรันรูปนี้แก้มกลมเชียว”


“อ๊ะ อย่าสิครับ แบบนี้ไม่เอา ให้ผมตั้งตัวก่อนสิครับ” แม้จะพูดอย่างนั้น แต่เจ้าตัวก็ยังหัวเราะเบาๆ เขามองไปรอบๆอีกครั้ง แล้วก็เข้าไปจับข้อมือของร่างสูงเอาไว้


“มาทางนี้ครับ” ร่างเล็กพาธนกฤตให้เดินตามเข้าไปในห้องน้ำ มือเอื้อมเปิดก๊อกน้ำตรงอ่างล้างหน้า แล้ววักน้ำขึ้นมาล้างหน้า รัญชน์ปล่อยให้หยดน้ำค่อยๆไหลไปตามรูปหน้าโดยไม่เช็ดออก


“ถ่ายสิครับ”


ถึงจะบอกให้ถ่ายได้แต่คนถือกล้องทำได้เพียงยืนนิ่งจับจ้องการเคลื่อนไหวของหยดน้ำที่ค่อยๆไหลลงจากปลายจมูกโด่งรั้น ใบหน้าหวานส่งยิ้มที่หวานกว่ามาทักทาย ริมฝีปากสีอ่อนจางดูเย้ายวนและชุ่มชื่น...เชิญชวนแม้ไม่ได้เอ่ยปากพูด


...จะอร่อยไหมนะ...


หมอหนุ่มกระพริบตาขับไล่ความคิดชั่วแล่น เขายกกล้องลั่นชัตเตอร์เก็บภาพคนตัวเล็กไว้


“โหย คุณรันขึ้นกล้องสุดๆอ่ะ ตอนแรกยังนึกเลยว่าตัวเล็กแบบนี้ทำไมถึงได้เป็นนายแบบ....แต่ตอนนี้ไม่สงสัยแล้ว”


“ฮะฮะฮะ...” มือเรียวได้รูปยกขึ้นมาเช็ดหยดน้ำตรงช่วงเหนือริมฝีปากออก แต่ก็ค้างมือไว้ สายตาจับจ้องเลนส์กล้องนิ่งไม่กระพริบตา


ธนกฤตจ้องมองนัยน์ตาสีสวยที่สบกันผ่านเลนส์ ปลายนิ้วกดโฟกัสค้างไว้แต่ยังไม่ลั่นชัตเตอร์


สีสวยอันแสนลึกลับจากนัยน์ตาที่สบผ่านทำให้ราวกับตกอยู่ในห้วงแห่งภวังค์ แรงดึงดูดไร้ที่มาเร่งให้เขาขยับกายเข้าใกล้ร่างบอบบางมากขึ้น จวบจนอีกฝ่ายกระพริบตาตากล้องจำเป็นถึงจะรู้สึกตัว


...ทำไมหัวใจถึงต้องเต้นซะเสียงดังด้วยนะ...


ปลายนิ้วสากที่สั่นนิดๆกดชัตเตอร์อย่างรวดเร็วแล้วลดกล้องลง


“เปียกไปหมดแล้วครับ อุตส่าห์หลบฝนยังมาเปียกในห้องน้ำอีก”


คนเป็นนายแบบชั่วคราวหรี่ตามองก่อนจะยิ้มให้อีกครั้ง มือเอื้อมไปหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กขึ้นมาถือไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง ก่อนจะซับหยดน้ำออกจากใบหน้าเบาๆ โดยที่ยังไม่ละสายตาไปจากกล้อง สีหน้าของรัญชน์คล้ายกับจะประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนจะค่อยยิ้มออกมาอีก ปล่อยอารมณ์หลากหลายออกมาทางใบหน้าของตัวเอง


“แค่นี้ก็แห้งแล้วครับ นิดเดียว”


“ครับ... ไปนั่งเล่มเกมกันดีกว่า... นะ?” ขืนอยู่ต่อไปไม่นานคงได้เผลอลืมตัวกันแน่ ร่างสูงเลยรีบหันหลังแล้วเดินดุ่มๆออกมาทันที


“คุณรันอยากเล่นเกมอะไรครับ” ธนกฤตนั่งลงกับพื้นแล้วดึงแผ่นเกมในตะกร้าที่ซุกไว้ออกมา


“เกมส์อะไรครับ Wii?” ร่างเล็กรีบวิ่งตามมาดู ปกติเวลาอยู่บ้านกับราเมนทร์ เขามักจะชวนพี่ชายเล่นเกมส์ด้วยกันบ่อยๆ จึงอดไม่ได้ที่จะอยากเล่นกับคนอื่นอีกเหมือนกัน


“!อ๊ะ—” ปลายเท้าของรัญชน์เหยียบชายกางเกงที่ค่อยๆเลื่อนลงมาเพราะปมที่ผูกไว้เริ่มคลายออก ส่งผลให้เด็กหนุ่มล้มลงไปข้างหน้า


“ระวั—!!”


ทันทีที่เห็นคนตัวเล็กเสียหลัก มือใหญ่ที่กำลังประกอบเกมอยู่ก็ทิ้งลงแล้วเอื้อมมารั้งไว้แล้วดึงเข้าสู่อ้อมกอด น้ำหนักที่โถมทับลงส่งผลให้ตัวเขาหงายหลังลงกับพื้นที่นั่งอยู่ทั้งๆที่ยังกอดรัญชน์เอาไว้


ธนกฤตรู้สึกเหมือนโลกกำลังตีลังกา ศีรษะที่โขกกับพื้นทำให้ตาลายจนได้แต่หลับตาแล้วกอดคนในอ้อมกอดแน่นขึ้น


“เจ็บหรือเปล่าครับ” เขาถามเสียงแผ่วทั้งที่ยังมึนๆ


“ผมต่างหากที่ต้องถามคุณหมอ ฮะฮะฮะ อุตส่าห์รับผมไว้ ขอบคุณนะครับ” รัญชน์ค่อยๆดันตัวขึ้นจากอ้อมกอดของเจ้าของห้องและไข้


“ที่ผูกไว้มันหลุดนะ เลยเหยียบเลย” ร่างบางหัวเราะเบาๆออกมา


“เดี๋ยวนะครับ ขอผมดูก่อน” คนเป็นหมอดันอีกฝ่ายแล้วลุกตาม เขาจับแขนและขาของคนที่อยู่ด้านบนมาสำรวจ


“ไม่มีแผล...... ดีจัง”


“คุณหมอล่ะครับ?” รัญชน์ยืนอมยิ้มถามขณะเงยหน้ามองอีกฝ่าย ดูให้แน่ว่าไม่มีแผลที่ศีรษะเป็นพอ


“ผมเก่งครับ หัวแข็ง มึนนิดๆแป๊บเดียวก็หาย” ชายหนุ่มยิ้มจนตาปิดยืนยันว่าไม่เป็นไร


“ป่านนี้แล้วฝนยังไม่หยุดเลย ให้ผมขับไปส่งก่อนไหมครับเดี๋ยวพี่ชายคุณจะเป็นห่วง แต่คงเดินทางนานนิดนึงนะผมว่า”


ข้างนอกฟ้ามืดแล้ว...แถมสายฝนก็กระหน่ำอย่างไม่รู้เวลา ไม่ต้องมองลงบนท้องถนนก็เดาได้ว่ารถติดไม่ขยับแน่นอน


“นั่งเล่นก่อนก็ได้ครับ หรือถ้าคุณหมอเบื่อแล้ว ก็ย้ายไปนั่งเล่นในรถก็ได้... พี่ผมคงไม่กลับมั้งครับวันนี้” นัยน์ตาสีน้ำตาลอมเทาทอประกายสดใส ไม่เหลือคราบคนป่วยในวันก่อนเลยแม้แต่น้อย


“งั้นผมไปส่งนะ”


ธนกฤตจัดการแซนวิชที่เหลือห่อแรปใส่ลงในกล่องพลาสติกของที่บ้านแล้วถือกุญแจรถเดินกลับมาหาคนตัวเล็ก


“อันนี้ฝากไปกินที่ห้องนะครับ กินเยอะๆจะได้ตัวโตเร็วๆ ป่ะ กลับบ้านกัน”


รัญชน์ยิ้มให้ก่อนจะเอ่ยตอบพร้อมเสียงหัวเราะ ขณะเดินตามร่างสูงออกจากห้องไป


“ผมคงไม่โตแล้วล่ะครับ ตัวเล็กแบบนี้ก็ดีแล้ว”



///////////////////////////


 

 

หลังจากปล่อยให้รถกลับเข้ามาวิ่งบนถนนอีกครั้ง สภาพการจราจรที่ติดขัดไม่ขยับนิ่งไปไหนเลยทำให้เด็กหนุ่มร่างเล็กหัวเราะออกมาเบาๆ


“กรุงเทพนี่ไม่เหมือนที่นู่นเลยแฮะ... รถติดบ้าเลือดมากนะ...”


“ครับ ติดกันจนชินแล้ว ผมยังเคยคิดเลยว่าอยากไปขับรถต่างจังหวัดที่มันไม่มีรถบ้าง ผมเคยพาเจ้าแบมไปเที่ยวทะเลชลบุรี ที่นั่นก็พอกันเลย กว่าจะถึงเกาะก็หมดแรง” คนขับละสายตาจากท้องถนนมามองคนตัวเล็กที่ไม่คุ้นเคยกับการจราจรที่นี่


“ที่ออสเตรเลียท่าทางจะอากาศดีนะครับ ผมยังอยากไปเลย”


“ดีครับ ผมชอบ... แต่วันร้อนๆก็มีนะครับ” เขาหันมายิ้มเมื่อได้ยินคนพูดถึงบ้านเกิดของตัวเอง ก่อนจะมองออกไปข้างนอกอีกครั้ง


...ทั้งๆที่สายตาจับจ้องอยู่ข้างนอก ทว่ารัญชน์กลับนึกถึงคนที่กำลังขับรถอยู่ คนรู้จักกันแค่ผิวเผินแต่กลับมีน้ำใจจนอดประทับใจไม่ได้


ถ้าไม่นับมารดา ราเมนทร์ผู้เป็นพี่ชาย แล้วก็ธันย์ชนกที่อยู่ข้างห้อง คุณหมอธนกฤตคนนี้นับเป็นคนไทยอีกคนที่เขาได้พูดด้วยเป็นจริงเป็นจังมากกว่าแค่ถามทาง


“เฮ้อ... อยากไปเที่ยวจัง” คนที่จ้องท้องถนนที่คลาคล่ำไปด้วยรถบ่นเบาๆ


“คุณรันชอบเที่ยวทะเลไหมครับ ทะเลเมืองไทยสวยนะ”


แต่ครั้งล่าสุดที่เลิกกับแฟนก็ที่ทะเลนี่แหละ... เขายังจำได้ดีว่าความรู้สึกเหงาครั้งไหนก็ไม่ร้ายแรงเท่าครั้งที่ถูกบอกเลิกและทิ้งให้อยู่ในห้องสุดหวานแหววคนเดียวท่ามกลางทิวทัศน์ของทะเลที่เห็นคู่รักเดินกันเป็นแถวๆ


“ชอบสิครับ ผมไปกับพี่บ่อยๆ ผมชอบเล่นน้ำน่ะ...” รัญชน์หันไปมองใบหน้าที่ฉายแววอะไรบางอย่างออกมา รอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏขึ้นก่อนจะพูดต่อ


“มีความหลังฝังใจเหรอครับ ทำหน้าเหงาเชียว”


“ก็... ครับ... นิดหน่อย” ความใส่ใจที่อีกฝ่ายมอบให้เรียกรอยยิ้มจางขึ้นบนใบหน้า


“ครั้งล่าสุดที่ไปทะเลหมอโดนแฟนบอกเลิกแล้วทิ้งไว้คนเดียวในบรรยากาศคู่รักอื่นๆที่โรแมนติกมากๆ... เลยฝังใจนิดหน่อยน่ะ” ปลายนิ้วสากเคาะเบาๆบนพวงมาลัยรถ


“กับผู้หญิงเนี่ย... ถ้าไม่มีเวลาให้ยังไงก็ไปไม่รอดสินะครับ แฟนคุณรันเป็นแบบนี้หรือเปล่า”


“ไม่รู้สิครับ ไม่เคยคบใครจริงจังนะ ผู้หญิงส่วนใหญ่ที่เข้ามาจีบก็จุกจิกน่ารำคาญ” ร่างเล็กเอนตัวมาพิงกับคอนโซลด้านหน้าแล้วเอียงคอมองคนที่กำลังขับรถอยู่


“... ผมคงชอบคนอายุมากกว่าล่ะมั้ง”


...โดนเต็มๆ...


ไม่รู้หรอกว่าผู้ชายมองผู้ชายด้วยกันจะเป็นแบบไหน แต่ไอ้กิริยาน่ารักกับดวงตาสีสวยที่มองมาเหมือนอ้อนๆนี่โดนเขาเข้าไปเต็มๆ


“คุณรันยังเด็กไงครับเลยชอบคนแก่กว่า แต่อายุอย่างผมนี่หาคนแก่กว่ายากแล้ว”


ธนกฤตมองสายฝนที่เริ่มซาแล้วหันมามองคนตัวเล็กอีกครั้ง


“ผมชอบคนขี้อ้อน... ไม่รู้ทำไม แต่รู้สึกว่าน่ารักดี”


“ก็คุณหมอดูจะเป็นคนชอบช่วยคนนู้นคนนี้ พอมีคนมาอ้อนก็เลยเจออิมแพ็คเข้ามั้งครับ” ร่างเล็กกลับมานั่งตามเดิม


“พี่ผมก็เรียกผมว่าไอ้ตัวขี้อ้อน ฮะฮะฮะ” รัญชน์นึกถึงพี่ชายที่คอยแหย่ตัวเองก็หัวเราะออกมาอีก


“พี่ชายคุณรันท่าทางจะหวงคุณมากเลย ปกติแล้วพี่ชายกับน้องชายไม่ค่อยเป็นแบบนี้นะ” เขาเหยียบคันเร่งเมื่อเห็นคันหน้าเคลื่อนตัว... และแตะเบรคเมื่อขยับได้เพียงนิดเดียว


“ผมมีน้องสาวคนนึงยังไม่หวงเลย สงสัยยัยแบมมันคงดูแกร่งเกินพี่ชายอย่างผมเลยไม่ต้องปกป้อง”


“ผมเป็นเด็กคลอดก่อนกำหนดนะ เลยตัวเล็กครับ ตอนเด็กๆโดนแกล้งบ้างพี่รามก็ดูแลตลอดแหละ มันเลย... เป็นความเคยชินไปแล้วมั้งครับ พอพ่อกับแม่ไม่อยู่แล้ว พี่รามก็เลยทำหน้าที่เป็นทั้งสามอย่างเลยนะ” เขาเอื้อมมือไปปรับหน้ากากแอร์ให้หันไปทางอื่น


“พี่ชายเก่งนะครับ...คุณรันก็เข้มแข็ง”


ธนกฤตรู้ดีว่าการดูแลใครคนหนึ่งโดยไม่มีพ่อแม่อยู่มันยากลำบาก เขาเองที่เสียแค่มารดายังพอทน แต่พี่ชายคนเดียวที่ต้องดูแลน้องคงต้องใช้แรงกายแรงใจมากมาย


“ขอโทษนะครับ เลยทำให้คุณรันต้องนึกถึงคุณพ่อคุณแม่ขึ้นมาเลย”


“ไม่เป็นไรนะครับ คุณหมอไม่ต้องคิดมากหรอกนะ” เด็กหนุ่มยิ้มออกมาอีกครั้ง ไม่ใช่ว่าไม่เสียใจ แต่ก็เพราะเป็นเรื่องที่ผ่านมาแล้ว และเพราะเขายังมีราเมนทร์อยู่


ธนกฤตยิ้มให้กับความเข้มแข็งของคนตัวเล็ก ก่อนจะละสายตาสู่ท้องถนน..ทอดยาวไปกับสายฝนที่ยังคงโปรยปราย


 


///////////////////////


 

“ถึงห้องแล้วนะครับ”


ร่วมชั่วโมงที่อยู่บนรถ เขาได้คุยอะไรมากมายอย่างสนุกสนานจนเผลออีกทีก็ถึงหน้าห้องอีกฝ่ายแล้ว


“ถ้างั้นหมอขอตัวก่อนนะ”


“อ๊ะ— เดี๋ยวนะครับ! คุณหมอมีบีบีหรือเปล่าครับ?” รัญชน์เอ่ยรั้งเอาไว้ โทรศัพท์มือถือที่พี่ชายซื้อให้ใช้ตั้งแต่อยู่ที่นู่นกลายเป็นของเคยชินไปเสียแล้ว เขาเห็นว่าคนที่นี่ก็เริ่มใช้กันเยอะ ถ้ามีเหมือนกันก็คงทำให้ติดต่อกันได้สะดวกมากขึ้น


“จะได้แลกพินกัน... แต่ถ้าไม่สะดวกไม่เป็นไรนะครับ”


“บีบีเหรอครับ มีๆ” หมอหนุ่ยล้วงออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วเปิดดูรหัสพิน


“พอดีมีช่วงหนึ่งเขาซื้อคอนโดแถมเจ้านี่ น้องสาวผมเลยขอไปแล้วให้ผมซื้อใหม่มาใช้จะได้ติดต่อกันสะดวก แต่ยังใช้ไม่ค่อยเป็นเท่าไหร่เลย”


ชายหนุ่มโชว์พินบนมือถือให้คนตัวเล็กดู


ค่าที่ใช้มาจนชินแล้ว รัญชน์จึงใช้เวลาไม่นานในการเพิ่มชื่อของธนกฤตเข้าไปในรายชื่อเพื่อนของเขา


“เรียบร้อยครับ” ร่างเล็กเอ่ยบอกพร้อมรอยยิ้มสดใสบนใบหน้า


“กดรับยังไงอะครับ” ลิสต์รายชื่อที่มีแต่น้องสาวเพราะอีกฝ่ายจัดการให้ ทำให้หมอหนุ่มไม่รู้วิธีอื่นใดนอกจากการรับส่งข้อความ รูป และเสียง


“ทำให้หน่อยได้ไหมอะ”


“งี้นะครับ” รัญชน์เขย่งตัวขึ้นมาชะโงกดูหน้าจอแล้วจับข้อมือของร่างสูงให้ลงมาอยู่ในระดับสายตาของเขา นิ้วชี้ไปบนหน้าจอพลางเอ่ยอธิบาย


“เลื่อนมาตรงนี้ครับ แล้วกดนะ.... ครับ เห็นไหมนะ นั่นชื่อผม คุณหมอก็กด... ครับ แล้วกดตกลง... เรียบร้อย!”


“ทีนี้ก็มีลิสต์ในรายชื่อสองคนแล้ว” คนพูดอมยิ้มเบาๆ โปรแกรมบีบีของเครื่องแทบจะมีการใช้งานเกือนเป็นศูนย์มานาน จะมีเพียงอีเมลที่น้องสาวตั้งไว้ให้เสร็จสรรพเท่านั้นที่ใช้งานบ่อยเกินหน้าเกินตา


“ขอบคุณมากนะครับ ทีนี้จะได้ติดต่อกันสะดวกๆเนอะ”


“ครับ ขอบคุณมากนะครับวันนี้” นัยน์ตาสีแปลกคู่สวยหรี่ลงตามรอยยิ้มกว้างบนใบหน้าหวาน เด็กหนุ่มหันไปเปิดประตูห้องก่อนจะหันกลับมาลาอีกครั้ง


“พรุ่งนี้เจอกันครับ”


“ครับ”


ธนกฤตส่งยิ้มแล้วเอื้อมมือจับประตูปิดให้ พอมีประตูกั้นกลางเขาก็พรูลมหายใจออกเบาๆ รอยยิ้มหวานของอีกฝ่ายยังติดตา... แถมกลับไปบ้านก็ยังมีบรรยากาศดีๆที่ยังเหลืออยู่


“ไอ้ขี้เหงาเอ๊ย” บ่นตัวเองเบาๆทั้งรอยยิ้มก่อนที่จะหันหลังกลับและเดินจากห้องที่ปิดอยู่ไป








To be continued...
หัวข้อ: Re: ・・・ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน 7 คุณหมอขี้เหงา (12/01/13)
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 12-01-2013 20:01:35
อะนะ เกือบโดนซะแล้วน้องรัน หื่นกันจัง ทั้งหมอ ทั้งพี่รามเลย
หัวข้อ: ・・・ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน 8 ศัตรูหัวใจ(?) (17/01/13)
เริ่มหัวข้อโดย: kagehana ที่ 17-01-2013 23:24:21
kagehana : คุณหมอยังสติลซื่อ(บื้อต่อไป ) น้องรันจะมีศัตรูหัวใจโผล่มาแล้ว >M< o18




-8-




หลังจากถอดกางเกงตัวหลวมออกแล้วใส่บ๊อกเซอร์ของตัวเองแทนให้เรียบร้อย ร่างเล็กก็ทิ้งตัวเองลงบนเตียงกว้างพลางคว้าโทรศัพท์มือถือมากดดู


“...” พอเห็นชื่อของธนกฤตขึ้นไว้ว่า ‘พี่บีม’ ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา เดาได้ว่าน้องสาวที่ว่าคงเป็นคนตั้งไว้ให้


ปลายนิ้วเรียกหน้าต่างพูดคุยขึ้นมาก่อนจะพิมพ์ไปหาสั้นๆ

 


little RAN : Do you like lemon cookie?

 


เสียงปิ๊บๆดังขึ้นขณะที่เขากำลังขับรถใกล้ถึงบ้าน ถนนยังคงแน่นแต่ก็ถือว่าบางเบาลงบ้างแล้ว ธนกฤตกดดูข้อความแล้วส่งกลับไปทันที

 


พี่บีม : ชอบครับ กินกับกาแฟดำอร่อยดี คุณรันยังไม่นอนเหรอ

 


ชายหนุ่มเลี้ยวรถเข้าที่จอดก่อนจะกดกุญแจให้มันล็อค

 


รัญชน์ยิ้มออกมาอีกเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังถามต่อ ไม่ใช่เพียงตอบสั้นๆ

 



little RAN : not yet. Just rollin’ on my bed. What about you dr.?

 



พี่บีม : เพิ่งถึงบ้านครับ คุณรัน..... นอนได้แล้วครับ เดี๋ยวไม่สบายอีก

 



ธนกฤตรูดคีย์การ์ดพลางพิมพ์ไปด้วย

 



เด็กหนุ่มร่างเล็กกลิ้งตัวบนเตียงไปมาสองสามรอบก่อนจะหันมากดแป้นมือถืออีกรอบ

 



little RAN: I will soon :D nite nite Dr.

 



หลังจากจัดการตัวเองเรียบร้อย ร่างสูงในชุดนอนก็เดินออกมาเอาบีบีที่วางไว้บนโซฟา เขากดดูข้อความที่ได้รับแล้วยิ้มกว้าง


“ส่งไปตอนนี้ป่านนี้ก็หลับแล้วมั้ง”


ถึงจะบ่นพึมพำแต่สุดท้ายก็กดส่งไป



 

พี่บีม : ราตรีสวัสดิ์ครับ

 

 

//////////////////////////////////////



“สวัสดีครับ คุณหมอบีมมารึยังครับ” รัญชน์เอ่ยถามพยาบาลสาวที่นั่งประจำอยู่ด้านหน้าอย่างสดใสเริงร่าพร้อมรอยยิ้ม


นางพยาบาลสาวยิ้มรับ เธอเปิดสมุดตารางเวลาแล้วก้มมองตารางการเข้าทำงายก่อนจะเอ่ยตอบพร้อมเงยหน้าขึ้น


“ยังไม่มาค่ะ วันนี้คุณหมอเข้า11โมง ไม่ทราบว่าได้นัดไว้หรือเปล่าคะ” หญิงสาวนึกสงสัย เพราะทุกครั้งที่เห็นคนไข้คนนี้มักจะเป็นยามบ่ายแก่ๆแล้ว


“ให้ดิฉันโทรตามไหมคะ”


“ไม่เป็นไรครับ แวะมาแวบเดียว ขอเข้าไปในห้องแป๊บนึงนะครับ วันนี้ผมมีนัดตอนสี่โมงเย็นครับ” เขาบอกพลางชูถุงคุกกี้ให้ดูเป็นการบอกกลายๆว่าจะเอามาฝาก ก่อนจะเดินหายเข้าไปด้านหลัง ไม่นานนัก ก็ออกมาพร้อมทั้งเอ่ยกำชับ


“อย่าบอกคุณหมอนะครับ” รัญชน์ยิ้มตบอีกครั้ง เป็นการอ้อนไปในตัว


เด็กหนุ่มลุกขึ้นมาอบคุกกี้มะนาวให้ธนกฤตตั้งแต่เช้าโดยตั้งใจว่าจะทำให้อีกฝ่ายประหลาดใจเล่น รวมไปถึงความรู้สึกชื่นชมของตัวเองที่เพิ่มขึ้นเยอะจนอยากจะทำให้


เมื่อได้คำตอบที่น่าพอใจจากพยาบาลสาวแล้ว เด็กหนุ่มก็หมุนตัวออกจากบริเวณนั้นไป


11โมงตรงไม่ขาดไม่เกิน หมอหนุ่มในชุดกาวน์ก็เดินมาที่ห้องประจำแล้วทักทายพยาบาลด้วยรอยยิ้ม พอวางของได้ก็หยิบผงกาแฟสำเร็จรูปเทใส่ถ้วยใบโตโดยไม่ใส่อะไรเพิ่มเติม ก่อนจะกดน้ำร้อนในห้องพักแพทย์ลงไปจนกลายเป็นของเหลวสีเข้ม


ธนกฤตประคองแก้วกาแฟอุ่นๆกลับมาที่โต๊ะ แต่ไม่ทันได้วางก็เห็นถุงแปลกหน้าวางอยู่


“อะไรหว่า” มือใหญ่ยกขึ้นมาดู... ข้างในเป็นคุกกี้ชิ้นพอดีคำสีสวยและมั่นใจได้เลยว่าโฮมเมดของแท้


“คุณกุ้งคนสวยครับ ใครเอาคุกกี้มาวางบนโต๊ะหมอเอ่ย”


“ไม่รู้สิคะ ทำไมคิดว่ากุ้งจะรู้ทุกเรื่องคะเนี่ย หมอบีม” พยาบาลสาวเอ่ยตอบพร้อมหัวเราะให้


“หมอมีคนชอบเยอะ ก็เดาเอาสิคะ”


“โหย นี่แสดงว่าคุณกุ้งแอบปิ๊งหมอเลยทำคุกกี้มาให้แน่เลย” หมอหนุ่มหยอกผ่านทางช่องส่งประวัติคนไข้แคบๆ


“บอกหมอหน่อยนะ หมอกลัวมีคนลอบทำร้าย ยิ่งหล่อๆอยู่เดี๋ยวสาวๆร้องไห้”


“ขำเลยค่ะหมอบีม พอๆๆ เดี๋ยวมีนัดตอน11โมงครึ่งนะคะ” หล่อนหยิบเอาประวัติคนไข้ขึ้นมายื่นให้


“เธอมาแล้วล่ะค่ะ แต่ไปห้องน้ำ ชื่อคุณแนน ตัวเล็กนิดเดียว... สเป็คคุณหมอเลยค่ะ”


“สเปคหมอคือสาวๆทุกคนบนโลกครับ ระบุไม่ได้เดี๋ยวน้อยใจกัน” หมอหนุ่มยิ้มหวานแล้วรับประวัติมาก่อนจะเลื่อนปิดช่องนั้น


คุกกี้ถุงเล็กถูกแกะออกและคาบไว้ระหว่างริมฝีปากในขณะที่มือยังเลื่อนเปิดดูอาการคร่าวๆ กาแฟอึกโตถูกซดลงไปผสม


“อร่อยแฮะ” พึมพำเบาๆแล้วไพล่ไปนึกถึงข้อความแชทของใครบางคนที่ถามเรื่องคุกกี้มะนาว


“ไม่มั้ง.... นัดเย็นนี่นา”


ธนกฤตนั่งจิบกาแฟแกล้มคุกกี้เป็นข้าวเช้าระหว่างรอคนไข้มาตรวจ จวบจนกาแฟหมดแก้วและล้างเก็บเรียบร้อย บานเลื่อนของห้องตรวจก็เปิดออก


“เชิญครับ”


“สวัสดีค่ะ” หญิงสาวร่างเล็กยกมือขึ้นไหว้อย่างสุภาพก่อนจะเดินมานั่งลงที่เก้าอี้ นัยน์ตากลมโตสีแปลกเพราะคอนแท็คเลนส์สีเทาที่สวมใส่ดูสดใส


“ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกค่ะ มาตรวจให้แน่ใจว่าไม่เป็นโรคITPแล้วน่ะค่ะ”


ใบหน้าเล็กๆชวนให้นึกถึงใครบางคนอย่างบอกไม่ถูก แต่ด้วยหน้าที่แพทย์เขาจึงต้องละทิ้งความสนใจไปก่อน


“ดูจากผลเลือดกับการกินยา ก็น่าจะเรียกว่าหายดีแล้วครับ โรคนี้แค่มีวินัยในการกินยาไม่นานก็สบาย” เขาพูดยิ้มๆ


...แต่ก็มีบางคนละนะที่กินยากกินเย็น...


“ดีใจด้วยนะครับ”


“ดีจังค่ะ ตอนแรกกังวลมากเลย... คุณหมอที่รักษาให้แกย้ายที่ก่อนจะได้ตรวจ... ก็เลยต้องมาทางนี้แทน น้องนิ่มบอกว่าโรงพยาบาลนี้ดีเพราะมีพี่หมอบีมใจดี... อยากจะเจอหน้าแกอยู่เหมือนกัน คุณหมอพอจะรู้จักไหมคะ” วรัญญาเอ่ยพูดบอกพร้อมรอยยิ้มแสดงความดีใจบนใบหน้าอย่างไม่ปิดบัง


“น้องนิ่มตึกเด็กเพื่อนน้องเอื้อยใช่ไหมครับ ที่แก้มยุ้ยๆตาหวานๆ” หมอบีมมองรอยยิ้มหวานที่ยิ้มกว้างอย่างดีใจ หลายต่อหลายครั้งที่เขาเห็นรอยยิ้มแบบนี้แล้วอดไม่ได้ที่จะดีใจตาม


“คุณจะไปเยี่ยมไหมครับ เดี๋ยวผมบอกพี่หมอตึกนั้นให้”


“ไม่เป็นไรค่ะ เมื่อกี๊ไปเยี่ยมแกมาแล้ว... แกบอกว่าจะแนะนำพี่หมอบีมคนดีของแกให้รู้จัก เดี๋ยวยังไงดิฉันก็จะไปหาแกเลย ขอบคุณคุณหมอมากนะคะ” หญิงสาวร่างเล็กยกมือขึ้นไหว้อีกครั้งก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้


“เกรงว่าถ้าอย่างนั้นผมต้องไปด้วยแล้วล่ะครับ” ชายหนุ่มยิ้มหวาน... ทั้งปากทั้งตา


“ผมเองครับหมอบีม ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ไปหาแกเลย ยังไงให้ผมเดินไปเป็นเพื่อนนะครับ”


“อ้าว ตายจริง! สวัสดีอีกครั้งก็แล้วกันนะคะคุณหมอบีม” หล่อนยิ้มหวานกลับก่อนจะเดินตามแพทย์หนุ่มตัวสูงไปยังตึกเด็ก




//////////////////////////////////

 



รัญชน์เดินฮัมเพลงเข้ามาถึงที่หน้าเคาน์เตอร์พยาบาล


“คุณหมอมาหรือยังครับ” ใบหน้าหวานระบายรอยยิ้มยามเอ่ยถาม


“อ๋อ มาแล้วค่ะ แต่ไปตึกเด็กกับคนไข้” กันยายิ้มรับ วันนี้ดูคุณหมอจะฮอทเป็นพิเศษ


“คือว่าวันนี้คุณแนนญาติน้องนิ่มมาหาหมอน่ะค่ะ เลยพากันไปแนะนำ สงสัยจะออกไปทานขนมแน่ๆไปซะนานเชียว”


หญิงสาวพูดตามประสาคนช่างเจรจา


“... เหรอครับ” คนฟังมีสีหน้าสลดลงเล็กน้อย ทั้งๆที่อยากจะดูว่ากินคุกกี้ไปหรือยัง


“ถ้างั้นผมนั่งรอตรงนี้นะครับ”


“เดี๋ยวพี่โทรตามหมอให้เนอะ” ด้วยความที่เห็นมาหลายวัน คำพูดจึงแปรเป็นแบบไม่ทางการโดยไม่รู้ตัว


“หมอบีมมมม คนไข้มานั่งรออยู่ค่ะ มัวแต่จีบสาวเดี๋ยวโดนดุไม่รู้ด้วยนะ” พูดจบก็กดตัดสายแล้วหันมายิ้มให้


“เข้าไปนั่งรอในห้องนัดเลยค่ะ เดี๋ยวก็มาแล้ว”


“ครับ— ขอบคุณครับคุณกุ้ง” รัญชน์เดินเข้าไปหย่อนตัวนั่งบนเก้าอี้ในห้องของธนกฤต ก่อนจะถอนหายใจออกมา


“หน้าอย่างงั้นก็จีบสาวเป็นด้วย” เขาพึมพำออกมาเบาๆพลางพาดตัวเข้ากับโต๊ะ


...เดี๋ยวก็ได้เจอแล้ว...



/////////////////////////

 


ธนกฤตวิ่งมาถึงห้องพักก็เจอนางพยาบาลสาวทำหน้าดุบุ้ยใบ้ให้เข้าไปในห้อง เขายิ้มแหยเชิงขอโทษก่อนจะเลื่อนบานประตูเข้าไป


“คุณ...รัน...”



นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มมองคนตัวเล็กที่หลับฟุบอยู่กับโต๊ะอย่างเอ็นดู มือใหญ่ปัดเส้นผมสีอ่อนที่ปรกใบหน้าสวย ปลายนิ้วที่สัมผัสแก้มแบบผิวเผินร้อนผ่าวจนต้องรีบดึงมือออก


“คุณรันครับ” หมอหนุ่มเลือกจะส่งเสียงเรียกแทนการเขย่าตัว


“....” เจ้าของชื่อค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆก่อนจะยกศีรษะขึ้นช้า มือยกขึ้นปัดเรือนผมออกจากใบหน้า


“หวัดดีครับคุณหมอ” ริมฝีปากบางแย้มรอยยิ้มช้าๆขณะยกมือไหว้


“หวัดดีครับ” รับไหว้เสร็จก็เดินไปหยิบชาร์ตมาวางตรงหน้าพร้อมขยับเขียนยาอย่างที่เคยชิน


“ขอโทษนะครับ ปล่อยให้รอจนหลับเลย”


“ไม่เป็นไรครับ ได้ยินว่าคุณหมอไปจีบสาวอยู่...” เด็กหนุ่มยิ้มให้พลางสางผมให้เข้าที่ สายตามองเห็นถุงคุกกี้ที่มีการเปิดออกแล้วก็ยิ้มออกมาอีกครั้ง


“ฮื้อ เปล่านะ ใส่ความหมอนะครับนี่” ธนกฤตนั่งลงแล้วหยิบถุงคุกกี้มาวางบนโต๊ะ


“พอดีไปส่งคุณแนนที่ตึกเด็กมา น้องนิ่มกับน้องเอื้อยชวนคุยเลยยาวไปหน่อย” เขาเลื่อนถุงคุกกี้ส่งไปให้คนตัวเล็ก


“อ่ะ ทานคุกกี้ครับ อร่อยนะหมอได้มาเมื่อเช้า ไม่รู้ใครเอามาให้” นัยน์ตาคมหรี่ลงพลางเอานิ้วชี้มาปิดปาก


“ทานแล้วอย่าบอกคุณกุ้งนะครับ เดี๋ยวหมอโดนดุ...”


“อร่อยเหรอครับ” คนทำทำทีเป็นไม่รู้ไม่ชี้แล้วหยิบเข้าปากบ้างพลางรอคำตอบจากอีกฝ่าย นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนอมเทาดูมีประกายเริงร่าขึ้นหลังจากได้ยินคำปฏิเสธเรื่องจีบสาวของธนกฤต


“อร่อยสิ กินกับกาแฟกำลังดีเลย คุณรันเอากาแฟไหมครับ” ธนกฤตหยิบแก้วกาแฟเปล่าขึ้นมาวาง


“แต่ต้องหลังตรวจนะ”


“ผมไม่ชอบทานกาแฟครับ ขอบคุณ” เด็กหนุ่มร่างเล็กยิ้มตอบ


“อืม.... งั้นวันนี้หมอขอดูรอยช้ำหน่อยนะครับ” ธนกฤตกวาดถุงขนมกับแก้วกาแฟไปวางไว้ข้างโต๊ะแล้วหยิบรายงานการรักษามาเปิด


“ถอดเสื้อเลยครับ ไม่ต้องเขินหมอ” รอยยิ้มกว้างตามมาส่งท้าย


“ฮะฮะฮะ ใครจะเขินครับหมอ ผู้ชายนะครับ” รัญชน์ยิ้มหัวเราะให้พลางยืนขึ้นก่อนจะถอดเสื้อออกมาพาดไว้กับข้างเตียงตรวจ พลางขยับหันหลังให้หมออารมณ์ดีดู


“โอ๊ะ เก่งจัง จางไปตั้งเยอะแล้ว” ปลายนิ้วไล้เบาๆตามแนวรอยช้ำที่จางลงมาก


“เดี๋ยวทานยาอีกพักนึงก็ไม่ต้องมาหาหมอแล้ว ดีใจไหมครับ”


พอละมือออกก็ถามพลางยิ้มจางๆ ธนกฤตหยิบเสื้อที่วางอยู่ยื่นส่งให้


ครั้นได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายพูดออกมา รัญชน์ก็ชักไม่แน่ใจแล้วว่าอยากจะหายดี ถ้ามันคือเหตุผลที่ทำให้เขาได้เจอหน้าธนกฤตทุกวัน แม้จะใช้เวลารู้จักกันไม่นาน แต่เขาก็ไม่ได้โง่พอที่จะไม่รู้ความรู้สึกของตัวเอง


“ไม่ต้องมาแล้วมาไม่ได้เหรอครับ?” แม้จะฟังคล้ายคำเย้าแหย่ธรรมดา แต่เด็กหนุ่มกลับไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น รัญชน์ยังอยากจะสนิทสนมคบหาด้วยอยู่ แม้จะไม่ใช่คนไข้แล้วก็ตาม


“มาได้สิครับ” ธนกฤตพูดความจริง หากคนที่พอสนิทกันบ้างแล้วต้องหายไปจากชีวิตเลยก็ออกจะเหงาอยู่


“ถ้าหายแล้วค่อยว่ากันอีกที ตอนนี้ต้องเอายาไปกินก่อนนะ” นัยน์ตาสีเข้มเหลือบมองข้อมือเล็ก... เล็กเกือบเท่าคุณแนนเลย


รูปร่างก็คล้ายๆ... รวมไปถึงรอยยิ้มหวานๆ


“ครับ แล้วเดี๋ยวเย็นนี้คุณหมอทำอะไรครับ?” ร่างเล็กหยิบเสื้อขึ้นมาสวมก่อนจะหยิบกระเป๋าขึ้นสะพาย


“เอ่อ... มีนัดกับคุณแนนครับ เขาจะพาน้องนิ่มไปกินขนมแต่ไม่ค่อยรู้ทางแถวนี้ หมอเลยอาสาพาไป” ใบหน้าเล็กๆที่ยิ้มน่ารักทำให้เวลานึกถึงก็อดยิ้มตามไม่ได้


หญิงสาวที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกแต่คุยสนุกจนเพลิน ความรู้สึกดีที่ก่อตัวในเวลาไม่นาน... คล้ายๆกับตอนที่เริ่มชอบใครสักคน


“เป็นคนที่น่ารักดีนะครับ คุยสนุกดี”


“... เหรอครับ.......” ใบหน้าที่มักมีแต่รอยยิ้มสลดลงเล็กน้อย


“ไว้คราวหน้าก็ได้ครับ ไม่เป็นไร... ผมจะได้ไปคอนเฟิร์มกับคุณกุ้งว่าคุณหมอจีบคนไข้” น้ำเสียงเย้าแหย่แสร้งทำขึ้นเพื่อกลบความผิดหวังเล็กๆที่เกิดขึ้น


“โธ่ อย่านะครับ แค่คิดเฉยๆยังไม่ได้จีบน่า” ใบหน้าขาวแดงขึ้นนิดๆ แต่ยังแกล้งทำเฉย


รัญชน์สังเกตเห็นอาการเหล่านั้นทั้งหมด แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา หน้าแดงขนาดนั้นไม่ชอบก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว


“คร้าบ— ไม่จีบก็ไม่จีบ... ถ้าอย่างนั้น ผมกลับก่อนนะครับ”


“ครับ กลับดีๆนะ ถึงบ้านแล้วบีบีบอกหมอด้วยนะครับ”

 










To be continued...


หัวข้อ: Re: ・・・ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน 8 ศัตรูหัวใจ(?) (17/01/13)
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 18-01-2013 00:02:26
ศัตรูตัวเป้งเลย เชียร์น้องรันนะคะชอบน่ารักงุงิมาก55555
หัวข้อ: Re: ・・・ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน 8 ศัตรูหัวใจ(?) (17/01/13)
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 18-01-2013 00:12:29
ชักจะมีมาม่ากองโตไวรอเลยแฮะ ชักหวั่นใจซะแล้ว
หัวข้อ: ・・・ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน 9 อกหัก (22/01/13)
เริ่มหัวข้อโดย: kagehana ที่ 22-01-2013 10:09:53

kagehana : น้องรันตัวมุ้งมิ้ง ขี้อ้อนสิบหน่วย อิพี่หมอใจร้ายไปคบคนอื่นได้ไง





-9-





รัญชน์เปิดประตูห้องออกช้าๆก่อนจะมองเข้าไปด้านใน เสียงโทรทัศน์ที่ดังอยู่บอกให้รู้ว่าพี่ชายของตัวเองกลับมาถึงแล้ว เด็กหนุ่มเหวี่ยงกระเป๋าใบโปรดไปทางหนึ่ง ก่อนจะทุ่มตัวใส่คนที่ถือรีโมทอยู่


“ทำไมวันนี้กลับเร็วล่ะ”


ราเมนทร์กอดร่างเล็กที่ทุ่มตัวใส่เขาแล้วดึงให้มานั่งอยู่บนตัก


“ก็เสร็จเร็วไง วันนี้ออฟครึ่งวัน ยัยมิลค์นางแบบติดถ่ายละคร แล้วเราไปไหนมาเนี่ย หน้าบู้มาเชียว” มือใหญ่ลูบหัวเบาๆ วันนี้ดูน้องชายของเขาไม่ร่าเริงยังไงไม่รู้


“.... อือ......” คนตัวเล็กซุกใบหน้าเข้าออดอ้อนพี่ชาย ทดแทนความรู้สึกไม่พอใจที่เกิดขึ้น


“... อกหัก...”


“ฮื้อ สาวที่ไหนกล้าหักอกเราน่ะ แล้วมีแฟนตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่เห็นบอกพี่เลย” ราเมนทร์ยิ้มแล้วลูบหัวเบาๆ... ยิ้มอ่อนโยนอันแสนเศร้า


เขากอดร่างเล็กเอาไว้แบนอกเพื่อยืนยันว่ารัญชน์ในอ้อมกอดตนเองยังไม่ไปไหน


...ความลับที่ไม่เคยได้รู้...


...ก็ควรเป็นความลับตลอดไป...


“..... เปล่า.... รันไปชอบเขาเอง...” แขนสองข้างเอื้อมกอดเอาร่างสูงไว้แน่นโดยไม่ได้สังเกตเห็นสีหน้าของอีกฝ่าย


“ไปชอบเค้าแล้วได้บอกยังว่าชอบน่ะ เรามัวเอาแต่คิดไปเองจนไม่ได้บอกล่ะมั้ง”


ราเมนทร์พูดพลางจับปลายผมสีอ่อนเล่น... สำหรับเขาแล้ว การได้อยู่กับคนๆนี้ในฐานะพี่ชายไปตลอดชีวิตยังคงเป็นสิ่งที่เขาคิดอยู่เสมอ


...อยากให้รัญชน์มีความสุข มีครอบครัวที่แท้จริง มีภรรยาและลูก...


ความปรารถนาในฐานะพี่ชายของเขาคงมีเพียงเท่านี้


...และเขาก็หวังให้มันมีเพียงแค่นี้...ตลอดไป...


“รันชอบเขามากไหม”


สักวันหนึ่ง น้องคนเล็กในอ้อมกอดก็ต้องออกไปสู่โลกกว้าง... สักวันในอนาคตอันใกล้


...และคงไม่มีสิทธิ์รั้งไว้ในอ้อมแขนอีกแล้ว...


“ชอบ... มากไหมไม่รู้หรอก... แต่... คงบอกไม่ได้...แล้วล่ะ” รัญชน์เอ่ยตอบเสียงเบา การที่ไปรักผู้ชายอีกคนไม่ใช่เรื่องง่ายแบบที่จะสามารถเดินไปบอกได้ว่ารัก ดีที่สุดที่คิดได้ก็คือถูกปฏิเสธอย่างสุภาพ แล้วก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย หรือไม่ก็เลวร้ายที่สุด อาจจะโดนซ้อมก็ได้ข้อหาเป็นพวกชอบเพศเดียวกัน


...เพราะมีความรู้สึกแบบนั้น ถึงได้คิดว่าอกหักแน่ๆ ความรักระหว่างผู้ชายด้วยกันมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว


“... ไม่เป็นไรหรอก... มั้ง”


...แต่ถึงอย่างนั้น กับราเมนทร์เท่านั้น ที่เขาต้องการให้ยอมรับตัวเขาที่เป็นแบบนี้ได้ไม่ว่าจะเป็นยังไงก็ตาม


“รันน่ารักจะตาย อีกแป๊บเดี๋ยวก็มีผู้หญิงดีๆคนใหม่เข้ามาแล้ว” มือใหญ่ลูบหัวด้วยความเอ็นดู น้องชายที่อ้อนที่ดูแลกันมาตั้งแต่เล็กๆ... กับความรู้สึกส่วนตัวที่เปิดเผยไม่ได้...


...ถ้ามีทางที่ให้เลือก ราเมนทร์ก็มั่นใจว่าเขาจะเลือกทางที่ทำให้รัญชน์มีความสุขที่สุด...


“ถึงรันจะไม่มีใครแต่รันก็มีพี่นะ ตัวขี้อ้อน”


“จริงเหรอ...” ใบหน้าหวานเงยขึ้นมองคนที่โอบกอดเอาไว้ ราเมนทร์เป็นคนทำงาน เข้าสังคม และมนุษยสัมพันธ์ดี จึงไม่แปลกที่จะมีผู้หญิงมากมายเข้ามาติดพัน


“... เดี๋ยวแต่งงานขึ้นมาก็ลืมกันละ...”


“ไม่ลืมหรอก...จนกว่ารันจะแต่งงาน พี่จะไม่ยอมแต่งก่อนเด็ดขาด” ...หรืออาจจะไม่แต่งไปตลอดชีวิต


ราเมนทร์ใช้ตำแหน่งพี่ชายในการอยู่เคียงข้างทั้งในและนอกบ้าน... แต่ในบางส่วนของเสี้ยวหัวใจกลับรู้สึกเกลียดคำนี้อย่างมากมาย


“พี่สัญญา” ปลายนิ้วก้อยยื่นไปข้างหน้าดวงตาสีน้ำตาลอมเทาพร้อมรอยยิ้มที่บ่งบอกว่าพร้อมจะรักษาคำๆนั้นไปชั่วชีวิต




-----------------------------------------

 



หลังจากนั้น รัญชน์ก็ยังคงอบคุกกี้ไปให้ในตอนเช้า แล้วโผล่ไปหาตอนเย็น เด็กหนุ่มยังคงมีความสุขกับการได้เห็นธนกฤตทานคุกกี้นั้นอย่างเอร็ดอร่อย แต่ก็ต้องเก็บความเสียใจเอาไว้ลึกๆทุกครั้งยามที่เห็นวรัญญามาหาเขา— เด็กหนุ่มมาที่นี่ทุกวันเพราะมีนัดรับยา แต่วรัญญามาที่นี่แทบทุกวันเพราะมีนัดกับธนกฤต


...วันนี้ก็เป็นอีกวัน


“นัดกันอีกแล้ว... ไม่จีบเลยนะครับคุณหมอ” รัญชน์เอ่ยเย้าแหย่


“ไม่เอาล่ะครับ หมอเขิน” ในขณะที่เขียนใบสั่งยาก็อดจะยิ้มไม่ได้ ด้วยความที่วรัญญาพูดเก่งและร่าเริงสดใสทำให้รู้สึกสนุกทุกครั้งที่อยู่ด้วยกัน เขาอยากจะก้าวข้ามคำว่าคนรู้จักไปเป็นคนรัก แต่ก็ยังรู้สึกว่าเร็วเกินไป


“ถ้าไปบอกรัก คุณรันว่าควรจะเริ่มต้นยังไงดีครับ” หมอหนุ่มถาม


“... ก็...” รัญชน์นิ่งไปเมื่อได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายพูดออกมา เขาควรจะหยุดความรู้สึกไว้แค่นี้ได้นานแล้ว ไม่ควรปล่อยให้เป็นขนาดนี้


“บอกออกไปตรงๆสิครับ... แบบจริงใจ ถึงจะฟังดูไม่ซึ้งไม่อะไร... แต่ผมว่า... ดีที่สุดแล้วล่ะครับ” รอยยิ้มปั้นแต่งถูกยกขึ้นประดับบนใบหน้าหวาน


...กำลังยิ้มอยู่หรือเปล่า...


“แล้วถ้าคุณรันถูกคนที่เพิ่งรู้จักบอกว่าชอบ... อยากจะขอคบด้วย คุณรันจะว่ายังไงล่ะครับ ผมกับคุณแนนรู้จักกันไม่นาน แต่ผมค่อนข้างมั่นใจว่าผมชอบเค้า...” หมอหนุ่มถามต่อด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ


“ถ้าไปบอก... สมมุติว่าบอกคุณรันแล้วกัน คุณรันว่าหมอควรเอาดอกไม้ไปด้วยไหม”


...เจ็บปวด...


...ถ้าคุณหมอจะบอกผม แค่บอกผมเฉยๆก็ดีใจแล้วล่ะครับ...


“... ผู้หญิงก็คงชอบแหละครับ... แต่ถ้าสมมติว่าคุณหมอบอกผม... ไม่ต้องมีดอกไม้หรอกครับ” นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนอมเทาดูหมองลงแต่ริมฝีปากก็ยังคงแต้มรอยยิ้ม


“เฮ้อ... ผู้หญิงนี่ยากจังเนอะ...” ธนกฤตถอนหายใจ แวบหนึ่งเขาเห็นแววโศกในดวงตาคู่สวย ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่ามันมีแรงดึงดูด... อย่างมากมาย


เด็กหนุ่มตรงหน้าอาจจะเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เร่งให้เขาหาแฟน... ที่เป็นผู้หญิง


ไม่รู้ว่าเป็นเพราะหวั่นไหว เหงาเกินไป หรืออะไรก็ตาม แต่มีบางครั้งที่เขาอยากจะกอดคนตัวเล็กไว้แนบอก


ซึ่งหากทำอย่างนั้น... คงได้สูญเสียคนสำคัญไปอีกคน


“อือ... ยากครับ...” เด็กหนุ่มหยิบกระเป๋าขึ้นสะพายแล้วเดินไปที่ประตูห้อง ใบหน้าหวานหันกลับมามองคนที่ยังยืนอยู่


“โชคดีนะครับ แล้วพรุ่งนี้เจอกัน”


“ครับ...แล้วเจอกัน”






-----------------------------

 


บนเตียงที่ปูด้วยผ้าปูหอมกลิ่นแดดยังมีผู้ชายคนหนึ่งที่นอนไม่หลับเพราะอาการตื่นเต้นที่ยังตกค้าง...


วันนี้เขาได้ลองทำตามคำแนะนำของรัญชน์... ซึ่งคำตอบของมันก็ปรากฎชัดอยู่บนใบหน้าที่ยิ้มจนหุบไม่ลงในตอนนี้


เขากดปลดล็อคเครื่องมือสื่อสารที่แสนสะดวกแล้วเปิดโปรแกรมบีบีแมสเซนเจอร์ขึ้นมาดูรายชื่อ พอเปลี่ยนชื่อเสร็จก็กดพิมพ์ไปหา





 

พี่หมอบีม : คุณรันนอนยังครับ

 



เสียงร้องเตือนเรียกให้คนที่นอนกลิ้งอยู่บนเตียงหลังกว้างพลิกตัวมาคว้าเอาโทรศัพท์ขึ้นมาดู

 




little RAN : Not yet. Why? :D

 




พี่หมอบีม : ขอบคุณนะครับสำหรับวันนี้

 



ธนกฤตพิมพ์กลับไป ก่อนจะพิมพ์ข้อความเพิ่มไปทั้งรอยยิ้ม

 



พี่หมอบีม : เดี๋ยวไว้พรุ่งนี้หมอมีเรื่องจะบอกนะครับ ฝันดี

 



ชายหนุ่มกดอีโมหน้า “ยิ้มแฮ่” ตามที่น้องสาวเรียกแล้วค่อยกดส่งกลับไปหาคนไข้ที่สนิทสนม ธนกฤตยิ้มกับโทรศัพท์อีกครั้งก่อนจะกลิ้งตัวไปหนุนหมอนข้างดูนาฬิกา


“เฮ้ย!! เที่ยงคืนกว่าแล้วเหรอวะเนี่ย...กวนคุณรันอีกแล้ว...”


ไม่ต้องบอกก็เดาได้ว่าเรื่องที่จะบอกคืออะไร เด็กหนุ่มได้แต่หลับตาลงเก็บความเจ็บปวดเอาไว้คนเดียว จากที่คิดว่าจะส่งตอบกลับไปว่าฝันดี เขาก็ทำเพียงส่งหน้ายิ้มให้เท่านั้น


...คุณแนนอะไรนั่นคงตกลงแน่ๆ...


ความเสียใจที่ก่อตัวขึ้นมาทำให้ต้องขดตัวเข้าหากัน ในยามที่รู้สึกโดดเดี่ยวอย่างนี้ เขากลับนึกถึงพี่ชายที่ยังไม่กลับมาเสียที


“... แย่ที่สุด...”





-----------------------------------

 


บนท้องถนนโล่งๆ รถยุโรปคันหรูค่อยๆแล่นขับเก็บภาพยามคำคืนสู่เลนส์กล้อง ราเมนทร์ลดกล้องลงวางที่ข้างเบาะก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเข้าโปรแกรมบีบี

 


RAM : นอนหรือยังตัวขี้อ้อน

 


little RAN : Where r u?

 


RAM : บนรถ กำลังเก็บรูป..เดี๋ยวกลับแล้ว

 


ราเมนทร์มักจะพิมพ์ภาษาไทยเสมอ เนื่องจากจะให้น้องที่อ่อนภาษาไทยได้ฝึกฝน เขาเคยบอกให้อีกฝ่ายพิมพ์ด้วยแต่อาการเงอะงะเชื่องชาพิมพ์ผิดถูกทำให้ต้องหยวนๆไป

 


little RAN : it's lonely here....

 


ไม่ได้ตั้งใจจะออดอ้อนขนาดนั้น แต่ในตอนนี้ รัญชน์ก็รู้สึกเหงาอย่างที่พิมพ์บอกไปจริงๆ ถ้าไม่ต้องไปหาธนกฤตได้อีกเลยก็คงดี แต่เพราะอีกฝ่ายสัญญา ว่าจะหาย... ถ้าขยันทานยา ก็จะหาย เด็กหนุ่มก็อยากที่จะหายจริงๆ อย่างน้อย... เวลาของธนกฤตในฐานะแพทย์ที่โรงพยาบาลก็ยังเป็นของเขา


...ถ้าคิดแค่นั้นก็จะรู้สึกดีขึ้น


ข้อความที่ได้รับบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าคนที่ส่งมารู้สึกอย่างไร ราเมนทร์วางโทรศัพท์ลงแล้วเหยียบคันเร่ง มุ่งกลับไปยังบ้านที่มีคนตัวเล็กขี้เหงารออยู่


...เร็วขึ้นอีกนิด เพื่อไม่ให้ต้องเหงาอยู่คนเดียว...

 

 


-------------------------------




“รัน”


พอเปิดประตูได้ร่างสูงก็เรียกหาน้องชาย


“... พี่ราม.....” คนตัวเล็กเปิดประตูห้องนอนออกมา น้ำเสียงฟังดูห่อเหี่ยวกว่าที่เคย ร่างบางเดินเข้าหาก่อนจะทิ้งตัวเข้าใส่อ้อมกอดที่รอรับ


“... เขามีแฟนไปแล้ว.... แบบนี้เรียกว่าอกหักจริงๆหรือยัง?”


“ไม่เป็นไรนะ...ไม่เป็นไร” ไม่เป็นไร... ทั้งรัญชน์และตัวเขาเอง


ชายหนุ่มโอบกอดคนที่ฝากร่างไว้กับเขาพลางลูงหัวเบาๆแล้วดึงมานั่งที่โซฟาด้วยกัน เขาจับผิวแก้มเย็นแล้วยิ้มออกมาได้เพราะมันไม่มีสิ่งที่เขาคิดว่าจะเห็น...


รัญชน์ยังไม่ร้องไห้... ซึ่งนั้นก็ดีแล้วเพราะเขาไม่อยากให้ใครก็ตาม... แม้จะเป็นคนที่อีกฝ่ายรัก มาทำให้น้องชายคนนี้มีน้ำตา


“เดี๋ยวพรุ่งนี้ไปทำงานกับพี่นะ สาวๆน่ารักเยอะจะตาย อาจจะมีใครสักคนก็ได้ที่ถูกใจเรา” ปลายนิ้วเขี่ยวผมเส้นเล็กละเอียดเบาๆ


“ทีนี้ก็เหลือแค่มีรักใหม่ ลืมๆผู้หญิงคนนั้นไปเหอะ เนอะ?”


ได้ยินพี่ชายพูดอย่างนั้น ความรู้สึกผิดที่เก็บเอาไว้ก็บีบให้เขาซุกใบหน้ากับแผ่นอกกว้างนั้นก่อนจะพูดออกมาเบาๆ


“....... ไม่ใช่ผู้หญิง...”


“เฮ้ย! ว่าไงนะรัน” ราเมนทร์ดันคนตัวเล็กออกแล้วจับใบหน้าหวานให้เงยขึ้นสบตา


“ไม่ใช่ผู้หญิง?? แล้ว... แล้ว... อย่าบอกนะว่าคนที่เราชอบเป็นผู้ชาย”


หากเป็นผู้หญิงที่จะทำให้รัญชน์มีความสุข...เขาก็พร้อมจะยินดี แต่กับผู้ชาย...แค่คิดถึงเรื่องอนาคตก็รู้สึกเหมือนในอกถูกบีบด้วยมือที่มองไม่เห็น


“....ใคร....” เสียงแผ่วเบากระซิบถาม


“...... ถ้าบอก..... จะโกรธเขารึเปล่า...” นัยน์ตาคู่สวยดูเศร้าหมองไปเมื่อได้ยินคำถามนั้น


“อย่า... เกลียดรันนะ...”


“พี่ไม่มีทางเกลียดรันได้...รันก็รู้” ความจริงที่มากกว่านั้นยังไม่สามารถเปิดเผย... ความลับที่เก็บไว้ภายใต้คำว่าครอบครัว


“ผู้ชายคนนั้น...” พอพูดถึงความรู้สึกที่ฟุ้งซ่านก็ทำให้เสียงขาดหาย


“...เขาเป็นใคร...”


“...... หมอที่รักษารัน...” มือที่ยึดเสื้อของร่างสูงไว้บีบแน่นขึ้น พอได้ยินคำว่าไม่เกลียดแล้วก็รู้สึกสบายใจขึ้นมา


ไอ้หมอบ้า...ราเมนทร์บริภาษในใจ


“มันทำอะไรรันหรือเปล่า” ราเมนทร์ถามต่อ เผื่อน้องชายที่ยังไม่เคยรู้จักความรักอาจจะถูกทำอะไรจนสับสนขึ้นมา หลายต่อหลายคนที่มีอะไรกัน... แล้วเข้าใจผิดว่านั่นคือรักจนต้องเสียใจ


“... ไม่ได้ทำอะไรเลย....... เขาใจดี.... รันก็เลยชอบ....” เด็กหนุ่มตัวเล็กย้ายมือไปโอบรอบเอวของพี่ชายเอาไว้


“รันแค่ดีใจที่เขาดีด้วยหรือเปล่า...มันอาจจะไม่ใช่ความชอบก็ได้นะ...” คนเป็นพี่ย้อนถาม


“ไม่..... รันรู้ความรู้สึกตัวเองดี... Don't ask me like that” พอคิดว่าพูดไม่ทัน รัญชน์จึงใช้ภาษาที่ตัวเองถนัดกว่า


พอได้ยินคำยืนยันอย่างนั้นก็ราวกับตัวเองยืนอยู่บนพื้นดินที่ไม่มั่นคง ราเมนทร์ฝืนยิ้มแล้วดึงน้องชายเข้ามากอด


“แล้วเขามีแฟน...เราจะทำยังไงต่อไปล่ะ”


“.... ก็... คงไม่ทำไงมั้ง... อย่างน้อยตอนนี้ก็ได้เจอกันทุกวัน ก็โอเคล่ะ...” รัญชน์ยิ้มให้จางๆ


“เข้มแข็งจังนะเรา...ดีแล้วล่ะ” มือใหญ่ขยี้หัวน้องชายเบาๆ อย่างน้อยที่สุด... เด็กขี้อ้อนในวันวานก็สามารถเลือกทางเดินของตัวเองได้


“ไปนอนกัน เดี๋ยววันนี้พี่นอนเป็นเพื่อนนะ”


“อือ ไม่ได้นอนด้วยกันนานแล้วเนอะ” เขากอดท่อนแขนแข็งแรงของพี่ชายเอาไว้แล้วพาดมันผ่านลำคอของตัวเอง


“อื้อ”


ราเมนทร์รับคำ ความอบอุ่นของมือเล็กที่แตะอยู่บนแขนเป็นสิ่งที่เขาอยากจะรักษาไว้ให้อยู่กับตนเองไปชั่วชีวิต


...หรืออย่างน้อย จนกว่าน้องชายคนนี้จะรู้ความจริง...


 
----------------------------------


 

หลังจากเอาคุกกี้มาให้ตามปกติ รัญชน์ก็กลับเข้ามาโรงพยาบาลอีกครั้งตามเวลานัด แม้จะยังรู้สึกหม่นหมองอยู่บ้าง แต่ใบหน้าหวานก็พยายามแต่งแต้มรอยยิ้ม


“ไฮฮายครับพี่กุ้ง คุณหมอมาหรือยังครับ”


“ยังเลยค่า วันนี้มีนัดสาว มาแว้บเดียวก็แต่งหล่อออกไปตั้งแต่เช้าเลย” นางพยาบาลสาวส่งยิ้มหวาน


“คุณน้องรันเข้าไปในห้องก่อนไหมคะ ไปรอหมอเนอะ เดี๋ยวพี่เอาโอวัลตินมาให้”


“ครับ” รอยยิ้มจางหายไปจากใบหน้าหวานชั่วขณะหนึ่งก่อนจะรีบเดินเข้าห้องของธนกฤตไปนั่งรอ ระหว่างนั้น เขาตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วพิมพ์ข้อความสั้นๆส่งไป


 

little RAN : I'm here :D




 

'ติ๊ง'

 


เสียงสัญญาณดังขึ้นในระหว่างขับรถพาหญิงสาวที่เพิ่งคบหากลับบ้าน ธนกฤตไม่ได้หยิบมันออกมาเพราะกลัวจะเสียมารยาท... และเวลาดีๆที่ได้อยู่กันตามลำพัง


“แล้วไงต่อนะครับ?”


ธนกฤตหันกลับไปยิ้มหวานกับคนรักคนใหม่ โดยลืมเสียงสัญญาณเมื่อครู่เสียสนิท


 
------------------------
 


รัญชน์ถอนหายใจออกมาอีกครั้งเมื่อหันมองนาฬิกาแล้วพบว่าผ่านไปร่วมครึ่งชั่วโมงแล้ว แต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าเจ้าของห้องจะเดินเข้ามาสักที เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเพื่อเปิดดูว่ามีสัญญาณ แล้วก็ไม่พบปัญหาอะไร จึงตัดสินใจกดอีกครั้ง

 


little RAN : I will die soon :P

 

 

“หมอไปก่อนนะครับ” หลังจากส่งจุมพิตร่ำลาอย่างอ้อยอิ่ง ธนกฤตก็บอกลาวรัญญาด้วยรอยยิ้มหวาน


หมอหนุ่มพาน้องบู้บี้กลับมายังโรงพยาบาล ในหัวเต็มไปด้วยจุมพิตหวานและคนรักคนใหม่ จวบจนเมื่อเหลือบมองนาฬิกาถึงได้รู้ว่าลืมอะไรไป


“ชิบหายแล้ว! คุณรัน!”











To be continued...
หัวข้อ: Re: ・・・ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน 9 อกหัก (22/01/13)
เริ่มหัวข้อโดย: Rukki ที่ 22-01-2013 10:36:27
สงสารน้องรันนนนน..!!!!
พี่หมอที่แสนใจดีกำลังจะฆ่าน้องรันให้ตายทั้งเป็นนะ เจ็บปวดอ่ะ
เดี๋ยวปั๊ดเชียร์คู่ผิดศีลธรรม พี่รามน้องรันซะเลยนี่ อิพี่หมอบ้า =*=
หัวข้อ: ・・・ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน 10 สับสนจนไม่รู้ตัว (03/02/13)
เริ่มหัวข้อโดย: kagehana ที่ 03-02-2013 20:18:59

kagehana : สมน้ำหน้าพี่หมอ ยุให้น้องรันทิ้งเลย อิอิอิ





-10-







“คุณรันล่ะครับคุณกุ้ง”


“... แกกลับไปแล้วค่ะคุณหมอ มีแฟนแล้วลืมคนไข้ได้ไงคะ” พยาบาลสาวค้อนใส่ก่อนจะเอ่ยเสียงขุ่นต่อ


“จะให้กุ้งจัดยาเองก็ไม่ได้ คุณหมอไม่อยู่... นิสัยไม่ดีเลยนะคะ”


“คือ.....หมอ....” ไม่รู้จะแก้ตัวอย่างไรเมื่อตัวเองนั้นผิดเต็มประตู


“ขอโทษจริงๆครับ หมอลืม.....แล้วคุณรันกลับไปนานหรือยังครับ”


ธนกฤตหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เขากดไล่ดูข้อความที่ไม่ได้อ่าน


“โดนโกรธแน่เลย....” พึมพำเบาๆเมื่อเห็นข้อความของรัญชน์


“พักนึงแล้วค่ะ คุณหมอนะคุณหมอ...” หญิงสาวยังทำบ่นพลางหยิบเอกสารขึ้นมาจัดต่อ


“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวหมอเคลียร์เอง” เขาส่งยิ้มให้นางพยาบาลที่แทบจะแยกเขี้ยวกัดหัวแล้วรีบผลุบเข้าไปในห้องทันที


“คุณรัน คุณรัน” ธนกฤตหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์ข้อความไปหา


 








พี่หมอบีม : คุณรัน ตอนนี้อยู่ที่ไหนครับ หมอขอโทษจริงๆที่มาสาย

 

เขากดส่งแล้วนั่งรอข้อความตอบกลับซึ่งปกติแล้วอีกฝ่ายจะพิมพ์กลับมาอย่างรวดเร็ว






ทว่ารัญชน์ที่ได้รับข้อความแล้วกลับไม่แม้แต่จะพิมพ์อะไรตอบ สายตาของเขาได้แต่มองคำขอโทษบนหน้าจอด้วยความรู้สึกหม่นหมอง


...ถ้าพิมพ์ไปว่าไม่เป็นไรครับ พรุ่งนี้ก็คงจะได้เจอกันอีก...


...แต่ถ้าพรุ่งนี้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก...


...จะไม่ร้องไห้ได้เหรอ...


พอคิดถึงความรู้สึกทีกำลังเปราะบางของตัวเอง เด็กหนุ่มก็ตัดสินใจวางโทรศัพท์ไว้ที่เดิม

 








ถึงจะรอเท่าไหร่ก็ไม่มีท่าทีว่าอีกฝ่ายจะตอบอะไรกลับมา....


ธนกฤตรับรู้ถึงความรู้สึกผิด... และความรู้สึกอื่นนอกเหนือจากนั้น เขารู้สึกวูบโหวงในหัวใจจนต้องละสายตาจากชื่อที่ขึ้นอยู่ในลิสต์

 

พี่หมอบีม : คุณรันครับ ถ้าได้อ่านข้อความเมื่อไหร่ช่วยส่งเบอร์โทรมาให้หมอด้วยนะครับ

 

หลังจากส่งข้อความไปเขาก็พิมพ์ต่อ

 

พี่หมอบีม : หมอขอโทษจริงๆครับ...

 

หมอหนุ่มวางโทรศัพท์ลงกับโต๊ะแล้วเอนหลังพิงกับพนักแหงนหน้ามองเพดาสีขาว เขาไม่รู้ว่าทำไมตัวเองต้องรู้สึกว่างเปล่าขนาดนี้

...กับคนไข้ที่สนิทสนมเพียงแค่คนเดียว...

 

 













“พี่ราม... กลับออสเตรเลียกันเถอะ...” เด็กหนุ่มพูดขึ้นมาทันที่พี่ชายเปิดประตูเข้าห้องมา ใบหน้าหวานไม่ได้มีรอยยิ้มกว้างประดับไว้อย่างเคย


“เราน่ะเหรออยากกลับออสเตรเลีย? แล้วการรักษาที่นี่ล่ะ” ราเมนทร์วางกล้องลงบนชั้นแล้วหันกลับมองใบหน้าเล็กๆที่แฝงแววเศร้า


ต่อให้ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าน้องชายตัวเองกำลังป่วยเป็นโรครักเป็นพิษ... เหมือนตัวเขาที่เป็นมานานแสนนาน


“ไอ้หมอบ้ามันทำอะไรเราหรือไง”


“ไม่ได้ทำอะไร... ตอนแรกรันคิดว่าได้เจอทุกวันก็โอเค แต่เมื่อวานมาสาย... รันไม่เอาแล้วล่ะ ถ้าต้องไปรอๆๆๆๆๆ มันไร้ประโยชน์นะ แบบนั้นไม่เห็นมีความสุขเลย...” น้ำเสียงที่เด็กหนุ่มใช่พูดฟังดูแข็งกระด้าง


“ไม่ได้เหรอ?”


“ไม่ได้” ราเมนทร์พูดขัดอย่างไม่ให้ความหวัง เขาไม่สนเรื่องที่น้องตัวเองอยากจะเจอหมอหรืออยากหนีจากหมอ แต่ที่เป็นห่วงคือร่างกายของคนตัวเล็ก... ที่เกือบจะหายดีแล้ว


“ไม่ใช่เด็กๆแล้วนะรันที่จะแก้ปัญหาด้วยการหนี ถ้าเรากลับไปตอนนี้แล้วเรื่องยาเรื่องการรักษาไม่ต้องเริ่มใหม่หมดเหรอ คิดให้ดีๆ... ทนอีกนิดให้หายก่อนแล้วค่อยกลับก็ได้”


น้ำเสียงเรียบเน้นย้ำให้รัญชน์รู้ว่าเอาจริง และไม่มีการอ่อนข้อแต่อย่างใด


“ก็รันไม่อยากไปหาหมอแล้ว... พี่รามไปเอายาให้ได้ไหมล่ะ...” รัญชน์ขมวดคิ้วเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมตามที่เขาต้องการ


“ไม่เอา ไม่ชอบหน้าหมอ” ...ยิ่งรู้ว่าเป็นคนที่รัญชน์ชอบยิ่งเหม็นขี้หน้าเข้าไปใหญ่


“รันต้องไปดูอาการด้วยนี่ ไปเอายาอย่างเดียวไม่ได้หรอก”


“... ไม่เอา......” คราวนี้ร่างเล็กเปลี่ยนมาใช้ไม้อ่อน น้ำเสียงที่ยืนกรานตอนแรกฟังดูอ่อนลง


“อย่าทำตัวเป็นเด็กๆนะรัน”


พี่ชายที่เคยใจดีทำเสียงเข้มใส่พร้อมแววตาที่บอกว่าไม่ยอมอย่างแน่นอน


“เออ ก็รันเด็ก!!” ร่างบางหันหลังแล้วผลุนผลันเข้าห้องตัวเองไปซ้ำยังปิดประตูเสียงดัง แล้วบิดล็อคขังตัวเองไว้ด้านใน


ราเมนทร์โผเข้าหาประตูแล้วเคาะเรียกคนที่อยู่ข้างใน


“รัน ออกมาคุยกับพี่ก่อน เปิดประตู” เสียงทุ้มไม่ดังนักแต่กลับราบเรียบจนน่ากลัว ความดื้อของเด็กคนนี้มีมากเพียงใด เขาที่เลี้ยงมาตั้งแต่ยังเล็กรู้ดี


“ไม่เอา ไม่อยากคุยด้วยแล้ว!” เจ้าของห้องไม่ยอมทำตาม แม้น้ำเสียงของราเมนทร์จะฟังดูน่ากลัวกว่าปกติก็ตาม


“ไอ้ตัวขี้อ้อนคนดี เปิดประตูมาคุยกับพี่ดีๆเถอะนะ....”


ราเมนทร์เคาะประตูเบาๆแล้วบิดลูกบิดช้าๆ


“ออกมาคุยกันให้เข้าใจนะ... พี่เป็นห่วงเรา...”


“ไม่เชื่อ...” รัญชน์พูดเสียงเบาลง เขาเดินมาที่ประตูห้องของตัวเองอีกครั้ง


“เปิดนะ” ราเมนทร์พูดเบาๆก่อนจะยิ้มออกมาได้เพราะเสียงปลดล็อค


ใบหน้าหวานดูหม่นหมองคล้ายคนจะร้องไห้


“...” รัญชน์ทำท่าคล้ายจะพูดอะไร แต่สุดท้ายก็ทำแค่เดินเข้าไปหาคนตัวโตกว่า


ท่อนแขนแข็งแรงโอบรับคนตัวเล็กเข้ามากอดแนบอก มือใหญ่ลูบแผ่นหลังเบาๆคล้ายจะปลอบประโลมให้คลายเศร้า


“อดทนอีกนิดนะ....”


“อืม... จะพยายามนะ...” เด็กหนุ่มเอ่ยบอกเบาๆก่อนจะหลับตาลง


...จะทำได้แค่ไหนก็ยังไม่รู้...


“ดีมากคนเก่ง” ราเมนทร์พูดเบาๆแล้วยิ้มให้เรือนผมสีอ่อน


ไม่ใช่ว่าไม่สงสาร รสชาติของความรักที่ไม่เป็นไปตามต้องการนั้น... ตัวเขาเองลิ้มรสมาจนชาชิน


ความรู้สึกผิดที่ถาโถมซึ่งเกิดมาจากเรื่องความลับ แม้จะอยากเปิดเผยเท่าไรก็ไม่สามารถทำได้


...เขารับรู้ได้อย่างชัดเจน...


“ไปล้างหน้าล้างตาก่อนแล้วไปนอนนะ”


“อื้อ... นอนด้วยกันอีกนะ” รัญชน์กลับมาเป็นตัวขี้อ้อนตัวเดิมอีกครั้ง


“อือ เอานิทานก่อนนอนไหม” ราเมนทร์หยอกพลางลูบหัวเบาๆ


...ถ้าได้อยู่ที่ตรงนี้...


...ต่อให้ต้องรักษาความลับไปตลอดชีวิตก็ยอม...


 

 




“พี่ธัน หวัดดีครับ” เด็กหนุ่มร่างเล็กยกมือขึ้นไหว้เมื่อเจ้าของห้องเปิดประตูออกมา คนอายุมากกว่ายกมือขึ้นรับไหว้


“ว่าไงครับรัน” ธันย์ชนกเอ่ยถามธุระเพราะปกติคนตรงหน้ามักจะไม่เคยมาเคาะประตูเรียกทักทายกัน จึงพอเดาได้ว่าอาจจะมีเรื่องอะไรหรือเปล่า


“คือ... ผมไม่ค่อยอยากไปหาหมอ แต่ว่าถ้าไม่ไป พี่รามต้องโวยวายแน่ๆเลย พี่ธันพอจะว่างไปเอายาให้ผมไหมครับ”


“ยา? ได้สิครับ ยังไงก็ไม่ได้ต้องไปไหนทั้งวันอยู่แล้ว... แต่รันไม่ต้องไปตรวจ ไม่เป็นไรเหรอครับ” เขาถามด้วยความเป็นห่วง


“ไม่เป็นไรครับ แค่เอายาเฉยๆ... ตรวจเสร็จไปนานแล้วล่ะครับ” คนฝากธุระยิ้มกว้างพลางหยิบซองยาเก่าขึ้นมาแล้วส่งให้ ก่อนจะค่อยๆอธิบายว่าต้องไปติดต่อที่ไหน อย่างไร


 

 





“เอ่อ... สวัสดีครับ ผมมาติดต่อรับยาให้กับคุณรัญชน์ ไม่ทราบว่าจะต้องติดต่อกับใครครับ...” ธันย์ชนกที่มาถึงเคาน์เตอร์พยาบาลก็เอ่ยถามทันทีพลางยื่นซองยากับบัตรผู้ป่วยของรัญชน์ให้


“สักครู่นะคะ” นางพยาบาลสาวคีย์ข้อมูลคนไข้ลงคอมพิวเตอร์แล้วคลิกเพื่อหาเวลานัด


“ห้องตรวจนอกเวลานะคะ คุณหมอธนกฤต เดี๋ยวเชิญติดต่อได้ตรงโต๊ะนางพยาบาลด้านหน้าแล้วรอสักครู่... อ่อ เดินเลี้ยวไปทางห้องขวามือนะคะ”


ธันย์ชนกเดินไปตามทางที่หญิงสาวบอก เขามองหน้าพยาบาลสาวสักครู่ก่อนจะเดินเข้าไปหา


“ผมมาพบคุณหมอธนกฤตครับ”


“สักครู่นะคะ” กันยามองคนที่มายืนหน้าเค้าเตอร์แล้วรับบัตรคนไข้มา


“เอ่อ... ขอโทษนะคะ กุ้งขอสอบถามข้อมูลนิดนึง บัตรนี้เป็นของน้องรันไม่ทราบว่าคุณเป็นญาติหรือเปล่าคะ”


“... ประมาณนั้นครับ” ชายหนุ่มร่างเพรียวยิ้มให้จางๆ


“แล้ววันนี้น้องรันไม่มาเอาเองเหรอคะ หมอบีมนี่น่าตีจริงๆ...” ประโยคหลังกันยากลับพึมพำกับตัวเอง


หญิงสาวเปิดช่องที่เอาไว้คุยและส่งใบต่างๆกับนายแพทย์แล้วกรอกเสียงเข้าไป


“หมอบีมคะ คนไข้มาค่ะ” พูดจบก็ยื่นประวัติส่งให้แล้วปิดช่องนั้นด้วยอาการกระแทกกระทั้นนิดๆ


“เดี๋ยวเชิญญาติน้องรันเข้าไปในห้องได้เลยค่ะ คุณหมอรออยู่ในห้องแล้ว”


ธันย์ชนกก้มหัวพร้อมเอ่ยขอบคุณอีกทีหนึ่ง ก่อนจะเดินไปที่ห้องตรวจ


“สวัสดีครับ คุณหมอ”


“สวัสดีครับคุณระ...” ธนกฤตที่ส่งยิ้มกว้างเตรียมต้อนรับคนคุ้นเคยชะงักลงเมื่อเห็นใบหน้าเต็มๆ


“เอ่อ...” เมื่อก้มดูในประวัติคนไข้ก็พบว่าเป็นของรัญชน์ นัยน์ตาสีเข้มที่ติดจะหรี่นิดๆเลยมองคนที่เพิ่งเข้ามาด้วยความสงสัย


“เอ่อ... เป็นญาติคุณรันเหรอครับ”


นอกจากเส้นผมสีอ่อนที่ดูเข้มกว่านิดหน่อยแล้ว... อีกฝ่ายก็ไม่มีอะไรเหมือนรัญชน์สักนิด


ทั้งท่าทาง กิริยา... แม้กระทั่งการแย้มยิ้ม


ชายหนุ่มได้แต่ยิ้มจางๆให้ก่อนจะเอ่ยตอบเช่นเคย


“ประมาณนั้นครับ” เขาค่อยๆสังเกตคนตรงหน้าช้าๆ สีหน้าที่ดูจะผิดหวังของธนกฤตทำให้เขารู้สึกแปลกใจ


“คุณรันไปไหนเหรอครับ หรือว่าไม่สบายมารับยาเองไม่ได้” ธนกฤตปรับสีหน้าแล้วถามต่อ


...หรือว่ายังโกรธไม่หาย...


“พอดีแกต้องตามพี่ชายไปทำงานที่เชียงใหม่น่ะครับ” ธันย์ชนกโกหกไปตามน้ำ เรื่องที่ราเมนทร์ต้องไปเชียงใหม่นั้นเป็นความจริง


ตอนได้ยินว่ารัญชน์ไม่อยากมาพบ ก็คิดว่าเป็นแค่เด็กเกลียดหมอ แต่คนตรงหน้ากลับไม่ให้ความรู้สึกน่ากลัวหรืออะไรเลย


“เหรอครับ ไม่ทราบว่าไปนานไหมครับ” หมอหนุ่มถามพลางเขียนจำนวนยาที่เพิ่มมาเป็นสำหรับหนึ่งอาทิตย์


“แล้วไปเชียงใหม่มียาทานเหรอครับ ถ้ายังไงหมอรบกวนขอเบอร์โทรศัพท์คุณรันหน่อยได้ไหมครับ”


“ก็คงนานครับ คิดว่าแกคงอยากเที่ยวต่อ ถ้ายังไง ขอรับยาไปในส่วนของสองอาทิตย์ได้ไหมครับ” ธันย์ชนกเอ่ยถามพลางหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมากดไล่หาเบอร์ ก่อนจะยื่นให้ธนกฤตดู


“นี่ครับ เบอร์”


“ขอบคุณครับ” เขาถือวิสาสะหยิบมือถืออีกฝ่ายมาดูแล้วหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาเซฟเบอร์


...ในเมื่อบีบีไปไม่ยอมตอบ...บางทีวิธีนี้อาจจะดีกว่า


“จริงๆแล้วสองอาทิตย์ควรจะมาตรวจบ้างนะครับ ถ้ายังไงหมอฝากบอกคุณรันว่ากลับมาเมื่อไหร่ให้มาหาด้วยนะครับ”


ธนกฤตส่งมือถือคืนพลางยิ้มพร้อมกับเขียนตัวยาเพิ่มอีกเท่าหนึ่งแล้วยื่นส่งผ่านทางช่องเอกสารให้พยาบาลหน้าห้อง


“เรียบร้อยแล้วครับ เดี๋ยวเชิญรับยาที่ห้องหมายเลข8นะครับ”


“ขอบคุณมากครับ” ธันย์ชนกยกมือขึ้นไหว้พลางลุกขึ้น


“เดี๋ยวผมจะบอกคุณรันให้ครับ” ชายหนุ่มพูดทิ้งท้ายไว้ ก่อนจะเดินออกจากห้องไปด้วยความรู้สึกแปลกๆที่ไม่อาจอธิบายได้


ธนกฤตนั่งมองเบอร์โทรศัพท์ที่เซฟไว้ก่อนจะถอนหายใจยาว...


ความรู้สึกที่บอกไม่ถูกเช่นนี้คืออะไรเขาเองก็ยังไม่สามารถหาคำตอบได้ หากจะเรียกว่าเป็นห่วงก็ดูจะไม่พอสำหรับขอบเขตความรู้สึกที่เพิ่มมากขึ้นในทุกที


...ห่วงหา...


คงเป็นคำจำกัดความที่ใกล้เคียงที่สุด ณ ตอนนี้


ปลายนิ้วเปิดโปรแกรม บีบี แมสเซนเจอร์ขึ้นมาพิมพ์ข้อความ... ที่ได้รู้ว่าอ่านแต่ไม่มีคำตอบกลับมา

 


พี่หมอบีม : ไปเชียงใหม่ไม่ยอมบอกกันเลยนะครับ ให้คนอื่นมาเอายาให้ด้วย กลับมาเมื่อไหร่แวะมาหาหมอด้วยนะครับ

 


พี่หมอบีม : ขอโทษอีกครั้งเรื่องวันก่อน คราวหน้าไม่มีอีกแล้ว สัญญาครับ

 







คนที่นอนเล่นอยู่บนเตียงได้แต่มองข้อความที่ส่งเข้ามาอยู่นาน จนสุดท้าย รัญชน์ก็เริ่มพิมพ์ข้อความตอบ

 

little RAN : it's ok. U don't have to apologize. U're my doctor so I suppose to wait but I'm busy. I'll go see u when I can

 



'ติ๊ง'




ธนกฤตสะดุ้งเมื่อมีเสียงสัญญาณเข้า เขารีบคว้ามากดดูแล้วก็เจอข้อความตอบกลับที่ดูจะเย็นชาต่างจากทุกครั้ง


เมื่ออ่านข้อความซ้ำแล้วซ้ำเล่าเขาก็จับน้ำเสียงที่แฝงในตัวอักษรได้ว่าความรู้สึกคงไม่ต่างจากวันที่เขาปล่อยให้รอ ธนกฤตรีบพิมพ์ข้อความกลับไปอีกครั้ง


 

พี่หมอบีม : ขอโทษที่ทำให้คุณรันรู้สึกไม่ดีนะครับ ไม่รบกวนแล้วครับ

 


ข้อความที่พิมพ์ไปหวังจะได้รับคำตอบอย่าง ‘ไม่กวนครับ’ หรืออะไรก็ได้ตามนิสัยร่าเริงของเจ้าตัว แต่สุดท้าย... มันก็ขึ้นเพียงสัญลักษณ์ที่บอกว่าเปิดอ่านแล้วและไม่มีอะไรตอบกลับมาอีกเลย

 

 







“ครับ...เมื่อกี้คุณแนนว่าไงนะครับ” ธนกฤตถามทวนเป็นครั้งที่สามของค่ำคืนนี้


หลังจากกลับมาถึงบ้านธนกฤตก็อาบน้ำและโทรศัพท์หาคนรัก วรัญญาชวนคุยเรื่องนู่นนี่ที่เขาเคยคิดว่ามันสนุกสนาน...แต่วันนี้ดูจะไม่มีอะไรเข้าหัวสักนิด


-คุณบีมเหม่ออีกแล้วนะคะ แนนถามว่าพรุ่งนี้คุณอยากจะไปดูหนังด้วยกันไหมคะ?- หญิงสาวพูดเป็นทีต่อว่าแต่ก็ไม่ได้จริงจังเท่าไหร่นัก


-มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่าคะ-


“ไม่มีอะไรครับ ผมสบายดี หล่อเหมือนเดิม” ธนกฤตรีบพูดตบท้ายด้วยอารมณ์ขันเพื่อให้อีกฝ่ายทำลืมๆไอ้ที่เขาเหม่อไป


“คุณแนนอยากดูเรื่องอะไรครับ แต่หมอเข้าเวรเลิกสามทุ่มกว่าแน่ะ เอาไงดีครับ”


-เอ... หนังรอบสุดท้ายประมาณ4ทุ่ม... แต่ถ้าคุณบีมไม่อยาก... ทำอย่างอื่นแทนก็ได้นะคะ- หญิงสาวพูดเสียงหวานปนกับเสียงหัวเราะ


“ถ้างั้นเรื่องหนังเอาไว้ก่อนได้ไหมครับ ช่วงนี้ผมเหนื่อยๆ....” ชายหนุ่มถอนหายใจ ตอนนี้เขาไม่อยากจะทำอะไรสักนิด


-ได้ค่ะ... ถ้าอย่างนั้นเย็นนี้แนนไปหาเอาไหมคะ จะได้หาอะไรทานกัน- น้ำเสียงของวรัญญาฟังดูสดใสหมายจะทำให้อีกฝ่ายอารมณ์ดีขึ้น


“ไปก็ได้ครับ..แต่ตอนนี้ผมอยู่ที่ห้องแล้วนะ คุณแนนอยู่ไหนครับ” ธนกฤตกรอกเสียงที่ฟังดูร่าเริงลงไป แม้ว่าจะรู้สึกเหนื่อยๆก็ตาม


“ให้ผมไปรับทานข้าว..หรือไงดีครับ”


-ซื้ออะไรง่ายๆไปทานที่ห้องคุณบีมก็ได้ค่ะ- วรัญญายิ้มออกมาพลางเอ่ยตอบ


“โอเคครับ แล้วเจอกันครับ”

 

 







บนโต๊ะอาหารมีกับข้าวง่ายๆวางอยู่สองสามจาน ธนกฤตตักข้าวจากโถข้าวแบ่งใส่จานแล้วเลื่อนส่งให้หญิงสาวที่นั่งอยู่ใกล้ๆ


“ถ้าคุณแนนไม่มาวันนี้ผมต้องกินมาม่าแน่เลย ขอบคุณนะครับ”


“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คุณบีมจะได้ไม่เหนื่อยด้วย เนอะคะ” ริมฝีปากที่แต้มสีส้มอมชมพูแย้มรอยยิ้มหวานให้


“ได้เจอคุณแนนก็หายแล้วครับ” หมอหนุ่มตักกับข้าวใส่จานให้อย่างเอาใจ


ธนกฤตกินข้าวเงียบๆพลางฟังหญิงสาวที่เล่าเรื่องต่างๆให้ฟังอยากออกรส เขายิ้ม...หัวเราะ แต่เนื้อหาเหล่านั้นกลับไม่เข้าหัวสักนิด


จวบจนเมื่อมื้ออาหารเสร็จสิ้น เขาก็นั่งมองถ้วยขนมก่อนจะเริ่มเก็บล้าง


“เดี๋ยวรอผมล้างเสร็จแล้วจะไปส่งนะ แป๊บนึง”


หญิงสาวหยุดนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะยิ้มจางๆให้


“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แนนขับรถมา... คุณบีมพักผ่อนเถอะค่ะ ดูเพลียๆขนาดนี้ เดี๋ยวเด็กๆจะเป็นห่วงนะคะ”


“งั้นเดี๋ยวไปส่งที่รถนะครับ” ธนกฤตเร่งล้างจาน พอสลัดมือลวกๆเช็ดเสร็จก็เดินนำวรัญญาลงลิฟท์ไปชั้นล่าง


“กลับดีๆนะครับ”


“ค่ะ...” รอยยิ้มบนใบหน้าจางหายไปบ้างเมื่อไม่มีจุมพิตหวานเบาๆอย่างเคย


“ไว้หายเหนื่อยแล้วไปดูหนังกันนะคะ”

“ครับ”













To be continued...

--------
หัวข้อ: Re: ・・・ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน 10 สับสนจนไม่รู้ตัว (03/02/13)
เริ่มหัวข้อโดย: Rukki ที่ 03-02-2013 21:55:09
หมอบีมไม่รู้ใจตัวเอง !!! *เขย่าคอ*
สงสารน้องรัน สุดท้ายก็ต้องรอจนกลับไปก่อน
ยังไงสุขภาพก็ต้องมาก่อนนะน้องรัน
รักษาเนื้อรักษาตัวดีๆ สงสารจริงๆ
หัวข้อ: Re: ・・・ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน 10 สับสนจนไม่รู้ตัว (03/02/13)
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 04-02-2013 00:14:54
รันรามไม่ได้เป็นพี่น้องกันชัวรรรรรรรรร์
อีพี่หมอไม่รู้จะว่าอะไรดีมาแต่ต้นมาตายตอนที่9และ10โอ้ยยยยยยยยยยยสงสารรันนนน
หัวข้อ: Re: ・・・ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน 10 สับสนจนไม่รู้ตัว (03/02/13)
เริ่มหัวข้อโดย: mach201 ที่ 04-02-2013 01:02:35
โมโหหมอบีม ถ้าหนูรันไปแล้วจะรู้สึก  :m16:
หัวข้อ: ・・・ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน 11 ขอโอกาสอีกสักครั้ง (24/02/13)
เริ่มหัวข้อโดย: kagehana ที่ 24-02-2013 00:43:53
kagehana : ให้โอกาสพี่หมออีกสักครั้งนะคะ เชิญทุบตีได้ตามสบายค่ะ ฮิฮิ  o18



-11-








เป็นอีกคืนที่ธนกฤตได้ทิ้งตัวลงบนเตียงด้วยอาการเหนื่อยล้า จริงอยู่ว่าการได้คบหากับวรัญญานั้นมีความสุข... แต่ก็เหมือนอะไรต่างๆได้ขาดหายไป ทั้งที่ไม่น่าจะเหงาแต่ก็กลับรู้สึกแบบนั้น...


สองอาทิตย์กว่าๆที่ไม่มีคุกกี้มะนาวและใบหน้าเปื้อนยิ้มของรัญชน์... เด็กหนุ่มคนนั้น


ธนกฤตดึงผ้าห่มผืนนุ่มขึ้นมาคลุมร่างทั้งๆชุดทำงาน... คืนนี้เขาไม่คิดอยากจะโทรหาคนรักเพื่อฟังเรื่องราวของตัวเธอเท่าไร่


เขารู้... วรัญญาไม่มีความผิดอะไรเลย เธอยังเป็นคนเดิมที่น่ารัก คุยเก่งและทำให้เพลิดเพลิน


...บางทีคงเป็นความรู้สึกตัวเองที่เปลี่ยนแปลง...


ปลายนิ้วได้รูปไล่ตามรายชื่อของคนที่เมมไว้แล้วกดโทรออกหาใครบางคนที่รู้สึกเหมือนไม่ได้เจอหน้ากันมานาน


...ไหนว่าแค่สองอาทิตย์แล้วจะกลับมาหา...


-สวัสดีครับ- น้ำเสียงราบเรียบดังผ่านปลายสายด้วยเป็นเบอร์ที่ไม่รู้จัก


“คุณรันผมหมอบีมนะครับ พอดีจะโทรมาถามว่าคุณรันว่างเมื่อไหร่ผมอยากให้เข้ามาดูอาการแล้วก็รับยาเพิ่ม ยาหมดแล้วไม่ใช่เหรอครับ”


ธนกฤตรีบกรอกเสียงไปยืดยาว... เสียงที่ไม่ได้ยินมานานทำให้ความรู้สึกบางอย่างชัดเจน


-............. ครับ แต่ผมยุ่งอยู่ จะให้คนไปเอาแทน แค่นี้ก่อนนะครับ- พูดจบ เด็กหนุ่มก็วางสายโดยไม่คิดจะฟังอะไรต่อ


ธนกฤตนอนฟังเสียงสัญญาณที่ถูกตัด เขาปล่อยมือจากมือถือให้มันตกลงบนที่นอนพลางมองเหม่อไปยังเพดานสีขาวซึ่งเป็นเงาสลัวด้วยความมืด


...จะสายเกินไปหรือเปล่านะ...


...ที่จะรู้ใจตัวเอง...


 

 






“สวัสดีครับ ผมมารับยาแทนคุณรัญชน์เหมือนเดิมครับ” ธันย์ชนกยิ้มจางๆเช่นเคยขณะแจ้งความต้องการของตัวเองกับกันยา


“มาแทนอีกแล้วเหรอคะ น้องรันยังไม่กลับเหรอ” กันยาถามพลางยิ้มให้แล้วเปิดช่องส่งประวัติการรักษาให้ธนกฤต


“เชิญเข้าในห้องเลยค่ะ”


ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งได้แต่ยิ้มให้แทนคำตอบก่อนจะเดินเข้าไปที่ห้องของธนกฤต


“สวัสดีครับ คุณหมอ... ผมมารับยาแทนคุณรัญชน์ครับ”


“สวัสดีครับ” ธนกฤตทักตอบ


“ยังไม่กลับจากเชียงใหม่เหรอครับ” ชายหนุ่มถามด้วยท่าทางกังวล


“ไม่ว่างน่ะครับ...” ธันย์ชนกเอ่ยตอบก่อนจะนั่งลง


“ยังไงขอสองอาทิตย์เหมือนเดิมนะครับ... ใกล้จะครบกำหนดแล้วไม่ใช่เหรอครับ”


“หมอให้ไม่ได้ครับเพราะต้องดูอาการก่อน” ธนกฤตยิ้มแต่ในมือกลับไม่เขียนอะไรสักนิด


“ถ้ายังไงฝากคุณบอกคุณรันด้วยนะครับว่าคราวนี้ต้องมาเอาเองแล้ว....”


“แต่ว่าแกไม่ว่าง... ผมคิดว่าคุณหมอน่าจะเข้าใจนะครับ” ชายหนุ่มผู้มีอายุมากกว่าเอ่ยเสียงเข้มขึ้นเมื่อคิดว่าอีกฝ่ายจะไม่ยอมทำให้


“ไม่ว่างไม่เป็นไรครับ” ชายหนุ่มก้มหน้าเขียนตัวยาที่จำเป็นแล้วยื่นให้ทางช่องส่งของ


“หมอให้ห้าวัน... ที่เหลือเดี๋ยวหมอจัดการเองครับ เชิญรับยาที่ห้องจ่ายยาเบอร์8นะครับ”


“... ขอบคุณครับ” ธันย์ชนกยอมจำนน ลุกขึ้นก่อนจะหันหลังให้ แต่ก่อนที่จะได้ออกไป เขาคิดว่าอย่างน้อยเขาควรจะพูดสิ่งที่คิดไว้


“ผมว่า ถ้าคุณหมอมีปัญหาอะไรกับแก... น่าจะรีบไปเคลียร์นะครับ...” ชายหนุ่มหันมาบอก แล้วจึงเปิดประตูเดินออกจากห้องไป


ธนกฤตรับคำแนะนำนั้นด้วยการพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาใครบางคน


...ถ้าเป็นตอนนี้คงยังทัน...


...อย่าให้ต้องมีใครเจ็บปวดไปกว่านี้เลย...


 

 







...สองอาทิตย์กว่าแล้ว...


พออยู่คนเดียวในห้องก็นึกถึงคนที่หายหน้าไปนานขึ้นมาทุกที ทางด้านวรัญญาที่กำลังพูดคุยก็ยังไม่ได้พบกันเสียที ธนกฤตรับรู้ถึงหมอกควันจางๆซึ่งปกคลุมอยู่บนบรรยากาศของคำว่าคนรักระหว่างตนเองกับหญิงสาว ราวกับว่าต่างคนก็ต่างรู้ถึงความผิดปกติ... แต่ก็ไม่มีใครเอ่ยปากเสียที


“...ทำไมมันเหงาอย่างงี้วะ...”


ธนกฤตเอื้อมไปหยิบกล้องถ่ายรูปที่วางไว้ข้างเตียงนอน แล้วทิ้งตัวกลิ้งพลิกนอนคว่ำเอาใบหน้าเกยหมอนแล้วกดเปิดเรียกรูปขึ้นมาดู


หน้าจอLCDแสดงภาพคนตัวเล็กที่ยิ้มหวานให้กล้องอย่างไม่ปิดบัง นัยน์ตาสีสวยเป็นประกายจนราวกับคนๆนี้มายืนอยู่ตรงหน้า ใบหน้าได้รูปเอียงนิดๆก่อนจะเปลี่ยนเป็นเซตในห้องน้ำที่ดูต่างจากปกติ... รอยยิ้มหวานแฝงความเย้ายวนซึ่งพรางอยู่กับรูปร่างที่ยังไม่ดูโตเต็มวัย หากแต่นับแค่นัยน์ตาและแพขนตาชุ่มแแล้ว... ถือว่าอันตรายต่อหัวใจยิ่งกว่าอะไร


แม้รูปบางรูปจะเลือน หลุดโฟกัส หรือไม่ได้มุมด้วยเพราะความอ่อนด้อยของฝีมือคนถ่าย แต่ธนกฤตก็ยอมรับกับตัวเองว่ารูปเหล่านี้คงเป็นสมบัติที่มีค่าอย่างหนึ่งในชีวิตเขา


รอยยิ้มจางๆผุดขึ้นบนใบหน้าขาว ดวงตาสองชั้นแต่เรียวยางยังคงจับจ้องอยู่กับรูปที่แสดงอยู่ เขากดเลื่อนดูรูปจนมันวนขึ้นใหม่อีกรอบก่อนจะถอนหายใจแล้ววางกล้องลง


“ทำไมต้องเป็นอย่างงี้ด้วยวะ ไอ้โง่...”


ธนกฤตซุกหน้าลงกับหมอน


...จะปรึกษาใครก็ไม่ได้...


...แต่จะให้ทิ้งความรู้สึกนี้ก็ทำไม่ได้เหมือนกัน...


“...คุณรัน....”


เสียงทุ้มพึมพำชื่อคนที่อยู่ในภาพอีกครั้ง... ด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกความคิดถึง...









 

 

รัญชน์เทยาชุดสุดท้ายใส่ฝ่ามือก่อนจะยกขึ้นใส่ปาก แล้วยกแก้วน้ำขึ้นดื่มตาม


“... พี่ธันก็ไม่ยอมไปเอาให้แล้ว.....” เด็กหนุ่มนึกถึงสิ่งที่คนข้างห้องบอกไว้ก่อนจะยื่นยาให้

 
“พี่คิดว่ารันควรจะไปตรวจด้วยนะครับ อย่างน้อยหนเดียว จะได้รู้ว่าหายแล้ว... จะให้พี่ไปเป็นเพื่อนก็ได้ แต่ว่า ต้องไปตรวจนะครับ”

 
“เจ็บชะมัด....” คนพูดสูดปากด้วยความเจ็บริมฝีปาก แก้มด้านซ้ายบวมแดงถูกมือประคองไว้แต่อีกมือนึงกลับเคาะประตูหน้าห้องใครบางคน ธนกฤตยิ้มกับถุงยาในมือแล้วเคาะอีกครั้ง


“พี่ธัน.... เปลี่ยนใจยอมเอายาให้ผมแล้วเหร-??!!” เด็กหนุ่มลุกมาเปิดประตูห้องพลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสดใส ทว่าพอเห็นคนที่ยืนอยู่ ก็กลับรีบปิดประตูทันที


ธนกฤตอาศัยจังหวะที่ประตูยังปิดไม่สนิทสอดไหล่เข้าไปขวาง แรงประตูที่ปะทะกับไหล่ทำให้หน้าเหยไปนิดหน่อยแต่เขาก็ฝืนยิ้มเท่าที่ใบหน้าที่มีรอยช้ำทำได้


“คุณธันไม่มาแต่หมอบีมมาเยี่ยมครับ” ดวงตาหรี่หยีเป็นรูปจันทร์เสี้ยวด้วยรอยยิ้มมองอย่างติดจะอ้อนเล็กน้อย


“คุณรันกลับจากเชียงใหม่แล้วไม่ยอมเอาของฝากไปให้ผมมั่ง นัดตรวจก็ไม่ไปด้วย... ผมเลยถือวิสาสะมาหาครับ”


“... ครับ ก็ผมไม่ว่างไปนะ... คุณหมอมีธุระอะไรก็รีบว่ามาเลยครับ” นัยน์ตาคู่สวยมีแวววูบไหวไป แม้จะอยากเอ่ยถามถึงรอยช้ำบนใบหน้าแต่ก็อดใจไว้


...ทั้งๆที่กำลังตัดใจ ยังจะโผล่หน้ามาให้เห็นแบบนี้อีก...


...เป็นหมอประเภทไหนกัน...


“ไม่มีอะไรเป็นพิเศษครับ แค่เป็นห่วง...” วูบหนึ่งธนกฤตเห็นความหวั่นไหวในแววตา แต่มันก็ถูกกลบด้วยสีหน้าเรียบเฉย


“คุณรันให้ผมเข้าไปข้างในหน่อยนะครับ... เดี๋ยวใครมาเห็นผมแบนเป็นตุ๊กแกแบบนี้ขายหน้าแย่”


รอยยิ้มหวานส่งไปอีกครั้ง ตามด้วยมือหนาที่เอื้อมไปแตะแขนอีกฝ่าย


ร่างบางขยับถอยหนี คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน ทั้งน้ำเสียงที่เอ่ยออกมาก็ยังฟังดูแข็งกร้าวกว่าที่เคย


“ไม่จำเป็นนะครับ... คุณหมอมาดูแล้ว ผมยังไม่ตายนะ ก็หมดธุระแล้วนะครับ”


“คุณรันโกรธอะไรผมใช่ไหมครับ” ธนกฤตอาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายเผลอดันประตูเข้าและแทรกกายสู่ภายในห้องได้สำเร็จ


...ถ้ายอมแพ้แค่นี้ก็จบ...


ร่างสูงเดินเข้าไปใกล้อีกนิด นัยน์ตาสีเข้มมองค้นหาคำตอบในแววตาคู่สวย


“โกรธอะไรครับ? ไม่เห็นมีอะไรต้องโกรธนะ” รัญชน์ยิ้มกว้างทั้งๆที่พยายามฝืนตัวเองเอาไว้ ไม่ให้เผยความอ่อนแอออกมา


“กลับไปเถอะครับ”


“คุณโกรธ... ผมรู้” ธนกฤตยิ้มหวานแล้วแตะที่ข้อมืออีกฝ่ายเบาๆ


“ผมคิดถึง... คุกกี้มะนาวที่คุณแอบมาให้ตอนเช้าจัง” ต่อให้โง่แค่ไหนใครก็รู้ ก็เล่นของฝากหายไปพร้อมเจ้าตัว ยังไม่นับข้อความที่เคยถามว่าชอบคุกกี้มะนาวหรือเปล่าอีก


หนีใจตัวเองมาหลายต่อหลายครั้ง... ดีแต่ทำให้คนรอบข้างเจ็บปวด


...แต่เมื่อมันชัดเจน ก็อยากขอโอกาสอีกครั้ง...


“ผมคิดถึงคุณรันนะ”


“อะไรครับ พูดแบบนั้นคุณแนนได้ยินจะเข้าใจผิดเปล่าๆนะครับ” เด็กหนุ่มร่างเล็กพยายามคุมเสียงของตัวเองให้เรียบนิ่งไว้


“อย่าทำลายขั้นตอนของผมสิครับ...” เพราะตั้งใจจะลืมให้ได้ ถึงได้ไม่ติดต่อ ไม่อยากได้ยินเสียง ไม่อยากเห็นหน้า ไม่อยากอะไรทั้งนั้น


“ไม่เข้าใจผิดหรอกครับ” เจ้าของนัยน์ตายิ้มชี้ให้ดูแก้มขาวๆที่เป็นรอยมือแดงอย่างชัดเจน


“ถึงจะผิดกับคุณแนน แต่ผมยอมโดนตบดีกว่าที่จะหลอกเขาไปวันๆ... เวลาชอบใครน่ะมันแบ่งหัวใจไม่ได้หรอกนะครับคุณรัน”


ธนกฤตมองใบหน้าสวย... หวังให้รู้สึกถึงสิ่งที่เต็มตื้นอยู่ในอก


“บอกขั้นตอนที่คุณรันคิดจะทำให้ผมฟังหน่อยได้ไหมครับ”


“ทำไมผมต้องบอกครับ... ไม่ใช่ธุระของคุณหมอนะ...” คิ้วที่ขมวดเข้าหากันในตอนแรกค่อยๆคลายออกเมื่อสบกับสายตาที่มองมา


“ถ้างั้นบอกขั้นตอนที่จะทำให้คุณรันหายโกรธหมอแทนนะ”


“... ฮะฮะฮะ....” เด็กหนุ่มหน้าหวานแค่นยิ้มออกมาก่อนจะหัวเราะเบาๆ


“ผม.... บอกว่าไม่ได้โกรธ คุณหมอไม่เข้าใจเหรอครับ? ต้องให้ผมพูดอีกกี่ทีนะ” ในเมื่อรัญชน์หนีมาเพราะพยายามตัดใจ เพื่อจะได้ไม่ต้องรู้สึกเจ็บปวด


...How can I be pissed off...


...When I’m nothing to you...


“ไม่เข้าใจครับ... ไม่โกรธแล้วทำไมต้องหายไปด้วย” ธนกฤตมองคนตัวเล็กที่ต้องฝืนตัวเองทั้งที่หางตาเกือบจะเป็นสีแดงก่ำแล้ว


“เรามาพูดความจริงกันดีกว่าครับ...” น้ำเสียงที่มักอ่อนนุ่มติดจะขี้เล่นแปรเปลี่ยนเป็นจริงจัง


“ผมเลิกกับคุณแนน เพราะผมมีคนที่ชอบคนอื่นแล้ว”


“... แล้วยังไงครับ? ทำไมผมต้องฟังด้วย??”


“ผมชอบคุณรันครับ” ธนกฤตพูดหนักแน่นก่อนจะยืนยันด้วยนัยน์ตาสีเข้มที่มองอย่างมีความหมาย


“อาจจะผิดกับคุณแนน... ที่โดนตบก็เพราะสาเหตุนี้...”


วรัญญาบอกกับเขาว่าจริงๆก็ตะหงิดๆในใจตั้งแต่ที่คบกันอย่างรวดเร็วเกินไป แถมยังมัวแต่คิดถึงอะไรก็ไม่รู้ ในทีแรกก็คิดว่าเป็นผู้หญิงอื่น… แต่พอรู้แล้วก็ตกใจนิดหน่อย


ใบหน้าสวยของหญิงสาวเศร้าลงนิดหน่อยก่อนจะพึมพำเบาๆว่า


‘ก็เหมือนกันแหละค่ะ... ฉันเองก็ยังลืมแฟนเก่าไม่ได้ แต่ในฐานะที่คุณพูดออกมาก่อนแถมยังชอบผู้ชาย... ถ้าอย่างนั้น... ขอทีนึงนะคะ’


“ผมอยากบอกให้คุณรันฟัง...แค่นี้แหละครับ”


“...........” น้ำตาที่พยายามฝืนไว้ค่อยๆไหลเอ่อออกมาจากดวงตาคู่สวย จากที่ถอยตัวห่างกลับเดินเข้าหาก่อนจะยกมือขึ้นยึดเสื้อของร่างสูงเอาไว้


“... พูดจริง... นะ” น้ำเสียงของรัญชน์ฟังแผ่วเบาสลับกับเสียงสะอื้น


“ครับ...” ถ้ากอดตอนนี้จะเป็นไรไหม...


อ้อมแขนแข็งแรงยกขึ้นแบบกล้าๆกลัว ใจหนึ่งคิดแค่จะตบไหล่เบาๆปลอบใจ… แต่สุดท้ายเขาก็สวมกอดแล้วดึงคนตัวเล็กกว่าเข้ามาแนบกาย


“ให้ผมเข้าข้างตัวเองได้หรือเปล่า... ว่าคุณก็ชอบผมเหมือนกัน” ธนกฤตยิ้มกับเรือนผมสีอ่อนพลางลูบเบามือ


“.... ครับ...” เด็กหนุ่มร่างเล็กซุกใบหน้าเข้ากับร่างสูง ทั้งดีใจและมีความสุขจนรู้สึกว่าทุกอย่างท่วมท้นไปหมด


“... ชอบ....” ใบหน้าหวานเงยขึ้นมองคนที่ก้มลงมาส่งยิ้มอ่อนโยนให้


“ผม... พยายาม... จะไม่ไปหา จะได้ตัดใจ...”


“ขอโทษนะครับ...คราวนี้ไม่ต้องไปหาแล้วก็ได้” มือใหญ่เลื่อนขึ้นปาดน้ำตาบนผิวแก้ม


“ให้ผมมาหาแทน… อย่าหายไปอย่างนี้อีกนะ”


ใบหน้าเปื้อนน้ำตาที่แหงนมองดูทั้งน่ารักและน่าสงสาร


...เอาไงดีวะ...


...ถ้าจูบจะเร็วเกินไปไหม...


“ถ้างั้นขอหลอกคุณรันอีกเรื่องได้ไหมครับ...” นัยน์ตายิ้มจนโค้งเป็นจันทร์เสี้ยว


“... อื้อ... อะไรครับ” นัยน์ตากลมโตกระพริบมองพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า


“จะหลอกคุณรันมาเป็นแฟน... คบกับผมได้ไหมครับ....” ธนกฤตยิ้มหวานแล้วก้มลงหอมแก้มเปื้อนน้ำตาเบาๆ


“บอกตามตรงว่าผมเองก็รู้แค่ว่าผมชอบคุณ ไม่อยากให้คุณหลบหน้า... ผมไม่รู้ว่าไอ้ความรู้สึกแบบนี้มันเป็นยังไง ผมไม่เคยชอบผู้ชายในแบบนี้มาก่อน... แต่… ผม... แค่ชอบคุณ”


คำพูดวกวนแสนสับสนพรั่งพรูออกมาจากริมฝีปากที่เลื่อนเข้าใกล้ ธนกฤตใช้มันแตะเบาๆที่กลีบปากสีสวยของรัญชน์แล้วหลับตาลง.... มอบจูบแสนหวานให้คนตัวเล็ก


“จะยอมให้ผมหลอกไหมครับ”


ร่างบางขยับยกแขนขึ้นโอบรอบลำคอหนา รั้งเอาไว้ไม่ให้จุมพิตหวานได้ละจากไป ราวกับอยากจะเก็บเอาไว้ในความทรงจำให้นานแสนนาน ก่อนที่จะเป็นฝ่ายถอยออกมา แต่กลับไม่ยอมปล่อยวงแขนที่โอบอีกฝ่ายไว้ ปลายเท้าของรัญชน์เขย่งจนแทบจะไม่ติดพื้น แต่ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญในตอนนี้อีกต่อไป


“ผมไม่ยอมให้หลอกนะ... ผม... จริงจัง....”


“ครับ” คำรับที่ไม่ยืนยันชัดเจนว่าจะจริงจังหรือไม่พูดตอบ ธนกฤตกดจมูกลงบนท่อนแขนเรียวที่พาดบนไหล่ก่อนจะดึงออกช้าๆแต่ยังกุมมือเล็กเอาไว้


“ถ้างั้นพรุ่งนี้เจอกันนะครับ... ไม่ต้องแอบเอาคุกกี้ไปวางด้วย ผมจะรอรับเองครับ”


“... จะไปแล้วเหรอครับ.......” น้ำเสียงหวานติดจะออดอ้อนเล็กน้อย ก่อนจะบีบมือสองข้างเอาไว้


“ตอนเย็นผมแวะไปหาได้ไหมครับ?”


“ไม่ต้องถามสิครับ... คนเป็นแฟนกันคิดถึงก็มาหาเมื่อไหร่ก็ได้” ธนกฤตย่นจมูกแล้วแกล้งจุ๊บเสียงดังที่ข้างแก้ม


“จริงๆจะไปกับผมเลยก็ได้นะครับ มีคิวตอนบ่ายสอง... ไม่มีเวร ไปทานข้าวด้วยกันไหมครับ” นัยน์ตายิ้มได้มองแล้วยิ้มหวานตบท้าย


...วันนี้ไม่รู้ว่าชอบแค่ไหน...


...แต่วันพรุ่งนี้จะชอบมากกว่าวันนี้...แน่นอน...


นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนอมเทาเหลือบมองก่อนจะค่อยๆคลี่รอยยิ้มหวาน


“งั้นผมไปด้วยครับ”


“รอนานนะครับ” หมอหนุ่มพูดยิ้มๆอย่างตั้งใจจะหยอกมากกว่าขู่จริง


“ให้ผมมารับที่นี่ก็ได้นะ”


“ไม่เป็นไรหรอกครับ ไปเล่นกับเด็กๆก่อนก็ได้...” รัญชน์ยิ้มอีกครั้ง ก่อนจะหันไปคว้าเอากระเป๋าของตัวเองออกมาสะพายเช่นเคย มือเรียวเอื้อมไปจับแขนของอีกฝ่ายไว้


ธนกฤตยิ้มหวานกับปลายนิ้วสั่นๆที่จับบนท่อนแขนของเขาก่อนจะดึงแขนตัวเองออกแล้วเปลี่ยนเป็นจับมือแทน


“แบบนี้ดีกว่ามั้งครับ” เขาชูมือที่ไขว้ประสานกันขึ้นให้อีกฝ่ายมองเห็นชัดเจน


คราวนี้นัยน์ตากลมโตทอประกายสดใสขึ้นมา ก่อนที่ริมฝีปากสีอ่อนจะแย้มรอยยิ้มแสนหวานยิ่งกว่าการถ่ายแบบครั้งไหน


“ครับ!”

 











To be continued...
หัวข้อ: Re: ・・・ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน 11 ขอโอกาสอีกสักครั้ง (24/02/13)
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 24-02-2013 01:09:23
กรี๊ดดดดดดคุณหมอมาแรงคะแนนหรอค่ะ? อยากบอกว่าได้ผลจังๆค่ะ เอาไปเลยล้านแต้มโอ้ยยยยยยยยยยยยยน่ารัก อ่อนโยนมากกกกกกกก คุณแนนก็กลับไปเคลียร์กับแฟนเก่าสะนะ แบร่
หัวข้อ: ・・・ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน 12 รักเราไม่เท่ากัน (16/03/13)
เริ่มหัวข้อโดย: kagehana ที่ 16-03-2013 09:39:10

kagehana : พี่ธันของเค้ามาแล้วค่ะ เป็นตัวละครโมเอะแบบเมียๆ(?) ขอฝากไว้อีกคนนะคะ








-12-






“อย่าว่าพี่นินทาหมอเลยนะคะ แต่ไอ้รอยตบบนแก้มนี่สงสัยไปทำอะไรใครเข้าแหง ไม่เลิกกับแฟนก็โดนจับได้ว่ามีกิ๊ก” กันยาป้องปากกระซิบรัญชน์ที่นั่งอยู่ด้านข้างตรงที่รอคนไข้ หญิงสาวชะเง้อคอมองแล้วเม้าท์ต่อ


“แต่อย่างหน้าอย่างหมอบีมไม่มีคบซ้อนแน่ๆ เพราะงั้นคงโดนบอกเลิก น้องรันว่าจริงไหมคะ”


“คงงั้นแหละครับ” เด็กหนุ่มยิ้มหัวเราะไปด้วยพลางลุกมายืนท้าวแขนกับเคาน์เตอร์พยาบาล


“น่าสงสารเนอะครับ”


“เอ๊—— น้องรันพูดแบบมีเลศนัยอย่างงี้ยังกับรู้อะไรมาเลย หายหน้าไปสองอาทิตย์กว่าพอกลับมาก็มีอะไรงุบงิบๆกะหมอบีมอีก... ชักน่าสงสัยนะคะ” กันยายื่นหน้าเข้าไปใกล้แล้วอมยิ้ม รัญชน์ทำให้เธอรู้สึกเอ็นดูเหมือนน้องคนเล็ก... และหมอบีมก็คงคิดไม่ต่างจากเธอเช่นกัน


“นั่งรอหมอบีมนานๆไม่เบื่อเหรอคะ”


“ไม่หรอกครับ คุยกับพี่กุ้ง สนุกดี” รัญชน์ยิ้มหวานพลางโยกตัวไปมา


“บางทีก็ไปเล่นกับเด็กๆ ไม่เบื่อครับ”


“ระวังเด็กๆ... ติดทีนี้ต้องมาทุกวันนะคะ” นางพยาบาลสาวเอ่ยหยอก พอดีกับเวลาที่ช่องด้านข้างเลื่อนเปิด


“อันนี้เรียบร้อยแล้วครับ ส่งเรื่องห้องจ่ายยาได้เลย” คนที่อยู่ด้านในได้โอกาสสบตาคนตัวเล็กด้านนอกแล้วรีบยิ้มหวานให้ทันทีที่กันยาหันหลังให้ตน


“คิวผมแล้วนะครับพี่กุ้งคนสวย—” เด็กหนุ่มร่างเล็กเอ่ยบอกก่อนจะเดินสวนกับคนไข้คนก่อนโดยไม่รอคำอนุญาตจากคนข้างใน แต่ก่อนที่ประตูห้องตรวจจะปิดลง รัญชน์หันมาหากันยาอีกครั้ง


“เด็กๆติดไม่เป็นไรหรอกครับ ผมชอบเด็กๆ”


“หมอก็ชอบเด็กๆเหมือนกันครับ” นายแพทย์หนุ่มที่ปั้นหน้าเคร่งขรึมเปลี่ยนเป็น “หมอบีม”ทันทีที่ปิดประตูได้


“ไม่ได้เจอคุณรันในห้องตรวจตั้งนาน... เขินจัง”


“... ไม่ต้องเรียกว่าคุณรันดีกว่าครับ... เรียกรันเฉยๆได้ไหม... มันฟังดูสุภาพเกินไป...” เขานั่งลงที่เก้าอี้แล้วยกกระเป๋าวางไว้ที่เก้าอี้ข้างๆกันอีกตัว


“ไม่เห็นต้องเขินเลยครับ” รอยยิ้มหวานปรากฏขึ้นอีกครั้งบนใบหน้า


“รันเฉยๆ ว้า— ยาวจัง” ธนกฤตเล่นมุกแป้กอย่างไม่เกรงใจคนตัวเล็ก


“เรียกรันก็ซ้ำกับคนอื่นสิครับ... งั้น...” นัยน์ตาสีเข้มมองคนตัวเล็กอย่างตั้งใจพิจารณาแต่ริมฝีปากกลับคลี่ยิ้มบางๆตลอด


“เรียกคุณรันว่าตัวเล็กแล้วกัน น่ารักดี” พูดจบก็ตบท้ายด้วยรอยยิ้มเขินๆที่ทำให้สาวๆหลายคนต้องเขินตาม


“ทีนี้ตาหมอบ้าง อยากให้ตัวเล็กเรียกว่าพี่บีม...ได้ป่ะ”


อย่างน้อย... ‘พี่บีม’ คงไม่ฝืนใจที่จะเรียกเท่าไรล่ะมั้ง...


“... ว้า— ยากจัง...” รัญชน์ทำเสียงล้อเลียนอีกฝ่ายก่อนจะยกรอยยิ้มขึ้นที่มุมปาก ก่อนจะโน้มตัวมาบนโต๊ะที่แยกเขากับธนกฤตไว้


“ให้ผมเรียกว่า พี่หมอ แทนได้ไหมครับ”


“อย่าเข้ามาใกล้นักสิครับ... หมอขี้อายนะ” คนขี้อายที่ยิ้มร่ายื่นตัวเองเข้าไปใกล้แล้วแอบจุ๊บที่แก้มขาวเบาๆ


“เรียกว่าพี่บีมสิครับตัวเล็ก เดี๋ยวเรียกพี่หมอๆก็หันมาทั้งโรงบาลหรอก”


ธนกฤตดึงตัวกลับแล้วเอนหลังพิงเบาๆก่อนจะหยิบชาร์ตประวัติขึ้นมาเขียนยาประจำให้


“จะเรียกแบบนั้นได้ไงครับ... เดี๋ยวคนอื่นก็แปลกใจหมดหรอก ว่าทำไมคนไข้เรียกพี่บีม... ผมอยากเรียกว่าพี่หมอ... ไม่ได้เหรอครับ” ท้ายประโยคเขาจงใจลากเสียงให้ออดอ้อนพลางจ้องมองดวงตาสีเข้มของฝ่ายตรงข้าม


“แต่พี่บีมอยากให้เรียกพี่บีมนี่ครับ” ธนกฤตรู้ตัวดี ในขบวนการดื้อแพ่ง... ทั้งตระกูลไม่มีใครเกินหน้าเขา ที่จะพอสูสีหน่อยก็มียัยแบม แต่ก็ยัง‘เด็กๆ’อยู่ดี


ธนกฤตแกล้งเม้มปากแล้วบู้ออกคล้ายเวลาเด็กถูกขัดใจ


“นะตัวเล็ก... เด็กๆก็เรียกหมอบีม รันจะเรียกพี่บีมก็ไม่เห็นแปลก”


เด็กหนุ่มท้าวแขนพลางเอียงคอมองแพทย์ประจำตัว


“งั้น... ผมอยากเรียกว่า ‘พี่หมอบีม’ ได้ไหมครับ”


...เจอคนที่สมน้ำสมเนื้อแล้วสิ...


ธนกฤตยิ้มพรายก่อนจะยักไหล่ยอมแพ้


“โอเค พี่หมอบีมก็พี่หมอบีม เดี๋ยวเอาไว้อยู่กันนานๆจะให้เรียกพี่บีมให้ได้เลย... คอยดูสิ”


ชายหนุ่มหยิบหนังสือเกี่ยวกับโรคและวิธีดูแลรักษาของคนตัวเล็กขึ้นมาวางบนโต๊ะแล้วเลื่อนไปไว้ตรงหน้า


“อันนี้พี่หมอบีมให้ครับ... ของขวัญเด็กดี....”


“... ขอบคุณครับ” นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนอมเทาทอประกายเริงร่าก่อนจะรับมาใส่กระเป๋าไว้


“ใกล้หายแล้ว ขยันกินยาสักเดือนเนอะ เอาไว้อ่านนะครับ” ธนกฤตเปิดช่องส่งยา


“เดี๋ยวพรุ่งนี้นัดเช้ามาเจาะเลือดดูเนอะ ป่ะ วันนี้ไปกินข้าวเย็นกัน พี่หมอบีมสุดหล่อจองร้านเพื่อนไว้แล้ว”


“ครับ งั้นเดี๋ยวผมบีบีบอกพี่ก่อน” คนตัวเล็กยิ้มหวานพลางหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองเข้ามา แล้วกดเข้าโปรแกรมบีบี

 



little RAN : I'll have dinner with Dr. today :D I'm in a super happy mode right now. He said he felt the same and now we're going out! :DDDDDDDDDDD

 

 





'ติ๊ง'


ข้าวของที่หอบพะรุงพะรังถูกวางไว้หน้าประตูห้องด้วยเสียงเข้าข้อความที่ตั้งไว้ให้น้องชายตัวเล็กโดยเฉพาะ


ราเมนทร์หยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมากดดูข้อความด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม วันนี้เขาซื้ออาหารญี่ปุ่นเซทใหญ่จากร้านที่เคยไปกินกัน แม้จะต้องต่อคิวรอนานเกือบชั่วโมงแต่แค่คิดถึงรอยยิ้มกว้างเวลาที่รัญชน์ได้กินของอร่อย... เวลาแค่นี้ก็ไม่เท่าไร


ปลายนิ้วเลื่อนเปิดอ่านข้อความ ราเมนทร์นิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะถอนหายใจ


“เป็นหมันเลยนะเรา” รอยยิ้มเศร้าๆส่งให้ถุงกับข้าวที่วางบนพื้น

 


RAM : อือ อย่ากลับบ้านดึกล่ะ พี่อยู่ที่บ้านแล้วนะ

 



เขากดส่งข้อความไปแล้วก้มลงหยิบถุงอาหารญี่ปุ่นที่ซื้อขึ้นมามอง


...จะคนเดียวก็เยอะเกินไป...เก็บไว้พรุ่งนี้ก็ไม่อร่อยแล้ว...


นัยน์ตาสีน้ำตาลเทามองไปยังประตูห้องที่อยู่ใกล้ๆกัน ก่อนจะก้าวไปเคาะหน้าห้องทันทีโดยที่ไม่ต้องคิด


“คุณธันครับ... ผมรามครับ”


...กินคนเดียวเหงาจะตายไป...


...คงยังไม่ได้กินข้าวหรอกมั้ง...


เสียงตึงตังโครมครามดังมาจากด้านในให้คนเคาะประตูได้ประหลาดใจเล่น แต่ยืนรออยู่ไม่นาน ประตูห้องก็เปิดออกพร้อมกับเจ้าของห้อง


“... สวัสดีครับ?” ธันย์ชนกมีเพียงรอยยิ้มจางๆประดับใบหน้า เรือนผมสีอ่อนดูยุ่งเหยิงไม่เป็นทรงผิดจากปกติ พอสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังมองราวกับแปลกใจ เขาก็เอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเบาๆตามแบบของเจ้าตัว


“พอดีผมปีนชั้นหนังสืออยู่... แล้วลื่นนิดหน่อยน่ะครับ” พูดจบชายหนุ่มก็หัวเราะเบาๆก่อนจะเอ่ยถามธุระ


“คุณรามมีอะไรหรือเปล่าครับ”


“นี่ครับ” คนที่ยืนอยู่หน้าห้องชูถุงกับข้าวจากร้านอาหารให้ดู


“คุณธันทานข้าวยังครับ”


ผมยุ่งๆฟูๆที่เจ้าตัวไม่รู้ตัวชวนให้รู้สึกเอ็นดูคนอายุมากกว่าไม่น้อย ราเมนทร์ยิ้มจางๆก่อนจะเดินเข้าไปใกล้... อีกนิด


“ถ้ายัง...ผมซื้ออาหารญี่ปุ่นเจ้าอร่อยมา มาทานด้วยกันนะครับ”


“ได้สิครับ” ผิวแก้มที่ดูไร้สีสันคล้ายจะมีสีฝาดขึ้นมา


“ช่วงนี้ห้องผมรกไปหน่อย... ขอโทษด้วยนะครับ...” ร่างโปร่งหลีกทางให้ราเมนทร์ได้เดินเข้ามา


“ผมต่างหากล่ะครับที่ต้องขอโทษที่มารบกวน” ราเมนทร์ถือกล้องแนบลำตัวแล้วเดินเข้าสู่ภายใน


ห้องขนาดใหญ่เต็มไปด้วยหนังสือที่อัดกันแน่น แต่ดูโดยรวมก็เรียบร้อยดี... จนติดจะจืดชืด หนังสือบางส่วนวางอยู่บนพื้นเหมือนรอการเก็บซึ่งดูจะตรงกับเก้าอี้ที่ถูกเอามาวางไว้หน้าตู้ในห้องรับแขกเช่นกัน


“ผมมากวนหรือเปล่าครับ ดูคุณธันยุ่งๆ”


“ไม่กวนหรอกครับ ห้องมันรกไปอย่างนั้นแหละ—!!? โอ๊ย!” เจ้าของห้องที่พยายามก้มลงเก็บหนังสือที่รกกลับเป็นฝ่ายสะดุดหนังสือของตัวเองจนล้มลงกับพื้นห้อง


“โทษทีครับ” ธันย์ชนกได้แต่หัวเราะพร้อมทั้งเอ่ยขอโทษ


ราเมนทร์ยิ้มกลั้นขำ พยายามเก็บอาการไว้ ดูๆไปแล้วธันย์ชนกยิ่งเหมือนตุ๊กตาล้มลุก สะดุดนั่นล้มนี่ ไม่ว่ากี่ครั้งที่ได้เจอก็รู้สึกแปลกใหม่ไม่ซ้ำกันสักครั้ง


“เจ็บไหมครับ” ถามพร้อมกับยื่นมือรอให้คนตัวเล็กกว่าเอื้อมมาจับ


“หนังสือคุณธันเยอะจัง... ดูแล้วน่าเวียนหัว ผมอยู่ด้วยคงหลับแน่ๆ”


ธันย์ชนกมองหน้าอีกฝ่ายนิ่ง ก่อนจะค่อยๆยกมือขึ้นจับไว้


“ครับ... ก็... เป็นนักเขียนก็... น่าเบื่อแบบนี้แหละครับ” เพราะเป็นคนเก็บตัว เพราะมีเหตุผลของตัวเองที่ไม่อยากให้ใครได้พบหน้า


“เปล่าครับ หนังสือต่างหากที่น่าเบื่อ... คุณธันขำออก...” แค่เห็นก็ตลกแล้ว คนอย่างนี้ไม่มีวันน่าเบื่อไปได้ ราเมนทร์คิดในใจ


“ไปทานข้าวกันดีกว่า เดี๋ยวอิ่มแล้วผมมาช่วยจัดนะครับ วันนี้ผมว่าง”


“........... ได้เหรอครับ” หลังจากยันตัวขึ้นมาแล้ว เขาก็ใช้นิ้วดันแว่นกรอบใหญ่ที่เลื่อนหลุดลงมาให้เข้าที่


“ทำไมจะไม่ได้ล่ะครับ” ราเมนทร์อมยิ้ม ความเจ็บปวดที่เกาะกุมหัวใจเมื่อครู่ดูเหมือนจะเบาบางลง นัยน์ตาสีน้ำลอมเทามองธันย์ชนกด้วยความสดใส


“เดี๋ยวผมยืมใช้ครัวหน่อยนะครับ”


แบบห้องที่สร้างเหมือนกันทำให้เขารู้ว่าห้องอะไรอยู่ที่ไหน ราเมนทร์เดินเลาะกองหนังสือเข้าในห้องครัวก่อนจะหยิบจานที่คว่ำบนที่วางมาวางบนโต๊ะ


“คุณธันเอาชุดแซลมอนย่างซีอิ๊วหรือทงคัตสึดีครับ” เสียงทุ้มถามทั้งที่มือยังแกะห่ออยู่


“คุณรามเลือกก่อนเลยครับ ผมกินได้หมด” เขาเดินตามเข้ามาในครัวแล้วมองใบหน้าด้านข้างของราเมนทร์ด้วยสายตาอ่อนโยน


...กับความรู้สึกที่แอบซ่อนไว้


“ไม่ได้ครับ ผมมากวน ต้องให้คุณธันเลือก” พอพูดไปก็รีบหันมองหน้าแล้วยิ้มให้


“งั้น... ทงคัตสึก็ได้ครับ” ชายหนุ่มเจ้าของห้องหันหลบรอยยิ้มนั่นก่อนจะตอบอ้อมแอ้มแล้วเดินหลบออกมา


“ทานตรงไหนดีครับ” ราเมนทร์จัดจานเสร็จก็ยกออกมาหาทางด้านนอก เขามองเส้นผมสีอ่อนที่มีปากกาทัดใบหูแล้วขำกับสีหน้าเหรอหราของเจ้าตัว


“คุณธันครับ....ปากกา” ช่างภาพหนุ่มยักคิ้วทำท่าบุ้ยใบ้


...ถ้าทำผมอีกนิด...จับมาถ่ายรูปได้สบายเลย


ธันย์ชนกมองหาโต๊ะที่ตอนนี้กำลังโดนสุมด้วยกองกระดาษและหนังสือมากมาย เขานึกอยากจะร้องไห้ออกมา ถ้าหากฝ่ายตรงข้ามบอกล่วงหน้าคงมีเวลาจัดห้องมากกว่านี้


“ขอโทษนะครับ... ห้องผมรกจริงๆ... จะมีก็ห้องนอนเล็กแหละครับ... ห้องนอนใหญ่ผมใช้เก็บหนังสือจนรกไปหมดแล้ว”


“กินในห้องนอนงั้นเหรอครับ” ราเมนทร์เลิกคิ้ว สำหรับเขาแค่มีที่นั่งก็พอแล้ว แต่ดูธันย์ชนกจะกังวลจนเกือบลนลาน เขามองร่างเพรียววิ่งเข้าไปในห้องเพื่อเก็บของก็อดขำไม่ได้


“ไม่ต้องรีบครับ เดี๋ยวล้มนะ”


“... ครับ......” เขาได้แต่รับคำเบาๆ ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้นไปจนถึงใบหู


ราเมนทร์มองใบหน้าขาวที่เปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่ออย่างนึกขำ ทั้งที่อายุสามสิบกว่าแล้วแต่ทำไมถึงยังน่ารักได้ขนาดนี้ก็ไม่รู้ แค่มองก็รู้สึกถึงความแปลกใหม่... ต่างกับตัวขี้อ้อนที่บ้าน


พอนึกถึงรัญชน์ ดวงตาสีแปลกก็หม่นลงโดยไม่รู้ตัว


ไม่ใช่ว่าไม่รู้สึก... หากแต่ทำตัวเป็นไม่รู้สึก หากบอกความลับไปที่ยืนในฐานะพี่ชายก็คงไม่เหลือ ความผิดบาปที่ไม่มีใครอภัย... แต่ต่อให้ต้องกำความเจ็บปวดไว้ในมือจนเลือดไหลหมดตัวเขาก็จะทำ


...ถ้าแค่รัญชน์มีความสุข...


...ถ้าแค่รอยยิ้มนั้นยังคงอยู่...


...ต่อให้หัวใจต้องเจ็บ...


...ก็ยอม...


ราเมนทร์พรูลมหายใจช้าๆพยายามปรับอารมณ์ของตัวเองให้สดชื่นขึ้น


“ที่ห้องนอนมีโต๊ะเล็กไหมครับ จะได้เอามาวางจาน”


“... อ๊ะ ครับ— มีครับ...” ธันย์ชนกที่ลอบสังเกตแววหมองในดวงตาสีอ่อนรีบตอบก่อนจะกุลีกุจอหยิบโต๊ะพับตัวเล็กออกมากางตั้งบนพื้นห้อง


ชายหนุ่มรับเอาจานที่ราเมนทร์ถือมาจัดวางลงบนโต๊ะรูปสีเหลี่ยมแล้วจึงเชื้อเชิญให้อีกฝ่ายนั่งลง


ไม่รู้ว่าสาเหตุของความหมองหม่นนั้นคืออะไร ทว่าหากไม่อยากพูดถึง เขาก็ไม่อยากจะถามให้ละลาบละล้วงเกินไป


“... ทานเลยนะครับ” เขายิ้มนิดๆพลางเปิดฝากล่องทงคัตสึออกมา ไอร้อนจากด้านในลอยขึ้นจับแว่นกรอบหนาจนเป็นฝ้า มือสองข้างวางกล่องข้าวลงก่อนจะถอดแว่นออกมา ใช้ชายเสื้อเช็ดบริเวณกระจกให้สะอาดเหมือนเดิม


ราเมนทร์ลอบมองกิริยาที่ราวกับเด็กๆแล้วอดจะอมยิ้มไม่ได้ ใบหน้าขาวที่ไม่ได้ถูกกรอบแว่นหนาบดบังดูอ่อนกว่าอายุจริงที่ขึ้นเลขสามไปมาก แพขนตายาวที่หรุบลงต่ำปิดบังนัยน์ตาคู่สวยเอาไว้แทบจะมิด... ถ้ามองไม่ผิด เขาเห็นแววเขินอายปรากฎอยู่บนใบหน้านั้นด้วย


“ถอดแว่นออกก็ได้นะครับ คุณธันโครงหน้าสวย ทำไมไม่ใส่คอนแทคเลนส์ล่ะครับ” ...เสียดาย หากว่าสนิทกันมากกว่านี้อีกนิดจะขอถ่ายรูปให้ได้เลย


“ส... สวยอะไรครับ?” ธันย์ชนกทำหน้าตกอกตกใจก่อนจะคว้าตะเกียบคีบข้าวเข้าปาก


“... เคยใส่แล้ว..... ไม่ชอบครับ... แบบนี้ดีกว่า...” สายตาของเขามองไปทางอื่น ราวกับไม่อยากจะพูดถึงสาเหตุไปมากกว่านี้


“น่าเสียดายนะครับ” เจ้าของนัยน์ตาสีแปลกเอ่ยเบาๆแล้วหยิบตะเกียบของตัวเองขึ้นมา เขาจัดการกับฝากล่องข้าวของตัวเองก่อนจะฉีกชิ้นปลาแบ่งไปวางบนข้าวธันย์ชนก


“ให้ชิมครับ เจ้านี้เจ้าโปรดของรันเค้า รับประกันความอร่อย”


“ขอบคุณครับ” รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของธันย์ชนกอีกครั้ง เขาค่อยๆคีบปลาชิ้นนั้นเข้าปากก่อนจะเอ่ยชมว่าอร่อยจริง


...ถ้าจะเก็บความสุขในตอนนี้ไว้คนเดียว...


...คงจะไม่เป็นไร...


 

 

 




To be continued...




--------
หัวข้อ: Re: ・・・ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน 12 รักเราไม่เท่ากัน (16/03/13)
เริ่มหัวข้อโดย: janji ที่ 16-03-2013 15:44:05
ชอบคุณธันจัง รีบมาต่อนะค่ะ รออยู่ค่ะ
 :call: :L2:
หัวข้อ: Re: ・・・ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน 12 รักเราไม่เท่ากัน (16/03/13)
เริ่มหัวข้อโดย: muiko ที่ 16-03-2013 19:15:43
สงสารพี่รามนะ ขอให้ตัดใจจากรันได้
ไปรักพี่ธันก็ได้น้า


 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ・・・ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน 12 รักเราไม่เท่ากัน (16/03/13)
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 17-03-2013 00:18:27
ธันน่ารักมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
30แล้วหรอโหย30ก็ยอมถ้าน่ารักแบบนี้ฮิ้ว
พี่หมอบีมกับรันก็หวานเสมอชอบๆๆ
หัวข้อ: ・・・ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน 13 ความรัก..มักไม่ง่าย (10/04/13)
เริ่มหัวข้อโดย: kagehana ที่ 10-04-2013 13:57:39
 
-14-







“เอ๋?? พี่หมอก็รู้จักร้านนี้เหรอครับ??” นัยน์ตาสีน้ำตาลอมเทาหันมามองคนข้างๆที่กำลังดึงกุญแจรถออกมา


“พี่บีมครับ” ‘พี่หมอ’ แก้ให้เสร็จสรรพ


“ก็นี่เป็นร้านเพื่อนพี่ตอนม.ต้นน่ะครับ ก็ยังติดต่อกันมาเรื่อยๆ ตอนนี้เปิดร้านใหญ่โตแล้ว” นัยน์ตาที่ติดจะหยีเล็กน้อยมองบรรยากาศรอบๆอย่างชื่นชม


“พี่แวะมากินบ่อยๆ รันเคยมาเหรอครับ”


“พี่รามเคยพามาหนนึง ซูเปอร์อร่อยเลย” เด็กหนุ่มร่างเล็กทำเป็นเมินคำแก้ ซ้ำยังแย้มรอยยิ้มประดับไว้บนใบหน้า ยามปรายสายตามามองร่างสูงที่อยู่ข้างๆ


“เชฟผมทองหรือนักเปียโนครับ ที่เป็นเพื่อนพี่หมอ”


“ไอ้ยุตครับ ผมทอง...” ...ส่วนนักเปียโนน่ะแฟนมัน ธนกฤตละไว้ในใจ


มือใหญ่เลื่อนขึ้นโอบไหล่บางเบาๆแล้วพาเดินไปยังโต๊ะที่โทรมาล็อคคอเจ้าของร้านไว้แล้ว


“คราวหน้าเรียกพี่หมออีกจะตีเลย” ธนกฤตยิ้มพรายก่อนจะชี้นิ้วไปยังจมูกโด่ง... ว่าจะใช้อะไรตี


“ตีเลยครับ... พี่หมอบีมคนดี” รอยยิ้มหวานจับบนใบหน้าของเขา น้ำเสียงในท้ายประโยคจงใจลากเน้นย้ำทีละคำ


“เดี๋ยวเหอะ! ตัวเล็กขี้แกล้ง” ธนกฤตหยิกแก้มเบาๆอย่างหมั่นเขี้ยวก่อนจะพาไปนั่งที่โต๊ะ และเป็นทันทีกับที่ร่างสูงในชุดเชฟได้เดินมาด้วยเช่นกัน


“ไงไอ้ยุต”


“ก็เรื่อยๆว่ะไอ้หมอ” เชฟหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงสนิทสนมและตบไหล่อีกฝ่ายด้วยแรงที่ไม่เบานัก


“คุณนัทไปไหนอ่ะ เตรียมเล่นเปียโนเหรอ” หมอหนุ่มถามถึงอีกคนที่ปกติมักเดินมาด้วยกัน ก่อนจะหันไปยิ้มให้เมื่อเห็นว่ากำลังเดินมาลิบๆ


“หวัดดีครับคุณนัท”


“สวัสดีครับคุณบีม” ชายหนุ่มร่างบางในชุดสูทสีเทายกมือขึ้นไหว้อย่างนอบน้อมก่อนจะมองเลยไปที่คนข้างๆ เขาจำแขกคนนี้ได้ ว่าเคยมาแล้วหนหนึ่ง ไม่คิดว่าจะเป็นคนรู้จักของธนกฤตไปได้


“สวัสดีครับ... ผม... ญาณัชครับ”


“ครับ— ผมจำได้ คุณเล่นเปียโนเก่งมาก คราวที่แล้วไม่ได้แนะนำตัว ผม... รันครับ” ท่าทางทักทายแบบเป็นกันเองซ้ำยังเปิดเผยแบบนี้ ทำให้นักเปียโนหนุ่มอดยิ้มออกมาไม่ได้


...เพราะเหมือนคนใกล้ตัวที่ขโมยอาของเขาไปอยู่อเมริกาด้วยกันแล้ว


“ตัวเล็กนี่คุณนัท กับไอ้ยุตเพื่อนพี่” พอคนตัวเล็กเริ่มทักทายกันเอง หมอหนุ่มเลยนึกได้ว่ายังไม่ได้แนะนำกันเลย


“แล้วก็คนนี้ ชื่อรัน...” ธนกฤตยันไปยิ้มหวานแล้วพูดต่อ


“แฟนฉันเอง”


ธนกฤตเห็นสีหน้าแปลกใจของทยุตวูบหนึ่ง แต่มันก็ถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มจางๆบนใบหน้าแทน


“สวัสดีอีกครั้งครับ คุณรัน”


“ผมชอบสเต็กย่างถ่านของคุณยุตที่สุดเลย วันนี้เอาอย่างเดิมก็แล้วกันครับ” รัญชน์ยิ้มหวานทั้งนัยน์ตาและริมฝีปาก


“ได้ครับ” ทยุตรับคำพร้อมหยิบสมุดออเดอร์ที่พกไว้ติดตัวขึ้นมาจด เนื่องจากตอนนี้ยังเป็นเวลาที่คนยังมาไม่เยอะ ส่วนใหญ่ก็จะได้ออกมาเดินรับออเดอร์และทักทายแขกไปในตัว แต่พอสักทุ่มขึ้นไป... ช่วงเวลานั้นแทบเรียกได้ว่าต้องเก็บตัวในห้องครัวเลยที
เดียว


“เอาซี่โครงหมูบาบีคิว แล้วก็นมชมพู น้ำแตงโม”


“เอาอะไรตั้งสองสามน้ำวะ”


“ก็อยากกินทั้งสองอย่าง แกจะทำไมวะ” ลูกค้าคนสนิทยิ้มตาหยีให้ ทำเอาคนรับออเดอร์แทบขำตาม


“คุณรันรับน้ำอะไรดีครับ” ทยุตถาม


“โค้กครับ! ซีโร่ด้วย” เมื่อรู้ว่าเป็นคนสนิทขนาดไหน เขาก็เพิ่มความเป็นกันเองให้ทันที


“กินน้ำอัดลม...” ธนกฤตหันไปมองใบหน้าสวยที่มีแววงงเล็กน้อย


“กินน้ำอย่างอื่นเหอะตัวเล็ก น้ำอัดลมไม่ดีต่อสุขภาพ”


เชฟหนุ่มถึงกับต้องหันไปอีกทางเพื่อกลั้นยิ้ม ไอ้นิสัยรังเกียจน้ำอัดลมของไอ้หมอนี่ไม่หายเสียที... แถมยังชอบนมชมพูขัดกับหน้าตาอีก


“ก็ตัวเล็กชอบนี่ครับ... พี่หมอบีมคนดี” รอยยิ้มหวานจัดวาดขึ้นบนริมฝีปากสีอ่อน นัยน์ตาคู่สวยเป็นประกายระยิบ จงใจออดอ้อนอย่างไม่ปิดบัง


“กินน้ำเปล่าเนอะ หรือน้ำแตงโมพี่ก็ได้”


รู้อยู่หรอกว่ากำลังถูกอ้อน แต่เขาไม่ชอบ ไม่อยากให้กินด้วยซ้ำ


“ยุต... ไม่มีน้ำอัดลมขายใช่ไหม”


“มี...”


“ไอ้นี่!”


ธนกฤตขมวดคิ้วแล้วหันไปหาคนตัวแล็กแทน นัยน์ตาสีเข้มสบกันก่อนจะหยักเป็นจันทร์เสี้ยวตามรอยยิ้ม


“เอาโค้กจริงๆเหรอ.....”


“อื้ม...” เด็กหนุ่มหน้าหวานรับคำก่อนจะใช้สายตาช้อนมองอีกฝ่าย


...มุขนี้อ้อนพี่ชายสำเร็จมาแล้วทุกครั้ง...


...ก็น่าจะสำเร็จด้วยเหมือนกันน่า...


ใบหน้าหวานยื่นเข้าใกล้จนปลายจมูกแทบชนกันก่อนจะแย้มรอยยิ้มหวานออดอ้อนออกมาอีกครั้ง


“... นะ”


ใบหน้าเล็กๆกับรอยยิ้มหวานออดอ้อนทำให้ธนกฤตตัดใจพูดว่าไม่ไม่ลง เขามองเด็กหนุ่มครู่หนึ่งแล้วจับแก้มอีกฝ่ายให้หันออกพลางกระซิบข้างหู


“ตัวเล็ก... คนเยอะครับ... หอมไม่ได้นะ”


พอถอยห่างมาได้ก็เป็นฝ่ายเอ่ยปากสั่งน้ำดื่มที่คนตัวเล็กอยากกินเองพร้อมส่งตาเขียวๆให้เชฟหนุ่มที่ยืนยิ้มกว้างอย่างไม่ปิดบัง


“คุณนัทนั่งคุยกันก่อนไหมครับ” ธนกฤตพูดหลังจากคนรับออเดอร์ตัวโตได้เดินเข้าหลังครัวไปแล้ว


“ไส้กรอกลูกชิ้นอยู่ไหนครับเนี่ย”


ชายหนุ่มผมยาวยิ้มจางๆก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มหู


“คงตามไปหลังครัวนั่นแหละครับ... ถ้าไม่รีบไป ถึงเวลาผมเล่นเปียโนแล้วจะไม่ได้กินข้าวครับ” ญาณัชรับคำเชิญด้วยการนั่งลงที่โต๊ะ


“ผมนั่งคุยกับคุณรันก่อนก็ได้ครับ”


“งั้นเดี๋ยวผมไปหาไอ้ยุตแป๊บนึง ฝากรันด้วยนะครับ” ถึงจะเอ่ยฝากกับอีกคนแต่นัยน์ตาพราวระยับกลับมองรัญชน์ ธนกฤตปลีกตัวจากทั้งคู่ไปยังด้านหลังที่ทำเป็นห้องครัวด้านนอกด้วยการเดินที่บอกว่าคุ้นเคยแค่ไหน


อันที่จริงตอนอยู่มัธยมเขากับทยุตก็ไม่ได้สนิทกันเท่าไรนักเพราะอีกฝ่ายค่อนข้างเก็บตัว เขาเพิ่งมาสนิทกันก็เมื่อประมาณปีกว่าๆที่มาเป็นลูกค้าร้านนี้โดยบังเอิญ จากนั้นก็แวะมาบ่อยๆพร้อมรำลึกความหลังให้เจ้าของชื่อร้านฟัง จากนั้นเลยกลายเป็นสนิทกันไปโดยไม่รู้ตัว


“ไงไส้กรอกลูกชิ้น” ธนกฤตทักทายเจ้าสองหมาที่วิ่งหน้าเริ่ดมารับถึงที่


“หมาดี... หมาสวย” ลูบพลางชมเอาใจ ซึ่งแน่นอนว่าไส้กรอกกับลูกชิ้นพันธุ์หมาต่างแย่งกันเบียดตัวออดอ้อนขึ้นสองเท่า


“ตามมามีไรวะ จะมาช่วยเหรอ” ทยุตถามโดยที่สายตาไม่ได้ละไปจากเตาย่าง


“มาเป็นแขกเว้ย มีเรื่องอยากถามแกหน่อย”


“ว่า?”


“เอ่อ...” ธนกฤตอึกอัก ใจหนึ่งก็อยากจะถาม แต่อีกใจหนึ่งก็ออกจะขัดเขิน


“เดี๋ยวนี้เปลี่ยนใจชอบผู้ชายตั้งแต่เมื่อไหร่วะ เมื่อก่อนยังบ้าผู้หญิงอยู่เลย”


คำพูดตรงๆทำเอาคนฟังจุกในอก บอกตามตรง... เขาก็ไม่รู้เหมือนกัน เพียงแค่คิดว่าอยากอยู่ใกล้ อยากกอด อยากสัมผัส


“ก็ไม่รู้ว่ะ รู้ตัวอีกทีก็ชอบเข้าไปแล้ว...”


ทยุตกลับชิ้นเนื้อแล้วหันมามองเพื่อนตรงๆ นัยน์ตาสีเขียวจางมองธนกฤตอย่างพิจารณา


“ก็นั่นสินะ ชอบมันไม่ต้องมีเหตุผลหรอก เหมือนฉันกันนัทไง” ทยุตมองอีกฝ่ายพยักหน้าเบาๆแล้วพูดต่อ


“รักผู้ชายมันไม่ง่ายนะไอ้หมอ ฉันเองยังไม่เท่าไหร่ วงการพวกนี้รักเพศเดียวกันถมไป... แต่แกล่ะ พ่อ น้อง คนที่โรงบาล... ถ้าเปิดเผยไปล่ะ แกคิดไว้ยังว่าจะทำยังไง”


ธนกฤตมองน้ำมันในเนื้อหยดลงบนถ่าน ควันของมันลอยขึ้นช้าๆในอากาศ



“ฉันยังไม่ได้คิดอะไรเลยว่ะ แต่เท่าที่ฉันรู้ ฉันชอบเขา...”



รอยยิ้มบางๆจับริมฝีปากของชายหนุ่มลูกครึ่ง ก่อนจะแย้มเป็นรอยยิ้มกว้างที่เข้าอกเข้าใจ


“ถ้าแกพูดว่าชอบเขาได้เต็มปากอย่างนี้ก็ไม่มีอะไรน่าห่วงมั้ง... ไอ้หมอ”

 










 

“คุณนัทผมสวยดีนะครับ สีดำธรรมชาติ” รัญชน์เอ่ยขึ้นมาหลังจากจิบโค้กไปได้สองสามอึก


“ของคุณรันเป็นผมย้อมเหรอครับ”


“เปล่าครับ ธรรมชาติ แด๊ดให้มา” ใบหน้าหวานเต็มไปด้วยรอยยิ้มจนคู่สนทนาอดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม ญาณัชสังเกตจมูกโด่งได้รูปรับกับดวงตาสีแปลก ผิวขาวที่ดูนวลสวยต่างกับเขาที่ดูซีดเสียมากกว่า


“คุณนัทเล่นเปียโนเพราะจัง ผมชอบ... ปกติเล่นที่ไหนมั่งเหรอครับ”


“เล่นแต่ที่นี่แหละครับ ยกเว้นเวลาทางโรงแรมที่เคยรู้จักกันจะเรียกให้ไปช่วย ผมถึงจะไป...” ชายหนุ่มร่างบางยกปลายนิ้วขึ้นทัดเส้นผมที่ปลิวไปตามแรงลมให้เข้าไปหลังใบหูเช่นเคย


“คุณรันล่ะครับ”


“เป็นนายแบบครับ อยู่ในระหว่างพักงานหลังเรียนจบไฮสคูลครับ”


ญาณัชได้แต่ยิ้ม แต่ก็ต้องผงะไปเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายยื่นหน้าเข้ามาหาใกล้ๆ


“คุณนัทเป็นแฟนคุณยุตใช่ไหมครับ” รัญชน์ยิ้มกว้าง จนแม้กระทั่งดวงตากลมโตก็ยังหยีจนเป็นเส้นโค้ง


คำตอบที่ได้คือใบหน้าที่เปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้นของนักเปียโน


“แล้วคุณรันกับคุณบีม... เอ่อ... คบกันนานหรือยังครับ”


“ยังไม่ถึงวันเลยครับ” รัญชน์หันไปทางด้านห้องครัวก็เห็นเงาของอีกฝ่ายเดินออกมาไกลๆ เขายิ้มออกมาก่อนจะพูดต่อโดยที่ไม่ได้หันกลับมามองญาณัช


“คุณหมอใจดี เป็นคนเอาใจใส่นะ... แค่ได้เจอหน้าผมก็ดีใจแล้ว มันไม่มีอะไรซับซ้อนมากมายหรอกครับ... ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเป็นยังไงนะ... แต่ตอนนี้ ผมก็อยากอยู่ด้วยทุกวันเลยนะ.... อะไรประมาณนั้นแหละครับ” เด็กหนุ่มพูดราวกับรำพึงรำพันกับตัวเอง พอดีกับธนกฤตที่เดินกลับมาถึงโต๊ะพอดี


“....... ถ้าอย่างนั้น ผมขอตัวนะครับ... คุณรัน คุณบีม” ญาณัชลุกขึ้นจากโต๊ะอาหาร ดึงเก้าอี้ออกเป็นการเชิญให้ธนกฤตนั่งลงก่อนจะยกมือไหว้ทั้งสองคนแล้วเดินออกไป


“นินทาอะไรพี่หมอครับ” ธนกฤตนั่งลงพร้อมๆกับที่นมชมพูออกมาเสิร์ฟ เขารับมาพร้อมกล่าวขอบคุณก่อนจะดูดอึกใหญ่


“หืม...ว่าไงครับ”


รัญชน์ได้แต่ยิ้มขำ เด็กหนุ่มเอียงใบหน้ามองอีกฝ่ายด้วยความรักก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ


“บอกคุณนัทว่าผมรักพี่หมอขนาดไหนเฉยๆ... ไม่ได้เหรอครับ”


“บอกคุณนัททำไมครับ บอกพี่หมอบีมคนดีสิ” ธนกฤตไล้ปลายนิ้วกับหยาดน้ำข้างแก้วแล้วปล่อยให้มันหยดลงกับโต๊ะ


“ตัวเล็กยังไม่เห็นไส้กรอกกะลูกชิ้นเนอะ”


คนตัวเล็กยื่นหน้าเข้าใกล้พลางบุ้ยปากไปทางอื่น


“นั่นน่ะเหรอครับ” รัญชน์ฉวยโอกาสที่อีกฝ่ายหันตาม ขยับเข้าหอมแก้มร่างสูงแบบไม่ให้ทันตั้งตัว ก่อนจะถอยออกมา


“บอกแบบนี้ดีกว่า... ว่าไหมครับ พี่-บีม” นัยน์ตากลมโตเหลือบมองก่อนที่รอยยิ้มกว้างจะเผยขึ้นบนใบหน้าหวาน


“ตัวเล็กแกล้งพี่อีกแล้ว” คนถูกหอมประท้วงพลางลูบจมูกด้วยความเขิน ใบหน้าขาวตามเชื้อชาติที่ผสมอยู่แดงไปถึงใบหู


“ฉวยโอกาสนะเรา เดี๋ยวพี่ทำมั่งนะ


คนถูกว่ายังคงยิ้มหวานอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร


“พี่หมอบอกว่าคนเยอะไม่ใช่เหรอครับ?”


“เดี๋ยวพากลับคอนโดพี่เลย” ธนกฤตพึมพำ แล้วแกล้งหันไปสนใจจานเสต็กที่พนักงานเสิร์ฟยกมาแบบได้จังหวะพอดิบพอดี


“ขอบคุณครับ ของผมซี่โครง ส่วนอีกจานคนนั้นครับ”


มือใหญ่ช่วยรับจานขนมปังและสลัดมาวางไว้ให้คนตัวเล็กก่อนจะกล่าวขอบคุณพร้อมรอยยิ้มหวานเมื่อหญิงสาวบอกว่าขอให้ทานให้อร่อย


“ทานเลยตัวเล็ก”


“ไม่ได้หรอกนะ วันนี้พี่รามกลับเร็ว...” รัญชน์ยิ้มให้อีกครั้งอย่างจงใจแหย่อีกฝ่าย เขาหยิบส้อมและมีดขึ้นมาก่อนจะเริ่มลงมือทานสเต็กของตัวเอง


“อร่อย!”


“ของพี่ก็อร่อย ชิมไหม” ธนกฤตหั่นชิ้นเนื้อเป็นขนาดพอดีคำแล้วยื่นส่งให้


“อ่ะ อั้ม...” รอยยิ้มหวานกระตุ้นอีกฝ่าย


เด็กหนุ่มทำตามอย่างว่าง่าย เขายื่นหน้าไปกัดเอาชิ้นเนื้อจากปลายส้อมของธนกฤตเข้ามา


“อือ... อร่อย” รัญชน์หั่นเนื้อสเต็กของตัวเองออกบ้างก่อนจะจิ้มยื่นให้คนตรงหน้า


“ผมให้ชิมบ้าง บังคับชิม”


นัยน์ตาของธนกฤตพราวระยับ แทนที่จะก้มลงชิม ชายหนุ่มกลับจับข้อมือเรียวเข้ามาใกล้แล้วก้มชิมพร้อมสบตาไปด้วย เขารั้งริมฝีปากที่อยู่บนส้อมให้เลื่อนขึ้นทีละนิด... ตบท้ายด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเคี้ยวชิ้นเนื้อทั้งที่ยังไม่ปล่อยมือ


“พี่ลืมบอกไป...พี่เป็นประเภทที่ว่าถ้าโดนแกล้งต้องเอาคืนสองเท่า...”

 

 








หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จและเก็บล้างจนเรียบร้อยแล้ว ธันย์ชนกก็หาพื้นที่บนโซฟาในห้องให้แขกตัวโตได้นั่งลง ชายหนุ่มนักเขียนชงชาพีชมาวางไว้เหนือกองกระดาษบนโต๊ะก่อนจะนั่งลงที่โซฟาเช่นกัน โดยเว้นระยะห่างไว้พอสมควร


เขาเหลือบมองอีกฝ่ายที่ดูไม่มีทีท่าว่าจะกลับไป... จึงตัดสินใจเอ่ยพูดขึ้น


“... จะหยิบอะไรอ่านก็ได้นะครับ.....”


“ขอโทษนะครับ ทำให้อึดอัดหรือเปล่า” ราเมนทร์มองนาฬิกา... สองทุ่มกว่าแล้ว บางทีธันย์ชนกอาจจะต้องการความเป็นส่วนตัวเพื่อทำงานก็ได้


...เพียงแต่เขาไม่อยากอยู่คนเดียวในเวลานี้...


“ถ้าคุณธันจะทำงานเดี๋ยวผมกลับก่อนก็ได้”


“ไม่... อึดอัดครับ... ผมกลัวคุณจะเบื่อเฉยๆ” เจ้าของห้องรีบตอบปฏิเสธ หากรบกวนจริงๆเขาก็คงเอ่ยบอกอย่างสุภาพไปแล้ว


“งั้นขออยู่ที่นี่ต่ออีกนิดนะครับ” ชายหนุ่มหยิบชาพีชหอมหวานขึ้นมาจิบ ในความหอมหวานกลับเจือด้วยความหม่นหมองแบบแปลกๆ


“ชาพีชหอมจัง... คุณธันชอบเหรอครับ”


“ครับ...... กลิ่นมันหอมดี” เขาหันมาตอบเบาๆ ไม่กล้าที่จะหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านหากอีกฝ่ายยังคุยด้วยอยู่


“ผมว่ามันหอมแบบเศร้าๆยังไงไม่รู้” ราเมนทร์จิบอีกครั้งก่อนจะวางลง มือใหญ่ฉวยหนังสือเล่มใกล้มือขึ้นมาดู


“อันนี้ดูได้ไหมครับ”


คำพูดของราเมนทร์เสียดแทงเข้ามาถึงข้างในจิตใจ เขาก้มเก็บมันลงไปไว้ในใจก่อนจะค่อยเอ่ยตอบ


“ได้สิครับ...... เป็นแค่สเก็ตช์ตัวละครที่ผมร่างๆไว้น่ะครับ”


ราเมนทร์หยิบมันขึ้นมาเปิดแล้วเอนตัวลงฝากร่างไว้กับโซฟาตัวนิ่ม เขาอ่านบุคลิกของตัวเอกซึ่งเป็นหญิงสาวมีอดีต รายละเอียดที่เขียนไว้นั้นทำให้รู้สึกสงสารตัวเอกแม้จะยังไม่มีเนื้อเรื่อง นัยน์ตาคมไล่อ่านช้าๆก่อนจะเอ่ยปากถาม


“นางเอกเรียนไม่จบเพราะถูกทำร้าย... อันนี้ใครทำเหรอครับ”


“........ ถูกผู้ชายหลอกครับ.....” ธันย์ชนกตอบเสียงเบา


“ท้องเหรอครับ?” ราเมนทร์ไล่สายตา... ไม่ได้มีเขียนไว้ แต่สาเหตุคงไม่ต่างกันเท่าไหร่


“จริงๆ นางเอกแบบนี้ไม่ค่อยมีใครเขียนเท่าไหร่ แต่ผมว่าก็เป็นตัวละครที่น่าสนใจดีนะ...”


“ดี... ที่ไม่ท้องครับ....” ธันย์ชนกยังคงตอบเสียงเบา นัยน์ตาภายใต้กรอบแว่นมองเหม่อไปไกล


“น่าสงสาร.....” ไม่รู้ว่าเพราะน้ำเสียงเศร้าสร้อยของเจ้าของหนังสือหรือเปล่าที่ทำให้เขาหยุดที่จะถามต่อ เขาเปิดหน้าถัดไปที่เป็นตัวละครพระเอก ซึ่งเป็นถึงผู้ครอบครองหรือเจ้าชายอะไรสักอย่างในอีกดินแดน


“พระเอกนี่ใครเป็นต้นแบบเหรอครับ”


คนเขียนหันมายิ้มให้จางๆก่อนจะเอ่ยตอบ


“ก็คิดขึ้นมาน่ะครับ”


“แต่ถ้าพระเอกเป็นแบบที่คุณเขียนคงรักกันลำบาก... อีกฝ่ายสูงศักดิ์ อีกคนถึงจะเป็นคนดีแต่ก็มีอดีต คนรอบข้างพระเอกคงไม่ค่อยยอมรับมั้ง”


ราเมนทร์พูดแล้วพลิกอ่านต่อ


“..... ครับ ก็แบบนั้นแหละ..... ความรักมันไม่ง่าย... ว่าไหมครับ...”


“ครับ.... ไม่ง่ายเลย...” ราเมนทร์เม้มริมฝีปากแน่นเก็บความรู้สึกที่อยู่ภายใน


ชายหนุ่มแกล้งทำเป็นหยิบหนังสือเล่มอื่นขึ้นมาอ่านพลางปล่อยตัวทิ้งไปกับความนุ่มของโซฟา แอร์เย็นๆในห้องที่เงียบสนิททำงานอย่างมีประสิทธิภาพจนคนที่ทำงานหนักมาทั้งวันค่อยๆปรือตาแล้วหลับไปในที่สุด









To be continued...

หัวข้อ: Re: ・・・ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน 13 ความรัก..มักไม่ง่าย (10/04/13)
เริ่มหัวข้อโดย: เฉาก๊วย ที่ 10-04-2013 16:33:21
ตามอ่านอยู่น้า สู้ๆ คนเขียน   :L2:

หัวข้อ: Re: ・・・ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน 13 ความรัก..มักไม่ง่าย (10/04/13)
เริ่มหัวข้อโดย: pooinfinity ที่ 10-04-2013 19:49:52
กว่าความรักของแต่ละคนจะลงตัว ก็ต้องฝ่่าฟันกันไป

ยังติดตามอยู่นะค่ะ อิอิ
หัวข้อ: Re: ・・・ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน 13 ความรัก..มักไม่ง่าย (10/04/13)
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 10-04-2013 21:08:51
พี่หมอดูแลรันดีๆ
เหมือนจะมีดราม่าปะ?หรือเราคิดไปเองฮ่าๆ
สงสารพี่ราม โธธธ
หัวข้อ: Re: ・・・ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน 13 ความรัก..มักไม่ง่าย (10/04/13)
เริ่มหัวข้อโดย: gumrai3 ที่ 10-04-2013 23:33:22
เยอะมากๆขอตัวอ่านก่อนน่ะคะ
หัวข้อ: ・・・ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน 14 รักที่ผิดบาป.... (21/04/13)
เริ่มหัวข้อโดย: kagehana ที่ 21-04-2013 18:55:04

kagehana : ในขณะที่พี่หมอกับน้องกำลังสวีตหวาน...ในมุมมืดเรามีพี่รามซุกตัวทำดราม่าอยู่  เอาใจช่วยพี่รามด้วยนะคะ







-14-











“ไปส่งถึงห้องนะ...” รัญชน์เอ่ยพูดขึ้นหลังจากที่รถยนต์เข้ามาจอดด้านในที่จอดรถ รอยยิ้มหวานปรากฏขึ้นบนใบหน้าอีกครั้งพลางเอื้อมมือมาจับแขนของอีกคน


“นึกว่าจะบอกว่าค้างบ้านพี่หมอคนดีซะอีก” ธนกฤตแหย่อีกฝ่ายแล้วเอามือของตนเองวางประกบมือเล็กที่จับท่อนแขน เขาโน้มตัวเข้าไปใกล้แล้วหอมแก้มขาวอย่างรวดเร็ว


“กู๊ดบายคิส กู๊ดไนท์คิส ทำตรงนี้ก่อนเดี๋ยวหน้าห้องมีคนเห็น” หมอหนุ่มยิ้มหวานทั้งปากและนัยน์ตา


“ไม่มีใครเห็นหรอกน่า... เดี๋ยวอีกทีนะ” ร่างเล็กขยับตัวออกมาแล้วเปิดประตูรถก่อนจะก้าวขาลงมารอธนกฤตให้ลงตามมา


ร่างสูงก้าวลงก่อนจะล็อครถ อากาศเย็นๆทำให้เสื้อหนาวตัวนุ่มในรถได้ใช้เสียที เขาเอามันมาห่อร่างคนตัวเล็กแล้วจับมือจูงไว้


“อากาศเย็นเนอะ พี่ให้ยืมเสื้อ” ชายหนุ่มแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินที่อีกฝ่ายร้องขอ


ธนกฤตพารัญชน์เข้าไปในลิฟท์แล้วกดชั้นที่เคยมา ประตูลิฟท์ปิดลงขังคนทั้งสองเอาไว้ในโลกแสนหวานของความรักครั้งใหม่... ครั้งที่อบอุ่นหัวใจยิ่งกว่าครั้งใดที่ธนกฤตเคยรู้สึก


รัญชน์เอนกายพิงกับร่างสูงที่ยืนข้างๆ มือกระตุกชายเสื้ออีกฝ่ายเบาๆก่อนจะแหงนหน้ามอง


“... Kiss?”


“เดี๋ยวเถอะ... หอมไปแล้วไง” มือใหญ่ลูบศีรษะคนตัวเล็กจนเส้นผมอ่อนนุ่มยุ่งเหยิง


“เป็นเด็กเป็นเล็กอย่าทำอย่างนี้สิ... พี่เขิน”


ปกติแล้วธนกฤตไม่เคยรังเกียจการแสดงความรัก  แต่ปกติของคนทั่วไป... จะให้ทำในที่สาธารณะก็ออกจะขัดเขินอยู่


...ไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายเป็นผู้ชาย...


...แต่คงเป็นเพราะนิสัยส่วนตัวของตัวเอง...


ธนกฤตเป็นคนประเภทที่ว่า หากเป็นคนที่สนิทใจแล้วเขาสามารถกอดหรือหอมได้อย่างเป็นธรรมชาติ กับพ่อ น้องสาว หรืออดีตคนรัก... หากมีเวลา สิ่งที่เขาอยากทำที่สุดก็คือการกอดคนรักนอนใต้ผ้าห่มอุ่นๆ


...แต่ก็จำกัดเฉพาะเวลาที่อยู่ด้วยกันสองคนล่ะนะ...


“พี่หมอใจร้าย...” เด็กหนุ่มหน้าหวานทำทีเป็นงอน ปลายนิ้วขยับเกี่ยวมือข้างหนึ่งของธนกฤตไว้แล้วเอนศีรษะพิงกับต้นแขนของเขา


“... แค่นี้ก็ได้”


“งอนซะแล้ว” ธนกฤตพูดหยอกก่อนจะก้มลงกดริมฝีปากลงบนหน้าผากมน


“ติดไว้ก่อน มากกว่านี้ไว้รอตัวเล็กโต”


“ถึงจะตัวเล็ก แต่ก็โตแล้วนี่” ใบหน้าหวานประดับไปด้วยรอยยิ้มก่อนที่ประตูลิฟท์จะเปิดออก เขาจับมือของธนกฤตไว้แล้วดึงให้เดินออกมาด้วยกัน


“ส่งแค่ที่หน้าห้องนะตัวเล็ก เดี๋ยวพี่ชายตัวเล็กกินหัวพี่หมอคนดีเอา” ธนกฤตพูดติดตลก


มือใหญ่บีบมือที่เกาะกุมกันไว้เบาๆ ในวันแรกที่คบกัน... ความรู้สึกประทับใจในตัวคนตรงหน้ายิ่งเพิ่มมากขึ้น  แม้จะคบกันในฐานะแฟนไม่ทันข้ามวันแต่ก็มีเรื่องให้เขาคิดถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึง...


ว่าต่อจากนี้ไป จะอยู่กับคนๆนี้ในทุกๆวันได้... ใช่ไหม...


“ส่งแค่นี้นะครับ ฝันดีตัวเล็ก”


“... Good night ครับพี่บีม” รอยยิ้มหวานฉาบบนใบหน้าของเด็กหนุ่มก่อนจะหันไปเปิดประตูห้อง รัญชน์เปิดห้องไว้แต่ก็หันกลับมาหา


“พรุ่งนี้... เจอกันนะครับ”


“จะรอนะครับ ฝันดี” ธนกฤตเดินเข้าไปจับผิวแก้มเย็นๆก่อนจะเลื่อนมือลูบศีรษะกลมมน


“เดี๋ยวถึงบ้านจะบีบีหา ถ้ายังไม่นอนพรุ่งนี้เจอตีแน่”


คราวนี้รอยยิ้มหวานค่อยๆจางหายไป นัยน์ตาสีอ่อนฉายแววคล้ายถูกขัดใจ ริมฝีปากบางขยับเอ่ยคำพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูแข็งกว่าที่เคย


“ผมไม่ตอบหรอก...” ร่างเล็กก้าวเข้าไปในห้องแล้ว แต่ก็ยังไม่ปิดประตูลงเสียที


“อ่าว งอนพี่ซะแล้วตัวเล็ก” ปลายนิ้วของคนโดนงอนบีบจมูกรัญชน์ด้วยความหมั่นเขี้ยว นัยน์ตาสีรัตติกาลหยักพราวด้วยอารมณ์ดี


“ขี้งอนพี่ไม่รักนะครับ พี่รักคนขี้อ้อนยิ้มหวาน”


“... งั้นก็ไม่ต้องรักก็ได้” คนถูกบีบจมูกยิ้มร้ายอย่างเป็นต่อ นัยน์ตากลมโตจ้องมองดวงตาสีเข้มก่อนจะเอ่ยต่อ


“ผมอ้อนแล้วไม่เห็นสนใจเลย”


“น้อยๆหน่อย เป็นเด็กเป็นเล็กอย่าล้อผู้ใหญ่เล่นนะครับ เดี๋ยวโดนหมาป่าจับกินไม่รู้ตัว” ธนกฤตย่นจมูกใส่แล้วหยิกแก้มนวลเบาๆ


“ไปแล้วครับ กู๊ดไนท์คิส”


ชายหนุ่มแกล้งส่งจูบแบบมีเสียงฝากไว้ในอากาศก่อนจะโบกมืออำลาแล้วหันหลังกลับไปยังลิฟท์


ลับหลังอีกฝ่าย รัญชน์แย้มรอยยิ้มออกมาจางๆพลางปิดประตูห้องลง


“I'm home—!” น้ำเสียงสดใสร้องบอกคนในบ้าน ทว่ากลับมีแต่ความเงียบเป็นคำตอบ


“พี่ราม?” เด็กหนุ่มนึกแปลกใจก่อนจะเดินเข้าไปที่ห้องนอน ก็ไม่พบเงาของพี่ชาย ไม่ได้ยินเสียงน้ำจากห้องน้ำ ก็เดาได้ว่าไม่ได้อาบน้ำอยู่


“... ไปไหนนะ” นึกอะไรไม่ออก เด็กหนุ่มก็หยิบเครื่องมือสื่อสารประจำตัวขึ้นมากดหา


 






little RAN : where r u————————————————————?? :D

 

 




 

 

'ติ๊ง'





เสียงโทรศัพท์ส่วนตัวที่เตือนว่ามีข้อความเข้าปลุกคนที่หลับตาอยู่ให้ค่อยๆสะลึมสะลือลืมตาขึ้น เขาล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบมันขึ้นมาเปิดดูทั้งที่ตายังลืมไม่ดี


สัมผัสนิ่มๆที่พิงอยู่ให้ความรู้สึกอุ่นจนแทบอยากนอนต่อ แต่พอนึกได้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหนเขาก็ค่อยๆหันมองรอบกาย ราเมนทร์ไล่สายตาไปทั่วห้องก่อนจะหมุนใบหน้ามาชนกับข้างแก้ม... ที่โชยกลิ่นหวานเศร้า


“อ๊ะ! ขอโทษครับคุณธัน”


“....... ไม่เป็นไรครับ...” ธันย์ชนกตอบเสียงเรียบก่อนจะค่อยๆวางหนังสือลง


“ผมได้ยินเสียงน้องรัน... แกคงกลับมาแล้วครับ...” ชายหนุ่มเจ้าของห้องพูดต่อ พยายามเก็บซ่อนใบหน้าที่เปลี่ยนเป็นสีเข้มไว้ด้วยการลุกขึ้นจากโซฟา


“ครับ บีบีมาบอกแล้ว” ชายหนุ่มเอ่ยตอบพร้อมถอนลมหายใจยาว


“ขอโทษนะครับ เผลอหลับพิงคุณธันยาวเลย” ราเมนทร์ปั้นน้ำเสียงสดใสเอ่ยหยอกธันย์ชนก เขามองซ้ายมองขวาหากล้องคู่ใจ พอรู้ว่าวางที่ไหนก็หยิบขึ้นมาสะพายข้างตัว


“เดี๋ยวไว้มากวนใหม่นะครับ”


“ไม่เป็นไรครับ...” ร่างบางยิ้มจางๆก่อนจะหยิบแก้วชาทั้งสองใบขึ้นมาถือไว้


“มาเมื่อไหร่ก็ได้ครับ... ไม่เป็นไร”


“คุณธันยิ้มสวย...ไว้วันหลังมาเป็นนายแบบให้ผมมั่งนะครับ” ราเมนทร์พูดพร้อมรอยยิ้ม เขาเปลี่ยนกล้องมาสะพายที่ไหล่หนาก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไปยังประตู


“ราตรีสวัสดิ์ครับ” ชายหนุ่มเอ่ยลาพร้อมประตูที่ปิดลง


“....... คงไม่ได้หรอกครับ... เพราะผม... ไม่ชอบกล้องถ่ายรูป...” เจ้าของห้องเอ่ยตอบเสียงเบากับบานประตูตรงหน้า ไม่ได้คิดจะให้อีกฝ่ายต้องรับรู้


...อดีตของเขาที่ไม่น่าจดจำ...


 

 





 

“ไปไหนกับสาวมาอีกนะ?” รัญชน์เอ่ยถามเมื่อเห็นร่างสูงก้าวเข้าห้องมา เขาถือถาดคุกกี้ไว้ในมือก่อนจะยื่นให้แต่ไม่ยอมปล่อยมือ


“ไม่บอกไม่ให้กินนะ”


“ไม่ต้องเอาของกินมาล่อเลย พี่อิ่มแล้ว กินอาหารญี่ปุ่นเจ้าโปรดเราด้วย” ราเมนทร์แกล้งอมยิ้มยั่วให้คนตรงหน้าอยากรู้มากขึ้น


“อะไร?? ไปกินกับใคร??” เด็กหนุ่มทำเสียงเข้มขึ้น คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันพลางจ้องหน้าพี่ชาย


“ไม่บอกหรอก ทีเรายังทิ้งพี่ไปกินกะไอ้หมอได้เลย” คนเป็นพี่ยักไหล่แล้วแกล้งเอากล้องมาเช็คสภาพ ก่อนจะกดถ่ายรูปน้องชายที่ทำหน้าบูด


“หน้าตาดูได้ที่ไหน เสียราคานายแบบหมด”


“ถ่ายใหม่ดีๆนะ!! คอนเซปต์อะไรดี??” เขายกมือมาขวางหน้ากล้อง แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะทำเสียงเข้มใส่ราเมนทร์


“แล้วอย่าเรียกว่าไอ้หมอสิ พูดไม่เพราะเลย... แฟนรันนะ”


พอได้ยินอีกฝ่ายเรียกคนๆนั้นว่าแฟนอย่างชัดเจน...ราเมนทร์ก็แทบจะฝืนยิ้มไม่ไหว ทว่าในฐานะพี่ชายที่ยึดมาตลอด เมื่อน้องชายมีความสุขเขาก็ควรจะยินดีด้วย...ใช่ไหม


“เพิ่งเป็นแฟนได้วันเดียวก็ลืมพี่แล้ว น่าน้อยใจไหมเนี่ย” มือใหญ่ที่ถือกล้องลดลงซ่อนอาการหวั่นไหว


ยังดี...ที่สามารถส่งยิ้มตอบไปได้...


“ไม่ได้ลืม... ถ้าลืมรันไม่รีบกลับมาหรอก” คนถูกกล่าวหารีบเถียงสู้


...เพราะมีกันอยู่สองคน ถึงไม่เคยคิดว่าจะทิ้งกันไป แม้จะเติบโตมาในต่างแดนก็ตาม


“ครับ รู้แล้ว” ราเมนทร์ขยี้หัวน้องชายอย่างหมั่นเขี้ยว ต่อให้จะยังไงก็ตาม หากรัญชน์ยังอยู่ด้วยก็พอใจแล้ว


“ไปกินข้าวกับไอ้หมอบ้าที่ไหนมาน่ะ”


“บอกว่า...” มือสองข้างเอื้อมเกือบถึงปกเสื้อของอีกฝ่าย


“อย่าเรียกแบบนั้น” รัญชน์ออกแรงเขย่าก่อนจะพูดต่อ


“ร้านบ้านน้องนัทไง! เชฟเป็นเพื่อนกับพี่หมอ”


“อย่าเขย่าสิ” เสียงพูดเจือหัวเราะบ่งบอกว่าเขาไม่ได้สะทกสะท้านกับการกระทำที่ราวกับแมวขู่เลย ด้วยเพราะขนาดร่างกายที่ต่างกันคือเหตุผลหนึ่ง...


“จะเป็น หมอ ไอ้หมอ ไอ้หมอบ้า มันก็เหมือนกันล่ะน่า”


“อย่าให้พี่รามมีแฟนมั่งนะ จะเอาคืน” คนตัวเล็กทำหน้ายู่ใส่ก่อนจะปล่อยมือออก


“ไปอาบน้ำก่อนนะ... เดี๋ยวมาแข่งรถกัน” แข่งรถที่ว่าก็คือเกมส์Wiiที่พี่ชายซื้อไว้เล่นด้วยกันในยามว่าง


“เรื่องอะไร อิ่ม ง่วง จะนอนแล้ว” ราเมนทร์แกล้งรวนแล้วยักคิ้วใส่หน้ายู่ๆของน้องชาย


“แยกย้ายไปอาบน้ำ ใครอาบเสร็จก่อนต่อเกมรอ”


ร้อยทั้งร้อย ไอ้เด็กขี้อ้อนคนนี้คงจงใจอาบช้าๆเพื่อให้เขาเป็นคนต่อเครื่องแน่...


แต่ช่างเถอะ... ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นถึงน้องชายคนสำคัญ


พูดไม่ทันขาดคำปลายเท้าเล็กก็วิ่งตึงตังเข้าห้องตัวเองไปทันที ราเมนทร์ยิ้มกับอาการราวกับเด็กๆของรัญชน์ก่อนจะเดินเข้าไปหยิบผ้าเช็ดตัวในห้องส่วนตัวบ้าง ช่างภาพหนุ่มถอดเสื้อผ้าทั้งหมดโยนใส่ตะกร้าแล้วเดินเข้าห้องน้ำ มือใหญ่เปิดสวิตช์เครื่องทำน้ำอุ่นให้สายน้ำไหลออกมาปะทะร่างกาย


น้ำอุ่นจัดที่กระทบผิวกายทำให้ความอ่อนล้าจากทั้งวันผ่อนคลายไปได้บางส่วน ราเมนทร์เงยหน้ารับละอองน้ำอุ่นก่อนจะหลับตาลงเบาๆ


ถ้ารัญชน์มีไอ้หมอบ้าแล้ว...


ตัวตนของพี่ชาย... จะยังมีอยู่หรือเปล่า


ไม่ได้โทษที่อีกฝ่ายจะมีความรักให้ใครสักคน เพราะหากรัญชน์ต้องรับรู้ความรู้สึกแท้จริงที่เขาเก็บมันไว้ภายใน...


รักแบบครอบครัว... การปกป้องดูแลที่แปรเปลี่ยนเป็นความรักรูปแบบที่ผิดบาป


น้องชายคนสำคัญยิ่งกว่าใครคนนี้ไม่มีทางจะรับไหว...


“บ้าเอ๊ย....”


คนที่บ้าที่สุดคือตัวเขาเอง


เขาเองที่เป็นพี่ชาย...


เขาเอง...ที่รักน้องชายสายเลือดเดียวกัน

 

 








ในตอนเช้าที่รัญชน์เป็นฝ่ายตื่นขึ้นมาก่อนพี่ชายที่ยังนอนหลับสนิทไม่มีทีท่าว่าจะลุกนั้น เด็กหนุ่มร่างเล็กหยิบเอาข้าวของขึ้นมาเตรียมทำคุกกี้อีกเช่นเคย เมนูอาหารอย่างเดียวที่ทำได้ดี ค่าที่พี่ชายเคยบอกว่าชอบ เลยทำให้ตัวเองให้มารดาสอนทำตั้งแต่ยังเด็กๆ


...สุดท้าย ก็ทำอย่างอื่นไม่เป็นเลย


หลังจากอบคุกกี้เสร็จเรียบร้อย รัญชน์จัดวางบางส่วนใส่จานแล้วเอาฝาครอบไว้บนโต๊ะ พลางเขียนโน้ตทิ้งไว้ให้ ก่อนจะออกจากห้องไปเงียบๆ


ไม่ว่าอย่างไรก็ตั้งใจไว้แล้ว ว่าจะไม่ปล่อยให้พี่ชายเหงาอยู่คนเดียวแน่ๆ... รัญชน์คิดเช่นนั้นขณะที่หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา


 



little RAN : I'm on my way to see you. r u there yet?










To be continued
หัวข้อ: ・・・ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน 15 อดีตของคุณ (02/06/13)
เริ่มหัวข้อโดย: kagehana ที่ 02-06-2013 19:04:46
-15-












'ติ๊ง'

นายแพทย์หนุ่มที่เพิ่งทักทายคนไข้ตรงทางเดินเสร็จหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู พร้อมกับยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่าเป็นของใคร

 

พี่หมอบีม : อยู่โรงบาลแล้วครับ วันนี้มีนัดตรวจตอนเช้านะตัวเล็ก

 

little RAN : roger that :) will see you soon

 

หลังจากตอบข้อความเสร็จ ร่างเล็กก็รีบก้าวให้เร็วขึ้น จนเมื่อเดินทางมาถึงโรงพยาบาล เขาก็ขึ้นลิฟท์เพื่อไปหาธนกฤตทันทีโดยไม่แวะทักทายเด็กๆอย่างเคย

“พี่กุ้งคนสวย คุกกี้ครับ”

“น่าทานจังค่ะ ขอบคุณนะคะ” กันยารับมาพลางยิ้มหวาน สายตาชั้นเลิศของนางพยาบาลสาวไพล่ไปห็นอีกถุงที่ห่ออย่างดี..ซึ่งเจ้าตัวเองก็ถือไว้อย่างทะนุถนอม

“ฮั่นแน่ อันนั้นเอามาให้ใครคะ ห่อซะสวยเชียว”

“คุณหมอครับ ตามสูตร” คนตัวเล็กยิ้มกว้างก่อนจะเดินเลยเคาน์เตอร์ไป

“ผมมาตรงเวลาเป๊ะนะ เป็นคนไข้ที่ดี ใช่ไหมครับ?” รัญชน์หันมาขอความเห็นจากพยาบาลสาว

“ดีมากๆค่ะ ยิ่งมีขนมมาฝากยิ่งน่ารัก” กันยามองคนตัวเล็กอย่างเอ็นดู รอยยิ้มหวานๆของคนไข้คนนี้ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ทำให้สบายใจได้

“หมอบีมอยู่ข้างในค่ะ เข้าไปเลยนะ”

“ครับ—” รัญชน์รับคำอย่างเริงร่าก่อนจะเดินเข้าไปในห้องตรวจดังเคย มือเอื้อมปิดประตูห้องแล้วหันมาหาคนที่นั่งรออยู่กับรอยยิ้มบนใบหน้า

“Morning—” ร่างบางหยิบถุงคุกกี้วางลงบนโต๊ะ

“คุกกี้มะนาวเหมือนเดิมนะ”

“ขอบคุณครับ” คนนั่งรอเอ่ยขอบคุณด้วยรอยยิ้มพราย ธนกฤตลุกขึ้นยืนแล้วชะโงกหน้าเข้าไปหอมแก้มใส

“มอร์นิ่งคิส”

ชายหนุ่มถอยตัวเองกลับมานั่งเหมือนเดิมแล้วหยิบชาร์ตคนไข้ขึ้นมาซ่อนใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม

“..... ไม่ให้คุกกี้แล้ว......” เด็กหนุ่มดึงเอาถุงคุกกี้คืนมา

“อะไรล่ะ ตัวเล็กขี้โกง” มือใหญ่ดึงรั้งถุงขนมโดยกุมมือเล็กไว้ด้วย

“มัวแต่เล่นเดี๋ยวไม่ได้ตรวจกันพอดี ให้พี่หมอนะครับตัวเล็กคนดี”

“Give me a decent kiss first” รัญชน์ยังคงไม่ยอมแพ้ เขายื้อถุงเอาไว้ไม่ยอมปล่อย

“ตรวจก่อนครับ” ธนกฤตอมยิ้มกับท่าทางของคนตรงหน้า นอกจากร่างกายที่ยังดูน้อยกว่าอายุแล้ว... ท่าทางที่แสดงออกยังน่าเอ็นดูเหมือนเด็กๆด้วย

“เดี๋ยววันนี้มีไปเจาะเลือดดูผลนะครับ ถ้าผลอยู่ในเกณฑ์ดีหมอจะลดขนาดยาลง”

“..... ขี้โกง.......” คนตัวเล็กทำท่าขัดใจก่อนจะเดินไปนั่งลงที่เก้าอี้

“อยู่ในหน้าที่ครับ เดี๋ยวไปเจาะเลือดแล้วมาดูผลกันพรุ่งนี้ วันนี้เอายาไปชุดนึงก่อน” ธนกฤตเขียนเสร็จก็เงยหน้าขึ้นยิ้มให้

“ถอดเสื้อเลยครับ คุณรัน”

“...... ครับ ครับ ครับ คุณหมอบีม” น้ำเสียงหวานหูฟังดูกระด้างขึ้นกว่าเคย ร่างเล็กลุกขึ้นอีกครั้งพลางวางกระเป๋าของตัวเองลง แล้วยกมือขึ้นปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตแขนยาวตัวบางออก

ถึงจะบอกว่าอยู่ในหน้าที่ แต่การที่เห็นคนที่ชอบเป็นพิเศษมาถอดเสื้อต่อหน้าก็อดจะหวั่นไหวไม่ได้

“แค่เสื้อก่อนนะครับ เสร็จแล้วหันหลัง” น้ำเสียงที่ใช้ยังคงเรียบสนิท... ซ่อนความหวั่นไหวไว้ข้างใต้อย่างแนบเนียน

ร่างเล็กขยับหันหลังให้ กลับมาเป็นคนไข้ว่าง่าย ทว่าใบหน้าหวานกลับหันมามองธนกฤต

“มีไหมครับ”

ผิวที่เคยมีรอยช้ำจางๆได้ถูกแปรเปลี่ยนด้วยฤทธิ์ยา ผิวขาวสะอาดตานวลเนียนชวนให้สัมผัส แผ่นหลังเล็กมีเพียงไฝบนสะบักไหล่ด้านซ้ายนอกจากนั้นแล้วแทบเรียกได้ว่าไร้ร่องรอยใดๆ

ธนกฤตกำมือแน่นห้ามมิให้ตนเองเอื้อมไปสัมผัส... ร่างเล็กบอบบางที่ครั้งหนึ่งเคยได้กอดแนบกาย

“ไม่มีแล้วครับ รันไม่เคยมีประวัติตรงเป็นรอยช้ำส่วนอื่นใช่ไหม อย่างพวกสะโพก... ก้นกบ... หรือขาน่ะ”

“.... ไม่รู้สิครับ...... หมอคนอื่นเอาแต่โรคจิตนะ คิดว่าคงไม่เคยตรวจจริงจังหรอก” เขาเอี้ยวตัวมาอีกด้านหนึ่ง

“ลองดูนะ?”

“ใส่เสื้อก่อน....” คนเป็นหมอแทบจะตะโกนเมื่ออีกฝ่ายทำท่าจะถอดกางเกงออก ธนกฤตรู้สึกกังวลนิดหน่อยว่าตัวเองจะกลายเป็นโรคจิตแบบหมอคนอื่นๆที่เคยรักษารัญชน์เข้าสักวัน

“ใส่เสื้อ...” เขาย้ำอีกครั้ง

“ถอดแค่กางเกงนะ...”

“..... ไม่เห็นต้องทำเสียงเข้มเลย...” รัญชน์บ่นอุบอิบขณะสวมเสื้อกลับคืนลวกๆ ก่อนจะแกะกระดุมกางเกงสามส่วนสีน้ำตาลอ่อนออก แล้วค่อยดึงลงมา

หากจะมีภาพที่ก่อกวนหัวใจเขา... สิ่งที่รัญชน์กำลังทำอยู่คงเป็นสิ่งที่มีผลมาก

“บ็อกเซอร์... ไม่ต้องนะ” ธนกฤตรีบพูดเมื่อคนตัวเล็กทำท่าจะรูดมันลง

...แกล้งกันหรือเปล่า...

“จับเสื้อไว้ตรงเอวแล้วหันหลังครับ”

เด็กหนุ่มทำตามอย่างว่าง่าย มือสองข้างจับชายเสื้อรั้งขึ้นแล้วรอฟังคำสั่งต่อไป

“ตรงน่องก็ไม่มี...” ปัญหาคือบริเวณผิวใต้บ็อกเซอร์ ถ้าแค่ด้านหน้าคงสามารถดูเองได้ สำคัญคือด้านหลัง...

“ตรงสะโพกเคยมีปัญหาเรื่องรอยช้ำไหมครับ” ธนกฤตพรูลมหายใจแผ่ว... ทางออกที่ดีที่สุดในตอนนี้คือการสอบถามเบื้องต้น

“ไม่เคยมั้งนะ....” คนตัวเล็กคล้ายกับจับความรู้สึกบางอย่างได้จึงหันตัวมา

“ผมไม่ว่าพี่หมอโรคจิตเหมือนพวกนั้นหรอก ก็แค่ช่วยดูนะ...” ริมฝีปากสีสวยแย้มยิ้มให้ก่อนจะหันหลังแล้วถอดบ๊อกเซอร์ออก

“ไม่มีแล้วเนอะ”

“เฮ้ย!” เจอถอดแบบต่อหน้าไม่ทันได้ตั้งตัวหมอหนุ่มก็ถึงกับพูดอะไรไม่ออก

...นี่ถ้าไม่เห็ยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ก็คงไม่คิดอะไร...

...แต่ยิ้มแบบนั้น ร้อยทั้งร้อยจงใจแกล้งกันแน่...

“เกิดหมอโรคจิตกระโดดใส่ขึ้นมาทำไงเนี่ย” ธนกฤตพึมพำ

สะโพกเพรียวได้รูปที่ตอบรับกับท่อนขาเรียวนั้นเป็นสีนวลสะอาดตาไร้รอยช้ำตามคาด หนั่นเนื้อด้านหลังตึงแน่นอย่างคนสุขภาพดี... เช่นนี้แล้วอีกไม่นานก็คงหาย

“รันดูข้างหน้าแล้วรีบใส่กางเกงเลย... อย่าแกล้งพี่นาน เดี๋ยวคนแก่หัวใจวาย”

“ฮะฮะฮะ ก็อยู่ในหน้าที่หมอไม่ใช่เหรอครับ ถ้ากระโดดใส่ผม หมอโดนพี่ฆ่าแน่.... แต่ถ้าหน้าที่แฟน ผมไม่ว่าหรอก” พูดจบคนอารมณ์ดีก็หัวเราะออกมาอีกครั้งขณะแต่งตัวให้เรียบร้อย— รัญชน์ไม่ใช่เด็กที่ไม่รู้เรื่องอะไร กลับกัน เพราะอยู่ในวงการนายแบบมาตั้งแต่เป็นเด็ก ถึงได้รู้อะไรมากกว่าคนวัยเดียวกันด้วยซ้ำ

“ข้างหน้าเป็นไงมั่ง ไม่มีรอยช้ำใช่ไหม” ธนกฤตก้มลงเขียนอาการทางร่างกายลงบนกระดาษที่เหน็บไว้บนชาร์ต

“เดี๋ยวให้คุณกุ้งส่งตัวเอาใบไปเจาะเลือดนะ หมอแอบจองคิวไว้ให้แล้ว” ชายหนุ่มก้มลงเขียนบนชาร์ตต่อ

“......... ครับ” ร่างเล็กขยับตัวเดินเข้าหาคนที่ก้มหน้าก้มตาเขียน แขนสองข้างเอื้อมพาดผ่านไหล่กว้างจากด้านหลัง

“... แล้วกลางวันนี้กินข้าวด้วยกันหรือเปล่าครับ?” น้ำเสียงออดอ้อนเอ่ยถามข้างใบหู

“แน่ะๆๆ แต๊ะอั๋งหมออีกแล้วนะตัวเล็ก” ด้วยการเขียนที่ยังติดพันทำให้ละมือไปจัดการคนที่เกาะอยู่ไม่ได้

“อื้อ เจาะเลือดเสร็จมารอเลย หมอพาไปนั่งในคาเฟ่โรงบาลนะ อร่อยดีเหมือนกัน”

ริมฝีปากแตะลงข้างแก้มของคนที่ยังไม่ยอมลุกไปไหน

“พี่หมอ... อยู่ในคาเฟ่ คนเยอะนะ......”

“คนเยอะสิดี ตัวเล็กจะได้ไม่แกล้งพี่” ธนกฤตหันไปย่นจมูกใส่แล้วแตะริมฝีปากที่ข้างแก้มบ้าง

“อื้อ เสร็จแล้ว... คุณรันถือนี้ไปให้คุณกุ้งพาไปเจาะเลือดนะครับ หมอนัดคิวไว้แล้ว” เขาหันกลับมาสวมตำแหน่งคุณหมออีกครั้งก่อนจะยื่นใบให้

“... ครับ” รัญชน์ยิ้มหวานก่อนจะจิ้มปลายนิ้วลงที่ข้างแก้ม

“ไปแล้วครับ แล้วเจอกัน” ร่างเล็กถอยตัวออกมาแล้วหยิบกระเป๋าขึ้น

“เดี๋ยวผมมารอที่นี่นะครับ”

“รอที่คาเฟ่ก็ได้ พี่หมอมีคนไข้อีกสองราย ตัวเล็กไปนั่งกินหนมแถวนั้นก่อนดีกว่าเดี๋ยวหิว” ชายหนุ่มจับแก้มที่ปลายนิ้วอุ่นๆฝากรอยไว้แล้วส่งยิ้มจนตาหยี

“นะครับ...ตัวเล็กคนดี”

“You're not gonna give me what I want right?” รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าก่อนที่รัญชน์จะเป็นฝ่ายยื่นใบหน้าเข้าหา ปลายจมูกสัมผัสกันแผ่วเบาก่อนที่ริมฝีปากจะแนบจุมพิตลงไปช้าๆ

“!!?”

ในทีแรกคนที่ถูกจูบเกือบจะสะดุ้ง แต่เมื่อสัมผัสถึงความหวานที่อีกฝ่ายพยายามมอบให้เขาจึงเริ่มตอบรับและแปรเปลี่ยนเป็นผู้คุมเกม ธนกฤตหรี่ตามองผิวแก้มแดงระเรื่อก่อนจะบดเบียดริมฝีปากรุกไล่จนรู้สึกถึงลมหายใจของกันและกัน

เขาสอดลิ้นเข้าไปแตะปลายลิ้นอุ่นร้อนพร้อมกับเลาะเล็มตามแนวฟัน กลิ่นกายหอมหวานคล้ายเลมอนโชยจากซอกคอเนียนมือที่มือใหญ่ของตนเองประคองสัมผัสเอาไว้ ธนกฤตจูบเน้นเสียงที่ริมฝีปากเบาๆอีกครั้งก่อนจะถอนออกมา

นัยน์ตาสีเข้มมองคนตัวเล็กด้วยแววตาหวามไหว ปลายลิ้นที่พัวพันอยู่เมื่อครู่แลบออกมาเลียความชุ่มชื้นที่ติดอยู่บนริมฝีปากตนเอง

“ทีหลังอย่าแกล้งผู้ใหญ่นะครับ... เดี๋ยวหาว่าไม่เตือน”

นัยน์ตาสีน้ำตาลอมเทาคู่สวยทอประกายเย้ายวนยามที่ริมฝีปากสีอ่อนแย้มรอยยิ้มหวานก่อนจะยอมลุกออกมา

“ไปแล้วก็ได้... จะไปเล่นกับน้องปูเป้ก่อน แล้วตามมานะครับ”

ก่อนที่รัญชน์จะเดินออกจากห้องไป ร่างบางหันมาอีกครั้งก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงหวานหู

“... คราวหน้า... ขอนานกว่านี้นะ...”

'ตึง'

ร่างเล็กบอบบางถูกดึงเข้าในอ้อมกอดพร้อมกับประตูที่ปิดลง ธนกฤตโอบรอบร่างรัญชน์แล้วประกบจุมพิตเร่าร้อนลงบนริมฝีปากบางสีสวย

มืออุ่นร้อนลูบเบาๆตามแผ่นหลังผ่านผ้าเนื้อบาง เขาเลื่อนมือขึ้นจับที่ลำคอให้หันมารับรสรัสผัสของจุมพิตได้แนบแน่นขึ้น

“.... อือ.......” เด็กหนุ่มเป็นฝ่ายเปิดริมฝีปากออก ให้เรียวลิ้นของทั้งสองได้เกี่ยวสัมผัสกัน ปลายเท้าเขย่งขึ้นเพื่อรับความอบอุ่นของอ้อมกอดแข็งแรงให้มากขึ้น แขนสองข้างยกขึ้นโอบรอบลำคอของธนกฤตเอาไว้เป็นที่ยึด

คนสูงกว่ารั้งร่างคนตัวเล็กให้พิงกันแนบแน่น ปลายลิ้นที่พันเกี่ยวกันให้ความรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก เขาขบเม้มริมฝีปากสีสวยเบาๆด้วยปลายฟัน

จมูกโด่งไล้ตามแก้มขาวเบาๆ กลิ่นหอมจางที่ออกมาจากเรือนผมสีอ่อนเสมือนตัวเร่งให้ริมฝีปากของหมอหนุ่มเอาแต่ใจมากขึ้น

“หมอบีมคะ คนไข้ที่นัดมาแล้วค่ะ”

เสียงหวานของกันยาที่ดังขึ้นจากข้างนอกเรียกสติของธนกฤตให้หลุดจากอารมณ์วูบไหว เขาถอนริมฝีปากออกอย่างรวดเร็วและปล่อยแขนที่โอบกอดร่างเล็กไว้

“งานเข้าเลยตัวเล็ก”

“....... งานเข้า?” นัยน์ตาสีน้ำตาลอมเทาสบมองด้วยประกายตาที่แปลกกว่าทุกที ปลายนิ้วเอื้อมแตะริมฝีปากที่มอบจุมพิตเร่าร้อนให้อย่างอ้อยอิ่ง

“....... ผมไปรอกับน้องปูเป้นะ” รอยยิ้มหวานสวยผุดขึ้นบนใบหน้าหวานก่อนจะเป็นฝ่ายหันไปเปิดประตูออกไปเอง

ลับหลังคนที่เพิ่งออกไป ธนกฤตที่เดินไปที่โต๊ะก็นั่งทรุดลงบนเก้าอี้แล้วก้มลงซ่อนใบหน้าไว้กับท่อนแขน

“ไอ้หมอบ้าเอ๊ย...”

รู้ทั้งรู้ว่าเป็นที่ทำงาน...ไม่ควรทำแบบนี้แท้ๆ

แต่ไอ้ความรู้สึกวูบวาบมันดันเกิดไม่เลือกที่ซะงั้น...

“ทีนี้จะทำงานต่อไปได้ไงเล่า” เสียงทุ้มอู้อี้พูดเบาๆ

ในห้องที่มีภาพความทรงจำสดๆร้อนๆแบบนี้ ต่อให้เป็นพระประธานก็ไม่ไหวหรอก!!

 



 

ภายในห้องพักที่เต็มไปด้วยกองหนังสือและกระดาษรกเกะกะไปทั่ว เจ้าของห้องกำลังนั่งมองอัลบั้มรูปเล็กๆหลายเล่มที่วางซ้อนกันในลังกระดาษสีน้ำตาล

...ทั้งๆที่คิดว่าทิ้งไปหมดแล้วแท้ๆ...

รูปถ่ายของเขากับกลุ่มเพื่อนสมัยมหาวิทยาลัยที่เรียนมาด้วยกัน-- นานมากแล้วที่ธันย์ชนกไม่ได้ดูรูปตัวเอง ถึงจะเป็นนักเขียน แต่ก็ไม่เคยไปปรากฏตัวตามงานไหนทั้งนั้น

“เฮ้อ...” ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาเบาๆ... ทั้งๆที่ผ่านมาเกือบสิบปีแล้วแท้ๆ

...เอาไปทิ้งให้หมดคงดีกว่า...

พอตัดสินใจได้เช่นนั้น มือสองข้างก็เรียงอัลบั้มรูปในลังสีน้ำตาลให้เรียบร้อยก่อนจะปิดลงแล้วยกขึ้นถือไว้ด้วยมือและท่อนแขนทั้งสองข้าง

ทว่าพอก้าวถึงประตูห้องตัวเอง ทันทีที่ผลักประตูเปิดได้ ลังกระดาษกลับออกไม่พ้น บานประตูที่ปิดกลับมาบนข้อนิ้วทำให้เจ็บจนต้องปล่อยมือออก ส่งผลให้ล้มลงทั้งคนทั้งลัง

เสียงโครมครามของของหล่นทำเอาคนที่ตั้งใจจะนอนพักผ่อนในห้องสะดุ้งเฮือก ราเมนทร์ลุกจากโซฟาที่นอนไล่กดช่องโทรทัศน์ดูอย่างเบื่อๆออกไปยังด้านหน้าแล้วเปิดประตูมองที่มาของเสียง

“คุณธัน!!”

ร่างเพรียวซึ่งเป็นเจ้าของชื่ออยู่ในสภาพที่นอนกองลงกับพื้น รอบตัวมีอัลบั้มรูปกระจายอยู่รอบตัว หนำซ้ำบางรูปยังปลิวออกมาเกลื่อนพื้น

“ลุกก่อนครับ เจ็บหรือเปล่า”

“ไม่เป็นไรครับ...” เขาตอบยิ้มๆพลางลุกขึ้นช้าๆ

“ขอบคุณครับ” พอจับแว่นเข้าที่ได้ เขาก็รีบคว้าเอารูปที่หล่นกระจายมาเก็บคืน

“นี่รูปคุณธันตอนเรียนเหรอครับ” ชายหนุ่มคว้ารูปใกล้มือขึ้นมาดู

เด็กหนุ่มในรูปกำลังถูกโอบโดยเพื่อนผู้ชายอีกคนหนึ่ง รอบข้างมีเพื่อนๆยืนเคียงกันหลายคน ธันย์ชนกในตอนนั้นยิ้มหวานอย่างกว้างขวาง ดวงตาที่ไม่ถูกแว่นหนาๆปิดบังดูมีประกายสดใสด้วยความสุขจนอดจะยิ้มตามไม่ได้

“ว่าแล้วเชียวว่าถอดแว่นแล้วดูดีกว่าจริงๆ” ราเมนทร์ยื่นส่งให้แล้วยิ้มจางๆ

ใบหน้าของธันย์ชนกในตอนนี้มีเพียงรอยยิ้มจางๆประดับอยู่ เขารับรูปกลับมาแล้วเก็บใส่อัลบั้มช้าๆ

“... ใส่คอนแท็คเลนส์แล้วมันเปลืองน่ะครับ” เขารวบรวมของที่หล่นกระจายใส่ลังแล้วปิดฝาลง

“ขอบคุณนะครับ”

“แล้วจะเอาพวกนี้ไปไว้ไหนเหรอครับ เห็นขนออกจากห้อง” ราเมนทร์จับที่ฝากล่องพลางไล่สายตามองลำแขนเรียว..ขืนให้ถือเองมีหวังได้หกล้มหกลุกอีกแน่

“ผมถือให้ “พูดจบก็ฉวยลังทั้งใบมาถือโดยไม่เปิดโอกาสให้ปฏิเสธสักนิด

“... เอาไปทิ้งน่ะครับ...” ธันย์ชนกตอบ เพราะตัวเองไม่กล้าที่จะดูรูปเหล่านี้อีกครั้ง ไม่กล้าที่จะเห็นรูปตัวเองในตอนนั้น

เพราะทุกครั้งที่มอง จะเหมือนเห็นคนแปลกหน้า

“อ้าว! ทิ้งทำไมล่ะครับ รูปถ่ายน่ะเป็นเครื่องเก็บความทรงจำอย่างดีเลยนะครับ น่าเสียดาย” ราเมนทร์ก้มลงดู รูปอีกใบที่แลบออกมาเป็นธันย์ชนกซึ่งถูกโอบจนแก้มชนแก้มกับชายหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่ง ด้านหลังเป็นกลุ่มเพื่อนอีกสามคนที่ทำหน้าทะเล้นล้อเลียนอยู่ใกล้ๆ

ทั้งๆที่หน้าตาดูมีความสุขมากแท้ๆ...ทำไมยังทิ้งได้ลงอีกนะ

“แต่ก็แล้วแต่คุณธันล่ะครับ สงสัยหนังสือล้นห้องไม่มีที่เก็บแล้วใช่ไหมเนี่ย” ชายหนุ่มร่างสูงเอ่ยหยอกเพื่อคลายบรรยากาศที่ดูหมองเศร้าของอีกฝ่าย

“ครับ... ไม่มีที่แล้วล่ะ... เดี๋ยวผมยกไปทิ้งเองก็ได้ครับ” ธันย์ชนกเอ่ยบอกพร้อมยกมือขึ้นหมายจะรับกล่องมาต่อ

“ไม่เป็นไรครับ วันนี้ผมว่าง ไปทิ้งตรงที่เก็บขยะใต้อพาทเม้นท์เหรอครับ”ราเมนทร์ชวนคุยต่อแล้วเดินนำไปกดลิฟท์

ในขณะที่เดินไป ชายหนุ่มเก็บภาพสุดท้าย... ภาพรอยยิ้มหวานอันแสนสนิทสนมของธันย์ชนกซ่อนไว้ในกระเป๋ากางเกง

...รอยยิ้มหวานในวันวานที่ประทับใจจนทิ้งไม่ลง...

 

To be continued...


หัวข้อ: Re: ・・・ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน 14 รักที่ผิดบาป.... (21/04/13)
เริ่มหัวข้อโดย: nunnan ที่ 02-06-2013 19:34:55
ไม่ได้เปลี่ยนหัว เลยไม่รู้ว่ามาต่อน่ะค่ะะะ  :mew2: :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: ・・・ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน 15 อดีตของคุณ (02/06/13)
เริ่มหัวข้อโดย: kagehana ที่ 02-06-2013 20:38:03
ไม่ได้เปลี่ยนหัว เลยไม่รู้ว่ามาต่อน่ะค่ะะะ  :mew2: :mew2: :mew2:

ลืมสนิทเลยค่ะ ขอบคุณมากนะคะที่เตือนให้
หัวข้อ: ・・・ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน 16 ไม่สนิทใจ (14/11/13)
เริ่มหัวข้อโดย: kagehana ที่ 14-11-2013 23:06:15


kagahana : ไม่ได้มาต่อเรื่องนี้ซะนาน ฮืออออ ขอสารภาพว่าลืมสนิทเลยค่ะ :ling2:

ไม่เวิ่นเว้อค่ะ ลงเลย 555









-16-











“ต้องกลับไปตรวจคนไข้แล้วเหรอครับ” รัญชน์เอ่ยถามเสียงหวาน


“อื้อ วันนี้ควบด้วย”ควบของเขาหมายถึงการสแตนบายตอนกลางคืนเผื่อเคสฉุกเฉินซึ่งกินเวลาถึงเกือบเช้า


“วันนี้ไปส่งไม่ได้ กลับดีๆนะตัวเล็ก”


“ครับ... ไปส่งที่บีทีเอสได้ไหม” ร่างเล็กยิ้มอ้อนขณะที่ลุกขึ้นจากเก้าอี้ของตัวเอง อาหารกลางวันที่ทานด้วยกันเป็นอาหารจานเดียวแบบง่ายๆ ซ้ำยังรสไม่จัดจนเกินไปด้วย


“ทีตอนยังไม่เป็นแฟนมาคนเดียวได้ พอเป็นแล้วทำเป็นอ้อนนะ” ธนกฤตแกล้งแซวด้วยใบหน้ายิ้มๆ


ชายหนุ่มลุกขึ้นเช่นเดียวกันก่อนจะจับข้อมือเรียวพาเดินออกนอกร้านอาหาร


“เดี๋ยวไปส่งนะ ขอโทษด้วยที่ช่วงนี้ไม่ค่อยมีเวลา ไว้ลาพักร้อนได้จะพาตัวเล็กคนดีไปเที่ยวนะ”


“ผมไม่ว่าหรอก.... ได้เจอหน้ากันก็โอเคแล้ว” รอยยิ้มปรากฏขึ้นทั้งดวงตาและริมฝีปากของเด็กหนุ่มหน้าหวาน


“ไม่ได้สิ พี่หมอก็อยากไปเที่ยวกันสองคนบ้าง...นะ?” หมอหนุ่มยอ้มหวานตอบ


“ไปเชียงรายหรือทะเลดีน้า ไว้ไปกันนะตัวเล็ก”

 










 




“คุณธันมีแพลนทำอะไรต่อไหมครับ” จู่ๆชายหนุ่มที่เพิ่งโยนลังเข้าไปในที่เก็บขยะก็พูดขึ้น ราเมนทร์หันหน้ามาหาธันย์ชนกพร้อมยิ้มจางๆให้


“วันนี้ผมไม่มีงาน เลยกะว่าจะไปหาซื้อของในซุปเปอร์มาตุนสักหน่อย คุณธันว่างไหมครับ”


“ก็... ว่างครับ....” เขามองหน้าคนถามด้วยความแปลกใจ


“ถ้างั้นไปด้วยกันนะครับ เดินคนเดียวมันเหงาๆ”


ปกติแล้ว... ทุกครั้งเจ้าตัวขี้อ้อนจะเดินนัวเนียเขาและเข็นรถเข็นหยิบนู่นหยิบนี่เหมือนเด็กๆจนเขาติดนิสัยที่เดินคนเดียวไม่ได้ หากแต่ตอนนี้... รัญชน์ได้เจอกับคนที่ชอบ ส่วนพี่ชายอย่างเขาก็คงไม่สามารถไปแย่งเวลาของสองคนนั้นมาเป็นของตัวเองได้


...ต่อให้ต้องรู้สึกเหงาแค่ไหนก็ต้องทน...


ธันย์ชนกอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ สำหรับเขา ผู้ชายตัวโตคนนี้ไม่น่าจะเป็นคนขี้เหงาได้


“ได้สิครับ....”


“งั้นเดี๋ยวไปรถผมกันนะ ขึ้นไปเอากระเป๋าตังค์กันก่อนแล้วรอหน้าห้องผมนะครับ” ชายหนุ่มยิ้มกว้างต่างจากทุกครั้งที่ยิ้มเพียงมุมปาก


“... ได้ครับ” รอยยิ้มอบอุ่นที่ส่งมาทำให้ความรู้สึกหม่นหมองก่อนหน้านี้ค่อยๆจางหายไป


ร่างโปร่งเดินกลับเข้าตัวอาคารสูงก่อนจะกดลิฟต์ขึ้นไปด้วยกันกับราเมนทร์


 










 

“คุณธันปกติอยู่บ้านทำอะไรทานครับ” ชายหนุ่มร่างสูงในชุดลำลองปล่อยผมเคลียต้นคอเอ่ยถาม ราเมนทร์ก้มลงหยิบซีเรียลธัญพืชที่ซื้อติดบ้านไว้เสมอมาใส่รถเข็นที่อยู่ข้างๆ และยิ้มให้กับสาวน้อยที่มองมาตั้งแต่เมื่อสักครู่


เขารู้ดีว่าตนเองมักตกเป็นเป้าสายตาของคนรอบข้าง ด้วยเพราะหน้าตาและรูปร่างที่ได้จากพ่อที่เป็นคนต่างชาติร่างสูง โครงหน้าได้รูปในแบบที่เรียกได้ว่าหล่อเหลา และสีตาที่แปลกกว่าคนไทยทั่วไป มีสิ่งเดียวที่ได้จากแม่คือเส้นผมสีเข้มเท่านั้น ต่างกับรัญชน์ที่ดูจะถอดแบบแม่มาทั้งหมด ต่างเพียงสีผมและตา


...เพราะเหตุนี้...พี่น้องจึงแทบเรียกได้ว่าไม่เหมือนกันสักนิด...


“.... มาม่าครับ.... เร็วดี” เขาตอบพลางยิ้มเขินๆเล็กน้อยขณะที่เขย่งมองหาโซนอาหารสำเร็จรูป


“รสอะไรครับ รู้สึกว่ามันอยู่ตรงนู้น” ราเมนทร์ชี้นิ้วไปด้านปลายเกือบสุดชั้นวางในซุปเปอร์


“ผมชอบต้มยำกุ้งกับวุ้นเส้นเย็นตาโฟ”


“ผมชอบเส้นหมี่เยนตาโฟครับ” ธันย์ชนกอมยิ้มก่อนจะเดินไปตามทางที่ปลายนิ้วอีกฝ่ายชี้ไป


ราเมนทร์เข็นรถเข็นตามไปแล้วหยิบมาม่าแพคของตัวเองใส่พร้อมกับไม่ลืมรสที่คนที่มาด้วยชอบ


ก่อนหน้านี้กับธันย์ชนกเขาไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหร่ แต่พอได้ลองคบหาแล้ว... ก็รู้สึกว่าเป็นคนที่แปลกแบบน่ารักดี ถ้าให้เปรียบกับสัตว์ก็ประมาณแกสบี้ขนยาวขี้อายขี้ตื่นละมั้ง


“เดี๋ยวผมไปดูตรงแถวน้ำยาปรับผ้านุ่มก่อน... ว่าแต่คุณธันใช้น้ำยายี่ห้ออะไรครับ หอมจัง” กลิ่นอ่อนๆที่ออกมาจากเสื้อผ้าอีกฝ่ายหอมจนเขาแอบลอบดมอยู่หลายครั้ง


“ดาวนี่ครับ....” ใบหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้นเมื่อตอบคำถามของอีกฝ่าย แปลว่าราเมนทร์ต้องได้กลิ่นที่ว่านั่นจากการอยู่ใกล้ๆกัน


บางที... อาจจะใกล้กันเกินไปหรือเปล่า...


“ผมซื้อมั่งดีกว่า หอมจัง...” ราเมนทร์ยิ้มขำเมื่อเห็นใบหน้าของชายหนุ่มขึ้นสีแดงเรื่อ


ปกติแล้วคนไทยขี้อายกันขนาดนี้เลยเหรอ... หรือเป็นเพราะอยู่ต่างประเทศมากเกินไปเลยรู้สึกไม่ชิน


“เอ...น้ำยาปรับผ้านุ่มอยู่ตรงไหน”


“เดี๋ยวผมหยิบให้ครับ” เพราะรู้ดีว่ายี่ห้อกับกลิ่นที่ตัวเองใช้คืออันไหน


“ขอบคุณครับ”


พอได้ของที่อยากได้ครบชายหนุ่มก็เข็นรถไปยังช่องจ่ายเงิน ราเมนทร์หยิบของธันย์ชนกที่มีจำนวนน้อยกว่ามากขึ้นคิดเงินก่อน พอถึงคิวตัวเองก็รอเช็คของแล้วยื่นการ์ดให้ และแม้ว่าสาวน้อยคนคิดเงินจะพยายามส่งยิ้มให้เท่าไหร่เขาก็หยุดไว้เพียงยิ้มตอบแบบสุภาพเท่านั้น


“เดี๋ยวเราไปหาอะไรทานก่อนกลับไหมครับ ในห้างชั้นบนมีร้านเยอะ... คุณธันอยากทานอะไรครับ” ราเมนทร์ถามและชวนโดยไม่รอคำตอบตามนิสัย


“... อะไรก็ได้ครับ... ปกติผมไม่ค่อยได้ทานข้าวข้างนอก... คุณรามเลือกเถอะครับ” เขารับถุงพลาสติกที่ใส่ห่อมาม่ามาถือไว้พลางยกหน้าที่ตัดสินใจให้อีกฝ่าย


“คุณธันเป็นประเภทกินเนื้อหรือกินพืชครับ” ใบหน้าเหวอๆของธันย์ชนกยังคงน่าสนุกสำหรับเขาเสมอ ชายหนุ่มหัวเราะออกมาเบาๆเมื่อเห็นนัยน์ตาสีสวยของอีกฝ่ายเบิกกว้างแล้วหรี่ลงอย่างงุนงง


“ผมหมายถึงชอบทานผักหรือพวกเนื้อๆครับ ถ้าชอบทานเนื้อไปบาร์บีคิวพลาซ่า แต่ถ้าผัก...อืม...ซิสเลอร์ก็ได้นะ”


“ซิสเลอร์... ก็แล้วกันครับ” ธันย์ชนกตอบ เขาไม่ได้ไปทานอาหารข้างนอกกับคนอื่นมานานแล้ว อย่างคราวก่อนที่ฝ่ายตรงข้ามแวะมาที่บ้านก็ยังว่าไปอย่าง แต่หนนี้ ถือเป็นการทานนอกบ้านอย่างจริงจัง


...คงไม่มีคนรู้จักแถวนี้หรอก...


“โอเคครับ” ราเมนทร์พาเดินไปที่ลิฟท์อย่างคนชำนาญทางแล้วกดขึ้นไปชั้นบน


ร่างสูงเดินนำเข้าร้านก่อนจะเลือกที่นั่งติดหน้าต่างซึ่งมองเห็นวิวภายนอกได้อย่างชัดเจน บริกรชายที่ยืนอยู่ใกล้ๆวางเมนูลงกับโต๊ะหากแต่ช่างภาพหนุ่มกลับสั่งโดยไม่เปิดดูด้วยซ้ำ


“เอาซี่โครงแบบฟูล แล้วก็โค้กครับ”


“ของผมเอาเป็นปลาดอรี่ย่างครับ” หลังจากไล่สายตาดูเมนูได้สักพัก ธันย์ชนกก็เอ่ยสั่งอาหารของตัวเองบ้าง ก่อนจะตามมาด้วยเครื่องดื่ม


“แล้วก็... ชามะนาวรีฟิลครับ”


“แค่นี้ครับ ขอบคุณ”


ราเมนทร์เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ มือใหญ่ที่วางอยู่บนโต๊ะหยิบดอกไม้ที่ปักในแจกันขึ้นมาดูเล่น ท้องฟ้าในยามบ่ายต้นๆเป็นสีฟ้ากระจ่างค่อนไปทางขาวด้วยก้อนเมฆที่ลอยเกลื่อน เฉดแสงสีส้มที่มนุษย์ไม่สามารถเลียนแบบได้ไล้ตามขอบเมฆเกิดเป็นสีเหลือบสวยแปลกตา... จนอดไม่ได้ที่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูป


“คุณธันไปตักสลัดก่อนเลยครับ” ปลายนิ้วสากเลื่อนเปลี่ยนเป็นโหมดวีดีโอแล้วเก็บภาพท้องฟ้าอีกครั้ง


“อ... ครับ” ชายหนุ่มร่างโปร่งรับคำแล้วลุกขึ้นบ้าง เขาเลือกตักแต่ผักสีเขียว ก่อนจะใช้ซุปครีมเห็ดราดแทนน้ำสลัดมากมายที่มีให้


เมื่อธันย์ชนกมาถึง ร่างสูงที่กำลังเก็บภาพวีดีโออยู่ก็หันมาหาแล้วพูดเบาๆ


“วันนี้มาทานข้าวกับคุณธัน ท้องฟ้าสวยมาก” เขากดปุ่มปิดการอัดแล้วเก็บโทรศัพท์ลง


“โทษทีนะครับ ผมมันพวกบ้ากล้อง”


นัยน์ตาของเขาวูบไหวไปเล็กน้อยก่อนจะทำได้แค่ยิ้มตอบ


“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ถือ”


“คุณธันไม่ทานน้ำสลัดเหรอครับ” นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนเจือประกายเทามองกองผักใบเขียวที่ราดซุปครีมเห็ดในจาน


“ไม่ชอบครับ.... ประหลาดใช่ไหมครับ”


“เปล่าหรอกครับ” ราเมนทร์ตอบพร้อมรอยยิ้มก่อนที่จะลุกขึ้นยืนบ้าง


“เดี๋ยวผมไปตักพาสต้าก่อน...เมื่อกี้คุณธันได้ดูไหมครับว่าสาขานี้ซอสอะไร”


“ทูน่าพาร์สลีย์ครับ” ธันย์ชนกหยิบเอาพริกไทยมาบดลงเหนือสลัดของตัวเอง แล้วหันมองคนที่เดินไปยังสลัดบาร์ เขาตั้งใจจะรอให้อีกฝ่ายกลับมาก่อน แล้วจึงทานพร้อมกัน


ราเมนทร์กลับมาพร้อมพาสต้าจานย่อมและสลัดผักหลากสี เขาวางจานพาสต้าลงตรงกลางแล้วเอ่ยชวนให้ทานด้วยกัน


“เดี๋ยวผมจะไปตักซุป คุณธันเอาอะไรดีครับ”


“... ซุปครีมเห็ดครับ...” เขายิ้มอายๆแล้วค่อยขยับดันแว่นที่คล้ายจะเลื่อนหล่นลงมา


“โอเคครับ” ร่างสูงเดินไปตักซุปครีมเห็ดของธันย์ชนกและซุปฟักทองของตัวเอง เขาเดินเอามาวางตรงหน้าแล้วตักชิม


“ชิมไหมครับ”


“... ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณครับ”


ธันย์ชนกเก็บท่าทีของตัวเองเอาไว้ คนตรงหน้าทำให้นึกถึงสมัยก่อน ก็เคยมีคนทำแบบนี้


...ถึงจะนานมาแล้วก็ตาม


ราเมนทร์เหลือบมองท่าทีที่ดูไม่ค่อยสดใสของคนตรงหน้าแล้วได้แต่แปลกใจ บางครั้งก็อยากจะถาม... แต่ก็กลัวละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของธันย์ชนกมากเกินไป


...ไม่ได้สนิทกันถึงขนาดจะถามเรื่องราวที่อยู่ในใจ...


...แต่ถ้าสนิทกันได้ขนาดนั้นก็คงดี...

 

 















“ป๊าคะ พักนี้พี่บีมอารมณ์ดีผิดปกติมากว่าไหมคะ... มีคนไข้สวยๆมาใหม่หรือไงพี่บีม” ธิวรางค์ขมวดคิ้วถามขณะที่กำลังตักข้าวใส่จานให้บิดา


“ป๊าคะพักนี้น้องแบมหน้าบวมผิดปกติ... สงสัยทานมากไปแน่เลยค่ะ” คนที่ถูกกล่าวหาว่าอารมณ์ดีผิดปกติตอบด้วยท่าทางจงใจดีดดิ้น ร่างสูงกอดแขนบิดาแล้วแนบหน้าลงไปซุกซบถูไถเบาๆ


“ป๊าระวังนะคะ อยู่กับแบมนานๆเดี๋ยวพุงหายไม่รู้ตัว”


“พอเลยเรา... ยังแหย่กันแบบนี้อยู่ได้นะ... แต่... ป๊าก็ว่าเราหมู่นี้อารมณ์ดีนะบีม” คนเป็นพ่อยิ้มอย่างอ่อนใจกับพี่น้องสองคนที่ชอบจะเถียงกันราวกับเด็กเล็กๆ


“ครับ... ก็ช่วงนี้มีเรื่องดีๆเข้ามานี่” ธนกฤตยิ้มกว้างเมื่อนึกถึงคนรักที่เป็นชายหนุ่ม แม้ว่าในหัวจะมีความกังวล... เรื่องที่จะบอกกับครอบครัวอย่างไรก็ตาม


“อ่ะแบม กินก้างปลาป่ะ” หมอหนุ่มแกล้งน้องสาวด้วยการเลาะเอาแต่ก้างทำท่าจะยื่นลงจาน


“กินแคลเซี่ยมเยอะๆจะได้ไม่หงุดหงิดง่ายไง”


“ตีตายเลย! เดี๋ยวเหอะ แช่งให้โดนทิ้งอีกดีไหม???” น้องสาวทำตาเขียวใส่พลางว่าเสียงเข้ม


“อ้าวๆๆ ปากเหรอนั่น พอเลย คนนี้น้องบีมหวง”


“ไม่ต้องหวงมากหรอก พามาให้ป๊าดูบ้างก็ได้” ชายวัยกลางคนกล่าวพร้อมรอยยิ้ม


“นั่นดิ ที่ก่อนหน้านี้ยังเคยพาคุณ... อะไรนะ... คุณน้ำ มาให้เจอหน้าเลย ก่อนจะโดนเขาบอกเลิกที่ทะเลนั่นน่ะ” ธิวรางค์ว่าต่อพลางตักชิ้นปลาเข้าปาก


“โห จำแม่นถึงรายละเอียดอย่างนี้โคตรปวดใจเลยว่ะ” ธนกฤตทำปากตุ่ย ชายหนุ่มตักข้าวเข้าปากคำหนึ่งพอเคี้ยวจนหมดก็ว่าต่อ


“ไม่ใช่ว่าไม่อยากพามานะ...แต่แบบ..มันมีหลายอย่าง ยังไม่ค่อยพร้อมตอนนี้”


นัยน์ตาสีเข้มสบกับผู้เป็นพ่อ เขาเห็นแววตาเข้าใจที่อีกฝ่ายส่งผ่านมาพร้อมรอยยิ้ม


...คนที่บีมชอบเป็นผู้ชาย...


...ป๊าจะรับได้ไหม...


“ขอเวลาน้องบีมอีกนิดนึงนะคะป๊า ไว้จะพาแฟนมากราบฝากตัว”


“เอ้อ ทำอะไรก็ได้ล่ะบีม... ป๊าไม่ว่าอะไรหรอก... เอาให้บีมแน่ใจ แล้วค่อยพามาก็ได้ ป๊ายังไม่ไปไหนหรอก” เขายิ้มจนดวงตากลายเป็นเส้นโค้งแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ


ธนกฤตมองรอยยิ้มที่คล้ายกับของตนเอง... หากป๊ารู้เรื่องแล้ว ป๊าจะยังยิ้มแบบนี้ได้หรือเปล่า


“ป๊าต้องอยู่กับน้องบีมขาไปนานๆนะคะ ส่วนยัยพี่น้องแบมช่างมันเนอะๆ” มือใหญ่เอื้อมตักแกงจืดให้อย่างเอาใจ


“กินแกงจืดนะป๊า ซดคล่องคอ ไว้อาทิตย์หน้าบีมตุ๋นเยื่อไผ่ให้ป๊ากินนะ”


ธิวรางค์แยกเขี้ยวใส่อีกทีก่อนจะเงียบลงเมื่อรู้สึกว่าพี่ชายของเธอดูแปลกไป ปกติถ้ามีแฟน จะต้องรีบบอกรีบอวดแท้ๆ


หญิงสาวได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ รอจนกระทั่งผ่านเวลาอาหารเย็นไป









 

 









“พี่บีมไปทำใครท้องมารึเปล่า?” ทันทีที่บิดาแยกตัวไปนอน เธอก็เดินมายืนขวางพี่ชายทันที


“เออ เนี่ยอีกสองเดือนจะคลอดแล้ว” ชายหนุ่มแหย่กลับแล้วตีลงบนหน้าท้องน้องสาวเบาๆ


“อ้วนขึ้นจริงๆนะแบม ทำงานประสาไรวะ งานหนักกินเยอะเหรอ”


“ไม่ต้องมาขำเลย! เอาดีๆ... ปกติอวดแฟนจะตาย เป็นอะไรเนี่ยคราวนี้?” หญิงสาวตีมือลงบนแขนของอีกฝ่ายแล้วถามอีกครั้ง


“ง่วงยังล่ะ ถ้ายังเข้ามานั่งในห้องก่อน” ธนกฤตเปิดประตูออกกว้าง


...ธิวรางค์เป็นคนที่ความรู้สึกไวเสมอ...


...รวมถึงครั้งนี้ด้วย...


คนเป็นน้องสาวเดินตามเข้าไปในห้อง มือสองข้างท้าวเอวพลางมองหน้าพี่ชาย


“ว่าไง”


“อย่าทำหน้าเหมือนจะกินน้องบีมสิคะ น้องกลัว” ธนกฤตทำเสียงแอ๊บแบ๊วแล้วนั่งลงที่เตียง


“แบม... ถ้าพี่บอกความจริงแกจะรับได้ไหมวะ”


“.....” ธิวรางค์มองใบหน้าของพี่ชาย คงไม่ใช่เรื่องล้อเล่นอีกต่อไปในเมื่อแววตาของอีกฝ่ายดูจริงจังเสียจนต้องเอ่ยบอกออกไป


“.... อะไรก็เอา ก็ต้องรับให้ได้... หรือเปล่า”


“พี่... ตอนนี้...” นัยน์ตาสีเข้มที่ออกจะหยีมองธิวรางค์ก่อนจะหลับตาลง ริมฝีปากบางเม้มแน่นรวบรวมความกล้า


“คนที่คบอยู่เป็นผู้ชาย... ชื่อรัน...”


“เฮ้ย... พูดจริงพูดเล่น” หญิงสาวทำตาโตพลางถามย้ำอีกครั้งให้แน่ใจ


“เรื่องอย่างงี้มันพูดเล่นได้เหรอ” น้ำเสียงจริงจังที่พูดออกมา... แม้แต่ตัวเองยังรู้สึกว่ามันแปร่งปร่า


“คนอื่นพี่ไม่สนหรอก ขอแค่แบมกับป๊ายอมรับได้ก็พอ เพราะคนที่พี่ต้องแคร์เหลือแค่บ้านเราแล้ว” หมอหนุ่มระบายลมหายใจออก


“พี่ชอบเขาว่ะแบม ชอบมาก... อาจจะมากกว่าคุณน้ำด้วยซ้ำ พี่ก็รู้ว่ามันเป็นเรื่องที่สังคมไม่ยอมรับ... แต่ให้พี่ห้ามใจตัวเองตอนนี้ก็ไม่ไหว...”


“............” หญิงสาวรู้สึกว่าทุกอย่างที่มองตรงหน้าเริ่มเปลี่ยนไป พี่ชายที่รู้จักมาตลอดเปลี่ยนแปลงไปรวดเร็วในชั่วประโยคเดียว ร่างบางทรุกนั่งลงข้างๆธนกฤตช้าๆ มือเอื้อมไปจับมือของพี่ชายเอาไว้


“... แน่ใจแล้วใช่ไหม......”


“ถ้าพูดถึงตอนนี้... แน่ใจว่ะ” หมอหนุ่มบีบมือน้องสาวกลับ


“แก... ขยะแขยงพี่หรือเปล่า...ที่พี่ชอบผู้ชาย”


...หากว่าเป็นอย่างนั้น ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร...


“ขอโทษนะ พี่เป็นพี่ที่ไม่ได้เรื่องเอาซะเลย”


“... ก็... ไม่ขนาดนั้นหรอก... พี่เป็นพี่อะ... ช็อคนิดหน่อยเฉยๆ...” ธิวรางค์เอนศีรษะพิงไหล่ของผู้เป็นพี่


“ไม่ต้องขอโทษหรอก... ช่างมันนะ...”


มือใหญ่ยกมือลูบเส้นผมสลวยของน้องสาวเบาๆ เขาโอบร่างเล็กแล้วซบกับกลางศีรษะ


“ขอบใจนะ...แต่ว่า...ตอนนี้พี่ยังไม่กล้าบอกป๊า พี่กลัวป๊ารับไม่ไหว”


“............ แต่... ปิดไปตลอดไม่ได้นะ รู้ใช่ไหม”


“อืม...แต่ว่าแบมอย่าเพิ่งบอกพ่อได้ไหม พี่อยากบอกเอง...นะ?”


...เพราะกลัวเกินไป...


...เพราะเป็นห่วงเกินไป...


“อือ ได้... สู้ๆนะ” ธิวรางค์ตบไหล่ของชายหนุ่มเบาๆสองสามทีก่อนจะลุกขึ้น


“ไปนอนแล้วนะ....”


“นอนด้วยกันป่ะ” ชายหนุ่มแกล้งตบที่นอนกรุ่นกลิ่นแดดเบาๆ


“อ๊ะ ไม่เอาดีกว่า เดี๋ยวโดนทับแบน”


“ไม่ต้องเลย ไปนอนกับแฟนไป” หล่อนพูดไล่หลังก่อนจะเป็นฝ่ายเดินออกจากห้องไปด้วยรอยยิ้มจางๆบนใบหน้า ถึงพี่ชายจะชอบผู้ชาย


...แต่ถ้าไม่ต้องอกหักงี่เง่าแบบนั้นอีกก็คงดี









To be continued...

หัวข้อ: ・・・ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน 17 ในฐานะพี่ชาย (2/12/13)
เริ่มหัวข้อโดย: kagehana ที่ 02-12-2013 11:52:14


kagehana : พอมาอ่านแล้วก็พบว่า เรื่องนี้เขียนมานานมาก ตั้งแต่บีบียังฮิตและบาบีคิวพลาซ่ายังไม่มีกะหล่ำฟรี 555







-17-







นัยน์ตากลมโตกระพริบมองคนที่ทำเป็นสนใจเอกสารตรงหน้ามากกว่าเขา มือสองข้างยกขึ้นท้าวคางเอาไว้แล้วค่อยเอ่ยขึ้นอีกครั้ง


“ผมหายแล้ว... บอกผมมานะ พี่หมอบีม”


“อืม....” หมอหนุ่มแกล้งทำหน้าเคร่งใส่เอกสาร ผลเลือดที่ออกมาแสดงผลว่าคนตัวเล็กที่อยู่ตรงหน้าหายขาดแล้ว ระยะเวลากว่าหนึ่งเดือนที่บังคับกันกินยาอย่างเคร่งครัดส่งผลมาเป็นที่น่าพอใจอย่างมาก


“ขอดูมือคุณรันหน่อยครับ” ธนกฤตบังคับคิ้วตัวเองให้ขมวด ทั้งที่ในใจยิ้มร่า


“ครับ...” เด็กหนุ่มนึกหวั่นใจพลางค่อยๆยื่นมือไปข้างหน้า


“อาจจะช้าไปหน่อย....” ธนกฤตล้วงมือเข้าไปสัมผัสกับโลหะเย็นๆในเสื้อกาวน์แล้วหยิบมันขึ้นมา


“ยินดีด้วยที่หายแล้ว...แล้วก็ของขวัญคบกันครบเดือนย้อนหลังครับ” เขาวาง 'ของขวัญ'ที่ว่าลงบนฝ่ามือ


กุญแจดอกเล็กพร้อมคีย์การ์ดถูกร้อยไว้กับพวงกุญแจรูปคู่อัดกรอบพลาสติกแข็ง หมอหนุ่มยิ้มหวานแถมท้ายก่อนจะเอ่ยต่อ


“ให้ไว้เผื่อตัวเล็กอยากไปนั่งเล่นนะ”


“ให้ผมเหรอ?? จริงนะ??” รอยยิ้มแผ่กว้างบนใบหน้าหวาน เขาหยิบกุญแจขึ้นดูอีกครั้งก่อนจะเดินอ้อมมา ร่างเล็กยกแขนขึ้นโอบกอดธนกฤตจนแน่น


คนถูกกอดกอดตอบแล้วหัวเราะเบาๆจนดวงตาเป็นรูปจันทร์เสี้ยว


“ให้จริงๆน่ะสิ ของขวัญให้คนเก่งไง” หมอหนุ่มดึงร่างเล็กลงมานั่งตักแล้วจูบแตะที่ริมฝีปากเบาๆ


“จะได้ไม่ต้องมารอที่โรงบาล อนุญาตให้เข้าไปเล่นในห้องได้เลย”


“... ดีจังนะ” รัญชน์ยังไม่ยอมลุกออกไปไหน ใบหน้าหวานขยับเข้าหา แล้วแตะริมฝีปากที่ปลายจมูกของร่างสูง


“แต่มาที่นี่สนุกกว่านะ”


“เดี๋ยวเถอะ! ยั่วหมออีกแล้วนะเรา” ปลายจมูกกดลงที่ริมฝีปากสีสวยเบาๆ ธนกฤตรั้งลำคอของอีกฝ่ายเข้ามาใกล้แล้วประทับรอยจูบเบาๆ


“พี่หมอไม่หื่นในเวลางานหรอก”


“เหรอ” เด็กหนุ่มจงใจลากเสียงยาว มือข้างหนึ่งย้ายมาแตะลงบนแผ่นอกกว้างผ่านเสื้อกาวน์ตัวหนา


“อย่าทำอย่างนี้สิ” มือใหญ่ทาบลงบนหลังมือซุกซน


“เดี๋ยวคุณกุ้งเห็นหมอเสียหายนะ รันจะรับผิดชอบแต่งงานกะพี่ป่ะ” สรรพนามที่ใช้แทนตัวเปลี่ยนไปเรื่อยตามประสาคนสบายๆ บางครั้งก็พี่... บางทีก็หมอ บางครั้งก็มาแบบควบด้วยซ้ำ


“ถ้าขอก็แต่งงานนะ...” ถึงจะโดนยึดมือไว้ แต่รัญชน์ก็ยังไม่สนใจเท่าไหร่ มืออีกข้างถูกยกมาแตะเบาๆที่ข้างแก้ม


“ยังไม่มีนัดอื่นไม่ใช่เหรอครับ” นัยน์ตาสีอ่อนสบมองลึกไปในดวงตาสีเข้มของธนกฤต


“อือ ไม่มีหรอก” ธนกฤตจูบที่ปลายคางมนเบาๆก่อนจะดึงคนตัวเล็กมาล็อกไว้ไม่ให้ขยับแกล้งได้


“นี่มันโรงบาลน่า รันคิดดิ่ว่าถ้าหมอ... เอ่อ... นั่นแหละ กับรันที่นี่ แล้วเวลาหมอทำงานไม่เอาแต่คิดถึงแย่เหรอ”


“..... ไม่เกี่ยวกันนะ” คนถูกขัดใจทำหน้ายู่


“เกี่ยวสิ ก็พี่หมอจะคิดถึงตัวเล็กไม่เป็นอันทำอะไรไง” ธนกฤตหอมหน้าผากเบาๆแล้วดันร่างเล็กในอ้อมกอดออก


“นะครับ ตรวจเสร็จแล้ว เย็นนี้ไปทำอะไรกินบ้านหมอกัน ตัวเล็กคนดีของพี่หมอไปรอที่บ้านก่อนนะ”


“.... ไปรอพี่หมอเฉยๆน่าเบื่อหรือเปล่า... ผมไปหาพี่ก่อนก็ได้ แล้วค่อยไปหาพี่หมอตอนเย็น” เด็กหนุ่มร่างเล็กลุกออกมายืนก่อนจะส่งยิ้มกว้างให้


“เอางั้นก็ได้” ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ยืดตัวตามแล้วหอมแก้มขาวอีกที


“รางวัลเด็กดี เย็นนี้เจอกันครับ”

 

 








little RAN : Where - are - you - ?

 

ขณะที่เดินออกมาจากโรงพยาบาล รัญชน์ก็กดข้อความหาพี่ชายแทบจะทันที


โทรศัพท์ที่ดังขึ้นในเวลางานเรียกความสนใจของคนที่กำลังปรับรูรับแสงของกล้อง ปกติแล้วราเมนทร์มักจะไม่สนใจเรื่องอื่นในเวลางาน...แต่เพราะเป็นเสียงที่ตั้งไว้เฉพาะ มือใหญ่จึงละออกจากกล้องได้


“เอาเสื้อคลุมให้น้องเอ็มมี่ก่อน ขอตัวแป๊บ” ชายหนุ่มสั่งทีมงานผู้หญิงที่อยู่ใกล้ๆ


งานวันนี้ดำเนินไปได้ช้ากว่าที่คิดไว้ เพียงเพราะนางแบบนู้ดคนสวยที่อยู่ในธีม'รักร้าว' ซึ่งต้องแสดงความเจ็บปวดผ่านสีหน้าเอาแต่ส่งยิ้มหวานยั่วยวนเขา ราเมนทร์หงุดหงิดกับพวกคนที่ไม่มีความเป็นมืออาชีพจนแทบจะตะโกนให้เลิกทำปากเผยอและกระพริบตาได้แล้ว


ปลายนิ้วสากกดอ่านข้อความก่อนจะโทรกลับเพราะมีเวลาไม่มาก


“ฮัลโหล ว่าไงล่ะเรา อยู่ที่ไหน”


“ตรวจเสร็จแล้ว หายแล้ว! ไปฉลองกันไหม”


ข่าวดีจากน้ำเสียงร่าเริงเรียกรอยยิ้มจากชายหนุ่มหน้าบึ้ง


“ยินดีด้วย เราอยากไปกินที่ไหนล่ะ เอาเป็นข้าวเที่ยงหรือเย็นดี... ตอนนี้พี่ยังเหลือถ่ายน้องเอ็มมี่อีกนิดนึง”


“เที่ยงสินะ เย็นไม่ว่างนะ” เขาเอ่ยถามเสียงเริงร่า


“อ้าว เย็นไปไหนเหรอ” หัวคิ้วขมวดมุ่นด้วยความสงสัย


“ไปฉลองกับพี่หมอ แต่อยากฉลองกับพี่ก่อน ไม่ได้เหรอ” ตัวขี้อ้อนเริ่มลากเสียงยาว


“ได้สิ งั้นพี่จะรีบทำงาน รันจะมาหาพี่ที่สตูดิโอไหม” แม้ว่าชื่อของพี่หมอจะทำให้เกิดความขมปร่าซ่านขึ้นมา หากแต่การที่อีกฝ่ายยังคงนึกถึงตัวเองก็พอบรรเทาได้บ้าง


...ขอแค่ให้มีความสุข...


“โอเคนะ เดี๋ยวไปหา” พูดจบรัญชน์ก็วางสาย ก่อนจะตัดสินใจเรียกรถแท็กซี่ไปแทน


 

 








“เอาชุดครอบครัวหมูเพิ่มเห็ดออรินจิกับกะหล่ำอย่างละ2ถาดครับ” ราเมนทร์สั่งแบบไม่ต้องดูเมนูเพราะทุกครั้งที่มาก็สั่งอย่างนี้เป็นปกติ


เพราะวันนี้เป็นวันธรรมดา ร้านอาหารในห้างจึงค่อนข้างบางตา สองพี่น้องจับจองที่นั่งด้านในติดกระจก เบื้องหน้ามีเตาทองเหลืองและเจ้าบาบิกอนวางอยู่


“รันเอาอะไรเพิ่มป่ะ”


“ไม่เอาแล้ว เอาโค้ก!” คนตัวเล็กเอ่ยบอกพร้อมรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า


หลังจากบริกรสาวเดินไป ราเมนทร์ก็พูดขึ้น


“คราวนี้หายได้ก็ดีแล้ว เดี๋ยวพี่ซื้อของขวัญให้ เอาอะไรดี” แม้ใจจะนึกโกรธเรื่องที่แย่งรัญชน์ไป... แต่เพราะไอ้หมอเวรนั่นทำให้น้องชายเขาหายขาดได้จึงรู้สึกขอบคุณไม่น้อย


“ต้องขอบคุณไอ้หมอนั่นด่วยล่ะนะ...”


“ไม่ต้องหรอก พี่ให้รันเยอะแยะแล้วนะ?” รัญชน์โน้มตัวมาด้านหน้าพลางส่งยิ้มให้อีกครั้ง


“แค่นี้จิ๊บจ๊อย พี่เป็นพี่รันนะ” นัยน์ตาสีน้ำตาลอมเทาทอดแววอ่อนโยน ต่อให้อีกฝ่ายจะมีใคร... ฐานะพี่ชายสายเลือดเดียวกันคนสุดท้ายในโลกก็ยังไม่มีวันเปลี่ยนแปลง


...และเป็นความเป็นจริงอันแสนเจ็บปวด...


“แล้ววันนี้นัดหมอนั่นไว้ที่ไหนล่ะ”


“คอนโดหมออะ” ยิ่งยิ้มกว้างมากขึ้นเมื่ออีกฝ่ายพูดเช่นนั้น


คำตอบอีกฝ่ายทำเอาถึงกับยิ้มหุบ ราเมนทร์หรี่ตาลงก่อนจะขมวดคิ้ว


...ไอ้บ้านั่น...


“ไปได้ไง ถ้าเกิดไอ้หมอบ้านั่นมันหวังเคลมเราจะทำไง ถึงจะคบกันแล้วก็ไว้ใจไม่ได้หรอก พี่ไม่ยอม จะไปก็ไปกินกันข้างนอก ร้านเพื่อนหมอก็ได้ เดี๋ยวพี่จองให้”


คราวนี้รัญชน์หัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่ได้


“พี่หมอน่ะเหรอ คงทำอะไรได้หรอก” นึกถึงหน้าและท่าทางอีกฝ่ายแล้วก็ขำ


“We're not gonna have sex. Relax”


“ถ้าเราไปนัวเนียมากๆก็ไม่แน่หรอก ไอ้พวกนี่เห็นหงิมๆบทจะหื่นขึ้นมาคงน่ากลัวพิลึก” ราเมนทร์นินทาเต็มปากเต็มคำก่อนจะหยุดลงเมื่ออาหารพร้อมน้ำมาเสิร์ฟ


ชายหนุ่มโรยกะหล่ำปลีซอยใส่น้ำเป็นอันดับแรกแล้วค่อยวางเนื้อหมูชุบน้ำจิ้มลงบนเตา


“เพิ่งคบกันเอง เรื่องมีอะไรกันนี่ไม่ไหวนะ...ยิ่งเร็วยิ่งง่ายก็ยิ่งเลิกกันง่ายรู้ไหม”


“คร้าบ-- เหมือนพี่ใช่มะ” รัญชน์เริ่มเป็นฝ่ายกวนกลับ


“อ้าว พูดเรื่องไอ้หมออยู่มาพาดพิงพี่ทำไมเนี่ยเรา” ราเมนทร์ขยี้หัวน้องชายเบาๆ


เขาเอาเนื้อหมูที่ปิ้งสุกวางบนจานน้องชาย


“กินเยอะๆ โตไวๆ ตัวเล็กเกินไปแล้ว”


“ไม่โตแล้วนะ หยุดโต ใช่ไหม” คนตัวเล็กทิ้งคำถามไว้ก่อนจะคีบชิ้นหมูเข้าปาก


“อือ หยุดโตแล้ว” ราเมนทร์ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าพันธุกรรมตรงไหนของเจ้าตัวเล็กมันผิดไปหรือเปล่า เพราะทั้งที่เป็นพี่น้องแท้ๆยังต่างกับเขาและพ่อถึงเพียงนี้


“ค่อยๆกิน เดี๋ยวติดคอหรอก”


ราเมนทร์ยิ้มให้คนตัวเล็กที่กินอย่างน่าอร่อย


...ถ้าพื้นที่ของคำว่าพี่ชายยังคงเหลือ...


...เขาก็ขอเป็นแค่เท่านี้ตลอดไป...

 

 










รัญชน์เปิดประตูเข้าห้องของคนรักพร้อมกับถุงคุกกี้ในมือ เมื่อหันไปปิดประตูห้องได้แล้ว เขาก็ส่งข้อความหาธนกฤตทันที

 

little RAN : I'm here already :D

 

ธนกฤตหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูข้อความก่อนจะตอบกลับ

 

พี่หมอบีม : กำลังซื้อของซุปเปอร์ไปทำกับข้าวกินกันครับ รอแป๊บนึงนะ

 

พอได้ความอย่างนั้น เด็กหนุ่มร่างเล็กก็เดินไปทิ้งตัวลงบนโซฟาแล้วมองไปรอบๆ ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองที่ได้มาที่นี่ แต่ด้านความรู้สึกนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง


“มาเร็วๆนะ”

 

 








“กลับมาแล้วตัวเล็ก” หมอหนุ่มหอบของพะรุงพะรังเอ่ยทักรัญชน์ที่นอนอยู่ตรงโซฟา เขาวางของลงแล้วเข้าไปกอดพลางหอมแก้มเบาๆ


“มาทำกับข้าวกัน”


ทว่าคนตัวเล็กกลับยึดธนกฤตเอาไว้แน่น ไม่ปล่อยให้ได้ลุกขึ้น


“ไม่ช่วย”


“ไม่หิวเหรอ พี่บีมหิ๊วหิวอ่ะ” ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่ก็ยอมให้ยึดไว้อยู่ดี


“กินตัวเล็กแทนไหม”


“กินจริงอย่าหนีแล้วกัน” ธนกฤตยิ้มท้า


“ใครกันแน่....” ใบหน้าหวานปรากฏรอยยิ้มร้ายขึ้นก่อนจะดึงอีกฝ่ายลงมาจูบเบาๆ


ธนกฤตตอบสนองจุมพิตหวานด้วยความร้อนแรงไม่แพ้กัน พอละริมฝีปากออกร่างสูงก็ลุกยืนตรงแล้วดึงคนตัวเล็กให้ลุกด้วย


“ไปต่อกันในครัว....”

 







 

'ฉ่า---'


ไอร้อนขึ้นควันขโมงเมื่อมือใหญ่ใส่กุ้งลงไปผัดกับกระเทียมและน้ำมัน ธนกฤตมองคนตัวเล็กที่ยืนหน้าตูมอยู่ใกล้ๆด้วยแววตาหยอกล้อ


“ทำหน้าหงิกเชียว”


“.... ไม่อยากพูดด้วยเลย...” เขาทำเสียงขุ่น


“ไม่ต้องพูดก็ได้ มาช่วยพี่หมอบีมทำกับข้าวเร็ว”ธนกฤตยื่นส่งตะหลิวให้


“รันทำกับข้าวให้พี่ทานมั่งป่ะ”


“ทำไม่เป็น... ทำเป็นแต่ขนมนะ...”


“แน่ะ งอนอยู่ล่ะสิ มาเร็ว...ทำตัวเป็นเด็กดีเดี๋ยวให้ของขวัญนะ” ธนกฤตเดินเข้ามาหาแล้วโอบร่างเล็กพาเดินมาหน้าเตา มือใหญ่สอดตะหลิวเข้าให้แล้วกุมจับไว้ด้วยกัน


“กุ้งผัดกระเทียมพริกไทย..ของโปรดพี่”


“.... น้ำมันกระเด็นนะ... เป็นแผลทำไง” ร่างเล็กหันมาหาแต่ก็ไม่ได้ปล่อยมือที่ถือตะหลิวออก


“ไม่โดนหรอก...ถึงโดนก็ไม่เป็นไรแป๊บเดียวก็หาย” ธนกฤตกดคางลงบนศีรษะกลมมนและเส้นผมอ่อนนุ่มสีสวย


“ตัวเล็กเป็นไข่ในหินเกินไป ถ้าไม่มีพี่ชาย...ไม่มีพี่หมอจะอยู่ยังไง จากนี้ไปพี่จะสอนให้รันทำกับข้าวเล็กๆน้อยๆเป็น...อ่อ หัดขับรถด้วยมะ ขับรถเป็นไหมล่ะตัวเล็ก”


“เป็นสิ เห็นรันเป็นคนแบบไหนนะ” คราวนี้รัญชน์ทำเสียงขุ่นแล้วหันไปทำคิ้วขมวดใส่


“เป็นตัวเล็กคนดีขี้งอนไงครับ”ชายหนุ่มหอมลงไปบนหว่างคิ้วที่ขมวดแน่น


ธนกฤตดึงมือตัวเองแล้วปล่อยร่างรัญชน์ไว้หน้าเตา


“รันนี่ท่าทางจะเหมาะกับผ้ากันเปื้อนเนอะ”


“หือ... ลามกเหรอ?” เด็กหนุ่มหันมายิ้มร้าย


“ลามกสิ พี่น่ะลามกมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว” คนพูดยิ้มหวาน


“เอากุ้งใส่จานได้แล้วครับ เดี๋ยวไหม้หมด”


“ลามกแต่พูดน่ะสิ...” เขาใช้ตะหลิวตักกุ้งใส่จานตามที่อีกฝ่ายว่า


“ใครบอก...ไม่รู้อะไรซะแล้ว” ธนกฤตลุกไปหยิบจานวางลงกับโต๊ะ ร่างสูงดึงเด็กดื้อมากอดแล้วจุ๊บที่หน้าผาก


“เป็นผู้ใหญ่ต้องรู้จักอดกลั้นไม่แสดงความลามก....เด็กๆไม่เข้าใจหรอก”


“18แล้วนะ ไม่เด็กแล้วนะ...” รัญชน์ยังคงทำหน้ายู่ใส่ขณะตะปบมือเข้าที่เอวของอีกฝ่ายแล้วเขย่าสองสามที


“พี่หมอบีม30แล้ว แก่กว่าตั้งเยอะ” พูดไปก็นึกยอกใจ นอกจาก30ยังไม่มีหลานให้ป๊าอุ้มแล้ว...ยังมีแฟนเป็นผู้ชายเด็กกว่าตั้ง12ปีอีก


“พูดเรื่องอายุแล้วรู้สึกเหมือนกำลังหลอกตัวเล็กไงไม่รู้...”


“หลอกเหรอ? ไม่หลอกนะ...” มือเล็กเอื้อมแตะปลายนิ้วลงบนแก้มของอีกฝ่าย


“ก็ตัวเล็กอายุน้อยกว่าไม่รู้สึกอะไรหรอก...แต่พี่เนี่ยดิ่ มีหวังโดยแซวว่าเป็นเฒ่าหัวงูแหง”


คนฟังได้แต่ยืนกระพริบตามอง


“เฒ่า... อะไรนะ?”


“เฒ่าหัวงู...แบบ พวกคนแก่ที่ชอบสาวเอ๊าะๆอายุน้อยกว่าไง” ธนกฤตมองหน้าคนตัวเล็กแล้วยิ้มให้


“เอาเหอะ...ก็ชอบไปแล้วนี่เนอะ”

 

 









ราเมนทร์เอนตัวลงนอนบนโซฟาบีนตัวนุ่มที่มุมห้อง  เพลงหวานแผ่วที่ดังจากโทรทัศน์กล่อมอารมณ์ให้ชวนเคลิ้มหลับ ตะเกียงอโรม่าที่จุดไว้โชยกลิ่นหอมของน้ำมันกลิ่นเลมอนกลิ่นโปรดที่ให้ความสดชื่น...กลิ่นที่ให้ความรู้สึกเหมือนน้องชายอยู่ด้วยกันตลอดเวลา


ต่างจากอีกคนที่อยู่ห้องตรงข้ามฝั่งกำแพง ในวันสบายๆแบบนี้เขาควรจะได้หยุดพัก แต่ดูเหมือนกับว่าเป้าหมายกับนิยายเรื่องใหม่จะทำให้ธันย์ชนกไม่อาจนอนนิ่งๆได้


การเดินทางผ่านมิติกับโลกแฟนตาซีอาจฟังดูธรรมดา ทว่าเขากลับอยากลองสร้างภาษาของตัวเองออกมาเพื่อใช้เป็นภาษาของดินแดดนั้น


มือเอื้อมดึงเอากล่องหนังสือที่อยู่บนสุดของชั้น กล่องพลาสติกที่ใส่พจนานุกรมหลากภาษาเอาไว้ถูกดึงออกมา


“อ...?!” ด้วยน้ำหนักกล่องที่หนักกว่าที่คาดไว้ทำให้ทั้งคนทั้งกล่องร่วงตามกันมา


“โอ๊ย-!!!” กล่องพลาสติกที่หล่นตามมากระแทกลงบนขาเขาจนเจ็บแล้ว บันไดเจ้ากรรมก็ยังตามมาซ้ำอีกรอบจนต้องนิ่วหน้า


เสียงโครมครามที่ดังกว่าครั้งไหนๆทำเอาราเมนทร์ถึงกับสะดุ้ง เขาลุกขึ้นแล้วแนบหูกับกำแพง...เสียงสูดปากกับเสียงครางด้วยอาการเจ็บทำให้เขานึกเป็นห่วง


...ซุ่มซ่ามอะไรอีกแล้วล่ะสิ...


ร่างสูงเดินออกจากห้องไปยืนหน้าประตูห้องติดกันแล้วเคาะเบาๆ


“คุณธันครับ...เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”


ธันย์ชนกได้ยินเสียงเรียกจากประตูก็เอื้อมผลักกล่องพลาสติกกับบันไดออกแล้วค่อยยันตัวขึ้น


“!!!!!? อึก!!!” ร่างโปร่งบางทรุดฮวบลงทันที ความเจ็บปวดแล่นขึ้นมาจนถึงสมอง เขาก้มลงมองที่ขาของตัวเองก่อนจะนึกว่าความซุ่มซ่ามที่ไม่หายสักที


สุดท้าย เขาก็ใช้ขาอีกข้างที่ไม่เจ็บ พาตัวเองไปจนถึงประตูห้องได้


“... เดี๋ยว... คงเรียกรถ... พยาบาล... ครับ” แค่จะอ้าปากพูดก็ยังรู้สึกเจ็บด้วยซ้ำ


“เปิดประตูหน่อย” ราเมนทร์เผลอทำเสียงดุ... เดี๋ยวที่ว่าของธันย์ชนกคงกินเวลากว่าครึ่งชั่วโมง ขืนเป็นอะไรร้ายแรงก็คงแย่กันพอดี


“คุณธันเจ็บตรงไหนใช่ไหม”


มือจับที่กลอนประตูบิดออกแล้วค่อยเปิดประตูให้ก่อนจะรีบยึดกรอบประตูไว้


“... ครับ......”


“โดนอะไรอีกครับคราวนี้” น้ำเสียงอ่อนใจเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม แม้ว่าธันย์ชนกจะยังหน้าตายุ่งเหยิงแต่ถ้ามาเปิดให้ได้ก็ถือว่าโอเคในระดับหนึ่ง


“คุณธันเจ็บตัวอยู่เรื่อยเลย”


“... กล่อง-!!?” ความเจ็บปวดที่แล่นขึ้นมากระทันหันทำให้ทรุดลงนั่งอีกครั้ง


“ทับลงมาน่ะครับ”


อาการทรุดนั่งลงไปกับตานั้นไม่มีทางที่จะธรรมดา ราเมนทร์ปราดเข้าไปประคอง น้ำหนักตัวของอีกฝ่ายดูจะน้อยกว่าที่คิดไว้เพราะแค่ประคองขึ้นร่างเพรียวก็ลุกได้โดยไม่หนักแรง


“ไปโรงพยาบาลกันนะ คุณธันพอจะเดินไหวไหม”


ถ้าจะอุ้มก็ดูตลกเกินไป แต่ถ้าให้เดินเองก็คงไม่ถึงแน่... ราเมนทร์ตัดสินใจพิงร่างเพรียวกับผนังแล้วย่อตัวลง


“ขึ้นหลังผมดีกว่า”


“... แค่ประคองเฉยๆ... ก็พอครับ...”


“ไม่ได้ครับ ถ้าเจ็บซ้ำขึ้นมาจะทำยังไง” ราเมนทร์หันไปพูดเสียงเข้มใส่


“ขึ้นมาเร็วๆสิ ผมจะได้พาไปโรงพยาบาล”


“.... ครับ” ธันย์ชนกยอมทำตามที่อีกฝ่ายพูด แม้จะนึกว่าตัวเองที่รู้สึกอายกับเรื่องเพียงแค่นี้


ราเมนทร์รอให้น้ำหนักถ่ายทอดมาสู่แผ่นหลังแล้วค่อยๆลุกขึ้นยืน เขาหันไปหาธันย์ชนกแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลง


“ทีหลังมีอะไรเรียกผมนะครับ...อย่างน้อยก็เป็นเพื่อนบ้านกัน”


“.............. ขอบคุณครับ...” คนเจ็บเอ่ยเสียงเบา ซ่อนพวงแก้มสีเข้มไว้กับแผ่นหลังกว้าง พลางนึกถึงทิศทางของนิยายเรื่องใหม่ที่กำลังดำเนินไป


...บางที...


...อาจจะไม่ได้จบแย่ขนาดนั้นก็ได้...
 

 

 

 

 

 



To be continued...
หัวข้อ: ・・・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน 18 อุบัติ..รัก (03/12/13)
เริ่มหัวข้อโดย: kagehana ที่ 03-12-2013 22:04:15
-18-











“สรุปว่ากระดูกร้าว เห็นไหมครับถ้ารออาจจะเจ็บกว่านี้ก็ได้” ราเมนทร์พูดขึ้นระหว่างหักหัวรถออกจากโรงพยาบาล ชายหนุ่มปรับเบาะให้เอนลงเพื่อที่ธันย์ชนกจะได้นั่งสบายๆ



เวลาเกือบๆสามทุ่มบนท้องถนนยังเป็นช่วงที่รถไม่บางตาเท่าไร ชายหนุ่มจึงใช้เวลาที่นั่งรอสัญญาณไปหันมาคุยต่อ



“คุณธันทานข้าวเย็นยังครับ แวะซื้อข้าวต้มหน้าซอยก่อนไหม”



“ทานมาม่าไปแล้วครับ... ไม่เป็นไร... ครับ” เขายังก้มลงมองเฝือกอ่อนที่ขาของตัวเองแล้วก็ถอนหายใจออกมา



เมื่อสัญญาณเปลี่ยนเป็นไฟเขียว รถยุโรปราคาสูงก็เคลื่อนตัวด้วยเสียงเงียบกริบ ราเมนทร์เหยียบคันเร่งสลับกับเบรค...การขับรถในเมืองอย่างกรุงเทพนี่ไม่ง่ายสักนิด



“เป็นอย่างงี้แล้วคงไม่สะดวกอะไรหลายๆอย่าง...ถ้าไม่รังเกียจผมจะให้รันไปคอยอยู่เป็นเพื่อน โอเคไหมครับ”



“ไม่ต้องขนาดนั้นหรอกครับ!” เขารีบปฏิเสธกับสิ่งที่อีกฝ่ายเสนอมาแทบจะทันที กับเรื่องรบกวนคนอื่นขนาดนั้นธันย์ชนกไม่ชอบทำตัวให้เป็นภาระกับใคร



“งั้นคุณธันจะอยู่คนเดียวเหรอครับ” ...ยิ่งซุ่มซ่ามอยู่ ราเมนทร์ต่อในใจ



การที่ให้คนที่เป็นแค่เพื่อนบ้านมาช่วยดูแลก็อาจทำให้ลำบากใจอยู่บ้าง แต่หากต้องทิ้งให้อยู่คนเดียวก็อาจจะทำอะไรเกินตัวจนบาดเจ็บขึ้นมาอีก



“รันไม่ได้ทำอะไร ผมเองช่วงนี้ก็ปิดจ็อบแล้ว เดี๋ยวผมช่วยพูดกับรันให้... ไม่น่ามีปัญหาอะไรนะ”



“แต่ถ้าไม่สะดวก... ก็ไม่เป็นไรจริงๆนะครับ” ธันย์ชนกยังคงพูดต่ออย่างเกรงใจ



“ไม่ต้องเกรงใจครับ หรือไม่คุณธันก็มาอยู่ห้องผม... ดึกๆค่อยกลับไปนอนก็ได้ ผมไม่กวนหรอก” ราเมนทร์ยิ้มบางๆด้วยรับรู้ได้ถึงความเกรงใจของคู่สนทนา



...แบบนั้นยิ่งไปกันใหญ่...



“.... เอา... แบบที่กวนคุณรามน้อยสุดก็แล้วกันครับ.....” เขาก้มใบหน้าลงตอบเสียงอ่อน



“แค่นี้เอง...เจอรันตอนป่วยแล้วคุณธันจะหนาว เจ้านั่นเวลาป่วยทั้งอ้อน งอแง เอาแต่ใจสารพัด” ชายหนุ่มพูดถึงน้องชายด้วยรอยยิ้มที่มากกว่าเดิม



...แต่ก็น่ารักมากกว่าใครๆ...



“...... เหรอครับ...” คนฟังยิ้มตามก่อนจะเอนหลังพิงเบาะรถให้สบายขึ้น



พอเห็นว่าธันย์ชนกอยากพักผ่อนคนขับรถเลยไม่พูดอะไรต่อแต่เอื้อมหยิบเสื้อคลุมตัวอุ่นที่อยู่ด้านหลังมาส่งให้



“รถติดนะครับ หลับไปพลางๆก็ได้”



“ขอบคุณครับ...” มือสองข้างขยับถอดแว่นออกก่อนจะค่อยๆหลับตาลง ในตอนนี้แม้จะรู้สึกเจ็บอยู่บ้าง แต่ความอบอุ่นที่ได้มากลับทำให้รู้สึกดีเสียจนลืมความเจ็บได้



แพขนตาที่ไร้แว่นปิดบังกระพือไหวด้วยแรงลม พอถอดแว่นแล้ว... ธันย์ชนกดูเด็กลงอย่างไม่น่าเชื่อว่าจะอายุถึง32ได้ ทั้งโครงหน้าอ่อนแยาว์ ผิวพรรณที่แม้จะไม่ได้ขาวแบบรัญชน์ แต่ก็ไม่ใช่ขาวซีดที่ดูแล้วน่าเป็นห่วง



ราเมนทร์ระบายยิ้มอ่อนโยนโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะเบนสายตากลับไปสู่ท้องถนนยามค่ำคืนอีกครั้ง.. ด้วยความรู้สึกอบอุ่นอย่างน่าประหลาด

 

 













“คุณธันเขากระดูกขาร้าว เราอยู่ว่างๆก็ไปอยู่เป็นเพื่อนดูแลเขาหน่อยได้ไหม”



“.... รันจะไปดูแลอะไรพี่ธันได้? ทำคุกกี้เลี้ยงคนป่วยเหรอ?” ไม่ใช่ว่าไม่เป็นห่วง แต่เพราะรัญชน์ไม่คิดว่าตัวเองจะช่วยได้เท่าไหร่นัก



“ก็ไปช่วยอยู่เป็นเพื่อน เอาของอะไรให้ไง” ราเมนทร์คว้าเจ้าตัวที่นอนกลิ้งไปมาบนพื้นพรมขึ้นมากอด



“พี่ก็อยู่ด้วย ให้คุณธันอยู่ห้องเราก็ได้ รันโอเคป่ะ”



“งั้นรันยกให้ก็ได้... แล้วรันไปค้างห้องพี่หมอแทน” คนตัวเล็กยิ้มกว้าง



“เฮ้ย! ได้ไงล่ะรัน ไปนอนค้างกับมันทำไมห้องเราก็มี คุณธันกลางคืนก็กลับไปนอนห้องตัวเองหรอก” ราเมนทร์แทบจะดึงแก้มที่ยิ้มไม่หุบนั่นด้วยความหมั่นไส้... พอสบโอกาสนี่รีบคว้าเลยนะ



“ไม่ให้ค้าง แค่ปล่อยให้ไปอยู่ด้วยทั้งวันก็ดีแล้ว”



เพราะเห็นว่าน้องชายมีความสุข... และการเสียสละเป็นหน้าที่พี่มาตั้งแต่เกิดแล้ว



...กับอีแค่หัวใจตัวเอง... ทำไมจะทนเจ็บไม่ได้



“........ โห่ย.... ก็ได้.... แต่พี่รามว่างก็ไปอยู่กับพี่ธันเลยดิ...” รัญชน์ทำหน้ายู่ขึ้นมาอีกครั้ง



ดันหลุดปากไปแล้วว่าว่าง จะกลับคำก็ทำไม่ได้แล้ว



“เอางั้นก็ได้ กลางวันรันออกไปข้างนอกได้ แต่ห้ามเกินสามทุ่ม ไม่งั้นพี่จะไปตามกลับ... ส่วนเรื่องคุณธันพี่ดูเอง” ปลากนิ้วสากจิ้งลงตรงปากตุ่ยๆที่ทำท่าขัดใจ



“เกาะติดไอ้หมอมากระวังมันเบื่อนะ”



“...... เบื่อก็รู้.......” ใบหน้ายู่ยี่เมื่อครู่กลับคืนสู่สภาพเดิม นัยน์ตาคู่สวยมองดวงตาสีเดียวกันแล้วยิ้มออกมา



“งั้นตกลงตามนั้นนะ!”



“จะทำไงได้ก็เราเล่นหักคอพี่แล้วนี่” ราเมนทร์ขยี้หัวน้องชายเบาๆ



“แล้ววันนี้ไปหาหมอมาเป็นไงมั่ง ฉลองอะไรกัน”



“ก็ กินข้าวเย็นที่ห้องพี่หมอ เสร็จแล้วก็นั่งดูทีวีกันนิดหน่อย... ก็กลับละ” เด็กหนุ่มว่าพลางจัดผมที่ยุ่งเหยิงให้เข้าที่



“น่าเบื่อเนอะ งั้นไม่ต้องไปก็ได้มั้ง” ราเมนทร์ยิ้มกว้างแกล้งแซวต่อ



“อย่ามางี้นะ...” คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันก่อนจะแยกเขี้ยวใส่



“ไม่กลัวเราหรอก ตัวนิดเดียวทำอะไรพี่ได้” แต่คนพูดเองก็รู้ดี... ว่ารัญชน์ทำได้มากเพียงใด



...แค่ร้องไห้อ้อนงอแง เขาก็แทบจะเอาทุกอยากที่อยากได้มาวางตรงหน้า...



...เพราะรัก...



“...... ใช่สิ... ก็ตัวเล็ก... แล้วไง... ไม่งี่เง่าแบบยัยนมโตนั่นก็แล้วกัน”



“ดูพูดเข้า เดี๋ยวน้องเอ็มมี่กับแฟนคลับมาดักตีหรอก” ร่างสูงกอดแล้วดึงเข้ามาหอมที่หน้าผากเบาๆ



“ไปนอนได้แล้ว”



“ไนท์ไนท์” เขายิ้มให้พี่ชายก่อนจะกอดอีกฝ่ายแรงๆหนึ่งทีแล้วเดินไปยังห้องนอนของตัวเอง



“ฝันดีนะ...เจ้าตัวขี้อ้อน” ราเมนทร์พึมพำเบาๆไล่หลังไป



...ความสุขประมาณนี้ที่สามารถยึดไว้ในมือได้...



...คงไม่ผิดบาปไปกว่านี้แล้วใช่ไหม...










 

 

“ก็... ตามนั้นนะ พี่ไม่ให้กลับบ้านดึก” รัญชน์ยื่นหน้าเข้าหาคนที่ทำง่วนกับเอกสาร



“อื้อ....” ธนกฤตที่ก้มหน้าอยู่กับกองเอกสารรับคำในลำคอ ปลายนิ้วดันแว่นสายตาที่มักใส่เวลาอ่านหนังสือขึ้นชิดดั้งจมูก



ช่วงปลายปีมักมีเอกสารมาให้เคลียร์แบบไม่ต้องหลับต้องนอนเสมอ ส่วนปีนี้หนักกว่าเป็นสองเท่าด้วยเพราะก่อนปีใหม่เขาวางแผนจะเซอร์ไพรท์แฟนหนุ่มด้วยการลาพักร้อนไปเที่ยวกันสองคน



“ปีใหม่ไม่ได้เด็ดๆว่ะหมอบีม อาชีพหมอต้องทำใจ”



ก่อนหน้านี้รุ่นพี่หลายๆคนเคยบ่นเรื่องวันหยุดไม่ตรงกับครอบครัว ตัวเขาไม่เคยมีปัญหาเพราะบ้านเกิดอยู่ที่นี่...แต่คราวนี้ถึงกับรู้ซึ้งด้วยตัวเอง



“... แล้วผมก็มีเวลากับพี่หมอน้อยลงนะ” คนตัวเล็กทำเสียงขัดใจ



“อือ... อะไรน้อยนะ” ธนกฤตเงยหน้าจากกองเอกสารแล้วสบตากับแววตาขุ่นๆ ชายหนุ่มระบายยิ้มหวานก่อนจะถอดแว่นมาเหน็บเสื้อกาวน์



“ทำหน้ายุ่งอีกแล้วนะตัวเล็ก”



“ก็บอกว่าจะได้เจอกันน้อย... พี่หมอฟังผมหรือเปล่าเนี่ย”



“โทษที พอดีกำลังเร่งเคลียร์งานน่ะ” ธนกฤตนวดหัวตาเบาๆ เช้านี้หลังจากตรวจคนไข้ที่นัดไว้เสร็จเขาก็นั่งทำงานจนยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย



“ก็ดีแล้ว สามทุ่มกำลังดี ตัวเล็กจะได้ไม่นอนดึก”



“แต่ตัวเล็กอยากอยู่กับพี่บีมบ่อยๆนี่นา......” เขาทำปากเบ้ แต่ก็ลุกขึ้นเอื้อมทาบปลายนิ้วลงบนดวงตาของอีกฝ่าย หมายจะช่วยให้ความเย็นบนปลายนิ้วทำให้รู้สึกดีขึ้น



“ชอบตัวเล็กจัง” หมอหน่มพึมพำขณะที่ผ่อนคลายร่างกายกับสัมผัสเย็นๆบนดวงตา



“ขอบคุณครับ” ธนกฤตเลื่อนปลายนิ้วมาจูบเบาๆแล้วยิ้มเขิน



“อยากอยู่ด้วยกันทั้งวันด้วยซ้ำ แต่คนเราคบกันมันต้องเว้นที่ว่างให้กันบ้าง เดี๋ยวตัวเล็กจะเบื่อพี่แย่”



คนตัวเล็กยิ้มออกมา



“พี่หมอพูดเหมือนพี่เลย พี่รามก็บอกว่าถ้าผมอ้อนพี่หมอมากๆเดี๋ยวพี่หมอเบื่อ...”



ชายหนุ่มแตะที่ผิวแก้มขาวเบาๆแล้วลูบช้าๆ ใบหน้าหวานกับผิวขาวราวกับเด็กผู้หญิงเป็นแบบที่เขาชอบ... แต่ที่ยิ่งกว่านั้น เขาชอบการที่ถูกอ้อนและถูกรักยิ่งกว่า..



“ไม่เบื่อหรอก รันทำให้ชีวิตมีสีสันจะตาย”



...ความอบอุ่นและหอมหวานที่ยิ่งทำให้รักมากขึ้นทุกวันๆ...



ร่างเล็กขยับลุกมายืนอยู่ข้างๆ ก่อนจะโน้มใบหน้าลงจูบเบาๆที่หน้าผากของธนกฤต



“ตั้งใจทำงานนะครับ”



“กำลังใจดีแบบนี้สู้ ตายอยู่แล้ว” อีกนิดเดียว... เวลาที่จะได้อยู่ด้วยกันในวันหยุดจะมาถึงแล้ว



ชายหนุ่มยิ้มหวานแล้วจุ๊บที่ริมฝีปากสีสวยเร็วๆก่อนจะหยิบแว่นขึ้นมาสวมต่อ



“ลุยงานต่อละนะ”

 

 








“หลังสือข้อมูลมีแค่นี้นะครับ” เสียงทุ้มต่ำดังจาหลังกองหนังสือที่คนพูดอุ้มอยู่ ราเมนทร์วางมันลงกับโต๊ะวางของของเขาที่ตอนนี้ถูกปรับเป็นโต๊ะทำงานของคนขาเจ็บ



“ครับ... ขอโทษนะครับที่ต้องรบกวนขนาดนี้” ธันย์ชนกเอื้อมมือขยับของบนโต๊ะออก



“ไม่รบกวนครับ ผมอยู่บ้านคนเดียว ดีซะอีกมีคุณธันเป็นเพื่อน” พอวางของลงได้ราเมนทร์ก็ยกทั้งคนทั้งเก้าอี้ให้หันเข้าหาโต๊ะ



“นิยายคืบหน้าไปถึงไหนแล้วครับ”



“ก็กำลังพยายามสร้างภาษาต่างแดนอยู่ครับ...” ชายหนุ่มเอ่ยตอบพลางหันมาขอบคุณคนข้างๆ



“คุณธันเก่งจังนะครับ นักเขียนนิยายต้องอ่านหนังสือหาข้อมูลทั้งเท่านี้แน่ะ” ราเมนทร์ตบกองหนังสือที่ตั้งอยู่พลางทำหน้าเหนื่อยใจ



“พวกตากล้องอย่างผมส่วนใหญ่ก็โยนทฤษฏีทิ้ง เอาตามสัญชาตญานเท่านั้น เลยนับถือคนที่สามารถอ่านเจ้าพวกนี้ได้ทั้งวันนิดหน่อย”



“ผมหาเรื่องเองด้วยละครับ... ไม่ค่อยมีใครทำเท่าไหร่” เขาถ่อมตัวพลางยิ้มน้อยๆให้



“งั้น... เดี๋ยวผมไปนอนที่โซฟาตรงนั้นนะครับ เช้าๆตามันยังไม่ค่อยลืม” ราเมนทร์ชี้ไปยังโซฟาเบดตัวนิ่มที่อยู่ติดกัน



“จะไปไหนก็เรียกนะครับ เที่ยงแล้วปลุกผมด้วย”



“... ครับ ขอบคุณมากครับ” เขามองอีกฝ่ายที่ค่อยๆเอนตัวลงนอน ก่อนจะหันมาตั้งใจทำงานของตัวเองด้วยความรู้สึกอิ่มเอมในใจ

 

 










“ผมบอกแล้วไม่ใช่เหรอครับว่าให้ปลุก” เสียงเจือแววอ่อนใจผสมงัวเงียพูดขึ้น... ดูเถอะ ถ้าไม่มีโทรศัพท์มาปลุกเขาก็คงไม่รู้ว่านี่มันบ่ายกว่าแล้ว



ราเมนทร์ลุกขึ้นจากโซฟา เส้นผมสีเข้มยุ่งเหยิงไม่เป็นทรงถูกเสยขึ้นลวกๆก่อนจะเดินเข้ามาใกล้



“คุณธันจะเข้าห้องน้ำก่อนไหม เดี๋ยวผมพาไป”



“ไม่เป็นไรครับ... ใช้ไม้ค้ำไปมาแล้ว....” ท้ายประโยคเขาพูดเสียงอ่อยลงคล้ายกับรู้ว่าคงทำให้อีกฝ่ายเหนื่อยหน่ายกับความเกรงใจที่มากเกินไปของตน



“คุณธันไม่อยากหายเหรอครับ” ด้วยเพราะโดนปลุกแบบกะทันหันแถมยังเจอคนดื้อทำให้ราเมนทร์เผลอทำเสียงดุออกไป



“กระดูกร้าวมันหายยากนะครับ ดีไม่ดีเดินผิดท่าจะพาลร้าวหนักเอา”



“... ผมเห็นคุณกำลังหลับสบาย....... ต้องมาดูแลผมทั้งวันแล้ว... ผมทำอะไรเองได้บ้างก็เลยทำ....... แค่อยากให้คุณรามได้พักบ้าง...” ธันย์ชนกตอบเสียงเบาโดยที่ไม่สบสายตากับอีกฝ่าย



อาการคนเจ็บที่พูดเสียงอ้อมแอ้มเกือบจะหายไปในลำคอทำให้อารมณ์หงุดหงิดหายไป ราเมนทร์นึกขอโทษอยู่ในใจและไม่ได้เอ่ยปากออกมา



“ไม่เป็นไรหรอกครับ ไม่ได้หนักหนาอะไร... คุณธันก็อยู่เงียบๆด้วย” ราเมนทร์ยิ้มปลอบใจคนคิดมาก



“งั้นหาอะไรทานดีกว่า คุณธันเอาอะไรครับ... อย่าบอกว่าอะไรก็ได้นะ”



“................ ดักคอกันแบบนั้น... ไข่เจียวก็ได้ครับ....” รอยยิ้มจางๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าของธันย์ชนกก่อนจะตามมาด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ



รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของธันย์ชนกราวกับจะคืนความสดใสให้ราเมนทร์ ชายหนุ่มยิ้มให้เฉกเช่นเวลาที่อยู่กับน้องชาย... ยิ้มหวาน... ทั้งริมฝีปากและนัยน์ตา



“ได้ครับ... รอทานฝีมือผมได้เลย”



เขายิ้มตอบร่างสูงก่อนจะหันกลับมามองหน้ากระดาษของตัวเองต่อ



...หรือเธอจะมีความสุขได้นะ...



ชายหนุ่มนึกในใจกับตัวละครที่สร้างขึ้นมาขณะที่อมยิ้มไว้โดยไม่รู้ตัว

 

 








“เดี๋ยวทานข้าวอิ่มคุณธันจะนอนพักหน่อยไหมครับ” ราเมทร์ถามขึ้นเมื่อเจ้าของข้าวไข่เจียวที่เอาจานวางอยู่หน้าคอมยังเอาแต่ตักข้าวสลับกับพิมพ์คอม... ก่อนจะตักซ้ำแล้วพิมพ์ต่อมาร่วมครึ่งชั่วโมง ราเมนทร์เองก็ทำเช่นนี้บ่อยในช่วงงานยุ่งจึงไม่ทักท้วงอะไร แต่พอเห็นข้าวที่ไม่ค่อยจะลดลงก็อดพูดไม่ได้



...มิน่าล่ะถึงได้เบาขนาดนั้น...



“ทำงานมาทั้งวันแล้ว... พักบ้างก็ดีนะครับ”



“...... !? ขอโทษครับ... ทำให้เบื่อหรือเปล่าครับ” คนถูกทักคล้ายเพิ่งนึกได้ว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในห้องคนเดียวเหมือนปกติ



“ขอโทษอีกแล้วนะครับ...” ราเมทร์ยิ้มให้แล้วบุ้ยหน้าไปทางจานข้าว



“ผมนึกว่าไข่เจียวไม่ถูกปาก คุณธันเลยแกล้งกินนานๆซะอีก”



“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ! คุณรามทำอร่อย.....” คนป่วยที่ไม่รู้จะพูดอะไรต่อจึงละสายตาจากจอคอมพิวเตอร์ หันมาหาร่างสูงที่ทานเสร็จล่วงหน้าไปนานแล้วก่อนจะก้มลงทานไข่เจียวที่เหลือในจานของตัวเองต่อ



ราเมนทร์นั่งมองธันย์ชนกด้วยแววตาที่บ่งบอกถึงความสงบสุข เขารอจนชายหนุ่มกินข้าวเสร็จแล้วรับจานไปทำความสะอาดก่อนจะเดินกลับมาพร้อมพวงองุ่นสีเข้มและแก้วน้ำพร้อมขวดที่หนีบมาในแขน



“คุณธันมานั่งที่โซฟาพักผ่อนก่อนนะครับ” เสียงทุ้มต่ำไม่ได้เอ่ยถาม เพราะพอวางของบนโต๊ะหน้าโซฟาได้ก็เดินมาจับที่ไหล่บางแล้ว



“.... ครับ” รอยยิ้มปนความเขินอายปรากฏขึ้นก่อนจะปล่อยให้อีกฝ่ายประคองไปนั่งลงบนโซฟาตัวนุ่ม



“คุณราม... ดูจะชินกับการดูแลคนจังเลยนะครับ”



“ถ้าอยู่กับน้องชายผมได้ กับคนอื่นก็ง่ายแหละครับ” นอกจากจะเป็นตัวขี้อ้อนแล้ว... ความเอาแต่ใจก็ไม่แพ้ใคร



...แต่ก็นั่นแหละ...



...เขารักน้องชายคนนี้เกินกว่าจะขัดใจได้...



“แล้วเมื่อเช้าอาบน้ำยังไงครับ ลำบากแย่เลย”



“เช็ดตัวเอาครับ...” เขาตอบพลางหยิบองุ่นเข้าปาก รสชาติหวานอมเปรี้ยวทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นอย่างบอกไม่ถูก



“งั้นผมเสนอวิธีใหม่” มือหยาบเอื้อมหยิบองุ่นเข้าปากแล้วนั่งลงข้างๆ ลำตัวและแขนเบียดกันแผ่วเบา



“ก่อนอาบน้ำเดี๋ยวผมพันพลาสติกให้”



“พัน... พลาสติก?” เขาได้แต่กระพริบตามองด้วยความแปลกใจ



“ครับ ตอนเพื่อนที่ออสเตรเลียขาหักเขาใช้แบบนี้ สะดวกแถมปลอดภัยด้วย” ราเมนทร์เอื้อมหยิบจานใส่องุ่นขึ้นมาวางไว้บนตักค่อนไปฝั่งของธันย์ชนกซึ่งนั่งเบียดไหล่กันอยู่



“ไว้ตรงนี้ดีกว่าจะได้ไม่ต้องเอื้อม”



“!..... ครับ” ดวงตาภายใต้กรอบแว่นเคลื่อนหลบสายตาที่มองมา



เจ้าของห้องเลื่อนช่องสัญญาณไปยังสารคดีนกเพนกวินขั้วโลก นัยน์ตาสีแปลกจับจ้องเจ้าลูกนกตัวน้อยที่เดินเตาะแตะสลับกับหยิบองุ่นขึ้นมากิน และเมื่อเพนกวินตัวน้อยลื่นไถลก็อดหัวเราะไม่ได้



ราเมนทร์ย้ายมือเปะปะหาองุ่นที่ยัเหลืออยู่ มือใหญ่ควานไปรอบจานหากแต่สิ่งที่จับได้กลับเป็นปลายนิ้วเรียวของคนนั่งข้างๆ



“อ๊ะ! โทษครับ”



“ไม่เป็นไรครับ” เขายิ้มบางๆพลางหยิบองุ่นส่งให้อีกฝ่ายด้วยมืออีกข้างหนึ่ง



ราเมนทร์ก้มตัวลงงับ ปลายลิ้นร้อนแตะแผ่วที่ปลายนิ้ว แวบหนึ่งเขาสังเกตเห็นรอยแดงระเรื่อบนผิวหน้าขาวสะอาดซึ่งอีกฝ่ายพยายามซ่อนไว้ใต้เส้นผมสีอ่อน



...น่ารัก...



กับคนอายุมากกว่าถ้าพูดแบบนี้ไปคงจะเสียมารยาท... แต่คำอธิบายอื่นๆก็ไม่พอเทียบเคียง



“ง่วงก็นอนนะครับ”



“... เดี๋ยว... อาบน้ำก่อนแหละครับ...” ใบหน้าของเขาหันหนีพลางยกจานองุ่นขึ้น



“คุณธันนี่ขี้เขินเนอะ” ราเมนทร์แกล้งแหย่



“ข... ขี้เขิน... อะไร... ครับ” คราวนี้เขายิ่งหลบสายตา ถ้าหากไม่ติดว่าขาเจ็บคงได้ลุกขึ้นเดินหนีแล้วด้วยซ้ำ



หากว่าแกล้งนอนพิงตอนนี้จะมีท่าทียังไงนะ....ราเมนทร์ยิ้มกับความคิดในหัว



ชายหนุ่มขยับตัวเข้าใกล้แล้วดึงขาที่เข้าเผือกมาดู



“เวลาเดินเจ็บไหมครับ”



“ถ้าไม่ขยับเลย ก็ไม่เจ็บครับ” นัยน์ตาสีเข้มเหลือบมองคนข้างๆอย่างกล้าๆกลัวๆ คล้ายกับไม่อยากให้รู้ว่าเขากำลังจะมอง



“ดีครับ รอให้หายก่อนเนอะ” ราเมนทร์พูดเหมือนกำลังคุยกับน้องชายคนเล็ก เขายื่นรีโมทให้แล้วหลับตาลงอีกครั้ง



“คราวนี้ถ้าเย็นคุณไม่เรียกผมจะจับคุณล็อกกับโซฟานะ”



“ฮะฮะฮะ... ครับ ครับ ครับ” ธันย์ชนกรับคำพร้อมเสียงหัวเราะเบาๆในลำคอ



“งั้น เจอกันตอนเย็นครับ” พูดจบ ราเมนทร์ก็ปิดสวิตช์ตัวเองพาเข้าสู่ห้วงนิทรา



...ความอ้างว้างที่ถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว...



...ดูจะไม่โหดร้ายเท่าก่อนหน้านี้แล้ว...












To be continued...

หัวข้อ: Re: ・・・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน 18 อุบัติ..รัก (03/12/13)
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 04-12-2013 10:56:40
รันก็ขี้อ้อนนนนน พี่หมอก็ใจแข็งเว่อ นับถือเลย
แต่คู่พี่รามกับธันนี่สปาร์คกันสักที
อยากรู้อดีตคุณธัน
หัวข้อ: ・・・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน 19 พรีฮันนีมูน (19/12/13)
เริ่มหัวข้อโดย: kagehana ที่ 19-12-2013 19:59:35



-19-





“คุณรามครับ....” ธันย์ชนกเอื้อมมือมาแตะแขนของคนที่พิงไหล่เขาเอาไว้ แล้วลองเขย่าเบาๆ


“อือ” มือใหญ่จับตัวกวนที่เขย่าปลุกทั้งๆยังหลับตาแล้วดึงเข้ามากอด


“อย่าเพิ่งปลุกสิ...ตัวขี้อ้อน...” จมูกโด่งได้รูปกดที่แก้มเบาๆ ด้วยอาการสลึมสลือ


ทุกครั้งที่ทำอย่างนี้ รัญชน์จะหัวเราะคิกคักแล้วแกล้งเขย่าเขาแรงๆจนกว่าจะตื่น... ราเมนทร์ที่ยังไม่ตื่นดีรอการกระทำนั้นด้วยการกอดร่างข้างๆแน่นขึ้น


คนปลุกได้แต่นิ่งไป ร่างกายแข็งเกร็งขึ้นมา อ้อมกอดที่โอบจนแน่นทำให้รู้สึกปั่นป่วนขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ริมฝีปากและปลายจมูกที่แตะสัมผัสข้างแก้มทำให้ใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นจนเจ้าตัวยังรู้สึกได้


“.... ค... คุณรามครับ...”


เสียงที่ไม่คุ้นเคยเรียกให้คนกอดตื่นจากอาการง่วง ราเมนทร์ตกใจจนปล่อยตัวธันย์ชนกออกจากอ้อมกอดทันที


...แย่แล้ว...


“ขะ...ขอโทษครับ ผมนึกว่ารัน”


“..... ไม่เป็นไรครับ......” ใบหน้าของธันย์ชนกก้มลงพลางเอ่ยตอบเสียงแผ่ว




ราเมทร์ลุกขึ้นยืนเก้ๆกังทำอะไรไม่ถูก เขาจึงนั่งลงข้างๆอีกครั้งแล้วมองเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลเข้ม


“ผมขอโทษจริงๆครับ... คุณธัน... โกรธหรือเปล่า...”


“... ไม่ครับ... อย่าคิดมากนะครับ” พอได้ยินแบบนั้นธันย์ชนกก็รีบเงยหน้าขึ้นตอบ


ชายหนุ่มยิ้มตอบแทนคำพูด


“คุณธันอาบน้ำหรือกินข้าวก่อนครับ” เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่ติดใจอะไร ราเมนทร์ก็เริ่มทำหน้าที่ผู้ดูแลขึ้นมาอีกที


“อาบน้ำก่อนดีกว่าครับ... หรือว่าคุณรามหิวแล้ว...” ชายหนุ่มร่างเพรียวพยายามทำตัวให้เป็นปกติ หยุดจังหวะหัวใจที่เต้นรัวแรง


“งั้นพันพลาสติกก่อนเนอะ” ราเมนทร์ตัดสินใจให้ เขาเดินไปเอาถุงพลาสติกกับเทปใสมานั่งลงที่พื้นแล้วยกขาข้างเจ็บมาวางบนเข่า


“ยืดหน่อยนะครับ”


“ด... เดี๋ยวครับ... พันแบบนี้... ผมจะถอดกางเกงยังไงครับ...” ธันย์ชนกรีบถามพลางยกมือห้ามไว้


“อ่อ นั่นสิครับ ผมลืมไปเลย” ชายหนุ่มลุกขึ้นแล้วไปหยิบผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ที่ตากเอาไว้ส่งให้


“คุณธันใส่ผ้าเช็ดตัวก่อนเลยครับ เดี๋ยวผมพันให้”


ธันย์ชนกรู้ดีว่าทำเขินอายไปกว่านี้จะมีแต่ยิ่งผิดสังเกต


“ครับ...” ร่างเพรียวขยับยืนขึ้นโดยมีราเมนทร์ช่วยประคองไว้ เขาขยับถอดกางเกงตัวนอกและเสื้อเนื้อบางออกอย่างทุลักทุเลก่อนจะหยิบผ้าเช็ดตัวมาพันรอบกายไว้


“นั่งดีๆครับ”ราเมนทร์ประคองร่างเพรียวให้นั่งแล้วเป็นฝ่ายนั่งลงกับพื้นพร้อมกับคว้าเรียวขามาวางบนตักและเริ่มเอาถุงพลาสติกใบใหญ่มาคลุมขึ้นจากข้อเท้าและพันเทปใสใต้หัวเข่า


“แน่นหน่อยนะครับ น้ำจะได้ไม่เข้า”


ท่อนขาเรียวที่โผล่พ้นผ้าเช็ดตัวมีเส้นขนบางๆสีอ่อนปกคลุม ราเมนทร์ลอบมองเลยไปถึงแผ่นอกที่ใหญ่กว่าของรัญชน์เพียงนิดหน่อยและลาดไหล่ที่ดูบางกว่าในความคิด


...อันที่จริงรูปร่างก็พอใช้ได้ ติดที่ว่านิสัยโก๊ะกังกับท่าทางซึมเซาล่ะนะ...


...ถ้ายิ้มบ่อยๆ คงดีกว่านี้...


ธันย์ชนกรอให้อีกจัดการให้จนเรียบร้อย เขารู้ได้ว่าหัวใจยังไม่หยุดเต้นรัวแรงเลยสักนิดเดียว ริมฝีปากเม้มเข้าหากันจนแน่นโดยไม่รู้ตัว


“... ขอบคุณครับ.......”


“งั้นผมพาไปนะ” ราเมนทร์ลุกขึ้นแล้วโอบร่างเพรียวให้พิงตัวเองไว้ กลิ่นหอมเหมือนลูกพีชสุกโชยจากเส้นผม... กลิ่นหอมหวานที่ชวนให้รู้สึกเศร้า


“ขอบคุณครับ... คุณราม” ชายหนุ่มค่อยๆขยับเดินไปถึงห้องน้ำแล้วจึงสอบถามว่าสบู่อะไรอยู่ตรงไหนเรียบร้อย แล้วก็ยิ้มให้จางๆกับเจ้าของห้อง



“... ขอบคุณนะครับ... เสร็จแล้ว... ผมจะเรียกนะครับ...” เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายต้องบ่นแน่ถ้าเขาพยายามจะออกมาจากห้องน้ำเอง


“ครับ”

 
 
 











“ตัวเล็กคนดี ตื่นได้แล้วครับ” ชายหนุ่มโน้มตัวลงไปกระซิบคนที่นั่งข้างๆในขณะที่รถจอดสนิท

“.... อือ............” คนโดนปลุกยังคงมีทีท่างัวเงียไม่ยอมลุก แต่แขนสองข้างกลับเอื้อมมือกอดเอาร่างสูงไว้


“ขี้เซากลับไปนอนบ้านเลย ไม่ชวนพี่คุยเอาแต่หลับปุ๋ย...ดูสิคนเขาพามาเที่ยวนะ”


กว่าจะฝ่าด่านงานมาได้กำหนดการลับๆของเขาก็เกือบล่มเพราะไอ้พี่ชายหวงน้องคนนั้น พอบอกว่าจะพามาค้าง ราเมนทร์ก็แทบจะแยกเขี้ยวใส่ ยังดีที่ว่าคนตัวเล็กทั้งขู่ทั้งปลอบจึงยอมให้แบบไม่ค่อยเต็มใจ


“ลงรถกันเหอะ นะๆ” หมอหนุ่มกอดร่างเล็กเบาๆแล้วดึงออก


“Ok-- ok” รัญชน์ยกมือยอมแพ้ก่อนจะเปิดประตูรถลงมาก่อนจะมองไปรอบๆ อากาศที่ไม่ร้อนจนน่าอึดอัดเหมือนในเมืองทำให้เขายิ้มออกมา แขนสองข้างกางออกเพื่อบิดขี้เกียจ ดอกไม้มากมายที่ปลูกอยู่รอบๆส่งกลิ่นหอมสดชื่นมาให้


“สวยจัง...” ร่างเล็กหันหลับไปที่รถก่อนจะหยิบกระเป๋าเป้ของตัวเองขึ้นมาแล้วมองไปที่บ้านสีส้มพาสเทลตรงหน้า


“หลังนี้เหรอครับพี่หมอ...”


“อื้อ” ธนกฤตที่หิ้วเป้ของตัวเองสะพายหลังเสร็จตอบเบาๆ


บรู๊คไซด์ วัลเล่ย์ รีสอร์ท  ตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขาของจังหวัดระยอง เนื้อที่กว้างใหญ่ปกคลุมด้วยสีเขียวของแมกไม้ซึ่งรายล้อมทะเลสาบสีเหลือบเงิน บ้านที่เขาจองเป็นบ้านขนาดกลางสีส้มซึ่งเป็นเรือนเดี่ยวสีหวานคล้ายลูกกวาด


“ชอบไหม”


“ชอบที่สุดเลย... ชอบพี่หมอด้วยนะ” เขาเดินเข้ามาเคียงข้างพลางเอียงตัวเข้าหาร่างสูง


“อันหลังไม่ได้ถาม แต่ก็ขอบคุณครับ” ธนกฤตจับมือเล็กจูงเข้าไปในบ้าน


“เตียงเดี่ยวนะ รันนอนได้ป่ะ”


“ไม่ได้....” รัญชน์ตอบเสียงแข็งก่อนจะจ้องมองอีกฝ่ายอย่างเอาเรื่อง


“จะนอนกับพี่หมอ.....”


ร่างเล็กเดินสำรวจรอบบ้านพลางจูงมืออีกคนให้เดินตาม ชั้นล่างเป็นห้องรับแขกมีโซฟากับทีวีพร้อมกับโต๊ะเตี้ยด้านหน้า ถัดออกไปเป็นประตูกระจกบานใหญ่ที่เปิดออกไปเป็นระเบียงให้ได้ดูกับลำธารสายเล็กที่ไหลผ่านด้านข้างของบ้าน ก่อนจะถึงบันไดมีห้องน้ำขนาดเล็กอยู่


“น่ารักนะ...” รัญชน์พูดต่อพลางดึงให้ธนกฤตเดินตามขึ้นไปข้างบน


เมื่อเดินมาตามทางเดิน ทางซ้ายมือเป็นห้องใต้หลังคาเล็กๆที่มีฟูกปูอยู่ หากเดินตรงไปก็จะถึงห้องนอนใหญ่ที่เป็นเตียงเดี่ยวสองหลัง


“.... เตียงแบบนี้ไม่เอานะ.....”


พอหันไปมองข้างๆ เด็กหนุ่มร่างเล็กก็พูดต่อ


“ห้องน้ำกว้างดี แต่รันจะนอนกับพี่หมอ”


“เดี๋ยวตีเลย เป็นเด็กเป็นเล็กนะเรา ก็นอนแยกไปก็ได้นี่” ชายหนุ่มขำกับท่าทางที่เหมือนเด็กถูกขัดใจ ธนกฤตแกล้งไม่สนใจ เขาถอดเป้วางลงกับพื้นแล้วโถมตัวขึ้นเตียง


“................. โกรธเลยนะ...” รัญชน์ว่าพลางโยนกระเป๋าเป้ของตัวเองลงบนพื้น ก่อนจะดึงผ้าห่มของเตียงข้างๆออกแล้วซุกตัวเองเข้าไป


“โกรธเลยเหรอ” ธนกฤตพลิกตัวไปมองก้อนกลมที่ซุกในผ้าห่ม


“ก็เตียงมันเล็ก เดี๋ยวนอนไม่สบายนี่ ตัวเล็กจะนอนเบียดกันเหรอ”


“ก็ไม่เห็นจะเป็นไร... ไม่พูดด้วยแล้วนะ” เด็กหนุ่มยังทำเสียงขุ่นใส่


ธนกฤตยิ้มขำกับท่าทางเอาแต่ใจ เขาลุกจากเตียงเดินไปทุ่มทั้งตัวกอดก้อนกลมๆที่อยู่ข้างในผ้าห่ม


“มาเที่ยวกันนะรัน อารมณ์ดีหน่อย ไหน...ขอพี่หมอดูหน้าหน่อยเร็ว”


พออีกคนมาง้อแบบนั้น คนงอนก็ยอมเลิกผ้าห่มออก แล้วจ้องมาดวงตาเรียวคมของอีกฝ่ายนิ่ง


“ไม่ต้องทำเหมือนรันเป็นเด็กนะ”


แขนสองข้างเอื้อมดึงลำคอของร่างสูงลงมาจนปลายจมูกชนกัน รอยยิ้มหวานออดอ้อนที่ใช้ประจำปรากฏขึ้นก่อนจะแตะริมฝีปากลงที่ข้างแก้มของธนกฤตเบาๆ


“นอนเล่นด้วยกันก่อนนะ”


“แค่นอนเหรอ.....” ชายหนุ่มยิ้มพราวก่อนจะทุ่มลงกอดทั้งตัว ร่างสูงใหญ่คร่อมบนร่างบอบบางก่อนจะจูบเบาๆที่ริมฝีปากบาง


ธนกฤตซุกใบหน้าลงกับลำคอเรียวพลางเม้มเบาๆ


“รันอยากนอนงั้นนอนก็ได้” เขาทิ้งตัวลงทับแล้วจับพลิกให้ร่างเล็กนออนหนุนอยู่ในอ้อมแขน


คนตัวเล็กกว่านึกสนุกจึงอ้าปากงับเบาๆที่ต้นแขนของธนกฤตแล้วซุกใบหน้าเข้าหาก่อนจะขยับไซร้หัวกับแผ่นอกกว้าง


“อร่อยนะ”


“ตัวเล็กต่างหากที่น่าอร่อย” ปลายนิ้วของหมอหนุ่มเขี่ยเบาๆที่ข้างแก้ม


“อยากไปเดินดูรอบๆก่อน....หรืออยากโดนกิน...ว่าไง”


รัญชน์หัวเราะคิกคักเบาๆพลางย่นจมูกแล้วเอียงหน้าหลบปลายนิ้วที่เอื้อมมาเขี่ย


“พี่หมอไม่กินหรอก... ไปเดินเล่นก็ได้”


ธนกฤตยิ้มหวานตอนรับก่อนจะพลิกตัวอีกครั้ง ร่างสูงคร่อมคนตัวเล็กไว้ข้างใต้และบดเบียดจุมพิตหวานโดยไม่ให้อีกฝ่ายตั้งตัว


...เดิมทีก็ไม่ได้อดกลั้นเก่งอยู่แล้ว...


หลายครั้งหลายคราที่เกือบจะกอดร่างเล็กอย่างจริงจัง แต่ด้วยความรู้สึกที่ยังก้ำกึ่งว่าชอบ... หรือรัก ทำให้ทำได้เพียงหยอกล้อไปมา แต่เพราะทุกวันที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันความรู้สึกก็ยิ่งเพิ่มพูน


...และในตอนนี้...ปฏิเสธไม่ได้แล้วว่ากำลังตกหลุมรัก...คนรักของตัวเองเข้าอย่างจัง...


จมูกโด่งซุกไซร้ที่กระดูกไหปลาร้าที่โผล่พ้นเสื้อ เฉกเช่นเดียวกับมือใหญ่ซึ่งทำหน้าที่ลูบไล้เรือนร่างของรัญชน์ผ่านเสื้อผ้าเนื้อบาง


“เปลี่ยนใจแล้ว...กินดีกว่า”


“อ...! ได้เหรอ.... เดี๋ยวก็เหมือนทุกทีหรอกนะ” รัญชน์ยังเอ่ยพูดหยอกขณะขยับตัวรับสัมผัสอย่างเคยชิน หลายต่อหลายครั้งที่เป็นแบบนี้ สุดท้าย ก็จบลงก่อนที่การแลกเปลี่ยนจูบที่ดูดดื่มและเร่าร้อนกันเท่านั้น


...ครั้งนี้ก็คงไม่ต่างกัน


ธนกฤตใช้การกระทำเป็นคำตอบ มือใหญ่ที่หยอกล้ออยู่เคลื่อนลงสู่ใต้เนื้อผ้า กางเกงสามส่วนตัวเก่งถูกดึงลงมาที่ต้นขาเผยผิวผ่องใสชวนสัมผัส ความรุ่มร้อนของร่างเล็กถูกกอบกุมผ่านบ็อกเซอร์ตัวสั้น ธนกฤตจงใจใช้ปลายนิ้วไล้ตามความยาวของมันเชื่องช้า... จนรู้สึกถึงอาการบางอย่างในมือ


ริมฝีปากได้รูปเลื่อนลงต่ำก่อนจะขบเบาๆที่ยอดอกซึ่งถูกความร้อนเร่าปั่นป่วนจนแข็งตัวนูนเป็นรอยผ่านเสื้อ


“อย่าบอกให้หยุดแล้วกัน...” นัยน์ตาพราวระยับมองพร้อมพูดออกมาทั้งที่ยังขบเม้ม


“อ... จริง... เหรอ....” นับเป็นครั้งแรกที่มือของอีกฝ่ายเคลื่อนไหวไปไกลขนาดนี้ ไม่ใช่ว่าไม่เคยสัมผัสตัวเอง แต่เพราะคิดไว้ว่าอีกฝ่ายคงไม่กล้าลงมือทำอะไรจริงๆ-- หรือถึงทำก็ไม่น่าจะทำได้เท่าไหร่เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ธนกฤตบอกว่าชอบผู้ชาย


ความคิดของรัญชน์หยุดลงเมื่อฝ่ามือร้อนสากอ้อมไปด้านหลังแล้วลูบไล้ตามแนวกระดูกสันหลังขึ้นมาจนถึงลำคอ


“อ๊า...” มือสองข้างยกขึ้นมาปิดปากตัวเองแทบไม่ทัน ความรู้สึกเสียวซ่านแล่นริ้วไปทั่วร่างกายจนต้องหลับตาลง



“ของรัน...ตรงนี้เหรอ” ว่ากันว่าในร่างกายคนจะมีจุดอ่อนที่ปลุกเร้าได้ง่ายอยู่ ธนกฤตแกล้งไล้ฝ่ามือลงมาเชื้องช้า ให้ร่างเล็กขยับดิ้นในอ้อมกอดด้วยแรงอารมณ์


มือที่หยอกเย้าอยู่สอดเข้าไปภายใน ธนกฤตดึงทั้งชั้นนอกชั้นในลงไปกองกับพื้นก่อนจะเลื่อนตัวลงไป ชายหนุ่มใช้อุ้งมือโอบล้อมส่วนกลมหยุ่น พอเคล้นคลึงเบาๆแก่นกายอ่อนไหวก็แข็งตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว


“จะเอาคืนให้หมดเลย... ที่ตัวเล็กยั่วพี่หมอไว้”


“พ... พี่... หมอ... เป็นคนแบบนี้... เหรอ.....” เด็กหนุ่มไม่อาจขยับต้านอะไรได้ พอจะถอยหนีก็คล้ายจะหมดแรง นัยน์ตาคู่สวยค่อยๆเปิดมองคนตรงหน้า รอยยิ้มร้ายที่อยู่บนใบหน้าของคนที่ปกติมักจะยิ้มให้ตลอดเวลาทำเอาตกใจ


“ขี้... โกง.....”


“อื้ม” คนถูกกล่าวหายิ้มรับอย่างเต็มใจ


ธนกฤตละมือไปถอดเสื้อคนตัวเล็กจนร่างผอมบางเปลือยเปล่า แสงแดดจ้าตอนเช้าโลมไล้ผิวสีอ่อนจนเป็นสีทองนิดๆ สายลมอ่อนโชยกลิ่นดอกไม้หอมมาทางหน้าต่างที่เปิดกว้าง


...แต่หอมไม่สู้คนในอ้อมกอดสักนิด...


ริมฝีปากครอบครองยอดอกสีสวยเบาๆก่อนจะใช้ฟันขบอีกครั้ง


“ตัวเล็ก....อร่อย....”


“ย... อย่ากัด.... อื๊อ--! นะ....” ความคิดทั้งหมดเป็นอันต้องพับเก็บเขวี้ยงทิ้งทันที ธนกฤตไม่ใช่ผู้ชายใจเย็นที่ชอบยิ้มแย้มตลอดเวลาอย่างเดียว


...This is insane!!!!


แต่ไม่ใช่ว่าเขาจะอยากผลักไสออกไป เพราะว่ารักถึงได้หยอกเล่นอยู่ทุกวัน ตลอดเวลาสามเดือนที่คบกันมานั้นมีแต่ความสุขที่ต่างมอบให้กัน


...but this is a whole different fucking thing!!


อาจจะเตรียมใจไว้บ้างแล้ว แต่ไม่ใช่ว่าเขาจะเป็นฝ่ายถูกกระทำมากขนาดนี้


“.... พ.... พอแล้ว....”


“ไม่เอาหรอก ทีตัวเล็กยังแกล้งได้เลย”


พอกระตุ้นทั้งบนและล่างพร้อมกัน ร่างในอ้อมกอดก็ขดตัวคล้ายจะหนี ธนกฤตตรึงร่างท่องล่างด้วยลำตัว ริมฝีปากละลงจากยอดอกมายังหน้าท้องแบนราบ และต่ำลงเรื่อยๆ


“ของตัวเล็กน่ารัก” พูดจบธนกฤตก็ครอบครอง ‘ส่วนน่ารัก’ ด้วยริมฝีปากตัวเอง


แม้จะไม่เคยมีอะไรกับผู้ชาย แต่เพราะก่อนหน้านี้ได้ศึกษาไว้บ้าง ทั้งจากหนังสือและอินเตอร์เนต อีกทั้งการเป็นหมอยังทำให้สามารถรู้ส่วนที่ทำให้รู้สึกดีของผู้ชายได้อย่างไม่ยากเย็น


“อึก-!!? พี่... บีม..!!” คล้ายกับเรี่ยวแรงทั้งหมดถูกสูบออกไปหมด ที่รู้สึกได้มีเพียงส่วนอ่อนไหวที่บัดนี้เริ่มแข็งขืนอยู่ในโพรงปากของอีกฝ่าย มือสองข้างที่ปัดป่ายไปรอบๆอย่างไร้ทิศทางคว้าผ้าปูที่นอนเอาไว้ได้ก็จิกลงเกร็งแน่นอย่างไม่กลัวขาด


“ฮ... อ๊า...”


ธนกฤตห่อริมฝีปากสัมผัสกับสิ่งที่อยู่ภายใน เขารูดริมฝีปากขึ้นลงตามแนวความยาวสลับกับใช้ลิ้นหยอกล้อ มือข้างหนึ่งลูบฐานล่างด้านหลังกระตุ้นอารมณ์ร่างบาง ชายหนุ่มยิ้มเมื่อรู้สึกถึงเรียวขาที่หนีบศีรษะของตัวเอง เขาเลื่อนมืออีกข้างลูบแผ่นหลังที่ม้วนขด


กระแสเสียงอ่อนหวานกระตุ้นกึ่งกลางลำตัวที่อยู่ใต้เสื้อผ้าจนปวดหนึบ แต่ธนกฤตยังเพลิดเพลินกับร่างกายของคนตัวเล็ก


พอถูกกระตุ้นไปทั่วร่าง ซ้ำจุดไวสัมผัสที่แผ่นหลังยังถูกรุกไล่ไม่ยอมปล่อย นัยน์ตาคู่สวยปิดแน่น ร่างทั้งร่างบิดเกร็ง


“I....!! I'm coming...” ปลายนิ้วจิกดึงผ้าปูที่นอนจนแทบขาด ร่างบางเกร็งกระตุกสองสามที ก่อนจะทิ้งร่างกายลงบนเตียงอย่างหมดแรงพลางหอบหายใจอย่างหนักหน่วง


หยาดอุ่นร้อนที่อยู่ในริมฝีปากไม่ได้ทำให้รู้สึกรังเกียจหากแต่เป็นความอิ่มเอมที่สัมผัสได้ ธนกฤตถอนริมฝีปากออกแล้วคายมันลงใส่ฝ่ามือ


“ตัวเล็กโอเคไหม เหนื่อยล่ะสิ” ธนกฤตโน้มตัวเข้าหาแล้วจูบเบาๆบนริมฝีปากบาง


“.... นิสัยไม่ดีนะ......” รัญชน์เอ่ยตอบเสียงแผ่ว ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้นจนเห็นได้ชัด ดวงตากลมโตที่มักกระพริบมองอย่างสดใสกลับหรี่ปรือด้วยความสุขทางอารมณ์ที่ไม่เคยได้รับ


“นิสัยไม่ดีแล้วรักเปล่าล่ะ” มือที่เปรอะหยาดอารมณ์วางทาบบนช่องทางด้านหลังเบาๆก่อนที่นิ้วมือจะสอดเข้าไปทีละนิด


ธนกฤตจูบเบาๆที่หัวคิ้วขมวดมุ่น รัญชน์ที่เต็มไปด้วยอารมณ์หวามดูเย้ายวนเกินกว่าจะห้ามใจ เขาขยับปลายนิ้วเข้าออกช้าๆดึงอารมณ์ร้อนเร่าให้สูงขึ้นอีกทีละนิด


“หืมม์ ว่าไงครับตัวเล็ก....”


“.....” คนที่ทำอะไรไม่ได้นอกจากปล่อยให้อีกฝ่ายกลั่นแกล้งขมวดคิ้วมองธนกฤต


“....... ไม่รัก... ไม่ยอม... หรอก.. นะ อ๊า--!” ปลายนิ้วที่สอดเข้าไปสะกิดกับผนังอ่อนนุ่ม ก่อให้เกิดความรู้สึกแปลกใหม่ขึ้นมาจนสะดุ้งตัว


ในขณะที่ใช้นิ้วสอดแทรกเข้าไปในช่องทางเบื้องหลัง ชายหนุ่มก็ใช้อีกมือกำจัดกางเกงและชั้นในให้ความรุ่มร้อนที่ซ่อนอยู่ออกมาเป็นอิสระ ฝ่ามืออุ่นจับหลวมๆที่ส่วนอ่อนไหวของรัญชน์พลางชักนำอารมณ์ให้ขึ้นสูง


พอสอดนิ้วที่สองเข้าไปร่างเล็กที่ถูกทำให้ปลดปล่อยไปแล้วครั้งหนึ่งก็งอตัวจนน่าสงสาร ธนกฤตโน้มตัวขึ้นไปจูบหัวไหล่เปลือยเปล่าเบาๆพลางขบเม้มจนเกิดรอยสีเข้มตัดกับผิวนวล


“ไหวไหม...” เสียงทุ้มต่ำแหบพร่ากระซิบเบาๆ


“... Stop-- asking me...!! อึ๊ก--!?” รัญชน์ที่ไม่อาจคุมสติให้อยู่กับตัวไว้ได้อีกต่อไปเอ่ยตอบกระท่อนกระแท่น-- ทั้งๆที่เคยดูและรู้อะไรมามากมาย แต่พอเป็นฝ่ายถูกกระทำเข้าแบบนี้จริงๆจังๆทำให้รู้สึกอยากกลับไปบ้านเกิดแล้วเอาดีวีดีจากเพื่อนนายแบบด้วยกันปาใส่หัวทีละคนให้รู้แล้วรู้รอด


...Which part is the same!!!


ความรู้สึกปั่นป่วนตีกันไปมาทั่วร่างจนรู้สึกเหมือนหาตัวเองไม่เจอ ไม่รู้ว่าอะไรอยู่ตรงไหนแล้วด้วยซ้ำ อย่างเดียวที่รู้สึกได้มีเพียงปลายนิ้วของธนกฤตเท่านั้น


“รักนะครับ” ภาษาไทยแปลกประหลาดแปรเป็นภาษาอังกฤษด้วยน้ำเสียงขาดห้วงบอกธนกฤตได้ดีว่าคนรักของเขาอยู่ในอารมณ์ใด


การเตรียมพร้อมให้คนไม่เคยมาก่อน... เพื่อจะรองรับส่วนหนึ่งของร่างกายอีกคนเข้าไปไม่ใช่เรื่องง่าย แม้จะอยากเข้าไปใจแทบขาดแต่ถ้าทำให้คนตัวเล็กบาดเจ็บเขาก็ไม่เอา


...เพราะรักเกินกว่าจะเห็นแก่ตัว...


“อึดอัดไหม...คนเก่งของพี่หมอบีม” ถามจบปลายนิ้วที่สามก็แทรกเข้า ธนกฤตเขี่ยส่วนนูนแข็งที่อยู่ด้านใน... จุดกระตุ้นอารมณ์ของผู้ชายที่น้อยคนจะรู้ นิ้วที่เคยกอบกุมเกี่ยวกระหวัดถูกชักเข้าออกเพิ่มความเคยชิน


...และเตรียมความพร้อมเผื่ออะไรที่อุ่นร้อนกว่าหลายเท่า


คนถูกถามมีเพียงเสียงครางแทนคำตอบเพราะไม่อาจเอ่ยพูดได้แม้เพียงคำเดียว มือที่จิกผ้าปูที่นอนไว้คลายออกก่อนจะเอื้อมคว้าร่างสูงเอาไว้ในตอนที่แอ่นกายจนแผ่นหลังโค้งงอ


“Kiss..... me....” รัญชน์ค่อยๆลืมตามองใบหน้าของคนรัก ก่อนจะต้องปิดลงอีกครั้งเพราะทนต่อความรู้สึกที่เกิดขึ้นไม่ไหว


ธนกฤตตอบรับคำร้องขอด้วยจุมพิตแนบแน่น ชายหนุ่มแนบแก่นกายแข็งแกร่งลงบนหน้าท้องที่สั่นไหวด้วยลมหายใจปั่นป่วน


ปลายนิ้วทั้งสามถูกถอนออกก่อนจะแทนที่ด้วยสิ่งที่อุ่นร้อนและใหญ่โตกว่า หมอหนุ่มกดส่วนปลายเข้าไปในร่างเล็ก ลมหายใจหนักหน่วงถูกถ่ายทอดออกมาแทบจะเป็นจังหวะเดียวกัน


“...!!!!??” มือที่โอบกอดกลายเป็นรัดจนแน่นเมื่อแก่นกายแข็งขืนสอดแทรกเข้ามาในร่างกาย แพขนตายาวชุ่มไปด้วยน้ำตา


ธนกฤตรู้สึกถึงแรงต่อต้านที่โอบกระชับกึ่งกลางร่างกายจึงหยุดที่จะรุกรานต่อ มือใหญ่ลูบแผ่นหลังสั่นสะท้านเบาๆราวกับจะปลอบโยนหากแต่ไร้คำพูดใด พอร่างกายที่แข็งเกร็งค่อยๆนิ่งลงร่างสูงก็สอดใส่เข้าไปเชื่องช้า... เนิบนาบ แต่ไม่ได้หยุดกระทำจวบจนเข้าไปได้เสร็จสมบูรณ์


“เจ็บไหม”


“N... no...” รัญชน์ตอบเสียงเบาพลางพยายามผ่อนลมหายใจ ความเจ็บปวดไม่ได้เกิดขึ้นมากจนทนไม่ได้ กลับกัน เด็กหนุ่มรู้สึกหวามไหวจนต้องปิดตาแน่น


“Just... move. It might be.... better...”


“ว่าไงนะ....” ธนกฤตแกล้งแช่ตัวนิ่งไว้ให้ส่วนที่เชื่อมต่อค้างคาอยู่ภายใน


นิสัยไม่ดีที่ชอบแกล้งคนรักของตัวเองเป็นนิสัยที่แก้ไม่หาย... ยิ่งรักมากยิ่งแกล้งมาก


ความอุ่นที่โอบกระชับทำเอาแทบจะไปในทันที แขนเล็กๆที่กอดเขาแน่นจึงถูกจูบไล่เบาๆเพื่อผ่อนอารมณ์ที่ใกล้ประทุ


“ตัวเล็ก...อยากให้พี่ทำ...อะไร...”


“... อึก... Just-- shut up and move--!?” มือที่กอดร่างสูงเอาไว้เปลี่ยนเป็นออกแรงกดปลายนิ้วลงบนแผ่นหลังเนื่องจากไม่สามารถหาแรงมาเขย่าได้


“B......... bad.......”


“อื้อ นิสัยไม่ดี” รอยยิ้มร้ายผุดบนใบหน้าหล่อเหลา ธนกฤตจูบเบาๆบนเปลือกตาชุ่มน้ำก่อนจะขยับร่างกายช้าๆ


สะโพกที่เชื่อมต่อกระทบกันเป็นจังหวะเนิบนาบ ริมฝีปากของคนที่อยู่ด้านบนจูบลงที่ท่อนขาที่แยกออก กายสอดประสานเสียดสีเข้าออกเกิดเป็นเสียงเปียกลื่นดังในห้องนอนยามเช้า


“...รัน...ตัวเล็ก...”


“..... So… what?” รัญชน์เอ่ยถามเสียงพร่า


“.... Kiss... me.... again”


“ลุกขึ้นมาจูบสิ” เสียงทุ้มพูดหยอก คนที่อยู่ด้านบนกระแทกกายเข้าหาอย่างดุดันลิ้นอุ่นร้อนวนเวียนอยู่บนยอดอกไม่ต่างจากมือที่เฝ้าลูบไล้กลางแผ่นหลัง


“So mea-!!” พอถูกกระตุ้นทุกทางแบบนั้น ร่างทั้งร่างกลับเกร็งแน่นอีกรอบก่อนจะครางออกมาเสียงหวาน ของเหลวสีขุ่นไหลเลอะลงบนหน้าท้องเรื่อยถึงแผ่นอกสีนวล


ของเหลวสีขาวที่เปรอะอยู่บนหน้าท้องและแผ่นอกกระเซ็นขึ้นมาบนร่างของธนกฤตเช่นกัน ภาพรัญชน์ที่นอนระทดระทวยอยู่เบื้องล่างตนเองเป็นภาพที่ชวนให้อยากรังแกมากขึ้น


ธนกฤตขยับรวดเร็ว กระแทกสะโพกเข้าสู่จุดที่เชื่อมต่อ ในหูแว่วเสียงหวานครางเครือที่ยิ่งเร้าอารมณ์ให้ขึ้นสูงเป็นอีกเท่าตัว


...ตัวเล็กของพี่...


กายสูงใหญ่ขยับตัวติดต่อกันอีกหลายครั้ง จนเมื่อร่างกายปะทุถึงขีดสุด แผ่นหลังกว้างเกร็งตัวก่อนจะปลดปล่อยหยาดอารมณ์เข้าไปสู่ภายในร่างคนที่รองรับ


“รัก...นะครับ...” พูดจบธนกฤตก็ทรุดตัวลงกอดกลิ้งบนที่นอนซบลงกับเส้นผมชื้นเหงื่อของคนรัก


“... me.... too.....” ร่างบอบบางขยับซุกตัวเข้าหา มือยกขึ้นแตะทาบบนแผ่นอกกว้างแล้วเอนศีรษะหา


“.... นิสัยไม่ดี..... แต่รัน... ก็รัก... นะ.... พี่บีม”


ท่อนแขนแข็งแรงกอดศีรษะที่ซุกซบไว้กับตัวแล้วพลิกร่างเล็กให้ขึ้นนอนบนตัวเขาแทน


“เตียงแคบ...” บ่นเบาๆด้วยรอยยิ้ม


นัยน์ตาสีเข้มมองคนรักที่นอนหรี่ตามองเขาอยู่บนอก กายที่ยังเชื่อมต่อรู้สึกถึงกันและกับ ชีพจรที่เริ่มสงบ... กระทั่งลมหายใจที่เป่ารินรด


“เด็กลามก... มองอะไรน่ะ” เสียงทุ้มเย้าเบาๆด้วยเพราะคนตัวเล็กจับจ้องใบหน้าเขาโดยไม่พูดอะไรเลย


“มองหน้าคนนิสัยใจร้าย” รอยยิ้มเย้าแหย่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเด็กหนุ่ม


“ใจร้ายสิ ก็มีเด็กชอบแกล้งอยู่ด้วยนี่นา” ชายหนุ่มกดแผ่นหลังให้ร่างเล็กแนบชิด


รอยยิ้มหวานมอบให้ท่ามกลางแสงเจิดจ้าของดวงตะวัน ธนกฤตเขินนิดหน่อยกับการเปลือยกายนอนกอดก่ายกันทั้งๆที่สว่างจ้าแบบนี้


...แต่ช่างเถอะ บรรยากาศมันเป็นใจนี่นา...


“ตัวเล็กเจ็บตรงไหนป่ะ”


“นิดนึง.... ไม่เป็นไรนะ...” เขายิ้มเบาๆพลางยกมือเขี่ยปลายนิ้วบนแผ่นอกกว้าง


“รันมีความสุขนะพี่บีม”


พอเจอแบบนี้เข้าไป ธนกฤตที่ปกติจะปากดีถึงกับไปไม่เป็น ชายหนุ่มทำได้เพียงกอดคนตัวเล็กเอาไว้แล้วดื่มด่ำกับความรู้สึกเต็มตื้นในอก


“พี่ก็มีความสุขที่สุดในโลกเลย”


...ขอบคุณที่รักกัน...


“จริงหรือเปล่านะ” รัญชน์ขยับตัวขึ้นอีกนิด ทำให้แก่นกายที่เชื่อมต่อหลุดออกจากกัน


“อือ.......” เขาปล่อยเสียงครางออกมาเบาๆเมื่อรู้สึกถึงของเหลวอุ่นข้นที่ไหลตามออกมา


ใบหน้าขาวที่แดงซ่านด้วยความสุขสมดูน่ารักจนอยากจะคว้ามาทำให้เป็นของตัวเองอีกรอบ แต่ธนกฤตกลับหักห้ามใจทำเพียงเอื้อมมือเข้าไปทางด้านหลังสัมผัสกับน้ำอุ่นๆที่เลอะสะโพกเรียวและต้นขาด้านใน


“รันเลยเลอะเลย ทำความสะอาดให้เอาไหม พี่อ่านเจอมาว่าถ้าปล่อยทิ้งไว้ท้องจะเสียนะ”


“จริงเหรอ... แต่ยังไม่อยากเลย.... นะ” นัยน์ตาสีอ่อนคู่สวยเหลือบมองอย่างออดอ้อน


คำว่า ยังไม่อยากเลย ของอีกฝ่าย หากจะตีความหมายก็คงจะเป็นความหมายที่เหมือนกันกับสิ่งที่อยู่ในใจ


แววออดอ้อนที่อยู่ในดวงตาสีน้ำตาลเจือเทาแฝงความเว้าวอนและความต้องการที่ไม่ต้องสื่อเป็นคำพูด ธนกฤตโอบลำตัวเพรียวของคนตัวเล็กเข้าแนบชิดแล้วลุกขึ้นนั่งทั้งที่ยังกอดกันไว้ เรียวขาสีนวลไขว้กับแผ่นหลัง รัญชน์ตกอยู่ในอ้อมกอดของเขาอย่างสมบูรณ์


ชายหนุ่มโน้มคอลงกระซิบข้างหูเสียงแผ่ว
“ไม่อยาก...ตัวเล็กก็ทำต่อสิ....”


รอยยิ้มร้ายปรากฏขึ้นบนใบหน้าหวาน มือสองข้างยกขึ้นประคองใบหน้าของธนกฤตไว้พลางเคลื่อนใบหน้าเข้าชิด


“........ ได้นะ........” ริมฝีปากทาบทับลงหาอย่างแนบชิด


“แกล้งกันอีกแล้ว” รอยยิ้มที่ร้ายไม่แพ้กันผุดขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลา


มือใหญ่จับร่างในอ้อมกอดยกขึ้นให้สะโพกอ่อนล้าลอยจากตัก แก่นกลางใหญ่โตเรียกร้องความต้องการชูชันขึ้นเสียดสีต้นขาด้านในที่ชื้นเหงื่อ


“งั้นพี่บีมให้รันทำตามใจเลย เนอะ”


“อื้อ” เด็กหนุ่มเอื้อมมือลงไปกำรอบแก่นกายร้อนผ่าว แล้วค่อยๆลดตัวลงหา


“จะเอาคืนนะ....”
















To be continued...








kagehana :

เรื่องนี้...อันที่จริงก็จบแล้วค่ะ แต่เอามาลงไม่ค่อยสม่ำเสมอ ฮือออ จะพยายามมาลงบ่อยๆนะคะ

พี่หมอได้กินน้องรันแล้ว /จุดพลุให้ :mc4:
หัวข้อ: Re: ・・・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน19 พรีฮันนีมูน[มุมิAlert] (19/12/13)
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 20-12-2013 10:51:44
ดีใจด้วยนะพี่หมอบีมได้กินน้องรันแล้วเย้

แล้วคู่พี่รามจะเป็นไงต่อไป
ติดตามค่ะ
หัวข้อ: ・・・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน20 เขยิบความสัมพันธ์ (20/12/13)
เริ่มหัวข้อโดย: kagehana ที่ 20-12-2013 21:11:02


-20-
















“มาติดต่อคุณหมออนิรุทธิ์ครับ”


“รบกวนขอบัตรคนไข้กับบัตรนัดด้วยค่ะ” นางพยาบาลประจำห้องตรวจเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม


ราเมนทร์หยิบบัตรจากในกระเป๋าเสื้อยื่นส่งให้ก่อนจะเดินกลับมาหาอีกคนที่นั่งรออยู่ตรงม้านั่ง


“วันนี้จะถอดเฝือกแล้ว ตื่นเต้นไหมครับ”


“... พูดเหมือนผมเป็นเด็กๆเลยนะครับ” ธันย์ชนกยิ้มน้อยๆก่อนจะยกมือขึ้นดันแว่นกรอบหนาที่เลื่อนหลุดให้เข้าที่


“ก็จริงๆแค่กระดูกร้าวน่าจะหายนานแล้ว แต่คุณธันมัวกลัวไม่กล้าถอด อย่างงี้เด็กไหมครับ” ราเมนทร์พูดหยอก


เกือบสามเดือนที่อยู่ด้วยกันทุกวันทำให้ความสนิทสนมก่อตัวมากขึ้น ราเมนทร์ยังเคยนึกว่าเพราะมีธันย์ชนก... เขาถึงลืมเรื่องน้องชายได้บ้าง


“......... ก็.... ช่วยไม่ได้นี่ครับ....” เขาหัวเราะเบาๆพร้อมรอยยิ้มจางๆตามแบบฉบับของเจ้าตัว


“เชิญคุณธันย์ชนกที่ห้องตรวจ2ค่ะ”


“เรียกแล้วครับ” ราเมนทร์ลุกขี้น ก่อนจะพยุงคนเจ็บด้วยการโอบรอบลำเอวบางไว้แนบชิด


“............... ครับ” ชายหนุ่มร่างเพรียวตอบรับเสียงแผ่วเบา สัมผัสที่โอบรอบเอวทำให้หัวใจเต้นรัวขึ้นจนหยุดไม่ได้


ราเมนทร์ประคองร่างเพรียวเข้าไปนั่งในห้องตรวจ หมออนิรุทธิ์ยิ้มอย่างใจดีให้แทนคำทักทาย  เขาปล่อยให้ธันย์ชนกนั่งที่เก้าอี้ใกล้ๆแล้วถอยออกมาฟังอาการ


“สามเดือนกับกระดูกร้าวนี่ใครได้ยินคงขำหมอแน่เลย ใช่ไหมครับคุณธันย์ชนก” นายแพทย์เคาะเบาๆที่เฝือก... จริงๆแค่เฝือกอ่อนก็น่าจะพอ แต่เพราะกระดูกร้าวค่อนข้างมากกันไว้ก่อนจึงไม่มีอะไรเสียหาย


“งั้นลองเดินก่อน ไม่ต้องประคองนะครับคุณราเมนทร์” คุณหมอใจดีรีบดักคอราเมนทร์ที่ทำท่าจะเข้ามา


คนป่วยขยับมองหน้าราเมนทร์สลับกับคุณหมอเจ้าของไข้ไปมา มือสองข้างจับที่พนักเก้าอี้เพื่อยันตัวเองขึ้นก่อนจะก้าวขาข้างที่ไม่เจ็บลงไปก่อน จากนั้น จึงค่อยๆหย่อนขาที่ใส่เฝือกลงบ้าง แต่ก็ยังไม่ลงน้ำหนักไปเลยทีเดียว


ธันย์ชนกสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะปล่อยน้ำหนักลงไปที่ขาข้างที่เจ็บ นัยน์ตาสีเข้มปิดลงครู่หนึ่งก่อนจะค่อยๆเปิดขึ้นอีกครั้ง


“... ไม่เจ็บ.... แล้วล่ะครับ”


“งั้นลองเดินดูนะครับ” อนิรุทธิ์หยิบแผ่นเอกซ์เรย์ขึ้นติดกับกระดานไฟสีขาวฉายภาพกระดูกที่ประสานตัวกันดีแล้ว


“ถ้าดูจากในฟิล์มก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้วนะครับ เดี๋ยวลองให้คุณธันย์ชนกเดินดูก่อนแล้วหมอจะส่งไปผ่าเฝือกที่ห้องผ่านะ”


“ครับ...” พอไม่รู้สึกเจ็บแล้ว เขาก็ค่อยขยับเดินไปข้างหน้าทีละก้าว อาจจะเป็นเพราะไม่ได้เดินมากในตลอดเวลาเกือบสามเดือนทำให้ดูเก้ๆกังๆไปบ้าง แต่ก็สามารถเดินได้ ไม่มีทีท่าว่าจะล้มหรืออะไร พอไม่รู้สึกเจ็บหรืออะไรแล้ว ความรู้สึกดีใจที่หายป่วยก็ทำให้อดยิ้มออกมาไม่ได้


“เดินได้ ไม่เจ็บ แล้วล่ะครับ” แม้จะเหมือนเอ่ยบอกแพทย์ของตัวเอง แต่ใบหน้าและรอยยิ้มหวานกลับหันมามอบให้กับราเมนทร์ที่นั่งอยู่


...เสียดายที่ไม่ได้เอากล้องมา...


ราเมนทร์ตอบรับรอยยิ้มหวานด้วยสายตายินดี ชายหนุ่มมองรอยยิ้มที่ส่งมาแล้วอดคิดไม่ได้ว่าถ้าอีกฝ่ายยิ้มได้แบบนี้ทุกวันก็ดี


“โอเคครับ งั้นส่งตัวไปฝ่าเฝือกออกได้เลย”


“ครับ ขอบคุณมากครับ”เพื่อนคนป่วยกล่าวขอบคุณ


หลังจากออกมาจากห้องตรวจ ธันย์ชนกก็เดินตามบุรุษพยาบาลที่จะนำทางไปยังห้องผ่าเฝือก ชายหนุ่มร่างโปร่งหันหาคนข้างๆก่อนจะเอ่ยขอบคุณ


“ขอบคุณนะครับคุณราม... ทีนี้ก็ไม่ต้องรบกวนทั้งวันแล้ว...”


ราเมนทร์ยิ้มตอบโดยไม่พูดอะไร...แม้จะไม่ได้รู้สึกว่าอีกฝ่ายรบกวนสักนิด


เพราะเกิดเป็นความเคยชินเสียแล้ว...วันไหนที่มีงานเขาก็จะรับธันย์ชนกมานั่งที่ห้อง แล้ววานรัญชน์หาข้าวกลางวันให้ ส่วนตัวเขาเองก็กลายเป็นพวกกลับบ้านเร็วเพราะผลัดคิวให้น้องชายไปเฝ้าไอ้หมอบ้า


แม้ส่วนใหญ่จะเป็นการอยู่ด้วยกันเงียบๆ...แต่เป็นความเงียบที่สงบสุข


“ก็ถ้าคุณธันไม่เบื่อผม ว่างๆก็แวะมานั่งเล่นนะครับ”


“... ครับ”


...ผมไม่เคยเบื่อคุณเลยสักนิดเดียว...


ความคิดในใจที่ไม่ได้พูดออกไปถูกตอบด้วยรอยยิ้มจางๆแทน ก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องตรวจ ปล่อยให้ราเมนทร์ได้นั่งรออยู่หน้าห้อง


ราเมนทร์นั่งลงที่เก้าอี้ยาวหน้าห้อง รอยยิ้มเล็กๆมุมปากผุดขึ้นนิดๆเมื่อนึกไปถึงรอยยิ้มดีใจและประกายตาสดใสที่ธันย์ชนกเผลอส่งมาให้ ราเมนทร์รู้สึกถึงหัวใจที่เต้นแรงกว่าปกติ... และความรู้สึกบอกไม่ถูกที่ไม่อยากจะตีความหมาย


...ไม่ใช่แค่ความใกล้ชิด...


...ไม่ใช่เพราะหลงลืมน้องชายคนเดียว...


แต่เพราะรอยยิ้มนั้น...มันทำให้หัวใจสั่นไหว


...แค่นั้นเอง...

 

 











“เรียบร้อยแล้วครับคุณราม” ชายหนุ่มนักเขียนเดินออกมาพร้อมกับรอยยิ้มเขินๆ


“.... ผมคงกังวลเกินไปจริงๆด้วย” ธันย์ชนกยกมือขึ้นเกาศีรษะช้าๆแล้วยิ้มบางๆให้


“เป็นธรรมดาล่ะครับ แต่ผมชินแล้ว ตอนอยู่ที่นั่นพวกเพื่อนๆมันซ่ากัน... ยิ่งเพื่อนร่วมอาชีพนี่บาดเจ็บกันเป็นว่าเล่น”


ราเมนทร์ลุกขึ้นก่อนจะโอบร่างเพรียวเข้าอย่างทุกครั้ง


“กลับกัน..อ๊ะ! ขอโทษครับ” ความเคยชินทำให้เป็นไปโดยอัตโนมัติ ชายหนุ่มยิ้มแก้เก้อแล้วปล่อยมือออก


“มัน...ชินไปหน่อย...หายดีแล้วนี่เนอะ”


ใบหน้าเนียนเป็นสีเข้มขึ้นก่อนจะขยับเดินนำไป


“ให้ผมเลี้ยงข้าวเย็นนะครับ... ผมอยากขอบคุณคุณรามที่ช่วยดูแล” ธันย์ชนกส่งรอยยิ้มให้อีกครั้ง


“จริงๆแล้วก็ไม่ได้ดูแลเท่าไหร่หรอกครับ” พอพูดไปใบหน้าเล็กดูหมองลง ราเมนทร์เลยพูดต่อ


“แต่ของฟรีชอบครับ ให้คุณธันเลือกร้านนะ”


“ไม่ได้สิครับ ต้องให้คุณรามเลือก... อะไรก็ได้เลย... นะครับ” ธันย์ชนกรบเร้าพลางก้มลงมองนาฬิกา


“เดี๋ยวกลับบ้านไปเปลี่ยนเสื้อผ้าหน่อยก่อน... แล้วไปกันครับ”


“ไม่เอาครับ ถ้าคุณธันไม่เลือกผมก็ไม่ไป” ราเมนทร์ยิ้มแล้วหันไปมองหน้า ดวงตาสีน้ำตาลเข้มใต้กรอบแว่นหนายังเจือไปด้วยแววกังวลจนอดขำไม่ได้


“นะครับ....”


“แต่ผม... ไม่ค่อยได้ไปกินข้างนอก ไม่รู้หรอกครับว่าร้านไหนอร่อย”


“งั้น......” เจ้าของงานเลือกไม่ได้ สุดท้ายก็ตกมาที่เขาอยู่ดี


“ไปร้านโปรดร้านใหม่ของรันก็ได้ อาหารอร่อยบรรยากาศดี น่าจะชอบนะครับ”


“ถ้าอย่างนั้น... ก็ได้ครับ” เขายิ้มรับข้อเสนอแนะนั้นก่อนจะเดินออกจากอาคารผู้ป่วย


 

 












“ขอโทษครับ... เสร็จแล้วครับ” ธันย์ชนกเปิดประตูห้องออกมาพร้อมกับใบหน้าที่แปลกตาไป แว่นตากรอบหนาอันใหญ่หายไปจากใบหน้า เผยให้เห็นดวงตาคู่สวยชัดเจนกว่าเดิม ผมสีอ่อนที่มักยุ่งเหยิงถูกจัดให้เป็นทรงมากขึ้นกว่าเคย


คนที่เสร็จก่อนมองคนที่เพิ่งเปิดประตูออกมา ธันย์ชนกในตอนนี้เหมือนย้อนเวลาไปถึงวันวานในรูปถ่าย ผิดแต่เพียงเรือนผมสีอ่อนเท่านั้น ราเมนทร์รู้สึกถึงโลกที่หมุนเอียง...ราวกับตัวตกวูบลงไปในอากาศ เพียงเพราะรอยยิ้มที่อีกฝ่ายมอบให้


“คุณธันดูแปลกตาไปนะครับ.....”


“อ...!? เพราะว่าใส่คอนแท็คเลนส์หรือเปล่าครับ..... ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมไปเปลี่ยนก่อนก็แล้วกัน” ใบหน้าที่ดูไร้สีสันในตอนแรกพลันเปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้น ชายหนุ่มหันตัวกลับเข้าห้องของตัวเองแทบจะทันที


...ไม่ดี...


...จริงๆด้วย...


“เดี๋ยวครับ” ราเมนทร์รีบคว้าแขนไว้...ขืนเป็นอย่างนั้นก็น่าเสียดายแย่น่ะสิ อุตส่าห์เหมาะแท้ๆ


“แบบนี้ดีแล้วครับ อย่าใส่แว่นเลย”


ชายหนุ่มปล่อยมือที่คว้าแขนไว้ออกก่อนจะส่งรอยยิ้มให้


“คุณธันไม่ใส่แว่นแล้วดูดีกว่านะ”


“..... ถ้าอย่างนั้น........ ก็... ครับ...” ร่างเพรียวยิ้มเขินๆพลางเดินตามอีกฝ่ายออกไป


“ผมไม่เคยไปนะครับ....”


“ไม่เป็นไรครับเดี๋ยวผมขับรถพาไปเอง รับรองว่าคุณธันต้องติดใจ”


 

 












'Trrrrrr Trrrrrrrrr Trrrrrrrr'

 

เสียงโทรศัพท์ไม่คุ้นหูปลุกชายหนุ่มที่นอนหลับอยู่ให้ลุกขึ้น เขามองไปรอบๆที่แสงแดดเริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้มเข้มพลางนึกเขินในใจที่ทำอะไรไม่ได้ดูช่วงเวลาเลย ธนกฤตยิ้มกับเรือนผมยุ่งๆที่นอนซบอยู่บนอกแล้วหอมที่หน้าผากเบาๆ


“โทรศัพท์ตัวเล็กหรือเปล่า...เด็กขี้เซา”


“อือ...... พี่ราม..................” ร่างบางขยับยุกยิกออกจากอ้อมกอดพลางคลานไปเอื้อมคว้าเอาโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมา


“S'up.......”


“ทำอะไรอยู่น่ะเรา” เสียงงัวเงียทำเอาคิ้วเข้มขมวดขึ้น ราเมนทร์กดแฮนด์ฟรีเข้าที่ด้านในพลางเอี้ยวตัวดูรถเพื่อถอย


“ขอคุยกับไอ้หมอหน่อย”


“อือ.... ไม่ให้.....” รัญชน์ค่อยๆเขยิบตัวขึ้นมาบนเตียงเหมือนเดิม แล้วซุกตัวเข้าหาทั้งๆที่ไม่ยอมลืมตาขึ้นด้วยซ้ำ


“ทำไมนอนแล้วล่ะ ยังไม่เย็นเลยนี่” ราเมนทร์ถามซ้ำ ก่อนจะเร่งเครื่องยนตร์เข้าสู่ท้องถนน


“เดี๋ยวพี่จะไปกินร้านบ้านน้องนัท ขอคุยกะไอ้หมอบ้าหน่อย จะฝากจองที่” ปกติแล้วก็ไม่ได้อยากจะขัดขวาง...ในเมื่อเขายอมรับกับความสุขของน้องชายแล้ว


...แต่ถ้าเรื่องแค่นี้ไม่มีน้ำใจคงต้องคิดดูใหม่...


“อย่าแกล้งนะ.....” เขาพูดเบาๆงัวเงียๆก่อนจะยื่นโทรศัพท์ให้กับคนรัก


“พี่อยากคุยด้วย”


แม้จะงงอยู่บ้างแต่ก็คิดว่าเป็นแค่เรื่องพี่ชายหวงน้อง ชายหนุ่มรับโทรศัพท์มาแล้วกรอกเสียงลงไป


“หวัดดีครับ”


-ทำอะไรอยู่ทำไมเสียงงัวเงียทั้งคู่เลย-


คิ้วเข้มขมวดขึ้นมาทันที แต่ธนกฤตก็ยอมให้กับเสียงดุที่ดังมาตามสาย


“เพิ่งตื่นครับ คุณรามมีอะไรเหรอครับถึงอยากคุยกับผม”


-เพิ่งตื่น? ป่านนี้เนี่ยนะ นี่มันเย็นแล้วไม่ใช่เหรอ-


ธนกฤตยกหูโทรศัพท์ออกห่าง... ให้ตายสิ นี่มันยายแบมภาคผู้ชายหรือไงวะเนี่ย


“ก็พักผ่อนกันนิดหน่อย”


-เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน พอดีฉันอยากจะไปที่ร้านเพื่อนนายแต่ฉันไม่มีเบอร์...นายโทรไปจองให้หน่อยได้ไหม คุณหมอ-


คุณหมอที่อีกฝ่ายจงใจกระชากเสียงนิดๆทำเอาคนฟังชักไม่อารมณ์ นิสัยขี้แกล้งที่พยายามเก็บไว้จึงถูกดึงออกมาเป็นคำพูด


“แล้วถ้าไม่ได้ล่ะครับ คุณพี่ชาย----” เสียงพูดลากยาวอย่างจงใจกวนกระตุกต่อมฝั่งตรงข้าม


“อือ....” เสียงคล้ายกับถูกขัดใจดังขึ้นจากตัวเล็กที่เกาะอยู่กับแผ่นอกพลางงับเบาๆที่ลาดไหล่กว้าง


“อย่าแกล้งสิ....”


“แกล้งพี่อีกแล้วนะ” จมูกโด่งกดเบาๆที่หน้าผากมน


-ทำอะไรน่ะรัน!-


ธนกฤตยิ้มหวานให้คนรักก่อนจะหันไปพูดต่อ


“ทำอะไรดีน้า-- คุณพี่ชายล่ะครับ ไปกันกี่คน”


-สอง...เดี๋ยวสิ  ขอคุยกับรันหน่อย-


“โอเค สองนะครับ แค่นี้นะหวัดดี”


ธนกฤตกดตัดสาย แล้วลงใจเผลอมือไปกดปุ่มปิดเครื่องก่อนจะหย่อนโทรศัพท์วางบนโต๊ะแล้วหันมากอดคนตัวเล็กที่ซุกอยู่ไม่ห่าง


“พี่ชายตัวเล็กนี่ดุชะมัด หวงน้องยังกับอะไรดี"


“.... อือ....... หิวแล้ว........” คนที่ยังหลับตาไม่ยอมลืมงับเบาๆเข้าอีกครั้ง


“ไม่หิวได้ไง...ก็เล่นแกล้งพี่ขนาดนั้น รับผิดชอบมาเลย” ธนกฤตทวงความรับผิดชอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เขาเอื้อมหยิบโทรศัพท์ของตัวเองมาบ้าง


“กินพี่อีกรอบไหมล่ะ”


“กินข้าวก่อนได้ไหม..... ท้องร้องแล้วนะ....” ร่างเล็กขยับตัวไปมาอีกครั้ง


“แป๊บนึงนะ เดี๋ยวพี่โทรหาไอ้ยุตแป๊บ” ร่างสูงลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง อากาศเย็นสดชื่นลอยเข้ามาปะทะแผ่นอกเปลือยเรียกความสดชื่นคืนมา แววตาอ่อนโยนมองรัญชน์ที่ตอนนี้นอนกอดอยู่บนตักก่อนจะยิ้มแล้วลูบผมที่รุ่ยร่ายให้เบาๆ


“ฮัลโหลไอ้ยุต... อ่าว คุณนัทเหรอครับ”


-สวัสดีครับคุณบีม.... จะคุยกับพี่ยุตเหรอครับ- น้ำเสียงอ่อนหวานนุ่มหูเอ่ยถามอย่างสุภาพ


“มันว่างป่ะครับ ถ้าไม่ว่างคุยกับคุณนัทก็ได้” ร่างเล็กที่นอนอยู่ยุกยิกตัวไปมา มือใหญ่จึงลูบเบาๆที่แผ่นหลังให้อยู่นิ่งๆ


“คือผมแค่จะจองโต๊ะให้พี่ชายรันน่ะครับ ชื่อราเมนทร์ สองที่...”


-ได้ครับ... เดี๋ยวผมบอกให้...- ญาณัชเอ่ยตอบพร้อมกับรอยยิ้มจางๆบนใบหน้า


“ขอบคุณมากครับ รู้สึกว่าน่าจะไปถึงสักเกือบๆทุ่มมั้งครับ ฝากด้วยนะครับ”


ตัดสายเสร็จธนกฤตก็ดึงคนตัวเล็กที่ซุกซบอยู่ขึ้นมาจากเตียงแล้วลุกขึ้นยืนทั้งอย่างนั้น


“ไปอาบน้ำเลย เดี๋ยวไปกินข้าวกัน”


“.............. ไม่มีแรงแล้ว.......” ทำทีเป็นอ้อนก่อนที่จะยอมลุกตาม


“อาบน้ำให้รันนะ”


“ขี้อ้อนนะรันนะ” ธนกฤตล้อเลียนภาษาไทยแปลกประหลาดของคนรัก


“รันนี่ถนัดภาษาอังกฤษมากกว่าเนอะ เวลาอย่างนั้น...” ปลายนิ้วแตะที่ไหล่เนียนซึ่งถูกฝากรอยไว้แล้วไล้วนเบาๆ


“...ยังพูดรัวจนพี่แทบฟังไม่ทันเลย”


“!!? ก็.... ไม่รู้นี่!!” ร่างเล็กเขย่าธนกฤตเต็มแรง


“โอ๊ะๆๆ อย่าเขย่าสิ” ร่างสูงทุมกายเข้าหากอดคนตัวเล็กไว้


“ไม่ล้อแล้วก็ได้ ไปอาบน้ำกินข้าวกัน”


ขืนอยู่ด้วยกันต่อมีหวังไม่ต้องทำอะไรกันพอดี...


พอถูกกอดไว้แบบนั้น คนตัวเล็กก็ยิ้มออกมาก่อนจะแนบใบหน้าเข้ากับต้นแขนเย็นๆของร่างสูง


“รักพี่บีมนะ”


คำบอกรักหวานๆดึงหัวใจของคนถูกรัก ธนกฤตรู้ดี... ว่าสิ่งที่เป็นอยู่ในตอนนี้มีความสุขเพียงใด


“รักตัวเล็กเหมือนกัน”


แม้จะรวดเร็วเกินกว่าจะพูดว่าตลอดไป... แต่อย่างน้อย ความรู้สึกเช่นนี้ก็คงยาวนานกว่าครั้งไหน


..และสักวัน ตลอดไปของเขา..คงจะมาถึง...

 

 










ร่างสูงใหญ่ในชุดเชฟที่ยืนอยู่หน้าเตาสะบัดแขนช้าๆ ไหล่ผึ่งผายยกขึ้นเป็นจังหวะเพื่อเขย่ากระทะในมือ มือหนาใหญ่ทุบที่ด้ามจับสลับกันจนอาหารข้างในคลุกเคล้าเข้ากันดีแล้วจึงหันมาตักใส่จานข้างกาย


นัยน์ตาสีเขียวอมเทามองคนที่เพิ่งเดินเข้ามาถึง...ก่อนดวงตานั้นจะแปรเป็นความอบอุ่นที่มอบให้เพียงคนเดียวเสมอมา


“รอข้างนอกสินัท ข้างในมันร้อน”


“ไม่เป็นไร... เมื่อกี๊คุณบีมโทรมา....” ร่างบางเดินเข้ามาหาพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า ในมือมีผ้าขนหนูผืนเล็กยกขึ้นแตะบนใบหน้าคนรัก


“เหนื่อยไหม”


ทยุตก้มตัวลงเล็กน้อยให้ญาณัชซับใบหน้า มือใหญ่จับเบาๆที่มือเรียวนิ่มก่อนจะดึงขึ้นมาจูบหลังมือ


“หายเหนื่อยแล้วล่ะ....แล้วไอ้หมอมันโทรมาทำไมเหรอ”


“อยากจองที่2ที่ให้พี่ชายของคุณรันน่ะ...” ญาณัชยังไม่หยุดมือที่ซับเหงื่อ


“ไอ้หมอน่ะเหรอ...แต่วันนี้โต๊ะเต็มแล้วนะนัท โทรไปบอกมันได้ไหม” หัวคิ้วขมวดขึ้น ธนกฤตหันไปล้างมือแล้วกลับมากอดญาณัชไว้หลวมๆ


“.... นัทบอกไปแล้วว่าโอเค... แค่สองคนเอง... ไม่ได้เหรอ” ใบหน้าหวานเงยขึ้นมอง


เชฟหนุ่มทำหน้ายุ่ง จริงอยู่ว่าก็พอจะจัดโต๊ะให้ได้ แต่กระทันหันแบบนี้ก็ออกจะลำบากเอาการ


“ก็...ได้อยู่หรอกนะ...แต่ว่า” ร่างสูงก้มลงหอมแก้มขาวเบาๆแล้วกอดเอาไว้แนบอก


“ขอรางวัลให้คนใจดีก่อน”


คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันก่อนจะขยับใบหน้าเข้าแตะริมฝีปากเบาๆ


“.... ขอบคุณครับ” ญาณัชเป็นฝ่ายขยับวงแขนโอบกอดรอบเอวของร่างสูง


“ขอบคุณเหมือนกันครับ”


ยังไงก็ตาม....คนรักของตนเองก็ยังเป็นคนที่น่ารักที่สุดในโลกอยู่ดี


“เดี๋ยวไปจัดโต๊ะก่อน แล้วค่อยมาเอารางวัลอีกทีคืนนี้นะ”


 



















To be continued...







kagehana :

พี่รามพี่ธันค่อยๆกระดื๊บบบบบไปเรื่อยๆ ตอนนี้ยังมุ้งมิ้งกันอยู่ ปล่อยให้หวานไปอีกสักระยะก่อนค่ะ  o18

หัวข้อ: Re: ・・・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน20 เขยิบความสัมพันธ์ (20/12/13)
เริ่มหัวข้อโดย: Millet ที่ 20-12-2013 21:28:41
คนแต่งพูดแบบนี้จะมีดราม่าป่าวเนี่ย
หัวข้อ: Re: ・・・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน20 เขยิบความสัมพันธ์ (20/12/13)
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 21-12-2013 11:01:45
อะแฮ่มมมมไม่ค่อยนิยมดราม่านะคะ5555555555555555555
พี่รามตะลึงเลยดิ คุณธันน่ารักล่ะซิ๊
หัวข้อ: Re: ・・・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน20 เขยิบความสัมพันธ์ (20/12/13)
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 21-12-2013 16:23:56
อิอิ หวานกันทุกคู่
หัวข้อ: ・・・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน21 จูบหวานซ่านขม (25/12/13)
เริ่มหัวข้อโดย: kagehana ที่ 25-12-2013 15:50:12
 

“ร้านบรรยากาศดีจังครับ” ธันย์ชนกพูดขึ้นหลังจากนั่งลงที่โต๊ะ เขามองไปรอบๆอย่างชื่นชมกับการตกแต่งง่ายๆแต่ดูสวยงาม


“ดีจังครับที่ชอบ” ราเมนทร์เดินนำเข้าไปเช็กที่กับพนักงานเสิร์ฟก่อนจะหันมาส่งยิ้มแล้วกลับมาพาธันย์ชนกไปที่โต๊ะ


“พอดีแฟนรันเขาเป็นเพื่อนกับเจ้าของที่นี่... นี่ก็โทรไปหักคอให้จองให้อย่างที่คุณธันได้ยินล่ะครับ” มือใหญ่รับเมนูมาแล้วส่งต่อ


“แฟน.......” เขาทำเสียงแปลกใจขึ้นมา แต่ก็เงียบไปเมื่อนึกถึงบทสนทนาเมื่อครู่


...ไอ้หมอที่ว่า...


...ก็คงเป็นคุณหมอคนนั้นสินะ...


“คุณธันทานอะไรดีครับ ที่นี่มีอาหารฝรั่งแล้วก็อาหารไทยนิดหน่อย ผมชอบสปาเก็ตตีแกงเขียวหวานกุ้ง..อร่อยใช้ได้เลยครับ” ราเมนทร์ถามแล้วพูดต่อ


“เอาเป็นไวน์หรือเบียร์ดีครับ ฉลองกันหน่อย” คนพูดตบท้ายด้วยรอยยิ้ม


“ผม... ไม่ค่อยทานเบียร์... ส่วนอาหาร... เอาเป็นสปาเก็ตตีปลาเค็มก็แล้วกันครับ”


“งั้นเอาสปาเก็ตตีปลาเค็ม สปาเก็ตตีกุ้งเขียวหวาน ปลากระพงชุบเกล็ดขนมปังทอด สลัดไข่เอาน้ำสลัดพริกไทดำ แล้วก็...” ราเมนทร์หันไปหาธันย์ชนก


“เอาไวน์ไหมครับ หรือค่อยไปต่อที่บาร์ดี”


“ผมไม่ถูกกับทั้งสองอย่าง... แต่ไปต่อก็ได้ครับ” คนถูกชวนยิ้มตอบจางๆ


“งั้นแค่นี้ก่อนครับ”


ราเมนทร์หันไปมองบรรยากาศรอบกาย คราวที่แล้วที่มากับรัญชน์เขาสนใจแต่น้องชายจนลืมซึมซับกับบรรยากาศเงียบสงบ แต่คราวนี้... อาจจะเป็นเพราะอีกฝ่ายเป็นธันย์ชนกที่พูดน้อย ความรู้สึกผ่อนคลายจึงตามมา


“ปกติคุณธันไม่ค่อยทานข้างนอกเหรอครับ”


“ไม่ครับ... ผมไม่ค่อยชอบคนเยอะๆ....” คนอายุมากกว่ายังคงตอบพร้อมรอยยิ้ม


“คุณรามชอบสินะครับ”


“ก็ด้วยงาน...มันชินไปเองน่ะครับ” นัยน์ตาสีสวยมองรอยยิ้มของคนตรงข้าม


“แต่ถ้าเลือกได้ ผมชอบบรรยากาศสงบๆมากกว่า”


“.... นั่นสินะครับ... คุณรามเป็นคนกว้างขวางอยู่ด้วย” เขายกน้ำเปล่าที่ยกมาเสิร์ฟขึ้นดื่มช้าๆ


“แซวผมอยู่หรือเปล่าครับ”


บริการสาวที่เดินมายังโต๊ะวางขวดน้ำและแก้วลงก่อนจะบริการจนเรียบร้อยพร้อมรอยยิ้ม ราเมนทร์เลื่อนให้ธันย์ชนกที่ยังยิ้มบางๆอยู่ตลอดเวลา


“ว่าแต่คุณธันมีแฟนยังครับ ผมไม่ค่อยเห็นใครมาที่ห้องเลย” อย่างธันย์ชนกก็ถือว่าเป็นผู้ชายที่ดูดีคนหนึ่ง ก็ไม่แปลกอะไรที่จะมีคนรัก หากแต่สามเดือนที่ผ่านมา... แทบจะตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน เขาแทบไม่เคยเห็นใครมาหาเลย


“...ไม่มีหรอกครับ... ผม ไม่ค่อยยุ่งกับใคร... คุณรามละครับ” ธันย์ชนกก้มหน้าลงเล็กน้อยก่อนจะเงยขึ้นอีกครั้ง


“ผมเหรอครับ...ก็มีไอ้ตัวยุ่งอยู่แล้ว แฟนก็เลยไม่มีน่ะครับ”


อาหารควันฉุยกลิ่นหอมถูกเสิร์ฟพร้อมกับบนโต๊ะที่จุดเทียนไว้ แสงสลัวในยามค่ำคืนจับผิวแก้มคนฝั่งตรงข้ามเป็นเงามืดที่ดูหม่นเศร้า


“ทานกันเลยไหมครับ คุณธันลองชิมของผมไหม”


“.... คำเดียวก็แล้วกันครับ....” เขายิ้มอายๆรับคำเชิญของอีกฝ่าย


“แต่นี่น้องรันมีแฟนไปแล้ว... คงตาคุณบ้างแล้วสินะครับ”


ราเมนทร์ชะงักนิ่ง ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าน้องชายมีคนรัก แต่เพราะความรู้สึกที่สั่งสมมามันยาวนานเกินกว่าจะตัดได้ ความรู้สึกในปัจจุบันยังคงเดิม... รักเท่าไหนก็ยังเท่านั้น


...บางทีทั้งชีวิต...อาจไม่พอที่จะลืม...


แม้การมีอยู่ของหมอธนกฤตจะไม่เจ็บเท่าวันแรกๆ แต่ไม่ใช่ว่ามันหายไป


...รักที่ไม่สามารถเป็นจริงได้...


“ผมคง...ไม่...หรอกครับ...ยังลืมใครบางคนไม่ได้...”


“..... อย่างนั้น... เหรอครับ.......” ธันย์ชนกนิ่งไป ใบหน้าที่ดูหมองลงทำให้อยากจะให้กำลังใจ


...ให้มีรอยยิ้มดังเดิม...


“ถ้ารักแล้วไม่มีความสุข...... ผมก็ขอให้คุณรามลืมได้เร็วๆนะครับ...” รอยยิ้มจางๆปรากฏขึ้นอีกครั้ง


“ยิ่งถ้าจำฝังใจมากๆแล้วยิ่งเจ็บปวด... สุดท้ายแล้ว... เราก็จะไม่เหลืออะไรเลย..... นะครับ”


คำพูดของธันย์ชนกที่เหมือนกำลังเล่าประสบการณ์ของตัวเองทำให้ชายหนุ่มนึกสงสาร...ไม่ว่าใครต่างก็เคยมีเรื่องราวที่อยากจะลืมทั้งนั้น


หัวใจที่บิดเบี้ยว...ถึงจะเยียวยาเท่าไรก็ไม่มีวันเหมือนเดิม


“ถ้าผมลืมได้...ผมก็อยากให้คุณลืมได้เหมือนกัน” ราเมนทร์ยิ้มนิดๆก่อนที่มือใหญ่จะเอื้อมไปบีบมือที่กำแน่น


“ที่คุณพูดบอกผม...ถ้าเดาไม่ผิด...คุณเองก็เคยบอกตัวเองตอนเกิดเรื่องที่อยากลืมเหมือนกันใช่ไหม”


...เพราะรับรู้และเข้าใจ...


...ด้วยแววตาที่แฝงความเศร้าคู่นั้น...


“... ขอบคุณครับ........” เขารับคำด้วยรอยยิ้มเหงาๆ


...แต่บาดแผลของผม...


...มันลึกเกินกว่าจะหาย...


“ทานกันดีกว่า คุณธันชิมนี่นะครับ” ราเมนทร์ยิ้มพลางม้วนเส้นใส่ลงในถ้วยเล็กให้


...ต่อให้เจ็บปวดเท่าไร...


...ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป...

 

 















“ทะเลสาปสวยดีนะ รันชอบแบบนี้... ถึงจะชอบทะเลมากกว่าแต่นี่ก็โอเคนะ” เด็กหนุ่มตัวเล็กเอ่ยอย่างเริงร่าหลังจากพากันลงเรือลำเล็กมาได้ จักรยานน้ำ อีกหนึ่งกิจกรรมที่ทางรีสอร์ทจัดไว้ให้ ทะเลสาปที่ขุดขึ้นเองเป็นเหมือนศูนย์กลางของหุบเขาแห่งนี้ แยกระหว่างร้านอาหารกับห้องพักแบบโรงแรมออกจากกันโดยมีสะพานแขวนเชื่อมเอาไว้


“พี่ก็ชอบทะเล แต่แบบนี้เงียบสงบดี” ชายหนุ่มถีบที่ปั่นช้าๆ ลมเย็นที่โชยมาปะทะผิวกายให้ความรู้สึกสดชื่น ผิวกายอุ่นๆของคนตัวเล็กที่อิงแอบหลังผ่านความสัมพันธ์ลึกซึ้งก็ให้ความรู้สึกพิเศษจนไม่สามารถหาคำใดมาอธิบายได้


“มีความสุขจัง”


“รัน..... ทำให้มีความสุขด้วยใช่หรือเปล่า” ใบหน้าหวานหันมองก่อนส่งรอยยิ้มหวานให้


“มีดีหรือเปล่าน้า” หมอหนุ่มยิ้มเย้าแล้วบิดจมูกโด่งรั้นของคนรักเบาๆ


“รันทำให้พี่วุ่นวาย สับสน รันทำให้พี่คิดมาก...แต่รันก็ทำให้พี่ยิ้มกว้าง อบอุ่น...รันไม่รู้หรอกว่ารันทำให้พี่มีความสุขแค่ไหน”


“....... จริงนะ?” เขาขยับศีรษะเข้าหาก่อนจะซุกไซร้กับไหล่กว้างเบาๆ


“ให้ตอบด้วยการกระทำแทนไหมล่ะ” ธนกฤตหยุดถีบเรือแล้วปล่อยให้มันลอยอยู่กลางทะเลสาป ความมืดที่โอบล้อมมีแสงสว่างจางๆด้วยดาวดวงน้อยที่อยู่บนฟากฟ้า


ร่างสูงเอนตัวเข้าหาแล้วจูบลงบนริมฝีปากบางสีอ่อน กลิ่นเลมอนหวานๆของรัญชน์ยังคงเย้ายวนใจเฉกเช่นตอนกลางวัน


...หากแต่มีบางสิ่งที่เปลี่ยนไป...


ไม่ใช่หอมที่ทำให้ร่างกายเร่าร้อน แต่เป็นหอมละมุนที่ชวนให้เคลิบเคล้ม


รัญชน์ขยับใบหน้าเข้ารับจูบ มือข้างหนึ่งเอื้อมมาแตะบนใบหน้าของร่างสูงเบาๆ


หลังจากที่ริมฝีปากแนบสนิท ธนกฤตก็ค่อยๆละตัวออก มือเรียวที่แตะบนตัวถูกเอามากุมไว้ นัยน์ตาพราวระยับหรี่เป็นรูปจันทร์เสี้ยวเช่นเดียวกับริมฝีปากชุ่มชื้น


“เดี๋ยวขึ้นไปนอนดูดาวที่บ้านกันไหม”


“... อื้อ ไปสิ...” รอยยิ้มหวานปรากฏขึ้นอีกครั้ง


“กับพี่บีมนะ ไปไหนก็ได้หมดเลยนะ”


ต่อให้เป็นใครมาจากไหน... เจอแบบนี้เข้าไปก็เสร็จทุกราย


“ตัวเล็กน่ารักเกินไปแล้ว...รู้ตัวไหม”


พูดจบร่างสูงก็เอนกายแตะริมฝีปากลงอีกครั้ง... ท่ามกลางความมืดมิดใต้ราตรีกาล

 











 

“... ไม่ไหว... แล้วล่ะครับ....” ธันย์ชนกยกมือปรามคนตรงหน้าที่ตั้งท่าจะเทเหล้าใส่แก้วเขาอีก แต่เดิมเขาไม่ใช่คนคอแข็งอยู่แล้ว และตอนนี้ก็ดื่มเข้าไปเยอะในระดับนึงแล้วเหมือนกัน


“อีกนิดนึงนะครับ” ราเมนทร์ยิ้มหวาน


ยามที่แอลกอฮอล์เข้าไปในกระแสเลือด ความเจ็บปวดที่เคยรู้สึกก็เหมือนจะจางลงไป การดื่มเพื่อลืมใครสักคนก็เช่นกัน... แม้ความจริงจะยังเหมือนเดิม


แต่แค่สักวินาที... แค่นั้นก็พอ


“ไหนๆก็ฉลองทั้งที...นะครับ...” มือหนาถือโอกาสรินเหล้าลงไปในแก้ว


“ผสมให้ก็ได้นะ”


“.... แค่นิดนึง... นะครับ....” ธันย์ชนกยิ้มรับจางๆแล้วยกแก้วขึ้นจิบทีละนิด


ผิวแก้มที่ขึ้นสีแดงระเรื่อจางๆให้ความรู้สึกแปลกประหลาด... ธันย์ชนกในตอนนี้ดูอ่อนเยาว์ขึ้น นัยน์ตาสีเข้มหรี่ปรือนิดๆแต่เจ้าตัวฝืนไว้ให้ความรู้สึกเซ็กซี่อย่างน่าประหลาด


“ปกติคุณธันไม่ค่อยได้ทานเหล้าเหรอครับ”


“ผม... ไม่ถูกกับเหล้าน่ะครับ... ดื่มได้ไม่มาก” เขายิ้มตอบอีกพลางยกขึ้นจิบอีกนิด


“ผมไม่เที่ยวน่ะครับ”


“ก็คุณธันไม่ค่อยว่างนี่ครับ เขียนหนังสือมันต้องใช้เวลากับสมาธิ จะมามัวไปเที่ยวแบบพวกผมคงไม่ค่อยได้” ราเมนทร์ยกแก้วเหล้าขึ้นจิบช้าๆก่อนจะเรียกบริกรที่อยู่ใกล้ๆ


“น้องครับ เอาวอดก้ามะนาว2แก้ว”


ชายในชุดบริกรรับออเดอร์แล้วเดินจากไป ราเมนหันไปมองที่คนข้างๆซึ่งในตอนนี้ริมฝีปากชุ่มชื้นกำลังจิบอยู่ที่น้ำสีอำพัน


“แต่ไหนๆก็มาแล้ว วอดก้าของที่นี่เขาขึ้นชื่อ ชิมหน่อยนะครับ”


“..... แค่นิดเดียวนะครับ......” ธันย์ชนกปฏิเสธคนไม่เก่งอยู่แล้ว ยิ่งเป็นคนที่รู้สึกดีๆด้วยยิ่งไม่ต้องคิดว่าจะพูดอะไรเลย


แก้ววอดก้าเกลือที่มาเสิร์ฟโดยบริกรคนเดิมถูกวางลงที่โต๊ะ แก้วสีใสทรงสูงบรรจุน้ำสีเดียวกัน ขอบปากมีเกลือจับเป็นเกล็ดโดยรอบและมะนาวผ่าเสี้ยวเสียบบนขอบ


ราเมนทร์ยื่นอีกแก้วให้ธันย์ชนก


“คุณธันทำตามนะครับ ปาดเกลือลงไปในแก้วนิดๆ แล้วบีบมะนาวลงไป” คนพูดจับจ้องกิริยาเงอะงะแล้วอดไม่ได้ที่จะคว้ามาทำให้เสียเอง


ปลายนิ้วสากลากบนขอบแก้วให้เกลือที่จับอยู่หล่นลงในวอดก้าชั้นดี มะนาวเสี้ยวถูกบีบตามลงไปก่อนที่มือหนาจะยกแก้วขึ้นเขย่านิดๆให้เข้ากันแล้วส่งให้


“ชนแก้วกันนะครับ”


“.... ครับ” รอยยิ้มที่ไม่ถูกความเศร้าโศกจากอดีตกลบไว้เผยออกบนใบหน้าที่ดูอ่อนกว่าอายุ ขณะยื่นแก้วออกไปชนกับอีกฝ่าย


“หมดแก้ว” ราเมนทร์พูดตามธรรมเนียมแล้วยกขึ้นดื่ม


ความร้อนวูบวาบบาดลึกลงไปในลำคอ รสขมปร่าเจือเค็มและเปรี้ยวนิดๆคงไม่อร่อยสำหรับคนไม่คุ้นเคย แต่สำหรับราเมนทร์... แค่นี้ยังธรรมดามาก


คนไม่คุ้นเคยหลับตาจนแน่นขณะพยายามดื่มให้หมด-- จนกระทั่งรู้สึกคล้ายกับมึนศีรษะจนตึ้บไปหมด


“คะ-คุณธัน!?” เจ้าของเรือนกายกลิ่นพีชเอนตัววูบจนแทบคว้าไว้ไม่ทัน แก้ววอดก้าว่างเปล่ากลิ้งอยู่บนโต๊ะเปียกๆ


ราเมนทร์ดึงร่างเพรียวเข้ามากอดไว้ ลมหายใจเจือแอลกอฮอล์ของธันย์ชนกเป่าเข้าที่แก้ม ริมฝีปากสีอ่อนที่แดงขึ้นจนเป็นสีจัดเผยอค้าง ไม่นับรวมไปถึงท่อนแขนเรียวที่ปล่อยทิ้งไว้ข้างตัว


...ซวยแล้ว...


“คุณธัน...กลับบ้านนะครับ”


มือข้างที่ตกลงยกขึ้นแตะต้นแขนของราเมนทร์เบาๆ ริมฝีปากสีเข้มแย้มรอยยิ้มแปลกตากว่าทุกที


“ฉันยังไหวนะ... ให้อยู่เป็นเพื่อนก่อนก็ได้” สรรพนามที่ใช้แทนตัวเปลี่ยนไป กระทั่งน้ำเสียงก็ยังสดใสขึ้น


...ฉัน...คำแทนตัวที่แปลกไป...ยิ่งกว่านั้น น้ำเสียงที่ปกติจะเรียบๆกลับหวานและสดใสขึ้น


“ผมว่าคุณเมาแล้ว กลับบ้านเถอะ” ราเมนทร์ลุกขึ้นแล้วโบกมือให้บริกรมารับการ์ดในมือไป


“คุณธัน เวียนหัวไหม”


“นิดนึงล่ะมั้ง... แต่ไม่เป็นไรจริงๆนะ” คนที่แทบไม่เหลือสติแล้วยังคงยิ้มแย้มพูดจาคลายกังวลให้ร่างสูง


รอยยิ้มที่ดูราวกับเด็กซุกซนทำให้ราเมนทร์ยิ้มออกมาบ้าง เขาประคองธันย์ชนกที่โซเซมาซบก่อนจะรินเหล้าที่เหลือเข้าปากในทีเดียว


“เหล้าหมดแล้ว กลับบ้านกันนะ”


“หมดแล้วเหรอ..... อยากกลับรึเปล่า” แม้จะไม่ค่อยมีสติแต่ก็ยังถามถึงความต้องการของอีกฝ่าย


“กลับสิ” ราเมนทร์เซ็นชื่อในบิลแล้วลุกขึ้นประคองร่างบอบบางที่ตอนนี้ตัวอ่อนจนต้องซบบนหน้าอกตนเอง


“เวลาเมาแล้วดูเปลี่ยนไปนะคุณธัน”


“...... เหรอ เปลี่ยนไป... ขนาดไหน” คนเมายังคงยิ้มถามแม้จะแทบไม่ได้ยืนด้วยแรงตัวเองแล้ว


“ก็...แบบที่น่าตกใจล่ะนะ” รอยยิ้มหวานฉ่ำของคนเมาทำเอาอดยิ้มตามไม่ได้ ราเมนทร์รู้สึก'ชอบ'รอยยิ้มแบบนี้... แต่ก็ไม่มากเท่ายามที่เจ้าตัวยิ้มอายๆให้


...เมาแล้วหรือไงวะนี่


“ไม่กลับบ้านผมอุ้มกลับจริงๆนะ”


“ฮะฮะฮะ อุ้มฉันไม่ไหวหรอก.... ฉันไม่ใช่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆนะ” ขายาวๆสองข้างเริ่มก้าวเดินแบบไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงเท่าไหร่นัก พอพ้นประตูร้านออกมาได้เขาก็เริ่มยืนได้มั่นมากขึ้น


“ถึงจะไม่ใช่เด็กผู้หญิง แต่ผมก็อุ้มได้ ลองไหมล่ะ” ราเมนทร์พูดหยอกแต่ก็ไม่ได้ทำอะไรมากกว่ายืนเป็นหลักให้คนตัวเล็กกว่าเกาะไว้


...จะบ้าหรือไงวะ ดันไปหยอกคนเมาซะได้


นัยน์ตาเข้มมองใบหน้าขาวที่ตอนนี้แดงก่ำด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ ธันย์ชนกในตอนนี้เหมือนเด็กหนุ่มในภาพถ่ายเมื่อวันวาน


...น่าดูน้อยเสียเมื่อไหร่ล่ะ


“ก็ลองสิ ฮะฮะฮะ” ธันย์ชนกพูดทีเล่นทีจริงก่อนจะหัวเราะตามมาอีกครั้ง ร่างโปร่งบางยึดเอาไหล่กว้างไว้พลางค่อยๆก้าวเดินต่อ


ร่างสูงย่อตัวลงแล้วตวัดร่างเพรียวขึ้นแนบอก ศีรษะกลมมนโชยกลิ่นแอลกอฮอล์และพีชซวบซบบนแผงอกหนา ธันย์ชนกที่เงยหน้าขึ้นมองอยู่ใกล้จนริมฝีปากแทบจะแตะปลายจมูก


“อุ้มแล้ว คุณธันเมาอย่างนี้กลับบ้านกันดีกว่า”


รอยยิ้มฉายขึ้นบนใบหน้าพร้อมกับท่อนขาแข็งแรงที่ก้าวเดิน


...บางที...การอยู่กับธันย์ชนกก็มีความสุขเหมือนกัน...


“ทำแบบนี้... ฉันเขินเป็น... นะ” รอยยิ้มยังปรากฏบนใบหน้าของคนที่ถูกอุ้มไปจนถึงรถ ธันย์ชนกเอนกายพิงลงกับเบาะข้างคนขับก่อนจะหลับตาลงด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ แต่ริมฝีปากยังคงไม่หยุดพูด


“แรงเยอะ... จริงๆด้วย”


“นอนไปเลยครับ หลับไปเลยก็ได้เดี๋ยวปวดหัว” ราเมนทร์ปิดประตูรถฝั่งคนขับแล้วสตาร์ทเครื่องและไม่ลืมที่จะหยิบเสื้อคลุมมาห่มให้ 'ผู้ใหญ่ขี้เมา' ที่นอนขดตัวอย่างกับเด็กน้อย


“ปกติไม่เคยเห็นยิ้มเยอะขนาดนี้เลย...”

 

 











กว่าจะทุลักทุเลอุ้มพาคนเมาหลับมาถึงห้องได้ก็ปาไปกว่าเที่ยงคืนแล้ว ราเมนทร์นั่งพิงโซฟาตัวนุ่มโดยที่มีธันย์ชนกนอนคว่ำจับจองไปแล้วเรียบร้อย


แม้ว่าฤทธิ์เหล้าจะทำอะไรเขาไม่ได้สักนิด แต่ดูเหมือนกับคนที่นอนอยู่จะทำให้เป็นมากเสียยิ่งกว่ามากอีก


ร่างสูงลุกไปเอาผ้าขนหนูชุบน้ำบิดหมาดๆมาเช็ดตามลำคอขาวเนียน ปลายนิ้วสากไล้ตามรอยแดงที่เกิดด้านหลังพลางพึมพำเบาๆว่าแพ้หรือเปล่า..


“คุณธัน พลิกตัวมาเช็ดหน้าก่อนนะครับ” พูดทั้งๆที่รู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีสติจะตอบแล้ว


รอยยิ้มอ่อนใจผุดขึ้นก่อนที่เขาจะช่วยร่างเพรียวขยับตัว..แต่แต่แตะนิดเดียว ธันย์ชนกกลับพลิกตัวนอนหงายจนทำให้ตนเองเป็นฝ่ายเสียหลักล้มลงแนบแก้มคนเมา


“ตื่นแล้วเหรอ....”


นัยน์ตาคมมองแพขนตาที่ปิดสนิทของคนตรงหน้า ใบหน้าที่ปกติจะมีแต่ร่องรอยความเขินอายกลับหลับใหลต่อหน้าตนเองอย่างเปิดเผย ริมฝีปากสีสดโชยกลิ่นแอลกอฮอล์จางๆจากลมหายใจ ใบหน้าที่เกือบจะแนบชิดกันทำให้รู้สึกหวั่นไหว...จนสุดท้ายก็อดจะลองลิ้มรสความหวานที่ขมปร่าของริมฝีปากที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้


...ขม...


...แต่หวาน...


สัมผัสบนริมฝีปากไม่อาจปลุกคนที่ไร้สติได้ ทว่าบนใบหน้ากลับมีรอยยิ้มเขินอายของเจ้าตัวปรากฏขึ้น


“....... คุณ..... ราม......” ธันย์ชนกพึมพำออกมาเบาๆทั้งๆที่ยังไม่ได้สติ


เสียงหวานหูที่ดังขึ้นใกล้ตัวเรียกสติคนที่หลงใหลในรสจูบกลิ่นพีช  ราเมนทร์เม้มริมฝีปากแน่นก่อนจะถอยตัวออกมานั่งลงบนพื้น


“เมาเหรอวะ...”


คุณ... ราม


เสียงของธันย์ชนกที่เรียกชื่อตนเองบอกให้รู้ถึงความรู้สึกบางอย่างของคนๆนี้... และถ้าไม่ได้คิดไปเอง หลายๆการกระทำยังช่วงเสริมได้ว่าธันย์ชนกชอบตัวเขา


“...เป็นเรื่องเลยกู...”


ร่างสูงปล่อยตัวไหลลงจากโซฟาสู่พื้น ความรู้สึกในตอนนี้ไม่มีคำว่ารังเกียจสักนิด... ติดไปทางค่อนข้างชอบคนที่นอนหลับอยู่ด้วยซ้ำ


...แต่แน่นอน...


...คำว่ารักมีให้ได้เพียงคนๆเดียว...


ชายหนุ่มค่อยๆหยิบบีบีแล้วเลื่อนเปลี่ยนเป็นโหมดถ่ายภาพ ปลายนิ้วกดลั่นชัตเตอร์ถ่ายไว้... ภาพรอยยิ้มหวานที่นานครั้งจะได้เห็น เขาอยากเก็บภาพนี้ไว้เป็นตัวแทนของความทรงจำในวันนี้...


...ผมชอบคุณนะคุณธัน...


...เพียงแต่ผมไม่สามารถเลิกรักรันได้จริงๆ...














To be continued...




kagehana : ยังค่ะยัง ยังไม่ดราม่า หวานให้ตายใจไปก่อน อิอิ
หัวข้อ: Re: ・・・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน21 จูบหวานซ่านขม (25/12/13)
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 25-12-2013 23:37:45
คุณธันน่ารักนะพี่ราม
หัวข้อ: ・・・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน22 ปีศาจน้อยตัวร้าย (27/12/13)
เริ่มหัวข้อโดย: kagehana ที่ 27-12-2013 19:00:45


-22-














“... น้ำตกสวยจังเลยนะพี่หมอ” รัญชน์เอ่ยพูดอย่างเริงร่าพลางเหยียดแขนขากางออกรับลมเย็นที่เกิดขึ้นเพราะแรงน้ำตก ด้านหลังมีร่างสูงนั่งเป็นหลักให้พิง ใบหน้าหวานหันมาหาก่อนจะเอ่ยชักชวน

“ลงน้ำไหม”

“ไม่เอาอ่ะ ขี้เกียจเปลี่ยนเสื้อ” กำแพงให้พิงพูดตอบ ธนกฤตเงยหน้าเอนหัวพิงไหล่เล็ก

“ตัวเล็กอยากลงเหรอ”

“อื้อ ลงด้วยกันนะ” ยิ้มรับไม่พอ ซ้ำยังลุกขึ้นแล้วฉุดแขนอีกฝ่ายให้ตามมา

“แน่ะ พี่บอกแล้วว่าขี้เกียจเปลี่ยนเสื้อนี่” ถึงจะพูดเหมือนบ่นแต่ใบหน้าหล่อเหลากลับยิ้มกว้าง

ธนกฤตแกล้งทิ้งตัวไปด้านหลังถ่ายน้ำหนักไว้ที่สะโพกไม่ให้คนตัวเล็กกว่าดึงได้

“..... ลงคนเดียวก็ได้...” รัญชน์ยู่หน้าอย่างขัดใจก่อนจะปล่อยมือออก ร่างเล็กค่อยๆหย่อนปลายเท้าลงในน้ำ แล้วค่อยๆร่นตัวเองตามลงไปไม่ให้น้ำกระจายออก

“เย็นดีนะ!”

“เสื้อเปียกหมดแล้ว ทำไมไม่ถอดก่อนล่ะ” ธนกฤตลุกขึ้นแล้วเดินไปนั่งแช่เท้าริมน้ำ สายน้ำเย็นอย่างที่อีกฝ่ายพูดจริงๆแถมยังใสจนสามารถมองเห็นได้ชัดเจน

แต่อะไรก็ไม่เร้าใจเท่าภาพคนตัวเล็กตรงหน้า...

เสื้อสีขาวตัวบางที่ชุ่มน้ำแนบตามร่างบอบบางเปิดเผยอะไรต่อมิอะไรจนหมดสิ้น ยอดอกสีสวยถูกความเย็นจนนูนขึ้นบนแผ่นอกที่เห็นรอยช้ำกระจายทั่ว ไหปลาร้าสวยได้รูปขยับเบาๆตามแรงว่ายของคนอยู่ไม่สุข... ยังไม่นับคิสมาร์คที่ซ่อนอยู่ใต้เรือนผมสีอ่อนหลังลำคอที่เขาแอบทำไว้เมื่อคืน

“เห็นหมดแล้วตัวเล็ก...” ธนกฤตพูดอ้ำอึ้ง ใบหน้าขาวขึ้นรอยแดงอย่างปิดไม่มิด

...บ้าเอ๊ย! อายอย่างกับเด็กหนุ่มหลังมีเซ็กส์ไปได้...

“........” เด็กหนุ่มหยุดการเคลื่อนไหว ก่อนจะเปลี่ยนมาเอียงคอให้ซ้ำยังส่งยิ้มหวาน

“เห็นอะไรนะ”

“ก็เมื่อวานทำอะไรไว้ก็เห็นหมดแหละ” พูดพลางชี้ไปที่ลำคอของตนเองแล้วพยักเพยิด

“ขึ้นดีกว่ามั้ง นอนน้อย...เดี๋ยวไม่สบายนะ”

“นอนน้อยอะไร เมื่อวานนอนเต็มอิ่มออกนะ” คนตัวเล็กทำเสียงไม่พอใจขึ้นมา แต่รอยยิ้มยังคงประดับอยู่บนใบหน้าหวาน เขายกมือขึ้นเสยผมตัวเองลวกๆแล้วดำน้ำลงไปอีกครั้ง ก่อนจะโผล่ขึ้นมาใกล้ๆ

“ไม่ลงด้วยจริงๆเหรอ”

“อยากให้ลงเปล่าล่ะ” ธนกฤตยิ้มแล้วก้มตัวลงจูบหน้าผากเย็นฉ่ำเร็วๆทีนึง

พอแช่เท้าแล้วก็รู้สึกอยากเล่นขึ้นมาเหมือนเด็กๆ ยิ่งปลอดคนแบบนี้ยิ่งแล้วใหญ่

“อยากสิ ไม่อยากแล้วจะถามทำไมนะ” คนพูดไม่ชัดทำทีเป็นยอกย้อนพลางยิ้มหวานให้อีกที

พอฟังคำร้องขอปนยอกย้อนบวกรอยยิ้มหวานๆ หมอหนุ่มก็ถอดเสื้อวางบนโขดหินแล้วไถลตัวลงน้ำตกทันที

สัมผัสแรกคือความหนาว...จนต้องลากเจ้าตัวเล็กที่ยิ้มชอบใจเข้ามากอด ก่อนจะแปรเป็นความอบอุ่นของผิวเนื้อที่สัมผัสจนแนบชิด ธนกฤตเกลี่ยปลายจมูกบนแก้มใสเบาๆแล้วงับติ่งหูหยุ่นนิ่ม

“ทำคนเขาเสียผู้ใหญ่หมด”

“เสียผู้ใหญ่... คืออะไรนะ” คนฟังทำหน้าสงสัยพลางเกี่ยวแขนโอบรอบเอวของร่างสูงไว้แน่น ให้ความอุ่นจากผิวกายถ่ายทอดสู่กัน

“ก็...อธิบายยากน่ะนะ”

...ไอ้มือลูกปลาหมึกนี่มันอะไร...

“ก็แบบ...พี่เป็นผู้ใหญ่ไหม แล้วรันเป็นเด็ก รันเล่นน้ำได้โดยไม่มีใครมอง... แต่พี่แก่แล้วควรนั่งดูเฉยๆ อะไรประมาณนี้มั้ง” มือใหญ่จับท่อนแขนเรียวที่กอดเอวแน่นแล้วค่อยๆดึงออก

“แยกกันดีกว่า เดี๋ยวใครเห็นเขินเขาแย่”

รัญชน์ส่งรอยยิ้มหวานปนร้ายให้อีกทีหนึ่ง ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วดำน้ำลงไป มือสองข้างเอื้อมมาจับขอบกางเกงของธนกฤตก่อนจะออกแรงดึงให้เลื่อนลง

เขาใช้มือกอบกุมส่วนอ่อนไหวที่ยังไม่ตื่นตัวของอีกฝ่ายไว้ก่อนจะยื่นปลายลิ้นออกไปแตะเบาๆจากใต้น้ำ

“เดี๋ยว-- เดี๋ยวเถอะ!?” ร่างสูงที่รับรู้ว่าอะไรคืออะไรโวยลั่น ท่อนแขนแข็งแรงแช่ลงไปในน้ำรีบดึงร่างเล็กที่ยิ้มใส่อย่างไม่เกรงกลัวขึ้นมา

“ลามกนะเรา เป็นเด็กเป็นเล็กเล่นอย่างงี้ได้ไง” แก้มใสๆที่ลอยไปลอยมาอย่างไร้อาการสำนึกทำเอาอยากลงโทษสักที

...นี่มันคนเดียวกับไอ้ที่นอนครางตอนถูกลูบหลังเมื่อวานเหรอวะเนี่ย...

ธนกฤตรีบดึงกางเกงที่หลุดออกขึ้นใส่จากใต้น้ำ แล้วหันมาหยิกแก้มขาวเบาๆ

“ทะลึ่งใหญ่แล้ว”

“You don't like it?” คนถูกปรามทำหน้าสลดลงพลางทำเสียงอ่อนถาม

“ไม่... อย่าทำหน้าแบบนี้สิ” พอเห็นรัญชน์ทำหน้าสลดเข้าหน่อยก็อดจะโอ๋ไม่ได้

“เรื่องแบบนี้ทำในที่ที่อาจจะมีคนเห็นไม่ดีหรอกนะ”

“ใครจะมาเห็นนะ เงียบออก ที่รีสอร์ทก็ไม่เห็นมีใครเท่าไหร่นะ” คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัย

“อาจมีใครแอบดูก็ได้ นะครับ ตัวเล็กคนดีของพี่หมอ” 'พี่หมอ'ยิ้มหวานปลอบใจ

“ก็... พี่หมอก็ยืนนิ่งๆนะ ตัวเล็กทำให้” รัญชน์ยิ้มหวานออดอ้อนอีกที

“เดี๋ยวตีเลย เด็กอะไรก็ไม่รู้” ใบหน้าขาวที่เย็นเฉียบด้วยน้ำกลับร้อนขึ้น ธนกฤตดึงร่างบอบบางเข้ามากอดแล้วซุกซบใบหน้าบนลาดไหล่เล็ก

“ทำเป็นหรือไง เมื่อวานมีแต่พี่ทำให้นะ”

“... ลองดูนะ” เด็กหนุ่มร่างเล็กยังไม่ล้มเลิก นัยน์ตากลมโตสบมองดวงตาเรียวคมของอีกฝ่ายนิ่ง

“เสียเส้น... ให้พี่ทำแล้วกัน” มือหนาใหญ่รั้งเอวบางเข้ามาแนบชิด การกระตุ้นแบบขาดๆเกินและบรรยากาศที่ดูเหมือนกำลังลักลอบทำอะไรอยู่ราวกับชนวนที่ถูกจุดจากเชื้อไฟ

...เมื่อถึงขั้นนี้แล้ว จะให้ทำเฉยก็ดูไร้น้ำยาเกินไป...

“จูบหน่อยครับ”

รัญชน์ยิ้มอย่างพอใจก่อนจะใช้เรียวขาเกี่ยวรอบเอวของร่างสูงแล้วยืดตัวขึ้นแนบริมฝีปากที่เย็นเยียบเข้าสัมผัสกัน

ธนกฤตจูบตอบ... ก่อนจะเลื่อนลงจูบปอยผมชุ่มน้ำของคนรักที่รุ่ยร่ายอยู่บนแผ่นอกเรียบตึงสีจางด้วยเชื้อชาติที่อยู่ในสายเลือด กลิ่นหอมสดชื่นของผิวกายเมื่อรวมกับกลิ่นธรรมชาติแล้วยิ่งกระตุ้นอารมณ์ส่วนลึกให้ปลดปล่อยออกมา

...เป็นไปตามธรรมชาติ...

...และหัวใจที่เรียกร้อง...

“รักพี่บีม... ที่สุดนะ...” คนตัวเล็กที่เริ่มปล่อยตัวตามสบาย ให้สัมผัสของธนกฤตเป็นฝ่ายนำไปเอ่ยคำรักหวานหู

“พูดอย่างนี้ให้ได้ตลอดนะ” พระจันทร์เสี้ยวคู่บนใบหน้าหยักโค้งอย่างใจดี... แต่หากมองอย่างชัดเจนจะเห็นแววเจ้าเล่ห์ไม่ต่างกับคนตัวเล็ก

“ถ้าทำต่ออย่าร้องให้หยุดแล้วกัน”

 












 

เสียงกุกกักใกล้ๆตัวค่อยๆเรียกธันย์ชนกให้ลืมตาขึ้นช้าๆ มือเรียวยกขึ้นกดที่ข้างขมับก่อนจะหลับตาลงอีกครั้ง

...ปวดหัวจัง...

แถมยังจำอะไรไม่ค่อยได้อีก

“อือ...” ชายหนุ่มมองไปรอบๆด้วยความรู้สึกไม่คุ้นเคย

...จำได้ว่าฝันดี...

“..... ??!!!” เพราะนึกขึ้นได้ถึงสถานที่ในตอนนี้ ธันย์ชนกรีบลุกขึ้นจากโซฟาตัวใหญ่ทันที ก่อนจะรู้สึกคล้ายๆกับโลกหมุน จนต้องป่ายมือหาที่ยึด

เสียงเนื้อผ้าเสียดสีกันปลุกคนที่นอนอยู่บนพื้นพรมให้ค่อยๆลืมตาขึ้น ราเมนทร์หาวเบาๆแล้วยกมือขยี้ตา

...ทำไมมานอนตรงนี้ได้วะ

ยังไม่ทันจะหาคำตอบได้ เสียงร้องสั้นๆพร้อมกับก้อนอะไรบางอย่างก็ตกลงมาบนร่าง

“โอ๊ย!”

“อูย-- !!??? คุณราม???” คราวนี้ธันย์ชนกถึงกับทำอะไรไม่ถูก เขารีบยันตัวเองขึ้นจากอีกฝ่ายแทบจะทันที

“เจ็บตรงไหนหรือเปล่าครับ โดนตรงไหนบ้างไหม...”

“ตรงท้องนิดหน่อยครับ” ราเมนทร์ไม่ใช่พระเอกที่จะบอกว่าไม่เจ็บทั้งที่ในใจคิดอีกอย่าง ร่างสูงค่อยๆจับธันย์ชนกที่ล้มใส่ให้นั่งลงกับพื้นก่อนจะลุกขึ้นช้าๆ

“วิธีปลุกแบบใหม่เหรอ” กลิ่นพีชในเช้านี้ดูจะหอมมากขึ้น... โดยเฉพาะเวลาที่ใบหน้าอยู่ใกล้กันขนาดนี้

“เปล่าครับ ผมยังมึนอยู่ก็เลย.... ล้ม” พอรู้สึกได้ว่าใบหน้าอยู่ใกล้กัน ธันย์ชนกก็เบนสายตาหลบก่อนที่พวงแก้มจะเปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้น

ใบหน้าสีจัดของธันยช์ชนกชวนให้นึกถึงเมื่อคืนที่แอบขโมยจูบตอนนอนไป ริมฝีปากแดงก่ำที่ดูบวมๆ...ในตอนนี้กลับไปเป็นแบบเดิมโดยไร้ร่องรอยใดๆแล้ว

...แต่รสชาติยังติดใจอยู่ในไม่เลือนหาย...

“เมื่อคืนคุณเมามากเลยนะครับ ผมไม่รู้ว่าคุณคออ่อน...”

“!!?? ขอโทษครับ ผมทำให้ลำบากหรือเปล่า... แต่... ผมจำอะไรไม่ได้เลย คุณรามต้องพากลับมาเอง... ขอโทษนะครับ” ท้ายประโยคเสียงของธันย์ชนกเบาลงขณะค่อยๆเหลือบตามองใบหน้าของราเมนทร์

ราเมนทร์ยิ้มจางๆ ถ้าคนๆนี้เป็นรัญชน์...เขาคงยื่นมือไปลูบหัวแล้ว

“ไม่ลำบากหรอกครับ คุณธันยังเมาแล้วน่ารัก...ไม่เหมือนพวกเพื่อนผม เมาแล้วเรื้อนกันเป็นแถว”

“............. น่ารัก... อะไรกันครับ ผมจำอะไรไม่ได้เลยแท้ๆ” เขาเอ่ยต่อเสียงเบาพลางค่อยๆถอยตัวออกมาแล้วลุกขึ้นยืน

“ผมกลับห้องก่อนนะครับถ้าอย่างนั้น... ขอโทษนะครับ...”

“แล้วเมื่อคืนไม่ได้ถอดคอนแทคไม่เคืองตาแย่เหรอครับ” ราเมนทร์ลุกตาม มือใหญ่เผลอจับที่ใบหน้าขาว หัวคิ้วขมวดมุ่น

“ไม่ดีนะครับใส่ไว้ทั้งคืน ผมก็แย่จริงๆ...ลืมถอดให้”

ธันย์ชนกรีบหันใบหน้าหนี แล้วเอ่ยตอบอย่างรีบร้อนพลางเดินออกห่าง

“ก็แสบตานิดหน่อย... ครับ... เดี๋ยวจะถอดออกแล้ว..... เอ่อ ยังไงก็ ขอบคุณนะครับ” หมดคำร่างเพรียวก็เปิดประตูห้องของราเมนทร์แล้วเดินออกไปทันที

“แปลกคนแฮะ” บ่นพึมพำด้วยรอยยิ้ม ราเมนทร์มองร่องรอยบนโซฟาที่ธันยช์ชนกทิ้งไว้ ร่างสูงทุ่มกายลงบนโซฟาพลางหลับตาลง...

...พีช....

แม้เจ้าตัวจะไม่อยู่แล้ว แต่กลิ่นหอมหวานเจือเศร้ายังคงหลงอยู่ในอากาศ...และความทรงจำของใครบางคน

 











 

“พี่หมอเป็นตัวร้าย คนไม่ดี” รัญชน์เอ่ยพึมพำเบาๆขณะขี่หลังอีกฝ่ายกลับบ้านพัก ใบหน้าหวานแนบกับแผ่นหลังกว้างอย่างหมดแรง

“พี่หมอเป็นคนน่ารัก เป็นคนดีที่สุดในโลกต่างหาก” คนที่เป็นม้าให้ขี่พูดยิ้มๆ

หลังจากที่โดนฤทธิ์'เด็กกวน'จนต้อง'กวนกลับ'ที่น้ำตกไปแล้ว คนตัวเล็กที่โดนจัดการจนหมดแรงก็อ้อนขอขี่หลังทำโทษเขาพลางพึมพำไม่หยุด

“รันต่างหากนะ ที่นิสัยไม่ดีนะ” เสียงทุ้มแกล้งดัดง้องแง้งเลียนแบบคนรัก

“..... อย่ามาล้อเลียนกันนะพี่บีม” คนหมดแรงทุบเบาๆที่ลาดไหล่กว้างแล้วงับให้แรงขึ้น

“ไม่ล้อก็ได้... เจ็บหรือเปล่า” แม้ในน้ำจะใสและดูแล้วไม่น่ามีอะไรแปลกปลอม แต่ตอนที่พลั้งเผลอไถลตัวไปตามแรงอารมณ์อาจจะทำให้เป็นแผลได้

“ถ้าเหนื่อยก็นอนได้นะ... สมน้ำหน้าเด็กชอบยั่ว” คำสุดท้ายพูดพร้อมรอยยิ้มและเสียงหัวเราะสดใส... และแรงงับที่หนักขึ้นบนไหล่หนา

“..... แบบนี้ก็เหมือนไม่ได้มาเที่ยวเลยนะ... พี่บีมนิสัยไม่ดี... ถ้าแค่ครั้งเดียวก็ไม่หมดแรงหรอกนะ......” คนถูกทำโทษยังคงบ่นอุบอิบไปพลาง เปลี่ยนมางับต้นแขนไปพลาง

“ก็ถ้าตัวเล็กไม่แกล้งพี่ก่อนก็ได้เล่นน้ำสบายๆแล้ว” หมอหนุ่มประท้วงด้วยน้ำเสียงสดชื่น เขารั้งตัวคนที่อยู่บนแผ่นหลังเข้ามาใกล้แล้วจูบข้างแก้มเบาๆ

“ก็รันมาจุดไฟพี่อ่ะ....ร้อนแรงกันเลยทีนี้”

“จุดไฟ... อะไร?” วงแขนที่โอบรอบตัวไว้รัดแน่นขึ้นเล็กน้อยก่อนจะบ่นอุบอิบเบาๆ

“ก็รักพี่บีมนะ....”

“รู้แล้วครับ รักเหมือนกัน”

พอมาถึงที่พัก เสื้อผ้าที่เปียกชื้นของคนที่เคยอยู่บนหลังก็ถูกจับถอดวางไว้ตรงพื้นทันที ธนกฤตถอดของตัวเองกองไว้บ้างแล้วเปลี่ยนเป็นท่าอุ้มทั้งๆที่เปลือยกาย

“เดี๋ยวไปอาบน้ำล้างนู่นนี่กันก่อนแล้วไปหาอะไรกินกัน โอเคป่ะ”

“อือ... ไม่แฟร์เลย... ทำไมพี่บีมไม่เหนื่อย.... นะ” ใบหน้าของรัญชน์เอนซบลงบนแผ่นอกกว้างแล้วหลับตาลง

“อาบน้ำให้ด้วยนะ....”

“คร้าบ-------”

...ถึงจะขี้อ้อน งอแง เอาแต่ใจ...

...แต่ปีศาจน้อยตัวร้ายคนนี้ก็เป็นคนที่เขารักที่สุดอยู่ดี...

 











 

หลังจากจัดการตัวกวนน้อยๆเสร็จ ธนกฤตก็พาคนรักไปร้านอาหารของรีสอร์ท รัญชน์ชี้ชมอาหารไทยก่อนจะเกิดอาการอยากนู่นกินนี่จนต้องคอยเบรกไว้

“อาหารที่นี่ใช้ได้เลยล่ะ” หลังจากรบเรื่องของกินกันเสร็จธนกฤตก็ยิ้มหวานให้ ไม่ทันที่จะได้ทำอะไรต่อเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น

ชายหนุ่มกดรับแล้วกรอกเสียงไปในทันทีที่รู้ว่าเป็นใคร

“ป๊า— คิดถึงบีมเหรอ”

-อือ หยุดทั้งทีไม่ยอมกลับบ้าน ไปไหนน่ะเรา-

“บีมมาบรู๊คไซด์...รีสอร์ทที่ระยองอ่ะป๊า”

-ไปกับแฟนล่ะสิ... สาวคนนี้ชื่ออะไรนะ-

คำพูดของผู้เป็นบิดาทำให้หมอหนุ่มนิ่งไปครู่หนึ่ง... เพราะไม่สามารถบอกได้ในตอนนี้... นัยน์ตาหรี่คมมองนัยน์ตาสีสวยที่มองมาอย่างสนใจ

“ไม่ใช่แฟนน่ะป๊า...เพื่อน...อยากคุยป่ะ”

คำว่าเพื่อนที่ธนกฤตพูดออกมาทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกไหววูบอยู่ในใจ แต่รอยยิ้มก็ยังประดับไว้บนใบหน้าพลางรับเอาโทรศัพท์มาจากเขา

“สวัสดีครับคุณพ่อ... ผมชื่อรันครับ”

-หวัดดีลูก...ไอ้เจ้าบีมมันชอบเล่นแผลงๆอย่างนี้แหละ... แล้วเป็นไง ไปเที่ยวกันสนุกไหม ไปกับโรงพยาบาลเหรอ-

“สนุกดีครับคุณพ่อ... ผมเพิ่งจะกลับมาประเทศไทยได้ไม่นาน... พี่บีมก็เลยพาเที่ยวครับ” รัญชน์เริ่มระวังคำพูด และเลี่ยงที่จะไม่ตอบคำถามให้ฟังดูผิดสังเกตเกินไป

-ดีแล้วลูก เปิดหูเปิดตา งั้นพ่อไม่กวนแล้ว เที่ยวให้สนุกนะ-

“ขอบคุณครับคุณพ่อ สวัสดีครับ” เด็กหนุ่มยิ้มให้กับโทรศัพท์ก่อนจะส่งมันคืนให้กับเจ้าของ

“ป๊าว่าไงมั่ง” มืออุ่นๆแตะที่ข้างแก้มด้วยเห็นวี่แววความไม่สบายใจปรากฎ

“ขอโทษนะตัวเล็ก....ที่พี่บอกว่าเป็นแฟนไม่ได้.....”

รัญชน์นิ่งไปเล็กน้อย เพราะว่าดูเหมือนตัวเองจะลืมบางสิ่งบางอย่างที่สำคัญไป-- ธนกฤตยังมีครอบครัว ไม่เหมือนเขาที่มีเพียงราเมนทร์ เทียบกันแล้ว ภาระที่มีกลับต่างกันมากมาย ราเมนทร์จะทำอะไรก็ได้โดยไม่ต้องคิดถึงใคร ในขณะที่ธนกฤตต้องดูแลครอบครัว ถ้าเป็นแบบนั้นแล้ว... การที่มาคบกันแบบนี้ทำปัญหาให้

...หรือไม่ได้ทำ

“... แล้ว....... แปลว่า..... รันต้องเลิกกับพี่บีม.... ในอนาคต... หรือเปล่านะ”

คำพูดซื่อๆที่ถ่ายทอดความกังวลของคนรักไม่ต่างอะไรกับสิ่งที่อยู่ในความคิด กับป๊า... คงยากที่จะเดินเข้าไปบอกว่าลูกชายโตเป็นเกย์ ไม่สามารถมีหลานสืบทอดสกุลได้ เพราะไม่อยากให้ท่านเสียใจ

แต่ถ้าทำอย่างนั้น ฝ่ายที่เสียใจก็ต้องเป็นรัญชน์... และตัวเขาเอง

ทางเลือกที่ไร้ทางออกเหมือนหุบเขาวงกต ตัวเขาได้แต่เดินเวียนวนรอวันที่จะสามารถพูดออกไปได้

...แต่ก็เป็นตัวเอง... ที่ไม่กล้าแม้แต่จะเริ่มเอ่ยปาก...

ถ้าไม่ใช่คนสำคัญ... คงง่ายกว่านี้

“ถ้าป๊ารู้จักรัน ป๊าต้องรักรันแน่ๆ” มือใหญ่โอบร่างเล็กเขามากอดเบาๆซ่อนแววตาอ่อนล้าไว้

ณ วินาทีนี้... เขาทำได้เพียงเท่านี้เอง

“จริง... เหรอ... ขนาดพี่บีมใจดี พี่ยังไม่ชอบเลย.....” รัญชน์เอ่ยเปรียบเทียบ

...ก็นั่นมันพี่บ้าน้อง...หวงยิ่งกว่าพ่อซะอีก...

“ไม่รู้สิ แต่ป๊าพี่ใจดี... ถ้าพี่บอกว่าพี่รักรัน ป๊าคงเข้าใจแหละ” ธนกฤตพูด... ทั้งที่รู้ว่าชีวิตมันไม่ง่ายขนาดนั้น

ชายไทยเชื้อสายจีนอายุก็ร่วมจะเจ็ดสิบ... กับปัญหาเรื่องลูกชายเป็นเกย์ คงจะทำให้เจ็บปวดจนแทบทนไม่ไหว

ถ้าม๊ายังอยู่... ม๊าจะทำยังไงนะ

“ไว้หลังเที่ยวเสร็จ พี่หมอเคลียร์งาน... แล้วจะพารันไปแนะนำกับป๊า ตัวเล็กคนดีไม่ต้องกังวลนะครับ”

“... ถ้าพี่บีมบอกแบบนั้น... รันก็จะไม่กังวลนะ....” หากแต่ในใจจริง คล้ายกับมีอะไรมากดทับเอาไว้

...จะเชื่อคำว่าไม่ต้องกังวล...















To be continued...









kagehana :

ดราม่านิดๆ มาแบบกระปิบกระปอย

คนเขียนกลัวคนอ่านเบื่อความหวาน :hao7:

หัวข้อ: Re: ・・・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน22 ปีศาจน้อยตัวร้าย (27/12/13)
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 27-12-2013 23:41:59
โหยยยความหวานไม่เบื่อหรอกค่า
แต่ไม่ชอบดราม่า ฮือๆ
หัวข้อ: ・・・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน23 เรื่องเล่าของคนรักเก่า (29/01/14)
เริ่มหัวข้อโดย: kagehana ที่ 29-01-2014 23:16:00



-23-








“ตัวเล็กง่วงยัง” ในยามที่ท้องฟ้าโรยตัวด้วยความมืด ร่างสูงที่นอนกอดคนตัวเล็กก็กระซิบถามเบาๆ

“ยัง... ก็นอนเล่นเฉยๆนะ...” แขนเรียวเล็กขยับกระชับรอบเอวของร่างสูงมากขึ้น พร้อมๆกับใบหน้าที่ขยับเข้าซุกบนแผ่นอกกว้าง

ชายหนุ่มรับลูกแมวขี้อ้อนเข้ามาเต็มสองแขน ร่างนุ่มนิ่งซุกลงกับอ้อมอกราวกับจะหาความอบอุ่น ธนกฤตลูบหัวไหล่มนเบาๆอีกครั้งแล้วลุกขึ้นจากที่นอนซึ่งตอนนี้ลากเตียงมาติดกันแล้ว

“ชอบดูดาวไหม”

“ชอบดูที่ทะเลนะ รันชอบทะเลที่สุดในโลก” ใบหน้าหวานเงยขึ้นมองคนที่โอบกอดตัวเองเอาไว้

“ทะเลที่ออสเตรเลียสวยไหม” ใบหน้ายิ้มแย้มของคนรักบอกได้ดีว่าชอบแค่ไหน

“ไว้คราวหน้าที่ว่าง...เราไปทะเลกันเนอะ พาพี่รัน ป๊า พาไอ้แบมไปด้วย”

“สัญญานะ” คนพูดยื่นปลายนิ้วก้อยขึ้นมาตรงหน้าของธนกฤต

นิ้วก้อยถูกยกมาเกี่ยวแทนคำสัญญา เขาประทับริมฝีปากบนข้อนิ้วแทนการผูกมัดและคำรักหวาน...ที่เข้าใจโดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ย

“....... รักพี่บีมมากกว่าทะเลอีกนะ...” เจ้าแมวเหมียวเอ่ยพูดขึ้นมาขณะเขย่านิ้วเกี่ยวสัญญาไปมา

“ตัวเล็กแพ้พี่....” นัยน์ตายิ้มได้พราวระยับในขณะที่มองนิ้วเล็กๆที่เกี่ยวกัน

“....เพราะพี่รักรัน....มากกว่าลมหายใจอีก...”

คำพูดสวยหรู...แต่ไม่เกินความจริงสักนิด.

...เพราะลมหายใจของเขา...ให้คนๆนี้ไปหมดแล้ว...

“ไม่แพ้นะ ก็รันชอบทะเลมาก.... ถ้าจะตายก็อยากจะตายที่ทะเลนะ” รัญชน์เถียงกลับเป็นเด็กๆอย่างไม่ยอมแพ้

“ตายที่ทะเลไม่เอาด้วยหรอก บวมฉึ่ง หน้าเขียว ดีไม่ดีถูกปลาแทะอีก” ปลารูปมือหนีบเบาๆที่เนื้อขาวๆตามลำแขนเรียวและแก้มป่อง

“มาตายตรงตักพี่ดีกว่า” ...พูดไปก็เลี่ยนเอง พักหลังๆดูดีกรีความน้ำเน่าของเขาจะพุ่งทะลุถึงขั้นเทพยิ่งกว่าเวลาจีบสาวๆเสียอีก

“........ งั้นพี่หมอก็ไปเป็นตักที่ทะเลนะ!” คนพูดยังดูจะไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับคำว่า'ตาย'เท่าไรนัก

“ยังไงก็จะเอาทะเลให้ได้เลยใช่ไหม” ธนกฤตบีบจมูกคนรักเบาๆด้วยความหมั่นเขี้ยว

“อื้อ... ไม่ได้เหรอ” คนตัวเล็กถามต่อ

“ไม่ได้บอกว่าไม่ได้สักหน่อย”

...ทะเลาะกันบ้าง...

...เอาใจกันบ้าง...

...และรัก... กันมากๆ...

เผื่อในวันนึงที่อาจจะต้องห่างไกล... จะได้เก็บความทรงจำเหล่านี้... ไว้แทนหัวใจ

 

 

ธันย์ชนกปิดหนังสือลงก่อนจะถอดแว่นออกมาวางบนโต๊ะกลมตัวเล็กเพื่อพักสายตา การต้องอ่านหนังสือผ่านกระจกเลนส์ก็ทำให้ปวดตาได้เหมือนกัน

ใบหน้าที่ไม่มีแว่นกรอบหนามาปิดบังหันไปมองคนที่กำลังรัวชัตเตอร์อย่างคล่องแคล่ว ธันย์ชนกรู้สึกว่าตัวเองกำลังหลงใหลใบหน้ายามจริงจังของราเมนทร์เข้าเสียแล้ว ดวงตาสีแปลกดูไม่คุ้นเคยเหมือนปกติ-- ตั้งแต่วันที่ไปดื่มเหล้ามาด้วยกัน คล้ายกับว่าเขาสองคนจะสนิทกันมากขึ้น

...ขนาดที่ราเมนทร์ชวนให้มาด้วยกันในวันนี้

“รีเฟล็กซ์อัพซ้าย” เสียงทุ้มพูดสั่งแล้วเคลื่อนตัวถอยหลังหามุมเหมาะๆก่อนจะกดชัตเตอร์ด้วยรอยยิ้มพึงพอใจ

นางแบบวันนี้เป็นน้องครีม..ดาราดาวรุ่งช่องน้อยสีที่กำลังโด่งดัง ด้วยความที่ทางช่องต้องการธีมแบบน่ารักสบายๆ สตูดิโอที่เซตขึ้นมาเลยดูสบายไปด้วย

“โอเค น้องครีมเก่งมาก ไว้ช่วงบ่ายมาดูรูปกัน” ราเมนทร์ยิ้มจางๆให้เด็กสาวก่อนจะหันมาทางธันย์ชนกที่นั่งอยู่มุมห้อง

“รูปนึงนะคุณธัน เป็นที่ระลึก” ร่างสูงยกกล้องขึ้นรอ

“!?” ร่างกายกระตุกไปเองโดยไม่ได้ตั้งใจ ใบหน้าของชายหนุ่มหันหลบพลางเอ่ยปฏิเสธเสียงกุกกัก

“ผ... ผมไม่ชอบกล้องถ่ายรูปครับ... ขอโทษด้วย...” ธันย์ชนกพูดโดยไม่ยอมมองหน้าอีกฝ่าย

“เป็นที่ระลึกก็ไม่ได้เหรอครับ” ช่างภาพหนุ่มยังไม่ยอมกล้องลดลง นัยน์ตาสีอ่อนจ้องคนที่ก้มหน้าหลบผ่านเลนส์

“....... ขอโทษจริงๆครับ...” ธันย์ชนกหลับตาแน่น ความกลัวเริ่มก่อตัวขึ้นมาในจิตใจจนกลัวว่าจะผิดสังเกต

พอเห็นธันย์ชนกหลับตาปี๋...และร่างกายที่เริ่มสั่น ราเมนทร์จึงลดกล้องลงแล้วเข้าไปจับที่ไหล่เบาๆ ชายหนุ่มย่อตัวลงให้ใบหน้าอยู่ในระดับสายตา

“ไม่เอาแล้วก็ได้ครับ ถ้าคุณธันไม่ชอบขนาดนั้น....ขอโทษครับ”

“...... ผมต่างหากครับ.... ที่ต้องขอโทษ....” พอลืมตาขึ้นมาก็พบกับใบหน้าของอีกฝ่ายที่อยู่ใกล้ ทำให้เผลอถอยห่างออกเล็กน้อย

“... แล้ว...... ทำงานเสร็จแล้วเหรอครับ”

“ก็...เกือบเสร็จแล้วแหละครับ ไม่สิ ในส่วนของผมเสร็จแล้ว เหลือแค่ดูรูปในคอม ส่วนเรื่องคัดเลือกปล่อยให้เป็นหน้าที่ผู้ช่วยไปแล้วกันจะได้ฝึกไปด้วย” ราเมนทร์ลุกขึ้น

นัยน์ตาคมเหลือบไปเห็นแว่นที่วางไว้พร้อมเอ่ยทักทันที

“คุณธันถอดแว่นอ่านหนังสือเหรอครับ...แสดงว่าไม่ได้สั้นมากน่ะสิ”

“!? เปล่าครับ... ถอดออกมาพักเฉยๆครับ....” เจ้าตัวรีบคว้าแว่นมาสวมคืนบนใบหน้า ท่าทางหวาดกลัวในตอนแรกเริ่มจางหายไป

“ผมนึกว่าแกล้งหลอกว่าสายตาสั้นซะอีก ถ้าไม่ได้สั้นก็ดีสิ...หน้าเปล่าๆดูดีกว่า” ตบท้ายด้วยรอยยิ้มหวาน

“เฮียราม เอาข้าวป่ะ เดี๋ยวน้องโจ๊กจัดให้” เสียงห้าวๆตะโกนจากกลุ่มคนที่รุมรวมตัวเหนือกล่องข้าว โจ๊กที่เป็นตัวโจ๊กของทีมตามชื่อยิ้มแป้นแล้วพร้อมโชว์ในมือ

“คุณเพื่อนเฮียรามก็จัดให้นะคร้าบ บริการดีๆไม่คิดตัง”

“ไม่ว่ะ เดี๋ยวจะออกไปข้างนอก” ชายหนุ่มหันกลับมาหาธันย์ชนก

“ไปเลยไหมครับ”

“ครับ...” ร่างเพรียวบางคว้าเอาหนังสือขึ้นมาถือ ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินตามคนที่เก็บของเรียบร้อย

ราเมนทร์ขับรถพาคนที่มาดูงานไปยังใกล้ๆกับห้างใหญ่ใจกลางกรุงเทพ  ในยามบ่ายของวันทำงานยังคงมีรถอยู่หนาตาแต่ก็เคลื่อนตัวสะดวก ชายหนุ่มขับรถมาจอดตรงร้านอาหารไทยที่อยู่ในซอยด้านใน

“ร้านนี้เวลาผมมาอยู่ไทยมากินบ่อยๆ คุณธันเคยมาไหมครับ”

“ผมไม่ได้มาแถวนี้นานแล้วล่ะครับ ถ้าเป็นสมัยเรียนล่ะก็เคยมาครับ” ธันย์ชนกหันมาตอบยิ้มๆพลางเก็บหนังสือใส่กระเป๋า เผื่อว่าอีกฝ่ายจะบอกให้เขาลงก่อน

“คุณธันเรียนแถวนี้เหรอครับ ดีจัง...แสดงว่าเรียนเก่งน่ะสิ” ราเมนทร์ถามขณะหมุนพวงมาลัยเข้าไปยังที่จอดรถ

“ก็... ไม่เก่งขนาดนั้นหรอกครับ” ชายหนุ่มพูดถ่อมตัวก่อนจะหัวเราะเบาๆ ตั้งแต่วันฝนตกวันนั้น ธันย์ชนกก็ไม่ได้กลับมาแถวนี้อีกเลย

“ถ่อมตัวตลอด...” ราเมนทร์แซวยิ้มๆ

เขาจอดรถเสร็จก็เปิดประตูออกมายืนข้างรถรออีกคน

“เชิญครับ” พอธันย์ชนกลง ชายหนุ่มก็ทำท่าผายมือให้เข้าไปในร้านก่อน

“... ขอบคุณครับ” พอถูกปฏิบัติคล้ายกับเป็นคนพิเศษ ชายหนุ่มอายุมากกว่าก็อดจะเขินไม่ได้ ได้แต่ก้มศีรษะขอบคุณไปแล้วเดินเข้าร้าน

ร้านนี้ยังคงเหมือนครั้งสุดท้ายที่มากิน ตัวร้านเป็นกำแพงโปร่งๆสีขาวติดแนวกระจกซึ่งทำเป็นม่านน้ำตกไว้ ด้านนอกมีโต๊ะเอาท์ดอร์เล็กๆจัดเป็นมุมสวยงาม ส่วนข้างในที่เพิ่งก้าวเข้ามานั้นเป็นส่วนร้านอาหารที่ตกแต่งในสไตล์อบอุ่น ราเมรทร์ยิ้มทักให้พนักงานเสิร์ฟที่มาต้อนรับ

“สองท่านนะคะ เชิญด้านในเลยค่ะ”

“ขอบคุณครับ”

“......” ธันย์ชนกนั้นเดินตามอีกฝ่ายไปเงียบๆ ด้วยความไม่คุ้นเคยกับการต้องอยู่ในที่ที่มีคนเยอะๆแบบนี้

พอนั่งลงที่โต๊ะ ท่าทางที่ดูเกร็งๆก็ค่อยผ่อนคลายลง

เมนูซึ่งมาในรูปแบบแผ่นไม้หนาแต่เบาถูกวางลงที่โต๊ะ ราเมนทร์หยิบมาดูแล้วยื่นให้

“วันนี้ผมชวนคุณธันมาเหนื่อยที่กอง เพราะงั้นผมเลี้ยงนะครับ..ทานเผ็ดได้ไหม”

“ได้ครับ ผมไม่เลือกกินเท่าไหร่... แต่ไม่เป็นไรนะครับ ไม่ต้องเลี้ยงหรอกครับ....” คนอายุมากกว่าพูดอย่างเกรงใจ

“งั้นแชร์กันก็ได้ครับ” ราเมนทร์ตอบอย่างไม่เรื่องมาก

“เดี๋ยวขอดูเมนูแป๊บนึงนะครับ เดี๋ยวเรียกอีกที” คราวนี้หันไปพูดกับบริกรสาวที่อยู่ใกล้ๆซึ่งเธอก็ยิ้มรับและถอยออกไป

ขณะที่กำลังไล่สายตาไปตามเมนูนั้น ตอนที่กำลังเงยหน้าขึ้นมองรอบๆกาย ก่อนที่สายตาจะไปหยุดอยู่ที่แขกกลุ่มใหม่ที่เข้ามา

“!!???”

...ไม่จริง...

ใบหน้าที่ปกติก็ดูไร้สีสันอยู่แล้วกลับดูซีดลงทันที ธันย์ชนกรีบซ่อนใบหน้าไว้หลังเมนูรอให้กลุ่มคนเหล่านั้นเดินผ่านไปแล้วจึงรีบเอ่ยปาก

“คุณรามครับ-- ผมคิดว่าไม่สะดวกแล้วที่จะทานข้าวที่นี่ ถ้ายังไง... เปลี่ยนที่ได้ไหมครับ” แม้กระทั่งน้ำเสียงก็ยังกดให้เบาคล้ายกับกลัวใครได้ยิน

“หือ? ทำไมเหรอครับ คุณธันไม่ชอบที่นี่เหรอ” ราเมทร์ถามพลางมองคนที่พยายามห่อตัวเหมือนจะให้หายไปกับเก้าอี้นั่ง ใบหน้าขาวซีดฉายแววหวาดกลัวจนอดนึกสงสัยไม่ได้

“คุณธัน... ไม่สบายเหรอครับ”

“นึกว่าใคร... ธันเองเหรอเนี่ย” เสียงทุ้มที่ดังขึ้นเหนือศีรษะเรียกให้ราเมนทร์แหงนขึ้นมอง

คนที่เพิ่งมาใหม่ซึ่งเรียกธันย์ชนกอย่างสนิทสนมมีร่างกายสมส่วนและผิวขาว ใบหน้าจัดว่าหล่อเหลา...แต่ไม่นับกับความรู้สึกแปลกๆที่ให้บรรยากาศคุกคามเจ้าของชื่อ

“ไม่ได้เจอกันตั้งเกือบสิบปี นายเปลี่ยนไปเยอะเลยนะ” มือนั้นแตะที่ปลายผมสีอ่อนของธันย์ชนกแล้วม้วนเล่นเบาๆ นำความไม่พอใจมายังนัยน์ตาสีน้ำตาลจางของราเมนทร์

ปลายนิ้วที่สัมผัสบนเส้นผมทำให้ธันย์ชนกขยับหนีโดยไม่ได้ตั้งใจ หัวใจเต้นระรัวราวกับจะหลุดออกมาข้างนอก รู้สึกได้ถึงปลายนิ้วมือที่เย็นเยียบของตน

“อ... อืม.... เดี๋ยว... ฉันจะกลับแล้ว......” กระทั่งน้ำเสียงที่ส่งออกไปก็ยังแปร่งปร่า สั่นพร่าจนรู้สึกได้

“จะรีบกลับทำไมล่ะ มานั่งคุยเรื่องเก่าๆกันหน่อยไหม” ใบหน้าที่ก้มเข้าใกล้จนร่างเพรียวถึงกับตัวสั่นเป็นเหตุให้ราเมนทร์ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามลุกขึ้นเบี่ยงกายเข้าแทรกแล้วจับข้อมือเรียวไว้

“ขอโทษนะครับ คุณธันท่าทางจะป่วย ขอตัวก่อน” ราเมนทร์โอบร่างบางให้ลุกขึ้น ร่างสั่นเทาที่อยู่ในอ้อมแขนดูน่าสงสารและหวาดกลัวเกินกว่าจะปล่อยมือไป

“แฟนใหม่เหรอ?”

ในตอนนี้ ธันย์ชนกไม่รู้แม้แต่จะตอบอะไรอีกฝ่ายแล้วด้วย

“..... อ...”

“แฟน” ราเมนทร์ให้คำตอบแทนคนที่ไม่มีแรงแม้แต่จะพูด นัยน์ตาคมมองคนที่มาใหม่หัวจรดเท้าก่อนจะพูดต่อ

“ขอตัว”

“เดี๋ยวสิ ฉันพูดกับธัน ไม่ได้พูดกับนาย”

มือที่แข็งราวกับเหล็กจับไปที่ท่อนแขนเรียวพร้อมกับออกแรงบีบเบาๆ

“มีแฟนใหม่ทำลืมฉันเชียวนะ”

“!!? ป... ปล่อย-!?” แม้จะต่อต้านแต่กลับไม่มีแรงจะสะบัดแขน เรี่ยวแรงทุกอย่างคล้ายถูกมือข้างนั้นสูบพลังออกไปหมด

ท่าทีที่ไม่ยินดีของธันย์ชนกทำให้ราเมนทร์ตัดสินใจดึงแขนเรียวออกมาทันทีที่ผู้ชายอีกคนเผลอ ชายหนุ่มประคองร่างเพรียวเดินมาที่รถพร้อมกับเปิดล็อกแล้วรุนธันย์ชนกเข้าไปนั่งด้านในก่อน

“คุณจะทำอะไร”

“แล้วนายคิดว่าฉันจะทำอะไรล่ะ” เรียวคิ้วบนใบหน้าขาวนักขึ้นอย่างตั้งใจกวนอารมณ์ ก่อนจะมองราเมนทร์จากหัวจรดเท้าแล้วยิ้มเยาะออกมา

“ธันน่ะ...เห็นอย่างนั้นแต่เมื่อก่อนสนิทสนมกับฉันมากเลยรู้ไหม”

“ผมไม่อยากรู้ และไม่อยากยุ่งกับคุณอีก....คุณธันเองก็คงคิดเหมือนกัน”

“แต่อดีตมันเปลี่ยนไม่ง่ายหรอกนะ...ฝากบอกธันด้วยล่ะ”

ไม่ทันที่จะพูดจบราเมนทร์ก็เป็นฝ่ายเดินหนีขึ้นรถ ยังให้ชายหนุ่มที่ถูกทิ้งแสดงอาการโกรธผ่านถ้อยคำหยาบคายซึ่งถูกกันไว้ด้วยกระจกรถ

“โรคจิตเปล่าวะ...แม่ง...” แม้จะโมโหแต่ชายหนุ่มที่เพิ่งขึ้นรถก็ใจหายวูบเพราะธันย์ชนกเกิดอาการสั่นจนจิกท่อนแขนของตัวเองเป็นรอยข่วนยาว

“คุณธัน! คุณธัน! “ เรียกพลางดึงมืออีกฝ่ายมากุมเบาๆ

“!? ............... อ..... ข... ขอโทษครับ” ชายหนุ่มได้สติค่อยๆคลายแขนออก ใบหน้าของเขาซีดจนน่ากลัวว่าจะพับไป

“...... อย่าเพิ่ง... กลับบ้าน... ได้ไหมครับ”

“ใจเย็นๆนะครับคุณธัน.....” น้ำเสียงที่เจือความอ่อนโยนทุ้มต่ำลง ราเมนทร์ออกรถทั้งๆที่มือยังกุมมือเรียวไว้

ชายหนุ่มบีบมือที่คล้ายจะเล็กลงกว่าเดิม จนเมื่อธันย์ชนกหยุดสั่น รถก็เคลื่อนตัวไปกลางท้องถนนแล้ว

“ไม่เป็นไรนะครับ...ผมอยู่ตรงนี้...”

“...... ไป..... ที่ไหน.... สักที่.... ที่ไม่ใช่บ้าน... นะครับ” น้ำเสียงของธันย์ชนกเอ่ยแผ่วเบา ในใจนึกขอบคุณทว่ากลับยังหวาดกลัวต่อคนที่เจอเมื่อครู่

...และไม่รู้ว่าจะต้องอธิบายกับคนข้างๆยังไง

“...ได้ครับ...” ถึงจะไม่รู้เหตุผล แต่ราเมนทร์ก็ยอมทำตามคำขอร้องอันแผ่วเบานั้น

“ดูท่าทางคุณธันอยากพักผ่อน...จะได้ไหมครับถ้าผมพาคุณธันไปโรงแรมใกล้ๆ...แล้วค่อยสั่งอะไรขึ้นมากิน หมอนั่นเองจะได้ตามมาไม่ถูกด้วย”

ทางออกแม้จะไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด แต่ก็ไม่เลวร้ายเกินไป เพราะหากไปที่ร้านอาหารคนๆนั้นคงตามมาได้ แต่โรงแรมมีเป็นร้อยห้อง...น่าจะปลอดภัยกว่า

“คุณธัน...ไม่ถือใช่ไหม..”

“...... ไม่... เป็นไร... ครับ” เขาเอ่ยตอบพลางค่อยๆเหลือบมองใบหน้าด้านข้างของราเมนทร์

...จะรังเกียจผมหรือเปล่า...

“ดีแล้วครับ” ราเมนทร์บีบมือเบาๆก่อนจะปล่อยมาจับพวงมาลัยเหมือนเดิม

...รู้สึกเป็นห่วงกว่าปกติ...

...ความรู้สึกแบบนี้ไม่คุ้นเลย...

 

 
“..... ขอโทษ... นะครับ...” ธันย์ชนกเอ่ยพูดขึ้นหลังจากทั้งสองคนก้าวเข้ามาในห้องพักแบบปกติ

“.... ถ้ายังไง เดี๋ยวผมจ่ายค่าห้องเอง... คุณราม.... ไม่ต้องอยู่ด้วยก็ได้ครับ....” อีกฝ่ายคงจะพอรู้แล้วว่าเขามีความสัมพันธ์แบบไหนกับผู้ชายคนเมื่อครู่-- แล้วยังจะรับได้หรือ

“ไม่เป็นไรหรอกครับ จะปล่อยคุณธันให้อยู่คนเดียวได้ยังไง” ราเมนทร์ยิ้มจางๆ

เวลาที่ล่วงเข้าไปบ่ายกว่าทำให้ท้องเริ่มเกิดอาการประท้วง ชายหนุ่มจึงเดินไปที่โซฟาแล้วหยิบรูมเซอร์วิสขึ้นมาดู

“ทานข้าวกันก่อนแล้วค่อยว่ากัน คุณธันเอาเป็นพวกโจ๊กไหมครับ”

“...... สปาเก็ตตีซอสเนื้อครับ...” เขาตอบเบาๆ ความมีน้ำใจของอีกฝ่ายคล้ายกับทำให้จิตใจที่ไม่สงบนิ่งของตัวเองค่อยๆเย็นลง

ราเมนทร์กดเบอร์พลางสั่งอาหารเพิ่มอีกสองสามอย่าง ชายหนุ่มมองธันย์ชนกที่ยืนหันรีหันขวางแล้วจึงขยับตัวชิดอีกด้าน

“คุณธันมานั่งนี่สิครับ”

แวบหนึ่ง...ใบหน้าของชายอารมณ์ร้อนก็เข้ามาในความคิด ภาพใบหน้านั้นซ้อนทับกับรูปที่แอบเก็บไว้..รูปที่ธันย์ชนกถูกโอบกอดเบาๆพร้อมรอยยิ้มสดใส

...แล้วทำไมถึงเป็นอย่างนี้ไปได้...

“...... คุณราม.... ใจดี... นะครับ” เขาหันมาพูดขณะขยับนั่ง บนใบหน้ามีรอยยิ้มเหงาๆจับอยู่

“ผมเหรอครับ? ไม่มั้ง ผมไม่ใช่คนใจดีหรอก”ราเมนทร์ยกมือขึ้นเสยผมลวกๆแก้เก้อ

“ก็แค่...กับบางคนล่ะครับ” นัยน์ตาสีสวยจ้องสบกับดวงตาฝ่ายตรงข้าม

“..............” ธันย์ชนกหลบสายตาที่มองมาแล้วเลือกที่จะไม่ตอบอะไร เขามองออกไปนอกหน้าต่างก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ

“คุณธัน...อยากเล่าอะไรให้ผมฟังไหมครับ” เจ้าของที่นั่งอีกด้านหนึ่งเปิดประเด็นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

...ถ้าคนๆนี้เป็นรัญชน์..คงจะไม่ลังเลใจเลยที่จะลากมากอดแล้วถามสาเหตุที่ทำให้ไม่สบายใจ...

...แต่เพราะไม่ใช่...

“ผม..ขอโทษนะครับถ้าทำให้คุณลำบากใจ”

“.... คุณรามไม่ต้องขอโทษหรอกครับ......” ชายหนุ่มตอบเสียงเบา

“อย่างที่คุณรามคงพอเข้าใจ... นั่นคือ... แฟนเก่าของผมครับ.....”

“ถ้าถามเหตุผลว่าทำไมคุณต้องกลัวเขาขนาดนั้น...คุณธันพอจะตอบได้ไหมครับ”

...แฟนเก่า...

...เพราะงั้นสินะ รูปใบนั้นถึงได้ดูมีความสุขขนาดนี้...

“เขา... ทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเกินไป..... ผมเลย.... ไม่ชอบครับ” นัยน์ตาของธันย์ชนกเหลือบลงต่ำก่อนจะหันมามองคู่สนทนาอีกครั้ง

“คุณไม่รังเกียจเหรอครับ... ที่ผมเป็นเกย์...”

เสียงสั่นๆของธันย์ชนกเจือแววกังวลไว้อย่างชัดเจน

...รังเกียจงั้นเหรอ...

...ถ้าอย่างนั้น ผมที่รักน้องชายตัวเองคงน่ารังเกียจยิ่งกว่าหลายร้อยเท่า...

“ไม่ครับ..”น้ำเสียงหนักแน่นย้ำชัดเจนเฉกเช่นดวงตาที่มองสบ

“คุณธันเป็นคนน่ารัก..เพราะงั้นอย่ากังวลเรื่องนี้เลย”

รอยยิ้มจางๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าของธันย์ชนก รู้สึกว่าก้อนหนักๆที่กดทับอยู่เมื่อครู่ได้ถูกยกออกไป

“.... ขอบคุณ... ครับ”

'ก็อกๆ'

เสียงเคาะประตูจากด้านนอกเรียกความสนใจของราเมนทร์จากรอยยิ้มบนใบหน้าเศร้า ชายหนุ่มลุกขึ้นไปส่องดูจากตาแมวก่อนจะหันมาทางธันย์ชนก

“รูมเซอร์วิสน่ะครับ” มือใหญ่เปิดประตูให้เข้ามา

ธันย์ชนกมองพนักงานที่เข็นรถเข้ามา อาหารที่ถูกฝาเหล็กครอบไว้ถูกยกลงวางบนโต๊ะที่เขานั่งอยู่ กลิ่นหอมๆที่ลอยขึ้นมาทำให้รู้สึกดี

“ขอบคุณครับ...” เขาเอ่ยขอบคุณพนักงานบริการก่อนจะยื่นทิปให้หลังจากอาหารทุกจานได้รับการจัดวางอย่างเรียบร้อย

ชายหนุ่มผู้มีอายุมากกว่ารอจนราเมนทร์นั่งลงที่โต๊ะ จึงค่อยหยิบส้อมขึ้นมา แล้วม้วนเส้นสปาเก็ตตีขึ้นชิม

“ผมว่าคืนนี้เราค้างที่นี่ก่อน..รอให้ไอ้นั่นมันไปจริงๆแล้วค่อยกลับกันตอนเช้าได้ไหม” ราเมทร์พูดจบก็ตักข้าวหมูกระเทียมของตัวเองเข้าปาก แกงจืดผักกาดขาวที่อยู่ตรงกลางถูกเลื่อนไว้ตรงหน้าธันย์ชนก

“เดี๋ยวคุณนอนบนเตียง ผมนอนโซฟาเอง”

“ไม่ดีหรอกครับ! คุณนอนบนเตียงแหละครับดีแล้ว” เขารีบร้องท้วงทันที

“สบายมาก ที่สตูดิโอพวกผมยังนอนกับพื้นเลย คุณธันนั่นแหละนอนไป” ราเมนทร์ตัดสินใจให้แล้วตักข้าวเข้าปากต่อ

“หมู่นี้ผมกินข้าวกับคุณบ่อยกว่ากับเจ้าตัวยุ่งอีกนะเนี่ย”

“ฮะฮะฮะ เบื่อแล้วก็บอกนะครับ...” ธันย์ชนกม้วนเส้นคำโตขึ้นทานต่อ สลับกับตักน้ำซุปมาซดเบาๆบ้าง

“... ไม่ได้หรอกครับ คุณรามนอนเตียง... นะครับ”

“เรื่องนั้นไว้คุยกันตอนอาบน้ำเสร็จแล้วกัน”เอื้อมมือจะคว้าช้อนกลางแกงจืด แต่มือกลับชนกับมือเรียวที่เอื้อมมาพร้อมกัน

“ก่อนเลยครับ” มือใหญ่หดเข้า

“... ขอบคุณครับ” เขาได้แต่ยิ้มน้อยๆพลางตักน้ำแกงมาใส่ในช้อนของตัวเอง

ราเมนทร์เป็นคนอบอุ่นกว่าที่เขาคิดไว้เยอะ ในตอนแรกที่คิดว่าเป็นพี่ชายใจดีรักน้องเฉยๆ แต่ตอนนี้กลับเป็นผู้ชายที่ดีกว่านั้น ทั้งใจกว้างแถมยังตั้งใจทำงานและดูมีความรับผิดชอบ

...น่าอิจฉาคนที่จะได้มายืนเคียงข้างคุณเหลือเกิน...

ราเมนทร์ทานข้าวช้าๆ ใช้เวลาในการพิจารณาฝั่งตรงข้าม จนเมื่อคำสุดท้ายหมดลงน้ำดื่มก็ถูกรินแล้วเลื่อนให้

“ไม่ต้องรีบทานนะครับ ผมทานเร็วเป็นนิสัย” รอยยิ้มใจดีตบท้ายอย่างอ่อนโยน

ชายหนุ่มร่างโปร่งยิ้มรับ พลางค่อยๆทานส่วนของตัวเองต่อโดยมีความเงียบโอบล้อมระหว่างเขาทั้งสองคน น่าแปลกว่าในความเงียบนี้กลับไม่รู้สึกอึดอัดเลยแม้แต่น้อย

...มีเพียงความสงบใจเท่านั้น

ถ้าหากธันย์ชนกสามารถขออะไรแล้วเป็นจริงได้ ในตอนนี้ เขาคงอยากให้เวลาหยุดลงไว้เช่นนี้...










To be continued...


kagehana : พี่ธันย์ของเค้าาาาาา
หัวข้อ: ・・・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน24 เมื่อรักไม่ได้มีแค่สอง (31/01/14)
เริ่มหัวข้อโดย: kagehana ที่ 31-01-2014 19:21:48
หลังจากอาบน้ำเสร็จแล้วเปลี่ยนมาใส่ชุดนอนของทางโรงแรม ธันย์ชนกกลับพบว่าคนตัวโตที่ใจดีได้จับจองพื้นที่บนโซฟาไปเสียแล้ว

...ไหนว่าจะตกลงกันก่อน...

ท่าทางหลับสบายของราเมนทร์ทำให้เขาไม่อยากไปกวน แต่พอหันไปมองที่เตียงนอน ก็รู้สึกไม่อยากจะสบายอยู่แต่ฝ่ายเดียว

...สุดท้าย ธันย์ชนกก็หอบเอาผ้านวมผืนหนากับหมอนหนึ่งใบไปปูในอ่างอาบน้ำที่ไม่มีใครใช้ แล้วหย่อนตัวเองลงไปแทน

...แบบนี้ ก็สบายไปอีกแบบเหมือนกัน...

'เปรี้ยง!!!'

เสียงฟ้าผ่าจากนอกหน้าต่างดังสนั่น ราเมนทร์สะดุ้งตื่นกลางดึงที่เย็นเยียบ แอร์ในห้องหนาวยิ่งกว่าเก่าด้วยอุณหภูมิภายนอก ท้องฟ้าสีดำสว่างเป็นระยะด้วยประกายฟ้าแลบ... และตามด้วยเสียงที่ชวนสะดุ้งซึ่งดังลั่นราวกับหน้าต่างจะหลุด

นัยน์ตาเข้มมองเลยออกไปนอกหน้าต่าง สายฝนยังคงกระหน่ำอยู่ไม่ขาดสาย เขาเสตาไปมองบนเตียง หัวใจวูบขึ้นมากระทันหันด้วยเพราะไร้คนที่น่าจะนอนอยู่ตรงนั้น

“คุณธัน!”

ร่างสูงเด้งขึ้นจากโซฟาไปที่เตียงเพื่อดูให้แน่ใจ ยิ่งพอไม่เห็นว่ามีรอยยับความกังวลก็ยิ่งเพิ่มพูน

...หรือว่าหายไปแล้ว...

ใบหน้าหล่อเหลาเกิดริ้วรอยแห่งความกังวล ราเมนทร์เดินเข้าไปที่ห้องน้ำ...เผื่อว่าบางทีอาจจะอยู่ในนั้น

...คุณธัน...

ห้องน้ำที่ไร้แสงไฟถูกเปิดประตูออก และภาพแปลกประหลาดก็ปรากฎสู่สายตา

ร่างเพรียวยึดอ่างอาบน้ำเป็นที่นอนโดยใช้ผ้าห่มปูรองแล้วม้วนตลบคลุมตัวไว้ ธันย์ชนกนอนงอตัวนิดๆ... เรียวคิ้วสีจางอ่อนขมวดมุ่น ริมฝีปากสีอ่อนขยับพึมพำเบาๆด้วยเสียงที่แทบไม่ได้ยิน

“ข... ขอร้อง...... ไม่... เอา.....” หยาดน้ำตาไหลซึมออกมาจากดวงตาที่ปิดสนิทของธันย์ชนก

...ไม่เอา?..ขอร้อง?...

เสียงครางแผ่วเกือบจะเป็นเสียงสะอื้น...ราเมนทร์แตะที่หน้าผากเบาๆ แต่พอแตะลง คนที่ยังหลับไหลกลับสะบัดหน้าหนีและเกิดอาการดิ้นรนพร้อมทั้งพึมพำประโยคเดิม หยาดน้ำตาที่รินจากหางตาทำให้หัวใจเจ็บลึกๆ

“คุณธัน...”

อาจจะเป็นเพราะน้ำเสียงทุ้มต่ำหรืออะไรก็ตาม ธันย์ชนกที่ดิ้นรนกลับค่อยๆสงบลง

ราเมนทร์เอื้อมมือไปจับข้างแก้มเพื่อวัดไข้ เขาไล้ฝ่ามือเบาๆเพื่อให้แน่ใจว่าร่างกายของคนตรงหน้าไม่มีอะไรผิดปกติ

“ไปที่เตียงกันนะ...”

ร่างกายของชายหนุ่มไม่ได้ต่อต้านอะไร ทว่าคล้ายกับเรียวคิ้วที่ขมวดมุ่นในตอนแรกนั้นค่อยๆคลายออก

“... คุณ.... ราม....” แม้จะเรียกชื่ออีกฝ่าย แต่ธันย์ชนกกลับยังไม่ตื่นขึ้น นัยน์ตาที่ปิดสนิทยังคงนิ่งอยู่เช่นนั้น

“ผมอยู่ตรงนี้แล้วครับ” ชายหนุ่มกระซิบเบาๆข้างหูก่อนจะโอบอุ้มขึ้นมาทั้งผ้าห่ม ศีรษะกลมมนที่ดูอ่อนล้าเอนซบอกแข็งแกร่ง ธันย์ชนกในตอนนี้ดูอ้อนล้าไร้เรี่ยวแรง... แต่ก็เหมือนยอมเชื่อใจให้คนอย่างเขาคอยดูแล

ราเมนทร์ยินดีที่จะใช้ความรู้สึกไม่แน่นอนของตัวเองโอบกอดธันย์ชนกไว้... ความรู้สึกชอบ... ที่ยังไม่ใช่รัก

...ถ้าผมรักคุณ...

...ผมจะไม่ทำให้คุณเสียใจ...

ราเมนทร์วางร่างเพรียวลงบนเตียงเบาๆ แต่พอผละออกฟ้าข้างนอกก็ผ่าลงมาดังเปรี้ยง ธันย์ชนกที่เพิ่งสงบลงกลับผวาวูบแล้วเริ่มดิ้นรนอีกครั้ง

“คุณธัน....คุณธัน....” ราเมนทร์เรียกชื่อเบาๆ มือใหญ่ลูบเส้นผมสีอ่อนเบามือ

...ถ้าผมไม่ได้รักรัญชน์...

...ผมจะอยู่เคียงข้างคุณ...
















“..... โฮ่ย... ตื่นเต้นจัง ถ้าคุณพ่อไม่ชอบคุกกี้จะทำยังไงดีนะ” รัญชน์โพล่งออกมาหลังจากน้องบูบู้เข้าจอดในบ้านเดี่ยวขนาดไม่ใหญ่นัก

“ป๊าพี่ชอบของฝาก โดยเฉพาะของกิน” ธนกฤตพูดหยอกคนรักทั้งที่ในใจนึกกังวล

หลังจากกลับจากพักผ่อน ธนกฤตเร่งเคลียร์งานที่ฝากไว้พร้อมทั้งคุยกับน้องสาว...ปรึกษาเรื่องของรัญชน์ ในทีแรกเขาตั้งใจว่าจะรออีกนิด...พอพูดไปอย่างนั้นธิวรางค์ก็สวนกลับมาด้วยคำว่า “แล้วเมื่อไหร่?”

รู้ทั้งรู้...ว่าจะเร็วจะช้า เรื่องที่คบกับคนรักที่เป็นผู้ชายก็ต้องเปิดเผยอยู่ดี

เพราะฉะนั้น...ที่เขาทำอยู่ก็เป็นแค่เพียงการยื้อเวลาเท่านั้น

...เวลา...ที่อาจจะทำให้ใครหลายคนเสียใจ...

น้องบูบู้จอดลงที่โรงรถแล้ว ธนกฤตนั่งมองหน้าคนรัก แววตาสีเข้มถ่ายทอดความอ่อนโยนให้

“เข้าบ้านไปหาป๊ากันนะตัวเล็ก”

...เพราะรักทั้งสองคน...

...จึงอยากให้วันนี้..ไม่มีเมฆหมอกร้าย...

เด็กหนุ่มเดินตามอีกฝ่ายเข้าไปโดยที่ถือถุงคุกกี้ไว้ในมือข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งจับมือของธนกฤตไว้แน่น

...It's gonna be ok...

ที่ห้องรับแขกกลางบ้าน บิดาของธนกฤตที่นั่งเอนกายอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ก็ลุกขึ้นเมื่อได้ยินเสียงลูกชายที่ส่งเสียงมาแต่ไกล

“ฮั่นแน่! ป๊าแอบอ่านหนังสือโป๊ไม่แบ่งบีมอีกแล้ว”

“ทะลึ่งใหญ่แล้วนะเรา” ธงพูดตอบพลางลดหนังสือพิมพ์ลงแล้วม้วนตีไปที่ลูกชายซึ่งตอนนี้มานั่งเบียดอยู่ข้างๆเรียบร้อยแล้ว

“ป๊า...นี่รันนะ...”

ธนกฤตจับแขนคนตัวเล็กที่ยืนอยู่ให้เข้ามาใกล้อีกนิด

รัญชน์รีบยกมือขึ้นไหว้พร้อมก้มศีรษะลงอย่างสุภาพ เขาไม่แน่ใจว่าการทำความเคารพที่ดีนั้น... แบบนี้ดีแล้วหรือเปล่า ที่พอรู้จากบิดามารดาก็คือการไหว้ผู้ใหญ่หรือคนที่อายุมากกว่าอย่างอ่อนน้อมเท่านั้น

“สวัสดีครับ...”

“ไหว้พระเถอะลูก นั่งลงก่อน” ท่าทางเก้ๆกังๆของคนตรงหน้าทำให้ธงอดเอ็นดูไม่ได้

“ใช่คนเดียวกับที่ไปเที่ยวกับเจ้าบีมหรือเปล่าเนี่ย...ป๊าว่าเสียงคุ้นๆ”

ร่างเล็กขยับนั่งลงที่เก้าอี้ด้านข้างก่อนจะตอบรับคำถามของอีกฝ่าย

“ครับ...”

ชายวัยกลางคนเหลียวหลังไปมองหาคนที่คิดว่าจะตามมาด้วย...ตอนแรกไอ้ลูกชายตัวดีโทรมาบอกว่าจะพาแฟนมาไหว้ แต่ตอนนี้ไม่เห็นมีสักคน

“เออเจ้าบีม ไหนเราบอกว่าจะพาแฟนมาไหว้ป๊าไง อยู่ไหนล่ะลูก”

ธนกฤตหันไปมองรัญชน์...คนตัวเล็กนั่งก้มหน้าลงก่อนจะเงยสบอย่างกล้าๆกลัวๆ

...ถ้าไม่ใช่ตอนนี้...

...จะเป็นเมื่อไหร่...

หมอหนุ่มยิ้มจางๆให้คนรักก่อนจะเอื้อมไปบีบมือรัญชน์เบาๆ

“ป๊า....ตลอดมาบีมไม่เคยบอกป๊าเลย..ว่าบีม...เป็นแฟนกับรัน....”

รัญชน์ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อจึงทำได้เพียงส่งรอยยิ้มให้กับชายสูงวัยเบื้องหน้า

ธงมองหน้าลูกชายอีกครั้ง...ในใจนึกหวังว่าสิ่งที่ได้ยินจะแปรเปลี่ยนเป็นคำล้อเล่นที่เคยได้ยินอยู่บ่อยๆ

“...เรา..ล้อป๊าเล่นกันเหรอ...” นัยน์ตาสีดำจ้องมองลึกเข้าในดวงตาลูกชาย ความรู้สึกหวั่นไหวปรากฎขึ้นเต็มอกเมื่อเห็นแววตาจริงใจของลูกมองกลับมา

“ป๊า...บีมกับรันรักกัน..บีมไม่ได้อำป๊าเล่น บีมรักรันจริงๆ”

“บีม...บีมเป็นผู้ชายนะลูก..” เสียงสั่นเครือพูดเบาๆ

คล้ายกับความเจ็บปวดผ่านน้ำเสียงของธงนั้นส่งผ่านมาถึงตัว รัญชน์ได้แต่นิ่ง ไม่รู้ว่าควรแทรกเข้าไปตรงไหนหรือแทรกอย่างไร

ดวงตาปวดร้าวที่ฉายลึกอยู่ในตัวธงทำให้ความรู้สึกผิดแล่นริ้วขึ้นมา ธนกฤตเม้มปากแน่น ถ้อยคำที่แม้จะอ่อนระโหยแต่กลับเหมือนหนามที่ทิ่มแทง

ความเสียใจของคนที่รักและดูแลตนเองมาทั้งชีวิตถ่ายทอดออกมาผ่านแววตาเจ็บปวด

“ป๊า...บีม...”

“ป๊าเลี้ยงบีมมา..ป๊าก็หวัง..ให้บีมมีความสุขกับคนที่บีมรัก มีหลานให้ป๊า มีครอบครัวที่อบอุ่น..แต่ที่บีมเป็นอย่างนี้เพราะป๊าเหรอลูก..ป๊าทำให้บีมเป็นอย่างนี้หรือเปล่า” น้ำเสียงของธงขายหายไปด้วยเพราะน้ำตาที่ไหลออกมา ชายวัยกลางคนขบฟันแน่นกลั้นความเสียใจไว้

“ป๊าไม่เคยว่าบีมเลย บีมจะมีแฟนกี่คน จะรักใคร...จะเลิกกับใคร ป๊าถือว่าเป็นเรื่องของบีม บีมโตแล้ว...ป๊าไม่ได้รังเกียจรัน...แต่จะให้ป๊าทำใจยอมรับเรื่องที่ลูกชายชอบผู้ชาย...ป๊า..ป๊า...”

มือเหี่ยวย่นยกขึ้นลูบศีรษะลูกชายเบาๆ ธงเห็นแววตาที่เจ็บปวดของคนรักของธนกฤต...แล้วก็เลือกที่จะหลบตาหนี

“...ป๊าเลี้ยงบีมไม่ดีเหรอลูก...”

ธนกฤตรู้สึกถึงแรงสั่นของมือที่ลูบอยู่บนศีรษะ แต่เขาก็ตัดใจจากคนรักของตัวเองไม่ได้

“ป๊า...บีมขอโทษ..ป๊าเลี้ยงบีมมาดีที่สุดแล้ว แต่เรื่องความรัก...ถ้าเป็นรันไม่ได้เหรอป๊า..บีมรักเขา..” นัยน์ตาที่ฉายแววโศกเศร้ามองคนรัก ใบหน้าของรัญชน์ตอนนี้ราวกับจะร้องไห้

รัญชน์ไม่รู้แล้วด้วยซ้ำว่าควรจะพูดอะไรดี ความเจ็บปวดของคนสองคนส่งผ่านมาถึงตัวเขาจนอยากจะวิ่งหนีออกไป

...This isn't right...

“แล้วบีมไม่รักป๊าเหรอลูก.....”

คำตัดพ้อของบิดาทำให้เจ็บปวดยิ่งกว่าคำใดๆ ธนกฤตนั่งนิ่ง..รักทั้งสองคน..และไม่อยากสูญเสียไปทั้งคู่

...จะพอมีทางไหนบ้าง..สำหรับปัญหาที่ไร้ทางแก้นี้...

ธงที่เห็นลูกนิ่งไปก็ได้แต่เสียใจ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าเวลาลูกชายรักใครแล้วจะจริงใจแค่ไหน แต่เพราะเป็นพ่อ..การที่ลูกชายที่หวังจะฝากฝังเดินมาบอกว่ารักเพศเดียวกันต่อหน้าก็อดเสียใจไม่ได้

ชายวันกลางคนละมือออกก่อนจะลุกขึ้นจากที่นั่งด้วยสีหน้าราวกับแก่ลงสัก10ปี แต่ไม่ทันที่จะได้เดินไปไหน นัยน์ตาก็เหมือนจะมืดดับตามด้วยอาการเจ็บอย่างรุนแรงในหน้าอกจนพยุงตัวไม่ไหว ร่างกายอ่อนแรงซวนเซทำท่าจะล้มลงกับพื้น

...บีม...

“คุณพ่อ--!??” รัญชน์ที่มองเห็นอาการผิดปกตินั้นรีบขยับเข้าไปประคองเอาไว้

ธงฝืนลืมตาขึ้นมอง ธนกฤตปราดเข้ามาประชิดตัวแล้วโอบร่างบิดาไว้

“ป๊า!ป๊า! เจ็บตรงไหน บอกผมก่อน”

สติที่มีเพียงลางเลือนส่งผลให้ชายสูงวัยไร้เสียงจะพูด มือเล็กที่วางอยู่บนอกถูกปัดออก ธงเห็นแววตาสีสวยฉายแววเจ็บปวด...

...ก่อนสติสุดท้ายจะดับวูบไป...

ธิวรางค์เดินมาหาคนที่นั่งรออยู่ด้านนอกด้วยใบหน้าที่ปราศจากรอยยิ้ม

“... พี่กลับบ้านไปก่อน เดี๋ยวมีอะไรจะโทรเรียก”

ตอนนี้บิดาของธนกฤตพ้นขีดอันตรายแล้ว อาการเบื้องต้นมาจากความเครียดและโรคหัวใจที่เคยมีอาการมาบ้างแต่ไม่ร้ายแรงอะไร

“แบมกลับไปก่อนเถอะ พี่จะเฝ้าป๊า” เสียงแหบแห้งพูดเบาๆ

“ฉันบอกให้กลับ!! อย่ามาพูดอะไรทั้งนั้นนะ!! เพราะพี่นั่นแหละ!! ป๊าถึงเป็นงี้!! ถึงฉันจะบอกว่ารับได้แต่ก็ไม่ใช่ว่าพามาแบบนี้!! เพราะงั้นกลับไปก่อนเลย!!” ธิวรางค์พูดเสียงแข็ง นัยน์ตาเรียวคมทอประกายกร้าวพลางชี้นิ้วออกไปทางลิฟท์

“พี่...ขอโทษ...” ชายหนุ่มพึมพำเบาๆแต่ไม่ยอมลุกไป

“แต่แบมกลับไปก่อนได้ไหม กลับไปกับรันก็ได้...พี่อยากอยู่กับป๊า อยากขอโทษป๊า เพราะพี่เองป๊าถึงเป็นแบบนี้” เขาเม้มปากแน่นระงับเสียงสั่นเครือ

...ตั้งแต่ม๊าเสีย...

...ป๊าก็ดูแลบีมกับน้องมาตลอด...

“เรื่องอะไร??? พี่ไปมีแต่จะทำให้ป๊าแย่ลง!!! บอกให้กลับก็กลับสิ!! พูดไม่รู้เรื่องเหรอ?????” น้ำเสียงที่ใช้เริ่มดังขึ้น ไม่นับกับที่โมโหอีกฝ่ายที่ยังคิดว่าจะให้กลับบ้านพร้อมกับรัญชน์

“อย่าตะโกนได้ป่ะ...แค่นี้ก็ปวดหัวจะแย่อยู่แล้ว” ธนกฤตพูดบ้าง เขาหันไปหาคนตัวเล็กที่นั่งอยู่ข้างกาย รัญชน์ดูเงียบลงและไร้รอยยิ้มต่างกับทุกครั้งอย่างเห็นได้ชัด

“รันกลับบ้านก่อนนะ ไปคอนโดพี่ก่อน...ให้แบมมันไปส่ง”

เจ้าของชื่อเงยหน้าขึ้นมอง แต่ก่อนที่จะได้เอ่ยตอบอะไรนั้น ธิวรางค์ก็ว่าต่อ

“พี่ไม่มีสิทธิสั่งฉัน! ฉันจะอยู่เฝ้าป๊า ถ้าเขาจะต้องกลับก็ให้กลับเอง... แต่ฉันไม่ให้พี่เข้าไปเยี่ยมป๊า”

“งั้นรอให้ป๊าได้ห้องก่อนค่อนกลับแล้วกัน” ธนกฤตถอนหายใจหนัก

ดูแล้วอารมณ์ของน้องสาวเขาจะขึ้นจนไม่มีใครฉุดอยู่ ทำตาวาวอย่างกับแม่เสือ..ถ้าดื้อฝืนอยู่อย่างนี้คงได้ทะเลาะกัน

“รันอยากกลับเลยหรือเปล่า”

“....... รัน... กลับก่อนก็ได้.....” เขาเอ่ยตอบเสียงเบาพลางขยับลุกขึ้น ก่อนจะพนมมือไหว้แล้วก้มศีรษะให้หญิงสาว

“... ผม ขอโทษครับ.....”

ธนกฤตจับน้ำเสียงทมี่เจือความสั่นไหวเอาไว้ได้ ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนใกล้ๆแล้วโอบไหล่เล็กที่ลู่ลงไว้เบาๆ

“หรือให้พี่ไปส่งรันก่อน แล้วค่อยกลับมานี่ได้ไหมแบม”

หมอหนุ่มมองหน้าน้องสาว...แม้ว่าเขาจะเป็นหมอ แต่ในตอนนี้...ยังช่วยบิดาอะไรไม่ได้เลย

...เพราะตัวเอง..ที่ทำให้ป๊าป่วย...

“จะรีบไปรีบกลับนะ”

“เออ......” ธิวรางค์ตอบเสียงขุ่นพลางมองแผ่นหลังของพี่ชายและเด็กหนุ่มเดินออกไป

“ขอโทษนะตัวเล็ก...เลยต้องเหนื่อยเลย” รอยยิ้มจางผุดบนใบหน้าอ่อนล้า

ธนกฤตนั่งลงบนโซฟาในห้องของเขาแล้วฉุดคนตัวเล็กมากอดไว้แนบกาย

“..... อืม....” รัญชน์ขยับแขนโอบรอบเอาไว้แน่น ก่อนจะซุกใบหน้าไว้กับแผ่นอกกว้าง ตลอดเวลาที่นั่งรถกลับมานั้นเขาแทบไม่ได้พูดอะไร

...This is it...

...I guess...

มือใหญ่เอื้อมขึ้นลูบศีรษะกลมมนเบาๆพร้อมกับจูบที่กลางกลุ่มผมสีอ่อนนุ่ม

“ไว้รอป๊าดีขึ้น...พี่จะไปคุยกับป๊าอีกที...ตัวเล็กอย่าคิดมากนะ”

...คำสัญญา...

...ที่ไม่รู้ว่าจะได้ทำเมื่อไร...

“..... จูบ... ได้ไหม.....” ใบหน้าหวานเงยขึ้นมองด้วยดวงตาเศร้าสร้อย

คำขอแสนเศร้าถูกตอบรับด้วยจุมพิตเงียบงัน ธนกฤตแตะริมฝีปากเข้าหาแล้วกอดร่างเล็กเข้ามาแนบชิดไม่เหลือช่องว่างใดๆ

เพราะไม่อยากแยกจาก...เพราะอยากอยู่ด้วยกันอย่างนี้...

“พี่บีม....” น้ำเสียงแผ่วเบาเอ่ยเรียกขณะที่ยังอยู่ในอ้อมกอดของอีกฝ่าย มือข้างที่ยึดเสื้อของธนกฤตเอาไว้ออกแรงบีบแน่นขึ้น

...I love you...

“ว่าไงครับตัวเล็ก...” น้ำเสียงอ่อนล้าแสร้งทำร่าเริง

ธนกฤตมองเข้าไปในดวงตาสีสวยของคนรัก ความรู้สึกบางอย่างที่อีกฝ่ายถ่ายทอดมาสั่งให้ท่อนแขนที่โอบกระชับแนบแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว

“...... เลิกกันเถอะ... นะ” รัญชน์เอ่ยช้าๆทว่าน้ำเสียงกลับฟังชัดเจน ด้วยความรักที่มีให้ เขาไม่อาจทำใจเป็นตัวทำร้ายครอบครัวของคนรักได้

“ไม่เอา!” คำขอเลิกที่แค่ฟังก็รู้ว่าคนพูดเจ็บเท่าไหร่... ธนกฤตรีบตอบปฎิเสธทันทีโดยไม่ต้องคิดอีดครั้ง

“ไม่เลิกนะรัน...เรารักกันไม่ใช่เหรอตัวเล็ก...”ชายหนุ่มกอดคนตัวเล็ก ความกลัวที่จะสูญเสียไปอีกคนครอบงำร่างกาย...จนแม้กระทั่งมือที่มั่นคงยังสั่นไหว

“ก็........”

...I know...

...But I don't wanna hurt your family...

“รัน... ไม่เอาหรอกนะ.......... พ่อพี่บีมไม่ได้ต้องการแบบนี้นะ!!”

“ไม่สิรัน... เรื่องป๊าพี่ก็อีกเรื่อง ทำไมเราต้องเลิกกันทั้งๆที่เรารักกันล่ะ” หมอหนุ่มดึงร่างคนรักออกห่างแล้วจ้องเข้าไปในดวงตาคลอน้ำตา

“...ถ้าตัวเล็กไม่รัก..พี่จะไม่ฝืนใจให้คบกันต่อ..แต่นี่มันไม่ใช่”

แค่เรื่องป๊าก็หนักหนาแล้ว...หากต้องเสียไปอีกคนจะทำใจได้ยังไง

มือใหญ่ลูบเส้นผมนุ่มละเอียดของคนรักก่อนจะเลื่อนมือลงจับที่แก้มเบาๆ

“เรื่องป๊าปล่อยให้พี่จัดการเองไม่ได้เหรอ...”

เด็กหนุ่มร่างเล็กขยับตัวถอยออก ขืนแรงอีกฝ่ายแล้วละออกมา

“ไม่เอา พี่บีมมีพ่ออยู่นะ พี่บีมต้องให้ความสำคัญกับพ่อเยอะๆสิ! รัน..... ไม่เป็นไรนะ!”

...I love you too much...

“ไม่เป็นไรได้ไง...ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้แบบนี้” ธนกฤตพูดเสียงแผ่ว เขาลูบเหนือคิ้วคนตัวเล็กเบาๆ....รัญชน์พูดความจริงเรื่องที่เขายังมีครอบครัวให้ต้องใส่ใจ ทั้งยังสถานะในสังคม ลำพังตัวเองคงไม่หนักหนา แต่หากต้องทำให้บิดาอับอาย..ก็ยากที่จะแกล้งลืมได้

“ขอโทษนะตัวเล็ก...แต่ถึงยังไงพี่ก็ไม่อยากเลิกจริงๆ”

“ก็รันอยากเลิก!” รัญชน์ลุกออกมาพลางดันร่างสูงออกไป

...Don't make it any harder for me...

“....โกหก....” เสียงที่เอ่ยออกมาหนักแน่นและมั่นคง ธนกฤตได้แต่มองรัญณ์ที่อยู่ห่างออกไปด้วยสายตารู้เท่าทัน

“ตัวเล็กไม่ได้อยากเลิก...แต่ตัวเล็กเป็นห่วงต่างหาก...เรื่องแค่นี้ทำไมพี่จะไม่รู้”

...เพราะรักมาก...

...เลยต้องเสียสละ...

มือเล็กล้วงลงไปในกระเป๋ากางเกง สิ่งที่หยิบออกมาคือคีย์การ์ดของห้องๆนี้ ของขวัญชิ้นสำคัญที่ได้มาจากคนรัก

...I love you...

...so much...

“ทำไมพี่หมอถึงพูดไม่รู้เรื่อง รันบอกว่าอยากก็อยาก นี่ก็เอาคืนไปเลยนะ แล้วรันจะไม่มาที่ห้องนี้แล้ว” รัญชน์โยนคีย์การ์ดนั้นไปที่พื้นข้างๆแล้วหันหลังให้ก่อนจะเริ่มก้าวขาที่หนักอึ้ง หากแต่ถ้าพ้นประตูนี้ออกไป ก็ไม่อาจกลับมาได้อีกแล้ว...

ในพริบตาที่เห็นสิ่งที่ถูกขว้างกระทบลงบนพื้น หัวใจก็พลับวูบหาย ความรู้สึกเจ็บปวดเข้ามาแทนที่ทุกสิ่งจนทำได้เพียงกัดริมฝีปากแน่น ถ้อยคำร้ายกาจของคนรักกรีดลึกลงไป... แต่ที่ร้ายแรงกว่านั้นคือความรู้สึกของรัญชน์ที่ถ่ายทอดผ่านน้ำเสียงเกรี้ยวกราดอันสั่นไหว

...มันบอกธนกฤตว่าคนพูดต้องอดทนเพียงไรถึงจะเอ่ยออกมาได้...

“รันจะไม่มาก็ได้...รันจะทิ้งคีย์การ์ดก็ได้....” ร่างสูงสืบเท้าเข้าหาแล้วกอดแผ่นหลังสั่นไหว มือใหญ่เอื้อมจับเบาๆที่มือทั้งสอง

“......แต่รันอย่าเลิกรักพี่เลย.....”

“.... ไม่รู้หรอก!! ปล่อยนะ-!” ร่างเล็กขืนตัวไว้ก่อนจะสะบัดออกแม้ในใจจะโหยหาความอบอุ่นจากอ้อมกอดนั้นในยามที่หัวใจเหน็บหนาวจนชา พออีกฝ่ายออกแรงกอด ยิ่งทำให้รัญชน์ยิ่งดิ้นก่อนจะผลักร่างสูงออกไปได้ นัยน์ตาคู่สวยสบมองคล้ายกับเป็นการมองครั้งสุดท้ายก่อนจะผลุนผลันไปที่ประตูแล้วเปิดออกไป โดยไม่ฟังเสียงของอีกฝ่ายที่ตะโกนไล่มาเลยแม้แต่น้อย

...I won't come back...

...I can't...

แม้จะคิดแบบนั้น แต่ชั่วขณะที่กำลังวิ่งลงบันได เสี้ยวหนึ่งของจิตใจนั้นกลับเรียกร้อง

...If maybe...

...Sometimes in the future...

...I wish...

...I could see you again...

คนที่ถูกทิ้งให้อยู่ในห้องเพียงลำพังทรุดตัวลงนั่งกับพื้นเหมือนคนไร้เรี่ยวแรง ความรู้สึกเจ็บปวดกลั่นตัวเป็นมวลอากาศบีบคั้นให้ร่างสูงได้แต่ห่อตัวกอดตัวเองไว้

...ไม่มีแล้ว..ใช่ไหม...

...ถึงไม่ได้เกลียด แต่ก็อยู่เคียงข้างไม่ได้แล้ว...

...ใช่ไหม...

คนที่บอกว่าผู้ชายถึงเจ็บแค่ไหนก็ร้องไห้ไม่ได้...มันไม่ใช่ความจริงหรอก

อย่างน้อยที่สุด...หนึ่งคนตรงนี้ แม้จะไม่มีเสียงใดๆ...

แต่รสชาติของหยดน้ำที่หลั่งรินออกมา...ก็เป็นเสียยิ่งกว่าตัวแทนของความทรมานที่แสนเงียบงัน

 

To be continued...







kagehana : พี่หมออออออ น้องรันนนนนนน ฮืออออออ อิพี่รามก็คนบาปเหลือเกิน
หัวข้อ: Re: ・・・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน24 เมื่อรักไม่ได้มีแค่สอง (31/01/14)
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 31-01-2014 22:02:47
ทำไมเป็นอย่างเงงงงงงงงงงงงง้
คู่พี่ก็หน่วงคู่น้องก็ดราม่า
หัวข้อ: Re: ・・・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน24 เมื่อรักไม่ได้มีแค่สอง (31/01/14)
เริ่มหัวข้อโดย: andear ที่ 31-01-2014 22:20:35
 :monkeysad: :monkeysad: :monkeysad: :monkeysad:
หัวข้อ: Re: ・・・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน24 เมื่อรักไม่ได้มีแค่สอง (31/01/14)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 01-02-2014 16:36:47
เจ็บ
หัวข้อ: ・・・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน25 ร้าว...รัก... (01/02/14)
เริ่มหัวข้อโดย: kagehana ที่ 01-02-2014 19:26:04

-25-




“พี่ราม... Let's go home.......... I don't wanna be here anymore....” ประตูห้องเปิดออกพร้อมกับใบหน้านองน้ำตาของคนตัวเล็กที่พยายามปาดมันออก ถ้ายังอยู่ที่นี่ คงมีแต่จะคิดถึงอีกฝ่ายไม่หยุดแน่ๆ แม้ว่าจะบอกเลิกไปแต่ในหัวใจนั้นรู้ดีว่าตัวเองรู้สึกยังไง-- เพราะว่ารักมาก ถึงไม่อยากให้ธนกฤตต้องทำเรื่องที่อาจจะทำให้ต้องเสียใจไปชั่วชีวิต เขายังมีพ่อ มีครอบครัวที่รักอยู่ จะให้ละทิ้งสิ่งเหล่านั้นเพื่อมามีความสุขแบบนี้-- เขาทำไม่ได้


“Whoa-- wait-- what happened?? Why are you crying like a dog?”


คนที่นั่งอยู่ในห้องลุกพรวดทันทีที่เห็นน้ำตาบนใบหน้าที่เคยมีแต่ความร่าเริง ราเมนทร์เดินเข้าไปใกล้แล้วกอดคนตัวเล็กที่เป็นเหมือนกับหัวใจเอาไว้... ให้หัวใจได้อยู่ใกล้กัน


“Come here. Tell me what happened first”


“...... I broke up with him.” พูดจบเขาก็โอบกอดเอาคนตัวสูงเอาไว้ ซุกซ่อนใบหน้ายามอ่อนแอกับแผ่นอกกว้าง


“His dad was in shocked and I guess it was a stroke so he's in the hospital right now-- and there's nothing I can do but to cause more trouble. So I decided it's better to break up--” มือข้างที่ยึดเสื้อเอาไว้กำแน่นขึ้นก่อนจะยิ่งห่อตัวเข้าหา


“But I love him so much--”


คำรักที่พูดออกมาอย่างชัดเจนของคนเป็นน้องทำให้ในหัวใจรู้สึกเหมือนมีมือที่มองไม่เห็นบีบอย่างรุนแรง ราเมนทร์หลับตาลง... เขาไม่ปฏิเสธที่จะบอกว่าเขาดีใจแค่ไหนที่น้องชายเลิกกับไอ้หมอบ้านั่น


...แต่น้ำตาของรัญชน์ก็ไม่ใช่สิ่งที่อยากเห็น...


มือใหญ่ลูบศีรษะเล็กด้วยความรักที่แอบซ่อนไว้อย่างเงียบงัน หากแต่เพราะใบหน้าของคนไร้ที่พึ่งที่เงยขึ้นทำให้กำแพงที่ก่อไว้เริ่มเกิดรอยร้าว


“ถ้าเราอยู่กับพี่... จะเลิกรักเขาได้หรือเปล่า”


“... Wha? ...... ไม่รู้... นะ......” นัยน์ตากลมโตปิดลงขับน้ำตาที่ไหลออกมา ก่อนจะก้มหน้าลงอีกครั้ง


“จะตอบ... ได้ยังไงนะ...”


“พี่อยากรู้ว่า เราจะตัดใจจากเขาได้ไหม... ถ้าเรากลับไปอยู่ที่นั่นกัน รันจะเลิกรักเขาหรือเปล่า” ความอิจฉาซ่อนอยู่ภายใต้ท่าทางอ่อนโยน


...รัญชน์จะรักพี่ได้ไหม...


...ถึงเราจะเป็นพี่น้องแท้ๆกันก็ตาม...


“If you can stop loving him. I'll take you home.”


“What the fu-? How can I possibly do that???? I love him! Don't you understand??” คนตัวเล็กร้องท้วงทั้งน้ำตา จะให้เลิกรักนั้นทำไม่ได้แน่ๆ


“รู้สิ... เพราะรู้ถึงได้พูดได้ไงว่าเลิกกับมันซะ” ราเมนทร์พูดเสียงสั่น


...เพราะรักเรามาตลอด...


...พี่ถึงเข้าใจคำว่า 'รักที่ไม่มีวันได้มาครอบครอง'...


“อยู่อย่างนี้รันไม่มีทางหาความสุขได้หรอก มีแต่เสียน้ำตา สังคมไทยที่บอกว่าเปิดกว้างน่ะมันโกหกทั้งเพ... สักวันไอ้หมอบ้ามันอาจจะเบื่อรัน เลิกรักรัน แล้วก็ทิ้งเราไปแต่งงาน มันเป็นหมอ มันมีหน้ามีตาในสังคมนะ… การเป็นเกย์มันไม่ง่ายหรอก”


คำพูดรุนแรงระเบิดออกมาทำร้ายจิตใจ... ทั้งตนเองและน้องชาย ราเมนทร์ดันร่างเล็กออกห่างก่อนจะก้มลงเอาหน้าผากแตะกันเบาๆ


“...เลิกรักมันซะ...กลับไปอยู่กับพี่ที่ออสเตรเลียนะ...”


“..... ต........ แต่...... อื๊อ--!!!! ก็จะพยายามนะ แต่รันไม่รู้หรอก!! จะบอกให้เลิกรักทันทีรันจะทำได้ไงนะ!!!!!”


“ไม่เป็นไร...ยังไงเราก็ยังมีพี่” ...ที่รักเรา...วลีสุดท้ายที่แห้งหายกลายเป็นเพียงการขยับปากที่ไร้สำเนียง


ท่อนแขนแข็งแกร่งกอดกระชับ... ยิ่งรู้สึกว่ากำแพงที่สร้างไว้ใกล้พังเท่าไร แขนสองข้างที่โอบประคองก็ยิ่งกอดรัดแน่นขึ้น


“ไม่ต้องมีไอ้หมอ...แค่มีพี่...พี่จะอยู่ข้างๆเราตลอดไปนะ”


“... ถึงจะมีพี่..... แต่... ก็ไม่เหมือนกันหรอกนะ....” ร่างเล็กตอบเสียงเบาก่อนจะขยับใบหน้าเช็ดน้ำตากับเสื้อ


“รู้ได้ไงว่าไม่เหมือน....” เสื้อตัวบางที่เปียกชุ่มด้วยน้ำตาถูกยกขึ้นเช็ดใบหน้าเล็กเบาๆ สองมือที่กอดอยู่คลายออกแล้วเลื่อนมาประคองใบหน้าหวานเศร้าเอาไว้


“เราไม่เคยรู้....ไม่เคยรู้อะไรเลย”


...พี่รักรัน...


...พี่รักรัน...


“ไม่รู้อะไรนะ? จะเหมือนได้ไง พี่รามไม่ใช่แฟนนะ!!” รัญชน์เถียงกลับ


...ไม่ใช่แฟน...


คำพูดของคนที่เขารักมาตลอดชีวิตกระทบเข้าตรงหัวใจอย่างรุนแรง... ทั้งที่คิดว่าจะไม่เป็นไร แต่พอถูกพูดออกมาตรงๆก็ไม่ต่างกับการเอามีดมากรีดบนผิวเนื้อเปล่าเปลือย


...ทั้งที่น่าจะทำใจได้...


...แต่มันไม่ใช่เลย...


“แต่พี่รักรันมากกว่ามัน พี่รักรันมานานกว่ามัน... พี่รักของพี่มาตลอดทั้งชีวิต! เพราะเป็นพี่ชายไม่ใช่แฟน พี่เลยต้องยอมแพ้มันเหรอ!! รันไม่เคยรู้ความรู้สึกของพี่ก็อย่ามาพูดเลย!” ร่างสูงก้มลงจนใบหน้าเกือบจะแนบชิด นัยน์ตาสีเดียวกันสะท้อนความปวดร้าวและเจ็บปวดที่ไม่สามารถอดกลั้นไว้ได้อีกแล้ว


“ถึงพี่เจ็บแค่ไหน... จะรักแค่ไหน... ก็เป็นมากกว่าพี่ชายไม่ได้ใช่ไหม...”


คราวนี้รัญชน์ถึงกับตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน


“อ... อะไรนะ?? เดี๋ยว--!!! มากกว่าพี่ชายอะไร??”


“I love you” คำที่คนทั้งโลกเข้าใจถูกถ่ายทอดพร้อมเสียงแหบพร่าและจุมพิตดุดัน


“!!!???” คราวนี้คนตัวเล็กเบิกตากว้างก่อนจะพยายามดิ้นหนีจากริมฝีปากของราเมนทร์ มือสองข้างพยายามผลักไสอีกฝ่ายออกสุดแรงของตัวเอง


...Why...


...When??


ครั้นจะกัดก็ทำไม่ลงเพราะเป็นพี่ชาย สุดท้าย จึงได้แต่พยายามผลักคนตัวสูงกว่าที่ไม่เคยสู้แรงได้มาทั้งชีวิตออก น้ำตาหลั่งไหลออกมาจากดวงตาคู่สวยไม่ขาดหาย


“อย่าทำอย่างนี้....” ท่าทางดิ้นรนทั้งน้ำตาของรัญชน์พาให้ในหัวใจกลับเจ็บปวดมากขึ้น


ราเมนทร์ออกแรงกอดคนที่ตนเองรัก...รั้งไว้ในอ้อมแขน


...แม้มันจะยิ่งทำให้เบาดแผลร้าวลึกเท่าไรก็ตาม...


“...อย่าเกลียดพี่ได้ไหม...” เสียงแหบพร่าตรงข้ามกับท่อนแขนที่โอบรัดอย่างแน่นหนาโดยสิ้นเชิง


“L-- Let go of me--!!!!” มือเล็กทั้งสองยังพยายามดันอีกฝ่ายออก หัวใจเต้นรัวแรงด้วยความตกใจ


“พี่รักเรานะ... พี่รู้ว่ามันบาป... พี่รู้ว่าเราเป็นพี่น้องกันแท้ๆไม่ควรจะคิดแบบนี้” น้ำเสียงทุ้มต่ำยังคงพูดกับเรือนผมสีอ่อน


“รู้ไหม...พี่ยังเคยคิดว่าเราไม่น่าจะเกิดมาเป็นพี่น้องกันเลย...ไม่อย่างนั้นพี่คงจะสามารถอยู่กับรัน...และรักรันได้โดยที่ไม่ต้องทำให้รันเจ็บอย่างนี้”


คล้ายกับคำพูดเหล่านั้นไม่เข้าหูอีกแล้ว แต่จริงๆแล้วรัญชน์กลับได้ยินชัดถ้อยชัดคำทุกอย่าง


“ม... ไม่เอานะ!! ป... ปล่อยรันนะ!!”


...This is all wrong!!!...


“ไม่ได้นะ-- มันผิด มันไม่ถูกแล้วนะ!”


“มันก็ผิดมาตั้งแต่ต้นแหละ! คิดว่าพี่สบายใจเหรอที่ต้องมารักน้องตัวเอง! พี่พยายามแล้ว..พี่มีใครต่อใครตั้งหลายคน ใช้ชีวิตแบบไม่เกรงใจใคร  แต่สุดท้าย...พี่ก็ยังรักเราอยู่ดี”


ราวกับปีศาจที่อยู่ในตัวทะลุออกมาจากกำแพงที่พังทลาย ราเมนทร์ยัดเยียดจุมพิตร้อนแรงให้อีกครั้งก่อนจะเลื่อนใบหน้าซุกลงกับลำคอเรียวขาว


...ทั้งๆที่ทะนุถนอมมาทั้งชีวิต...


ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันมา เขาไม่เคยคิดอะไรเพราะว่าพี่ชายที่แสนดีคนนี้ดูแลเขาและอยู่กับเขาตลอด แต่เจ้าตัวไม่อาจเข้าใจได้ว่าอะไรทำให้ความรู้สึกของราเมนทร์กลายเป็นแบบนี้


“บอกให้ปล่อยนะ!!” รัญชน์รวบรวมแรงทั้งหมดที่มีผลักอีกฝ่ายออก แม้ปกติแรงของตัวเองจะไม่สามารถทำอะไรได้ นั่นเป็นเพราะรัญชน์เพียงแค่แหย่เล่น แต่ตอนนี้เขาคิดแค่ว่า ต้องออกไปจากที่นี่เท่านั้น


แรงผลักที่แม้จะไม่มาก...หากแต่ความรู้สึกที่ส่งผ่านทำให้คนที่ถูกผลักยืนนิ่งงันไม่สามารถกระทั่งหายใจ


“รัน...เดี๋ยวก่อน...”


ทว่าร่างเล็กกลับไม่ฟังเสียง เขารีบวิ่งออกไปจากห้อง ไม่อยากได้ยินอีกแม้แต่คำเดียว ที่อีกฝ่ายจะเอ่ยพูดถึงความรักที่มีให้


“It's impossible!!”


ประตูห้องปิดลงพร้อมกับราเมนทร์ที่ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม

 

 








หลังจากวิ่งออกมา รัญชน์ไม่อาจคิดได้ว่าจะหนีไปไหน คนที่เขารู้จักที่นี่มีไม่กี่คน ธันย์ชนกที่อยู่ห้องตรงข้ามคงไม่มีประโยชน์อะไรถ้าเขาจะขอไปอยู่ด้วยก่อนสักพัก-- กับอีกคนที่นึกออก ก็มีเพียงธนกฤตเท่านั้น ทว่าตัวเขาได้ทำร้ายจิตใจอีกฝ่าย เป็นคนหนีออกมาเองแล้ว


...How can I go back there...


ที่แน่ๆ ในตอนนี้ รัญชน์ยังไม่อยากอยู่กับพี่ชายในตอนนี้ ความรู้สึกสับสนมากมายทับถมลงมาจนคิดอะไรแทบไม่ออก รู้สึกตัวอีกที ก็มาอยู่ที่โรงพยาบาลอีกครั้ง


“... พี่กุ้ง........”


“อ้าว น้องรันทำไมมาอยู่นี่ละคะ”นางพยาบาลสาวที่เพิ่งออกเวรถามด้วยความประหลาดใจ


“วันนี้หมอบีมไม่ได้เข้านะคะ เอ...หรือนัดนอกเวลาไว้คะ”


“..... ขอ.... เข้าไปห้องหมอได้ไหมครับ” รัญชน์พยายามที่จะคุมเสียงไม่ให้สั่น เพราะไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน ถ้าอยู่ในนั้นได้ก่อนก็คงดี-- ทั้งๆที่รู้ว่าคงไม่ได้


“คือว่ามันผิดกฏน่ะน้องรัน... เป็นอะไรมาหรือเปล่าคะหน้าตาดูไม่ค่อยดีเลย” แม้จะออกเวรแล้วแต่เพราะเป็นคนคุ้นเคยกันก็ยังคงเป็นห่วง แต่เรื่องเปิดห้องให้เข้าไปนั่งในห้องพักแพทย์ก็อาจจะเกินไปสักนิด


“ให้พี่โทรตามหมอบีมให้ไหมคะ”


“ไม่ต้อง... หรอกครับ........ งั้นผมขอนั่งแถวนี้สักพัก.... นะครับ” ในตอนนี้เขาไม่เหลือแม้แต่เรี่ยวแรงที่จะยิ้ม


คำว่าไม่ต้อง... ทั้งที่หน้าตาเป็นแบบนั้นทำให้กันยายิ่งเป็นห่วง หญิงสาววางถุงข้าวของลงแล้วจับมือเล็กขึ้นมาบีบเบาๆ


“เอางี้ดีกว่า ถ้าน้องรันไม่รู้จะไปไหน งั้นไปนั่งเล่นห้องพี่กุ้งก่อนไหมคะ”


“ได้... เหรอครับ.....” รัญชน์ถามย้ำเสียงอ่อน


“ได้สิคะ”


กันยายิ้มรับด้วยรอยยิ้มสดใส


...หมอบีมนะหมอบีม...


...เดี๋ยวตีให้ตายเลย คอยดู...

 

 









“ตามสบายนะคะน้องรัน เดี๋ยวพี่เอาน้ำให้” พอมาถึงห้องพักในแฟลตของโรงพยาบาลหญิงสาวก็ดันหลังเด็กหนุ่มให้เข้าไปนั่งตรงโซฟาตัวนุ่มทันที


“หรือจะเอาเป็นอะไรอุ่นๆไหมคะ”


“ไม่เป็นไรครับ” เขาตอบก่อนจะยกเอาขาขึ้นมากอดเข่าตัวเองเอาไว้


“ไม่เป็น— อ๊ะ!แป๊บนะน้องรัน” โทรศัพท์ที่ดังขึ้นพร้อมชื่อเพื่อนนางพยาบาลด้วยกันเรียกความสนใจของกันยาไปอีกทาง หญิงสาวบุ้ยใบ้ให้คนที่เพิ่งมาทำตัวตามสบายก่อนจะกดรับแล้วหนีบไว้กับไหล่พร้อมหยิบตะกร้าผ้าขึ้นมาถือ


“พี่เอาผ้าไปปั่นแป๊บนะ... อือ ว่าไงอิง...อยู่ห้อง....” เสียงใสหัวเราะร่วนแล้วเปิดประตูห้องเดินออกไป


พอถูกปล่อยไว้อยู่คนเดียว รัญชน์ก็พยายามทำใจให้สงบ ทว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นมันมากเกินไปที่คนอย่างเขาจะรับไหว-- ทั้งเรื่องบิดาของธนกฤต เรื่องบอกเลิกไป แล้วยังเรื่อง...


...พี่ราม...


ได้แต่คิดวนไปวนมาไม่รู้จบ เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าจะหาทางออกอย่างไร บางที ถ้ามีธนกฤตอยู่อาจจะมีคำตอบดีๆให้-- แต่ตัวเขาที่ทำร้ายอีกฝ่ายไปอย่างนั้น จะยังได้รับความใจดีอีกครั้งงั้นหรือ

 

 








“ยัยอิงนะยังอิง ชวนเม้าท์ซะนานเชียว” หญิงสาวบ่นอย่างอดไม่ได้ ก็ใช่ว่าเป็นความผิดเพื่อนอย่างเดียวเพราะตัวเธอเองก็ติดลมจนผ้าที่เอามาปั่นได้เวลาตากพอดีเช่นกัน


กันยาหอบหิ้วตะกร้ามาวางหน้าห้องพลันนึกถึงแขกมาใหม่ กันยาเปิดประตูเข้าไปเบาๆแล้วร้องทัก


“น้องระ...อุย...” หญิงสาวเปลี่ยนเป็นกิริยาที่นุ่มนวลขึ้น เธอปิดประตูห้องเบาๆแล้วเอาตะกร้าไปตากจนเสร็จ


กันยาเดินเข้ามายืนใกล้ๆเด็กหนุ่มซึ่งแม้จะเลือนลางแต่คราบน้ำตาบนผิวแก้มยังคนมองเห็นได้ เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายถึงเจ้าของไข้...ซึ่งน่าจะเป็นสาเหตุ


...ไม่ใช่ไม่รู้ว่าคบกันในลักษณะไหน...


...แต่เพราะต่างฝ่ายต่างเป็นคนดี เลยอยากช่วยทำเป็นไม่รู้มากกว่า...


-ครับ..ว่าไงครับคุณกุ้ง-


“... หมอทะเลาะอะไรกับน้องรันหรือเปล่าคะ” ทันทีที่อีกฝ่ายรับสาย กันยาก็เอ่ยถามทันทีไม่คิดอ้อมค้อม


-แน่ะ! รู้ดีอย่างกับเห็นน่ะคุณกุ้ง...ก็มีนิดหน่อยน่ะ รันโทรไปหาคุณกุ้งเหรอ- เสียงตามสายพูดอย่างร้อนรนเนื่องจากพอบีบีไปอีกฝ่ายก็ไม่ยอมตอบเสียที


กันยาถอนหายใจออกมาเบาๆก่อนจะเอ่ยต่อ


“โทรอะไรล่ะคะ มาหาถึงโรงพยาบาลต่างหาก หมอบีมนะคะ คราวหน้ากุ้งจะไม่พูดด้วยแล้ว”


-รันเขา...เป็นยังไงบ้าง...แล้วตอนนี้ยังอยู่ที่โรงบาลหรือเปล่า ทำไมยังไม่กลับบ้านอีก-


“ตอนนี้อยู่ที่ห้องกุ้งค่ะ หลับไปแล้ว... หมอบีมทำอะไรให้แกร้องไห้คะ....” สายตายังคงมองคราบน้ำตาก่อนจะยกมือขึ้นลูบศีรษะของคนตัวเล็กเบาๆ


-ก็มีปัญหากันนิดหน่อยครับ ถ้าไง...ผมไปรับรันที่ห้องคุณกุ้งได้ไหม ไม่ต้องบอกเขานะครับ เดี๋ยวจะหนีไปอีก-


“... ได้ค่ะ แต่ห้ามทำแกร้องไห้อีกนะคะ” กันยาบอกเสียงเด็ดขาดก่อนจะบอกอีกฝ่ายถึงเส้นทางมายังแฟลตแห่งนี้

 

 






หลังจากที่อยู่คนเดียวจนสงบจิตใจได้ อีกทั้งธิวรางค์ยังโทรมาบอกว่าตอนนี้อาการไม่มีอะไรและย้ายไปห้องพักฟื้นได้แล้ว ธนกฤตที่เพิ่งได้รับโทรศัพท์จากพยาบาลคนสนิทก็รีบขับรถไปยังที่อยู่ของกันยา


ชายหนุ่มจอดรถข้างล่างแล้วขึ้นไปยังห้องหญิงสาว ก่อนจะเอ่ยทักเจ้าของห้องด้วยรอยยิ้ม


“ขอบคุณนะคุณกุ้ง หมอมารับเด็กแล้วล่ะ”


“... ยังหลับอยู่เลยค่ะ...” เจ้าของห้องเอ่ยบอกพร้อมทั้งบุ้ยหน้าไปทางร่างเล็กบนโซฟา


“หมอขโมยกลับไปทั้งอย่างนี้ได้ไหมเนี่ย” ร่างสูงนั่งลงบนพื้นแล้วใช้ปลายนิ้วเกลี่ยผิวแก้มชื้นเบาๆ


“เงียบๆนะคุณกุ้ง เดี๋ยวรันจะตื่น”


ธนกฤตหันมายิ้มให้หญิงสาวแล้วค่อยๆช้อนตัวคนรักที่ยังหลับลึกเข้าสู่อ้อมกอด


“... คราวหน้ากุ้งจะไม่พูดกับคุณหมอแล้วจริงๆนะคะ” กันยาพูดเสียงเบาพลางขยับเปิดประตูห้องของตัวเองให้อีกฝ่าย


“ไม่มีคราวหน้าแล้วครับคุณกุ้ง...” หมอหนุ่มยิ้มหวานอีกครั้งพร้อมให้สัญญา... ที่คนในอ้อมกอดคงไม่ได้ยิน


...จะไม่ทำให้เสียน้ำตาอีกแล้ว...


 

 



“... อ... อืม...” เสียงแตรรถที่บีบจนลั่นถนนเป็นตัวปลุกให้ร่างเล็กที่นอนหลับอยู่ค่อยๆลืมตาขึ้นมา ก่อนจะพบว่าตัวเองนั้นอยู่บนรถที่กำลังวิ่ง


“??!!” รัญชน์ผุดขึ้นนั่งด้วยความตกใจ ทันทีที่สายตาจับภาพคนข้างๆได้ ก็คล้ายกับจะอยากร้องไห้ออกมา


...พี่บีม...


“ตื่นแล้วเหรอตัวเล็ก” คนขับหันมายิ้มจางๆให้คนที่เพิ่งตื่นก่อนจะละพวงมาลัยออกมาลูบศีรษะกลมเล็กเบาๆ


“ขอโทษนะที่ขโมยตัวมาแบบนี้....”


“ม... มาได้ยังไง...” คนตัวเล็กหันหลบหนีจากสัมผัสอบอุ่นที่ทำให้น้ำตาแทบไหลลงมา


“..... รัน... แค่จะหาที่นอนเฉยๆ... นะ.......”


 “ก็ที่นอนของรัน...เป็นบ้านพี่ไม่ได้เหรอ...” ชายหนุ่มหันมายิ้มพลางหักรถออกจากเลนไปยังอีกเป้าหมาย...


...สวนสาธารณะที่เคยเจอกันครั้งแรก...


“อย่าร้องไห้นะตัวเล็ก...”


“....... แต่... นะ.... เลิกกันแล้ว....” รัญชน์พูดเบาๆพลางก้มหน้าลง


“ตัวเล็กพูดไปคนเดียวต่างหากล่ะ” ธนกฤตจอดรถตรงที่จอดในสวนแล้วจับมือเล็กที่กำลังสั่นไว้


“แต่ยังไงก็ตาม ถึงตัวเล็กจะบอกว่าเลิก...ที่ตรงข้างๆพี่ก็ยังเป็นของตัวเล็กคนเดียวนะครับ”


น้ำตาค่อยๆหลั่งไหลออกมาก่อนที่มือเล็กจะบีบมือของอีกฝ่ายกลับ


“........ แต่... พี่... ราม... ก็บอก.... แบบนั้น.... ว่า... รัก...........”


พี่ราม....รัก?...


“ไหนรันใจเย็นๆนะ..หายใจลึกๆ” ธนกฤตลอบยิ้มกับคนตัวเล็กที่ทำตาม รัญชน์ที่กำลังกลั้นสะอื้นดูทั้งน่ารักและน่าสงสารในเวลาเดียวกัน


“ค่อยๆอธิบายพี่อีกที ไอ้...เอ่อ..พี่ของรันเขาทำไมนะ”


“พี่... ราม.... บอกว่ารักรันนะ... ทั้งๆที่เป็นพี่น้อง... แต่ว่าไม่ได้นะเพราะว่า... มันผิด... นะ... พอ... พอบอกไปแบบนั้นพี่ราม..... ก็โมโห..... น่ากลัว... มากๆนะ......”


“รัก?...รามกับรันเป็นพี่น้องแท้ๆกันไม่ใช่เหรอ” หมอหนุ่มถามย้ำอีกครั้งซึ่งก็ได้รับการยืนยันด้วยการพยักหน้าเบาๆของรัญชน์


แม้จะไม่ใช่เรื่องที่พบเห็นได้ทั่วไปก็จริงอยู่ แต่เพราะหน้าที่ของเขา..หลายต่อหลายครั้งก็ได้รับรู้เรื่องของคนในครอบครัวเดียวกันหรือญาติร่วมสายเลือดมีความสัมพันธ์กันเองและเกิดการตั้งครรภ์ที่ก่อให้เกิดปัญหาต่อเด็กในครรภ์เนื่องจากเชื้อสาย...


“แล้ว...เขาทำอะไรตัวเล็กหรือเปล่า” มือใหญ่บีบเบาๆที่หลังมือ


หลายต่อหลายครั้ง...การตั้งครรภ์ของคนเชื้อสายเดียวกันก็ไม่ได้เกิดจากความตั้งใจ ผู้หญิงหลายคนจำต้องทนเลี้ยงลูกพิการซึ่งเกิดมาจากการถูกข่มเหงหรือใช้กำลัง...และอีกหลายรายที่ผู้เสียหายเป็นเพศเดียวกับผู้กระทำ


“แค่... จูบ... นะ... แต่ว่า ผลักออก... แล้ว... พอหนีมา... รัน ไม่รู้จะไปไหน... นะ...” นัยน์ตากลมโตที่เอ่อคลอไปด้วยน้ำตากระพริบไล่น้ำตาออกเบาๆก่อนจะมองใบหน้าของธนกฤตด้วยความรู้สึกที่ยังสับสน


“แล้วทำไมไม่บอกให้พี่ไปรับล่ะ” ธนกฤตโอบคนรักแล้วอุ้มข้ามเบาะขึ้นมานั่งบนตักพร้อมกับปรับเลื่อนเบาะไปด้านหลังจนสุด


“ถึงรันจะบอกเลิกพี่....แต่พี่ไม่ได้บอกสักหน่อยว่าจะเลิกด้วย”


“... ไม่ดี... ไม่ใช่เหรอ... นะ” เด็กหนุ่มก้มหน้าลงก่อนจะพูดต่อ


“รันบอกเลิก... ทำตัวไม่ดี... ก็ไม่ควรมาแล้ว... แบบนั้น....”


“รันไม่ใช่คนไม่ดีหรอก...แต่รันเป็นคนดีมากต่างหาก”


เหตุผลที่แท้จริงของการขอเลิกรู้อยู่แก่ใจ...ถ้าไม่ใช่เพื่อเขา..เพื่อป๊า คงไม่มีเหตุผลอื่น


“รันไม่อยากให้พี่กับป๊าเสียใจใช่ไหมล่ะ รันคิดว่าจะทำให้พี่เจ็บปวด...ทำให้ป๊าป่วย ทำให้พี่มีปัญหา” เขาดึงศีรษะกลมเล็กให้ซุกแนบอก หัวใจที่เต้นเรียบเรื่อยอบอุ่นขึ้นช้าๆ


“แต่รู้ไหม...ที่รันทำแบบนี้ทำให้พี่เจ็บมากกว่าอีก...”


“ทำไม... ล่ะ” เขาเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายพร้อมทั้งน้ำตา


“การที่รันทิ้งพี่..ขอเลิกกันนั่นล่ะที่ทำให้พี่เจ็บที่สุด” ปลายนิ้วปาดที่ใต้ตาเบาๆพร้อมด้วยจุมพิตซับน้ำตา


“เพราะพี่รักรัน...เกินกว่าจะอยู่คนเดียวได้แล้ว”


“.......... พี่บีม...” ร่างเล็กสวมกอดธนกฤตเอาไว้พลางสะอื้นเบาๆ


“... รักพี่บีม... นะ.... ขอโทษ... แต่พี่ราม... นะ... จะทำ... ยังไง......”


ชายหนุ่มลูบหลังคนรักเบาๆพลางดันร่างให้แนบชิดขึ้นอีกนิด


“เรื่องราม...เดี๋ยวรอให้เขาใจเย็นลงกว่านี้ก่อนแล้วเราค่อยไปหาพร้อมกัน พี่จะไปคุยกับเขา..บอกว่ารักรันมากแค่ไหน พี่เชื่อว่าพี่ชายรันคงกำลังสับสนมากกว่าถึงทำให้รันกลัว รอสักสองสามวัน..มาอยู่กับพี่ก่อนนะครับ”


“.......................... จริง... นะ...” เขาถามซ้ำก่อนจะซุกใบหน้าเช็ดน้ำตาของตัวเอง


“ได้...... เหรอ.....”


“ได้สิ..จะนานแค่ไหนก็ได้นะ” ธนกฤตโอบรอบศีรษะกลมเล็กที่ซุกซบพลางหอมที่กลางศีรษะเบาๆ


...ต่อให้เป็นตลอดชีวิตก็ยังไหว...
 








To be continued...


kagehana :

พี่รามแม่ม.....

หมอกับน้องเลิกกันได้ตอนนึงก็กลับมาเหมือนเดิม ก็คนเขารักกันนี่เน้ออออ
หัวข้อ: Re: ・・・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน25 ร้าว...รัก... (01/02/14)
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 01-02-2014 20:40:58
ชื่อตอนนึกว่าจะดราม่ากับรัน โธพี่รามนะพี่ราม
เป็นกำลังใจให้พี่รามสู้กับความรู้สึกตัวเองข่า
หัวข้อ: Re: ・・・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน25 ร้าว...รัก... (01/02/14)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 01-02-2014 21:44:42
มาให้กำลังใจพี่ราม
จุบบบบบบบ
หัวข้อ: Re: ・・・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน25 ร้าว...รัก... (01/02/14)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 02-02-2014 00:18:47
โผล้งออกไปจนได้น่ะพี่ราม
หัวข้อ: Re: ・・・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน25 ร้าว...รัก... (01/02/14)
เริ่มหัวข้อโดย: full69 ที่ 02-02-2014 02:40:08
 o13 o13
หัวข้อ: ・・・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน26 เมื่อพายุพัดผ่าน (02/02/14)
เริ่มหัวข้อโดย: kagehana ที่ 02-02-2014 23:11:50
-26-








“อืม....” ปลายนิ้วไล่ไปตามซองบะหมี่สำเร็จรูปก่อนจะตัดสินใจหยิบออกมาหนึ่งซอง-- ภายในร้านสะดวกซื้อแถวคอนโดของตัวเอง ธันย์ชนกกำลังหยิบเลือกของเข้าไปใส่ในตู้เย็นของตน



หลังจากหยิบซื้อส่วนที่จำเป็นของตัวเองแล้ว ร่างโปร่งกลับไปยืนหยุดอยู่หน้าตู้เครื่องดื่ม



...เอาแบบไลท์ก็แล้วกัน...



เขาเอื้อมเปิดแล้วหยิบเบียร์ออกมาสามกระป๋อง-- แม้ธันย์ชนกจะไม่ใช่คนดื่มเบียร์ แต่เป็นเพราะตั้งแต่วันนั้น เขาก็ใช้เวลากับราเมนทร์มากขึ้น ทั้งอาหารการกินหรืออะไร ก็เริ่มมีส่วนของอีกฝ่ายมารวมอยู่ด้วย



...จนอดคิดไม่ได้ว่าเหมือนคนรักกันบ้างหรือเปล่า



หลังจากนั้นก็หยิบพวกไส้กรอกมาเพิ่มไว้เป็นกับแกล้มก่อนจะเดินไปจ่ายเงิน



เสียงท้องฟ้าคำรามจากภายนอกทำให้ธันย์ชนกแหงนขึ้นมอง



...ฝนจะตกอย่างนั้นเหรอ...



ร่างโปร่งหยุดยืนอยู่หน้าคอนโดของตัวเองด้วยความแปลกใจ ชายหนุ่มร่างสูงที่ยืนโอนเอนอยู่ตรงนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน หากแต่เป็นราเมนทร์



“คุณราม-!?” ธันย์ชนกรีบปราดเข้าไปประคองเอาไว้เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายทำท่าจะล้มลงจริงๆ ด้วยน้ำหนักตัวที่ต่างกันส่งผลให้เขาเองก็ถึงกับเซไปเหมือนกัน



“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” เขาถามด้วยความเป็นห่วงขณะที่ค่อยๆพาเข้ามาในตัวอาคาร กลิ่นแอลกอฮอล์ที่ลอยเข้ามาแตะจมูกทำให้ได้คำตอบ



...คงไปดื่มมาล่ะมั้ง...



ราเมนทร์หรี่ดวงตาหนักๆขึ้นเล็กน้อย ในสายตามองเห็นหน้าของธันย์ชนกแบบพร่าเลือน อาการคลื่นเหียนที่จับเป็นระยะเมื่อผสานฤทธิ์แอลกอฮอล์ทำให้ร่างสูงจำต้องฝากร่างกายอ่อนเปลี้ยไว้กับคนที่ตัวเล็กกว่า



“...ไม่มี...ที่ไหนก็ไม่มี....” น้ำเสียงของคนเมาพึมพำเบาๆก่อนร่างกายจะกระตุกเพราะอาการลำไส้ขย้อน



“อุก...ปวดหัว...จะอ้วก...” พูดจบก็ครางเบาๆออกมา



“เดี๋ยวถึงห้องแล้วนะครับ คุณราม” ปลายนิ้วกดลิฟท์ขึ้นไป ก่อนจะประคองร่างอีกฝ่ายให้พิงไว้กับผนังลิฟท์



ราเมนทร์คว้าแขนของคนที่ยืนอยู่ข้างๆในลิฟท์เข้ามาแล้วโอบรัดร่างเพรียวเข้าสู่อ้อมกอด ในตอนนี้เขาทั้งหนาว...และโดดเดี่ยว ครอบครัวเพียงคนเดียวที่มีอยู่ตนเองก็ทำลายลงไปด้วยคำว่ารักที่ไม่ควรเอ่ย ชายหนุ่มกอดธันย์ชนกด้วยกำลังของคนเมาเท่าที่มีแล้วซุกใบหน้าลงกับไหล่ราวกับเด็กน้อยที่กำลังหาที่พึ่ง



...ขอแค่นิดเดียว...



...แค่ไออุ่นจากร่างกาย...ที่บอกว่าผมไม่ได้ถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวบนโลกใบนี้...



“คุณธัน...รัน....”



“!? ค-- คุณราม--!” แม้จะตกใจ แต่เขาก็ไม่ได้ผลักออก ท่าทางอ่อนแอของฝ่ายตรงข้ามทำให้เขาค่อยๆยกมือขึ้นลูบศีรษะของราเมนทร์เบาๆ



...ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น...



...แต่ถ้าพึ่งผมได้...



...ผมก็ยินดีครับ...

 

 








เพราะว่าไม่สะดวกที่จะพาเข้าห้องของเจ้าตัว ธันย์ชนกจึงพาอีกฝ่ายเข้าห้องของตัวเองแทน ถุงของที่ซื้อมาถูกวางทิ้งไว้ตรงข้างประตูก่อนที่ชายหนุ่มเจ้าของห้องจะพาคนเมาไปนั่งที่โซฟาในห้อง



“เดี๋ยวผมเอาชามาให้นะครับ” ร่างเพรียวรีบหมุนตัวเข้าไปในครัวพลางกดน้ำร้อนลงใส่ถุงชาในแก้ว จากนั้นหยิบเอาผ้าขนหนูผืนเล็กมาบิดในน้ำเย็นให้หมาดๆแล้วหยิบเดินมาหาพร้อมกัน



“คุณราม... เช็ดหน้าก่อนนะครับ” มือที่ถือผ้ายื่นไปแตะเบาๆบนใบหน้าของอีกฝ่าย



สัมผัสที่แม้จะนุ่มนวลกว่าทุกครั้งแต่เพราะความเย็นของผ้า..ชายหนุ่มจึงยอมรับมันแต่โดยดี เขารู้สึกถึงผ้าชื้นๆที่เช็ดตามใบหน้าและลำคอ นัยน์ตาสีน้ำตาลอมเทาลืมขึ้นครึ่งหนึ่งแลเห็นเส้นผมสีอ่อนจางที่ขยับไปมา



...รัน...



“รัน...พี่ขอโทษ...พี่ขอโทษ...” ชายหนุ่มพึมพำเบาๆแล้วดึงคนตรงหน้าเข้ามากอด



“อย่าไปไหนนะ...อยู่ด้วยกัน....”



“ค-- คุณราม?? ผมธันนะครับ” พอถูกกอดไว้แบบนั้นก็ทำให้ขยับไม่สะดวกนัก ถึงจะสนิทกันขึ้นแต่พอถูกกอดเอาไว้แบบนี้ ก็ทำเอารู้สึกเกร็งขึ้นมาทันที แม้จะบอกว่าไม่ควรถือสาคนเมาแต่ธันย์ชนกก็ยกมือขึ้นดันอีกฝ่ายออกเบาๆ



“แบบนี้เช็ดไม่สะดวกนะครับ...”



แรงต่อต้านของคนในอ้อมกอดทำให้คนที่ถูกฤทธิ์เหล้าที่กินไปถึงกับชะงักงัน



หลังจากที่รัญชน์หนีออกไปจากคอนโด ชายหนุ่มก็ออกตามหาในทุกๆที่ที่คิดว่าคนตัวเล็กจะไป เวลาหลายต่อหลายชั่วโมงถูกใช้ทั้งบนท้องถนนและการเดินเท้า โทรศัพท์ที่เฝ้าโทรมีเพียงเสียงสัญญาณว่างแต่ไร้การรับสาย ราเมนทร์หยุดพักที่ผับแห่งหนึ่งในย่านใกล้ๆคอนโด... เดิมทีเขาคิดเพียงจะสั่งเครื่องดื่มมาให้พอสดชื่น แต่เพราะบรรยากาศและความทุกข์ จากแก้วที่หนึ่งก็เริ่มสู่แก้วที่สอง... จนสุดท้ายจบลงที่แก้วเท่าไรไม่อาจนับได้ เขาพาตัวเองขึ้นแท็กซี่ที่เรียกจากหน้าร้านเพื่อมาดูที่คอนโดอีกครั้ง



...รัญชน์...



“พี่มันไม่ดีใช่ไหม...พี่ทำให้รัน...กลัว...แต่ว่า...” สองมือที่โอบกอดรัดแน่นขึ้นก่อนจะลูบแผ่นหลังบอบบางช้าๆ



“พี่รักรัน...”



เพราะเป็นเพียงแค่ฝันดี...ชายหนุ่มจึงกล้าทำทุกอย่างตามใจตนเอง



...เพราะรู้อยู่แล้วว่าเป็นเพียงฝัน...



...รัญชน์ไม่มีทางมาอยู่ตรงนี้ได้...



คำบอกรักที่หลุดออกมาทำให้ร่างโปร่งถึงกับนิ่งไป



...รักรัน...?



เป็นคำที่ได้ยินไม่ผิดเพี้ยน และไม่คิดว่าตัวเองกำลังคิดอะไรเกินเลยไปสักนิด ถ้าให้ลองปะติดปะต่อเรื่องราวดูก็ทำได้ไม่ยากเย็นเลย ราเมนทร์เอาตัวมาสนิทสนมกับเขาในช่วงที่ผ่านมา



...ตั้งแต่รัญชน์เริ่มมีแฟน



แบบนี้แล้วไม่ต่างอะไรกับเป็นแค่ตัวแทนความเหงาเท่านั้น-- ความรู้สึกวูบโหวงในจิตใจคล้ายกับถูกเจาะเป็นรูกว้าง



“... คุณรามครับ” เขาเรียกสติอีกคนพลางใช้มือสองข้างพยายามดันออก ทั้งที่รู้สึกเจ็บลึกอยู่ข้างใน



...ความรักที่ไม่มีวันได้คืน



“ไม่...อย่าเรียกว่าคุณ...ไม่นะ” เพราะร่างในอ้อมกอดกำลังจะหายไปอีกครั้ง ราเมนทร์จึงกอดไว้แน่นขึ้นแล้วบดเบียดยัดเยียดจุมพิตอันปวดร้าว



แม้ว่าจะสมจริงเท่าไร... แต่นี่คือความฝันเท่านั้น



ข้างนอกที่เคยสงบนิ่งในครานี้กลับก่อกลุ่มเมฆดำมืดเข้าปกคลุมอย่างรวดเร็ว เสียงฟ้าผ่าดังลั่นและไม่กี่วินาทีฝนก็เทกระหน่ำราวกับใครสักคนบนฟ้าปลดปล่อยมันออกมา สายฝนเกรี้ยวกราดโหมกระหน่ำจนไร้แสงสว่าง สายลมที่ราวกับพายุพัดพาความรู้สึกของคนอ้างว้างให้ยิ่งรุนแรง



...เพราะรัก...



...จึงต้องการ...



“ทำไมเราต้องเป็น... พี่น้อง... ทำไมพี่ต้อง...รัก”



เสียงฟ้าผ่า แรงกอดที่ไม่อาจต่อต้านได้ จุมพิตรุนแรงที่ถูกบังคับทำให้ร่างกายสั่นเทิ้มขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ แว่นกรอบหนาเลื่อนหลุดลงไปตั้งแต่เมื่อไหร่ยังไม่รู้ตัว



“ผม... ธัน... นะครับ” แม้เรี่ยวแรงถูกดึงหาย แต่ธันย์ชนกก็ยังหวังจะเรียกสติของอีกคนให้คืนมา



“รัน...รัน...” คนที่หลงมัวเมาในสิ่งที่คิดว่าเป็นเพียงความฝันร้องเรียกชื่อคนที่รักสุดหัวใจออกมาด้วยเสียงทุ้มพร่า



...ฝันที่ราวกับความจริง...



แม้กระทั่งอุ่นไอของร่างกายที่ถ่ายทอดยังเป็นความรู้สึกถึงชีวิต ราเมนทร์ลูบบนใบหน้าขาวที่มองเห็นไม่ชัดก่อนจะจูบอีกครั้งด้วยริมฝีปากอันหนักหน่วง



“อย่าร้อง..นะ...ขอโทษ..”



“??!!! คุณราม!!??? ป... ปล่อยผม-- ครับ” น้ำตาไร้ที่มาหลั่งไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว มือสองข้างปัดป้องอีกฝ่ายออกอย่างไร้ผล



ร่างสูงกดบ่าเล็กลงกับพื้นก่อนจะซุกไซร้ใบหน้าเข้ากับลำคอเรียว วูบหนึ่งเขารู้สึกถึงกลิ่นหอมจางที่แตกต่างจากทุกครั้ง แต่เพราะดวงตายังคงจดจำภาพใบหน้าของน้องชายและเรือนผมสีจาง ความฝันสมจริงจึงไม่สามารถหยุดได้



...ขอแค่ในฝัน...



...แค่เท่านี้...



“ไม่..แค่ฝัน...ก็ไม่ได้..ใช่ไหม...”



เสียงฟ้าร้องจากข้างนอกดังลั่นจนสั่นสะเทือนถึงตึก ไฟฟ้าที่เคยสว่างจ้าดับวูบลงปล่อยให้ทั้งสองอยู่ในความมืดที่ได้ยินเพียงเสียงฝนและลมหายใจ


“รักรัน... ไม่ได้ใช่ไหม...”



ยิ่งอีกฝ่ายรุกรานเข้ามา เขายิ่งรู้สึกหวาดกลัว ภายในความมืดที่ไม่อาจมองเห็นสีหน้าของราเมนทร์ กลับมองเห็นภาพของคนอื่นซ้อนทับมา



“ปล่อย.... ครับ....” น้ำเสียงสั่นพร่าเอ่ยขอ ซ้ำยังพยายามขยับร่างกายหนี



...หวาดกลัว



...ไม่เหมือนราเมนทร์ที่เคยรู้จัก



...ไม่เหมือนผู้ชายอบอุ่นที่หลงรัก



เสียงหวาดกลัวของคนที่อยู่เบื้องล่างมิได้เรียกสติของชายหนุ่มที่อยู่ด้านบนเลยสักนิก ราเมนทร์ปล่อยตัวเองไปกับสิ่งที่คิดว่าเป็นเพียงฝัน ร่างสูงใหญ่กดลงแนบชิดพร้อมกับถอดสิ่งที่คนตรงหน้าสวมใส่



“...รัก...รันนะ...”



...เกลียดความจริงที่ต้องเผชิญ...



...จนอยากอยู่กับความฝันตราบนานเท่านาน...



“ไม่เอา... ปล่อย... นะครับ” ถ้อยคำบอกรักที่เหมือนกับมีดกรีดลงบนหัวใจขับให้น้ำตาไหลออกมาหนักขึ้น นอกจากจะกลายเป็นความรักที่ไม่สมหวัง ซ้ำยังต้องกลายเป็นเพียงตัวแทนยิ่งทำให้เจ็บปวด



ทันทีที่ฝ่ามือร้อนผ่าวทาบลงบนผิวเนื้อเปล่าเปลือย ร่างทั้งร่างก็สั่นเทิ้มขึ้นมาอีกครั้งด้วยความหวาดกลัวจากซอกลึกของจิตใจ



“ปล่อย.....”



“ไม่....แค่ฝัน..ยังไม่ได้...เหรอ” ราเมนทร์ถามเสียงแผ่วหากแต่มือหนายังคงลูบไล้ตามแผ่นอกเปล่าเปลือย มือหนึ่งตรึงข้อมือทั้งสองข้างก่อนจะเลื่อนริมฝีปากลงขบเม้มผิวอ่อนนุ่ม กลิ่นกายหอมหวานตลบอบอวลอยู่ในห้วงฝันแสนหวาน



“ทำไมล่ะ...ทำไมถึงรัก...ไม่ได้”



“ผม... ไม่ใช่รัน... ครับ.....” ยิ่งพูดออกมา น้ำเสียงที่ฟังยิ่งดูเจ็บปวดยามปนกับเสียงสะอื้น ข้อมือที่ถูกรวบไว้ขยับไม่ได้ราวกับถูกคีมเหล็กล็อค สัมผัสจากริมฝีปากทำให้เกิดความรู้สึกหวาดกลัวพอๆกับร้อนรุ่ม



“ปล่อยผม--!!? อึก....”



ริมฝีปากดุดันหยุดไปครู่หนึ่ง ราเมนทร์หยุดฟังเสียงหัวใจที่เต้นถี่รัว



...เป็นฝันที่คล้ายกับความจริง...



หากแต่สุดท้ายเขากลับทำตามที่หัวใจเรียกร้อง



...แต่ยังไงมันก็แค่ความฝัน...



...เพราะรัญชน์ตัวจริงไม่มีทางกลับมาอีกแล้ว...



ธันย์ชนกได้แต่ร้องห้ามตามความรู้สึกหวาดกลัวที่เพิ่มขึ้นจากก้นบึ้งของจิตใจ ทว่าเสียงที่เปล่งออกมากลับฟังแผ่วเบาและแหบพร่า



“ขอร้อง... ล่ะครับ....”



คนที่ไร้การควบคุมและยึดมั่นว่านี่เป็นความฝันซึ่งเกิดจากความต้องการอย่างสุดซึ้งไม่แม้แต่จะฟังเสียง ร่างสูงอาศัยร่างกายที่ใหญ่กว่ากดทับแล้วแนบกายเข้าหาอย่างคนที่หิวกระหายในรัก ท่อนล่างถูกปลดเปลื้องออกรวดเร็วพอๆกับที่ปลุกเร้าให้คนที่อยู่เบื้องล่าง ราเมนทร์สอดปลายนิ้วเข้าที่ช่องทางเบื้องหลัง...และแม้ว่าคนในอ้อมกอดจะดิ้นรนเท่าไร ก็ไม่มีทางสู้แรงได้



...ถ้าหากต้องเสียไป...



...ขอให้เกลียดกันไปเลยดีกว่า...



“... อึก-! ปล่อย.... อ... บอล... ปล่อย” ภาพที่เห็นตรงหน้าไม่ใช่ราเมนทร์ที่รู้จักสนิทสนมอีกต่อไปแล้ว แต่กลับเป็นภาพของผู้ชายที่เรียกว่าแฟนเก่าของตัวเอง



“ไม่ร้องนะ...คนเก่ง...ของพี่” เสียงสั่นเครือและหยาดน้ำตาทำให้เสียงสั่นๆพูดออกมาเบาๆก่อนที่ราเมนทร์จะเลื่อนขึ้นไปจูบที่เปลือกตา



...ขอโทษ...



...ขอโทษที่รักรัน...



แม้ปากจะพูดปลอบแต่ความรุ่มร้อนในกายกลับสวนทาง ราเมนทร์จับเรียวขาเปล่าเปลือยให้แยกออกกว้างก่อนจะดึงปลายนิ้วออก



ส่วนรุ่มร้อนที่ตื่นตัวเต็มที่สอดแทรกเข้าสู่ภายในพร้อมๆกับเสียงร้องที่ดังขึ้นท่ามกลางเสียงฟ้าผ่าดังสนั่น



สายฝนที่บ้าคลั่งโหมกระหน่ำท่ามกลางความมืดมิด ลมพายุจากฟากฟ้าพัดกระพือเร่งสายฝนให้โปรยปรายมิได้หยุดหย่อน พระจันทร์สีนวลถูกบดบังด้วยเมฆครึ้ม



....ที่ไม่รู้เมื่อไหร่มันจะหายไป...

 

 










“..... ขอบคุณนะ... พี่บีม” ร่างเล็กพูดขึ้นมาเบาๆขณะที่อยู่ในอ้อมกอดของร่างสูง



“ขอบคุณอะไร?” คนที่แบ่งอกให้พิงเอ่ยถามเบาๆ เขาใช้ปลายนิ้วเขี่ยเส้นผมที่ปรกใบหน้าเล็กออกแล้วก้มลงมาใกล้



“ที่... รักรัน... ขนาดนี้” เขาตอบเบาๆพลางจิ้มปลายนิ้วลงที่ปลายคางของอีกฝ่าย



“ไม่ใช่หรอก...” ชายหนุ่มก้มลงหอมปลายนิ้วเล็กๆก่อนจะเงยหน้าสบตากับดวงตาสีน้ำตาลเทาแสนสวย



“เพราะรันรักพี่มาก...เลยทำให้พี่รักรันขนาดนี้”



ถ้าจะมีเหตุผลใดที่ทำให้ผู้ชายปกติอย่างเขาหันมามีความรักกับเพศเดียวกัน...เหตุผลนั้นคงเป็นเพราะรักที่อีกฝ่ายส่งมาถึง



“เมื่อก่อน... นะ... ตอนรันมีแฟนคนแรก.... รันไม่ได้บอกพี่.... ก็เลยทะเลาะกันบ่อย... นะ”



“แฟนคนแรก...ตอนไหนเหรอ” ธนกฤตไม่ได้เป็นห่วงเรื่องพี่ชายขี้หวงทะเลาะกับน้อง แต่เพราะเรื่องแฟนคนแรกของคนรัก..จึงทำให้แอบสนใจอยู่ไม่น้อย



“แล้ว...ผู้หญิงหรือผู้ชาย...”



...พอคิดว่าอาจจะเคยสนิทสนมกับใครเป็นพิเศษ...



...ก็อดหึงขึ้นมาไม่ได้...



“ผู้ชาย... ถ่ายแบบด้วยกันนะ... ตอนนั้นรักกันมาก.... ชื่อเอริค... เป็นลูกครึ่งฝรั่งเศส... นะ...” เขาตอบเบาๆยามนึกถึงใบหน้าคนรักเก่า



“แล้ว...รักพี่มากกว่าหรือเปล่า” ชายหนุ่มถามต่อแทบจะทันที ใครจะว่าอย่างไรก็ช่าง...ในเมื่อหึงก็ต้องแสดงออก



...ก็ใครใช้ให้คนตัวเล็กในอ้อมกอดนั่งยิ้มเล็กยิ้มใหญ่ตอนนึกถึงแฟนเก่าล่ะ...



“รักพี่บีมมากกว่า” คนตอบยิ้มให้จางๆก่อนจะเบียดตัวเข้าหาไออุ่น



“เอริคว่านะ... ว่ารันไม่รัก เพราะรันติดพี่นะ แล้วก็ไม่ยอมบอกพี่ว่ามีแฟนนะ... แบบนั้น... ก็เลยไม่พอใจ”



บอกตามตรง...ถ้าเขาเป็นเอริคอะไรนั่นก็คงอดคิดแบบนั้นไม่ได้ คนรักที่ไม่ยอมบอกว่าคบกันกับครอบครัวแถมยังติดพี่ชายอีกต่างหาก



“แล้วรันกับเอริคคบกันนานไหม...กว่าจะเลิก”



“..... ก็........ เกือบสองปีนะ ตอนรันไปถ่ายแบบที่ฝรั่งเศส เลยได้เจอกันนะ... ตอนนั้น... รันอายุ14... จะ15... นะ” รัญชน์ขยับปลายนิ้วเขี่ยไปมาเบาๆตามลาดไหล่กว้าง



สิบสี่สิบห้า...นั่นมันยังเด็กอยู่เลยไม่ใช่หรือไง



“...ตั้งสองปีแน่ะ...” ธนกฤตบ่นพึมพำเบาๆแล้วคว้ามือเล็กซุกซนขึ้นมาจับ ชายหนุ่มดึงคนตัวเล็กเข้ามาหาแล้วจูบเบาๆที่ริมฝีปากสีสวย



“เพราะพี่ชายรันก็เลยทะเลาะกันบ่อยสินะ...ไม่สิ แสดงว่าเอริคก็ต้องเกาะแกะรันให้เห็นด้วยแหงๆ”



“อืม... ก็สนิทกันนะ” ใบหน้าหวานเงยขึ้นมองพลางตอบคำถามแบบไม่ชัดเจนเท่าไหร่นัก



“ตกลงเขาสอนอะไรมามั่งเนี่ย” น้ำเสียงทุ้มเริ่มฉายแววขัดใจกับคำตอบที่เหมือนตอบแบบขอไปทีของคนรัก ธนกฤตจับคนตัวเล็กที่นั่งอิงแอบอยู่มาให้นั่งตรงหน้าแล้วสบตากัน



“มาเล่นเกมผลัดกันถามกันไหม....กติกาคือ พี่ถามอะไรตัวเล็กก็ได้และตัวเล็กก็ถามอะไรพี่ก็ได้เหมือนกัน ห้ามโกหกนะ ห้ามงอแงไม่ตอบด้วย”



“สอน? เหมือนบอกอะไรมั่งอะเหรอ?” เด็กหนุ่มทำท่าคิดก่อนจะเอ่ยต่อ



“ก็... French kissนะ... หมดแหละ.... But we didn't have sex....”



“...แล้วไอ้ทั้งหมดนั่นมันแค่ไหนล่ะ” ธนกฤตเริ่มขี้โกงด้วยการถามต่อทันทีโดยไม่เปิดโอกาสให้คนรักได้เฉลียวใจ



“จูบ กอด...แล้วอะไรอีก”



“ก็.... หมด..... ว่าเป็นแฟนกันทำอะไรนะ... ก็ชอบผู้ชายนี่นะ...” เพราะว่าไม่ค่อยเข้าใจจุดมุ่งหมายของคำถามเท่าไหร่ จึงตอบออกไปเท่าที่คิดว่าจำเป็น



คราวนี้คนถามเกิดอาการไม่พอใจขึ้นมา... รู้ดีว่าคนขี้หึงไม่น่ารัก แต่การที่คนรักของเขามานั่งรำลึกความหลังว่าเคยทำอะไรมาบ้าง...แม้จะเป็นคนถามเองก็ยังหึงอยู่ดี



“....เอริคอะไรนี่ดีเนอะ ได้ทั้งจูบแรกได้ทั้งกอดรันก่อนพี่...”



“.....” คนตัวเล็กอ้าปากงับต้นแขนอีกฝ่ายเบาๆแล้วพูดต่อ



“คุณน้ำอะไรนั่นก็ดีเหมือนกันนะ... คุณแนนอะไรนั่นก็ด้วย... ได้..... ความรัก.... จากพี่บีมก่อนรันนะ”



“งับอีกแล้ว เดี๋ยวเถอะ...” ธนกฤตใช้ริมฝีปากงับที่ใบหูบางๆนั้นบ้าง



“หึงหรือไง...ตัวเล็กคนดี”



“อือ....... ก็พูดเหมือนพี่บีมพูดถึงเอริคไงนะ...” รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าหวานจางๆก่อนจะหลับตาลง



“แค่เอาคืน.... นะ”



“เฮ้ย พี่ไม่ได้หึงนะ แค่ถามดูเฉยๆไง” คนขี้หึงปากแข็งยืนยันในสิ่งที่ตรงข้ามความจริง



ธนกฤตรับร่างคนตัวเล็กมาให้พักพิง เขากอดหลวมๆห่อห่มคนรักไว้ด้วยร่างกายตนเอง



“ก็พี่กลัวนี่นา...ว่าตัวเล็กจะรักคนอื่นมากกว่าพี่”



คนได้ฟังถึงกับยิ้มหวานออกมาแล้วใช้วงแขนสองข้างโอบกอดรอบเอสอีกฝ่ายเอาไว้จนแน่น



“ถ้าไม่ได้รัก... รันไม่บอกพี่รามหรอกนะ.....”



“....ถ้าพี่ไม่ได้รักรัน...พี่ก็คงไม่บอกป๊าเหมือนกัน...” พอนึกถึงคนเป็นพ่อ น้ำเสียงก็เริ่มสั่นไหวอีกครั้ง



“ป๊าเป็นคนใจดี...พี่เชื่อว่าป๊าไม่ได้รังเกียจรันหรอกนะ แต่ป๊าแค่ยังทำใจไม่ได้” พูดไป ชายหนุ่มกลับรู้สึกถึงแรงรัดที่น้อยลงจนเหมือนจะปล่อยมือออก แขนสองข้างจึงรั้งร่างบอบบางเข้าหา



“แต่พี่จะไม่ยอมแพ้หรอกนะ...ตัวเล็กเองก็ด้วย อย่าบอกเลิกพี่อีกนะ....”



“....... Ok-- I promise” รัญชน์เอ่ยตอบเสียงบางเบาพลางซุกใบหน้าเข้ากับแผ่นอกกว้างอีกครั้ง



“Just, don't stop loving me.”



“ไม่มีวันอยู่แล้ว” เสียงทุ่มต่ำตอบรับด้วยถ้อยคำอ่อนหวาน



...ไม่มีวันที่จะไม่รัก...



...เพราะหัวใจมอบให้ทั้งหมดแล้ว...













To be continued...






kagehana : ข้างบนไฝว้ดราม่ากันแทบเป็นแทบตาย ข้างล่างดราม่าเหมือนกันแต่รักกันจุ๋งจิ๋ง ฮืออออออ พี่ธันของเค้า :hao5:
หัวข้อ: Re: ・・・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน26 เมื่อพายุพัดผ่าน (02/02/14)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 03-02-2014 03:13:18
สงสารธัน :hao5: เป็นแผลอีกแล้ว
หัวข้อ: Re: ・・・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน26 เมื่อพายุพัดผ่าน (02/02/14)
เริ่มหัวข้อโดย: mildmint0 ที่ 03-02-2014 23:21:43
นี่คือนิยายดีๆอีกเรื่องนึงเลยครับ
แต่งได้ดีมากๆเลย
น่าติดตามอ่าน ลื่นไหลมากคับ
หลงเข้ามาอ่าน อ่านรวดเดียวเลยยย
แอบงงนิดหน่อย
ไม่ค่อยมีคนเม้นต์
คนแต่งสู้ๆนะครับ
นิยายดีๆ เดี๋ยวจะต้องมีคนมาอ่านเพิ่ม
เชื่อผมๆ ฮ่าๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ・・・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน26 เมื่อพายุพัดผ่าน (02/02/14)
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 04-02-2014 09:55:51
ละคุณธันจะเกลียดรามมั้ยเนี่ย
หัวข้อ: Re: ・・・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน26 เมื่อพายุพัดผ่าน (02/02/14)
เริ่มหัวข้อโดย: eye-lifestyle ที่ 04-02-2014 18:51:46
ว้าวววว เพิ่งได้อ่านฮะ
น่าติดตามมาก สู้ๆนะคนเขียน o13
หัวข้อ: ・・・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน27 เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง (04/02/14)
เริ่มหัวข้อโดย: kagehana ที่ 04-02-2014 20:21:31






-27-










...ปวดหัวชะมัด...



ความรู้สึกแรกที่พุ่งเข้ามาหลังจากรู้สึกตัวในยามเช้าคืออาการปวดหัวจนแทบไม่อยากลืมตา ราเมนทร์ฝืนตัวเองค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นช้าๆ



นัยน์ตาสีน้ำตาลเทากวาดไปรอบห้อง แต่ก่อนที่จะเห็นอะไร... ความรู้สึกอุ่นนุ่มที่อยู่ในอ้อมแขนก็เรียกความสนใจขึ้นมาก่อน



...อบอุ่น… เหมือนผิวกายที่แนบชิด...



ร่างสูงมองกลุ่มผมสีอ่อนที่หนุนอยู่บนท่อนแขน ลาดไหล่เปล่าเปลือยคู้งออย่างน่าสงสาร คนมองใจหายวาบ... สายตาที่ชัดเจนมองไปเบื้องล่างของทั้งตนเองและอีกคนที่เปล่าเปลือยแนบชิด ร่างกายแข็งทื่อค่อยๆคลายออกเชื่องช้า



..คุณธัน...



อย่าบอกนะว่า....



“.......คุณ...ธัน....” ในความฝันเมื่อคืน รัญชน์เป็นคนที่อยู่ในอ้อมกอด แต่ในความเป็นจริงกลับเป็นอีกคนที่ถูกเขาทำร้าย



เสียงเรียกชื่อแผ่วเบาปลุกให้อีกคนค่อยๆลืมตาขึ้นมา เมื่อพบกับสายตาของราเมนทร์ที่จ้องมองมาก็รู้สึกเหมือนโดนน้ำเย็นสาด



...เพราะจำทุกอย่างได้แม่นยำ ความรักที่บิดเบี้ยวของอีกฝ่ายที่มีให้น้องชายถูกระบายลงกับตัวเอง



ชายหนุ่มร่างบางปรับสีหน้าให้เรียบนิ่งก่อนจะขยับตัวขึ้นหนีจากอ้อมกอดอบอุ่นนั้น



...เพราะมันไม่ได้มีไว้สำหรับเขา



“... ขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะครับ...”



“ด— เดี๋ยวครับคุณธัน” ราเมนทร์มองใบหน้าเฉยชาของธันย์ชนก ความรู้สึกผิดกระจายตัวไหลสู่ทั้งร่างจนไม่รู้จะทำอย่างไร



“ผม...ผม...” เพราะไม่รู้จะพูดอะไรกับเรื่องที่เกิดขึ้นจึงทำได้เพียงรั้งข้อมือของคนตรงหน้าไว้



...กลับมาเป็นคนเดิมแล้ว...



...คุณที่ใจดีอ่อนโยน...



“... ครับ” เขารับคำสั้นๆพลางมองหน้าอีกฝ่ายนิ่ง— หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงไม่กล้ามองหน้าราเมนทร์ตรงๆแบบนี้ด้วยซ้ำ



“ผม... ขอโทษ” เพราะแววตาที่มองกลับทำให้หัวสมองที่ว่างเปล่าเริ่มสงบลง ราเมนทร์แอบไล่สายตาดูเรือนกายขาวที่แต่งแต้มด้วยรอยจุมพิตแทบจะทั้งร่าง ท่อนขาเรียวที่อยู่ในท่าคุกเข่ามีอะไรบางอย่างไหลออกมาจากด้านหลังตามผิวละเอียด...ก่อนจะหยดลงสู่พื้นพรมยับย่นบนพื้น



ราเมนทร์มองย้อนกลับที่ดวงตานิ่งเฉยซึ่งเก็บซ่อนความรู้สึกอยู่ข้างใต้ ในใจพลันนึกสงสารและเสียใจในสิ่งเลวร้ายที่ทำลงไป



“ขอโทษจริงๆ...คุณธัน” ร่างสูงยืดตัวขึ้นแล้วโอบกอดร่างเพรียวตรงหน้า



มือสองข้างของธันย์ชนกรีบยกขึ้นดันอีกฝ่ายออก



“ไม่เป็นไรครับ...” ธันย์ชนกตอบเสียงเรียบพลางออกแรงดันราเมนทร์ออกให้มากขึ้น



“ผมจะไปอาบน้ำแล้ว...”



“เจ็บตรงไหนหรือเปล่า...” นอกจากจะไม่ยอมถอยตามที่อีกฝ่ายดันแล้ว ราเมนทร์ยังรั้งธันย์ชนกให้ลงมานั่งในตักด้วย เขาโอบกอดคนที่ถูกทำร้ายเบาๆแล้วซบใบหน้าลงกับลาดไหล่นวล



...ผมขอโทษ...



...ทั้งที่รู้สึกดีกันแท้ๆ..แต่ผมกลับทำร้ายคุณได้...



“...ผม....ขอโทษ...ที่ทำร้ายคุณ...”



“ผมก็... บอกแล้วไงครับ... ว่าไม่เป็นไร” ชายหนุ่มอายุมากกว่ายังคงน้ำเสียงราบเรียบเอาไว้ยามเอ่ยตอบ



“คุณธัน... อย่าทำอย่างนี้...” เพราะแววตาแตกสลายที่อีกฝ่ายพยายามซ่อนไว้ทำให้ร่างสูงไม่คิดจะปล่อยมือ



“จะโกรธ... จะทำร้ายผมก็ได้... อย่าทำเหมือนมันไม่มีอะไรเกิดขึ้น..”



“........ ก็มันไม่เป็นไรครับ... คุณเมา... ก็แค่นั้น” ชายหนุ่มยังคงยืนยันเช่นนั้น



“ใช่ผมเมา... แต่ก็อย่างที่คุณเห็น ผมมีอะไรกับคุณ..ผมข่มขืนคุณ...” ท้ายประโยคเงียบไปเพราะทันทีที่พูดคำว่าข่มขืน ร่างในอ้อมกอดกลับสั่นจนรู้สึกได้



“ขอโทษ...คุณธัน....ใจเย็นๆนะ” มือที่โอบกอดเปลี่ยนเป็นลูบศีรษะทุยได้รูปที่เส้นผมยับยุ่งเบาๆ



...อย่าเย็นชากับผม...



...อย่าให้อภัยผม...



“... แล้วคุณจะให้ผมทำยังไงครับ ร้องไห้ฟูมฟายเรียกร้องให้รับผิดชอบแบบผู้หญิงเหรอครับ” ธันย์ชนกไม่ได้ตั้งใจจะประชดด้วยคำพูด หากแต่เขาไม่ต้องการให้อีกฝ่ายมาทำแบบนี้



คำพูดของคนตรงหน้าราวกับค้อนอันมหึมาที่ตอกซ้ำลงบนศีรษะ ราเมนทร์ปล่อยตัวธันย์ชนกออกจากอ้อมกอดหากแต่ดวงตายังมองสบเข้าไปข้างใน



“ไม่ต้องอย่างนั้นก็ได้ครับ...แต่ผมจะรับผิดชอบ”



...รับผิดชอบที่ทำให้คุณเสียใจ...



...รับผิดชอบที่คิดว่าคุณเป็นตัวแทนใคร...



“รับผิดชอบทำไมครับ... ผมบอกว่าไม่เป็นไร” เขายังคงตอบเสียงเรียบนิ่งทั้งที่รู้สึกหวั่นไหว-- เพราะไม่อยากจะเอาตัวเองเข้าไปเกี่ยว



แต่ที่น่าเจ็บใจกว่านั้นคือเขายังรู้สึกกับอีกฝ่ายเหมือนเดิม แม้จะเจ็บปวดแต่ก็ยังรัก



“ขอโทษครับ” คำพูดที่ไม่รู้พูดออกมาเป็นครั้งที่เท่าไรทั้งกับธันย์ชนก... และรัญชน์



“ผมไม่นึกว่ามันจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ ผมเมามาก... แต่นั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่ผมจะอ้างได้ เพราะยังไงสิ่งที่ผมทำลงไปกับคุณก็ควรรับผิดชอบ”



นัยน์ตาสีสวยมองด้วยสายตาขอโทษ



“มันไม่ใช่แค่คำว่าไม่เป็นไร...แล้วมันจะจบนะ..คุณธัน...”



“... แล้วคุณ... จะเอาอะไรครับ... ผมมีสิทธิ์ที่จะไม่ต้องการอะไรจริงไหม” ธันย์ชนกแค่นยิ้มจางๆ



“คุณธัน.....คบกับผมนะครับ” ชายหนุ่มจับมือเรียวที่กำเข้าหามาจับไว้



“มันอาจจะเป็นเรื่องโง่ๆที่ขอร้องคุณอย่างนี้ แต่อย่างน้อยที่สุด...ผมจะไม่ทอดทิ้งคุณแน่นอน”



คำที่หลุดออกมาจากริมฝีปากฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ทำให้รู้สึกดีอย่างที่ควรจะเป็น



...เพราะรู้ว่าในหัวใจอีกฝ่ายนั้นมีที่ให้คนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเอง



“ไม่ต้อง... หรอกครับ ไม่เป็นไร...”



“คุณธัน.....” เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ยอมตกลง ราเมนทร์จึงหยุดพูดแล้วค่อยๆลุกขึ้น



เพราะเรื่องราวยังสดใหม่เกินไป... เพราะกำแพงน้ำแข็งที่ถูกก่อไว้มันเย็นจนเจ็บหัวใจ



“ถ้างั้น..แค่ตอนนี้...ให้ผมพาคุณไปอาบน้ำได้ไหม”



...สุดท้าย...



...เขาก็ต้องใจอ่อนกับสายตาอ่อนโยนนั่น...



“........ ครับ...” ชายหนุ่มนักเขียนเอ่ยตอบเสียงแผ่ว



...เอาไงดีวะ...



พออีกฝ่ายตกลงง่ายๆ คนที่ถามเลยย้อนกลับมาที่ตัวเอง... ว่าจะอาบให้ยังไง



ถึงจะสนิทสนมแต่ไม่เคยถึงขั้นอาบให้ ยิ่งบวกไปกับความกระอักกระอ่วนในเรื่องที่เพิ่งทำไปหมาดๆยิ่งส่งผลให้ร่างสูงทำได้เพียงยื่นมือมาให้



“เดินไหวไหมครับ”



“.... ไหวครับ” ถึงปากจะพูดว่าไหว แต่เขากลับเอื้อมมาจับมือข้างนั้นเอาไว้



...อย่างน้อยความอ่อนโยนในตอนนี้...



...คุณก็มอบให้ผม...



ราเมนทร์ประคองร่างเพรียวให้ลุกขึ้นช้าๆ ร่างกายเปล่าเปลือยของธันย์ชนกถูกแสงแดดยามเช้าโอบล้อมไว้ลางๆ พอยิ่งไม่ได้ใส่เสื้อผ้า ความเปราะบางของชายหนุ่มตรงหน้าก็ราวกับจะเพิ่มมากขึ้น



...ราวกับแก้วสีสวยที่ร้าวจากภายใน...



...แม้ไม่แสดงให้เห็นแต่ก็สามารถแตกได้ในวันนึง...

 

 














หลังจากอาบน้ำเสร็จ ธันย์ชนกค่อยๆก้มลงหยิบเอาของที่ซื้อมาเมื่อวานจัดใส่ตู้เย็นเงียบๆโดยไม่พูดอะไร



ราเมนทร์ที่ยังอยู่ในชุดผ้าขนหนูผืนเดียวมีน้ำหยดพราวเต็มแผ่นอกแข็งแรงเดินเข้าไปหาเงียบๆ มือเย็นฉ่ำแตะลงข้างแก้มขาวเบาๆ



“คุณธันไปนอนเถอะ เดี๋ยวผมเก็บเอง”



“... ไม่เป็นไรครับ” ชายหนุ่มเอียงใบหน้าหลบจากสัมผัสเย็นๆนั้นโดยไม่ได้ตั้งใจก่อนที่จะหลบสายตาอีกฝ่าย



“เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว...”



ของในถุงนั้นมีจำพวกอาหารสำเร็จรูปและอาหารสดในถุงซีลที่อุ่นได้ จากการที่เขาพาตัวเองมาอยู่ใกล้ๆธันย์ชนกในช่วงหลังๆทำให้เขารู้วิธีกินอยู่ของชายหนุ่มมากขึ้น ธันย์ชนกรักที่จะกินอาหารสำเร็จรูปหรือทำอาหารง่ายๆกินเองมากกว่าจะไปกินข้างนอก หลายต่อหลายครั้งเขาก็มาฝากท้องที่นี่ พออยู่ด้วยกันแล้วยิ่งคุ้นเคยขึ้นเรื่อยๆจนเขาพอจะลืมความเหงาได้บ้าง



ชายหนุ่มมองมือเรียวที่หยิบกระป๋องสีอ่อนๆออกมาไว้ข้างกายแล้วก้มหน้าก้มตาหาที่ว่างเพื่อจัดวางมัน



...เบียร์..แถมเป็นแบบไลท์...



ร่างสูงย่อตัวลงนั่งข้างๆแล้วคว้าร่างเพรียวเข้ามากอดแนบแน่น



ธันย์ชนกที่ไม่นิยมเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิดกลับซื้อเบียร์มาติดตู้เย็น...ถ้าไม่ใช่เพื่อเขาแล้วจะเพื่อใคร...



...ทั้งที่ผมทำร้ายคุณมากขนาดนี้...



“ขอโทษนะคุณธัน...”



คำขอโทษรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้คล้ายกับจะพยายามละลายน้ำแข็งที่สร้างไว้ป้องกันตัวเอง



“... พอ... เถอะครับ”



“ขอบคุณนะครับ....” คำพูดเบาๆกระซิบที่ข้างหู ราเมนทร์กอดธันย์ชนกแน่นขึ้นแล้วเอาคางเกยไหล่



“ทำไมคุณธันถึงดีกับผมขนาดนี้นะ”



“..... คุณ... ต้องถามผมด้วยเหรอครับ” มือสองข้างขยับดันอีกฝ่ายออกเบาๆ



“ผมอยู่คนเดียว ไม่มีใคร... ก็แค่นั้น”



ราเมนทร์ปล่อยมือออกแล้วลุกขึ้นยืน เขายิ้มจางๆให้อีกครั้ง



“ผมชอบคุณนะ”



...ถ้าผมรักคุณจะดีแค่ไหน...



...แต่คุณรักรัน...



ความจริงที่แทงใจไม่ได้ถูกเอ่ยออกไป ธันย์ชนกหลับตาลงโดยที่ไม่ตอบรับอะไร-- เขาควรจะใช้โอกาสนี้ให้ได้อยู่ข้างๆไหม



...เหมือนคนบ้าที่ถูกทำร้ายขนาดนี้ก็ยังอยากให้อภัย



“... เหรอครับ” เขาถามกลับเสียงเบา



“ผมชอบคุณมากกว่าที่ผมคิดซะอีก... ผมไม่ได้พูดให้ตัวเองดูดีขึ้นหรือลบล้างความผิดอะไร... แต่ที่ผมชอบคุณเพราะอยู่ด้วยแล้วมันสงบอย่างบอกไม่ถูก”



“..... อย่างนั้น... เหรอครับ...” ถ้อยคำว่าชอบที่อีกฝ่ายพูดออกมาทำให้อดไม่ได้ที่จะคลางแคลงในใจ-- เพราะก่อนหน้านี้อีกฝ่ายไม่เคยมีท่าทีอะไรด้วยซ้ำ



“ไม่ได้โกหกครับ” ราเมนทร์พูดตอบ การที่พาตัวเองมาอยู่ใกล้กับคนที่รู้ว่ารู้สึกอย่างไรกับเรา... ถ้าไม่ได้มีใจให้บ้างคงไม่ทำเช่นนี้



เขาชอบบรรยากาศของการอยู่ร่วมกับธันย์ชนก ชอบช่วงเวลาที่ต่างฝ่ายต่างทำอะไรเงียบๆแล้วเงยหน้ามาสบตากันพอดี ชอบรอยยิ้มเขินๆของคนอายุมากกว่า... ชอบที่จะอยู่ใกล้ๆ



“ถ้าคุณไม่เชื่อ จากนี้ไปผมจะใช้เวลาอยู่กับคุณให้มากขึ้นดีไหม”



ธันย์ชนกลังเลที่จะตอบรับคำพูดนั้น ความรู้สึกที่ว่าตัวเองถูกทำร้ายยังคงฝังแน่นอยู่ในใจ แต่ในขณะเดียวกันก็รับเอาความเจ็บปวดเพราะความรักที่มีต่อน้องชายเข้ามาด้วย



...ผมคงบ้าไปแล้ว...



ที่คิดว่าอย่างน้อย ราเมนทร์ก็ไม่ได้ตั้งใจทำร้าย หรือว่าหักหลังเขา แต่เกิดขึ้นเพราะอีกฝ่ายกำลังเสียใจและผิดหวังอย่างรุนแรงจนต้องหันไปพึ่งแอลกอฮอล์



“....... ผม... ไม่อยากให้คุณ... ฝืนใจ... นะครับ”



“ถ้าฝืนใจผมไม่ทำหรอก” นัยน์ตาสีน้ำตาลอมเทามองเผยความจริงใจ มันคงยากที่จะทำให้คนที่เคยถูกทำร้ายกลับมาเชื่อใจอีกครั้ง แต่ลองดูสักครั้งคงไม่ผิดอะไร



ชายหนุ่มรั้งมือเรียวมาจับแล้วพาร่างของคนตรงหน้าให้ลุกขึ้นยืน มือใหญ่ยกขึ้นประคองใบหน้าเศร้าๆของธันย์ชนกไว้



“ผมไม่ขอให้คุณลืมเรื่องเมื่อคืนที่ผมทำไว้... แต่อยากขอให้คุณให้โอกาสผมทำอะไรบ้าง... ได้ไหมคุณธัน...”



สายตาที่ส่งมองมาสื่อความรู้สึกของเจ้าตัวได้ชัดเจนจนไม่อยากที่จะเอ่ยถ้อยคำทำร้าย



“.... ถ้าคุณว่าอย่างนั้น........ ก็... ครับ”



“ขอบคุณมากครับ” คำขอบคุณออกมาพร้อมรอยยิ้มละไม ริมฝีปากได้รูปของตากล้องหนุ่มกดลงฉวยหอมจากแก้มขาวเบาๆ



“ผมจะเป็นแฟนที่ดีของคุณนะ”



ใบหน้าของธันย์ชนกเปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้นยามเอียงหลบอีกฝ่าย



“..... ครับ...”



...ถ้าคุณหันมารักผมได้จริงๆ...



...คงเป็นเรื่องที่วิเศษเหลือเกิน...

 

 











“อืม...ค้างบ้านไอ้หมอใช่ไหม...ดูแลตัวเองดีๆล่ะ”



ราเมนทร์วางสายจากน้องชายที่โทรมาบอกว่าจะค้างบ้านคนรัก จากวันนั้นที่เขาได้ทำร้ายคนที่รักทั้งสองคนก็เป็นเวลากว่าสามเดือนแล้ว


หลังจากที่เขาขออยู่ใกล้ๆธันย์ชนก... สองสามวันหลังจากนั้นไอ้หมอก็พอรัญชน์มาหา ราเมนทร์ยอมรับว่าเรื่องที่พูดกันก็แฟร์ๆดี... ธนกฤตบอกและยืนยันว่ารักซึ่งไอ้ตัวขี้อ้อนก็พยักหน้าเสริม ตัวเขาเองก็แกล้งยืนยันว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันแค่สับสนพร้อมอ้างถึงธันย์ชนกยกมาเป็นกันชนเพื่อให้น้องชายสบายใจ



...ไม่มีเวลามามัวนั่งเจ็บอีกแล้ว...



เมื่อเทียบสิ่งที่เขารู้สึกกับสิ่งที่ทำกับธันย์ชนกลงไป... เรื่องแค่นี้จิ๊บจ๊อย



แม้จะไม่เหมือนเดิมเสียทีเดียว... แต่วันเวลาก็ค่อยๆคืนน้องชายที่น่ารักคนเดิม และเพิ่มความสนิทสนมกับคนข้างห้องที่ถูกอ้างว่าเป็นคนรักมากขึ้น พอได้ปล่อยให้รัญชน์มีอิสระกับคนรัก เขาก็พาตัวเองแวะเวียนไปหาคนของตัวเองบ้าง จากคำสุภาพก็ค่อยๆเลือนหาย ตอนนี้จากที่เคยเรียกว่า 'คุณธัน' เวลาได้ทำให้สั้นลงเหลือเพียง 'ธัน'



ร่างสูงก้าวยาวๆจากในห้องออกไปนอกห้องแล้วจัดแจงล็อกประตูของตัวเองก่อนจะไปยืนหน้าห้องธันย์ชนกแล้วเคาะเบาๆ



“ธัน... เปิดประตูให้ผมหน่อย”



เสียงโครมครามดังมาจากด้านในอีกเช่นเคย ก่อนที่เสียงตอบรับจะตามมา



“ครับ--” ประตูห้องเปิดออกพร้อมกับเจ้าของห้อง ผมเผ้าของธันย์ชนกยังยุ่งเหยิงเหมือนเดิม ที่ต่างไปมีเพียงสีผมที่ได้รับการย้อมกลับเป็นสีดำตามเดิม



หลังจากที่ตอบรับการที่ให้เขาอยู่ข้างๆ วันต่อมาเจ้าตัวก็แอบไปย้อมเส้นผมสีอ่อนกลับมาเป็นสีดำ พอถามเหตุผมก็เอาแต่ยิ้มเศร้าๆไม่พูดอะไรราเมนทร์ถึงไม่ถามต่อ



...อันที่จริง สีผมเข้มๆยิ่งทำให้ดูเด็กลง เหมือนในรูปที่แอบเก็บไว้...



“ทีหลังไม่ต้องรีบร้อนก็ได้ เดี๋ยวหกล้มได้แผลอีกหรอก” ราเมนทร์ลูบเส้นผมดำขลับให้เข้าทรงเหมือนเดิม



“วันนี้ผมมาค้างด้วยนะ... กวนหรือเปล่า”



“ไม่กวนหรอกครับ...” เขายิ้มตอบจางๆก่อนจะหลีกทางให้ราเมนทร์ได้เข้ามา



“ทานอะไรหรือยังครับ”



“ยังเลย พอดีวันนี้เข้าสตูมา... หงุดหงิดคนนิดหน่อยเลยชิ่งกลับก่อน” ราเมนทร์ถอนหายใจหนัก วันนี้มีคิวของนางเอกสูงวัยมาถ่ายแบบภาพศิลป์ มาสายยังพอทนแต่ยังมากเรื่องเพราะถือว่าเป็นนางเอกเก่า อันที่จริงก็พอรู้มาบ้างว่าเบื้องหลังยังไงกับการถ่ายโฟโต้บุ๊คแฉประวัติตัวเองครั้งนี้... แต่ไม่อยากพูดให้เสียน้ำใจกัน



...แต่การมาก้าวก่ายส่วนงานของเขาก็ทำให้ฟิวส์ขาดได้ง่ายๆ...



“เหนื่อยจัง ธัน... ไปหาอะไรกินข้างนอกกันไหม”



“... ถ้าเหนื่อยก็อยู่บ้านดีกว่าไหม เดี๋ยวผมทำอะไรง่ายๆให้ทาน” ไม่พูดเปล่า แต่ร่างโปร่งกลับเดินไปเปิดประตูตู้เย็นพลางหยิบกระป๋องเบียร์แบบไลท์ออกมาก่อนจะยื่นให้คนตรงหน้า



“พักก่อนก็ได้ครับ...”



“เอางั้นก็ได้... ผมชอบฝีมือคุณ” มือใหญ่รับกระป๋องเบียร์มาเปิดแล้วยกขึ้นดื่มดับความร้อน



ธันย์ชนกมักใส่ใจเรื่องเล็กๆน้อยๆอยู่เสมอ ในตู้เย็นมักมีเบียร์แบบไลท์มาสำรองติดไว้เผื่อเขา ก่อนหน้านี้เขาเคยบ่นว่ามันไม่เข้มข้นแต่ร่างเพรียวก็ยังยืนยันจะซื้อแบบนี้... เพราะไม่อยากให้ตัวเขารับแอลกอฮอล์ที่มากเกินไป จนคนดื่มอย่างเขาชินและอร่อยไปกับรสบางๆนี้เอง



เบียร์เย็นๆหลังเลิกงาน บรรยากาศผ่อนคลาย อาหารอร่อยที่ตั้งใจทำ... จะเรียกว่าความสุขก็คงใกล้เคียง



แต่ยิ่งกว่านั้น....การมีธันย์ชนกอยู่ด้วยก็เหมือนได้บำบัดตลอดเวลา ทั้งบรรยากาศ ร่างกายอุ่นๆยามโอบกอด กระทั่งผิวแก้มนุ่มที่ขโมยหอม



...นี่คือความสุขอย่างไม่ผิดเพี้ยน...



“วันนี้เขียนนิยายไปถึงไหนแล้ว”



“ก็... คิดว่าใกล้จะจบได้แล้วล่ะครับ แต่ยังไงก็ต้องมาอ่านทวนใหม่ทั้งหมดอีกอยู่ดี” เขาหันมายิ้มให้จางๆก่อนจะเอื้อมหยิบผ้ากันเปื้อนที่แขวนอยู่ตรงทางก่อนเข้าครัวมาสวม แล้วจึงเปิดตู้เย็นออกอีกครั้ง



ในตู้เย็นมีของสดไม่มาก จึงตัดสินใจหยิบเอาหมูสับออกมาพร้อมกับถั่วฝักยาว แล้วก็หยิบไข่ออกมาสองฟองพลางจัดเตรียมต่อ



“หมูสับผัดถั่ว... นะครับ” ธันย์ชนกหันหามาถามความเห็นของอีกคนหนึ่งขณะที่กำลังตอกไข่ใส่ชามแก้ว



“ก็ได้นะ” ราเมนทร์เอนตัวพิงกับโซฟาตัวนุ่มแล้วหยิบกล้องขึ้นมาเช็ค



งานอดิเรกอย่างหนึ่งในช่วงนี้คือการแอบถ่ายธันย์ชนกตอนเผลอ เขาซื้อกล้องคอมแพคตัวเล็กมาใช้แทนเจ้าตัวใหญ่ที่ดูธันย์ชนกจะตกใจและปฏิเสธไม่ให้ถ่ายทุกครั้งที่หยิบขึ้นมา ชายหนุ่มลั่นชัตเตอร์เก็บภาพด้านข้างของคนในครัวไว้



“แล้วนิยายของธันแฮปปี้เอนดิ้งหรือเปล่า”



“ก็... น่าจะเป็นแบบนั้นนะ... ทิศทางตัวละครตอนนี้กำลังดำเนินไปด้วยดีครับ” เขาตอบขณะที่กำลังพลิกไข่สีเหลืองทองที่เริ่มส่งกลิ่นหอมไปรอบๆ



“ไว้ค่อย รออ่าน นะครับ”



“ขออ่านหน่อยไม่ได้เหรอ” นัยน์ตาสีสวยจับจ้องธันย์ชนกในชุดผ้ากันเปื้อนแล้วพูดเย้า



“แสดงว่าพระเอกกับนางเอกรักกันแล้ว”



“ก็.... อะไรแบบนั้นล่ะครับ... ตอนนี้นางเอกไม่อยากที่จะกลับโลกของตัวเองแล้วล่ะครับ” ธันย์ชนกหันมาเอ่ยตอบยิ้มๆ ก่อนจะรีบหลบหน้ากลับไปเมื่อพบว่าถูกจ้องอยู่



“ครับอีกแล้ว....ธันเองก็อายุมากกว่าผม ทำไมถึงพูดสุภาพด้วยล่ะ” อึกสุดท้ายถูกยกดื่มหลังพูดจบ ราเมนทร์ลุกขึ้นจากโซฟาแล้วเดินไปหยิบจานมารอข้างๆกะทะไข่เจียว



“แถมยังชอบเรียกคุณรามด้วย...”



“เอ๋ ก็ปกติ... ไม่ใช่เหรอครับ”



“ก็เห็นตอนเมายังยิ้มหวานเรียกตัวเองฉันอย่างโน้นอย่างนี้ได้เลย” เมื่อเห็นว่าไข่เจียวได้ที่ ร่างสูงก็ยืนซ้อนด้านหลังเอื้อมมือไปจับตะหลิวในมือธันย์ชนกพลิกกลับอีกครั้งแล้วตักใส่จานที่อยู่ในมืออีกข้าง



“แบบนั้นก็ดีออก... ไม่ใช่เหรอ”



“พ... พูดอะไรครับ... ผมจำไม่เห็นได้เลย” ใบหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้น



“ไม่ได้หรอกครับ”



“คุณจำไม่ได้แต่ผมจำแม่นเลยล่ะ” ราเมนทร์ยิ้มอย่างเป็นต่อ มือใหญ่ผลักไหล่บางเบาๆให้หันมาเผชิญหน้า



“ทั้งใส่คอนแทค ทั้งพูดอ้อนๆ... ผมไม่ลืมหรอก ก็คุณน่ารักจะตาย”



ยิ่งแกล้งยิ่งเขิน... ราเมนทร์ลองก้มหน้าเข้าไปใกล้อีกนิดและเป็นอย่างที่คาด... ธันย์ชนกที่หลบตามีผิวแก้มแดงก่ำ



...ผม...



...ไม่กล้าที่จะทำแบบนั้นแล้วล่ะครับ...



“........... ไม่น่ารักหรอกครับ....” เขาตอบเบาๆพลางเอียงใบหน้าไปอีกทาง รู้ดีว่ากำลังโดนแกล้งอยู่



“ประเมินตัวเองต่ำไปอีกแล้ว” ราเมนทร์ก้มลงแล้วแตะริมฝีปากบางด้วยริมฝีปากตนเอง กลีบปากบางถูกขบเม้มเบาๆก่อนจะดุนให้เผยอลงแล้วสอดปลายลิ้นขมปร่าด้วยรสแอลกอฮอล์เข้าหา



หลายครั้งที่เขารุกไล่ ธันย์ชนกก็ไม่ได้แสดงอาการรังเกียจหากแต่ก็ไม่ได้โอนอ่อนโดยง่าย หลังจากเหตุการณ์เมื่อสามเดือนก่อนราเมนทร์ก็ทำอย่างมากแค่จูบ... และลูบไล้หรือกอดเบาๆ



การที่จะมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับคนที่ชอบจริงๆได้นั้นยากกว่าที่คิด เขากลัวจะทำให้ธันย์ชนกนึกถึงเรื่องวันนั้น



....และกลัวที่จะยอมรับว่าธันย์ชนกมีอิทธิพลต่อการใช้ชีวิตของตนเองมากไปกว่านี้



“หมูผัดถั่วให้ผมผัดให้ไหม” พอถอนจุมพิตหวานออก ราเมนทร์ก็เฉไฉไปเรื่องอื่นได้หน้าตาเฉย



“......... ผม... ทำเองได้ครับ... คุณรามไปจัดโต๊ะก็ได้....” ธันย์ชนกรีบหันกลับไปหาเตาก่อนจะหยิบขวดน้ำมันมาเทใส่กระทะ พวงแก้มสีจางเปลี่ยนเป็นสีเข้มจนถึงใบหู



“อย่าเขินจนเทน้ำมันหมดขวดนะ” ราเมนทร์หยอกอีกครั้งแล้วถือจานไข่เจียวเดินตัวปลิวไป



...ถ้าผมอยู่กับคุณทุกวันอย่างนี้...



...ผมจะรักคุณมากขึ้นได้ไหม...












To be continued...




kagehana : ผิดคาดรึเปล่าคะที่ไม่ดราม่าเท่าไหร่ เราเขียนกันด้วยเบสที่ว่าพี่ธันเป็นผู้ใหญ่ที่ผ่านประสบการณ์หลายอย่างมา เลยอาจจะทำให้เข้าใจอะไรได้มากกว่าคนทั่วไป (ถึงจะน่าสงสารก็เถอะนะ....)

ขอให้สนุกกับการอ่านนะคะ :mew1:

หัวข้อ: Re: ・・・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน27 เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง (04/02/14)
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 05-02-2014 00:08:59
เฮือกกกกกกกกกขอให้พี่รามอยู่กับพี่ธันนานๆละกันคือดูน่าปกป้องมากกกกกกกกกกก
ถ้าทิ้งละน่าดูจะสาปแช่งให้ทรมานกว่าคุณธันอีก!
หัวข้อ: Re: ・・・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน27 เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง (04/02/14)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 05-02-2014 03:48:42
ขอให้ควมเจ็บปวดจางหายไปไวไวนะ :กอด1:
หัวข้อ: ・・・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน28 ค่อยๆรักกันเบาเบา (07/02/14)
เริ่มหัวข้อโดย: kagehana ที่ 07-02-2014 21:04:42



-28-







“ธัน...ผมง่วงแล้วล่ะ” เสียงโทรทัศน์ดับลงพร้อมๆกับเสียงทุ้มนุ่มที่เอ่ยขึ้นมาลอยๆ ชายหนุ่มที่นอนเอนอยู่บนโซฟาลุกขึ้นนั่งแล้วมองไปยังคนที่ยังอยู่หน้าคอม



“ไปนอนกันไหม”



“... ผมขอพิมพ์ย่อหน้านี้ให้จบก่อนได้ไหมครับ... คุณรามนอนไปก่อนเลยก็ได้...” เจ้าของห้องตอบโดยไม่ได้หันมามองอีกฝ่ายด้วยซ้ำ



“งั้นรอ” ราเมนทร์ตอบง่ายๆแล้วกดเปิดโทรทัศน์ ชายหนุ่มเลื่อนช่องไปยังรายการเพลง ในโทรทัศน์ฉายภาพดูโอหนุ่มที่กำลังมีชื่อเสียงในเอ็มวีภาพสวย

 



ใจหนึ่งใจ จะต้องการอะไร

ให้มันมากมาย ให้มันวุ่นวาย

เพียงเธอนั้น ใส่ใจกันเบาเบา

พอให้สองเรา ได้ทำอะไรมากมายในตอนนี้

บางเวลาไม่เป็นไร ถ้าเธออยู่ไกล

บางเวลาฉันเข้าใจ เธอลืมกันไป

บางเวลาไม่เป็นใจ ก็ไม่ต้องเสียดาย

ปล่อยมันไปก่อนนะ

 






เสียงหวานของนักร้องหนุ่มผมยาวกับเนื้อเพลงทำเอาอดนึกถึงความสัมพันธ์ของตนกับธันย์ชนกไม่ได้ ความรัก... ถ้ามันหนักเกินไปอาจจะทำให้เหนื่อยได้ในวันหนึ่ง แต่ถ้าเพียงเท่าที่เป็นอยู่... ก็รู้สึกสบายดีไม่ใช่หรือ?




เอ็มวีภาพสวยดึงดูดสายตาของราเมนทร์ จวบจนเนื้อเพลงท่อนสุดท้าย... ไลน์กีตาร์กับเสียงร้องเข้ากันได้อย่างน่าทึ่ง จึงไม่แปลกใจเลยที่ดูโอหน้าใหม่ทั้งสองคนจะทำให้เกิดกระแสนิยมขนาดนี้

 







คิดถึงฉันสักครั้ง เมื่อไม่ได้คิดถึงใคร

ทำตัวตามสบาย แล้วเจอกันในความฝัน

มีเวลาดีๆ ก็บอกให้ฉันได้ฟัง

ขอเธอแค่เพียงเท่านั้น ค่อยๆ รักกันเบาเบา

 

ค่อยๆ รักกันเบาเบา


...ถ้ารักที่ให้รัญชน์เป็นรักที่ทุ่มเท...


...คำว่าชอบที่ผมให้คุณก็ให้ความรู้สึกประมาณนี้ละมั้ง...


“รักกันเบาๆงั้นเหรอ...” ชายหนุ่มพึมพำ



“... เสร็จแล้วครับคุณราม” ปลายนิ้วกดเมาส์เลื่อนไปที่ปุ่มปิดเครื่อง ก่อนจะยืดแขนทั้งสองข้างขึ้นตรงเพื่อยืดเส้นสาย


ราเมนทร์ปิดทีวีแล้วลุกขึ้นเดินมาหาธันย์ชนก มือใหญ่วางบนบ่าเล็กที่แข็งเกร็งจากการพิมพ์งานแล้วบีบนวดเบาๆ ชายหนุ่มอยู่ในชุดเสื้อกล้ามสีอ่อนกับกางเกงขายาวเนื้อผ้านิ่มพร้อมนอนที่ทิ้งไว้ในห้องนี้ ทุกครั้งที่มานอนชายหนุ่มนักเขียนจะเก็บเสื้อผ้าไปซักและพับเก็บไว้ให้ กลิ่นหอมของน้ำยาปรับผ้านุ่มกับกลิ่นแดดทำให้รู้สึกดีทุกครั้งที่สวมใส่



...เป็นความคุ้นเคยที่ทำให้เคยชิน...



“ธันทำงานมากไปแล้วนะ ผมรู้นะว่าเวลาผมไม่มานอนด้วยน่ะคุณนอนเกือบเช้าตลอดเลย”



“ช่วยไม่ได้นี่ครับ ผมทำงานตอนกลางคืนได้ดีกว่า” เขาหันมายิ้มจางๆให้แล้วลุกขึ้นยืน



“ถ้าเขียนจบจะได้อ่านอีกรอบ... แล้วจะได้แก้ไข ส่งสำนักพิมพ์สักทีน่ะครับ”



จากการที่คนนั่งลุกขึ้นยืน มือใหญ่ที่วางบนไหล่จึงเลื่อนเป็นโอบเบาๆแทน



“งั้นสัญญานะครับ...ว่าถ้าเรื่องจบแล้วจะให้ผมอ่านคนแรก” ราเมนทร์โอบรั้งเข้ามาใกล้จนจมูกโด่งคลอเคลียแก้มหอมกลิ่นแป้ง



“.... ครับ” ธันย์ชนกเบนใบหน้าหนีด้วยความเขินอาย ไม่ใช่เพราะรังเกียจ ตั้งแต่อีกฝ่ายเริ่มมาใช้ชีวิตอยู่ด้วย เขาก็ไม่ได้รู้สึกรังเกียจอะไร กลับกัน กลับมีความรู้สึกดีใจอยู่ลึกๆด้วยซ้ำ



แต่ในขณะเดียวกัน ก็รู้สึกเสียใจเล็กๆ เพราะทุกครั้งที่ราเมนทร์มาหา คือเวลาที่น้องชายของอีกฝ่ายไม่อยู่ด้วยเท่านั้น



...บางที...



...ถ้าคุณเลือกผมก่อนบ้าง...



...ก็คงดีไม่น้อย...



แรกๆที่มานอนด้วย ธันย์ชนกมักจะเกี่ยงยกเตียงให้นอนแล้วเป็นฝ่ายไปนอนที่โซฟาบ้างหรือไม่ก็อ้างว่าจะทำงานต่อ  พอสักสองสามครั้งราเมนทร์ก็เริ่มใช้แผนงอแงให้นอนด้วยกัน หลายครั้งถึงกับกอดล็อคเอาไว้จนหลับไปด้วยกัน



พอถึงเตียงชายหนุ่มก็เอาผ้าห่มที่พับไว้เรียบร้อยกับหมอนที่วางอยู่บนชั้นวางมาจับจองพื้นที่ครึ่งหนึ่ง ร่างสูงยืนมองพยักเพยิดหน้าให้เจ้าของนอนก่อน



“.... ขอบคุณครับ” ร่างโปร่งค่อยๆขยับขึ้นบนเตียงแล้วหันมามองอีกคนคล้ายกับเรียกให้ตามขึ้นมา



คนที่ยืนอยู่รอจนธันย์ชนกนอนเรียบร้อยก็หยิบผ้าห่มที่พับอยู่ปลายเท้ามาห่มให้ ราเมนทร์จูบที่หน้าผากมนเบาๆแล้วคร่อมตัวบนร่างเพรียว



“ธัน...กอดได้ไหม...”



คำถามของอีกฝ่ายทำเอาเขาตระหนักถึงความเป็นจริง ถ้าสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้คือคนรักกัน สิ่งที่อีกฝ่ายขอก็เป็นเรื่องปกติ



“..... ผม....” เขาไม่แน่ใจว่าควรจะตอบอะไรดี



“ผมรู้ว่ามันยากที่จะลืมเรื่องวันนั้น... แต่ถ้าผมขอให้คุณแทนที่มันด้วยเรื่องที่เราจะทำด้วยกันในวันนี้ได้ไหม”



ชายหนุ่มกระซิบข้างหูเสียงแผ่วเบา



...ไม่ใช่จะเอาใครแทนที่ใคร...



...แต่เพราะอยากจะกอดคนตรงหน้านี้...ก็เท่านั้น...



“ผมรู้ว่ามันงี่เง่ามากที่มาขอร้องคุณให้มีเซ็กส์กับผม”



“ผม... ไม่รู้... ครับ” ธันย์ชนกหันหน้าหลบ เพราะเขาไม่รู้จริงๆว่าควรจะตอบเช่นไร ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าร่างกายตัวเองจะมีปฏิกิริยาตอบสนองแบบไหนต่อสัมผัสจากคนตรงหน้า



...ต่อต้าน หรือว่ายอมรับ



“ผมจะไม่ฝืนใจคุณ....ถ้าคุณบอกให้หยุดผมจะหยุดนะ” ราเมนทร์ลูบใบหน้าธันย์ชนกที่หลับตาอยู่เบาๆแล้วค่อยๆจูบเบาๆ



ฟ้าข้างนอกที่มืดมิดเริ่มมีฝนโปรยปราย สายฟ้าแลบผ่าท้องฟ้าเป็นสองซีกก่อนจะตามด้วยเสียงดังสนั่น



“ผมชอบคุณ”



คำว่าชอบฟังหอมหวานและทำให้รู้สึกเจ็บปวดในเวลาเดียวกัน



...มีเพียงผมที่รักคุณฝ่ายเดียว...



ธันย์ชนกไม่เอ่ยตอบอะไรนอกจากพยักหน้าเบาๆพลางยกมือขึ้นทาบปิดบนใบหน้า ไม่อยากเผยสีหน้าของตัวเองให้ราเมนทร์เห็น



...โดยไม่รู้ว่าร่างกายเริ่มสั่นเทิ้มขึ้นมาเมื่อฝ่ามือร้อนลากเข้าใต้ผิวเนื้อ



“ธัน??” มือที่สัมผัสผิวใต้เสื้อผ้าแตะเบาๆที่ช่วงท้องซึ่งเกิดอาการสั่นอย่างรู้สึกได้ชัดเจน ยิ่งพอค้างนานเท่าไหร่ธันย์ชนกก็ดูยิ่งจะสั่นเท่านั้น



“เป็นอะไรหรือเปล่าธัน?” ราเมนทร์ถามเบาๆพลางกดจุมพิตที่หน้าผากปลอบโยน



...หรือว่าคุณยังกลัว...



...กับสิ่งที่ผมทำวันนั้น...



“... ม... ไม่เป็นไรครับ....” แม้จะรู้ดีว่าในใจไม่ต่อต้านแล้ว แต่สมองและร่างกายกลับไม่ยอมทำตามคำสั่งเลยแม้แต่น้อย



...เพราะมันคงฝังลึกเกินไป...



“ธัน...เดี๋ยวสิ...ผมขอโทษ...” ราเมนทร์ละมือออกแล้วรวบร่างเพรียวที่สั่นสะท้านไว้ในอ้อมกอด เขาพลิกตัวให้ธันย์ชนกนั่งอยู่บนตักแล้วลูบหลังปลอบใจเหมือนปลอบเด็กเล็กๆที่ถูกทำร้าย



“ขอโทษนะ....ไม่ทำแล้ว...ขอโทษ....”



ความอบอุ่น ห่วงใยและกังวลที่ถ่ายทอดมาทำให้ธันย์ชนกเอนใบหน้าซบลง



“เปล่าครับ... ม... ไม่ใช่เพราะคุณ...”



แม้จะแปลกใจกับคำพูดที่ได้ยิน แต่ราเมนทร์ก็เลือกที่จะปลอบใจคนรักตรงหน้าโดยการกอดไว้เบาๆ



“....หายสั่นหรือยัง...ผมทำให้คุณกลัวหรือเปล่า...”



ฟ้าข้างนอกยังโปรยปราย... แต่กลับกลายเป็นสายฝนที่เงียบงันชวนให้ใจสงบ อากาศที่เย็นขึ้นกลายเป็นข้ออ้างให้ท่อนแขนแข็งแรงโอบแน่นขึ้นอีกนิด



“... ผม..... คงเป็นแบบนี้ไปแล้ว... แต่ไม่ใช่เพราะคุณนะครับ...” เขาเอ่ยตอบเสียงเบา



...ไม่ใช่เพราะผม...



...ถ้างั้นเป็นเพราะใคร...



“ถ้าผมจะขอถามได้ไหม...ว่าเป็นเพราะใคร” กิริยาเกร็งร่างแข็งคงเป็นคำตอบที่ดีที่สุดว่าเจ้าตัวไม่อยากพูดหรือแม้แต่จะนึกถึง ราเมนทร์จึงลูบหลังตามแนวกระดูกสันหลังเบาๆผ่านเนื้อผ้าบางเพื่อปลอบใจ



“ไม่อยากรู้แล้ว... อย่าทำอย่างนี้เลย... ขอโทษนะธัน”



“.... ผม... ไม่เป็นไร....” ริมฝีปากบางขยับเอ่ยตอบ มือข้างหนึ่งยกขึ้นแตะใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างกล้าๆกลัวๆ



“...... จริงๆ... นะครับ”



“ผมก็ไม่เป็นไร...อย่าฝืนนะธัน...” ไม่เป็นไรที่ส่งผ่านมาพร้อมแววตาที่สั่นไหวขนาดนั้นจะเชื่อได้ยังไง



ราเมนทร์แตะมือกับฝ่ามือที่แนบแก้มแล้วเลื่อมมันลงมาจูบที่กลางฝ่ามือเบาๆ



“ถ้าแค่กอดนอนเฉยๆคงได้...หรือเปล่านะ...”



รอยยิ้มจางๆแฝงความเศร้าปรากฏขึ้นบนใบหน้าของธันย์ชนก



“... ได้ครับ” เขารู้สึกเกลียดร่างกายของตัวเองขึ้นมาอีกครั้ง กับแค่จะให้อีกฝ่ายกอดยังทำไม่ได้



...จะเป็นคนรักกันได้จริงๆน่ะหรือ



ใบหน้าเศร้าๆของคนตรงหน้าดูน่าสงสาร ราเมนทร์ไม่อยากให้ธันย์ชนกทำหน้าอย่างนี้... แต่เขาเองก็มีส่วนที่สร้างมันขึ้นมา



“ธันไม่ต้องคิดมากนะ... ผมจะรอ... จะอยู่กับธัน” แม้จะไม่ได้รักแต่ก็ชอบเกินกว่าจะให้อยู่ห่างกาย ราเมนทร์รู้สึกตัวดีว่าความชอบของเขาเพิ่มมากขึ้นในทุกๆวันที่อยู่ด้วยกัน



“........ ครับ” ที่ตอบรับไปไม่รู้ว่าเป็นเพราะเชื่อในคำสัญญาของอีกฝ่ายหรือว่าอะไร แต่ชายหนุ่มร่างโปร่งก็ซบใบหน้าเข้ากับลาดไหล่ของราเมนทร์เบาๆก่อนจะสวมกอดร่างสูงเอาไว้หลวมๆ



เพราะอ้อมกอดที่โอบไว้และเสียงหัวใจเต้นช่วยยืนยันการมีอยู่ของธันย์ชนก ความอบอุ่นที่แฝงความเศร้าของทั้งตนเองและคนตรงหน้าถักคลุมบรรยากาศที่แม้จะไม่มีความหวานแต่อบอวลไปด้วยความห่วงใย



ธันย์ชนกเป็นคนแรกนอกจากรัญชน์ที่เขาอยากจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยในทุกๆวัน



...ไม่เคยมีคำว่าเหนื่อยในระยะเวลาที่ผ่านมา...



...จะมีก็แต่ความชอบ...ที่เพิ่มมากขึ้นทุกๆวัน...

 

 







“พี่บีม... พ่อชอบคุกกี้ที่รันทำไปให้หรือเปล่า.....” เสียงเล็กๆออดอ้อนดังขึ้นจากตัวขี้อ้อนในอ้อมกอด เวลาที่ผ่านมาสามเดือนนั้น รัญชน์ทำคุกกี้ที่มีส่วนผสมของสมุนไพรไปให้ธงอยู่เรื่อยๆ ราวกับจะแทนคำขอโทษในแบบที่ตัวเขาพอจะคิดได้



“อืม... ก็ไม่รู้สิ แต่ป๊าก็กินนะ แต่ไอ้แบมมันชอบแย่งเลยไม่รู้ป๊าได้กินเท่าไหร่” ปลายคางสากกดลงบนเส้นผมนุ่มๆของคนที่ขยับยุกยิก



“แต่ป๊าก็ดีขึ้นเยอะแล้ว วันก่อนไปเยี่ยมยังเดินเล่นรอบๆบ้านได้อยู่นะ”



“ดีแล้วนะ...” เขาตอบพร้อมรอยยิ้มพลางงับเบาๆบนต้นแขนที่โผล่พ้นแขนเสื้อของธนกฤต



“ฮื้อออ งับอีกแล้วนะตัวเล็ก เดี๋ยวเหอะ พี่งับบ้างอย่ามาร้องแล้วกัน” ธนกฤตงับเบาๆที่ใบหูนิ่มก่อนจะไล่งับแก้มขาว จมูกรั้นๆ ตบท้ายด้วยริมฝีปากบางๆที่เชิดนิดๆ



“ไม่ต้องกังวลน่า เดี๋ยวไปอีกรอบไม่แน่ป๊าอาจปูพรมแดงรอรับลูกชายคนใหม่เลยก็ได้” ชายหนุ่มพูดติดตลก



“... คงไม่ขนาดนั้นหรอกนะ... รัน... อยากให้พ่อพูดว่าอยากเจอรัน... เองนะ”



“งั้นต้องรออีก... พักใหญ่ๆ...” ธนกฤตดึงคนรักมากอดแน่นแล้วลูบหลังเบาๆปัดเป่าความไม่สบายใจ



“ป๊าเป็นผู้ใหญ่ มีเรื่องต้องคิดอีกเยอะ...ถ้าจะรอให้ป๊าพูดว่าอยากเจอพี่ว่าเราเสี่ยงไปหาป๊ากันอีกทีไม่ดีกว่าเหรอ ป๊าเองก็คงทำใจได้พอสมควร...ไม่น่าจะเป็นอะไรอีก”



ถึงจะไม่มั่นใจเท่าไร แต่ป๊าที่เลี้ยงดูเขามาตลอดชีวิตไม่ใช่คนไร้เหตุผลที่เอาแต่จะสั่งให้ลูกทำตามใจตนเองอยู่แล้ว



“... ไม่เอานะ... เสี่ยงไปนะ...” คนตัวเล็กรีบร้องท้วงขึ้นมาทันที



“ให้แน่ก่อนว่าพ่ออยากเจอนะ”



“เดี๋ยวให้ไอ้แบมมันตะล่อมป๊าให้”



ค่าใช้จ่ายในการตะล่อม... คงเป็นกระเป๋าแบรนด์เนมที่เจ้าตัวกรี๊ดกร๊าดหรือไม่ก็แพคเกจท่องเที่ยวบวกเงินก้นถุงอีก...



...แต่ถ้าทำให้ทุกคนสบายใจก็คุ้มอยู่...



“แล้ววันนี้ราเมงไปไหนล่ะ ทำไมถึงมานอนด้วยได้” พอนึกถึงหน้าบอกบุญไม่รับของพี่ชายคนรักตอนที่ถูกเรียกว่า 'คุณพี่ราเมง' ก็อดจะขำไม่ได้ทุกที... จากนั้นมา ธนกฤตเลยติดเรียกอีกฝ่ายว่าราเมงจนแทบไม่ได้เรียกชื่อจริงๆแล้ว



“ก็ไปอยู่กับพี่ธันนั่นแหละนะ... กำลังเลิฟๆก็แบบนี้ล่ะ” เด็กหนุ่มตอบพลางหัวเราะเบาๆ



“จะว่าไป...แล้วเขาไปรักกันตอนไหนเนี่ย” เวลาแค่สองสามวันจะเพียงพอให้คนรักกันงั้นเหรอ...



พอนึกๆดู ก็เป็นไปได้ว่าราเมนทร์อาจจะอ้างว่าธันย์ชนกเป็นคนรัก ซึ่งอีกคนก็คงรับสมอ้างโดยง่ายเมื่อดูจากนิสัยแล้ว...แต่ถ้าเป็นอย่างนั้น ทำไมถึงไปค้างที่บ้านราวกับคนรักจริงๆ



“ก็... คงตั้งแต่ตอนนู้น— ล่ะมั้ง ที่พี่บีมพารันไประยองนะ” รัญชน์ลากเสียงยาวพลางพลิกตัวขึ้นมานอนทับเจ้าของห้อง



“ตอนที่ให้พี่บีมจองร้านให้... ก็เหมือนจะไปกับพี่ธัน..... นะ”



“เอาเป็นเบาะรองนอนเลยนะ” หมอหนุ่มพูดยิ้มๆแล้วจัดการล็อคไว้ในอ้อมกอดพร้อมโยกตัวเบาๆ



“อืม... แต่ท่าทางไม่น่าคบกันได้เลยเนอะ ราเมงก็หัวดื้อ ปากหมะ— เอ่อ..ดูดุๆ ...คุณธันก็เงียบๆ ไม่รู้อยู่ด้วยกันแล้วคุยอะไรกันมั่ง”



“แต่พี่ธันน่ารักนะ... ใจดีด้วย” เขาขยับตัวไปมาแกล้งถ่ายน้ำหนักให้คนข้างล่างรู้สึกเหมือนโดนแกล้ง



“ยังไงก็ดีกว่าพวกนางแบบนมโตตั้งเยอะ”



“ตัวเล็ก... แกล้งอีกแล้ว” ใครจะไม่รู้ว่าคนรักของตัวเองจงใจขยับไปมาบนร่างกาย ดึงความสนใจจากเรื่องของคนอื่นไปหมดสิ้น



“คราวที่แล้วไม่เข็ดใช่ไหม”



“ไม่เข็ดอะไรนะ” รัญชน์ท้าวคางพลางยิ้มทะเล้นใส่ ก่อนจะยืดตัวแล้วโน้มลงจูบเบาๆที่ปลายจมูกของอีกฝ่าย



“เดี๋ยวก็เดินไม่ไหวแบบตอนน้ำตกหรอก” ธนกฤตบีบจมูกโด่งรั้นเบาๆด้วยความหมั่นเขี้ยว



“ใครกันน้าที่ต้องขี่หลังพี่กลับบ้าน เด็กซนคนไหนก็ไม่รู้เนอะ”



“ก็พี่บีมไม่พอนะ...” เด็กหนุ่มเถียงกลับพลางงับเบาๆที่ปลายนิ้วของธนกฤต



“ก็ใครเริ่มล่ะ” ธนกฤตเถียงด้วยใบหน้ายิ้มๆแล้วใช้นิ้วที่ถูกกัดบีบแก้มเบาๆจนริมฝีปากบางหุบเข้าหากันเป็นปลาทอง



“ทำท่าอย่างนี้มีแผนอีกหรือเปล่า... รู้ล่ะสิว่าพี่หมอมีเข้าบ่าย”



“เปล่านะ อย่ามา..... กล่าวหา กันแบบนี้นะ” คนตัวเล็กท้วงเสียงยาวก่อนจะถอยตัวลงมาจากร่างสูง



“นอนก็ได้นะ...”



“ฮื้อ ยังไม่ง่วงเลย” คราวนี้แท่นรองนอนท้วงแล้วยึดคนตัวเล็กไว้



...อยากจะกอดให้นานกว่านี้...



“อยากไปเที่ยวอีกจัง...อยากไปบ้านเกิดตัวเล็กด้วย”



“ให้พี่บีมว่างก่อนนะ... แล้วไปด้วยกันนะ” พอได้ยินคำว่าบ้านเกิด ใบหน้าหวานก็ดูสดใสขึ้นมา ดวงตากลมโตคู่สวยทอเป็นประกายสบมอง



“นะ”



“อื้อ จะได้ไปทักทายที่หน้าหลุมศพกับพ่อแม่รันด้วย” เขามองเข้าไปในดวงตาคู่สวยที่ฉายแววดีใจ



“รันคิดถึงที่นั่นหรือเปล่า”



“คิดถึงสิ... รันโตที่นู่นนะ...” รัญชน์ยิ้มหวานพลางขยับยื่นใบหน้าเข้าใกล้



คนที่อยู่ข้างล่างตอนรับด้วยจูบเบาๆที่ปลายจมูก



“งั้นไปกัน...ว่างๆ... สัญญานะ” ธนกฤตจูบที่ริมฝีปากเล็กเบาๆแทนคำสัญญาหวานฉ่ำ



“อื้อ” ท่อนแขนเรียวเล็กยกขึ้นโอบรอบลำคออีกฝ่ายพลางเบียดตัวเข้าหาก่อนจะกอดเอาไว้แน่น



...ในตอนนี้ที่ได้อยู่ด้วยกัน...



...ก็มีความสุขพอแล้ว...

 






To be continued...







kagehana : คิดดูว่าเขียนมานานขนาดไหน สมัยซินนัทยังเป็นดูโอหน้าใหม่เลยนะ ฮ่าๆๆๆๆ

พี่ธัน.....เค้ารักพี่ธันนะ โอ่เอ๊  :hao5:
หัวข้อ: Re: ・・・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน28 ค่อยๆรักกันเบาเบา (07/02/14)
เริ่มหัวข้อโดย: mildmint0 ที่ 07-02-2014 22:49:55
แอบลุ้นคู่ธันกับรามเบาๆอ่ะ
ความหลังของธันคืออะไรเน้อออออ

ส่วนคู่รันกับบีมนี่ พัฒนาใหญ่เชียว
คงรอแค่คุณพ่อพี่บีมเปิดใจละเนอะ
หัวข้อ: Re: ・・・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน28 ค่อยๆรักกันเบาเบา (07/02/14)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 08-02-2014 03:35:20
อดีตทึีฝังใจของธันคืออะำไรหนอ
หัวข้อ: Re: ・・・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน28 ค่อยๆรักกันเบาเบา (07/02/14)
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 08-02-2014 10:50:38
พี่รามทำตัวไม่ชัดเจนอะสมควรที่คุณธันยังคิดว่าตัวเองเป็นตัวแทนเฮ่อออออ
คู่พี่ก็ยังหน่วงคู่น้องนี่หว๊านหวาน
หัวข้อ: Re: ・・・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน28 ค่อยๆรักกันเบาเบา (07/02/14)
เริ่มหัวข้อโดย: Alone Alone ที่ 08-02-2014 17:19:02
ค่อยๆ หน่วงกันไปเบาๆ

เมื่อไหร่ป๊าจะยอมรับ เมื่อไหร่รามจะชัดเจน

เฮ้อ.....
หัวข้อ: ・・・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน29 ความลับใต้กรอบแว่น (16/02/14)
เริ่มหัวข้อโดย: kagehana ที่ 16-02-2014 19:19:53



-29-







แสงแดดอ่อนๆยามเช้าทอเป็นลำแสงจ้าจากหน้าต่างม่านปลิวไสว ชายหนุ่มร่างสูงที่นอนอยู่ฟากนั้นหรี่ตาช้าๆพลางขมวดคิ้วแน่น อากาศไม่ได้ร้อนขนาดที่นอนต่อไม่ได้แต่เพราะแสงแดดที่แยงนัยน์ตา ราเมนทร์จึงค่อยๆลืมตาแล้วพลิกกายกอดคนในอ้อมแขน



นานๆครั้งจะได้เห็นธันย์ชนกในตอนที่ยังไม่ตื่นนอน ทุกครั้งที่มานอนด้วยคนรักแสนดีของเขาจะพยายามตื่นเช้ามาทำอาหารง่ายๆให้กิน ใบหน้าขาวๆที่ไร้แว่นปิดบังดูราวกับเด็กวัยรุ่น ผิวแก้มนวลละเอียดมีเลือดฝาดจางๆ ริมฝีปากบางเผยอนิดๆดูเซ็กซี่ขนาดที่ว่าถ้าไม่ติดว่าหลับอยู่จะแอบขโมยจูบไปแล้ว



“อื้ด---” ราเมนทร์เอื้อมมือจะไปหยิบโทรศัพท์มือถือของตนขึ้นมาถ่ายรูปแต่เพราะแขนอีกข้างยังถูกจับจองจึงต้องยืดตัวบริหารร่างกายกันแต่เช้า



มือใหญ่คว้าเปะปะได้โทรศัพท์ของตนแต่กลับทำสิ่งที่ตั้งอยู่ข้างๆหล่นลงบนหมอนที่ถูกเจ้าของทิ้ง



แว่นกรอบดำแบบเรียบๆที่เจ้าตัวใส่ติดประจำถูกหยิบขึ้นมาด้วยมือใหญ่



“สั้นขนาดไหนกันนะ”



ว่าแล้วคนขี้สงสัยก็สวมเข้าที่หน้าตัวเอง



...รู้แล้วล่ะ...



...สั้นขนาดชัดเจนกันเลยทีเดียว...



แรงขยับตัวของราเมนทร์ปลุกให้คนที่ยังหลับอยู่ค่อยๆตื่นขึ้นมา นัยน์ตาคู่สวยปรือมองก่อนจะกระพริบตาสองสามที



“... ตื่นแล้ว... เหรอครับ” เสียงงัวเงียนิดๆเอ่ยถามเบาๆก่อนจะเอื้อมมือไปหมายคว้าแว่นตาที่วางไว้โดยอัตโนมัติ โดยไม่ทันสังเกตว่ามันอยู่บนใบหน้าของคนรัก



“หาอะไรอยู่” ราเมนทร์ทักพร้อมรอยยิ้ม ธันย์ชนกในตอนตื่นนอนก็ดูงุ่มง่ามน่ารักไปอีกแบบ



“... แว่น..... !!???” นัยน์ตาสีเข้มเบิกกว้างเมื่อเห็นว่าแว่นที่ตัวเองหาอยู่ที่ไหน



...เสร็จกัน...



“หลอกกันนี่นา” ราเมนทร์ต่อว่าทั้งรอยยิ้ม



“ไหนว่าไม่ใส่จะมองไม่เห็น... แต่อันนี้ผมว่ามันแว่นกระจกชัดๆนะ”



“.... ป... เปล่า... ครับ” คนถูกจับได้หลบสายตาก่อนจะค่อยๆเอนตัวลงนอนเหมือนเดิม



“...... ผม... ไม่ชอบ... เฉยๆ.....”



“ไม่ชอบนี่... ไม่ชอบอะไรเหรอ” ราเมนทร์ยังคนถามต่อแล้วยื่นใบหน้าที่ใส่แว่นเข้าใกล้



“ก็ผมบอกแล้วไงว่าหน้าเปล่าๆน่ารักกว่า”



“.... ก็.... ไม่ใส่... แล้วมีแต่คนมอง.... ผมไม่ชอบ” เขาย่นคอก่อนจะหนีจากสายตาคู่นั้น



ที่เขามองเพราะน่ารักน่ะสิ... ราเมนทร์คิดในใจ



“งั้น... ตอนที่ไม่มีคนอื่น ตอนเราอยู่ด้วยกันสองคนก็ถอดแว่นนะ”



ราเมนทร์เอื้อมไปแตะหลังคอของธันย์ชนกแล้วดึงร่างเพรียวเข้ามาใกล้ ริมฝีปากหยักได้รูปบรรจงจูบเบาๆที่หน้าผากมน กลิ่นพีชหอมหวลซึ่งรวยรินจากเรือนกายทำให้รู้สึกสดชื่น



“มอร์นิ่งคิส”



ธันย์ชนกตอบรับจูบนั้นอย่างขวยเขินด้วยการแตะริมฝีปากลงที่ข้างแก้มของอีกฝ่าย



“.... ครับ”



“ผมยังไม่ยกโทษให้เรื่องหลอกผมว่าสายตาสั้นหรอกนะ” ชายหนุ่มถอดแว่นที่อยู่บนใบหน้าออกพลางจ้องธันย์ชนกด้วยดวงตาสีน้ำตาลอมเทาที่พราวระยับ



“ธันอยากลองไปเปลี่ยนบรรยากาศ เปลี่ยนที่เขียนนิยายบ้างไหม”



“...... เปลี่ยน? ไปที่ไหนเหรอครับ?” เขามองใบหน้าของอีกฝ่ายด้วยความแปลกใจ



“อืม... ญี่ปุ่น... ดีไหม” พูดจบก็พลิกตัวขึ้นนอนคว่ำ ปลายนิ้วสากเขี่ยเส้นผมสีดำที่รุ่ยร่ายล้อมกรอบใบหน้าขาวออกทัดหูให้



“ยังไม่เคยไปเลย แต่อยากไปกับธัน”



...ถ้าเราใกล้กันขึ้นอีกนิด...



...จะเป็นยังไงนะ...



“กับผม? เหรอ...” ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้นก่อนจะหลบเอียงเล็กน้อย



“ก็ถามคุณจะให้ไปกับใครล่ะ” ใบหน้าเขินๆหลบไปมายิ่งทำให้ปลายนิ้วยิ่งอยากสัมผัสมากขึ้น



“....ไปนะ” กระซิบเสียงแผ่วข้างหูพร้อมงับเบาๆ



“......... อ... ครับ” พวงแก้มสีอ่อนยิ่งเปลี่ยนเป็นสีเข้มมากขึ้นก่อนจะขยับซุกใบหน้าเข้าหาอีกฝ่ายเพื่อซ่อนความเขินอายของตัวเอง



“อย่าบอกรันนะผมจะแอบไป” ราเมนทร์หอมพวงแก้มนิ่มเบาๆแกล้งให้สีที่จัดอยู่แล้วแดงขึ้นอีก



“เป็นความลับของเรา...นะ...”



ได้ยินเพียงเท่านั้นกลับทำให้รู้สึกเหมือนหัวใจพองโตด้วยความดีใจ เป็นครั้งแรกที่ราเมนทร์เลือกเขาก่อนน้องชายของตัวเอง ไม่เช่นนั้น ปกติก็จะมีแต่มาหาเขาเพราะรัญชน์ไม่อยู่บ้านเท่านั้น



“ครับ...” แม้ใบหน้าจะแดงก่ำ ทว่ากลับไม่อาจซ่อนรอยยิ้มหวานของตัวเองได้



ราเมนทร์นึกดีใจกับรอยยิ้มหวานที่ไม่ปิดบังของธันย์ชนก ร่างสูงชันศอกขึ้นแล้วดึงตัวเองไปคร่อมร่างเพรียวพลางใช้ปลายจมูกกดเบาๆที่จมูกของฝ่ายตรงข้าม ริมฝีปากอุ่นร้อนลากลงประกบข้างลำคอขาวพร้อมขบเม้มเบาๆสร้างรอยแดงตัดกับผิวสวย



ราเมนทร์รู้สึกถึงความรุ่มร้อนของร่างกายที่แสดงออกมาอย่างไม่ปิดบังผ่านกางเกงเนื้อบางที่แนบชิดอยู่กับต้นขานุ่มๆ นัยน์ตาสีสวยมองสบธันย์ชนกที่มีสีหน้าขัดเขิน



“ขอโทษนะ...รู้สึกไม่ดีหรือเปล่า...”



คนถูกถามส่ายศีรษะช้าๆ นัยน์ตาสีเข้มเบนหลบสายตาของราเมนทร์โดยไม่พูดอะไรไปมากกว่านั้น



เพราะอีกฝ่ายเป็นธันย์ชนกจึงรู้ว่าอาการเบนสายตาออกไม่ใช่รังเกียจ... แต่เป็นเพราะเขินเกินกว่าจะตอบรับ



“ไปญี่ปุ่นช่วงวาเลนไทน์ไหม... หรือธันอยากไปช่วงดอกซากุระบาน”



เสียงทุ้มต่ำพูดข้างหูพร้อมกับมือใหญ่ที่สอดเข้าไปสัมผัสผิวกายอุ่นๆข้างในเสื้อ ราเมนทร์ไม่ได้ขออีกฝ่ายเหมือนยามค่ำคืนเพราะอยากให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ



...ถ้าโอเค...ก็คงดี...



“...แบบไหนดี...”



“...... แล้วแต่คุณราม... สิครับ...” ธันย์ชนกค่อยๆหลับตาลงก่อนจะรู้สึกถึงสัมผัสจากมือของอีกฝ่ายอย่างชัดเจนจนเริ่มรู้สึกถึงอารมณ์ที่เริ่มเพิ่มขึ้นของตัวเอง— แต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่อาจหยุดร่างกายที่เริ่มสั่นได้



“งั้นไปกุมภานะ... หนาวๆกำลังดี” ชายหนุ่มค่อยๆถอดชุดนอนของอีกฝ่ายออกเชื่องช้า แม้ว่าธันย์ชนกจะยังมีอาการสั่นแต่ก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร



“รังเกียจไหม...ธันไหวหรือเปล่า...”



...ถ้าเป็นไปได้...



...ก็อยากจะก้าวผ่านไปด้วยกัน...



“อ... อือ.... ไหว..... ครับ...” ชายหนุ่มร่างโปร่งเอ่ยตอบเสียงเบา



“ถ้าไม่ไหว....... ผม.... จะ....... บอกเอง.... ครับ” ท้ายประโยคเสียงของเขาฟังแผ่วลงจนแทบไม่ได้ยิน



คำพูดของธันย์ชนกราวกับชนวนที่เร่งไฟปรารถนาให้พลุ่งพล่าน ริมฝีปากร้อนลากไล้สัมผัสผิวกายแทนฝ่ามือที่ลงไปรั้งกางเกงตัวนิ่มออก ชายหนุ่มค่อยๆโลมไล้เชื่องช้ากระตุ้นให้คนขี้อายรู้สึกมากขึ้น



“ธัน... ยังสั่นอยู่เลย” ราเมนทร์ระมัดระวังไม่ให้อีกฝ่ายคิดว่ากล่าวโทษ เขาแค่ต้องการบอก... ไม่ให้ฝืนเกินไป



“.... ไม่ต้อง....... สน.... อ.... ก็ได้... ครับ” เสียงกระซิบบอกแผ่วเบาจากริมฝีปากแทบฟังไม่ได้ยิน ใบหน้าสวยขยับหนีซ่อนจากแววตาของอีกคน



“ไม่ได้นะ... ผมอยากให้คุณรู้สึกดี... มากกว่าจะกลัว”



เบื้องล่างอันรุ่มร้อนอยู่ในฝ่ามือใหญ่ที่กอบกุมเบาๆ ชายหนุ่มขยับเร่งเร้าตามประสบการณ์ที่รู้ว่าทำอย่างไรฝ่ายตรงข้ามจะรู้สึกดีที่สุด



ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงความรุ่มร้อนของตัวเองที่เรียกร้องการแนบชิด แต่เพราะประสบการณ์ในคืนวันฝนกระหน่ำวันนั้น เขาจึงอยากจะอ่อนโยนกับคนรักให้มากที่สุด



...เพราะเป็นคนรัก...



...ไม่ใช่ใครก็ได้แบบที่แล้วมา...



“ถ้าธันโอเค... กอดผมแน่นๆได้ไหม” ชายหนุ่มเลือกที่จะให้ธันย์ชนกใช้ภาษากาย... เพราะรู้ว่าคงเขินเกินกว่าจะพูดได้



แม้จะไม่ได้เอ่ยอะไรตอบ แต่ท่อนแขนที่สั่นระริกก็ค่อยๆยกขึ้นโอบรอบลำคออีกฝ่าย ไม่ใช่แค่พวงแก้มที่เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ แต่กลับลามไปทั่วร่างกายสีขาว



ราเมนทร์ยิ้มกับตัวเอง... บอกไม่ถูกว่าดีใจแค่ไหนที่ธันย์ชนกไม่ได้ปฏิเสธ เขารู้เพียงว่าอยากจะต้อนรับการโอบกอดแสนประหม่านี้ด้วยความรู้สึกทั้งหมดที่มี



...อยากจะรัก...



...และผูกพันให้มากกว่านี้



“ถ้าเจ็บต้องบอกนะ” สิ้นเสียง ปลายนิ้วหยาบก็แตะที่ช่องทางเบื้องหลังเบาๆ ราเมนทร์ชะงักไปครู่หนึ่งเพราะรู้สึกถึงแรงต่อต้าน ร่างสูงเอื้อมไปเปิดลิ้นชักควานหาโลชั่นทาผิวที่โดนบังคับให้ทาเสมอ



“ธันไม่มี... ไอ้นั่นสินะ...”



แม้จะไม่แน่ใจเท่าไหร่นัก แต่เขาก็มั่นใจว่าสิ่งที่ราเมนทร์ถามหานั้นตัวเองไม่มีแน่ๆ



“... ม... ไม่มี... ครับ”



“คราวก่อน... ก็ไม่ได้ใช้สินะ...” ราเมนทร์จำได้ว่าตอนที่อีกฝ่ายลุกขึ้น... ท่อนขาเรียวสวยมีสิ่งที่คั่งค้างอยู่ไหลออกมา



“ผมกลัวคุณเจ็บ... มัน... ใช้แล้วพอช่วยได้บ้าง... แต่ไม่เป็นไรนะ” ราเมนทร์กดโล่ชั่นออกจากขวดปั๊มก่อนจะเริ่มนวดเบาๆที่ช่องทางเบื้องหลัง



...อุ่นร้อน... จนแทบทนไม่ไหว



“...... ครับ...” ชายหนุ่มตอบรับเสียงเบา “ผม... เชื่อ.... ครับ”



มือหนึ่งลูบหัวไหล่มนเบาๆ ส่วนอีกข้างนั้น... ปลายนิ้วสากได้สอดเข้าไปยังภายใน ราเมนทร์รู้สึกได้ถึงร่างในอ้อมกอดที่แข็งเกร็งและด้านหลังที่บีบรัดอย่างรุนแรง ชายหนุ่มก้มลงจูบหัวไหล่เปลือยเบาๆพลางยิ้มให้ใบหน้าสวยที่อยู่แนบชิด



“ไม่เป็นไร... ผมไม่ทำร้ายคุณอีกแล้ว...”



“.... อ..... อึก....... ครับ......” ไม่มีการฝืนใจ ไม่มีสัมผัสรุนแรง มีเพียงความอ่อนโยนมอบให้เท่านั้น-- หวังอยู่ลึกๆว่าจะมีความรักมอบมาให้ด้วย



ราเมนทร์ยิ้มกับคำตอบนั้น....คำที่เชื่อมั่นในตัวเขา



...ผมชอบคุณ...



บทรักละลุนละไมเริ่มขึ้นท่ามกลางแสงอบอุ่น สายลมเรื่อยเอื่อยจากเครื่องปรับอากาศพัดพากลิ่นพีชหอมจางๆสู่ร่างทั้งสองที่แนบชิด เมฆสีขาวที่สามารถมองเห็นจากหน้าต่างคอนโดลอยเหนือท้องฟ้าในยามเช้าของวันใหม่



...ยามเช้าที่ไร้เงาจากฝันร้ายของวันวาน...


 

 













“ขี้โกงที่สุดนะ!! ให้รันไปด้วยดิ!!!” คนตัวเล็กร้องประท้วงอย่างไม่พอใจเมื่อได้ยินว่าพี่ชายจะพาธันย์ชนกไปเที่ยวญี่ปุ่นกันเพียงสองคน



“ไหนเคยบอกจะไปด้วยกันไง”



“ไว้คราวหน้านะ... จะไปอยู่วันสองวันแล้วซื้อตั๋วขอวีซ่าไม่ทันหรอก” มือใหญ่วางบนเส้นผมสีอ่อนที่เด้งขึ้นลงเพราะเจ้าของเต้นด้วยความขัดใจ



ในที่แรกว่าจะหนีไปแล้วค่อยเมลบอก แต่พอใกล้ๆวันก็เกิดนึกสงสาร... กลัวจะต้องเหงาอยู่คนเดียว คนเป็นพี่เลยยอมเอ่ยปากแถมยังแอบโทรไปฝากฝังกับคนรักของน้องถึงที่



-...ไปเหอะ ไปนานๆก็ได้ ไม่ต้องเป็นห่วงเดี๋ยวพามานอนที่บ้านเลย-



...แน่นอนว่าก็ได้รับคำตอบกวน... แบบไม่มีใครเกิน



“นะ...ไปอยู่กับไอ้หมอก่อน”



...บางที...ที่ญี่ปุ่นกับธันย์ชนกอาจจะทำให้ลืมเรื่องที่เขารักคนตัวเล็กตรงหน้านี้...



“โกรธแล้วนะ! ไม่อยากพูดด้วยแล้วนะ.....” รัญชน์ยังค้อนอีกฝ่ายด้วยความไม่พอใจ เพราะเจ้าตัวก็รู้สึกอยากไปเที่ยวต่างประเทศบ้าง



“นะ... ไปแป๊บเดียว ตัวเล็กคนเก่งของพี่ไม่งอแงหรอก” ราเมนทร์โอบไหล่น้องชายเบาๆ



ในบางครั้งที่นึกอิจฉาหมอที่ได้อยู่เคียงข้างน้องชายที่เขารัก... ใบหน้าของธันย์ชนกที่ลอยมาในหัวก็ทำให้หัวใจสงบลงได้



...อย่างน้อยที่สุดก็ยังมีคนๆนี้...



“เดี๋ยวซื้อขนมมาฝาก แถมตุ๊กตายางฝากไอ้หมอด้วยเอ้า”



กำปั้นทุบเข้าที่สีข้างของอีกฝ่ายแล้วโวยต่อ



“ตุ๊กตายางอะไร? นิสัยไม่ดีเลยนะ”



“ก็เอาไว้ให้หมอมันระบายไง หน้าตาอย่างนั้นท่าจะชอบนะ” คนเป็นพี่พูดกลั้วหัวเราะ



...ชักอยากเห็นหน้าตอนเอาไปให้แล้วสิ...



...คงสนุกน่าดู...



“จะฟ้องพี่ธัน ว่าพี่รามนิสัยไม่ดี... ลามกด้วย” คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันพลางทำหน้ายี้ใส่



“ไม่กลัวหรอก ธันเขาไม่ว่าอะไรแน่” ราเมนทร์ยิ้มอย่างเป็นต่อ มือใหญ่จับที่แก้มใสแล้วดึงเบาๆให้ยืดออก



“เดี๋ยวอยากได้อะไรจะซื้อมาฝากหมดเลย เอาให้หมดตัวดีไหม”



“เอา... พีเอสพีนะ แล้วก็อควอเรี่ยมพกพานะ แล้วเอาผงอาบน้ำกลิ่นเลมอน” พอได้ยินแบบนั้น เด็กหนุ่มก็รีบบอกของที่ต้องการให้อีกฝ่ายได้ยิน



“เยอะแล้วเยอะ” ราเมนทร์จับจมูกรั้นๆดึงเบาๆ



“แต่เอาเหอะ ตามใจจัดไป... แถมตุ๊กตายางกะAVให้ไอ้หมอติงต๊องด้วย”



“ไม่เอา” ใบหน้าหวานขยับหนีจากมือของอีกฝ่าย



“แล้ววันนี้ออกไปไหนเปล่าเนี่ย” ชายหนุ่มถามเปลี่ยนเรื่อง



“พี่มีเข้าบริษัทนิดหน่อย งานต่อเนื่อง... ไม่จบไม่สิ้นซะที”



จริงๆแล้วส่วนงานของเขาน่าจะจบไปได้เดือนกว่า... ถ้าแม่นางเอกเก่าแก่ไม่คิดอยากจะเพิ่มรูปลับๆลงในพ็อกเก็ตบุ๊คที่จ้างมือปืนเขียน แถมยังรีเควสว่าเขาต้องเป็นคนถ่ายอีกเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา



“ไม่มีนะ...” เขาตอบพลางถามต่อ



“พี่รามล่ะ ทำอะไร”



“ก็มีเข้าไปถ่ายเพิ่มยัยป้านางเอกเก่าแก่นิดหน่อย คงสักครึ่งวันมั้ง” ราเมนทร์ตอบพลางลูบเส้นผมเล็กละเอียดของน้องชายเบาๆ



“งั้นตอนเย็นไปดูหนังกันไหม ชวนธันไปด้วย”



“งั้นรันลองชวนพี่หมอนะ” คนตอบไม่พูดเปล่า แต่มือหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาทันที



“เฮ้ย...ใครให้ชวน...”



...ดูท่าจะห้ามไม่ทันแล้วสินะ...



“พี่บีม— เย็นนี้ว่างนะ ไปดูหนังกันนะ” เสียงใสๆเอ่ยถามและชวนทันทีที่ได้ยินเสียงฮัลโหลของอีกฝ่าย



-ไปกี่โมงล่ะ แต่พี่เลิกทุ่มนึงนะ-



ราเมนทร์ขัดใจที่รู้ว่าอีกฝ่ายว่าง ไม่งั้นจะได้มีความสุขโดยไม่ต้องมีตัวน่ารำคาญมาเกาะแกะน้องชายแล้ว



“บอกมันดึกไป กลับบ้านไปกินนมนอนเลย”



รัญชน์ตอบรับคำพูดนั้นด้วยสายตาดุๆ



“อื้อ ทุ่มก็ได้นะ เจอกันที่พารากอนนะ”



-ครับ แล้วเจอกัน-



“เซ็งเลย....” คนที่ยืนฟังอยู่แกล้งบ่นเบาๆเมื่อรัญชน์กดวางโทรศัพท์



“ยังไม่ได้ชวนธันเลย รันแวะไปที่ห้องธันตอนเกือบๆเที่ยงได้ไหม... ตอนนี้คงยังไม่ตื่นหรอก”



“ได้สิ... ทำไมพี่ธันนอนตื่นสายจังนะ” หลังจากตกลง รัญชน์ก็ถามต่อด้วยความสงสัย



“ก็ช่วงนี้เร่งเขียนนิยายไง เพราะพี่บอกแล้วว่าไปญี่ปุ่นห้ามเอาไปเขียน”



พอนึกถึงใบหน้าประหลาดใจตอนบอกว่าห้ามเอาไปเขียนด้วยก็อดขำไม่ได้



“อือ— ก็ได้นะ เดี๋ยวปลุกให้ ไปทำงานนะ” เขาเอื้อมกอดพี่ชายตัวโตไว้หนึ่งทีแล้วผละออกมาก่อนจะโบกมือไล่



“อื้อ แต๊งกิ้ว”



...ถ้าเป็นความสัมพันธ์ในระดับนี้...



...คงไม่เจ็บปวดเท่าไร...

 

 









“ก็... ตามนั้นครับ ผมแก้แค้นพี่รามนิดหน่อยที่จะหนีผมไปญี่ปุ่น” รัญชน์ยิ้มกว้างให้คนตรงหน้าพลางหยิบไส้กรอกขึ้นทาน



“แต่พี่หมอจะไปด้วย ผมไม่กวนพี่ธันหรอกนะครับ” แล้วก็ยิ้มหวานให้อีกที ทำให้คู่สนทนาได้แต่ยิ้มจางๆให้



“.... ไม่เป็นไรหรอกครับ” ไปกันหลายคนคงสนุกดี



“พี่ธันใจดีจังนะครับ ผมชอบจังนะ... ถ้าพี่รามนิสัยไม่ดี ฟ้องผมนะ... ผมจัดการให้เองครับ”



ได้ยินแบบนั้นเข้าธันย์ชนกก็หัวเราะเบาๆก่อนจะรินน้ำชาใส่แก้วให้เด็กหนุ่ม



“.... ครับ”



รัญชน์มองใบหน้าสวยภายใต้กรอบแว่นของฝ่ายตรงข้ามเงียบๆ ดูยังไงก็ผิดไปจากผู้หญิงที่ราเมนทร์เคยคบ— จริงๆต้องบอกว่าไม่คิดว่าพี่ชายของตัวเองจะหันมาคบผู้ชายด้วยซ้ำ



“..... อย่าตามใจพี่รามมากนะครับ เดี๋ยวได้ใจ”



“ค... ครับ? ตามใจ? พี่ไม่ได้ตามใจนะครับ”



“...... ผมบอกไว้เฉยๆครับ” ใบหน้าหวานระบายรอยยิ้มกว้างก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้



“ผมไม่กวนแล้ว... ตอนเย็นเจอกันครับ”



 

 








“ธันกับรันเอาโค้กกับป๊อบคอร์นไหม” คนถามจงใจเว้นอีกชื่อของร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างๆน้องชายตัวเอง แค่เห็นหน้าก็ปวดหัวกับรอยยิ้มกวนๆจะแย่อยู่แล้ว ไหนจะอาการสนิทสนมอย่างโอบไหล่หรือขยี้หัว เพราะว่าสูงเท่าๆกับแถมท่าทางดีจนน่าหมั่นไส้เลยอยากจะลืมๆไปซะว่ามาด้วยกัน



“คุณพี่ชายอย่าให้ทานน้ำอัดลมสิครับ ไม่ดีต่อร่างกายนะ”



“ไม่ได้กินทุกวันซะหน่อย”



คุณพี่ชาย? ได้ข่าวว่าอายุเท่ากันไม่ใช่หรือไง



“อือ จะกินนะพี่บีมนะ...” นัยน์ตากลมโตกระพริบมองอย่างออดอ้อนในขณะที่ชายหนุ่มอีกคนกลับยิ้มจางๆ



“ไม่เอาหรอกครับ... แค่ชาเขียวโออิชิก็พอแล้วครับ” ธันย์ชนกตอบ



“น้ำเปล่าครับ ขอบคุณนะคุณพี่ชาย” ธนกฤตพูดต่อพร้อมกับขอบคุณปิดการปฎิเสธ... ซึ่งแน่นอนว่าราเมนทร์ก็ยอมหน้างอไปซื้อให้แบบไม่เต็มใจเท่าไร



“คุณธัน... เป็นนักเขียนเหรอครับ”



“อ... ครับ” เขาหันมายิ้มให้อีกฝ่ายจางๆ นี่เป็นครั้งที่สามกับการพบหน้ากันกับคนๆนี้



“คราวนั้นที่บอกว่าเป็นญาติไป ต้องขอโทษด้วยนะครับ”



“ไม่เป็นไรหรอกครับ คงเป็นคนนี้ของผมสินะที่ให้คุณโกหก” ธนกฤตโอบ ‘คนนี้ของผม’ เอาไว้แน่นพลางมองด้วยสายตาอ่อนโยน



“เปล่าหรอกครับ แค่ให้มาเอายาให้เฉยๆ เนอะครับ” เขายิ้มให้กับคนตัวเล็กที่ยืนยิ้มไปมาอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว



“ใช่— ก็พี่หมอใจร้าย”



“ไม่ได้ใจร้ายสักหน่อย ตัวเล็กต่างหากที่ใจร้ายหนีพี่หมอ” ร่างสูงโน้มตัวเข้าหาขโมยจุ๊บที่แก้มเบาๆตอนที่ไม่มีใครเห็น



“ทำอะไรน่ะ!” คนที่เดินกลับมาพร้อมถังป็อปคอร์นและน้ำแก้วยักษ์พร้อมน้ำขวดพูดขึ้น ใบหน้าหล่อเหลาขมึงทึงจนคิ้วแทบผูกกัน



“ป๊อบคอร์นมาแล้ว ไปๆๆ รีบเข้าไปก่อนนะ” รัญชน์รีบเบนความสนใจของพี่ชายไปทางอื่น ในขณะที่ธันย์ชนกได้แต่แย้มรอยยิ้ม... คล้ายกับให้กำลังใจตัวเอง



“ธันเป็นอะไรหรือเปล่า... ดูเหนื่อยๆ” ราเมนทร์ถือน้ำส่วนของตัวเองกับธันย์ชนกไว้แล้วหันมาถามในระหว่างทางที่เดินเข้าโรงหนัง



...ไม่อยากมาดูหรือเปล่านะ....



“อ... เปล่าครับ... ไม่มีอะไร” เขารีบส่งยิ้มจางๆให้อีกครั้งแล้วเดินไปด้วยกัน

 










To be continued...





kagehana : หวานไปเรื่อยๆให้คนอ่านตักตวงไว้ เนื่องจากเรื่องนี้ดราม่าตอนท้ายๆเรื่องทำเอาหมีกับดอกไม้เขียนไปร้องไปมาแล้ว (ขู่55)


หัวข้อ: Re: ・・・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน29 ความลับใต้กรอบแว่น (16/02/14)
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 16-02-2014 23:02:28
ก็ยังสงสารพี่ธันอยู่ดีมันยังหวานแบบเหมือนมีตะกอนอะไรหน่วงๆอยู่
ฮือออออออออออออออออออ
หัวข้อ: Re: ・・・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน29 ความลับใต้กรอบแว่น (16/02/14)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 16-02-2014 23:48:39
จะว่าหวานมันก็หวานนะ จะว่ามนมันก็มนอะ
หัวข้อ: Re: ・・・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน29 ความลับใต้กรอบแว่น (16/02/14)
เริ่มหัวข้อโดย: mildmint0 ที่ 17-02-2014 04:33:24
ถ้าเป็นธัน ..
ก็คงจะหน่วงมากๆเลยแหละ
รามอาจจะรู้สึกกับรันน้อยลง
แต่ธันรู้ความจริงแล้ว
ทำใจลำบากนะเนี่ยยย
หัวข้อ: ・・・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน30 หึง(?) (28/02/14)
เริ่มหัวข้อโดย: kagehana ที่ 28-02-2014 18:18:58



-30-





ที่นั่งฮันนีมูนซีทสองที่ที่จองไว้ได้แยกคู่รักทั้งสองคู่ออกจากกัน ราเมนทร์เลือกนั่งริมทางเดินแล้วให้ธันย์ชนกนั่งข้างๆ ส่วนคู่ถัดไปก็เป็นน้องชายของตน หนังกำลังเดินทางไปกว่าครึ่งเรื่องแต่เพราะเป็นหนังที่ไม่ถูกสเปคเท่าไรร่างสูงจึงเกิดอาการง่วงขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้


“นอนได้ไหมธัน” น้ำเสียงงัวเงียถามเบาๆก่อนจะเอียงหัวซบไหล่บางโดยไม่รอคำอนุญาต


“.... ไม่สนุกเหรอครับ” เขาหันมาถามเบาๆก่อนจะขยับให้อีกฝ่ายพิงได้สะดวกมากขึ้น


“อือ...เหนื่อยนิดๆด้วย” ราเมนทร์งัวเงียพูดตอบแล้วเลื่อนมือโอบเอวธันย์ชนก


“ขอโทษนะ...แต่ไม่ไหวแล้ว”


“... ครับ” ธันย์ชนกอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นลูบศีรษะอีกฝ่ายเบาๆด้วยความรู้สึกเอ็นดูที่บางทีราเมนทร์ก็ทำตัวเป็นเด็กๆแบบนี้


"ลูบอีกนะ" ราเมนทร์พึมพำเบาๆ สัมผัสจากฝ่ามือเรียวให้ความรู้สึกดี


เขาชอบความนุ่มนวลของธันย์ชนก ชอบกลิ่นพีชอ่อนๆยามที่ร่างกายอยู่แนบชิด ชอบท่าทางเขินอายตอนที่ถูกหยอกล้อ...เขาชอบธันย์ชนกจนลืมไปแล้วว่าการอยู่โดยไม่มีคนๆนี้จะเป็นอย่างไร


...แต่ไม่ใช่รัก


ธันย์ชนกยิ้มออกมากับคำอ้อนนั้นก่อนจะทำตามที่อีกฝ่ายร้องขอ


...อย่างนี้ใช่ความสุขไหมนะ...


“ธันตามใจผมอยู่เรื่อย...ง่วงหรือเปล่า” ราเมนทร์ถามต่อเบาๆไม่ให้รบกวนคนอื่นในโรงหนัง


“ไม่หรอกครับ... หนังก็ดูเรื่อยๆ คุณรามนอนเถอะครับ” เขาบอกเพื่อคลายกังวลของอีกคน


“อือ.....” ครางเบาๆก่อนเปลือกตาหนักจะหลับลง อากาศเย็นๆในโรงหนังถูกไออุ่นของคนนั่งข้างๆช่วยบรรเทาไว้ ราเมนทร์จึงปล่อยให้ตัวเองตกสู่ห้วงภวังค์


...กับความฝันแสนดี

 

 










“คุณราม..... หนังจบแล้วครับ...” เขาเขย่าคนที่นอนพิงอยู่เบาๆแล้วเอ่ยเรียก


“อือ...จบแล้วเหรอ” คนที่นอนพิงอยู่ลุกขึ้นนั่งตัวตรง มือใหญ่เสยผมลวกๆก่อนจะหันมายิ้มให้


“เมื่อยหรือเปล่า ขอโทษนะธัน”


“ไม่หรอกครับ” เขายิ้มให้ก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้


“เบาะนิ่มสบายดีครับ”


“ก็เป็นฮันนีมูนซีทนี่ครับ...” ราเมนทร์ลุกตามพร้อมหันไปหาน้องชายที่ยังแทบจะนอนซุกกับคนรัก


“รัน....ลุกเลยๆ”


“อือ--- ยุ่งจังนะ” เขาทำเสียงขุ่นพลางขยับตัวลุกออกมา


“จะไปกินข้าวกับพี่บีมนะ”


“ก็ไปกินด้วยกันนี่แหละ กินเสร็จก็กลับบ้านเลย” ใช่ว่าจะแสดงน้ำใจ..แต่เพราะกลัวว่าไปแค่สองคนแล้วจะยาว


“ไปร้านเพื่อนหมอก็ได้ คุณเชฟที่ผมทองน่ะ”


“วันนี้ปิดร้านมั้ง”


“ปิดเหรอ? ลองโทรถามได้ไหมนะพี่บีม” รัญชน์หันมาถามดู ตัวเขานั้นจำวันเปิดและปิดไม่ได้ แต่ก็อยากไปทานสเต็กฝีมือทยุตอีกแน่ๆถึงได้เอ่ยอ้อน


“อืม...แต่ไม่รู้ครัวปิดหรือยังนะ จะสามทุ่มแล้วนี่” พอคนรักอ้อนเข้าหน่อยหมอหนุ่มก็ยอมทำตามแต่โดยดี


เขาโทรศัพท์ไปหาญาณัชเพราะรู้ว่าไอ้ตัวเพื่อนคงกำลังวุ่นวายกับการสู้รบในครัว


...และอีกเหตุผลหนึ่งคือพูดกับญาณัชง่ายกว่า...


“ฮัลโหล ผมบีมนะคุณนัท ยุ่งอยู่หรือเปล่าครับ”


-สวัสดีครับคุณบีม มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ-


“ร้านปิดยังครับ พอดีผมกับแฟนแล้วก็พี่ชายกับแฟนพี่ชาย...” ธนกฤตปรายตามองราเมนทร์ที่ทำหน้าตึงแล้วยิ้มหวานให้


“...อยากไปทานที่ร้าน แต่ว่าดึกแล้ว เลยไม่รู้ว่าจะสะดวกหรือเปล่า”


-จริงๆแล้ววันนี้ไม่ได้เปิดร้านน่ะครับ พอดีอาผมมาเยี่ยมพี่ยุตเลยทำบาร์บีคิวให้น่ะครับ- ปลายสายตอบเสียงนุ่มพลางหันไปถามคนที่กำลังเดินเข้ามาหา


-อาพีท ถ้าเพื่อนของพี่ยุตแวะมาทานด้วยได้ไหมครับ-


-เอาสิ มาหลายๆคนสนุกดี อาไม่ว่าหรอก-


-ครับคุณบีม ถ้าสะดวกก็เชิญเลยนะครับ-


“สี่คนนะครับ คุณนัทเอาพวกเครื่องดื่มไหมครับพวกไวน์ เหล้าเบียร์ หรืออยากให้ซื้ออย่างอื่นด้วยก็ได้นะ”


เขาเคยได้ยินเรื่องของคุณอาใจดีมาจากญาณัช... และคุณอาหวงหลานจากทยุต


...อยากรู้เหมือนกันว่าจะเป็นอย่างไหน


-ไม่เป็นไรหรอกครับ ขอบคุณนะครับคุณบีม-


“งั้นผมไปกวนอย่างเดียวนะ ฝากบอกไอ้ยุตด้วย”


ธนกฤตของคุณอีกครั้งก่อนจะวางสายไป


“วันนี้ร้านปิดแต่ญาติเจ้าของร้านมาเยี่ยมเลยทำบาบีคิวกินน่ะรัน...เขาบอกว่าให้ไปด้วยกันเลย คนเยอะๆสนุกดี”

 

 








“Hey! Kiddo! Didn't I tell you to drink more milk?”


“Geez! Get your hands off! Old man” รัญชน์ร้องโวยวายเมื่อถูกผู้ชายวัยกลางคน(หรือลุงแก่ที่เขาชอบเรียก) ขยี้ศีรษะจนเรือนผมสีอ่อนยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง


ธัชกับรัญชน์เคยรู้จักกันมาก่อนเพราะเด็กหนุ่มร่างเล็กเคยถ่ายโฆษณาให้กับบริษัทของเขา


“แกล้งเด็กอีกแล้วนะ” พิชญ์ที่เพิ่งเดินออกมาพูดพร้อมรอยยิ้มดุๆ


“สวัสดีครับ... ผมพีทครับ”


นัยน์ตาหรี่ๆสองคู่ที่มองชายร่างสูงแสดงอาการสนิทสนมกับเจ้าตัวเล็กหันกลับมาทักทายเจ้าของเรือนผมยาวสีน้ำตาลเข้มที่มีรอยยิ้มดึงดูดสายตา


“สวัสดีครับ-ผมราม”

“สวัสดีครับ หมอบีมครับ”


ราเมนทร์พูดขึ้นพร้อมกับธนกฤตก่อนจะหันหน้ามามองกันแล้วแสร้งทำเป็นมองคนละด้าน


“รัน...รู้จักกันมาก่อนเหรอ” คนเป็นพี่ชายพูดขึ้นซึ่งตรงใจกับธนกฤตอีกครั้ง


“อื้อ ตอนไปถ่ายโฆษณาการ์ดคริสต์มาสเมื่อตอนห้าปีที่แล้วนะ” เขาหันมาตอบพลางรีบหลบออกมาก่อนที่จะโดนขยี้ศีรษะอีกครั้ง


“เด็กที่ไหนไม่รู้ชอบเรียกคนอื่นว่าคนแก่....” ธัชพูดยิ้มๆก่อนจะเดินไปหาคนรัก น้ำเสียงดุๆแบบนี้ปล่อยไว้นานไม่ได้...เดี๋ยวเป็นเรื่อง


“ผมธัชครับ... โลกกลมจริงๆ”


“ครับ... กลมมาก” ธนกฤตที่พอจะมองออกถึงความสัมพันธ์ของคนที่เพิ่งรู้จักก็คลายใจลงจนยิ้มออกมาได้


“แล้วไอ้ยุตกับคุณนัทไปไหนล่ะครับ คุณพีท”


“.... นัทไปช่วยจัดจานชามน่ะครับ บอกแล้วว่าให้ธัชทำได้ก็ไม่ยอม ดื้อไม่เลิกเลย” พิชญ์เอ่ยตอบยิ้มๆ


“เชิญนั่งก่อนเลยครับ ตามสบาย” เขาพูดต่อพลางขยับมือเชื้อเชิญให้นั่งลงที่โต๊ะตัวยาว


เป็นเพราะคนที่มาด้วยเงียบไป ราเมนทร์จึงโอบที่ไหล่บางเบาๆ


ธันย์ชนกไม่คุ้นเคยกับคนเหล่านี้ก็เป็นธรรมดาที่จะเกิดอาการแบล๊งค์... ไม่รู้จะทำตัวอย่างไร


“สบายๆนะธัน..” ราเมนทร์กระซิบข้างหูเบาๆ


“อืม... ผมไม่รู้... จะพูดอะไร... ดีน่ะครับ” เขาได้แต่ยิ้มอายๆให้กับอีกคนก่อนจะค่อยๆนั่งลงบ้างตามคำเชื้อเชิญ


“แฟนลุงสวยจังนะ ใช้คำว่าสวยได้หรือเปล่า” รัญชน์พูดพร้อมกับรอยยิ้มยียวนขณะมองใบหน้าของพิชญ์ที่ดูจะเหวอๆไปเล็กน้อย


“ยังไม่ใช่ลุงซะหน่อยน่าไอ้เจ้าเปี๊ยก” ธัชพูดขำๆเพราะชินกับการแสดงออกของรัญชน์มาตั้งแต่ห้าปีที่แล้ว


“ถ้าฉันลุงนะ คนสวยของเราไม่เป็นลุงกว่าเหรอ เขาอายุมากกว่าฉันอีกนะจะบอกให้”


“อย่ามาโกหกนะ ตลกนะ ดูยังไงก็เท่าพี่ธันคนนี้นะ” เด็กหนุ่มเบ้หน้าพลางหันชี้ไปทางธันย์ชนกที่ได้แต่นั่งยิ้มจางๆก่อนจะตกใจที่อีกฝ่ายชี้มาทางตัวเอง


“พีท...รันเขาว่าอย่างนั้นน่ะ” คราวนี้ธัชหันไปหาคนรักของตัวเองบ้าง


“คุณพีทเป็นอาคุณนัทนะรัน...”ธนกฤตเองแม้ไม่อยากจะเชื่อแต่ก็ช่วยยืนยันจากข่าวที่ได้รับมาอีกครั้ง


“ธันอายุเท่าไหร่แล้วครับ” 'คนสวย'ที่ว่าหันไปถามเจ้าตัวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม


“.... 32... ครับ” ธันย์ชนกเอ่ยตอบเสียงเบา


“หืม... ห่างกันตั้ง10ปีแน่ะ” พิชญ์ว่าก่อนจะหันกลับมายิ้มให้กับเจ้าตัวเล็กที่ตอนนี้ทำตาโตด้วยความตกใจ


“โกหกนะ!!”


“อ้าว หวัดดีไอ้หมอ...คุณรัน คุณพี่ชายแล้วก็อีกคุณอีกคนด้วยครับ” เชฟหนุ่มที่หอบถาดของสดเสียบไม้ที่อยู่บนถาดใบใหญ่เอ่ยทักอย่างทั่วถึง


“คุณพี่ชายชื่อราเมง ส่วนคุณแฟนพี่ชายเขาชื่อคุณธันเว้ย” ธนกฤตแทรกพูดตอบพลางลุกขึ้นไปช่วยพยุงถาด


“หวัดดีอีกครั้งครับ” ทยุตปล่อยให้เพื่อนเป็นฝ่ายถือแล้วหันไปหาคนตัวเล็กที่เดินตามมา ก่อนจะเอื้อมมือไปยกถาดจานให้


“คุณธันเคยมาทานที่ร้านครั้งนึงใช่ไหมครับ ผมจำได้”


“ครับ... หนเดียวครับ... จำได้ด้วยเหรอครับ” ธันย์ชนกยิ้มอายๆที่อีกฝ่ายจำได้ แม้ในใจจะรู้สึกว่าตัวเองเหมือนคนมาอยู่ผิดที่ผิดทาง ทุกคนดูจะอารมณ์ดีแล้วก็สบายๆ เป็นคนสนุกสนาน มีแต่เขาที่ได้แต่นั่งยิ้ม


“คุณรันเอาน้ำอะไรดีครับ” ญาณัชเอ่ยถามขณะที่หยิบแก้วเปล่าขึ้นมา


“โค้กครับ”


“ไอ้เปี๊ยก กินโค้กเป็นเด็กๆอยู่เลยนี่” ธัชอดไม่ได้ที่จะเอ่ยแซวขึ้นพร้อมรอยยิ้มที่กวนประสาทเป็นพิเศษในสายตาของรัญชน์


“เอาเบียร์ครับ! กินได้ลุง”


“เฮ้ย เดี๋ยวเมานะรัน” ราเมนทร์เอ่ยแย้ง...และเป็นอีกครั้งที่ตรงใจธนกฤต


“กินได้ ไม่เมาหรอก เมื่อก่อนก็กินกับพวกเอริคบ่อยๆนะ” คนเป็นน้องไม่ฟังเสียงห้ามของพี่ชายแม้แต่น้อย


เอริค...เป็นชื่อที่คุ้นหูมากสำหรับทยุต ชายหนุ่มเริ่มเอาบาบีคิวที่เสียบไว้ย่างบนเตาพลางทาน้ำซอสรสเข้มข้นบนผิวเนื้อ


...ถ้าจำไม่ผิด แฟนวินที่เป็นนายแบบก็ชื่อนี้...


...แต่โลกคงไม่กลมขนาดนั้นมั้ง...


“งอนเลยงอน พูดถึงแฟนเก่าอีกแล้ว” ธนกฤตโน้มตัวมากระซิบที่หูคนตัวเล็กเบาๆ


“ไอ้นั่นอีกแล้ว...หลายคดีแล้วนะนั่น เจอเมื่อไหร่โดนจัดหนักแน่” ราเมนทร์บ่นงึมงำ นัยน์ตาสีสวยปรายไปมองขวดเหล้าสีใสก่อนจะหันไปคุยกับธันย์ชนก


“ธันเอาหน่อยเนอะ...วอดก้ามะนาวไหม”


ธันย์ชนกจำได้ดีว่าคราวก่อนที่ลองตามอีกฝ่าย ก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย


“.... นิดเดียวจริงๆนะครับ”

 

 











“ฮะฮะฮะ จริงเหรอครับ..”


เสียงหัวเราะร่วนของชายหนุ่มคนเรียบร้อยดึงความสนใจจากเตาย่าง ราเมนทร์เงยหน้าที่มันไปด้วยเหงื่อมองไปทางธันย์ชนกซึ่งตอนนี้ใบหน้าขาวเปลี่ยนเป็นแดงก่ำพร้อมรอยยิ้มหวานที่มอบให้รอบวง


นัยน์ตาสีน้ำตาลอมเทามองกิริยาน่ารักของคนรักพร้อมๆกับวางแปรงทาน้ำซอสลง


...ให้ตายซิ ไปเมาตอนไหนวะ...


“แล้วก็นะ พอฉันไม่ยอมอาบน้ำก็โดนดุอีก แถมยังขู่ซ้ำว่าถ้าไม่อาบซะทีจะโดนดีแน่...หน้าหนาวของอเมริกามันหนาวจะตายไปนี่นา ใครอยากอาบกันล่ะ” คนที่ครองการสนทนาพูดจบก็เรียกเสียงหัวเราะจากรอบวงและรอยหยิกหมับจากคนรักที่อยู่ข้างๆ


“โอ๊ย! พีทครับ..อายเด็กน่า”


ธัชแกล้งทำหน้าอ้อนแล้วเริ่มรินเหล้ารอบวงอีกครั้ง


“ใครอยากฟังต่อหมดแก้วเลย...”


“พอแล้วธัช... นี่ ธันเขาไม่ไหวแล้วนะ” พิชญ์รีบทำเสียงดุพลางเอื้อมมือไปห้ามไว้


...แต่มีหรืออีกฝ่ายจะฟัง


“ไม่เป็นไรครับ ดื่มได้” เจ้าของชื่อยิ้มหวานให้พลางยื่นแก้วเหล้าที่ว่างเปล่าให้กับธัช


“น่าพีท โตๆกันแล้ว แค่นี้ไม่เป็นไรหรอก” ธัชรินเหล้าลงไปในแก้วที่ยื่นมารอ


“รอบนี้เพียวเลยไหมคุณธัน”


“ได้ครับ” รับคำเฉยๆไม่พอยังตบท้ายด้วยรอยยิ้มหวานขอบคุณก่อนจะยกแก้วขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด


“ทั้งสองคนนี่ดีจังนะครับ เหมือนพรหมลิขิตเลย” เขาพูดต่อ


“ก็นะครับ...ใครจะไปรู้ว่าคนที่เป็นพรหมลิขิตของตัวเองอยู่ที่ไหน ผมยังต้องไปเจอถึงอเมริกา แถมตายไปหลายปีปล่อยให้เศร้าอีกต่างหาก” คราวนี้ธัชหันไปยิ้มกับคนรัก ท่อนแขนที่โอบเอวอยู่เบาๆรัดแน่นขึ้น


“คุณธันก็เจอคุณรามแล้วนี่ครับ ไอ้เปี๊ยกกับนัทก็ด้วย “


“... ผมกับรามเหรอครับ.....” เขาหยุดนิ่งไปเมื่อพูดถึงชื่อของตัวเองขึ้นมา


“... ถ้าเป็นอย่างพวกคุณคงวิเศษไปเลย” รอยยิ้มหวานในตอนแรกกลับดูหมองลงเล็กน้อย


“แล้วไม่ใช่เหรอครับ” ธัชยิ้มจางๆ จากประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมา...ถ้าหากว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งพูดอย่างนี้แสดงว่าต้องมีเรื่องอะไรอยู่ในใจ


“ธัน...เมาแล้วเหรอ” ราเมนทร์ที่เห็นรอยยิ้มที่เปลี่ยนไปรีบเดินผละจากเตาย่างมาหาแล้วก้มลงกระซิบเบาๆ


...เป็นอะไรหรือเปล่านะ...


“เวียนหัวไหม”


“เปล่านะ ไม่เป็นไร” ธันย์ชนกยิ้มกว้างขึ้นพลางส่ายศีรษะช้าๆ


“ก็.. เรื่องนั้นผมยังไม่รู้หรอกครับ” เขาหันไปตอบคำถามของธัช


“เมาแล้ว” ราเมนทร์ดึงใบหน้าสวยที่กำลังยิ้มหวานให้หันเข้าซุกในอกแล้วกอดเอาไว้


...ทุกที...


...ไอ้อาการเมาแล้วยิ้มหวานนี่ขอได้ไหม...


“คุณธัชพอแล้วดีกว่าครับ ธันเขาคออ่าน เราก็ด้วยรัน หน้าแดงหมดแล้ว”


“....... ยังไม่เมานะราม...” เขายันตัวออกมาจากอ้อมกอดนั้น แล้วหยิบแก้วขึ้นมายื่นให้คนรินเหล้าพลางส่งยิ้มหวานให้


“พี่รามเงียบๆไปเลย!!” เจ้าตัวเล็กโวยวายขึ้นมา


“ไม่ให้กินแล้ว พอเลยทั้งสองคนน่ะ!” ...ลองเรียกว่ารามได้เต็มปากเต็มคำแสดงว่าเมาแน่ๆ


“ไม่เป็นไรหรอกคุณราม ถึงเมายังไงก็มีคุณคอยดูแล..ก็ไม่น่าห่วงอะไรนี่”


พอธัชพูดอย่างนั้นชายหนุ่มเลยพูดอะไรต่อไม่ได้ ราเมนทร์นั่งลงชิดกับธันย์ชนกแล้วโอบเอวไว้เบาๆ รอจังหวะที่ทุกคนเผลอกระซิบข้างใบหูนิ่ม


“ผมหวง..ไม่รู้หรือไง”


เจ้าตัวได้ยินอย่างนั้นก็ยิ้มหวานให้แล้วขยับใบหน้าเข้าใกล้


“หวงอะไร...”


“หวงคุณไง....” รอยยิ้มหวานของธันย์ชนกยังคงน่ารักเหมือนวันวาน..น่ารักจนอยากจะเก็บไว้ดูแค่คนเดียว


“มัวแต่ยิ้มให้คนอื่น”


คราวนี้ธันย์ชนกหัวเราะเบาๆออกมาบ้าง


“ก็ยิ้มให้รามอยู่นี่ไง จะบอกว่าฉันไม่ได้ยิ้มเหรอ”


“ยิ้มสิ ยิ้มเรี่ยราดเลยล่ะ” จะถือสากับคนเมาก็ใช่ที่ จริงอยู่ว่าเวลาเมาแล้วคนรักคนนี้น่ารักกว่าปกติ แต่อาการอย่างนี้เขาไม่อยากให้คนอื่นเห็น


...หวง...


...เพราะชอบมาก...


“กระจุ๋งกระจิ๋งกันไม่สนใครเลยนะราเมง” ธนกฤตกับทยุตที่สองมือเต็มด้วยถาดของย่างตามมาสมทบ ซึ่งคนมาทีหลังได้เอาอีกจานที่แยกไว้ให้คนรักโดยเฉพาะวางตรงหน้าญาณัช


“ไม่มีผัก...วันนี้ยอมให้วันนึงนะนัท”


ญาณัชแย้มรอยยิ้มหวานให้กับร่างสูงก่อนจะเอ่ยตอบเสียงเบา


“ขอบคุณนะพี่ยุต... ไม่มีกระเทียมใช่ไหม”


“ไม่มีหรอก” มือใหญ่จับเส้นผมที่รุ่ยร่ายทัดให้เบาๆ


“คุณธันครับ อีกแก้วนะ” ธัชที่นั่งดูเหตุการณ์อยู่ขัดขึ้นแล้วยกขวดวอดว้าเทลงกว่าครึ่งแก้ว


“ลองดูสิครับ คุณธันเมาแล้วพูดเก่งขึ้น ดีออกนะผมว่า เอาครับ...ดื่มให้ลืมเมาไปเลย”


“พูดเก่งอะไรครั-!? อ๊ะ” คนฟังหัวเราะไปพลางยกแก้วมา แต่กลับทำเอาว้อดก้าที่อยู่ในแก้วกระฉอกออกหกใส่ตัวเอง


ใบหน้าสวยที่หันมายิ้มแหยด้วยใบหน้าแดงก่ำทำเอาโมโหไม่ออก ราเมทร์หยิบแก้วของธันย์ชนกวางลงบนโต๊ะแล้วลูบน้ำที่เปียกบนเสื้อให้


“เปียกหมดแล้ว กลับบ้านดีกว่าธัน..เดี๋ยวไม่สบาย” ชายหนุ่มโมเมเอาเองแล้วพยุงธันย์ชนกขึ้นยืน


“กลับพร้อมกันสิรัน เราเองก็เดี๋ยวพับไปอีกคนหรอก”


“กลับไปเลยไป... รันยังกินบาร์บีคิวกับเบียร์อยู่นะ” รัญชน์ร้องท้วงพลางยกมือไล่


“ราม ฉันบอกว่าไม่เป็นไรไง นิดเดียวเองนะ เดี๋ยวก็แห้งแล้ว” ธันย์ชนกไม่ยอมง่ายๆเหมือนปกติ ซ้ำยังยิ้มให้หมายจะคลายความกังวลบนใบหน้าของราเมนทร์ออกด้วย


“ไม่เอา กลับเถอะ...นะธัน....”


สำหรับรัญชน์ ถ้าดื้ออยู่อย่างงี้ต่อให้ช้างมาฉุดก็ไม่ไป แต่ธันย์ชนกที่ทำท่าดื้อแบบเบาๆยังน่าจะพอไหว


“กลับกันนะธัน ผมง่วง กลับไปห้องธันนะ”


“เขาไม่อยากกลับก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมไม่ก็ยุตไปส่งเองก็ได้ คุณรามไม่ต้องห่วงนะ” ธัชนึกสนุกแกล้งพูดออกมา


...ดูสิว่าจะเป็นยังไง...


“รบกวนคุณธัชกับคุณยุตเปล่าๆครับ ธันเองก็ไม่ไหวแล้ว....ผมเป็นแฟนผมรู้ดีครับ” อารามที่ไม่ได้ดั่งใจเลยสักอย่างทำให้ชายหนุ่มเผลอตอบห้วนๆ


“เหรอ...” คนที่เมาไปไหนถึงไหนแล้วลากเสียงยาวก่อนจะหันมาจ้องตาราเมนทร์จังๆ


“จะกลับแล้วเหรอ”


“อื้อ กลับกันธัน” ชายหนุ่มยิ้มให้แล้วกล่าวลาทั้งรอบโต๊ะ


“ไอ้หมอ พารันกลับบ้านด้วยล่ะ อย่าทิ้งไว้แถวนี้”


“อือน่า ไม่บ้านผมก็บ้านคุณพี่แหละ”


“รัน...เบียรน่ะอย่าให้มันมากนักล่ะ”


“ไปเลยไปนะ ไม่ต้องบ่นเป็นคนแก่แล้วนะ” เด็กหนุ่มทำมือไล่อีกครั้งก่อนจะยกแก้วเบียร์ขึ้นดื่มต่อ


“สวัสดีครับ ไว้มีโอกาสแล้วพบกันใหม่นะครับ” ธันย์ชนกยกมือไหว้พร้อมก้มศีรษะเล็กน้อยก่อนจะยิ้มให้กับทุกคนแล้วหันมาหาคนข้างๆ


“อือ กลับก็กลับ ถ้ารามง่วงแล้ว”


“ไปก่อนนะครับ” ราเมนทร์เอ่ยซ้ำแล้วประคองธันย์ชนกค่อยๆเดินมาที่รถซึ่งจอดไว้หน้าร้าน


“ทีหลังไม่ให้กินเหล้ากับคนอื่นแล้ว...” เขากดเปิดล็อคก่อนจะจับร่างเพรียวพิงรถไว้


“ทำไมล่ะ รามเคยบอกว่าน่ารักไม่ใช่เหรอ” คนเมาไม่ถามเปล่า รอยยิ้มหวานยังอยู่บนใบหน้าไม่หายไปไหน ถึงจะจำเรื่องที่เกิดตอนเมาไม่ได้ แต่ที่ราเมนทร์เคยพูดไว้ตอนไม่เมานั้นจำได้แน่นอน


“ผมหึง” คนฟังยอมรับออกมาได้หน้าตาเฉย พอๆกับที่ย้ายที่ยืนเปลี่ยนเป็นคร่อมร่างเพรียวกางกั้นไว้ด้วยสองแขน


“มัวแต่หัวเราะกับคุณธัชไม่สนใจผมเลย...”


“จริงเหรอ” ธันย์ชนกถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยอยากจะเชื่อ


“จริงสิ” ปลายนิ้วสากเกี่ยวแว่นออกจากใบหน้าสวยที่แดงก่ำก่อนจะกดจุมพิตเบาๆที่ริมฝีปากสีระเรื่อ


“... ถ้างั้นก็ดีจัง” รอยยิ้มหวานวาดขึ้นบนใบหน้าสวยหลังจากราเมนทร์ถอนริมฝีปากออกไป


“รามหึงฉัน... แปลว่าเริ่มชอบฉันขึ้นมาบ้างแล้ว... ใช่ไหม”


“.....ชอบสิ....”ราเมนทร์ตอบเบาๆ


เขาชอบธันย์ชนก..ชอบมาก


แต่แค่เพียงมันไม่ใช่รัก...


คนเห็นแก่ตัวอย่างเขารู้ดีว่าการแบ่งความรู้สึกอย่างนี้..ถ้าธันย์ชนกรู้จะเจ็บปวดแค่ไหน


...ถ้ารักคนๆนี้ได้..คงจะมีความสุขมาก...


ใบหน้าหวานขยับเข้าหาอีกครั้งก่อนจะเอ่ยแผ่วเบา


“แล้วสักวัน... รามก็คงรักฉันได้... ใช่ไหม....”


...สักวันที่ว่านั้น...


...จะมาถึงเมื่อไหร่...


“ถ้าคุณธันยังชอบผมอย่างนี้...ก็คงใช่” ราเมนทร์รวบร่างบอบบางเข้ามากอดเบาๆพร้อมกับหอมที่เส้นผมดำสลวย


“ผมดีใจนะ...ที่คนที่คุณชอบคือผม..”


...ปัจจุบันที่มีความสุข...


...ผมไม่อยากสูญเสียไปอีกแล้ว...


“ฉันไม่ได้ชอบราม...” เขาหัวเราะเบาๆพลางแตะปลายจมูกที่ริมแก้มสากของอีกฝ่าย


“ฉันรักรามต่างหาก....”


คำบอกรักตรงไปตรงมาของธันย์ชนกทำให้ราเมนทร์ยิ้มออกมาได้จากหัวใจ เขาสวมกอดแน่นขึ้นพร้อมกับเคลียคลออยู่ข้างผิวแก้มนิ่มๆ


“ธัน...รักผมมากๆนะ”


หนึ่งในนับร้อยความเจ็บปวด...คงจะเป็นการที่ในวันนึงไม่มีคนๆนี้อยู่เคียงข้างแล้ว


“อยู่กับผมนะ”


ความอ่อนแอของเขามีไว้ให้คนๆเดียวเห็น...คนที่ชื่อธันย์ชนก
 

 

 

 

 
To be continued...




kagehana : พี่ธันของเค้าเมาแล้วยิ้มหวานเรี่ยราดฟีโรโมนกระจุยกระจายยยยยย ฮิฮิฮิ
หัวข้อ: Re: ・・・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน30 หึง(?) (28/02/14)
เริ่มหัวข้อโดย: michiri.sama ที่ 28-02-2014 18:38:29
เดี๋ยวนะคะ มีกันสี่คู่แต่ละคนผลัดกันเรียกชื่อเล่นชื่อจริงทำเอามึนไปนิดหน่อยเหมือนกัน 555

เมื่อไหร่คุณพี่รามจะรักธันซักทีนะ
รักเขาแต่เขายังไม่รักกลับนี่เจ็บปวดเนอะ
คงต้องรออย่างเดียว
หัวข้อ: ・・・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ ตอน31 หม้อน้ำตาล (16/12/14)
เริ่มหัวข้อโดย: kagehana ที่ 16-12-2014 11:17:43

-31-




“สนุกจังนะธัช” พิชญ์เอ่ยขึ้นหลังจากที่แขกทุกคนกลับไปแล้ว

“หืม พีทไม่สนุกเหรอ” ธัชพูดด้วยน้ำเสียงมึนนิดๆ

“ทำหน้ายักษ์เชียว”

“เปล่า... ไม่มีอะไร......” เขาตอบเสียงเรียบพลางเดินหนีไปอีกทาง

ไอ้ที่ว่าไม่เป็นไรน่ะมันตรงไหนกัน

“พีทเดี๋ยวสิ เป็นอะไรเหรอ” ร่างสูงเดิมตามไปแล้วดึงร่างบางเข้ามากอด

“ผมทำอะไรไม่ดีหรือเปล่า”

ได้ยินคำพูดอีกฝ่ายแบบนั้น เขาก็ถอนหายใจออกมาเบาๆกับความเป็นเด็กของตัวเอง

...ทั้งๆที่แก่แล้วแท้ๆ...

“... เปล่าหรอก ธัชไม่ได้ทำอะไร....”

“ไม่เอานะพีท เราเคยคุยกันแล้วนี่ว่าจะไม่ปิดบังกัน” มือใหญ่จับปลายผมสีน้ำตาลเข้มขึ้นมาจูบเบาๆ

“งอนอะไรผมอยู่...”

“เจอคนเด็กกว่าก็เลยดี๊ด๊า......... น่ะ...” พิชญ์เอียงหลบเล็กน้อย คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันทั้งๆที่พวงแก้มเปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้น

“หือ? เด็กกว่าอะไร ผมไม่เห็นเข้าใจเลย” ร่างสูงฉวยโอกาสตอนที่อีกฝ่ายยังทำหน้าคิดไม่ตกเดินกอดพาไปยังมุมสวนที่มีเจ้าตัวกวนสองตัวที่เพิ่งตื่นเดินวนไปมา

“เด็กดีๆ ไปเล่นตรงอื่นก่อนนะ” ธัชลูบบนหัวกลมๆของเจ้าตัวใหญ่แล้วตบก้นเบาๆให้เดินออกไป

“ก็คนอื่นๆน่ะสิ... รันก็ด้วย แบบนั้นเหมาะกับเรามากกว่ารึเปล่า” เขาพูดโดยไม่ยอมสบตาอีกฝ่าย

พอรู้ว่าอาการของอีกฝ่ายคืออะไร คนที่อายุน้อยกว่าก็ยิ้มกว้างกลางกอดแน่นขึ้น

“รันน่ะเด็ก... เด็กมาก เป็นลูกเราได้เลยนะ... พีทหึงผมหรือไง ผมกับรันไม่มีอะไรกันจริงๆ แล้วพีทจำไม่ได้เหรอว่าผมเคยพูดอะไรกับพีทไว้....”

“จำ..... ได้...” ร่างบางตอบเสียงเบาก่อนจะเอ่ยต่อ

“ก็... ฉันจะหึงบ้าง... ไม่ได้หรือไง.....” น้ำเสียงของเขาฟังดูขุ่นคล้ายกับจะดุอีกฝ่าย

“ได้สิ แต่พีทต้องรู้ไว้นะ...” ท้ายประโยคคำพูด ธัชได้หมุนตัวของพิชญ์มาไว้ตรงหน้าแล้วจูบเบาๆที่ริมฝีปากบางสวย

“พีทจะแก่... จะตาย... หรือจะฟื้น อดีต ปัจจุบัน และอนาคตของผมคือพีทนะ”

“....... อันนั้นได้ยินจนจำได้แล้ว...” เขายังคงทำหน้าขึงขังใส่อีกฝ่ายกลบความเขินอายที่พุ่งขึ้นมา

“ก็พีทมัวหึงผมจนลืมไปไง เลยต้องย้ำบ่อยๆ” จมูกโด่งกดลงบนแก้มนิ่มเบาๆ

“ดีใจจังนะ แก่เป็นลุงป่านนี้แล้วพีทยังหึงผมกับเด็กรุ่นลูกอีก”

“ก็เราน่ะ... ดูดีออกขนาดนี้... ช่วยไม่ได้นะ...” พิชญ์ยิ้มอย่างคนยอมแพ้ เขาได้แต่ถอนหายใจออกมาเบาๆกับความเป็นเด็กของตัวเองอีกครั้ง

“ผมต่างหากล่ะที่ต้องพูดอย่างนั้น พีทตั้ง42แล้วแต่ยังน่ารักอยู่เลย” ธัชจบบทสนาด้วยจุมพิตหวาน... เนิ่นนาน

...ผมรักพีท...

...ไม่ว่าจะถึงเมื่อไหร่ผมก็ยืนยันคำเดิม...

 

 








“ราม... อุ้มฉันไหวจริงๆด้วย” ธันย์ชนกเอ่ยกลั้วหัวเราะหลังจากถูกวางลงบนเตียงหลังกว้าง

“ไหวสิ ธันตัวเล็กจะตายไป กินก็น้อย” ราเมนทร์บ่นงึมงัมแล้วนั่งลงบนเตียงบ้าง

“อาบน้ำไหวไหม หรือจะเช็ดตัว”

“อาบสิ...... ไม่งั้นนอนไม่ได้หรอก” ร่างเพรียวลุกขึ้นจากเตียงแต่ก็ต้องเซล้มไปอีกครั้ง

“เมาขนาดนี้ผมอาบให้ดีกว่า” ราเมนทร์ยิ้มส่ายหัวเบาๆกับอาการหลุดๆของธันย์ชนก เขาคว้าแขนเรียวให้คล้องบ่าแล้วเดินไปยังห้องอาบน้ำที่อยู่ด้านใน

“แช่น้ำอุ่นนะ”

“อะไรก็ได้ราม” เขาตอบยิ้มๆก่อนจะปล่อยให้อีกฝ่ายได้พาตัวเองไปถึงห้องน้ำ

ราเมนทร์เปิดน้ำอุ่นจากก็อกให้ไหลลงอ่าง เสื้อผ้าชื้นๆของธันย์ชนกถูกถอดออกอย่างเบามือ เขาเทผงอาบน้ำกลิ่นหอมหวานลงในอ่างแล้วเปิดฝักบัวราดบนผิวเปลือยเบาๆ ฟองน้ำชุ่มครีมอาบน้ำถูกเอามาขัดตรงแผ่นหลังบอบบาง

“ดีไหมธัน....”

“อือ... สบายจัง เหมือนในหนังญี่ปุ่นเลย” คนอายุมากกว่ายังคงยิ้มไปหัวเราะไป

หนังเอวีน่ะสิทำหน้ายั่วกันขนาดนี้...

ราเมนทร์พยายามเบามือถูทำความสะอาดร่างเปลือยตรงหน้า เขากลั้นใจราดน้ำฝักบัวลงบนผิวเนียนละเอียด

“สบายตัวยัง... แช่น้ำนะ”

“รามก็แช่ด้วยกันเนอะ” รอยยิ้มกว้างปรากฏขึ้นอีกครั้งบนใบหน้าของธันย์ชนก

พอได้ฟัง เส้นความรู้สึกที่คอยประคองไว้ก็เหมือนจะขาดลงทันที ชายหนุ่มดึงร่างบางเข้าหาแล้วประกบจุมพิตเร่าร้อนบนริมฝีปาก มือใหญ่ลูบไล้ทั่วร่างเปล่าเปลือย เสียงเปียกชื้นสะท้อนก้องในห้องน้ำที่เต็มไปด้วยควันจากน้ำอุ่น

“อย่ามา... ยั่ว... กันนะ...”

“ฉัน... เปล่า” เขาตอบเสียงเบาก่อนที่จะปล่อยร่างกายให้ราเมนทร์ได้ประคองไว้แต่คนเดียว จากที่ยืนไม่ค่อยจะไหวอยู่แล้ว พอถูกรุกไล่อย่างเร่าร้อนเช่นนี้ยิ่งทำให้หมดแรง

“เปล่าอะไร อย่างนี้แกล้งกันชัดๆ” ร่างสูงถอดเสื้อผ้าของตัวเองออกเผยร่างกายกำยำเปียกชื้น  ริมฝีปากรุ่มร้อนลากไล้เบาๆก่อนจะย้ำแรงขึ้นจนเกิดรอยแดงก่ำ

“กลัวไหม....”

“กลัวทำไม... รามจะไม่ทำร้ายฉันไม่ใช่เหรอ” นอกจากจะไม่สั่นแล้ว ธันย์ชนกยังยิ้มจางๆให้เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายกังวล

“อืม... ไม่ทำอีกแล้ว” ร่างที่อยู่ในอ้อมกอดไร้อาการสั่นไหวเหมือนเมื่อครั้งก่อน ราเมนทร์แนบกายเปล่าเปลือยเข้าหาให้ร่างกายทั้งหมดสัมผัสกันแนบชิด

“แต่คนเมายั่วอย่างนี้ระวังไว้นะ... ผมอดทนไม่เก่งหรอก...”

“ฉันบอกว่าไม่ได้ยั่ว... อย่ากล่าวหากันสิราม” มือสองข้างยกขึ้นแตะใบหน้าของคนที่รักสุดหัวใจ

ราเมนทร์จับมือทั้งสองข้างมาจูบกลางฝ่ามือเบาๆก่อนจะพามันไปฝากไว้ที่เอวของตัวเอง ชายหนุ่มยกขาเรียวของคนรักให้ชันขึ้น เขารุกไล่จนแผ่นหลังของร่างบางแนบชิดกับกำแพง ปลายนิ้วสากสอดเข้าใต้ท่อนขาเรียวที่ถูกยกทั้งท่ายืนก่อนจะเอื้อมไปสัมผัสช่องทางด้านหลังที่ยังหุบแน่น

“ผมเอาจริงนะ...”

“อือ...” ธันย์ชนกในตอนนี้ไม่อยู่ในสภาพที่จะเอ่ยปฏิเสธอะไรได้ ในยามปกติก็แทบจะยอมราเมนทร์ทุกเรื่องอยู่แล้ว ลองมึนเมาเพราะเหล้าที่ดื่มเข้าไปแบบนี้ ยิ่งมีแต่จะตามใจมากขึ้น

ร่างสูงบดเบียดจุมพิตหวานที่ปนไปด้วยความหึงหวงและปรารถนา นิ้วมือที่ช่ำชองปลุกเร้าด้านหน้าที่ยังอ่อนตัวของธันย์ชนกเช่นเดียวกับอีกมือที่คลึงเคล้นด้านหลังไปพร้อมๆกัน

...จะทำให้ชอบมากขึ้นอีกเท่าไร...

เวลาเมาก็น่ารัก เวลาปกติก็อยากดูแล ธันย์ชนกเข้ามามีอิทธิพลต่อชีวิตของเขาเพิ่มมากขึ้นจนราเมนทร์รู้ว่าขาดคนๆนี้ไม่ได้อีกแล้ว

“... อึ๊ก--! ราม...” นัยน์ตาคู่สวยที่หรี่ปรือจ้องมองภาพใบหน้าของร่างสูงพลางเอ่ยเรียกให้สนใจ

“.... รักฉัน..... บ้าง... นะ.....”

“อืม...” ราเมนทร์ตอบรับในลำคอเพราะไม่สามารถบอกได้ว่ารัก ความรู้สึกในตอนนี้มีแต่ชอบจนเกือบเทียบเท่า... แต่ยังไม่ใช่

...ผมอยากรักคุณ...

“ผม... จะพยายาม...”ราเมนทร์กระซิบเสียงแผ่วกับตัวเองแล้วโอบร่างบางให้มาพักพิงที่อก แก่นกายแข็งขืนเสียดสีกันเบาๆกระตุ้นให้ความตื่นตัวและอารมณ์หวามไหวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

“พรุ่งนี้อย่าว่าผมนะ...”

ท่อนแขนเรียวยกขึ้นโอบรอบศีรษะและลำคอหนาจนแน่นก่อนจะเอ่ยตอบเสียงพร่า

“ฉันรักราม..... อ... ฉันไม่ว่า... หรอก”

อยากจะตอบรับคำว่ารักนั้น... แต่อยากให้ความรู้สึกมั่นคงกว่านี้

...เพราะเขาไม่สามารถรักใครได้พร้อมกันถึงสองคน...

มือหยาบกุมส่วนอ่อนไหวของอีกคนแล้วขยับเชื่องช้า ราเมนทร์จูบผิวแก้มแดงๆของคนรักที่หรี่ตาปรือปล่อยร่างไว้กับเขา ลมหายใจยังมีกลิ่นแอลกอฮอล์อยู่แต่ยิ่งราวกับจะเร้าอารมณ์ให้ยิ่งสูงขึ้นไป กลิ่นกายหอมยิ่งหอมขึ้นเมื่อเจอกับน้ำอุ่นๆที่ราดรดบนผิวขาวละเอียด

“..ชอบไหม...”

“อ... ราม... อือ-- ม-- ไม่ไหว... อึก-!!” ร่างเพรียวบางเกร็งจนแน่นก่อนจะปลดปล่อยออกมา ทุกอย่างรอบตัวเหมือนกับจะเป็นแรงกระตุ้นชั้นดี บวกกับฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่อยู่ในตัวแล้ว ความสุขสมที่พุ่งขึ้นสูงคล้ายกับเป็นการใช้พลังส่วนสุดท้ายในร่างกาย

“... อืม.....” แขนสองข้างที่ยกกอดราเมนทร์ไว้ค่อยๆคลายออกก่อนที่ใบหน้าจะเอนซบเข้ากับไหล่กว้าง

“...ธัน...” ราเมนทร์เรียกชื่อเบาๆเมื่อเห็นธันย์ชนกนิ่งซบอยูนาน เขากดจูบเบาๆบนไหล่นวลซึ่งก็ไม่ได้รับการตอบสนองอะไรมากไปกว่าเสียงครางในลำคอ ราเมนทร์ดึงร่างบางออกจากอ้อมกอด... แล้วพบว่าคนรักตัวดีของเขาหลับใหลไปแล้ว

“โห... ชิ่งเลยนะธัน” ราเมนทร์ยิ้มอ่อนใจก่อนจะเปลี่ยนเป็นอุ้มร่างบอบบางไว้ในอ้อมแขน

...วันนี้ฟาวส์สินะ...

“คอยดูนะ... คราวหน้าผมจะเอาคืน” ราเมนทร์คาดโทษด้วยรอยยิ้มหวานก่อนจะตบท้ายการลงโทษด้วยจูบ... เนิ่นนาน

 

 







“โอย....” ธันย์ชนกค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นพร้อมกับอาการปวดศีรษะจนต้องร้องโอดโอยออกมา

“... ปวดหัว....”

“แหงสิ... เมื่อคืนดื่มไปเยอะนี่” คนที่นอนไม่หลับทั้งคืนพูดเสียงขุ่น ก่อนจะยิ้มพรายแล้วแกล้งดึงคนเพิ่งตื่นเข้ามาคลอเคลีย

...แกล้งสักนิดก่อนดีกว่า...

“เมื่อคืนธันน่ารักมากเลยรู้ไหม ผมไม่นึกเลยว่าธันจะทำได้ถึงขนาดนั้น...”

“?!!! อะไร?? ผม... ไม่เห็นรู้เรื่องเลย... ครับ” ธันย์ชนกทำหน้าตกใจซ้ำยังถามเสียงดังกว่าปกติ ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้นโดยไม่รู้ตัว

“ใจร้ายจังนะ ทำกับผมถึงขนาดนั้นแท้ๆ.....” ราเมนทร์ทิ้งเสียงยาวพลางแกล้งถอนหายใจ

“ไม่ยักรู้ว่าธันออนท็อปเป็น”

คราวนี้คนฟังถึงกับหน้าแดงจัดจนถึงคอก่อนจะรีบซ่อนใบหน้ากับหมอนใบนุ่ม

“ผม.... ไม่รู้-!!”

“ก็เมาไม่รู้เรื่องเลยนี่นา ในห้องน้ำก็ด้วย... ยืนจนเมื่อยขาเลย” กิริยาน่ารักของธันย์ชนกยิ่งเหมือนตัวเร่งให้ยิ่งอยากแกล้ง

“ธันเกี่ยวผมไว้... ไปต่อในอ่างอาบน้ำ จบลงที่เตียง ผมเกือบใส่เสื้อนอนให้ไม่ได้แน่ะ ธันรั้งผมไว้ทั้งคืนเลย”

“ไม่พูดแล้วได้มั้ยครับ.....” คนขี้อายได้แต่หันหนี ยิ่งได้ยินจากปากอีกฝ่ายยิ่งรู้สึกเขินจนไม่อยากมองหน้า

“ทำเป็นจำไม่ได้ ผมน้อยใจนะ” แกล้งทำเสียงเศร้าพร้อมก้มลงซ่อนแววตาขำ

“รู้งี้ให้นอนแบบโป๊ๆดีกว่า”

“พอแล้ว! ฉันไม่พูดกับรามแล้ว!” พอถูกแซวถึงจุด ธันย์ชนกก็พูดเสียงดังออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ

ทีท่าอย่างนั้นทำเอาคนแซวตกใจไปพักหนึ่ง ก่อนรอยยิ้มหล่อเหลาจะแย้มกว้าง

“ถ้าธันเรียกผมว่ารามเฉยๆเหมือนเมื่อกี้... เหมือนตอนเมา ผมจะบอกอะไรธันอย่างหนึ่งล่ะ” ราเมนทร์อมยิ้มเจ้าเล่ห์

...โกรธแบบนี้ยังน่ารักเลย...

ร่างเพรียวบางนิ่งไปก่อนจะนึกต่อว่าตัวเอง จะให้เรียกอีกฝ่ายเฉยๆแบบนั้นได้อย่างไร

เมื่อกี๊มันเพราะอารมณ์ชั่ววูบชัดๆ!!

“........................... อะไร... ครับ............. ราม”

“คืองี้นะครับธัน” ชายหนุ่มแกล้งทำเสียงเป็นทางการ

“ที่บอกว่าออนท็อป ทั้งคืนไม่ยอมปล่อย...” ท่อนแขนแข็งแรงรั้งธันย์ชนกเข้ามาหาอ้อมกอด

“.........ผมอำเล่น”

“!!?” ได้ยินแบบนั้นคนที่ถูกต้อนได้แต่พยายามดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมกอดนั้น

“..... แกล้งผม.... นะครับ”

“ก็ธันทำผมไว้ก่อน เมื่อคืนผมทำให้คุณเสร็จ คุณก็ชิ่งหลับให้ผมค้างอยู่คนเดียว แถมต้องอาบน้ำใส่ชุดนอน ลากคนเมาหลับขึ้นเตียงอีก” ชายหนุ่มบ่นยิ้มๆแล้วซุกจมูกลงที่ซอกคอหอมกลิ่นพีชอ่อนๆ

“คนใจร้าย...”

“......... ขอโทษ.... ครับ” ชายหนุ่มเอ่ยตอบเสียงแผ่วก่อนจะขยับเข้าหาเล็กน้อย

“... ทำให้ลำบาก...... หรือเปล่า... ครับ”

“เป็นแฟนกันนะธัน เรื่องแบบนี้เขาไม่เรียกลำบากหรอก” ชายหนุ่มเอ็นดูน้ำเสียงเบาๆที่ชอบถามอย่างเกรงใจ... จนบางครั้งก็รู้สึกว่าเกรงใจมากเกินไป

ราเมนทร์ขยับตัวลุกขึ้นนั่งแล้วยกคนที่ตัวเล็กกว่าให้มาพิงที่อกพลางกอดไว้เบาๆ

“อย่าเกรงใจผมเยอะเลย เอาแต่ใจบ้างก็ได้”

“ถึงจะพูดแบบนั้น... ผมจะเอาแต่ใจเรื่องอะไรล่ะครับ......” เขารู้สึกคล้ายหัวใจพองโตขึ้นมาทุกครั้งที่ได้ยินราเมนทร์พูดคำว่า 'เป็นแฟนกัน'

...ตอนนี้ผมกับคุณเป็นแบบนั้นจริงๆแล้วใช่ไหมครับ...

...ถึงอย่างนั้น ธันย์ชนกก็ไม่กล้าถามออกไปว่าอีกฝ่ายรู้สึกอย่างไรกับตัวเขาบ้างแล้ว

“ก็เรื่องอะไรก็ได้... แบบ อยากให้ผมอยู่ด้วยนานๆ อยากไปเที่ยวไหน อยากให้ผมทำอะไรให้” ปลายคางที่มีตอเคราเขียวเพิ่งขึ้นกดเบาๆตรงกลางศีรษะ

“มีแต่คุณที่ทำให้ผม ต้องตื่นเช้ามาทำกับข้าวให้ทั้งที่นอนดึก คอยเอาเบียร์มาให้ตอนผมกลับมา... หมู่นี้น่ะผมก็รู้ตัวเหมือนกันนะว่าอ้อนคุณเกินไป... อาจจะทำให้คุณลำบากใจก็ได้”

...เพราะเป็นความเคยชินอันแสนอบอุ่น...

...ก็เลยเผลออ้อนไปเยอะ...

“ก็... ผมเต็มใจทำให้... ไม่ลำบากใจหรอกครับ....” เขาขดตัวให้เล็กลงพลางขยับรับความอบอุ่นให้มากขึ้น

“... เดี๋ยวจะไปญี่ปุ่นกันแล้ว... ดีใจแล้วครับ...”

“นั่นสินะ... ญี่ปุ่น” ราเมนทร์พึมพำเบาๆแล้วก้มลงหอมแก้มนวลที่ขึ้นสีแดงก่ำ

...ขอแค่คุณมีความสุข...

...ผมก็ยินดี...

 

 








“โรงแรมแบบโบราณนี่บรรยากาศดีจังนะครับ” ธันย์ชนกพูดขึ้นพลางมองไปรอบๆ เขาเลื่อนมือเปิดบานประตูที่มองออกไปเห็นสวนญี่ปุ่นที่ตกแต่งไว้สวยงาม

“... ค่าโรงแรมแพงหรือเปล่าคุณราม”

“ไม่เท่าไหร่หรอก...” ตอบเสร็จชายหนุ่มที่เดินตามออกมาก็สูดลมหายใจเข้าเต็มปอดแล้วเป่าออกมาช้าๆ

...ต่อให้ราคาเท่าไหร่ หากได้มากับคนที่อยู่ด้วยแล้วมีความสุข เขาก็ยินดีจ่าย

“ยังหนาวอยู่เลยเนอะ แต่ที่นี่มีบ่อน้ำร้อนด้วย ไว้เย็นๆไปแช่ด้วยกันนะ”

“.... อ... อืม” เขาหันมาหาราเมนทร์แล้วแย้มรอยยิ้มให้ มาเที่ยวญี่ปุ่นคราวนี้อีกฝ่ายขอไว้ ทำให้ธันย์ชนกยอมไม่ใส่แว่นกรอบหนาปกปิดดวงตาสวย

“ธันอยากนอนพักก่อนเปล่า หรือว่าหิวแล้ว” ราเมนทร์เดินกลับเข้าไปในห้องหาสิ่งที่โรงแรมญี่ปุ่นส่วนใหญ่มักจะเตรียมไว้ให้นักท่องเที่ยว

“เอ... ยูคาตะนี่เค้าใส่เลยได้ไหมนะธัน หรือว่าต้องอาบน้ำก่อน”

“ผมว่า... อาบน้ำก่อนน่าจะดีนะครับ เพิ่งอาบน้ำร้อนมาแล้วใส่ยูคาตะจะสบาย... ครับ” ชายหนุ่มร่างเพรียวเดินตามเข้ามาโดยมีรอยยิ้มจางๆประดับอยู่บนใบหน้า

“ธันน่าจะใส่ยูคาตะขึ้นเนอะ” นัยน์ตาพราวระยับมองอย่างคาดหวัง ดูเหมือนว่าราเมนทร์จะหลงมนต์เสน่ห์ของญี่ปุ่นและยูคาตะเข้าแล้ว

“งั้นธันใส่นอนนะ”

“ด... เดี๋ยวก่อนสิครับ ใส่นอนจะสบายเหรอครับ... ผมไม่เคยนะ...” ธันย์ชนกร้องท้วงก่อนจะหลบมองไปทางอื่น ไม่รู้เพราะอะไร แต่สายตาของอีกฝ่ายทำให้ใบหน้าร้อนขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

“ก็น่าจะสบายนะ ผ้าบางๆเอง มาอยู่โรงแรมแบบนี้แล้วไม่ยอมใส่ก็เสียดายแย่สิ” มือใหญ่จับยูคาตะที่พับไว้คลี่ออก แล้วเดินเอามาคลุมร่างเพรียวไว้

“ลองใส่ดูก่อนไหม ใส่ทับเสื้อเลยก็ได้”

“ผมใส่ไม่เป็นนะครับ คุณรามใส่เป็นเหรอ...” หนุ่มนักเขียนขี้อายได้แต่ยืนเก้กังปล่อยให้อีกฝ่ายทาบผ้าลงมาบนตัว

“ใส่ไม่เป็นหรอก แต่ก็แค่พันๆแล้วเอาผ้าเล็กๆนี่ผูกไม่ใช่เหรอ” ชายหนุ่มทาบผ้าเอามาทบกันแล้วเอาสายคาดเอวผูกรอบ ท่อนแขนแข็งแรงโอบมาด้านหน้าก่อนตัวจะเดินตามแล้วคุกเข่าผูกปมให้

“ยากเหมือนกันแฮะ ปมนี่ต้องผูกยังไงรู้ไหมธัน”

“ไปถามพนักงานจะง่ายกว่าไหมครับ” เขาหัวเราะออกมาเบาๆ

“อืม... เดี๋ยวค่อยถามก็ได้ ธันหิวไหม เดินทางเพลียหรือเปล่า” ราเมนทร์ดึงธันย์ชนกให้ลงมานั่งบนเสื่อทาทามิแล้วแกะปมที่เขามัดไว้ให้

“แล้วก็นะ...ไอ้คำสุภาพกับที่เรียกผมว่าคุณรามๆน่ะ เลิกเถอะนะ...” น้ำเสียงอ้อนจางๆถูกย้ำพร้อมรอยจูบที่ผิวแก้ม

“....... ก็...... ชินแล้วครับ...” เขายิ้มบางๆให้อีกทีขณะเอียงใบหน้ารับจูบของอีกฝ่าย

“ก็หัดเรียกรามอย่างเดียวให้ชินสิ”

การที่ธันย์ชนกทำตัวสนิทสนมและยอมทำตามความเอาแต่ใจของเขานั้น... ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนหัวใจพองโต

ยิ่งได้อยู่ด้วยกันยิ่งทำให้ชอบมากขึ้นทุกที

...จนไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดที่ตรงไหน...

“ไหนลองสิ....”

“..... ราม......... ขำออกครับ” คราวนี้ธันย์ชนกหัวเราะออกมาเบาๆพร้อมกับใบหน้าที่เปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้น

อาการยิ้มแย้มผิดกับเมื่อก่อนเหมือนสิ่งที่ทำให้เขาภาคภูมิใจ... ว่าเป็นเพราะเขา คนๆนี้ถึงได้ยิ้มได้

“ขำตรงไหน แฟนกันเขาก็เรียกกันแบบนี้แหละ”

“.... ก็ผมไม่ชินนี่ครับ คุณรามห้ามผมไม่ได้หรอก....” ธันย์ชนกยังคงหัวเราะเบาๆ ไม่ใช่ว่าเขาเรียกไม่ได้ แต่ก็ยังรู้สึกเคอะเขินอยู่บ้าง และเพราะยังไม่มั่นใจในความสัมพันธ์ในตอนนี้สักที

“ก็ได้..ยังมีเวลาอีกเยอะ ไว้ผมจะทำให้เรียกรามเฉยๆให้ได้เลย”

 

 

 

 

To be continued...

 

kagehana :

สวัสดีค่ะ หายไปนานจนโดนย้ายมาห้องนิยายยังไม่จบเลย แง

จริงๆเรื่องนี้จบแล้วค่ะ แต่เราเอามาลงช้า สารภาพว่าลืม น้อมรับความผิดค่ะ /โค้ง

เอาเป็นว่า สำหรับคนที่ติดตามอ่านอยู่ตอนนี้ ก็ขอฝากตอนต่อๆไปด้วยนะคะ สัญญาว่าจะมาลงให้บ่อยที่สุดเท่าที่ทำได้ เพราะตอนนี้กำลังเริ่มโปรเจ็คภาค2กับดอกไม้อยู่ อิอิ

ขอให้สนุกกับการอ่านค่ะ
หัวข้อ: ・・・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・เพียงสองเรา ตอน32 (18/12/14)
เริ่มหัวข้อโดย: kagehana ที่ 18-12-2014 16:04:26
-32-



“ธันทานพวกปลาดิบได้ไหม” เสียงทุ้มดังขึ้นหลังจากเปิดเมนูดู แม้ว่าจะเป็นโรงแรมเก่าแก่แต่เพราะมีชื่อเสียงในหมู่นักท่องเที่ยวจึงมีเมนูภาษาอังกฤษไว้ให้ด้วย

“ได้ครับ” เขาเอ่ยตอบขณะที่ไล่สายตาไปบนเมนู

“แล้วธันเอาอะไรดี ผมเอาชุดปลาบุริย่างซอสแล้วกัน... อืม ซาชิมิด้วยไหม ที่มาบนเรือน่ะ” ราเมนทร์ชี้ชวนให้ดูภาพในเมนู

เขาชะโงกตัวไปดูก่อนจะยิ้มให้น้อยๆ

“เอาปลาหิมะย่างเกลือครับ... ซาชิมิด้วยก็ได้....”

ชายหนุ่มพยักหน้าแล้วหันไปพูดภาษาอังกฤษสั่งอาหารกับสาวเสิร์ฟในชุดยูคาตะ ตอนแรกนึกว่าต้องลำบากในการสื่อสาร แต่เพราะพนักงานมีภาษาที่ดีพอสมควรเลยไม่ยากลำบากนัก

“ที่นี่สงบดีนะ แต่ข้างนอกนี่บรรยากาศวาเลนไทน์มาเต็มๆ คนญี่ปุ่นนี่ขี้เห่อชะมัด แถมยังเป็นสาวๆให้อีกต่างหาก ถ้าเป็นที่ออสเตรเลียส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชายให้คนรักมากกว่า” ราเมนทร์พูดขึ้นหลังจากที่อยู่กันตามลำพัง

“...ธันชอบกุหลาบไหม...”

“...” คนถูกถามได้แต่ยิ้มออกมาจางๆก่อนจะส่ายศีรษะเบาๆ

“ผมไม่ค่อยชอบกลิ่นมันน่ะครับ ถ้าเป็นลิลลี่ก็โอเคครับ”

ลิลลี่...ดูจะเป็นดอกไม้ที่เศร้าไปหน่อย ถ้าเป็นกุหลาบขาวคงเหมาะกว่า...ราเมนทร์คิดในใจ

“แต่ธันกลิ่นพีช....” ราเมนทร์พูดเบาๆแล้วยิ้มอย่างมีความนัย จนคนฟังถึงกับออกอาการหน้าแดง

“ผมก็ชอบ กลิ่นพีช... หอมหวาน... แต่เศร้า..”

...เหมือนคุณ...

“............ คุณราม... พูดอะไร... ไม่รู้........... ครับ” เจอพูดเอาตรงๆแบบนั้นธันย์ชนกถึงกับหาคำพูดไม่ถูก จึงทำอะไรไม่ได้นอกจากหลบสายตาอีกฝ่าย

“ก็ธันตัวหอมเหมือนพีชเลยไง” ราเมนทร์พูดหน้าตาเฉยแถมยังยิ้มเหมือนไม่รู้อะไร

“อยู่ใกล้ๆแล้วรู้สึกดี”

คนฟังหยิบแขนตัวเองขึ้นมาแล้วลองตามอีกฝ่ายว่า

“แกล้งผม... รึเปล่าครับ... ไม่เห็นได้กลิ่นเลย”

ร่างสูงที่นั่งอยู่ข้างๆยืดตัวแล้วจรดจมูกโด่งลงบนหลังคอขาวพร้อมแนบจุมพิตเบาๆตาม

“ตรงนี้ก็หอม... ธันไม่รู้หรอก”

ธันย์ชนกสะดุ้งตัวพลางหันมามองอีกฝ่ายด้วยความตกใจ

“... ล... เล่นอะไรน่ะครับ”

“เปล่านี่ ไม่ได้ทำอะไร” คนพูดดึงตัวเองกลับแล้วนั่งทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้

“omataseshimashita” เสียงหวานหูดังขึ้นจากด้านนอกหลังจากที่ขอเปิดบานเลื่อนแล้ว หญิงสาวสามคนยกโต๊ะเล็กตั้งอาหารชุดและซาชิมิลำเลียงมาวางไว้กลางห้องพร้อมโค้งตัวทำความเคารพ

“...... คุณ........ ชอบแกล้งผมนะครับ.....” คิ้วของธันย์ชนกขมวดเข้าหากันเล็กน้อยพลางเบนสายตาไปมองอาหารที่ถูกยกมา

“ก็มีกันอยู่สองคนไม่แกล้งธันจะให้แกล้งใครล่ะ” ราเมนทร์พูดแล้วยิ้มหยอก

ชายหนุ่มรอจนพนักงานของโรงแรมออกไปหมดแล้วจึงเลื่อนตัวเองและถาดวางข้าวมานั่งใกล้ธันย์ชนก

“แต่ที่บอกว่าหอม...ผมพูดจริงนะ”

“!? อือ.... ผมไม่อยากพูดด้วยแล้วนะครับ” ชายหนุ่มผู้มีอายุมากกว่าท้วงคืนราวกับเด็กๆ อีกฝ่ายตั้งใจจะทำให้เขารู้สึกเขินอายไปจนถึงไหนกัน แค่นี้ก็รู้สึกว่าใบหน้าร้อนจนถึงไหนแล้ว

“ไม่พูดงั้นก็ทานข้าวกันดีกว่า....จะได้อาบน้ำเร็ว” คนขี้แกล้งหยิบตะเกียบขึ้นมาฉีกก่อนจะคีบชิ้นปลาเนื้อนุ่มเข้าปากด้วยแววตาเชื่อมแสง

...ที่ผมมีความสุขขนาดนี้...

...ก็เป็นเพราะคุณ...

 







 

“ถ้าเป็นบ่อรวมผมไม่เข้านะครับ” ธันย์ชนกเอ่ยบอกพลางหันมาค้อนให้กับคนที่คอยพูดแหย่เขาตลอดมื้ออาหารที่แสนอร่อย ตัวเองทานอะไรเข้าไปบ้างก็แทบจะไม่รู้รสเพราะมัวแต่เขินกับสิ่งที่อีกฝ่ายพูด

“ผมก็ไม่ให้เข้าเหมือนกันแหละน่า...ผมจองบ่อส่วนตัวไว้แล้ว”

ร่างสูงที่หอบหิ้วผ้าขนหนูกับชุดยูคาตะพูดแล้วยิ้มหวานให้อีกครั้ง

“รับรองว่าจะมีแค่ผมกับธันแน่นอน ผมสั่งสาเกมารอแล้วด้วย จิบสาเกไปแช่น้ำอุ่นๆตรงบ่อกลางแจ้งไป น่าจะดีนะ”

ราเมนทร์เลื่อนบานเลื่อนที่กั้นบ่อส่วนตัวเอาไว้ ข้างในเป็นห้องวางของพร้อมถังน้ำขนาดใหญ่เพื่อเอาไว้ล้างตัวก่อนลงแช่

“เดี๋ยวต้องถอดเสื้อผ้าล้างตัวตรงนี้ก่อนแล้วค่อยเปิดไปแช่ที่บ่อบ้ำร้อนอีกทีนะ”

ชายหนุ่มพูดจบก็ปิดบานเลื่อนด้านนอก ตัดโลกส่วนตัวให้เหลือเพียงสองคน

“...... ผมไม่เคยเข้านะ...” ธันย์ชนกเอ่ยพูดเสียงเบาพลางเดินตามเข้าไปแล้วรอให้อีกฝ่ายแนะนำ

“ผมก็ไม่เคย แต่เท่าที่รู้ต้องถอดเสื้อผ้าล้างตัวก่อน เอาของทั้งหมดไว้ส่วนที่เรายืนอยู่นี่ล่ะ แล้วก็เอาตัวกับผ้าขนหนูเล็กๆเข้าไปแช่... ขันไม้ด้วยก็ได้มั้ง ผมไม่แน่ใจเท่าไหร่” ราเมทร์พูดพลางปลดเครื่องแต่งกายของตนเองออก ยูคาตะที่เอามาถูกวางไว้บนชั้นวาง กายกำยำภายใต้เสื้อเผยผิวขาวแบบคนสุขภาพดีและมัดกล้ามที่ไม่มากไม่น้อยเกินไป

“ธัน... แอบมองผมอีกแล้ว”

“!? ผมเปล่า!” น้ำเสียงที่ใช้ดังขึ้นพร้อมๆกับใบหน้าที่เปลี่ยนสี

“..... ก็แค่.... ต้องทำอย่างไหนบ้าง... แค่นั้น”

“ถอดเสื้อผ้าก่อนเลย” ไม่พูดเปล่า ร่างสูงขยับตัวมาซ้อนด้านหลังแล้วดึงเสื้อที่ร่างบางสวมใส่ขึ้นเผยผิวช่วงท้อง

“ยกมือสิธัน”

“ไม่ต้องทำเหมือนผมเป็นเด็กๆ...... ก็ได้........” แม้ปากจะพูดอย่างนั้นแต่ธันย์ชนกก็ยกแขนขึ้นตามอีกฝ่าย

“ไม่ได้ทำเหมือนเป็นเด็กๆสักหน่อย... ที่ทำให้เพราะเป็นธันต่างหาก” พอถอดเสื้อเสร็จราเมนทร์ก็คุกเข่าลงเพื่อปลดกางเกงอีกฝ่าย

“เรื่องแค่นี้คนเป็นแฟนกันไม่ต้องมาคิดมากหรอก”

“.... ทำแบบนี้... ผมดีใจ... มาก... นะครับ” ใบหน้าของธันย์ชนกก้มลงมองพื้น ไม่กล้าที่จะสบตากับคนที่ย่อตัวลงนั่ง

“ดีใจอะไร” คนพูดยังคงก้มตัวลงรูดกางเกงออกจากปลายขาเรียว เขารอให้ธันย์ชนกยกขาขึ้น จากนั้นก็ยืดตัวเอาทั้งชั้นนอกและชั้นในใส่ไว้ในตะกร้าเดียวกัน

“ธันดีใจอะไรเหรอ...ผมไม่เห็นเข้าใจเลย” ปลายนิ้วสากเอาเส้นผมสีดำสนิททัดผมให้ก่อนที่จะแตะที่ผิวแก้มเบาๆ

“.... ไม่บอก... ครับ” ธันย์ชนกอมยิ้มน้อยๆพร้อมกับพวงแก้มสีเข้ม

...แค่คุณอยากทำให้...

...ผมก็ดีใจจนเหมือนจะลอยได้แล้ว...

“งกนะ” ราเมนทร์บ่นเนาๆแบบไม่จริงจัง

ร่างสูงจูงมือคงรักไปที่อ่างน้ำอุ่น เขาตักน้ำราดบนร่างกายเปล่าเปลือย หยาดน้ำสีใสกลิ้งบนแผ่นหลังเนียนลงสู่สะโพกเพรียวได้รูป ราเมนทร์ไม่รู้ว่าเป็นเพราะน้ำอุ่นหรือเพราะอาการเขินอาย ร่างทั้งร่างจึงออกสีจัดไปทั่วแบบนี้

“ชินได้แล้วน่าธัน เลิกเขินแล้วก็เลิกเรียกผมว่าคุณรามด้วย... นะ?” เขาหยอกคนรักด้วยน้ำเสียงรื่นเริง

“เรื่องนั้น... ห้ามได้... ที่ไหนครับ” เขาหันมาทำเสียงขุ่นใส่เมื่อรู้สึกว่ากำลังโดนหยอกอีกครั้ง ไม่รู้ว่าราเมนทร์อยากจะแกล้งจนเขาไม่พูดด้วยขึ้นมาจริงๆหรืออย่างไร

“งั้นเปลี่ยนกัน คุณราดน้ำให้ผมบ้าง” ราเมนทร์ส่งขันไม้ให้แล้วยืนนิ่ง

“เร็วสิธัน หนาวจะตายผมอยากแช่จะแย่อยู่แล้ว”

ธันย์ชนกยิ้มจางๆให้ก่อนจะหยิบขันไม้ขึ้นมาตักน้ำอุ่นแล้วค่อยๆรินรดลงบนร่างกายของราเมนทร์

ราเมนทร์ซึมซับความเอาใจใส่ที่ไหลผ่านสายน้ำที่รินรดร่างกาย น้ำอุ่นถูกราดเบาๆลงบนแผ่นหลังกว้าง... ตามด้วยมือนิ่มที่ช่วยลูบเบาๆ

“พอแล้ว... มากกว่านี้จะแย่เอานะธัน”

“... งั้น... โอเคแล้วนะครับ?” ธันย์ชนกขยับลุกขึ้นพลางวางขันไม้ลงคืนที่เดิม

“อืม ไปแช่น้ำกัน” ราเมนทร์หยิบผ้าขนหนูผืนเล็กมาพาดบ่า เพราะฝ่ามือนิ่มนวลนั้นแท้ๆเลยรู้สึกถึงอารมณ์ที่พุ่งพล่านไปทั้งร่าง

เขาหวังว่าน้ำร้อนจะพอช่วยดับได้บ้าง... แต่คงยากถ้ามีคนตรงหน้าแช่พร้อมๆกัน

“ธันเปิดบานเลื่อนเลย”

“ครับ...” รับคำเสร็จ มือก็เอื้อมไปเปิดประตูบานเลื่อนออก เผยให้เห็นบ่อน้ำร้อนขนาดเล็กที่น่าจะลงแช่ได้ไม่เกินสี่คน สมกับเป็นบ่อส่วนตัว

“หนาว....” บ่นเบาๆแล้วดึงร่างเพรียวเข้ามากอด ผิวกายหอมหวานถูกแอบสูดดมเบาๆก่อนจะกดริมฝีปากลงบนลาดไหล่

ขวดสาเกพร้อมจอกเล็กๆสองอันถูกวางไว้บนถาดไม้ข้างขอบหิน ท้องฟ้ากว้างเปิดโล่งให้ชมวิวของอากาศหนาวในวันวาเลนไทน์ ข้างบ่อมีต้นไม้เล็กๆปลูกไว้และรั้วกันสายตาที่ทำจากไม้ไผ่กั้นทุกอย่างไว้จากโลกส่วนตัว

“สวยจังเนอะ”

“อืม...” ธันย์ชนกปล่อยร่างกายไปตามสบายก่อนจะเอนศีรษะซบพิงคนที่กอดเขาไว้จากด้านหลัง กลิ่นหอมๆของน้ำร้อนบวกกับธรรมชาติที่งดงามทำให้รู้สึกผ่อนคลาย

เขากอดธันย์ชนกแล้วพาเดินไปยังบ่อน้ำร้อน ราเมนทร์คลายอ้อมกอดแล้วกดบ่าธันย์ชนกเบาๆ

“เขาบอกว่าต้องแช่เท้าปรับอุณหภูมิก่อน... จะได้ไม่ร้อนเกินไป” พูดจบก็ทำเป็นตัวอย่างด้วยการหย่อนขาลงบ่อน้ำร้อน

ร่างบางค่อยๆย่อตัวลงบ้างก่อนจะค่อยๆหย่อนปลายเท้าลงในน้ำร้อน

“ผมนึกว่า... คุณรามเคยมาบ่อยๆ... ถึงได้เลือกมาอีก....” เขาเปรยขึ้น

“ผมไม่เคยมาญี่ปุ่นหรอก ส่วนใหญ่ไปๆมาๆระหว่างอเมริกา ออสเตรเลีย แล้วก็ไทยมากกว่า”

พอเริ่มปรับอุณหภูมิได้ ร่างสูงก็เลื่อนตัวลงในบ่อก่อนจะวนมายืนตรงหน้าคนที่ยังไม่ได้ลง ชายหนุ่มกอดเอวบางของคนรักแล้วซบศีรษะลงกับตักที่มีผ้าขนหนูผืนบางคลุมอยู่

“มาที่นี่ครั้งแรก...กับธันเป็นคนแรกด้วย...”

...อยากเอาใจใส่ให้มากกว่านี้...

...เพราะสิ่งที่ธันย์ชนกมอบให้ช่างมากมายเหลือเกิน...

“....” ความรู้สึกดีใจก่อตัวขึ้นอีกครั้ง มือข้างหนึ่งยกขึ้นวางบนศีรษะอีกฝ่ายก่อนจะลูบเบาๆ

“..... ขอบคุณครับ”

...ผมดีใจ...

...ที่ได้ยินอย่างนั้น...

มืออบอุ่นของธันย์ชนกให้ความรู้สึกดีทุกครั้งที่สัมผัสเขา ตั้งแต่เล็ก... เพราะเป็นพี่คนโตที่มีน้องตัวเล็กขี้อ้อน จึงเป็นฝ่ายถูกอ้อนมากกว่า อีกทั้งพ่อและแม่ยังรู้ดีว่าเขาสามารถดูแลตัวเองและน้องได้จึงเลี้ยงดูแบบค่อนข้างปล่อย พอเกิดเรื่องอุบัติเหตุ... เขาเองก็เลือกที่จะดูแลทั้งน้องและตนเองโดยไม่พึ่งพาใคร

เขาไม่เคยอ้อนใคร... และไม่เคยมีความต้องการอย่างนั้น

...แต่พอเจอธันย์ชนก ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป

ธันย์ชนกเหมือนเป็นกุญแจที่ไขเปิดประตูในสิ่งที่เขาต้องการ ความรู้สึกแฝงที่ซ่อนเร้นจนเจ้าตัวลืมไปแล้ว... ว่าการที่เป็นฝ่ายถูกดูแลมันเป็นอย่างไร

“ธันรักผมเยอะๆ... แทนคำขอบคุณนะ...”

...ผมรักคุณมากขนาดไหน...

...คุณคงยังไม่รู้หรอกครับ...

ธันย์ชนกยิ้มจางๆให้แทนคำตอบรับ เพราะตัวเองนั้นมีความรักให้อีกฝ่ายอยู่แล้ว กลับกัน เขาอยากให้อีกฝ่ายมีความรักให้เขาด้วย ทั้งคำพูดและการกระทำของราเมนทร์ คล้ายกับจะสื่อแทนความรู้สึก ทว่าในใจนั้น ธันย์ชนกก็ยังรู้ดี ว่าคนที่ราเมนทร์มอบหัวใจให้นั้นคือใคร

“... ขอบคุณ.... ครับ”

“ธันนี่ดื้อนะ บอกว่าไม่ต้องขอบคุณแล้วแท้ๆ” ราเมนทร์เงยหน้าขึ้นสบตาแล้วดึงร่างเพรียวให้ลงมาด้วยกัน

ชายหนุ่มจูบเบาๆที่ผิวแก้มแดงเปล่งปลั่งก่อนจะปล่อยมือออก

“ร้อนๆอย่างงี้... กอดไว้ธันคงอึดอัดแย่”

“ถ้าไม่กอดจนแน่น.... ก็ไม่อึดอัดหรอกครับ” ชายหนุ่มตอบเสียงเบาพร้อมกับรอยยิ้มจางๆ

“งั้นแสดงว่าอยากให้กอดล่ะสิ” ราเมนทร์พูดยิ้มๆแล้วกอดอีกครั้ง

ปลายคางสากวางบนลาดไหล่ขาว ริมฝีปากหยักสวยงับเบาๆที่ใบหูนิ่ม ธันย์ชนกที่อยู่แนบกายให้ทั้งความรู้สึกเย้ายวนและน่ารักจนบอกไม่ถูก

“อยากกอดธันทั้งอย่างงี้เลย...” เสียงแหบพร่ากระซิบข้างหู

“ม... ไม่เอาครับ” คนถูกคุกคามรีบหันมาร้องห้ามแทบจะทันที ยิ่งเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าอีกฝ่าย คิ้วก็ยิ่งขมวดเข้าหากัน

“ไม่เห็นมีใครเลย...แล้วผมจองไว้ ถ้าไม่เรียกไม่มีใครเข้ามาด้วย” แก้มหอมๆถูกลวนลามด้วยจมูกโด่งนับครั้งไม่ถ้วน ราเมนทร์จ้องมองนัยน์ตาสีเข้มของธันย์ชนกด้วยแววตาสื่อความหมาย

“แต่ถ้าธันไม่ชอบ...ผมไม่ทำก็ได้”

“มาแช่บ่อน้ำร้อนนะครับ... ไม่เอา...” ธันย์ชนกเปลี่ยนโทนเสียงให้เข้มขึ้นก่อนจะหันมามองหน้าราเมนทร์ตรงๆ ในแววตาคล้ายกับจะบอกว่าไม่ยอมแน่ๆ

“ไม่เห็นเป็นไรเลย” คนกอดบ่นเบาๆแล้วปล่อยมือออก ราเมนทร์พิงตัวเองกับขอบบ่อแล้วเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่เริ่มเข้าสู่ยามโพล้เพล้

“จะมืดแล้วด้วย ทีคราวที่แล้วตอนเช้ายังได้เลย....” คนถูกห้ามบ่นอุบเหมือนเด็กเอาแต่ใจ

“....... มัน... ไม่เหมือนกันครับ....” เขาเอ่ยตอบเสียงนิ่งก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ

...ถ้าตอบว่าได้...

...จะทำให้คุณรักผมขึ้นมาบ้างหรือเปล่า...

“ล้อเล่นน่า” พอธันย์ชนกแสดงอาการที่เปลี่ยนไปก็เหมือนหัวใจถูกบีบ

...ขอโทษนะ...

...ที่ผมทำให้ลำบากใจ...

“ขอโทษนะธัน ผมบอกแล้วไงว่าอะไรที่ธันไม่ชอบผมจะไม่ทำ” ราเมนทร์ลูบแก้มเบาๆก่อนจะจูบที่หน้าผาก

“เปลี่ยนเป็นชนแก้วกันดีกว่า” ราเมนทร์เอื้อมหยิบถาดไม้ที่วางบนโขดหินมาถือไว้ในมือ เขารินเหล้าลงจอกเล็กๆแล้วยื่นส่งให้

คำพูดของอีกฝ่ายเรียกรอยยิ้มบนใบหน้าของชายหนุ่มร่างบางคืนมา

“ไม่เอาแล้วล่ะครับ... ผมดื่มทีไร... เป็นเรื่องทุกที”

“แค่นี้ไม่เมาหรอก คราวนี้ผมไม่ให้คุณเมาแน่” มือใหญ่หยิบจอกเล็กขึ้นแตะริมฝีปากสีสวย

“จิบนิดเดียวก็ได้... นะ..”

ริมฝีปากบางเผยอออกเล็กน้อยก่อนจะจิบสาเกจากจอกเพียงนิดเดียว ทว่ารสชาติกลับแผ่ซ่านไปทั่วลิ้น

“นิดเดียวแล้วครับ...”

“อือ” ราเมนทร์ยกจอกที่ยังเหลือมาจรดริมฝีปากที่รอยเดิมด้วยความจงใจ เขาสบสายตาเยิ้มฉ่ำของธันย์ชนกแล้วยกขึ้นดื่มจนหมด

หยาดสาเกสีใสที่เปื้อนริมฝีปากถูกปลายลิ้นชุ่มชื่นปาดเข้าปากจนหมด ราเมนทร์ดื่มด่ำรสขมของเหล้า... และรสหวานที่หลงเหลือจากริมฝีปากตรงหน้า

“อร่อยดีนะ..”

ธันย์ชนกค่อยเอนศีรษะพิงกับขอบบ่อก่อนจะหลับตาลงช้าๆ ดื่มด่ำกับเสียงของธรรมชาติและสายน้ำ พร้อมๆไปกับความรู้สึกที่มีให้คนข้างๆ ถ้าอยู่ด้วยกันแบบนี้ไปเรื่อยๆ ราเมนทร์จะรักเขาได้เอง

...กว่าจะถึงวันนั้น...

...ผมจะรอไหวไหมนะ...

ร่างสูงปล่อยให้ธันย์ชนกดื่มด่ำกับความเงียบสงบ เขาจิบสาเกอีกแก้วช้าๆพลางลอบมองคนที่อยู่ข้างๆ

...คุณอยู่กับผมแล้วมีความสุขเพิ่มมากขึ้นหรือเปล่า...

เขาปล่อยให้คำถามนั้นดังก้องอยู่ในหัวและความเงียบงันแทนคำตอบ ไอน้ำร้อนและน้ำอุ่นๆที่ไม่เกิดแรงไหวทำให้หัวใจสงบลง... และคิดทบทวนเรื่องราวต่างๆได้ชัดเจนขึ้น

...ทำไมผมถึงได้แค่ชอบคุณนะ...

...บางทีผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน...

“.... ราม” จู่ๆธันย์ชนกก็เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ ใบหน้าหวานไม่ได้หันมาหา นัยน์ตาคู่สวยยังคงปิดสนิท

“... ขอบคุณนะที่พาฉันมา....”

คนฟังที่ได้รับคำขอบคุณ...ที่เปลี่ยนแปลงไป ได้แต่นิ่งฟังเสียงน้ำที่กระเพื่อมจากการขยับตัวของตน

พออีกฝ่ายยอมเรียกชื่ออย่างเดียว...หัวใจเหมือนจะเต้นแรงขึ้น

...ดีใจอย่างบอกไม่ถูก...

“ขอกอดได้ไหมธัน...กอดเฉยๆ...แค่คุณอยู่ในอ้อมกอดผม”

ไม่มีคำตอบจากฝ่ายตรงข้าม แต่คนที่นอนพิงกับขอบบ่อกลับขยับตัวช้าๆ แขนข้างหนึ่งเอื้อมมาโอบรอบเอวของราเมนทร์เบาๆก่อนจะซบใบหน้าลงกับลาดไหล่กว้าง

ชายหนุ่มที่อายุน้อยกว่าโอบกอดเบาๆ และไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าจูบแผ่วๆบนเส้นผมเปียกชื้น

ขอแค่ช่วงเวลานี้... มีอยู่ตราบนานเท่านาน

...ในสถานที่ที่มีเพียงเราสอง






To be continued...

หัวข้อ: Re: ・・・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・เพียงสองเรา ตอน32 (18/12/14)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 18-12-2014 18:04:21
รามธันนี่เป็นอะไรที่หน่วงมาก
เป็นกำลังใจให้คนเขียนจ๊ะ
หัวข้อ: ・・・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ หวง ตอน33 (25/12/14)
เริ่มหัวข้อโดย: kagehana ที่ 25-12-2014 14:02:03
หลังจากอาบน้ำร้อนจนเสร็จเรียบร้อย ราเมนทร์และธันย์ชนกก็กลับมาที่ห้องพักในชุดยูคาตะที่ทางโรงแรมเตรียมไว้ให้ ร่างเพรียวบางขยับไปนั่งลงที่ริมชาน รับเอาลมเย็นๆยามค่ำคืนให้รู้สึกสดชื่นมากขึ้น

“คิดอะไรอยู่เหรอ” ร่างสูงในชุดยูคาตะเดินเข้ามานั่งข้างๆแล้วเอนตัวลงนอนแผ่บนพื้นจนชายเสื้อด้านบนแหวกเห็นแผ่นอกกำยำ

“.... คิดว่า... ถ้ารามรักฉัน... ทริปนี้คงวิเศษที่สุดเลย...” พูดจบธันย์ชนกก็รีบยกมือขึ้นปิดปากก่อนจะหันหน้าไปอีกทางหนึ่ง

...ไม่ควรพูดอะไรแบบนั้นออกไป...

“ผม... ขอโทษ.... คิดเสียว่าผมไม่ได้พูดอะไรนะครับ......” ไม่พูดเปล่า ร่างบางขยับลุกขึ้นทันทีก่อนจะหันตัวกลับ

“.... ผม... ไปนอนก่อนนะครับ.....”

“เดี๋ยวธัน!” มือใหญ่รีบคว้าข้อมือของธันย์ชนกแล้วกระตุกให้เจ้าตัวเซล้มลงมาในอ้อมกอด

“ขอโทษนะที่ทำให้คุณคิดแบบนั้น” ราเมนทร์พูดเสียงเบาด้วยความรู้สึกที่อัดแน่น

...แน่นอนว่าการที่เมื่อรักใครสักคน ย่อมหวังที่จะให้อีกฝ่ายมีความรู้สึกเดียวกันตอบแทน... การกระทำของเขาในตอนนี้ที่เอาแต่รับความรักของธันย์ชนกไม่ต่างอะไรกับคนเห็นแก่ตัวที่หลอกใช้ความรู้สึกของคนที่เรียกว่าคนรักกัน

...และทำร้ายคนที่รักเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า...

“ผมอยากให้คุณมีความสุข... เพราะผมชอบคุณมาก... มากเกินกว่าที่ผมจะชอบใครคนนึงได้อีก มันอาจจะน้อยเกินไปเมื่อเทียบกับที่คุณรักผม... แต่ผมในตอนนี้ คนเดียวที่อยากจะอยู่ด้วยกันตลอดเวลาก็คือคุณนะ”

ผม... ที่ไม่สามารถพูดว่ารักคุณได้... จะยังดีพอสำหรับคุณไหม

หยดน้ำตาหลั่งไหลออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ กระทั่งเจ้าตัวก็ยังไม่รู้สึก คำพูดที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมาทำให้ความรู้สึกนั้นเต็มตื้นไปหมด

“..... ครับ” กระทั่งน้ำเสียงยังสั่นไหว ทั้งๆที่เขารู้ดีว่าราเมนทร์มอบหัวใจให้ใครไปแล้ว แต่ก็มีความสุขกับคำพูดของอีกฝ่ายเหลือเกิน

...ความรัก...

...ทำไมถึงต้องเจ็บปวดขนาดนี้...

...ทั้งๆที่มีความสุข...

...แต่ผม ก็ยังเจ็บปวด...

มือใหญ่จับใบหน้าสวยให้เงยขึ้นก่อนจะจูบเบาๆที่เปลือกตาซับหยาดน้ำตาที่ไหลริน

“ถ้าธันไม่รักผม... ผมต้องอยู่ไม่ได้แน่ๆ”

...รัญชน์ไม่รัก...ผมยังมีคุณที่คอยอยู่เคียงข้าง...

...แต่ถ้าคุณไม่รัก...

...ผมคงไม่เหลือใคร...

“ผมเป็นมนุษย์เห็นแก่ตัวที่โชคดีที่สุดในโลก... เพราะมีคุณนะ”

ถ้อยคำที่ได้ยินกลับฟังหวานจนเรียกรอยยิ้มคืนมาบนใบหน้า

...ผมคงบ้าไปแล้วจริงๆ...

“ถ้าคุณอยู่กับผม... ผมจะรักคุณ... ครับ”

“ผมจะอยู่กับธันอย่างนี้... จนกว่าธันจะเบื่อเลย” ราเมนทร์ซุกจมูกลงบนลำคอขาวแล้วขยับริมฝีปากไล่จูบร่องไหปลาร้าเนียนแล้วแช่ไว้บนหัวไหล่มนที่โผล่พ้นเสื้อยูคาตะ

“ยังรู้สึกไม่ดีเวลาผมกอดอยู่หรือเปล่า....”

“ผม... ไม่เคยบอกนะครับ... ว่ารู้สึกไม่ดี..........” เขารีบเอ่ยปฏิเสธทั้งใบหน้าสีเข้ม

“ก็ธัน...กลัว...” ราเมนทร์งับเบาๆตรงที่รอยริมฝีปากประทับ หากแต่มือกลับสอดเข้าไปในชายที่ทบซ้อนกัน

“ผมเป็นห่วงความรู้สึกของธันนะ...อยากให้คุณมีความสุขด้วย..”

รอยยิ้มเขินอายปรากฏขึ้นบนใบหน้าสวย

“รามอยู่กับฉัน..... ฉันก็มีความสุข....”

“มักน้อยจัง...ก็เคยบอกแล้วว่าให้เอาแต่ใจมากกว่านี้ก็ได้” รอยยิ้มหวานของคนรักทำเอาอดไม่ได้ที่จะก้มลงไปจูบเบาๆ

“แต่ที่เรียกว่ารามเฉยๆนี่ดีแล้วนะ...ผมชอบ”

“ก็..... ฉันขอให้รามรักฉันไม่ได้นี่....” แม้จะพูดแบบนั้น แต่รอยยิ้มก็ไม่ได้หายไปจากใบหน้าของธันย์ชนก

“.........ขอโทษนะ...” เป็นฝ่ายราเมนทร์เองที่เงียบไป เพราะเขาทำไม่ได้อย่างที่ธันย์ชนกบอกจริงๆ

“ตอนนี้ไม่ได้...ไม่ได้แปลว่าตลอดชีวิตจะไม่ได้...” เขาพูดเสียงแผ่วพร้อมนัยน์ตาเชื่อมแสง

...สักวัน...

...ผมคงรักคุณได้แน่ๆ...

“... อืม...” เขายกมือขึ้นแตะใบหน้าของคนที่รักหมดหัวใจ

“ถ้ารามอยู่ด้วย.... ฉันจะรอ”

“รอผมนะ...” ร่างเพรียวถูกรวบกอดแน่นขึ้นก่อนจะเอนลงวางกับพื้นนอกชาน

ยามราตรีในคืนอากาศหนาวโชยกลิ่นหอมจางของดอกไม้ประดับสวน แสงดาวนับพันดวงทอแสงอ่อนโยนแทนที่พระจันทร์สีนวลตาบนท้องฟ้าสีดำสนิท

“ถ้ามันเป็นจริงเมื่อไหร่...ผมจะบอกว่ารักธัน...แทนที่วันนี้ที่ผมไม่ได้พูด..ให้มากกว่าหลายเท่า..”

“...... อืม...” ริมฝีปากขยับเข้าจูบอีกฝ่ายแผ่วเบาแทนคำสัญญา

...ถ้าคุณอยู่กับผมแบบนี้...

...ผมก็จะรักคุณไปเรื่อยๆ...

...อย่างไม่มีที่สิ้นสุด...

ร่างสูงตอบรับคำสัญญาแสนหวานด้วยจุมพิตหวานล้ำ ราเมนทร์ดึงผ้าที่ผูกเอวยูคาตะของธันย์ชนกช้าๆจนเลื่อนหลุด มือใหญ่ยกปลายผ้าขึ้นจูบเบาๆก่อนจะดึงสาบที่ทบกันออก

“ตรงนี้...นะ?”

“.......” ธันย์ชนกตอบคำถามด้วยการพยักหน้าเบาๆ

...ผมจะรักคุณได้มากกว่านี้อีกไหม...

...แค่ตอนนี้...

...ผมก็ไม่คิดว่าจะอยู่ได้แล้ว...

...ถ้าไม่มีคุณ...

สายลมหนาวที่พัดผ่านร่างของคนทั้งสองไม่อาจต้านทานความเร่าร้อนในยามที่อารมณ์แสนหวานดำเนินไป กายที่สอดประสานสร้างความอบอุ่นบนผิวเนื้อที่ไม่มีผ้าห่มผืนใดในโลกจะทำได้

...อุ่น..ไปถึงหัวใจ...

 

 

“... ชาผลไม้ร้านนี้อร่อยจังนะ... ว่าไหมครับ” ธันย์ชนกเอ่ยขึ้นหลังจากจิบชาร้อนขึ้นชิม-- หลังค่ำคืนแสนหวาน เช้าวันวาเลนไทน์เลยชวนกันออกมาเดินเล่นรับบรรยากาศที่รอบข้างมีแต่คู่รักเดินเคียงกัน

“อืม รสชาติใช้ได้เลย ขนมก็อร่อย” ราเมนทร์จิ้มวัฟเฟิลร้อนๆราดเมเปิ้ลไซรัปเข้าปากแล้วยิ้มหวานให้

แม้การที่ผู้ชายหน้าตาดีสองคนจะมานั่งกินขนมในร้านแบบคาเฟ่จะดูแปลกไปบ้าง แต่ก็ถูกบรรยากาศของวาเลนไทน์ปกคลุมจนแทบจะกลืนไปกับกลุ่มคู่รักที่อยู่ในร้าน

“ธันสั่งเค้กมากินด้วยหรือเปล่า หรือจะแบ่งกัน?”

“เช้าๆผมไม่ค่อยกินหรอกครับ คุณรามทานเถอะ” เขายิ้มให้จางๆก่อนจะยกชาขึ้นจิบอีกครั้ง

“งั้นทีหลังเวลาผมไปค้างที่ห้อง คุณก็ไม่ต้องตื่นมาทำข้าวให้ผมก็ได้นะ...ผมไปหาเอาข้างนอกง่ายกว่า คุณจะได้นอนเต็มอิ่มด้วย” ราเมนทร์พูดพร้อมกับตักไอศกรีมวานิลลาเข้าปาก

“หรือให้ผมทำไว้ให้ก็ได้ เห็นแบบนี้ผมก็ทำเป็นนะ”

ถ้าราเมนทร์สังเกต จะเห็นว่าร่างบางค้อนให้หนึ่งที

“ผมอยากทำให้ครับ....”

“ก็ผมกลัวคุณเหนื่อยนี่ ไม่ต้องมาค้อนเลยธัน” มือใหญ่เอื้อมจับผิวแก้มนิ่มแล้วดึงเบาๆ

“ต้องอยู่ด้วยกันอีกนาน...ผมก็ต้องเอาใจคุณบ้างเป็นธรรมดา”

“ทำเหมือนผมเป็นเด็กๆไปได้...” เขาทำเสียงขุ่นเก็บอาการเขินของตัวเอง

“นั่นมันก็เรื่องของคุณ... แต่ผมอยากทำให้.... คุณจะมาห้ามผมได้ยังไง”

“ไม่ห้ามก็ได้ แต่...ขอบคุณนะธัน” ราเมนทร์พูดแล้วก้มลงดูดลาเต้เย็นในแก้วแก้เขิน

“เดี๋ยวผมต้องไปแวะหาซื้อของฝากรัน..กับไอ้หมอบ้านั่นด้วย เดี๋ยวทานเสร็จไปกันนะ”

เป้าหมายของราเมนทร์อยู่ที่ร้านที่เขาหาจากในอินเตอร์เน็ต...และเซ็กส์ช็อปที่อยู่ละแวกเดียวกัน

...อยากเห็นหน้าตอนเปิดดูชะมัด...

“ได้สิ” นักเขียนหนุ่มยิ้มกว้างขึ้นเมื่อเห็นอาการเขินของอีกฝ่ายบ้าง

“ธันมีอะไรอยากซื้อเป็นพิเศษหรือเปล่า มาญี่ปุ่นทั้งที...จะซื้อไปฝากเพื่อนหรือพวกกองบ.ก.มั่งไหม”

“..... คุณรามอยากได้อะไรล่ะครับ” ธันย์ชนกเป็นฝ่ายถามกลับแทน จะเพื่อนหรือใคร... เขาก็ไม่มีแล้วทั้งนั้น

“ก็พวกอควอเรียมจำลอง เกม ผงอาบน้ำฝากรัน แล้วผมอยากได้ชากับพวกอโรม่า...ธันเอาชาไหม เห็นที่ห้องซื้อติดไว้ประจำ”

...ชาพีชที่หอมหวาน...

“งั้น... ผมซื้อให้คุณนะครับ” ร่างบางเอ่ยยิ้มๆ

“อย่าลืมชาพีชนะ...ผมชอบ” รอยยิ้มที่ส่งไปแปลความหมายไปถึงคนที่มีกลิ่นพีชติดตัว ซึ่งนั่งหน้าแดงอยู่ตรงหน้าเขา

“ธัน...เกิดวันที่เท่าไหร่เหรอ”

“6มิถุนาครับ” ธันย์ชนกตอบพร้อมรอยยิ้มอีกครั้ง

“งั้นวันเกิดธันปีนี้... เรากลับมาฉลองที่นี่กันอีกนะ” มือใหญ่เลื่อนกุมมือที่จับหูแก้วชาร้อนเบาๆ นัยน์ตาสีน้ำตาลอมเทามองสื่อความหมายอันลึกซึ้ง

“...สัญญานะธัน....”

“... ครับ... สัญญา....” ชายหนุ่มร่างบางยิ้มจางๆ พวงแก้มขึ้นสีเข้มขณะเอื้อมมืออีกข้างไปแตะหลังมือของราเมนทร์

“ห้ามผิดสัญญานะ”

 

 

“ธัน...อาจจะลำบากใจนิดหน่อย แต่ผมอยากแวะที่นี่น่ะ” เสียงทุ้มพูดอ้อมแอ้มขณะชี้มือไปยังร้านที่ตกแต่งเป็นสีชมพูหวานแหว..และแปะป้ายร้านที่คนทั่วโลกต่างเข้าใจว่าขายอะไรในนั้น

ราเมนทร์ที่หอบของที่ซื้อให้รัญชน์เต็มสองมือยิ้มเจื่อนๆ เพราะรู้ดีว่าอย่างธันย์ชนกคงไม่กล้าเข้าไปเป็นเพื่อนแน่

“เอ่อ..เพื่อน...มันฝากซื้อนะธัน ผมไม่ได้เอาเอง”....ถ้าไม่ติดว่าพูดไว้แล้ว เขาคงไม่มาเหยียบที่นี่แน่

...ตุ๊กตายาง...

...ของไอ้หมอกวนตีนนั่น...

“ผม... รอข้างนอกได้ไหม” เป็นไปตามคาด ธันย์ชนกมีสีหน้าลำบากใจขึ้นมาแทบจะทันที

“ธันไม่ไปเป็นเพื่อนกันหน่อยเหรอ....” นัยน์ตาสีน้ำตาลมองอ้อน

“เผื่อว่าธันอยากได้อะไรในนั้นไง”

คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันพร้อมใบหน้าอันแดงก่ำ

“ผมจะไปอยากได้อะไรล่ะครับ??”

“ก็..ก็ไม่รู้เหมือนกัน” ราเมทร์พึมพำแต่กลับคว้าข้อมืออีกฝ่ายไว้แน่น

“พวก..ช็อกโกแลต...มั้ง...”

“ร้านแบบนี้มีขนมด้วยเหรอครับ... ผม... ไม่เข้าไปไม่ได้เหรอครับ” คราวนี้ธันย์ชนกลองถามเสียงอ่อนลง

เพราะใบหน้าสวยที่แสดงความลำบากใจ ราเมนทร์เลยยอมปล่อยข้อมือออกพร้อมวางถุงของไว้ที่ปลายเท้า

“งั้นคุณนั่งรอหน้าร้านก็ได้ เดี๋ยวผมฝากของไว้...จะรีบออกมานะ”

หน้าร้านเป็นกระจกใส ถ้าคอยมองไว้คงไม่เป็นไร..

ธันย์ชนกนั่งลงที่เก้าอี้ด้านนอกก่อนจะมองที่ร้านอีกครั้ง ให้จินตนาการภาพตัวเองเข้าไปยังนึกไม่ออกเลยด้วยซ้ำ

“Excuse me, do you speak English?” เสียงที่ดังจากด้านหน้าเรียกให้ร่างบางเงย

หน้าขึ้นมอง ชาวต่างชาติตัวโตกับกระเป๋าเป้สะพายหลัง

...ถามทางละมั้ง...

“Yes.”

“Ah! Great! You see-- I'd like to go to Venus fort. Can you show me the way?”

...ขอโทษนะครับ...

“I'm sorry. But I'm not Japanese.” ธันย์ชนกยิ้มจางๆให้พร้อมกับก้มหัวเล็กน้อยเป็นการขอโทษ

“Oh. I see. Where are you from?”

...ทำไมต้องถามอีกครับ...

...ก็ไปถามทางคนอื่นสิ...

“Thailand. There is an information center down this way. I think they can help you”

“Really? I've never been to Thailand before”

ดูท่าทางว่าจะตัดบทไม่ได้ง่ายๆเสียแล้ว จะให้เดินหนีเข้าร้านเดี๋ยวก็หาว่าคนไทยไม่มีน้ำใจอีก

 

 

ข้างในร้านดูดีกว่าที่คิดไว้ สินค้าต่างๆจัดวางเป็นระเบียบอยู่บนชั้น แสงไฟสีนวลส่องให้ร้านดูสว่าง และแม้จะมีเซ็กส์ทอยวางโชว์อยู่ตามจุดต่างๆแต่ก็ตกแต่งแบบน่ารักมากกว่าจะน่ากลัว...

“...ทำไมมันเยอะอย่างงี้วะ” ใช่ว่าไม่เคยรู้เรื่องอุปกรณ์พวกนี้ แต่เพราะทั้งสีสัน หน้าตา รวมไปถึงขนาดมันดูเยอะกว่าที่เคยคิดไว้

“Moshiwakegozaimasenga...ano...” จู่ๆเสียงเล็กๆจากทางด้านหลังก็ดังขึ้น

สาววัยรุ่นที่เป็นพนักงานร้านมองหน้าเขาพลางยิ้มแย้มพูดจาภาษาต่างดาวใส่ ราเมนทร์ยิ้มหวานให้แล้วรีบตอบไปเป็นภาษาอังกฤษว่าไม่เป็นไร เธอถึงได้ยอมเดินไปหาลูกค้าคนอื่น

นอกจากเขาแล้วยังมีคู่รักที่กำลังเลือกของเล่นอยู่อีกคู่ และกลุ่มเด็กสาวที่ยืนหัวเราะคิกคักกับเลิฟบีทซึ่งพนักงานสาวกำลังเปิดเครื่องให้ดู

ราเมนทร์เดินไปแถวหน้าร้านหวังจะไปดูพวกเซ็กซี่ช็อกโกแลต แต่เพราะตรงหน้าร้านที่ธันย์ชนกนั่งอยู่ตอนนี้...มีฝรั่งตัวสูงกำลังยืนอยู่ด้วยท่าทางที่ไม่น่าไว้ใจ

...เวรเอ๊ย!...

ร่างสูงรีบเดินออกนอกร้านแล้วเข้าไปหาธันย์ชนกทันที เขาโอบไหล่ร่างบางเบาๆเป็นภาษาสากลที่บอกได้โดยที่ไม่ต้องพูดอะไร

“มันทำอะไรน่ะธัน เห็นยืนอยู่ตั้งนาน”

“?! เขามาถามทาง แล้วก็ชวนคุยน่ะ...” ธันย์ชนกที่กำลังลำบากใจกับบทสนทนาที่หาทางตัดยาก ก็ต้องตกใจกับร่างสูงที่เข้ามาโอบไว้

“Oh. Sorry sorry! Thank you thank you” ดูเหมือนสายตาคมและบรรยากาศที่แผ่คลุมจะทำให้ชาวต่างชาติคนนั้นตัดสินใจถอยออกไป

“แล้วก็ไปคุยกับเขาอีกเนอะ...ธันนี่ปล่อยไว้ไม่ได้เลย” ใบหน้าหล่อเหลายังคงบูดบึ้งแถมท่อนแขนยังกระชับแน่นเข้า

“ไม่เอาแล้ว เข้าไปร้านด้วยกันดีกว่า นั่งตรงนี้เดี๋ยวมีใครมาจีบอีก”

...ผมหวง...

...ถ้าพูดแบบนั้นออกไป คุณจะหาว่าผมงี่เง่าหรือเปล่า...

“ก็แค่ถามทางนะครับคุณราม...” ชายหนุ่มผู้มีอายุมากกว่ารีบท้วงขึ้นทันที ราเมนทร์กำลังคิดมากไปหรือเปล่า

“ผมหวง...” หลุดปากไปแล้วจะเอาคืนก็ไม่ได้ ชายหนุ่มเลยจำใจเก๊กหน้าขรึมแล้วถือทั้งของดึงทั้งคนมายืนที่ประตูหน้าร้าน

“มีช็อกโกแลตด้วย ขนมอื่นก็มี ธันไปดูแถวนั้นก็ได้ ผมซื้อแป๊บเดียว”

เพราะคำที่อีกฝ่ายหลุดปากออกมาทำให้ธันย์ชนกไม่ปฏิเสธอะไร เขายอมก้าวเข้าร้านแล้วไปยืนอยู่ตรงโซนที่ขายขนมแทน

...หวงผมเยอะๆแบบนี้...

...ผมมีความสุขนะครับ...

ราเมนทร์เลือกของฝากแฟนของน้องชายอย่างรวดเร็ว ในตอนแรกนึกว่าต้องเดินถือกลับไปเองแต่ที่ร้านกลับมีไปรษณีย์ข้ามประเทศ เขาเลยกล้าแถมของฝากพิเศษไปอีกสองชิ้นให้ส่งที่ที่อยู่ไอ้หมอบ้าที่ขอรัญชน์ไว้ล่วงหน้าแล้ว

...นี่ยังปรานีนะไอ้หมอ ที่ไม่ส่งไปโรงพยาบาลน่ะ

รอยยิ้มร้ายผุดขึ้นขณะรูดการ์ด ก่อนที่เขาจะเดินไปหาคนรักที่มีที่ท่าสนใจช็อกโกแลตที่วางอยู่ในกระจาดเล็กๆสีฟ้าหวาน

“เสร็จแล้ว..นั่นเซ็กซี่ช็อกโกแลตนะธัน เอาไปลองชิมไหม”

“เอ๋? คืออะไรเหรอครับ” เขาหันมามองคนถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ ถึงจะบอกว่าเป็นช็อคโกแล็ตแต่ชื่อของมันก็ไม่น่าไว้วางใจเท่าไหร่เลย

ราเมนทร์หยิบช็อกโกแลตขึ้นมาดูก่อนจะยิ้มกว้าง

“ก็ช็อกโกแลตนี่แหละ...แต่แบบ..ธันก็รู้มาบ้างใช่ไหมว่าช็อกโกแลตมันทำให้ผ่อนคลายแล้วก็มีส่วนช่วยกระตุ้นเรื่องเซ็กส์น่ะ...”

นี่ยังดีว่าร้านนี้ไม่มีแบบที่ผสมยาปลุก ไม่งั้นคงได้อธิบายอีกยาว

“แล้วก็...มันทำเป็นรูปตรงนั้นของผู้ชายแล้วก็หน้าอกผู้หญิง...เลยเรียกว่าเซ็กซี่ช็อกโกแลต”

“... ไม่เอาหรอกครับ... น่าอายจะตายไป...” ไม่ใช่แค่พูดออกมา แต่ใบหน้ายังแดงไปถึงไหนต่อไหน

“ซื้อไปเก็บไว้เล่นๆเป็นที่ระลึกก็ได้ เนอะ?” ราเมนทร์หยิบขึ้นมาใส่ตะกร้า5-6กล่องแล้วหยิบลูกอมที่อยู่ข้างๆขึ้นมา

“ลูกอมรสจูบ...เชื่อสิว่าหวานสู้จูบธันไม่ได้หรอก” ถึงจะพูดอย่างนั้นลูกอมรูปริมฝีปากก็ถูกโยนไปรวมกับช็อกโกแลต

“............. ผมไม่พูดด้วยแล้วครับ!” พอโดนรุกแบบไม่ทันตั้งตัวแบบนั้น ธันย์ชนกก็หันหนีเดินออกจากร้านแทบจะทันที

“ไม่ต้องเขินหรอก ไม่มีใครฟังเราพูดรู้เรื่อง... คิดอย่างนี้สิ” ราเมนทร์รั้งแขนเรียวไว้แล้วยิ้มให้

“ไปจ่ายตังค์กันดีกว่า ธันเอาอะไรเพิ่มไหม”

...แค่ของกินเล่นๆยังเป็นแบบนี้...

...ขืนพาไปเดินดูเซ็กส์ทอยมีหวังเขินหน้าแดงเป็นกุ้งแน่...

“..... ไม่เอา... ครับ” ร่างบางตอบเสียงเบาแล้วหันหน้าหนี

“งั้นผมไปจ่ายเงินก่อนนะ” ราเมนทร์ยิ้มหวานให้คนรักก่อนจะเดินไปที่เค้าน์เตอร์

...บางที...

...กุหลาบวาเลนไทน์คงกำลังมาถึงห้องพักแล้ว...

 

 

 

 

 

 

To be continued...
หัวข้อ: : ・・・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ Chapter 34 Be my valentine..[03/01/15]
เริ่มหัวข้อโดย: kagehana ที่ 03-01-2015 17:03:17
-34-





“Happy Valentine's Day” น้ำเสียงหวานติดจะออดอ้อนเล็กน้อยเอ่ยขึ้นข้างหูคนที่ยังหลับอยู่ ในมือถือคุกกี้ช็อคโกแล็ตทำเองกับดอกกุหลาบสีแดงสดพร้อมยื่นให้คนรักที่กำลังจะตื่นเต็มที่

“ตัดหน้าอีกแล้ว...แต่ก็ขอบคุณนะตัวเล็ก” ธนกฤตลุกขึ้นนั่งพิงขอบเตียงแล้วรับทั้งของทั้งคนให้เข้ามาในอ้อมกอด

“นึกว่าได้ช็อกโกแลต ลงท้ายก็คุกกี้เหมือนเดิม...” แซวแล้วใช้จมูกโด่งกดที่แก้มขาวเบาๆแทนคำขอบคุณอีกครั้ง

“ไหนๆก็วาเลนไทน์ทั้งที ในฐานะที่พี่หมอเป็นคนโรแมนติกที่สุดในโลก....ตัวเล็กหลับตาก่อนนะ”

“เอ๋? พี่หมอจะให้อะไรเหรอ... ขี้โกงอีกแล้วนะ อยู่ด้วยกันเกือบตลอด ไปแอบซื้อได้ไงนะ” แม้ปากจะพูดไม่หยุด แต่นัยน์ตากลมโตก็ปิดลงตามคำขอของอีกฝ่าย

“ก็ไม่ได้แอบไปตอนนี้สักหน่อย คนเขาเตรียมพร้อมซื้อไว้นานแล้วต่างหาก” คนพูดเลื่อนลิ้นชักข้างเตียงออกแล้วหยิบกล่องสีแดงออกมา

ปลายนิ้วหยาบหยิบแหวนขึ้นมาอย่างทะนุถนอมก่อนจะสวมลงไปบนนิ้วนางข้างขวาซึ่งอยู่ในฝ่ามือ

...แหวนทองคำขาว...ที่สลักว่าBeam & Ran...

“สุขสันต์วันแห่งความรัก...รักกันตลอดไปนะ...” ริมฝีปากทาบทับลงบนแหวนและหลังมือนุ่มนวลอย่างอ่อนโยน แทนหมื่นล้านคำพูดที่อยากจะบอก

...promise ring...

...ที่จะไม่แยกจากกัน...

“... นิสัยไม่ดี.... นะ....” เนื้อแหวนที่เย็นเฉียบพลันอบอุ่นเพียงแค่สัมผัสเบาๆ หยดน้ำใสๆเอ่อล้นออกมาจากดวงตาคู่สวยทว่ารัญชน์กลับไม่คิดจะปาดมันออกไป

...เพราะเป็นน้ำตาแห่งความยินดี...

“...... รัก... นะ... ที่สุดเลย....”

ธนกฤตรวบร่างเล็กเข้ามากอดอีกครั้งพร้อมจุมพิตหวานล้ำซับน้ำตาบนใบหน้าเปื้อนยิ้ม

“อื้อ...รักรันที่สุดเหมือนกัน...”

...แค่มีคำบอกรักด้วยเสียงของคนๆนี้...

...อนาคตข้างหน้าไม่มีอะไรต้องกลัวแล้ว...

“...ทีนี้... นะ... ถึงพี่หมอจะไล่... รันก็ไม่ยอมจะไปแล้วนะ...” ตัวขี้อ้อนเงยหน้าขึ้นมองแล้วโอบรอบลำคออีกฝ่ายไว

“ไม่มีทางหรอก จะอยู่ให้รันกอดไปตลอดชีวิตเลย” ธนกฤตจูบที่หน้าผากมนเบาๆ

“ข้างในแหวนมีสลีกชื่อด้วยนะ..ชื่อเราสองคน...”

“ดีจัง... ชอบมากเลยนะ... ขอบคุณนะพี่บีม...” รอยยิ้มหวานปรากฏขึ้นบนใบหน้าก่อนจะเป็นฝ่ายโถมตัวเข้าจูบอีกฝ่ายเบาๆ

'Trrrr Trrrrrrr '

ไม่ทันที่หมอหนุ่มจะได้จัดการกับตัวขี้อ้อน เสียงโทรศัพท์ที่วางอยู่ใกล้ตัวกลับดังขึ้นก่อน หน้าจอที่มีไฟสว่างโชว์เบอร์และใบหน้ายิ้มๆของผู้เป็นบิดา

“ป๊าโทรมา...แป๊บนะรัน”

ราเมนทร์กอดคนรักไว้แนบอกแล้วกดรับโทรศัพท์

“หวัดดีครับป๊า สุขสันต์วันวาเลนไทน์”

-ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ สุขสันต์วันแห่งความรักเหมือนกันบีม- ปลายสายเงียบไปพักหนึ่ง อาจจะเพราะไม่เคยคุยกันตรงๆตั้งแต่เรื่องคราวนั้น

แม้ว่าจะไปเยี่ยมแต่ก็เป็นธิวรางค์ที่ชักชวนพูดคุยมากกว่า เพราะบรรยากาศที่เมื่อปล่อยให้ตัวเขาอยู่กับบิดาเพียงสองคนมันอึมครึมเกินไป น้องสาวตัวดีเลยไม่ยอมเปิดประเด็นเรื่องคนรักของพี่ชายแล้วเพลย์เซฟด้วยการเป็นหัวข้อสนทนามากกว่า

...นานเท่าไหร่แล้วที่ไม่ได้คุยเล่นกันแบบนี้...

“ป๊า...”ธนกฤตเรียกเสียงเบา เขารู้ดีว่าธงเป็นคนอย่างไร..และเข้าใจตัวตนของเขามากแค่ไหน

-บีม..พรุ่งนี้วันเกิด..บีมจะมาที่บ้านไหม-

เสียงของผู้เป็นพ่อเจือความอ่อนโยนและห่วงใยไว้ในน้ำเสียง จนคนได้ยินคิดถึงจนแทบทนไม่ไหว

“ไปสิป๊า เดี๋ยวบีมซื้อข้าวไปกินกันนะ จะไปแต่เช้าเลย” พูดจบก็หันมามองคนรักที่อิงแอบอยู่

“รัน...พรุ่งนี้พี่ไปที่บ้านนะ...”

รัญชน์ได้แต่พยักหน้าเงียบๆ พี่ชายของเขาก็ยังไม่กลับ ส่วนตัวเขาเองถ้าไม่มีธนกฤตก็คงต้องอยู่คนเดียวไปก่อน

“งั้น รันอยู่นี่นะ กลับบ้านไม่มีใครอยู่...”

“อื้อ...” พอเห็นดวงตาที่โศกลงก็อยากจะขอโทษ แต่ก็ทำได้เพียงรับคำเบาๆเท่านั้น

“ป๊างั้นพรุ่งนี้--”

-อยู่กับรันเหรอลูก- ธงแทรกเสียงขึ้นมา

“ครับป๊า..ตอนนี้อยู่กับรัน”

-งั้น...พรุ่งนี้เราก็ชวนรันมาที่บ้านด้วยสิ ป๊าอยากขอบคุณเรื่องคุกกี้...มาทานข้าวพร้อมๆกัน- ธงพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ต่างจากเดิม...เป็นป๊าผู้ใจดีของบีมและแบม

“พาไปได้เหรอป๊า...ให้รันไปด้วย?” ธนกฤตรู้ดีว่าเสียงของตัวเองปิดความดีใจไม่มิด จนนัยน์ตาสีเข้มหรี่หยีเป็นรูปจันทร์เสี้ยว

“รัน...ป๊าบอกว่าให้รันไปกินข้าวด้วยกันนะ”

คราวนี้เจ้าของชื่อมีสีหน้าตกใจขึ้นมาแทบจะทันที รอยยิ้มค่อยๆฉายขึ้นบนใบหน้าก่อนจะรีบพยักหน้าแรงๆ

“อื้อ... ไปนะ... ไป...”

“ป๊า...งั้นพรุ่งนี้บีมกับรันจะไปหานะป๊า เดี๋ยวให้รันอบคุกกี้ไปด้วย”

-อืม...แล้วพรุ่งนี้เจอกันนะบีม อ่อ เจ้าแบมเขาฝากบอกว่าถ้าไม่ใช่คุกกี้ช็อกโกแลตใส่ช็อกชิพ...ไม่ให้เข้าบ้านแน่- ชายสูงวัยหัวเราะเบาๆตามด้วยเสียงตัดพ้อของธิวรางค์

“ครับ “

-บีม...- น้ำเสียงแผ่วเบาของบิดาเรียกความสนใจจากคนฟัง

-ป๊าอยากให้บีมจำไว้ ว่าป๊ารักบีมและบีมก็เป็นลูกที่ป๊าภูมิใจเสมอนะ แค่นี้ล่ะ...พรุ่งนี้เจอกัน สุขสันต์วันวาเลนไทน์..ขอให้บีมมีความรักที่สวยงามนะ-

เสียงสัญญาณถูกตัดไปแต่ความซาบซึ้งใจกลับห่อหุ้มตัวของธนกฤตเอาไว้อย่างอบอุ่น เขาวางโทรศัพท์ลงข้างกายแล้วกดใบหน้าลงบนกลุ่มผมสีอ่อนอันนุ่มนวลของคนรัก

“ดีจังเลยรัน...”

“อือ ดีจัง... ดีจังนะ... พ่อจะไม่ว่าแล้วใช่ไหม...” นัยน์ตากลมโตหวานเยิ้มก่อนจะโอบกอดร่างสูงเอาไว้แน่น

“... จะไม่เป็นไรแล้ว... ใช่ไหม”

“ยังไม่รู้หรอก...แต่พี่คิดว่าคงไม่มีอะไรแล้ว” ธนกฤตลูบเบาๆที่แหวนวงเกลี้ยงในนิ้วของคนรัก

“แต่ไม่ต้องกลัวนะ...เราสัญญากันไว้แล้วนี่”

...สัญญา...

...ว่าจะไม่แยกจากกัน...

“อื้อ รันต้องเอาอะไรไปไหม ทำคุกกี้ขิงอีกดีไหมนะ” ใบหน้าหวานเงยถาม

“แบมมันฝากบอกว่า...ถ้าไม่ใช่คุกกี้ช็อกโกแลตใส่ช็อกชิพเยอะๆจะไม่ให้เข้าบ้านล่ะ”

“งั้น... รันทำสองแบบเลยนะ ดีไหม... ของพี่แบม แล้วก็ของพ่อนะ...” ร่างเล็กรีบลุกขึ้นจากเตียงและอ้อมกอดทันที

“ไปซื้อของทำคุกกี้กันนะ”

“ยังเช้าอยู่เลย” ธนกฤตกลิ้งตัวไปหาผ้าห่มบนเตียงแล้วซุกใบหน้าลงกับมัน ดอกกุหลาบสีแดงโชยกลิ่นหอมสดชื่น...แต่ไม่หอมเท่าผิวกายของใครบางคน

คนตัวเล็กกระโดดเข้าใส่ร่างสูงที่นอนอยู่

“อย่าขี้เกียจนะ!”

“ไม่ได้ขี้เกียจสักหน่อย”ร่างสูงกอดคนที่ทุ่มตัวเข้าหาไว้แน่นแล้วลูบแผ่นหลัง..แกล้งไล้มือเรียกเสียงครางเบาๆ

“รุกกันแต่เช้าเลยนะรันนะ” ธนกฤตแกล้งทำเสียงเล็กล้อเลียน

พอโดนสัมผัสถูกจุด ร่างบางก็เกิดอาการหมดแรง ตัวอ่อนยวบลงในอ้อมกอดแข็งของคนรัก

“อือ.... รันเปล่า... นะ”

“ไม่แกล้งแล้วก็ได้” ชายหนุ่มดึงรัญชน์มากอดอีกครั้งแล้วลุกนั่ง

“แต่พี่มีไปโรงบาลตอน9โมงถึงเที่ยง งั้นตัวเล็กรอครึ่งวันได้ไหมแล้วจะมารับ..นะ..”

“อื้อ... ได้” รัญชน์ยิ้มหวานให้ก่อนจะตามมากอดอีกฝ่ายจากด้านหลัง แล้วหอมแก้มเบาๆซ้ายขวา

“ตั้งใจทำงานนะ”

“ได้กำลังใจแบบนี้สู้ตายเลยครับ”

 

 








...พลาดซะแล้ว...

ราเมนทร์ยืนมองช่อกุหลาบขาวที่ตกแต่งอย่างน่ารักซึ่งเขาให้บริษัทส่งดอกไม้มาส่งให้ที่โรงแรม

 

“ธันชอบดอกไม้อะไรเหรอ...”

“ลิลลี่สีขาวครับ...” ธันย์ชนกเอ่ยตอบพร้อมรอยยิ้มจางๆ

 

..ไม่น่าเลย...

ถ้าไม่ถามคงไม่ต้องคิดมากอย่างนี้ กุหลาบขาวที่คิดว่าเหมาะกับธันย์ชนกที่สุดและตัดสินใจสั่งไปเรียบร้อยตั้งแต่วันแรกที่มาถึง แถมยังเปลี่ยนไม่ทันเมื่อได้ยินที่บอกชอบลิลลี่......และในเมื่อเจ้าตัวชอบลิลลี่ ช่อดอกไม้นี้ก็คงไม่พิเศษอีกแล้ว

ราเมนทร์ถอนหายใจยาว นัยน์ตาสีน้ำตาลอมเทาจ้องมองกลีบสีขาวอมเขียวของกุหลาบแสนสวย

...จะให้หรือไม่ให้ดี...

“คุณราม...” เสียงนุ่มดังขึ้นจากในห้องแต่งตัว ธันย์ชนกเข้ามาเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดยูคาตะสบายๆที่ให้ใส่ในโรงแรมตามคำขอของอีกฝ่าย

“เสร็จแล้วครับ”

ราเมนทร์หันไปหาทั้งอย่างนั้น โดยไม่ทันแม้แต่จะซ่อนช่อดอกไม้

“เอ่อ..ธัน...” กุหลาบในมือถูกยื่นไปตรงหน้า

“ผม...ไม่รู้ว่าคุณชอบลิลลี่..เมื่อวันก่อนผมเลยสั่งกุหลาบขาวมาให้...ขอโทษนะ”

“..................” นัยน์ตาคู่สวยจ้องมองช่อดอกไม้แสนสวยด้วยความรู้สึกคล้ายกับบินได้

“... แค่ให้..... ก็ขอบคุณแล้วครับ”

“ก็ผมอยากให้คุณได้ของที่ชอบที่สุดนี่นา... แต่ว่า... สุขสันต์วันวาเลนไทน์นะธัน” ราเมนทร์ยื่นช่อดอกไม้ให้ และเมื่อธันย์ชนกรับเขาก็ดึงร่างเพรียวเข้ามากอดเบาๆ

“...ผมดีใจที่เราเป็นแฟนกัน...ยังไงก็ฝากตัวด้วยนะ”

“..... พูดอะไรขนาดนั้นครับ....” เพราะว่าเขินกับคำพูดของอีกฝ่ายถึงได้ถามกลับแทน

“วาเลนไทน์นี้... ผมก็... มีคุณแล้ว... ไงครับ”

“ไม่ยักรู้ว่าธันเองก็หวานเหมือนกัน” ราเมนทร์กอดร่างบอบบางอีกครั้ง

...บางทีกลิ่นพีชที่หวานเศร้า...

...อาจจะไม่ต้องอยู่เดียวดายอีกแล้ว...

“จะปีหน้า หรือปีไหนๆ... วาเลนไทน์ของผมก็จะให้คุณ...”

ธันย์ชนกไม่กล้าตอบรับคำบอกนั้น ทั้งๆที่มันสลักลงไปในหัวใจของเขาเสียแล้ว ใบหน้าแดงก่ำมีเพียงรอยยิ้มแทนคำตอบคำหวานนั้น

...ขอบคุณครับ...

...ที่ทำให้ผมมีความสุขขนาดนี้...

 

 

'Trrrrr Trrrrrrrrrr'

 

คงไม่แปลกนักที่เสียงโทรศัพท์จะดังในยามค่ำคืน แต่เพราะการดังต่อเนื่องกว่าครึ่งชั่วโมงแบบนี้ทำให้นายแบบหนุ่มที่เพิ่งหลับไปไม่ถึงลิมิตของตนอดหัวเสียไม่ได้

เขางัวเงียคว้ามาดู เบอร์ +66 ที่ไม่ค่อยคุ้นตา...แต่รู้ดีว่าจากประเทศไหน

...ก็เล่นให้คนรักของตัวเองหนีกลับไปที่นั่นเป็นว่าเล่น ต่อให้ใครก็รู้ล่ะน่า

“วิน! หายงอนแล้วเหรอ” เอริครีบรับแล้วกรอกเสียงลงไป

-วินอะไร? นี่ฉันเองนะ!- เสียงปลายสายฟังเริงร่าแม้จะคล้ายกับดุๆในทีแรก

“ฉันไหนวะ...” เอริคสบถเบาๆก่อนจะนึกได้ทันที

“หรือว่ารัน?? ใช่ไหม เปลี่ยนเบอร์เหรอ ตอนนี้อยู่ไทย?” น้ำเสียงทุ้มรัวเร็วตามสาย

-อื้อ กลับมาแล้ว เป็นไงมั่งนะ- เสียงปลายสายยังคงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเริงร่า

...ตั้งแต่เลิกกัน ก็ไม่ได้เจอหน้ากันอีกเลย

 





 

“Hi guys-- I'm Ran” เด็กผู้ชายตัวเล็กเจ้าของดวงตากลมโตยิ้มกว้างพลางยกมือขึ้นโบกทักทายกับเหล่านางแบบนายแบบที่กำลังแต่งหน้าทำผมกันอยู่

“He's from Thailand and he'll be part of the shooting today. Be nice with him children.”

นัยน์ตาสีเทาเหล็กละความสนใจจากหน้านิตยสารขึ้นมามองทันทีที่ได้ยินคำว่าไทยแลนด์ เอริคเหลือบตามองเด็กใหม่ที่แทบเรียกได้ว่าเป็นเด็กชายเท่านั้น เขามองไปทางโปรดิวเซอร์เพื่อสื่อสายตาว่าจะเอาจริงหรือ...และคำตอบที่ได้คือนัยน์ตาที่จริงจัง

...ไอ้เด็กนี่เนี่ยนะ...

เอริคที่แต่งหน้าทำผมเรียบร้อยแล้วลุกจากหน้ากระจกก่อนจะเดินไปหาไอ้ตัวเล็กหน้าสวย เขาหยุดยืนอยู่อย่างงั้นโดยที่ไม่พูดอะไร...มีเพียงดวงตาที่สบกันเท่านั้น

...หน้าตาเอาเรื่องเหมือนกันนี่ไอ้เปี๊ยก...

“Hi, I'm Ran” ริมฝีปากสีอ่อนฉีกยิ้มกว้างจนดวงตาหยีเรียวเป็นเส้นโค้งพลางยื่นมือมาข้างหน้า

“I'm Eric” มือใหญ่เอื้อมไปจับพร้อมกับบีบเบาๆแทนคำทักทาย

“มาจากไทยเหรอ” น้ำเสียงภาษาไทยที่ไม่ชัดเท่าไหร่เอ่ยถามต่อ

“??? อ เอ๋?? คนไทยเหรอ!! โห ตัวโตจัง” รัญชน์มีท่าทีตื่นเต้นขึ้น ไม่คิดว่าจะได้เจอคนที่พูดภาษาบ้านเกิดของตัวเองได้ที่นี่ เพราะดูอย่างไรอีกฝ่ายก็ไม่มีเค้าเลยสักนิดเดียว

“ครึ่งฝรั่งเศสน่ะ” เอริคยิ้มนิดๆ ไอ้ท่าทีตื่นเต้นจนออกนอกหน้านี่ยังไงก็เด็กชัดๆ

“แล้วนาย..น้อง..ไม่สิ หนูอายุเท่าไหร่แล้ว” อีกฝ่ายดูเด็กมาก จนคนที่ไม่ค่อยชินกับภาษาไทยสับสนว่าควรเรียกแทนว่าอะไรดี

“14แล้ว เรียกหนูทำไมนะ” คนฟังมีสีหน้าไม่พอใจขึ้นมาเล็กน้อย คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันแทบจะทันที

...14แล้วยังตัวแค่นี้เนี่ยนะ

เอริคเอื้อมมือไปขยี้ผมเด็กน้อยที่ยืนทำหน้ายุ่งอยู่ตรงหน้า

“14ก็เด็ก...ไม่ให้เรียกเด็กว่าหนูแล้วจะให้เรียกอะไร”

“อ๋า--! อย่าขยี้นะ!!” เด็กตัวเล็กเอื้อมมือหมายจะปัดออกแต่เอื้อมเท่าไหร่ก็ไม่ถึงตัว

มือใหญ่หยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะยกอีกข้างมาช่วยขยี้ รอยยิ้มบนใบหน้ายิ่งกว้างขึ้นเมื่ออีกฝ่ายทำหน้าขัดใจพร้อมกับโวยวาย

“แล้วมาถ่ายเซตไหน ของฉันบีชซัมเมอร์”

“เอ๊ย---!! ปล่อยสิ!!!! เมื่อกี้เค้าบอกว่าจะให้ใส่เดรสริมทะเลนะ” ยิ่งถูกแกล้งก็ยิ่งดิ้นมากขึ้น

คราวนี้คนฟังอึ้งไปพักใหญ่ เพราะถ้าเป็นถ่ายริมทะเลก็มีหวังเซตเดียวกันแหง แต่เท่าที่รู้มา...จริงๆต้องเป็นเขากับนางแบบสาววัยรุ่นไม่ใช่เหรอ

“นี่เป็นผู้ชายหรือผู้หญิงเจ้าเปี๊ยก ไหนผู้จัดการฉันบอกว่าถ่ายกับสาวไง”

“ก็... จะรู้ไหมนะ อย่ามาเรียกเจ้าเปี๊ยกน่า เขาสั่งให้มาฉันก็มานะ” เด็กหนุ่มยังคงขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ

นัยน์ตาสีสวยด้วยคอนแทคเลนส์จ้องมองใบหน้าเล็กๆที่แสดงอาการดื้อดึง เอริคยิ้มจางๆให้แล้วกระซิบเบาๆ

“เจ้า...เปี๊ยก”

 

 

เอริคไม่อยากจะเชื่อตัวเองว่าจะมองเด็กที่แกล้งจนตาค้างได้แบบนี้ ร่างบอบบางในชุดแบบที่ทั้งผู้หญิงผู้ชายใส่ได้เดินยิ้มหวานคุยกับช่างแต่งหน้า เส้นผมสีอ่อนถูกรวบเป็นทวินเทลต่ำๆดูน่ารักน่าทะนุถนอมจนไม่อยากเชื่อว่าเป็นคนเดียวกับไอ้เปี๊ยกคนนั้น

รัญชน์รู้สึกถึงสายตาที่มองมาจึงหันไปหาก่อนจะจ้องตาอีกฝ่ายนิ่ง

“เอริค...” เขาเรียกเบาๆพลางหันไปลาช่างแต่งหน้าแล้วเดินเข้ามาหา

ทันทีที่อีกฝ่ายเรียกชื่อ เอริคก็คว้าตัวเด็กหนุ่มให้เดินมาด้วยกัน สถานที่ที่ยังเซตและเช็คไฟไม่เสร็จเปิดโอกาสให้นายแบบทั้งคู่หลบฉากออกไปได้อย่างง่ายดาย

เอริคพารัญชน์มายังแนวร่มไม้ใกล้หาดทราย ทะเลที่เงียบสงบไม่มีสำเนียงใดๆเร่งให้หัวใจดูจะเต้นผิดปกติ

“มีอะไร?” ใบหน้าหวานเงยขึ้นมองอีกฝ่ายด้วยความแปลกใจ

“อยากจูบ” คนถูกถามตอบโต้งๆแล้วก้มใบหน้าเข้าใกล้

“เคยหรือยัง?”

“หา... อะไรนะ??” คำว่าจูบที่อีกฝ่ายพูดนั้นรัญชน์ไม่แน่ใจว่าหมายถึงอะไร

“kiss ไงล่ะ” คนตัวสูงพูดจบก็สาธิตวิธีทำกับริมฝีปากสีชมพูอ่อนที่ถูกเคลือบกลอสไว้เบาๆ เขารั้งร่างเล็กให้เข้ามาอีกนิดแล้วขยับใบหน้าให้รับกับจุมพิตที่เร่าร้อน

“สตรอว์เบอร์รี่...กลอสเหนียวชะมัด” นัยน์ตาเชื่อมแสงพราวระยับรับกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

นัยน์ตาสีอ่อนมองอีกฝ่ายนิ่งก่อนจะกระพริบมองช้าๆ ถ้าเป็นจูบล่ะก็ไม่เคยแต่กลับไม่ได้รู้สึกเกลียด รู้สึกวูบวาบเสียด้วยซ้ำ

“... อีกที... นะ”

นายแบบรุ่นพี่หัวเราะเบาๆตามด้วยรอยยิ้มหวาน เขาตอบรับคำขอของเด็กหนุ่มตรงหน้าด้วยจุมพิตดูดดื่มไม่แพ้กับครั้งแรก

“อ้าปากสิ...จะทำให้รู้สึกดีกว่านี้อีก” เอริคที่ผละจูบออกมาพูดเบาๆด้วยน้ำเสียงแหบห้าว

ริมฝีปากบางเผยอออกช้าๆขณะที่ปลายเท้าเขย่งขึ้นหาคนที่ตัวสูงกว่ามาก มือสองข้างเอื้อมไปยึดเสื้อของเอริคไว้

จูบหวานๆปนความร้อนแรงของวัยรุ่นถูกมอบให้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอ

และหลังจากวันนั้น....ความสัมพันธ์ก็เดินไปในรูปแบบที่แตกต่าง...ที่เรียกว่ารักครั้งแรก

...

-ตอนนี้อยู่ไหนนะ Franceหรือเปล่า- รัญชน์เอ่ยถามต่อ

“เปล่า ตอนนี้อยู่มิลาน” เอริคตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

ตั้งแต่เลิกรากันไป... ถึงจะเป็นเพื่อนกันแต่ก็ห่างกันมากจนแทบไม่ค่อยได้ติดต่อ หลายครั้งที่อยากจะโทรหา... และสานสัมพันธ์ต่อ แต่เพราะจบไม่ค่อยสวยเลยไม่อยากเจ็บซ้ำอีก

...จนเมื่อได้เจอเชฟฝึกหัดขี้วีนแสนเอาแต่ใจคนนั้น...

...รวินทำให้เขาเข้าใจความรัก...ที่มากกว่าหลงเหมือนตอนเด็กๆ...

“แล้วไปอยู่เลยหรือเปล่า หมู่นี้ไม่เห็นงานถ่ายแบบเลย”

-เปล่าอะ มาพักปีเดียวแหละ คิดถึงงานถ่ายแบบแล้วล่ะ- ไม่พูดเปล่าซ้ำยังหัวเราะเบาๆ

“คิดถึงก็กลับมาสิ แฟนๆนายเยอะจะตาย ไม่มีผู้ชายคนไหนใส่กระโปรงได้น่ารักเท่านายหรอก ผู้จัดการฉันยังบอกเลย”

“อีกสองวันจะไปง้อคนที่ไทย ไปทำงานด้วย มาทำด้วยกันไหม”
-ได้เหรอ เอาสิ เดี๋ยวพาแฟนไปด้วย-
 
น่าแปลกว่าคำว่าแฟนของรัญชน์ไม่มีผลต่อจิตใจเขาสักนิด ตรงกันข้าม...กลับรู้สึกยินดีที่อีกฝ่ายมีคนรักแล้ว

“เดี๋ยวถึงแล้วจะไปหา ใช้เบอร์นี้นะ”

-อือ ใช้เบอร์นี้แหละ โทรมานะ- น้ำเสียงหวานฟังร่าเริงขึ้นทันทีที่คิดว่าจะได้เจอกันอีกครั้ง

“โอเค แล้วไว้เจอกันนะ” เอริคตอบกลับแล้วกดวาง

...พอดีเลย...

...กลับไทยคราวนี้คุ้มจริงๆ...

To be continued...





kagehana :

ยังหวานต่อไปให้ทำใจเยอะๆ อิอิ

หัวข้อ: ・・・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ Chapter 35 สายลม..และพายุ [05/01/15]
เริ่มหัวข้อโดย: kagehana ที่ 05-01-2015 15:33:03



-35-







“..... คุกกี้พร้อมแล้ว.....” รัญชน์พูดเบาๆขณะถือกล่องคุกกี้ไว้บนตัก น้องบูบู้คันเก่งเข้ามาจอดในบริเวณบ้านหลังใหญ่แล้ว แต่ก็ยังไม่ทำให้คนตัวเล็กหายตื่นเต้นได้

“แล้วตัวเล็กคนดีของพี่หมอพร้อมยัง” คนที่เดินตามมาโอบไหล่คนรักไว้เบาๆเพื่อให้กำลังใจ

ไม่ง่าย...กับการกลับมาในที่ๆเคยทำให้มีความทรงจำไม่ค่อยดี

...แต่เขาเชื่อว่าอย่างน้อยที่สุด วันนี้คงดีกว่าคราวนั้น

“ป๊าคงรอในห้องนั่งเล่นมั้ง ไปกราบป๊ากันนะ”

“โอเคนะ... โอเคแหละ...” เขาหันมายิ้มให้คนรักก่อนจะกระชับมือที่ถือกล่องคุกกี้ไว้ให้มั่น แล้วเดินตามไป

ธนกฤตเปิดประตูเข้าไปในตัวบ้านที่ตกแต่งแบบเรียบง่ายอย่างที่มารดาเขาชอบ หมอหนุ่มพาคนรักเดินไปที่ห้องทานข้าวที่อยู่ติดกับครัวเพราะเสียงตะหลิวนำทาง

ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่บนโต๊ะซึ่งรายล้อมด้วยอาหารหลายอย่างมองมายังคนที่เดินเข้ามาใหม่พร้อมรอยยิ้มขรึมๆ

“ป๊าหวัดดีครับ” เพราะตัวเองก็ยังเกร็งอยู่เลยไม่หยอกล้อเหมือนเมื่อก่อนเกิดเรื่องคราวนั้น

ธนกฤตแตะที่หลังคนรักแล้วดันเบาๆเพื่อให้รัญชน์เดินเข้าไปหาธง

“รันเอาขนมมาฝากน่ะป๊า”

“สวัสดีครับ” เพราะว่าตื่นเต้นทำให้เด็กหนุ่มเผลอพูดเสียงดังก่อนจะเดินเข้าไปแล้วยื่นกล่องคุกกี้ให้

“ผมทำคุกกี้แบบที่พี่แบมบอกว่าอยากได้ แล้วก็คุกกี้ผสมงามาให้คุณพ่อครับ”

“ขอบใจมาก” อาการเกร็งของคนตรงหน้าทำให้เสียงที่ออกมาอ่อนโยนขึ้น

ใช่ว่าเขาไม่รักไม่สงสารเด็กคนนี้ แต่บางทีอคติของคนก็ยากจะจำกัดได้...แต่ถ้าผ่านวันเวลาไป เขาเชื่อว่าสักวันคงสามารถเห็นรัญชน์เป็นลูกอีกคนหนึ่งได้จริงๆ

“นั่งสิลูก บีม..ไปช่วยเจ้าแบมทำกับข้าวก่อน” ธงเรียกให้นั่งแล้วหันไปส่งสายตา ซึ่งลูกชายเองก็พยักหน้าเบาๆแล้วเดินเข้าไปในครัว

“ป๊าขอบใจรันสำหรับคุกกี้ที่ฝากมาให้ทุกครั้งด้วยนะ”

“ครับ... ผมชอบทำคุกกี้ แต่ถ้าทานหวานมากๆจะไม่ดี... นะครับ ก็เลย.. ทำแบบนี้” นัยน์ตากลมโตจ้องมองหารอยยิ้มจางๆบนใบหน้าของชายสูงวัย

“คนแก่แล้วก็อย่างนี้แหละ ต้องระวังหลายอย่าง” ธงยิ้มจางๆให้ รัญชน์เป็นคนอ่อนโยนอย่างที่คิด แต่เพราะคราวที่แล้วไม่ทันจะได้ทำความรู้จักเลยยังมองไม่ถึงสิ่งที่ซ่อนอยู่ในตัว

...โลกมันเปลี่ยนแปลงไปจากสมัยที่ยังเป็นหนุ่มสาวมาก

“รัน ป๊าถามรันตรงๆนะ” ธงทอดสายตาอ่อนโยนแล้วกล่าวต่อ

“ ถ้ารันรักกับบีม ป๊าว่าเราสองคนต้องเจอแรงกดดันหลายๆอย่าง บีมก็ส่วนบีม... แต่รันล่ะลูก รันจะทนมันไหวไหม ป๊าบอกก่อนว่าป๊าไม่ได้เกลียดรัน ไม่ได้รังเกียจผู้ชายที่รักผู้ชาย แต่สังคมไม่ใช่ป๊า ไม่ใช่แค่รันกับบีม ถ้าเป็นอย่างงั้นแล้วรันจะไหวไหม”

คนฟังได้แต่ยิ้มให้อีกฝ่ายจางๆ เรื่องแบบนั้นเขาไม่ได้สนใจเลยด้วยซ้ำ

“ถ้าพี่บีมไหว... ผมก็ไหวครับคุณพ่อ....” เขาตอบชัดเจนและหนักแน่น

...ทั้งคำพูดและความรู้สึกจากใจ...

“บีมเป็นลูกชายคนเดียวของป๊า ป๊าอยากให้เขามีครอบครัว มีความสุข มีหลานให้ป๊า....” ชายผู้เป็นพ่อพูดช้าๆ ทั้งหมดนั่นเป็นสิ่งที่เขาคิดในแง่ของตนเองที่เป็นพ่อ...

“แต่ป๊ารักบีม มากกว่าจะให้บีมทำตามความต้องการของป๊าโดยที่ไม่สนใจความรู้สึกลูก ถึงบีมจะเป็นลูกแต่พ่อแม่ก็ไม่มีสิทธิ์บังคับเรื่องหัวใจได้”

มือเหี่ยวย่นเอื้อมไปลูบศีรษะของคนตัวเล็กเบาๆ นัยน์ตาที่มีริ้วรอยของคืนวันที่ผันผ่านหรี่ลงเป็นรูปจันทร์เสี้ยวพร้อมรอยยิ้มใจดี

“ในเมื่อบีมรักรัน ป๊าก็รันรันด้วย ป๊าเชื่อในเราสองคน...อย่าทำให้ป๊าผิดหวังนะลูก...”

“ครับ!!” นัยน์ตาคู่สวยคลอไปด้วยน้ำตาก่อนจะตอบรับหนักแน่น

“ไปลูก...ไปบอกพี่ๆเขาหน่อยว่าป๊าหิวแล้ว” ธงเอามือออกแล้วยิ้มให้อีกครั้ง

...ป๊าเลือกทางที่ดีที่สุดแล้วใช่ไหมม๊า...

ถ้าม๊าอยู่ ป๊าเชื่อว่าม๊าเองก็ต้องทำแบบป๊า เพราะม๊าเป็นแม่เจ้าบีมกับเจ้าแบม ลูกๆที่เราภาคภูมิใจ...

“แล้วถ้ารันเรียกป๊าว่าป๊าเหมือนแบมกับบีม..ป๊าจะดีใจมากเลย”

“... ไม่ค่อยคุ้นนะครับ... แต่จะเรียกนะครับ... ป๊า” ร่างเล็กลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วรีบเดินหายเข้าไปในครัว

“พี่หมอ ทานข้าวนะ”

“เป็นไงมั่งตัวเล็ก” ธนกฤตละมือจากถาดอาหารแล้วเดินเข้าหา แม้ดวงตาจะมีหยาดน้ำคลอแต่ใบหน้ากลับยิ้มอย่างดูมีความสุข

“โอเคไหม”

“อื้อ... พี่แบมครับ คุกกี้อยู่ข้างนอกนะครับ”

หญิงสาวมองพร้อมทั้งส่งรอยยิ้มจางๆให้ก่อนจะหยิบเอาจานอาหารขึ้นมา

“ถ้าไม่อร่อยฉันเอาตายแน่” ธิวรางค์พูดทิ้งไว้ก่อนจะหมุนตัวออกไปจากห้องครัว

“นั่น... จริงเหรอ” เขาหันมาถามคนรัก

“เรื่องอื่นพี่ไม่รู้...แต่เรื่องกินของไอ้แบมใครอย่าได้ไปขัดใจเชียว” ธนกฤตสำทับซ้ำพร้อมยิ้มกว้าง

“ดีใจจัง”

“ดีใจด้วยเหมือนกันนะ ไปกินข้าวกันนะ” เขาเอื้อมมือมาโอบเอวของอีกฝ่ายไว้แล้วออกแรงดัน

ธนกฤตพาคนรักมาที่โต๊ะอาหารแล้วให้รัญชน์นั่งข้างธิวรางค์ ส่วนตัวเขาปราดไปนั่งข้างธงพลางยิ้มจนดวงตาเป็นรูปจันทร์เสี้ยว

“ป๊า น้องบีมรักป๊าจังค่ะ”

ธงไม่ตอบอะไรมากไปว่ารอยยิ้ม เขาลูบหัวลูกชายเบาๆก่อนจะหันมาที่อาหารที่ว่างอยู่บนโต๊ะ

“วันนี้น่ากินจัง ฝีมือเราหมดเลยเหรอแบม”

“แน่นอนอยู่แล้วค่ะป๊า ไม่เหมือนพี่บีมหรอก ทำทีไรทำแต่กุ้งกระเทียม” หญิงสาวไม่พูดเปล่าซ้ำยังแอบแขวะพี่ชายซ้ำ

“ก็แล้วอร่อยไหมล่ะ พ่อคะพี่แบมแกล้งน้องบีม” ชายหนุ่มกอดแขนพ่อแล้วทำท่างอแงใส่

สัมผัสอุ่นๆที่แสนคิดถึง... ในตอนนี้ได้กลับมาอยู่ด้วยอีกครั้งแล้ว

“เอ้า มัวแต่เล่นกันอีกแล้ว กินข้าวๆ” ธงตักหมูสับปั้นก้อนทอดใส่จานของเด็กหนุ่มที่นั่งเฉียงไป

“ทานเยอะๆนะรัน ไม่ต้องไปสนพี่น้องทะเลาะกันหรอก...เป็นแบบนี้ประจำ”

“ครับ! เหมือนพี่ชายผมเลยนะครับ” เขายิ้มกว้างรับก่อนจะหัวเราะเบาๆ

“เถียงกันที่โต๊ะกินข้าวตลอดนะครับ”

ธงยิ้มกับคำพูดของคนรักของลูกชาย ก่อนจะตักข้าวเข้าปากพร้อมกับมองความสุขที่อยู่ตรงหน้า

...ม๊ากำลังดูพวกเราอยู่ใช่ไหม...

...ไม่ต้องเป็นห่วงนะม๊า..เพราะป๊ายังต้องอยู่กับลูกๆและลูกชายคนใหม่ของเราไปอีกสักพัก

 

 








“Happy Birthdayนะพี่บีม” ร่างเล็กเดินเข้ามาหาพร้อมกับเค้กก้อนเล็กๆที่ปักเทียนไว้หนึ่งเล่ม หลังจากทานอาหารเย็นและร่วมร้องเพลงวันเกิดกับที่บ้านเรียบร้อย ทั้งสองคนก็กลับมาที่คอนโดเพราะรัญชน์บอกว่าทำเค้กไว้ให้พิเศษ

ทั่วทั้งห้องที่มืดมิดมีเพียงแสงเทียนเล็กๆที่สว่างไสวสะท้อนรับกับใบหน้าสวยซึ่งยิ้มแย้มอยู่ทางด้านหลัง

ธนกฤตจับมือเล็กที่ประคองเค้กเบาๆแล้วก้มหน้าเอาหน้าผากแตะคนรัก

“ขอบคุณนะตัวเล็ก”

“เป่าเร็ว แล้วขอพรนะ” รัญชน์พูดเบาๆพลางยื่นยกเค้กขึ้นสูง

ธนกฤตหลับตาลงพร้อมกับคำอธิษฐานในใจ

...ขอให้ป๊าสุขภาพแข็งแรง ขอให้ทุกคนมีความสุข...และขอให้อยู่ด้วยกันกับตัวเล็กตลอดไป...

ชายหนุ่มลืมตาขึ้นแล้วเป่าเทียนเล่มน้อยจนดับไป

“รักตัวเล็กนะ”

“รักพี่หมอเหมือนกันนะ” เด็กหนุ่มยิ้มหวานพลางยื่นใบหน้าไปแตะริมฝีปากเบาๆ

“เขินนะครับ”

ธนกฤตใช้ปลายนิ้วปาดครีมเค้กสีขาวมาชิม รสหวานอย่างที่ชอบแถมยังมีกลิ่นเลมอนอ่อนๆผสมทำให้กลายเป็นเค้กวันเกิดที่แสนพิเศษจากคนรัก

“รันชิมสิ ไปเอาจานนะ”

“โอเค...” เด็กหนุ่มตอบรับแล้วส่งเค้กให้คนรักถือก่อนจะวิ่งไปหยิบช้อน

“เอ้า!”

“ไม่ต้องมีตัดแบ่งกันเลยเนอะ”ธนกฤตรับช้อนมาแล้วพาทั้งเค้กทั้งคนไปนั่งที่โซฟาในห้อง ร่างสูงฝากตัวไว้บนโซฟาตัวนิ่มพลางกอดโอบล้อมคนรักตัวเล็ก

“ป้อนนะ”

“อื้อ..” เขาใช้ช้อนตัดเค้กเป็นคำเล็กๆแล้วเอื้อมช้อนไปตรงหน้าของคนรัก

“อ้าม~ม”

“ไม่อั้ม” หมอหนุ่มหุบปากแน่นแล้งชิงหอมแก้มเจ้าตัวเล็กในอ้อมกอด

“อั้มรันดีกว่านะรันนะ....ให้พี่หมอบีมคนดีกินได้ป่ะครับ”

“อุตส่าห์ทำเค้กแล้วนะ นิสัยไม่ดีนะพี่บีม” เจ้าตัวเล็กทำหน้ายุ่งแล้วยื่นช้อนไปใหม่

“อ้าม~ม”

เค้กหวานๆที่ “อุตส่าห์” ทำให้ถูกงับเบาๆก่อนที่ร่างเล็กจะโดนให้ชิมเค้กที่ตัวเองทำจากริมฝีปากของธนกฤต

“หวานเนอะ หอมด้วย” ริมฝีปากที่ถอนออกกระซิบแผ่ว

“....... นิสัย... ไม่ดี” พอได้รับจูบหวานๆผสมรสเค้กแบบนั้นทำให้อดไม่ได้ที่จะต่อว่า แต่เด็กหนุ่มก็ไม่ได้ห้ามอะไร

“กินอีกไหม...”

“ป้อนก็เอา” ธนกฤตพูดแล้วใช้ช้อนตักมาจ่อที่ริมฝีปากรัญชน์

“อ้าม--”

คนตัวเล็กอ้าปากรอให้อีกฝ่ายส่งช้อนเข้ามา

ธนกฤตใส่ช้อนเข้าไปในปากแล้วปล่อยให้คนรักละเลียดชิมเค้กฝีมือตนเอง ใบหน้าเล็กๆยิ้มอย่างมีความสุขเช่นเดียวกับนัยน์ตาสีสวยที่ส่องประกายวาววับ

“ไว้วันเกิดรันพี่จะทำให้กินบ้างดีไหม”

“เค้กกุ้งไม่เอานะ...” รัญชน์แกล้งเบ้หน้า จงใจล้อเลียนอีกฝ่าย

“งั้นเอาเค้กปลาหมึกแทนแล้วกันเนอะ”

ชายหนุ่มยิ้มหวานให้คนรักก่อนจะแนบจุมพิตลงไปอีกครั้ง

...ขอให้อยู่ด้วยกัน..ตลอดไป...

 

 







“.... เมืองไทยนี่ร้อนจริงๆนะครับ” ธันย์ชนกเอ่ยขึ้นหลังจากเดินผ่านศุลกากรออกมาแล้ว ใบหน้าสวยภายใต้กรอบแว่นหันมายิ้มให้จางๆขณะที่เดินลากกระเป๋าเดินทางมาด้วยกัน

“นั่นสิ นี่ถ้าธันไม่คิดถึงงานนิยาย ผมไม่ติดงานที่สตู...ผมยังอยากอยู่ต่อเลยนะ” ราเมนทร์บ่นเบาๆพลางลากกระเป๋าเดินมาคู่กัน

“ธันโอเคเปล่า มึนหัวไหม” สำหรับตัวเองสภาพงานทำให้ชินกับเครื่องบินไปแล้ว แต่กับธันย์ชนกอาจจะเกิดอาการอะไรอยู่บ้าง

“ไม่มึนครับ...” ชายหนุ่มยิ้มคลายกังวลอีกฝ่าย ไปเที่ยวญี่ปุ่นครั้งนี้เขามีแต่ความทรงจำดีๆกับราเมนทร์จนทำให้คิดว่าจากวันนี้ไป คงจะมีแต่เรื่องดีๆ แล้วอีกฝ่าย ก็จะรักเขาได้เอง

...วันนั้นคงไม่ไกลเกินไป...

...ใช่ไหมครับ...

“ดีแล้ว งั้นจะหาอะไรกินก่อนกลับไหม” ร่างสูงโอบเอวคนรักเบาๆ

ราเมนทร์ไม่ลืม...ว่าเขามีความสุขได้เพราะใคร เพราะถ้าไม่มีคนๆนี้ เรื่องราวที่ผ่านมาคงหนักหนาเกินกว่าจะทำเฉยแล้วผ่านไปได้ด้วยตนเองได้

...ขอบคุณนะธัน ที่ทำให้ผมมีความสุข...

 

ภาพของคนสองคนที่ยิ้มให้กันชื่นมื่นอยู่ในสายตาของชายหนุ่มร่างสูงซึ่งยืนอยู่ด้านนอก นัยน์ตาเข้มมองรอยยิ้มหวานของคนที่ครั้งหนึ่งเคยมอบให้เพียงเขา... และเขาก็ทำลายมันไปอย่างไร้เยื่อไย

ภูริมองแฟนเก่าของตัวเองกับผู้ชายอีกคนที่เคยเจอกันครั้งหนึ่งที่ร้านอาหาร ก่อนจะยิ้มจางๆออกมาด้วยแววตาที่ยากจะบรรยาย

...ถ้าเขารู้เรื่องของนายกับฉัน เขาจะยังยิ้มให้แบบนี้ไหม...

 







“เดี๋ยวกลับถึงบ้านแล้วไปทานอะไรกันดีครับ หรือคุณอยากจะพักผ่อน” ธันย์ชนกเอ่ยถามขณะยืนรอแท็กซี่ด้านนอก

“อยากทานข้าวผัดกุ้งฝีมือธัน...นะ?” ราเมนทร์พูดอ้อนแล้วส่งรอยยิ้มหวานให้

แท็กซี่จอดลงที่ข้างหน้า ราเมนทร์ดันธันย์ชนกให้เข้าไปก่อนแล้วเอากระเป๋าทั้งหมดใส่หลังรถก่อนจะเปิดประตูแล้วก้าวตามขึ้นไป

รถแท็กซี่เลี้ยวออกจากที่รอรับผู้โดยสารมุ่งกลับสู่คอนโดใจกลางเมืองหลวงของประเทศไทย

...โดยไม่รู้ว่าทั้งหมดอยู่ในสายตาของชายหนุ่มในแท็กซี่อีกคันที่ขับตามไป

“.... กำลังอ้อนอยู่เหรอครับ” อีกฝ่ายหัวเราะเบาๆถาม

“อ้อนอยู่สิ ก็อ้อนธันได้คนเดียวนี่” ร่างสูงที่นั่งพิงเบาะรถเอนศีรษะลงซบบ่าเล็กเบาๆด้วยกิริยาคล้ายเด็กน้อย

“ไม่ใช่ธันผมไม่อ้อนหรอก เสียหน้าแย่”

“ขนาดนั้นเลยเหรอครับ....” เขาหันมายิ้มขำให้กับคนข้างๆ

“ทำตัวเป็นเด็กๆเชียว....”

“ไม่ชอบหรือไง” คนที่มักจะทำตัวเป็นผู้ใหญ่หลิ่วตาลงอย่างตั้งใจแกล้งรวน

“หรือธันชอบผมแบบเมื่อก่อนมากกว่าตอนนี้”

“.... แบบไหน... ก็เป็นคุณรามนะครับ” เขายิ้มให้จางๆอีกครั้ง

“................... ไม่เห็นต้องถามเลย”

“คุณกำลังทำให้ผมเขินนะรู้ไหม.....” ราเมนทร์ตัดการสนทนาด้วยฝ่ามือใหญ่ที่กุมมือคนที่นั่งข้างๆไว้เบาๆ

ทำนองเพลงที่ดังจากวิทยุช่วยให้บรรยากาศเงียบสงบไม่เงียบจนเกินไป เนื้อเพลงแสนหวานดังโอบล้อมกายของคนทั้งสองที่นั่งพิงกันอยู่ทั้งรอยยิ้ม

 







 

“ข้าวผัดเสร็จแล้วครับ” ธันย์ชนกเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นพร้อมกับจานสองใบ

“งั้นเดี๋ยวผมไปเอาน้ำให้ ธันเอาน้ำเปล่าหรือน้ำผลไม้ดี” ราเมนทร์รับจานมาวางบนโต๊ะแล้วกดบ่าของธันย์ชนกให้นั่งลงกับพื้นหน้าทีวี

“นั่งกินกันตรงนี้ล่ะเนอะ ไว้อิ่มแล้วก็กลิ้งเลย”

“ส้มนะครับ” เขาเงยหน้ายิ้มให้ แล้วเขยิบที่นั่งเตรียมไว้ให้อีกคนด้วย

ราเมนทร์เดินเข้าไปรินน้ำผลไม้ใส่แก้วทรงสูงแล้วหยิบขวดน้ำพร้อมแก้วสองใบเดินกลับมาที่เดิม เขานั่งข้างธันย์ชนกแล้วเริ่มทานข้าวผัดกุ้งที่อ้อนให้คนรักทำให้

“อร่อย....” เขาพูดเท่านั้นแล้วก็ตักเข้าปากต่อ

“ก็ผมทำได้ไม่กี่อย่างนะครับ” เขาหัวเราะเบาๆพลางตักเข้าปากบ้าง

“ไม่ต้องมากหรอก ผมกินง่าย” ราเมนทร์ยิ้มจางๆ... แต่รู้ไหม สิ่งที่คุณทำอยู่ทุกอย่างในตอนนี้เป็นสิ่งที่ผมอยากได้มาตลอด

“ผมชอบคุณจัง....” พึมพำเบาๆกับจานข้าวผัดที่อยู่ตรงหน้า

"อยากได้ข้าวผัดเป็นแฟนเหรอครับ" ธันย์ชนกยิ่งหัวเราะหนักขึ้นเมื่อเห็นอีกฝ่ายพูดกับข้าวผัดแบบนั้น

"ผมบอกว่าชอบธันต่างหากล่ะ..." ราเมนทร์เงยหน้าขึ้นมาแล้วยิ้มด้วยนัยน์ตา

".... ชอบ... ทำให้ผมเขินนะครับ" รอยยิ้มกับพวงแก้มสีแดงปรากฏบนใบหน้าของชายหนุ่มนักเขียน

"ก็ผมชอบดูธันเขิน" ราเมนทร์บอกโต้งๆแล้วตักข้าวกินต่อจนหมดจาน ตบท้ายด้วยน้ำดื่มเย็นๆในแก้วทิ้งท้าย

บรรยากาศภายนอกเงียบสงัดผิดกับทุกวัน จะมีเพียงเสียงฝนโปรยปายเป็นหยาดน้ำที่พอให้ชุ่มชื่น ราเมนทร์ที่กินอิ่มแล้วเลื้อยตัวเอนศีรษะพิงโซฟาตัวนิ่มรอธันย์ชนกทานข้าว

ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดดูก่อนจะกดเข้าโหมดถ่ายภาพ

...ถ้าเป็นตอนนี้ คุณจะยิ้มให้กล้องผมได้หรือเปล่า...

"ธัน... มาถ่ายรูปกันไหม"

"...?!" เขาหลบสายตาอีกฝ่ายไปครู่หนึ่ง

"...... แค่กล้องมือถือก่อน.... ก็แล้วกันนะ... ครับ"

ราเมนทร์พยักหน้าเบาๆแล้วยิ้มให้คนที่ฉายภาพมายังโทรศัพท์ของเขา

"ธันยิ้มหน่อยนะ อากาศหนาวๆมีฝนตกปรอยๆ...มีผมอยู่ด้วย ธันมีความสุขไหมนะ..." เจ้าของโทรศัพท์ยิ้มให้คนรักแล้วพูดต่อ

"ยิ้มหวานๆเหมือนที่ตอนยิ้มให้ผมหน่อยนะ...คนดีของผม...."

"อยู่ๆบอกให้ยิ้ม... ผม... ทำหน้าไม่ถูกเลย..." ทั้งที่พูดแบบนั้น แต่บนใบหน้ากลับปรากฏรอยยิ้มเขินอายอยู่

"ไม่ต้องทำอะไรหรอกธัน...." ราเมนทร์กดถ่ายภาพใบหน้าที่ยิ้มอย่างเขินอายแต่ยังมองมาที่กล้องของเขาไว้

"ไว้ผมจะถ่ายเยอะๆ..ถ่ายมากๆ...จนกว่าธันจะชิน" ราเมนทร์เลือกโหมดถ่ายวีดีโอแล้วเริ่มต้นพูดต่อพร้อมกับหันกล้องมาหาตัวเอง

"วันนี้ฝนตกปรอยๆ อากาศเย็นดี มีข้าวผัดกุ้งให้กินด้วย...แต่ที่พิเศษที่สุด..."

มือใหญ่หมุนกล้องไปทางธันย์ชนกที่ยังยิ้มอยู่

"วันนี้เป็นวันแรกที่ธันมองมาตรงๆยิ้มให้กล้องของผม...โคตรดีใจเลย...ธันพูดอะไรหน่อยสิ.."

แต่ละอย่างที่อีกฝ่ายทำและพูดออกมาทำให้เขาเก็บความสุขเอาไว้แทบไม่อยู่ มือสองข้างยกขึ้นปิดหน้าของตัวเองแล้วพูดเบาๆ

"ถ่ายอะไร... น่าอาย.... นะครับ"

"ไม่เห็นน่าอายเลย" ราเมนทร์ลุกจากที่ของตัวเองแล้วเข้าไปนั่งชิดธันย์ชนก ท่อนแขนแข็งแรงโอบไหล่บอบบางไว้

"ตอนนี้อยู่ห้องธัน เพิ่งกลับจากญี่ปุ่น...แล้ววันเกิดธันเราจะไปกันอีก ใช่ไหมธัน" ราเมนทร์หันไปหาจนปลายจมูกชนผิวแก้มนิ่ม

รอยยิ้มหวานปรากฏขึ้นก่อนจะหันมาหาร่างสูงแล้วขยับจนปลายจมูกชิดกัน

"... ครับ... สัญญาครับ..."

"ห้ามลืมนะ" คนถ่ายพูดเบาๆแล้วหมุนโทรศัพท์มากดเซฟ

"ธันยิ้มน่ารักมากเลยรู้ไหม" ราเมนทร์กดดูวีดีโอที่เซฟไว้แล้วยิ้มจางๆ

ธันย์ชนกเอนมาดูภาพตัวเองบนหน้าจอมือถือของอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกแปลกใจ แทบลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าหน้าตาตัวเองตอนยิ้มเป็นแบบนี้ ร่างบางเอนศีรษะพิงกับไหล่กว้างก่อนจะขยับมือมาจับแขนข้างนั้นของราเมนทร์ไว้

"... เพราะคุณราม... นะครับ...."

"เพราะธันต่างหาก" ราเมนทร์ยิ้มให้กับรอยยิ้มอันอ่อนโยนของคนในวีดีโอ

"ตอนนี้ธันมีความสุข... ธันเลยยิ้มได้ จะมากไปไหมถ้าผมจะขอให้ธันลืมเรื่องเก่าๆในอดีต ซึ่งผมไม่รู้ว่ามันเป็นอะไรแต่มันคงหนักหนาพอที่จะทำให้คุณเปลี่ยนแปลงไป" ราเมนทร์วางโทรศัพท์ลงกับพื้นแล้วโอบคนที่อิงแอบเข้ามาในอ้อมกอด

"ลืมมัน... แล้วใช้ชีวิตทุกวันที่อยู่กับผมให้มีความสุขนะ"

"... ครับ..." ชายหนุ่มตอบรับขณะที่เอนใบหน้าเข้าซบ

"อยู่กับผม... นะครับ"

"อื้อ..."

ข้างนอกแม้จะหนาวเหน็บด้วยหยาดฝนที่โปรยปราย แต่ทว่าในห้องกลับอบอวลด้วยความรู้สึกหวานๆของคนทั้งสอง ราเมนทร์ซุกใบหน้าลงกับเส้นผมสีเข้มแล้วจูบเบาๆที่หน้าผากหอมละมุน

...ผมจะอยู่กับคุณ...

...ตลอดไป...

ราเมนทร์สัมผัสความอบอุ่นในวันฝนพรำอย่างเต็มตื้น

...โดยที่ไม่รู้เลยว่าพายุร้าย...ได้ซ่อนตัวอยู่ไม่ไกล

 

To be continued...





kagehana :

ไม่อยากจะสปอยล์(หราาา) แต่จะบอกว่าพาร์ทของอิราม พี่ธัน และคนๆนั้น เป็นอะไรที่อ่านกี่ทีหมีกับดอกไม้ก็เสียน้ำตา...
หัวข้อ: ・・・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ Chapter 36 อดีตที่หวนคืน [08/01/15]
เริ่มหัวข้อโดย: kagehana ที่ 08-01-2015 15:49:36



kagehana :

ฝากแบบสอบถามค่า โครงการรีปรินท์พี่เดฟน้องปันนะคะ

https://docs.google.com/forms/d/16gTgJZqcpW1aI5EhgdcsspSk7Kq2p8mC54sy-LKDcAM/viewform (https://docs.google.com/forms/d/16gTgJZqcpW1aI5EhgdcsspSk7Kq2p8mC54sy-LKDcAM/viewform)

ใครสนใจสามารถตอบได้เลยนะคะ  :mew1:


-36-




“พี่ราม... เอริคบอกว่าอยากให้ไปช่วยงาน ไปนะ” คนตัวเล็กเอ่ยขึ้นทันทีที่เปิดประตูห้องเข้ามา

“เอริค? เอริคที่ชอบมาตามเราน่ะเหรอ” ราเมนทร์ที่เอนหลังเช็ดเลนส์กล้องอยู่ถึงกับลุกขึ้นมานั่ง

“ไปช่วยงาน...ไปทำอะไร จะชวนกันไปทำอะไรแปลกๆอีกน่ะสิ”

“ทำอะไรแปลกๆ? จะมาถ่ายแบบพอดีต่างหาก เขาอยากถ่ายกับรันอีกนะ” เด็กหนุ่มขมวดคิ้วทันทีเมื่อรู้สึกเหมือนถูกต่อว่า

“ไม่เอาหรอก คราวที่แล้วที่หนีไปถ่ายพี่ยังจำได้ เอริคเกาะติดเรายังกับอะไรดี... ถ้าคิดถึงงานมากเดี๋ยวหาเจ้าอื่นให้ อย่าไปเลย” ราเมนทร์ขมวดคิ้วแน่น ดูเหมือนน้องชายของเขาจะเริ่มหาเรื่องใส่ตัวอีกแล้ว

“ไปถ่ายน่ะบอกไอ้หมอหรือยัง”

“พี่หมอจะไปด้วยต่างหาก” ไม่พูดเปล่า แต่ยังแลบลิ้นยียวนพี่ชายให้อีกที

“ถ่ายวันไหน กี่โมง ที่ไหน” ราเมนทร์ซักต่อด้วยใบหน้าบึ้งตึง

...ไอ้เด็กบ้านั่นกับไอ้หมอ...ไว้ใจไม่ได้ทั้งคู่

“ถ้าพี่ว่างจะไปด้วย ถ้าไม่ว่างเราไม่ต้องไป”

“พรุ่งนี้ ที่ปราณอะไรซักอย่าง เพราะงั้นจะไปเย็นนี้นะ” รัญชน์ยิ้มกว้างแล้วเอานิ้วจิ้มไปที่กลางอกพี่ชาย

“พี่รามไม่มีสิทธิ์ห้ามนะ รันจะไป”

ถึงอยากจะตามไปด้วยแค่ไหนแต่เพราะกะทันหันเกินไป พรุ่งนี้เขามีงานใหญ่ถ่ายนอกสถานที่ซึ่งกว่าจะเคลียร์คิวตกลงกันได้ก็นานมากแล้ว จะให้รอช่างภาพด้วยเหตุผลว่าไปเฝ้าน้องชายก็ยังไงอยู่...

“แล้วไอ้หมอมันว่างหรือไง หมอประสาอะไรทิ้งงานไปตามแฟน” ราเมนทร์บ่นเบาๆ

...แต่อย่างน้อย ไอ้หมอมันก็คงดูแลรันได้

“ก็อย่ามัวแต่เที่ยวเล่นล่ะ อย่าไปเชื่อคนง่ายแบบตอนมันชวนไปดูหนังโป๊ด้วย”

“อือ ไม่ไปนะ รันแค่อยากถ่ายรูปนะ” เด็กหนุ่มยิ้มกว้างเมื่อเห็นอีกฝ่ายยอมให้

ครั้งล่าสุดที่จำได้... เอริคและเพื่อนนายแบบกำลังดูหนังเอวีกันอยู่ที่ในห้องพักนายแบบ ซึ่งเจ้าตัวเล็กที่เขาดูแลมาอย่างดีก็นั่งเบียดกระแซะตั้งใจดูอย่างสนอกสนใจ

...หลังจากนั้น ในหัวของราเมนทร์ก็ระบุไว้แล้วว่านายแบบหนุ่มชื่อดังคนนั้นเป็นตัวอันตราย

จนกระทั่งมาเจอตัวอันตรายกว่า...ไอ้หมอบีมที่ดูไม่น่ามีพิษมีภัยแต่กลับคว้าไปเป็นคนรักโดยที่คนเป็นพี่ชายไม่รู้สักนิด

“ดูแลตัวเองด้วยแล้วกัน”

“อื้อ แล้วเจอกันนะพี่ราม” เด็กหนุ่มวิ่งหายเข้าไปในห้องของตัวเองเพื่อเก็บเสื้อผ้า

 

 

 

“ไฮ รัน” นายแบบหนุ่มที่กำลังถูกช่างแต่งหน้าจัดการหันมามองเพื่อนเก่าแล้วยิ้มหวานพร้อมส่งเสียงเรียก

“ไม่ค่อยโตจากเดิมเลยนะ” เอริครอให้ช่างแต่งหน้าพอใจแล้วจึงลุกเดินมาหา

“..... อะไรเนี่ย คิดงั้นด้วยเหรอ” แม้จะพูดอย่างนั้น แต่แขนสองข้างกลับเอื้อมยกหมายจะกอดอีกฝ่ายเอาไว้

เอริคโอบร่างเล็กเข้ามากอดแน่นแล้วหอมที่หน้าผากแทนคำทักทาย โดยที่ไม่รู้สึกถึงสายตาที่มองมาอย่างขุ่นเคืองสักนิด

ธนกฤตที่หอบหิ้วกระเป๋าให้เม้มปากแน่นพลางมองคนรักของเขากำลังถูก... ผู้ชายที่เป็นแฟนเก่ากอดอย่างสนิทสนม

“ก็ตัวแทบเท่าเดิมเลยนี่...แล้วมากับใครอ่ะ พี่รามไม่เห็นมานี่”

“ขืนมาไม่ได้ทำงานสิ... นั่นแฟนฉันเอง ชื่อบีมนะ” รัญชน์ปล่อยแขนที่โอบกอดร่างสูงออก ทว่าก็ยังปล่อยให้เอริคกอดเขาไว้อย่างนั้น

“พี่บีม นี่เอริค เอริค พี่บีมนะ”

“หวัดดีครับพี่บีม” เอริคยิ้มทักทายพร้อมโค้งหัวลง

“สวัสดีครับ” แม้ริมฝีปากจะยิ้มแต่นัยน์ตากลับไม่ได้ยิ้มด้วยสักนิด ธนกฤตมองไปที่รัญชน์แล้วพูดต่อ

“งั้นรันเตรียมตัวไปแล้วกัน พี่จะแวะเอาของไปเก็บที่ห้องพักก่อน” พูดจบชายหนุ่มก็หันหลังให้แล้วเดินทำหน้าขรึมจากไป

“นี่..เป็นเกย์เหรอแฟนนายอ่ะ ถ้านายไม่บอกว่าแฟนฉันดูไม่ออกหรอกนะนั่น”

“เปล่าเป็น” คนที่ยังห้อยอยู่บนตัวของร่างสูงยิ้มกว้าง

“ฉันชอบเขาก่อนนะ ตอนนี้แฮปปี้ พี่รามบ้าไปเลยตอนแรก แต่โอเคแล้วนะ” รัญชน์ไม่พูดเปล่าซ้ำยังโชว์แหวนที่นิ้วนางข้างขวาให้ดูอีก

...ไอ้พี่บ้าที่หวงน้องยิ่งกว่าหมาแม่ลูกอ่อนเนี่ยนะยอม โลกมันหมุนกลับหรือไง

ตอนที่เขาคบกับรัญชน์ เจ้าตัวขอร้องให้ช่วยปิดพี่ชาย ตัวเขาเองแม้จะไม่เต็มใจแต่ก็พยายามเพื่อที่จะได้คบกันต่อ ตอนนั้นขนาดไม่รู้...ยังหวงยิ่งกว่าอะไร แล้วไหงตอนนี้ถึงเป็นแบบนี้ไปได้

“ทีตอนเราคบกันนายไม่เห็นบอกพี่รามเลย” เอริคตัดพ้อ แต่ไม่ได้น้อยใจอะไร

...ในเมื่อตอนนี้เขามีคนที่รักที่สุดอยู่แล้ว...

“แล้วพี่บีมผ่านด่านมาได้ไงเนี่ย”

“ก็...... ฉันดื้อไง” เด็กหนุ่มหัวเราะเบาๆ

“เดี๋ยวไปแต่งตัวก่อนนะ” ร่างเล็กดันตัวออกจากอ้อมกอดแล้วเดินไปทางช่างแต่งตัว

ธีมถ่ายรูปในวันนี้ก็เป็นแค่เสื้อผ้าสไตล์ริมทะเลที่ออกแนวหรูหรา ไม่ใช่เพียงแบรนด์ธรรมดาๆที่เห็นได้ทั่วไป เนื่องจากเสื้อผ้าคราวนี้เป็นแบรนด์ที่เพิ่งเปิดตัวในอเมริกาใต้ และเจ้าของแบรนด์อยากได้ไอเดียใหม่ๆและแหวกแนวไปกว่าที่เคย...

ธนกฤตนั่งมองคนรักของเขาในชุดเดรสพิมพ์ลายสีสวยหากแต่ว่าสั้นเสมอเข่า ใบศีรษะมีหมวกสานใบโตสวมลงบนเส้นผมอ่อนละมุนที่พลิ้วไหวตามลมทะเล ใบหน้าขาวถูกแต่งแต้มเล็กน้อยพอมีสีสันที่เป็นธรรมชาติ

แต่เขาจะยินดีและภูมิใจมากกว่านี้...ถ้ารัญชน์ไม่ได้อยู่ในอ้อมกอดของนายแบบหนุ่มร่างสูง

ภาษาอังกฤษที่คอยตะโกนให้เปลี่ยนท่ายิ่งทำให้คนนั่งดูหงุดหงิด

“ชิดขนาดนั้นยังจะให้แนบเข้าไปอีก ไอ้พวกบ้าเอ๊ย” คนที่เพิ่งรู้ตัวว่าขี้หึงบ่นเบาๆกับแก้วบลูฮาวายในมือ

ปลายนิ้วเรียวยกขึ้นแตะริมฝีปากของเอริคก่อนจะจ้องมองเข้าไปในดวงตาสีควันบุหรี่ที่มีเสน่ห์ของอีกฝ่าย

“... ถ่ายกับเอริคเนี่ย สบายที่สุดนะ” เด็กหนุ่มกระซิบกระซาบเบาๆ

“ก็แหงสิ ไม่ต้องเกรงใจอะไรกันแล้วนี่” เอริคก้มลงข้างซอกคอตามคำสั่งและกระซิบตอบ

“แต่พี่บีมของนายน่ะตาเขียวแล้ว”

เด็กหนุ่มหัวเราะคิกคักเบาๆอย่างสบายอารมณ์

“น่า ไม่ใช่พี่รามนะ เป็นพี่รามสั่งเลิกแล้วเนี่ย”

“ฉันน่ะไม่มีปัญหาหรอก แต่นายต่างหากที่ต้องเคลียร์เอง” เอริคแตะริมฝีปากบนไหปลาร้าที่โผล่พ้นชุดเดรสพลางส่งสายตาเย้ายวนให้ตากล้องที่คอยลั่นชัตเตอร์อยู่ใกล้ๆ

“ดีนะแฟนฉันไม่ได้มา ไม่งั้นมีหวังต้องง้อกันยกใหญ่...พวกขี้หึงก็เงี้ย” แม้ปากจะพูดเหมือนบ่นแต่กลับมีรอยยิ้มละไมอยู่บนใบหน้า

...คิดถึงวินจัง...

“...... ดีนะ” มือเรียวยกขึ้นทาบบนผิวแก้มของอีกคนให้หันมามอง

“คิดถึงจัง”

“อื้อ คิดถึงเหมือนกัน” นายแบบหนุ่มนอกบทด้วยการรั้งชายชุดเดรสของอีกฝ่ายขึ้นแล้วยกขาเรียวที่เปียกน้ำให้เกี่ยวเอวไว้

“จะยั่วให้พี่บีมหึงล่ะสิ ฉันรู้ทันหรอกน่า”

คราวนี้รัญชน์ยิ่งหัวเราะชอบใจ

“แต่ที่ว่าคิดถึง ฉันพูดจริงๆนะ” รอยยิ้มหวานมอบให้กับเอริคดังเช่นวันวาน ที่ต่างไปคือไม่มีความรักแฝงอยู่ในสายตาคู่นั้นอีกแล้ว

 

 

“อื้อ เข้ามาสิ” ประตูห้องเปิดออกเผยให้เห็นห้องกว้างที่รกบ้างตามประสาวัยรุ่น เจ้าของห้องโอบไหล่เด็กหนุ่มตัวเล็กให้เข้าข้างในแล้วปิดประตูลง

“นั่งตามสบายเลยนะรัน”

จากไอ้เปี๊ยกในวันนั้น... ความสัมพันธ์ของเอริคและรัญชน์ก็พัฒนาขึ้นด้วยจุมพิตริมทะเล แม้จะไม่ได้ขอคบอย่างเป็นทางการแต่ก็ไปไหนมาไหนด้วยกันจนคนสนิทหลายๆคนยังแอบแซว

เมื่อได้ยินคำเชื้อเชิญร่างเล็กก็กระโดดขึ้นเตียงหลังเล็กทันที

“เท่จังนะ อยู่คนเดียวนะ”

“ก็โตแล้วนี่ ไม่เหมือนนายเอาแต่ติดพี่” เอริคโยนกระเป๋าไว้บนพื้นแล้วไต่เตียงขึ้นไปนอนข้างๆ

“เหนื่อยจังแฮะวันนี้” ท่อนแขนแข็งแรงโอบรัดร่างเล็กเข้าหา

“ใครติด” พอท่อนแขนแข็งแรงโอบรอบลำตัวเองไว้ มือสองข้างก็ยกขึ้นกอดอีกฝ่ายตอบ

“ก็รันไง อะไรๆก็พี่ กลัวพี่รู้บ้างล่ะ เดี๋ยวพี่ดุมั่งล่ะ...แฟนอย่างฉันก็น้อยใจเป็นนะ” ปลายคางสากกดที่ผิวแก้มเบาๆก่อนจะมอบจุมพิตหวานๆให้

“เมื่อไหร่จะบอกซะทีว่าเราคบกัน”

“อือ...” เด็กหนุ่มครางเบาๆในลำคอขณะตอบรับจุมพิตนั้น

“เดี๋ยวพี่... โมโหนะ...”

“พี่อีกแล้ว” ชายหนุ่มดึงแก้มขาวจนเป็นรอยแดง

“อุตส่าห์หนีพี่มา ยังจะพูดถึงพี่อีก”

“งั้นก็อย่าชวนพูดถึงพี่สิ..... นะ” รอยยิ้มหวานออดอ้อนปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเด็กหนุ่ม

“พูดถึงเรื่องเราแทน...ใช่ไหม” นับจากวันนั้นที่ชิงจูบแรกจากเด็กหนุ่มร่างเล็ก เอริคก็คอยสอนย้ำในหลายๆอย่างทั้งเรื่องการวางตัวและเรื่องอื่นๆ เขายังจำได้ถึงใบหน้าแดงก่ำยามที่บอกว่าเวลาผู้ชายมีอะไรกันจะใช้ตรงไหนบ้าง

“อือ... แค่นั้นนะ” รอยยิ้มออดอ้อนปรากฏขึ้นอีกครา มือเรียวเล็กเอื้อมแตะบนริมฝีปากอีกคนแล้วขยับใบหน้าเข้าชิด

“แล้ววันนี้ตามมาอยากเรียนอะไรล่ะ... จูบ ทำให้ หรือมากกว่านั้น” เอริคลูบแผ่นหลังผ่านเนื้อผ้าเบาๆ จุดอ่อนที่เพิ่งพบสร้างความรื่นรมย์ยามเห็นร่างเล็กสั่นสะท้าน

“หรือง่วงแล้ว?”

“..... ไม่รู้นะ....” เจ้าตัวเล็กขยับขดตัวเข้าให้ร่างสูงโอบกอดเอาไว้

“อยากให้กอดไว้... นะ”

ร่างสูงขยับตัวกอดไว้แนบแน่น ให้คนรักตัวเล็กซุกไซ้กับแผงอกแนบชิด

...ค่อยๆเป็นค่อยๆไปแล้วกัน..ก็ยังอายุเท่านี้เองนี่นา

 

 

“เสร็จแล้วครับพี่หมอบีมคนดี” ร่างเล็กในเสื้อผ้าชุดสวยเดินเข้ามาหาคนที่นั่งหลบแดดอยู่ไม่ไกลนักพร้อมรอยยิ้มหวานบนใบหน้า

“ไม่เป็นไรครับตัวเล็ก พี่หมอคนดีรอได้” คนที่บอกว่ารอได้ทำเมินนั่งเฉยไม่รับคนตัวเล็กเข้ามากอดเหมือนทุกครั้ง

“ก็ถ้าจะนานกว่านี้ก็ไม่เป็นไร ตามสบายเลยรัน พี่อยู่คนเดียวได้”

รัญชน์หน้าเสียไปก่อนจะเดินเข้าไปใกล้

“.... พี่บีม... เป็นอะไร”

“เปล่าครับ ไม่ได้เป็นอะไร” ตอบแบบนี้ร้อยทั้งร้อยต้องมีอะไร ธนกฤตหลับตาลงแล้วแกล้งเอนหลังพิงเก้าอี้

“หรือถ้าพี่เกะกะ จะให้กลับไปรอที่ห้องไหม”

“... ไม่เอา...” เขาเอื้อมมือไปคว้าแขนของธนกฤตขึ้นมา

“....... กลับห้องกันนะ....”

“ไม่เอา” คนตัวใหญ่กว่าดื้อแพ่ง

“กำลังนั่งรอให้สุกได้ที่ประชดคนไม่สนใจ”

ธนกฤตแอบขำที่คนตัวเล็กมีสีหน้าเป็นห่วงเป็นใย แต่เพราะความขี้หึงงี่เง่าของเขา... เลยอยากจะทำให้รู้บ้างว่าคนอารมณ์ดีก็หึงเป็น

“พี่หมอบีม... โกรธจริงๆเหรอนะ” ร่างเล็กเขย่าแขนของอีกฝ่ายไปมา

“ใครจะกล้าโกรธที่รันได้เจอแฟนเก่าล่ะ ใครจะกล้าน้อยใจที่รันไม่สนใจ...เอาแต่ยิ้มให้คนอื่น ใครจะกล้างอนตัวเล็กที่ทิ้งให้อยู่คนเดียว... ไม่มีหรอก” ธนกฤตยกน้ำที่น้ำแข็งละลายจนหมดขึ้นมาดูดเบาๆ

“สักคนก็ไม่มี”

“พี่หมอ---- กลับห้องกันนะ” ดวงตากลมโตดูหม่นหมองลง

“อุ้มสิ” หมอหนุ่มเกือบหัวเราะออกมาเมื่อคนรักตั้งท่าจะฉุดแขนเขาขึ้นอุ้มจริงๆ

“ไป... ไปงอนตัวเล็กต่อที่ห้องดีกว่า” เจ้าของรอยยิ้มหวานยิ้มอีกครั้งแล้วสปริงตัวขึ้นยืน

รัญชน์รีบเดินไปคว้าเอวอีกคนไว้แล้วเดินตามไปยังห้องพักทันที

เมื่อประตูห้องปิดลง เด็กหนุ่มก็โผเข้ากอดธนกฤต

“อย่าโกรธรันนะ”

“ก็รันพาพี่มาทิ้ง....” ธนกฤตกอดตอบเบาๆแล้วพบว่าคนตัวเล็กยิ่งขยับเข้าซุกหา

“ตัวเล็กก็รู้... ว่าพี่ขี้หึง”

“..... ไม่มีอะไรแล้วซักหน่อยนะ” เด็กหนุ่มว่าเสียงเบา

“แค่อยากรู้... พี่บีมหึงยังไง แต่ไม่เอาแล้วนะ อย่าหึง... อย่าโกรธรันนะ”

“แล้วเอริคยังรักรันอยู่หรือเปล่าล่ะ....ทำไมถึงกอดกันแน่นขนาดนั้น” ธนกฤตมั่นใจว่าคนของเขาเป็นอย่างที่พูด แต่ไอ้แฟนเก่าหน้าตาดีดีกรีนายแบบคนนั้นล่ะ...

“รักอะไรนะ ไม่รักแล้ว เอริคบอกว่าแฟนขี้หึงที่สุดนะ” ใบหน้าหวานที่ดูสวยแปลกตาด้วยเครื่องสำอางเงยขึ้นมอง แม้ว่าจะดูสวยแต่สำหรับเขาแล้ว คนรักที่มีใบหน้าใสๆน่ารักที่สุด

“งั้นก็แล้วไป แล้วนี่มีถ่ายอีกไหม”

“มีกลางคืนอีกเซ็ตนะ แล้วก็เสร็จแล้วนะ” รัญชน์ซุกไซร้กับแผ่นอกกว้าง

“งั้นหน้านี่ลบให้นะ ไม่คุ้นเลย” ชายหนุ่มประคองใบหน้าคนรักขึ้นมาแล้วแตะริมฝีปากที่ผิวแก้ม

“ได้ไหม”

“อื้อ ได้... ไม่ชอบเหรอนะ” เขายื่นหน้าให้อีกฝ่ายได้เช็ดตามใจชอบ

“ก็สวยดี” มือใหญ่คว้าทิชชูเปียกมาเช็ดที่เปลือกตาบางเบาๆ

“แต่รันแบบปกติน่ารักกว่าตั้งเยอะ พี่ชอบแบบนั้นมากกว่า”

“เหรอ... ได้นะ... ชอบรันรักรันเยอะๆนะ” ร่างเล็กเอ่ยพร้อมรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า

“จะไม่รักเพราะตัวเล็กชอบไปยุ่งกับคนอื่นนี่แหละ” ชายหนุ่มเช็ดเครื่องสำอางออกให้เบาๆอย่างตั้งอกตั้งใจ

ธนกฤตย่นจมูกใส่แต่รอยยิ้มกลับพรายอยู่บนใบหน้าหล่อเหลา

“ยุ่งอะไรนะ ถ่ายแบบเฉยๆนะ” เด็กหนุ่มว่าก่อนจะเอื้อมแขนขึ้นโน้มอีกฝ่ายให้ก้มลงมา

หมอหนุ่มบีบจมูกรั้นๆของคนช่างเถียงก่อนจะจูบบนผิวแก้มที่ไร้เครื่องสำอางใดๆ

“นัวเนียขนาดนั้น ถ้ารันเห็นพี่นัวเนียกับผู้หญิงคนอื่นรันก็หึงเหมือนกันล่ะน่า”

“ถ้าพี่หมอเป็นนายแบบ รันจะไม่หึง” รัญชน์เอ่ยตอบหน้าตายพลางขยับปลายจมูกโด่งกับข้างแก้มของร่างสูง

“ไม่ต้องมาหอมเอาใจเลย... อย่างงี้ต้องลงโทษ” ร่างสูงจับแฟนหนุ่มอุ้มขึ้นแล้วขบเบาๆที่ลำคอขาวพลางลูบไล้แผ่นหลังแผ่วเบาตามแนวสันกระดูก จนเมื่อร่างเล็กสั่นสะท้านไปทั้งร่างจึงค่อยผละออก

“อ... พี่หมอ....” นัยน์ตาคู่สวยเริ่มสะท้อนไปด้วยอารมณ์ที่ถูกปลุกปั่นขึ้นมา คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายจงใจแกล้ง

“ครับ?” นัยน์ตารูปจันทร์เสี้ยวหยักโค้ง

“ว่าไง... คราวนี้ใส่เสื้อคอกว้างๆโชว์รอยเลยนะ” ปลายนิ้วสากกดย้ำลงอย่างจงใจบนรอยช้ำสีแดงสดที่แสดงความเป็นเจ้าของ

“อือ... ยังไงเขาก็แต่งกลบอยู่ดีนะ...” แขนสองข้างขยับโอบกอดธนกฤตไว้ เรียวขาขาวที่โผล่พ้นชุดเดรสยกขึ้นเกี่ยวเอวไว้แน่น

“ไม่ให้ได้ไหม...เหลือไว้นะ” เรียวขาที่เกี่ยวพาดถูกตีเบาๆ...ดูเด็กคนนี้..

“ทะลึ่งนะรันนะ”

“ทะลึ่งอะไร ก็พี่หมอหึง... รันก็ต้องอธิบายนะ” ไม่พูดเปล่าแต่ริมฝีปากบางกลับอ้าออกก่อนจะงับเบาๆที่ต้นแขนอีกฝ่าย

“แล้วขาที่เกี่ยวนี่ล่ะ” มือหนาตีเบาๆเพื่อย้ำสถานที่ที่อยู่ของเรียวขา

“ไว้งานเสร็จก่อนนะ...เสร็จแน่ตัวเล็ก”

“ไม่อาว....” คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันอีกครั้ง

“งั้นนอนกอดกันเฉยๆนะ”

“...................ก็ได้”

เอาเหอะ...ถึงจะต้องอดทนหนักสักนิด

.....แล้วค่อยเอาคืนให้สมใจทีหลังแล้วกัน

 

 

“แล้วรันตอนนี้ทำอะไรอยู่ล่ะลูก....เรียนจบแล้วใช่ไหม” บิดาของธนกฤตถามขึ้น ก่อนจะเอนร่างพิงโซฟาตัวนิ่ม

“จบนานแล้วครับป๊า” เด็กหนุ่มร่างเล็กเอ่ยตอบก่อนจะขยับมานั่งลงข้างๆ ริมฝีปากบางแย้มรอยยิ้มกว้างก่อนจะเอ่ยต่อ

“แต่เดี๋ยวเดือนหกก็จะเข้า......... มหาวิท... ยาลัยแล้วครับ”

“เหรอ ดีแล้วลูก ขยันไว้จะได้ไม่ลำบาก” ชายวัยกลางคนพูดอย่างเอื้อเอ็นดู รัญชน์ใช้เวลาไม่นานในการชนะใจเขา...และรวดเร็วที่จะทำให้รักเอ็นดู

“แล้วเตรียมตัวแล้วเหรอ ใกล้แล้วนี่.....เจ้าบีมจะไปส่งหรือเปล่า”

“แหะ... ยังไม่ได้บอกพี่บีมเลยครับป๊า.... เนอะพี่บีม” รัญชน์แหงนหน้ามาหาคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆกัน ที่ใบหน้าตอนนี้ดูจะเต็มไปด้วยอารมณ์ที่บรรยายไม่ถูก

“ป๊า เดี๋ยวบีมขอพาลูกชายคนเล็กป๊าไปคุยแป๊บนะ” ใบหน้าเคร่งขรึมพยายามฝืนยิ้ม ทันทีที่ธงพยักหน้า มือใหญ่ก็ดึงข้อมือคนตัวเล็กลากเข้าไปในห้องส่วนตัวของเขาในบ้านหลังนี้

“รัน....ทำไมพี่ไม่เห็นรู้เรื่องเรียนต่อเลย”

“ก็........... รันไม่ได้บอก” คนตัวเล็กยิ้มกว้างราวกับเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

“ขอคำตอบที่มากกว่านี้ได้ไหม....” ธนกฤตถอนหายใจเหนื่อยอ่อน

ทำไมถึงชอบทำเป็นเล่นอีกแล้ว....

“จะไปอยู่แล้วไม่บอกกันสักคำ”

“ก็... จริงๆรันลืมไปแล้วด้วยซ้ำถ้าไม่ได้อีเมลแจ้งวันเปิดเซเมสเตอร์นะ.... สมัครไว้ตั้งแต่ก่อนเป็นแฟนพี่บีมอีก....” รัญชน์ทำเสียงอ่อนลง

“ถ้าป๊าไม่ถามพี่จะได้รู้เมื่อไหร่ วันรันไปสินะ....” หมอหนุ่มปล่อยข้อมือแล้วเดินไปทิ้งกายบนเตียงกว้าง

...ทั้งที่เข้ากับครอบครัวของเขาได้แล้ว ทั้งที่คิดว่ารู้เรื่องกันและกันดีที่สุด

...แต่เหมือนไม่รู้อะไรเลย...

“รันคิดจะบอกพี่เมื่อไหร่”

“............... ก็ว่าใกล้ๆ... แล้วจะบอก.... รันลืมนะ........ พี่บีม” คล้ายกับเริ่มรู้สึกสำนึกผิด เด็กหนุ่มร่างเล็กจึงได้เดินตามไปหาถึงข้างเตียง

“พี่บีม....”

ธนกฤตรั้งร่างบอบบางเข้ามากอดไว้เบาๆ แต่ก็แรงพอที่จะให้รับรู้ถึงความรู้สึกที่อัดแน่น

“ไปวันไหน....ให้ไปส่งนะ”

ใบหน้าหวานซุกซบเข้าในอ้อมกอดแทบจะทันที

“ก็... อีกสองอาทิตย์นะ... พี่บีมทำงานยุ่ง...... รันไม่อยากกวน ไม่อยากงอแง... ว่าให้อยู่ด้วยกันนะ”

“ก็เลยไม่ยอมบอกซะเลย” ธนกฤตพูดงอนๆแต่กลับกอดฟัดคนรักด้วยความหมั่นเขี้ยว

“อือ... ก็ จะคิดถึง... มากๆเลยนะ” ตัวขี้อ้อนทำเสียงอ่อนลงกว่าเดิมขณะเอานิ้วจิ้มไปบนผิวแก้มของอีกคน

“ต้องคิดถึงมากๆเหมือนกัน พี่อยู่กับรันจนชิน พอคิดว่าจะไม่ได้เห็นหน้าทุกวันแล้วใจหายยังไงไม่รู้” ปลายนิ้วที่จิ้มแก้มถูกดึงมาจูบทีละนิ้ว

“ใช้skypeได้นะ บีบีนะ ทวิตเตอร์นะ เยอะแยะ” รอยยิ้มจางๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าหวาน

“...........แค่บีบียังตั้งนานกว่าจะใช้เป็น” ธนกฤตบ่นเบาๆ

“แต่จะพยายามนะตัวเล็ก อย่าไปสนใจหนุ่มที่โน่นล่ะ”

“ไม่สนนะ มีpromise ringแบบนี้ ไม่สนแน่ๆ” เขาเอ่ยบอกเสียงเบาพลางเอนศีรษะพิงบนต้นแขนของอีกคน

หมอหนุ่มซึมซับความตื้นตันและความอบอุ่นของร่างกายด้วยอ้อมแขนของตนเอง ริมฝีปากหยักหนาก้มลงจูบเบาๆแทนคำพูด....ว่าจะรักและรอตลอดไป

 

 

ธันย์ชนกเปิดประตูตู้เย็นออกมาดูของสดที่มีไว้ ตั้งใจว่าเย็นนี้คงจะทำอาหารง่ายๆอย่างเช่นเคย ดูเหมือนว่าราเมนทร์จะติดใจหมูสับผัดถั่วถึงได้บอกมาว่าอยากทานอีก

มือที่กำลังจะเอื้อมหยิบเนื้อหมูชะงักไปเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูห้อง เจ้าของห้องยิ้มออกมาเล็กน้อยเพราะรู้ดีว่าอีกฝ่าย แม้จะมีกุญแจห้องแต่ราเมนทร์ชอบให้เขาเปิดประตูต้อนรับมากกว่า

“มาแล้วครับ” ธันย์ชนกผลักประตูตู้เย็นให้ปิดลงก่อนเดินไปที่ประตูห้องแล้วเปิดออก

“กลับ--!?”

“ไงธัน.....คิดถึงจังเลย” เจ้าของน้ำเสียงทุ้มแหบห้าวพูดเบาๆก่อนจะเอาตัวกั้นประตูที่อีกฝ่ายพยายามปิดสุดชีวิต

“ทักทายแฟนเก่าดุเดือดไปหรือเปล่า....” ภูริพูดพลางเอื้อมมือพยายามดึงธันย์ชนกเข้ามาใกล้

“ม... ไม่บอล..... ก... กลับไป...” น้ำเสียงสั่นระริกเอ่ยสั่นไหว

“ธัน.....ขอเข้าไปข้างในหน่อยสิ” ชายหนุ่มยังคงเอ่ยต่อด้วยรอยยิ้มที่ไม่ต่างไปจากวันวาน

“ไม่นึกว่าธันจะเป็นนักเขียนชื่อดัง... เราไม่ได้เจอกันมากี่ปีแล้วนะ นายรู้ไหมว่าฉันคิดถึงนายตลอดเลยนะ”

“ย... อย่าบอล.... ไม่... เอา... กลับไป...” ถ้อยคำที่เคยทำให้หัวใจสั่นไหวในวันวานทำให้รู้สึกเจ็บปวดในตอนนี้

...พูดออกมาทำไม...

“ไม่เอาน่าธัน....ฉันคิดถึงนายจริงๆนะ รู้ไหมว่าฉันดีใจมากเลยตอนที่เจอนายที่ร้าน” ภูริผลักประตูจะเข้าด้านใน

“จะให้ฉันเข้าไปหรือจะให้บอกเรื่องของพวกเราให้แฟนใหม่นายรู้”

ได้ยินแค่นั้นธันย์ชนกก็นิ่งไป นั่นเป็นเหมือนฝันร้ายสุดท้ายที่เขาอยากรับรู้

“......... ม.... มีอะไร.....”

“ฉันแค่บอกว่า....ฉันคิดถึง...อยากเอาคนของฉันคืน” นัยน์ตาสีเข้มวาววับอย่างน่ากลัว

“เลิกกับมันซะ!”

ชายหนุ่มสะดุ้งสุดตัว ร่างกายสั่นระริกโดยไม่รับรู้ แววตาที่จ้องมาทำให้เขาไม่สามารถโต้ตอบใดใดได้

...หวาดกลัว

“ม... ไม่.....”

ภูริที่ร่างกายได้เปรียบกว่าผลักประตูเข้ากระแทกโดยแรงแล้วอาศัยจังหวะที่ธันย์ชนกเซล้มเข้ามาในห้องได้อย่างง่ายดาย

“..... รักมันมากกว่าฉัน... ที่เป็นคนแรกของนายหรือไง” น้ำเสียงเย็นเยียบกระซิบข้างหูพลางกอดร่างที่สั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัว

“!???” สัมผัสจากร่างสูงไม่ได้สร้างความรู้สึกอะไรให้เลยนอกจากความหวาดหวั่นในใจ คิดว่าจะโต้ตอบอะไรแต่กลับทำไม่ได้แม้แต่เอ่ยพูด

“ไม่ว่าใครก็แทนที่นายไม่ได้จริงๆ....” ภูริพึมพำเบาๆพลางลูบศีรษะกลมมนของอดีตเพื่อนสนิทและคนรักเก่า

ถึงตอนนี้... แม้จะแต่งงานกับผู้หญิงที่ทางบ้านเลือกให้ ก็ยังไม่สามารถลืมช่วงเวลาที่เคยมีธันย์ชนกอยู่ข้างกายได้เลย

“เรื่องวันนั้น..... ไอ้นั่นยังไม่รู้สินะ ถ้ามันรู้... มันจะยังทนคบกับนายได้หรือเปล่า ลองดูไหมธัน ฉันบอกมันให้ว่าตอนที่ได้กอดนายมันรู้สึกดีแค่ไหน”

“ย... อย่านะบอล...... ฉัน... กับนาย.... จบไปแล้ว...... จบแล้ว...” น้ำเสียงสั่นไหวเอ่ยบอกด้วยหัวใจที่หวาดกลัว-- กลัวคนที่รักสุดหัวใจจะรู้เรื่องในอดีตของเขา

...กลัวว่าจะจากไป

“ฉันไม่ยอมหรอก!” ร่างสูงตะโกนก้อง นัยน์ตาวาววับเหมือนสัตว์ร้าย

“ฉันไม่จบกับนายง่ายๆหรอกฉันจะเอานายคืนมาให้ได้”

“!!?? ม... ไม่... ออกไปนะ--!?!!” แม้จะเอ่ยออกไปเช่นนั้น แต่แขนสองข้างกลับไม่มีแม้แต่แรงที่จะผลักอีกฝ่ายออกไป

ยิ่งผลักไสภูริยิ่งกอดแน่น เขาดึงร่างบอบบางเข้าแนบชิดพร้อมจุมพิตร้อนแฝงความหยาบคาย

“เกลียดฉันขนาดนั้นเลยเหรอ... จำไม่ได้หรือไงว่าตอนนั้นนายรักฉันมากแค่ไหน...”

“นั่น..... มัน... ตอน..... นั้น....” เขาตอบเสียงแผ่ว น้ำตารื้นขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจขณะพยายามผลักไสอีกฝ่ายออก

“นาย... รักเขามากหรือไง” ภูริกระซิบถามแล้วปล่อยร่างบอบบางออกจากอ้อมกอด

“ใช่......... ขอร้อง..... นะ” ร่างบางขยับถอยออกพลางเอ่ยปากขอร้องโดยไม่มองหน้า

ภูริแค่นหัวเราะ... เขาประมาทไปหน่อยที่ปล่อยให้เวลามันผ่านนานเกินไป ธันย์ชนกในตอนนั้นที่ว่าง่ายและอ่อนต่อโลกถึงกล้าพูดออกมาได้เต็มปากว่ารักคนอื่นแล้ว

...แต่ของที่เคยอยู่ในกำมือครั้งหนึ่ง ยังไงก็จะไม่ยอมปล่อยแน่..

“แต่เสียใจด้วยนะ ฉันไม่ปล่อยนายไปหรอก” ร่างสูงสืบเท้าเข้าหาแล้วเชยคางอีกฝ่าย

“ฉันยังมีอะไรบางอย่าง... ที่ถ้านายได้เห็นจะไม่มีวันลืม และแน่นอนว่ามันอาจจะหลุดออกมาให้ใครอื่นเห็นก็คงไม่ใช่เรื่องยากอะไร..”

โทรศัพท์มือถือถูกยกมาเข้าโหมดดูรูป ก่อนที่ภูริจะยื่นให้ธันย์ชนกดู

“นายยังไม่เปลี่ยนไปเลย.....”

มือเอื้อมคว้าปัดมือถือออกไปจากสายตา ความทรงจำเลวร้ายในอดีตวิ่งกลับเข้ามา

“อย่านะบอล!!! อย่า!!!”

“ฉัน--”

ไม่ทันที่จะได้พูดอะไร เสียงโทรศัพท์ที่อยู่ในมือก็ดังขึ้น ภูริมองรูปและเบอร์โทร เขายิ้มเย้ยก่อนจะกดรับ

“ว่าไงแพร ผมทำงานอยู่”

-วันนี้ต้องไปรับคุณย่ามาทานข้าว บอลอยู่ไหนแล้วคะ-

“ผมทำงานอยู่ใกล้เสร็จแล้วล่ะครับ เดี๋ยวผมแวะรับแพรแล้วเราไปด้วยกันนะ” คำพูดหวานหูถูกพูดออกจากริมฝีปากที่เหยียดยิ้มแย็นชา ชายหนุ่มกดทิ้งแล้วหันกลับมาหาธันย์ชนก

“ดูท่าวันนี้จะไม่สะดวก...ไว้ฉันแวะมาใหม่นะ” ชายหนุ่มก้มลงจูบที่ริมฝีปากบางแล้วขบจนได้เลือด ดวงตาฉายแววพอใจ... ก่อนที่จะยอมเดินจากห้องไป

...ราม...

...ช่วยผมด้วย...

ร่างเพรียวทรุดตัวลงนั่งกับพื้นอย่างหมดแรง

ไม่อยากเชื่อเลยสักนิดว่าอีกฝ่ายจะหาเขาพบ ทั้งๆที่ย้ายที่อยู่แล้วตัดตัวเองออกจากโลกภายนอกแล้วแท้ๆ

ความหวาดกลัวเริ่มเกาะกินจิตใจจนร่างกายสั่นไหวขึ้นมาอีกครั้ง หากราเมนทร์กลับมาแล้วกอดเขาเอาไว้คงทำให้ฝันร้ายกลายเป็นดี ยังไงก็ใกล้ถึงวันเกิดที่จะไปญี่ปุ่นด้วยกันตามสัญญาแล้ว ถ้าจะอ้อนให้อยู่นานขึ้นอีกหน่อยคงไม่เป็นอะไร

ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เขาก็ไม่อยากให้ราเมนทร์รู้เรื่องราวในอดีตเป็นอันขาด ถ้าไปญี่ปุ่นด้วยกันแล้ว ภูริอาจจะล้มเลิกที่จะตามหา ถึงตอนนั้นต้นฉบับคงเสร็จพร้อมพิมพ์ แล้วเขาก็จะเลิกเขียน

...จะหนีไปให้ไกล

 

To be continued...
หัวข้อ: ・・・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ Chapter 37 วันที่ไม่มีเธอ [19/01/15]
เริ่มหัวข้อโดย: kagehana ที่ 19-01-2015 16:10:18

-37-






ราเมนทร์ที่เพิ่งกลับมาถึงแวะที่ห้องธันย์ชนกโดยที่ไม่ไขห้องตัวเอง เพราะน้องชายตัวดีดันขอตัวไปเคลียร์เรื่องไปเรียนต่อกับคนรัก และเขาก็ไม่อยากอยู่คนเดียวทั้งที่มีคนอยากอยู่ด้วย

การเรียนต่อของรัญชน์...ทำให้เขานึกถึงว่ามันซ้อนทับกับสัญญาของใครบางคน สัญญา...ที่ตัวเขาเองบอกว่าห้ามอีกฝ่ายลืม

ราเมนทร์เคาะประตูห้องเบาๆด้วยสีหน้าหนักใจ

...จะบอกอย่างไรดีว่าสัญญานั้นคงต้องเลื่อนไปก่อน

“ธัน... กลับมาแล้ว เปิดประตูให้หน่อย” ชายหนุ่มทำแบบทุกครั้ง... เขาชอบให้ธันย์ชนกมารับหน้าห้องมากกว่าจะไขกุญแจเข้าไปเอง

คนที่นั่งเงียบอยู่ในห้องรีบลุกมาเปิดประตู พอเห็นหน้าคนที่ยืนอยู่เขาก็เข้าไปสวมกอดทันที

“กลับมาแล้วเหรอครับ....”

ราเมนทร์กอดตอบคนที่เข้ามากอดอย่างแปลกใจเล็กน้อย แต่ไหนแต่ไร แม้ธันย์ชนกจะกอดเขาบ้างแต่ก็ไม่มีครั้งไหนที่รู้สึกได้ถึงความต้องการการพึ่งพิงขนาดนี้

“เป็นอะไรหรือเปล่าธัน....” ชายหนุ่มกอดกระชับในอ้อมแขนแล้วถามเบาๆ

“...... ไม่มีอะไรครับ....” เขาเอ่ยตอบเสียงเบาก่อนจะพูดต่อ

“ใกล้จะปิดต้นฉบับแล้ว... คงเหนื่อยๆน่ะครับ”

ราเมนทร์ลูบศีรษะกลมมนเบาๆก่อนจะนวดขมับทั้งสองข้างให้

“อย่าเครียดมากนะ สุขภาพสำคัญกว่า ยังไงวันนี้เดี๋ยวผมทำกับข้าวให้ทานแทนแล้วกัน”

พอเห็นสภาพอ่อนแอของธันย์ชนก เขากลับไม่กล้าที่จะบอกเรื่องไปเรียนต่อของรัญชน์

“... ไม่เป็นไร ผมเตรียมของไว้แล้วครับ คุณรามบอกว่าจะกินหมูผัดถั่วไม่ใช่เหรอครับ” เขาเงยหน้าขึ้นมายิ้มจางๆให้

“ปิดต้นฉบับเสร็จ จะได้ไปพักผ่อนด้วยกัน... เนอะครับ”

พออีกฝ่ายพูดถึงการไปเที่ยวพักผ่อนด้วยสายตาคาดหวัง ราเมนทร์ก็แทบไม่อยากจะบอกความจริงออกไป

...แต่ถ้าไม่บอกก็มีแต่ผิดใจกันไปอีก

“ธัน... ถ้าเราเลื่อนเรื่องเที่ยวไปอีกหน่อยได้ไหม..” ชายหนุ่มถามเบาๆ

คำว่าเลื่อนออกไปทำให้อีกฝ่ายตกใจ

“เอ๋? ทำไมเหรอครับ”

“พอดีว่ารันจะเปิดเทอมตอนนั้น... ใกล้ๆวันเกิดคุณเลย แล้วผมต้องบินไปจัดการเรื่องที่มหาลัยให้ก่อน” ราเมนทร์เงียบเสียงลงเมื่อเห็นสีหน้าคนรัก เขาจับที่ผิวแก้มซีดเผือดเบามือ

“ขอโทษที่ผิดสัญญา... แต่ถ้าไปญี่ปุ่นหลังวันเกิดคุณได้ไหม”

ไม่ใช่ว่าเห็นใครสำคัญกว่าใคร... แต่เพราะเป็นห่วงน้องชายที่จัดการอะไรเองไม่เป็น

ถ้าเขาจะเห็นแก่ตัวให้รัญชน์ไปจัดการคงเดียว ไม่แน่ว่ารัญชน์อาจจะไม่ได้เข้าเรียนก็ได้...

“แล้ว...... จะไปนานแค่ไหน... ครับ” น้ำเสียงฟังดูแผ่วเบากว่าเมื่อครู่ หัวใจวูบไหวลงไปเมื่อได้ยินสาเหตุของอีกฝ่าย

...เป็นเพราะรัน...

...สินะครับ...

“น่าจะสองอาทิตย์ล่ะมั้ง ไม่แน่ อาจจะนานกว่านั้นนิดหน่อย แล้วเราค่อยวางแผนไปเที่ยวกันใหม่... ธันโกรธผมหรือเปล่า” เพราะธันย์ชนกเงียบไป... เงียบจนเกินไป ราเมนทร์เลยถามแล้วกอดเบาๆอย่างเอาใจ

“........ ไม่ไป.... ไม่ได้เหรอครับ....” เขาลองตัดสินใจถามออกไป

...เลือกผม...

...ได้ไหมครับ...

“ผมขอโทษนะ... แต่ผมปล่อยรันไปที่นั่นคนเดียวไม่ได้ ขอโทษนะที่ไม่ได้อยู่ด้วยวันเกิด....” ราเมนทร์จูบที่หน้าผากมนเบาๆ

“แล้วจะชดเชยให้นะ”

“.................. อยู่... กับผม..... ไม่ได้เหรอครับ” หัวใจรู้สึกเหน็บหนาวขึ้นมายิ่งกว่าเดิม

...สุดท้ายผมก็...

...ไม่ไหวสินะ...

...ถ้าเป็นคนอื่นคงไม่รู้สึกเสียใจขนาดนี้...

...แต่เพราะรู้ว่าเป็นคนที่ราเมนทร์รัก...

...มากที่สุด...

“ธันเป็นอะไรหรือเปล่า วันนี้คุณดูแปลกๆนะ” เขาไม่ได้หวังว่าธันย์ชนกจะเข้าใจง่ายดาย อาจจะมีงอนหรือมึนตึงบ้าง...แต่มันไม่น่าออกมาในรูปแบบนี้

...แบบที่เหมือนธันย์ชนกร้องขอและรั้งเขาไว้เพื่ออะไรบางอย่าง

“ผมขอโทษจริงๆธัน ไม่ใช่ว่าคุณไม่สำคัญ... แต่รันเป็นน้องชายคนเดียวของผม แล้วเรื่องเรียนมหาลัยมันก็เป็นสิ่งสำคัญที่ผมต้องดูแลด้วย”

“....... ถ้า... งั้น.... เลิกกันดีกว่าครับ... ผม.... ไม่ไหวแล้วล่ะครับ”

...ผมไม่อยากเป็นตัวแทนใคร...

...ไม่อยากเป็นเงาให้รัน...

...ไม่อยากต้องเผชิญกับบอล...

...แล้วให้คุณกลับมารับรู้...

คำบอกเลิกที่ขาดห้วงคล้ายอาการกลั้นเสียงสะอื้นเหมือนน้ำร้อนที่ราดจากศีรษะจรดปลายเท้า ราเมนทร์มองเข้าไปในดวงตาคลอน้ำของคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจกับสิ่งที่ได้ยิน

“ธัน...พูดอะไร...” ราเมนทร์จับมือเรียวขึ้นมาบีบเบาๆ... และหวังให้สิ่งที่ได้ยินเป็นเพียงตลกร้าย

“ที่ว่าไม่ไหว... หมายถึงอะไร ธันอย่าอำผมแบบนี้นะ”

...ทำไม....

...ในหัวใจถึงวูบโหวงแบบนี้...

“ผม... ไม่ไหวแล้วครับ” น้ำเสียงของธันย์ชนกแม้จะสั่นเครือ แต่เขาก็ไม่หยุดพูด

“ขอโทษนะครับ ผมเคยคิด........ ว่าจะ... รอคุณได้ แต่.... ไม่ครับ ผมรอไม่ไหวแล้ว ถึงคิดว่าเราเลิกกันดีกว่าครับ”

ราเมนทร์จับบ่าเล็กๆที่สั่นไหวด้วยสองมือ เขาจ้องตา... พยายามมองหาความจริงที่แอบซ่อนอยู่

“ผมไม่เข้าใจ... คุณรออะไรน่ะธัน ผมทำอะไรผิดเหรอ แล้วทำไมถึงไม่รอแล้ว”

เพราะไม่คิดว่าจะมีวันนี้... วันที่ต้องเสียคุณไป

“ไม่นะธัน..ไม่เลิก...”

“ผม........... ไม่อยากรอความรักจากคุณแล้ว........” รอยยิ้มที่เคยมีจางหายไปจากใบหน้าของธันย์ชนก เพราะคิดว่าถ้าอีกฝ่ายอยู่ด้วยจะไม่เป็นไร

“ไม่อย่างนั้น.... รอได้ไหมล่ะครับ รอผมปิดต้นฉบับแล้วให้ผมไปหารันด้วย.......”

“มันไม่ทันจริงๆนะธัน อย่าเอาเรื่องอย่างนี้มาทะเลาะกันได้ไหม รอผมแค่สองอาทิตย์... คุณก็ปิดต้นฉบับเสร็จพอดี แล้วเราค่อยไปกันนะ” ราเมนทร์ตอบ เขาไม่แน่ใจว่าตอนนี้ธันย์ชนกมีเหตุผลอะไรอยู่ แต่ที่แน่ๆคงไม่ใช่แค่เรื่องการผิดนัดของเขา

“ธัน มีอะไรคุณพูดมาตรงๆเลยดีกว่า ผมไม่อยากให้เราไม่เข้าใจกัน” ราเมนทร์ประคองใบหน้าเล็กให้เงยสบตา

“ผมชอบคุณมากนะ...แต่ไม่ชอบคุณในวันนี้เลย”

คุณที่แปลกไป... ทั้งดูอ่อนแอและหวาดหวั่นราวกับกำลังมีความลับ

...ที่คุณไม่อยากบอกผม

“ผม....... ผมอยากอยู่กับคนที่รักผมหรือว่าพร้อมจะรักผม ไม่ใช่คนที่ชอบผมทั้งๆที่รักคนอื่น” คำว่าไม่ชอบตัวเองในเวลานี้ยิ่งทำให้รู้สึกเจ็บปวด

“ธันพูดอะไร! คนอื่น?.....” ราเมนทร์ขมวดคิ้วแน่นพลางจ้องมองธันย์ชนก

“ธันกำลังคิดอะไรอยู่.....”

ความลับที่ว่าเขารักใคร... มันควรเป็นความลับไปตลอดกาล

“............ มองตาผม... แล้วบอกผมได้ไหมครับ ว่าคนอื่นที่คุณรักไม่ใช่รัน” นัยน์ตาสีเข้มสบมองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า

...บอกผมทีว่าไม่ใช่...

ร่างกายชาวูบเหมือนถูกน้ำเย็นราดซ้ำ ราเมนทร์หลบสายตาที่มองมาเพราะความรู้สึกผิด

คนที่ไม่อยากให้รู้ที่สุด กลับรู้เสียแล้ว...

เพราะไม่สามารถปฎิเสธความจริงได้ ชายหนุ่มจึงใช้ความเงียบและอ้อมกอดอ่อนล้าแทนคำตอบ

“...................ขอโทษ”

ขอโทษที่ผมต้องทำให้คุณทรมานตลอดเวลาที่คบกัน

น้ำตาที่พยายามเก็บกลั้นเอาไว้ตลอดค่อยๆไหลออกมาในที่สุด

“ไม่... เป็นไร... ครับ...” เขายกมือขึ้นโอบกอดอีกฝ่ายเอาไว้

“เลิกกัน...... นะครับ”

“ธัน....ผมขอโทษ...ผมขอโทษจริงๆ...” ยิ่งธันย์ชนกดีกับเขาเท่าไหร่... ตัวเขาที่ใช้ธันย์ชนกเป็นเครื่องมือเพื่อลืมรัญชน์ยิ่งเจ็บปวดเท่านั้น

“แต่ผมไม่อยากเลิก... ได้ไหม... ผมจะพยายามรักคุณ จะรักคุณให้มากกว่ารัญชน์”

...ช่วยฟังคำขอร้องของคนเห็นแก่ตัวอีกสักครั้งได้ไหม...

“......... ไม่.... ครับ...” ชายหนุ่มเอ่ยตอบเสียงพร่า ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากตอบรับคำขอร้องนั้น

แต่เป็นเพราะเขาไม่อาจหาทางออกได้เลยสักนิด ถึงจะขอให้ราเมนทร์อยู่ด้วย แต่ถ้าภูริมาแล้วเผยอดีตของเขา

...ราเมนทร์ก็จะไปจากเขา

หากตอบรับคำขอร้อง ตอนที่ราเมนทร์ไม่อยู่ ภูริจะมาทำอะไรบ้างก็ไม่อาจรู้ได้

เพราะอย่างนั้น ทางออกที่ดีที่สุดในตอนนี้คือเลิกกับราเมนทร์เสีย

“...ไม่ได้จริงๆ...ใช่ไหม...” ข้อความเหมือนจะเข้าใจแต่น้ำเสียงและอ้อมกอดบอกตัวเองว่าไม่ได้เข้าใจสักนิด

ราเมนทร์กอดร่างบางแน่นขึ้นแล้วซุกใบหน้าลงกับเส้นผมสีเข้มของคนรัก

...เหมือนหัวใจถูกทึ้งออกจากร่าง...

“ขอเวลา... ให้ผมหน่อย... ให้ผมอยู่กับคุณต่อ... ก็ไม่ได้ใช่ไหม...”

“คุณ.... อยู่ได้เหรอครับ คุณ....  ต้องไปกับรัน... ไม่ใช่เหรอ” ธันย์ชนกเอ่ยเสียงแผ่วทั้งน้ำตา

...ผมรักคุณ...

...แต่บอลรู้แล้วว่าผมอยู่ไหน...

...คุณควรจะอยู่กับคนที่คุณรัก...

...ให้ผม... ที่คุณแค่ชอบมาก... อยู่คนเดียวเถอะครับ...

“ผม...ถ้าผมบอกว่าผมอยากอยู่กับคุณ คุณจะเชื่อไหม” คนพูดย้ำด้วยแววตา

“เพียงแต่ไม่ใช่ตอนนี้...ไม่ใช่ตอนที่รันกำลังจะเริ่มต้นชีวิตอีกขั้น ขอเวลาให้ผมสองอาทิตย์ไม่ได้เหรอธัน...”

...เชื่อครับ...

...แต่ผมคงไม่ไหวแล้ว...

...ถ้าบอลมาหา...

...ถึงตอนที่คุณกลับมา...

...ผมอาจจะไม่อยู่แล้วก็ได้...

“....... ขอโทษครับ.........” ธันย์ชนกได้แต่ตอบเบาๆอย่างหมดแรง

“ผมไม่เลิกกับคุณ... คุณเคยบอกว่าจะอยู่ข้างๆผมตลอดไปไม่ใช่หรือไง ผมยังจำได้...” ความรู้สึกอบอุ่นที่สัมผัสผ่านฝ่ามือในต่างประเทศยังชัดเจนในความทรงจำ และราเมนทร์ก็ไม่อยากเสียธันย์ชนกไป

“อย่าทำอย่างนี้นะธัน... อย่าขอโทษผม... ผมชอบคุณนะ”

“ครับ... ผม...... สัญญาไว้อย่างนั้น.......... แต่ เพราะผมคิดว่าคุณจะอยู่กับผม... ขอโทษครับ รันเป็นครอบครัวคนสำคัญของคุณ แต่เพราะผมรู้ว่าเขาเป็นยิ่งกว่านั้นสำหรับคุณ” ชายหนุ่มหยุดไปก่อนจะยกมือขึ้นปาดน้ำตา

“ผมถึงได้.... รู้สึกไม่พอใจลึกๆอยู่แบบนี้”

 มือที่อยากจะยกปาดน้ำตาให้ทำได้เพียงปล่อยมันตกข้างตัว ราเมนทร์รับรู้ถึงความเจ็บปวดที่ส่งผ่านน้ำเสียงอันสั่นเครือซึ่งเป็นเขาเองที่ทำให้เกิดขึ้น

ต่อให้ขอโทษสักกี่ร้อยครั้งก็ไม่เพียงพอ....

“คุณรู้...ตั้งแต่เมื่อไหร่...”

“................... ตั้งแต่.... คืนนั้น........ ครับ” มือสองข้างยังคงยกขึ้นปาดน้ำตาออกครั้งแล้วครั้งเล่า

“คุณเมา............ แล้วคิดว่าผม... เป็นรันครับ” ทุกถ้อยคำที่พูดออกมากลับมาทำร้ายตัวเองอีกครั้ง

“ธัน....” ไม่มีคำพูดใดหลุดออกจากปากร่างสูง เขาทำได้เพียงหันหน้าไปอีกทางแล้วปล่อยให้ตัวเองจมจ่อมอยู่กับความรู้สึกผิด ฝ่ามือหนากำแน่นรู้สึกได้ถึงแรงสั่นของทั้งร่าง ในตอนนี้ราเมนทร์ไม่กล้าที่จะสบดวงตาที่มองมาแค่เพียงเขาได้เลย

“ผมขอโทษ... แต่ช่วงเวลาที่อยู่กับคุณ ผมไม่เคยโกหกคุณ... ผมมีความสุขจริงๆที่ได้อยู่กับคุณ ถึงแม้ว่าจะทำให้คุณเจ็บปวด” คำพูดเงียบหายไปพักหนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงสั่นพร่า

“แล้วทำไม... ตลอดมาคุณถึงไม่บอกอะไรเลย... ทำไมถึงปล่อยให้ผมทำร้ายคุณอยู่อย่างนี้...”

“........... เพราะผมคิด.... ว่าผมจะไม่เป็นไร.... ครับ..... ผม......... รักคุณมากเกินไปครับคุณราม.... ตอนนั้น....” น้ำตายังไม่ยอมหยุดไหลออกมา

...แล้วตอนนี้ผมก็รักคุณที่สุด...

...เท่าที่ผมจะรักใครคนหนึ่งได้...

“แล้วตอนนี้ล่ะธัน....คุณไม่ได้รักผมแล้วเหรอ”

คำว่าตอนนั้น...ดูจะเป็นอดีตที่ยาวนานเหลือเกิน

เพราะตัวเขามั่นใจว่าได้รับความรักจากธันย์ชนก เลยหลงคิดว่าจะได้มันตลอดไปอย่างงั้นหรือ? ความรักที่เขาเป็นฝ่ายรับอยู่คนเดียวคงทำให้คนให้ทรมานมาก... มากจนทำให้รักหมดอายุ

...ผมกลัวว่าจะสูญเสียคุณ...

...แต่ผมก็ไม่เคยทำอะไรให้คุณเลย...

...เพราะงั้น...ผมเลยต้องเสียคุณไป...

“รักผม... รักกัน... อีกสักครั้งไม่ได้เหรอธัน...”

“คุณ...... แค่ชอบผมมาก... เท่านั้นครับ..... อยู่กับผม แล้วคุณสบายใจ.... ก็เท่านั้น” ถ้อยคำที่เสียดแทงจิตใจของผู้พูดยังคงหลุดออกมา

ราเมนทร์ไม่เถียงว่ามันเป็นเรื่องจริง...แต่ในใจลึกๆบอกกับเขาว่ามันไม่ใช่แค่นั้น

..เพียงแต่ตอนนี้เขาไม่รู้ว่ามันเรียกว่าอะไร

“แล้วที่ผ่านมา...ธันไม่มีความสุขเลยเหรอ...”

ถ้าเป็นอย่างนั้น...ผมคงให้อภัยตัวเองไม่ได้ชั่วชีวิต

“...... มี... ครับ....” ใบหน้าสวยที่เต็มไปด้วยน้ำตาก้มลง

...จนผมไม่อยากเสียไป...

“แต่ว่า... ผมไม่ใช่คนใจกว้างอย่างที่คุณคิดครับ.... ถ้าไม่ได้ทั้งหมด... ผมไม่เอาแล้ว... ล่ะครับ”

...ขอโทษนะครับ...

...ที่ต้องโกหก...

...แต่เดี๋ยวคุณก็ไม่เป็นไร...

...เพราะผมเป็นคนที่คุณชอบ...

...ไม่ใช่คนที่คุณรักครับ...

“ถ้าผมรักคุณล่ะธัน... คุณจะอยู่กับผมเหมือนเดิมได้ไหม” ราเมนทร์กอดร่างเพรียวไว้แล้วจุมพิตซับน้ำตา

“ผมมันโง่... ไม่คู่ควรกับคนดีๆอย่างคุณเลยจริงๆ”

“.... พอเถอะครับ... เลิกกัน.... นะครับ ผมขอร้อง....” ทั้งอ้อมกอดและกิริยาของราเมนทร์นั้นทำให้ร่างบางแทบอยากยอมแพ้ต่อความตั้งใจของตัวเอง

“ทำไมล่ะธัน ทำไมเราต้องเลิกทั้งๆที่เราอยู่ด้วยกันแล้วมีความสุข ทั้งๆคุณเองก็ไม่ได้อยากจะบอกเลิก” ท่อนแขนแข็งแรงกอดแน่น ราเมนทร์รู้สึกถึงความร้อนที่หัวตาจนต้องกัดปลายลิ้นไม่ให้ความอ่อนแอไหลออกมา

“ผมไม่อยากให้เราจบกันแบบนี้... ผมไม่มีคุณไม่ได้...”

“คุณ.... ยังพูดว่ารักผมไม่ได้เต็มปากเลย... ถึงจะมีความสุขแต่หัวใจผมก็ว่างเปล่าครับ! เข้าใจผมด้วยเถอะ!” แขนสองข้างพยายามดันตัวเองออกจากอ้อมกอด

ราเมนทร์ปล่อยแขนออกตามแรงดันนั้นอย่างง่ายดาย เขายืนมองพื้นห้องที่เคยอยู่ด้วยกัน มองโซฟาตัวที่เคยหลับใหล มองฝ้าเพดานและกำแพงราวกับจะเก็บภาพความทรงจำนี้ไว้... ให้ประทับอยู่ในหัวใจ

สุดท้าย...นัยน์ตาสีน้ำตาลเทาก็กลับมาสบกับนัยน์ตาคู่สวยอีกครั้ง

“ผมจะยอมเลิก...ถ้าคุณบอกคำเดียว...ว่าไม่ได้รักผมแล้ว...”

นัยน์ตาที่ยังมีน้ำตาจ้องมองดวงตาสีสวยเรียบนิ่ง

...ขอโทษครับ...

“ครับ..... ผม... ไม่ได้รักคุณ..... แล้วครับ.... คุณราม”

“ขอบคุณครับ” ราเมนทร์หลับตาลงด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายได้

...ขอบคุณ...คำโกหกของคุณ...

“กุญแจ...ผมขอเก็บไว้เป็นที่ระลึกได้ไหมธัน...ผมสัญญาว่าจะไม่ใช้มัน...อย่าเอาคืนเลยนะ”

คำพูดพร่าเลือนที่ใช้ความพยายามมากเหลือเกินที่จะเปล่งออกมา ผ่านลำคอที่แห้งผาก

...ไม่รักผม...

...คุณโกหกไม่เก่งจริงๆ...

“......... ครับ...............” ธันย์ชนกผงกศีรษะช้าๆก่อนจะเปิดประตูห้องออกช้าๆ

“................ ขอบคุณ... นะครับ”

“อยู่คนเดียวแล้ว... อย่าทำงานจนลืมกินข้าวนะธัน” ราเมนทร์ยิ้มจางๆให้เหมือนทุกครั้ง... แม้จะเป็นรอยยิ้มที่ต้องใช้ความพยายามอย่างมากมายที่จะประคองไว้บนใบหน้า

“ดูแลตัวเองดีๆนะ...อย่าซุ่มซ่ามให้ได้แผล..อย่าฝืนทำอะไรเกินตัว...อย่าลืมเป็นห่วงตัวเองบ้าง..”

...ทำไมกัน...

...ทำไมผมถึงเจ็บปวดขนาดนี้...

“...อย่าลืมผมนะ...”

“..... ครับ...............” ริมฝีปากบางพยายามแย้มรอยยิ้มให้อีกคน

...ผมรักคุณครับ...

...จะรัก...

...ตลอดไป...

“ผมคงคิดถึงคุณ.... ไปก่อนนะธัน” ราเมนทร์ผลักบานประตูที่เปิดค้างไว้ เขามองหน้าธันย์ชนกเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่สายตาจะถูกกั้นจากบานประตู

...ไม่มีอีกแล้ว...

ในตอนนี้...เขาไม่รู้เลยว่าน้ำตาของตัวเองไหลออกมาตอนไหน

...เพราะความเศร้าที่เกาะกุมหัวใจนั้นมากมาย...ยิ่งกว่าครั้งใดที่ผ่านมา...

 

To be continued...


kagehena : รับประกันระดับความมาม่าค่ะ
หัวข้อ: ・・・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ Chapter 38 ชอบ....หรือ....รัก [02/02/15]
เริ่มหัวข้อโดย: kagehana ที่ 02-02-2015 15:31:48



-38-








“แล้วบีบีกันนะพี่บีม... ทวิตเตอร์ด้วยนะ เฟซบุ๊คด้วย สไกป์ด้วยนะ” คนตัวเล็กเอ่ยบอกทั้งๆที่ยังอยู่ในอ้อมกอดอีกคน ใบหน้าหวานซุกอยู่กับเสื้อของอีกฝ่ายพลางกอดเอาไว้จนแน่น

“เอาทุกทางเลยเนอะ ตัวเล็กก็อย่ามัวแต่เล่นกับเพื่อนใหม่เพลินจนลืมพี่นะครับ” ธนกฤตหอมเบาๆกลางศีรษะด้วยรอยยิ้ม

แม้จะเหงา...แต่เพื่ออนาคตของคนรัก เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมให้ไป

ร่างสูงหันไปมอง 'ซากราเมนทร์' ที่ยืนอยู่ข้างๆ อันที่จริงคนเป็นพี่แค่ไปส่งแต่ทำไมถึงทำหน้าเหมือนหมาถูกทิ้งอย่างนี้ก็ไม่รู้

“ไปถึงแล้วรีบติดต่อพี่นะ”

“อื้อ จะรายงานตลอดเลยนะ...” เด็กหนุ่มหันไปมองพี่ชายตัวเองด้วยอีกคนก่อนจะส่ายศีรษะเบาๆแล้วถอนหายใจออกมา

“พี่ราม... ไม่เป็นไรแน่เหรอ”

“อืม ไม่เป็นไร” ราเมนทร์ยิ้มแล้วขยี้หัวน้องชายเบาๆ

ตั้งแต่วันนั้น... ก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย

คิดถึง... แต่ไม่สามารถไปหาได้ เป็นความทรมานที่สักวันหนึ่งจะชินได้หรือเปล่าก็ยังไม่รู้

“ไปกันเถอะรัน”

“แล้วเจอกันนะพี่หมอ” เขากระโดดเข้าไปกอดคนรักอีกครั้ง

“รักพี่บีมนะ”

 

 

ราเมนทร์ที่นั่งข้างทางเดินปล่อยตัวเองให้จมอยู่กับเก้าอี้ เขาไม่มีอีเมล ทวิตเตอร์ เฟสบุ๊ค หรืออะไรที่จะติดต่อธันย์ชนกได้เลย เพราะปกติทุกครั้งแค่เคาะประตูก็ได้เจอกันแล้ว

ร่างสูงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะหลับตาลง

...ยิ่งนานยิ่งคิดถึง...

“นี่.... ไปทำอะไรมานะ ถึงโดนบอกเลิกน่ะ” น้องชายที่กังวลมาตั้งแต่แรกตัดสินใจเอ่ยถาม

ราเมนทร์ทำกำลังจะปล่อยตัวเองให้จมในห้วงความคิดขมวดคิ้วแล้วหันมามองรัญชน์

“ไม่มีอะไร ไม่ต้องคิดมาก...แค่ทะเลาะกันน่า”

“เป็นซากขนาดนี้น่ะเหรอไม่มีอะไร ก็รักกันขนาดทิ้งรันไปญี่ปุ่นนี่ ทะเลาะเรื่องอะไรน่ะ” เขาไม่คิดจะปล่อยให้อีกฝ่ายตัดบททิ้งแน่ๆ

“เรื่องของผู้ใหญ่น่า เราสนแต่ไอ้หมอไปเถอะ”

ตั้งแต่คบกับธันย์ชนก ความรู้สึกอิจฉาที่มีแต่แฟนหนุ่มของน้องชายก็ลดลงเรื่อยๆ จนตอนนี้สามารถมองทั้งคู่ได้โดยที่ไม่เจ็บปวดแล้ว

“ได้ไง พี่ทั้งคนนะ! นิสัยไม่ดีเลย นอกใจพี่ธันเหรอ” รัญชน์เถียงกลับ

“เปล่าน่า! คิดอะไรอยู่ฮึเราน่ะ” ปลายนิ้วหยาบบีบจมูกโด่งรั้นเบาๆ

“พี่จะนอกใจธันทำไมล่ะ”

“แล้วไม่ง้อเหรอ รักพี่ธันไม่ใช่เหรอนะ” เขาหันมาเอียงคอถามพี่ชาย

“บางทีผู้ใหญ่ก็มีเหตุผล... ที่ทำให้ง้อไม่ได้เหมือนกัน ธันกับพี่ไม่เหมือนเรากับแฟน... แค่พื้นฐานเริ่มต้นก็ต่างกันแล้ว”

...อีกคู่เริ่มจากความรัก...

...ส่วนอีกคู่... จนถึงวันสุดท้ายก็ยังไปไม่ถึงคำนั้น

“หรือรันว่าไง เพราะถึงง้อ... ก็ยังไม่เห็นหนทางเลยไม่ใช่เหรอ”

“ก็... ถ้ารักกันก็ต้องได้สิ” เขาตอบตามความรู้สึกของตัวเอง

“ถ้าเป็นอย่างงั้น.... ถ้าเขายอมใจอ่อนก็ดี”

“ก็ถ้าพี่รามรักพี่ธัน ก็ต้องบอกให้เชื่อสิว่ารัก”

“......................นอนแล้ว” ราเมนทร์พูดเบาๆแล้วหันหนี

รัก.....กับชอบ......

เพราะสองคำนี้เลยต้องเสียคุณไป

“ไม่ต้องง้อได้เลยงั้น” คนตัวเล็กแลบลิ้นใส่ก่อนจะหันหลังให้พี่ชายแล้วหยิบผ้าห่มขึ้นคลุมตัวเองบ้าง

“รัน......” เงียบได้สักพักพี่ชายก็เป็นฝ่ายเอ่ยขึ่นก่อน

“ชอบกับรัก...ต่างกันยังไง”

“ก็ชอบคือชอบไง เหมือนรันชอบเอริค............................” เจ้าตัวเล็กที่รู้ดีว่าเผลอหลุดอะไรออกไปจึงเลือกที่จะนั่งเงียบเพื่อดูปฏิกิริยาพี่ชาย

“ชอบอะไร? เอริค? ไอ้เด็กกวนตีนนั่นน่ะเหรอ” ราเมนทร์หันกลับมามองตาเขม็ง

“มีอะไรปิดบังพี่อยู่ใช่ไหม เราน่ะ”

“............. ไม่มีได้ป่าว” เด็กหนุ่มหลบตาพลางยิ้มกว้างเรื่อยเปื่อย

“ไปฝึกนิสัยกวนอย่างงี้จากไอ้หมอแหง ตอบพี่มาเลยรัน!”

“.... ก็เคย.... คบกัน.....” รัญชน์ตอบอ้อมแอ้ม

“คบกันตอนไหน ทำไมพี่ไม่รู้” คนเป็นพี่ชายทำเสียงเขียวใส่

“ก็... บอกพี่ก็โกรธรันสิ..... ตั้งนานแล้ว... ตั้งแต่รู้จักกัน..... นั่นแหละ...” เด็กหนุ่มเบ้ปากพลางหันหน้าหนีไปมองอีกทาง

“หัดหลอกพี่มาตั้งแต่เด็ก...จำไว้เลยไอ้ตัวเล็ก” จะให้โกรธไปก็เท่านั้น มือใหญ่ลูบเส้นผมสีอ่อนเบามือด้วยรอยยิ้ม

“คราวหน้ามีแฟนใหม่ต้องให้พี่พิจารณาก่อน เข้าใจไหม”

“ไม่มีแล้ว! จะมีได้ไงนะ รันรักพี่หมอนะ ไม่เหมือนกับเอริคนะ นั่นรันแค่ชอบนะ” รัญชน์แทบจะหันมาแยกเขี้ยวใส่เมื่อได้ยินคำว่าแฟนใหม่

“แล้วสรุปว่ารักกับชอบมันต่างกันยังไง” สุดท้าย คำถามเดิมก็วนมาอีกครั้ง

“ก็... เอริครันแค่ชอบ ตอนเลิกกันก็ไม่เสียใจขนาดนั้น ไม่ได้คิดว่าจะต้องอยู่ด้วยกันตลอดไป... แบบนั้นอะ” เด็กหนุ่มร่างเล็กเอนศีรษะลงซบกับไหล่กว้างก่อนจะเอ่ยพูดต่อ

“ส่วนพี่หมอ รันอยากอยู่ด้วยตลอดไปนะ คิดภาพอนาคตที่จะมีพี่หมอไว้เลย อะไรแบบนั้น... ขาดไม่ได้นะ”

...ถ้าขาดไม่ได้คือรัก งั้นตัวเขาที่รู้สึกแบบนั้นกับธันย์ชนกจะเรียกว่ารักงั้นหรือ...

“พี่เลิกกับธัน... พี่เสียใจมากนะรัน... แล้วพี่ก็ไม่รู้ว่ามันจะกลับมาเหมือนเดิมได้หรือเปล่า... เขาคงไม่ให้อภัยพี่...”

“................” นัยน์ตากลมโตหันไปมองพี่ชายแล้วค่อยเอื้อมมือไปตบต้นแขนเบาๆราวกับจะให้กำลังใจ

“พี่ก็ต้องพูดให้พี่ธันเชื่อสิ ว่าพี่รักพี่ธันขนาดขาดไม่ได้น่ะ”

“.........ไว้จะลองแล้วกัน” ราเมนทร์พูดแล้วหลับตาลง

...ขาดไม่ได้คือรัก...

...เพราะงั้น...บางทีผมอาจจะรักคุณ...

 

 

“บ้าที่สุด...” น้ำเสียงหวานที่มักจะฟังแสบแก้วหูสำหรับธนกฤตวันนี้กลับสั่นเครือ ธิวรางค์นั่งอยู่บนโซฟาตัวยาวพร้อมกับหนังสือเล่มหน้าบนตก กับกล่องทิชชู่ที่ถูกยกมาไว้ข้างกาย

หมอหนุ่มมองน้องสาวที่มักส่งเสียงแว้ดๆ แต่ที่แปลกไปคือวันนี้กลับนั่งนิ่งร้องไห้กะอืดๆเหมือนลูกนกสำลักน้ำ ธนกฤตเดินไปนั่งข้างๆแล้วหยิบหนังสือที่อีกฝ่ายอ่านอยู่ออกมา

“อ่านไรวะแบม ร้องไห้หน้าตาดูไม่ได้เลย”

“นิยายรักของธันย์ เศร้าเป็นบ้าเลย สงสารนางเอก ผู้ชายแม่งเลวกันหมด” ไม่ตอบเฉยๆ แต่เจ้าหล่อนยังใส่ความเห็นของตัวเองแถมมาด้วย

“อ้าวเฮ้ย พูดงี้ได้ไงวะ พี่แกก็ผู้ชายนะ” ธนกฤตพลิกดูหน้าปกไปมา

“มันเศร้าขนาดนั้นเลยเหรอ”

“เคยเป็น ไม่นับเป็นผู้ชายแล้ว” หล่อนแขวะให้ก่อนจะหยิบทิชชู่มาเช็ดหน้าเช็ดตาอีกครั้ง

“อือ เศร้ามาก นางเอกน่าสงสารโคตร ชีวิตมีแต่มรสุม”

“เฮ้ย ชอบผู้ชายก็ยังเป็นผู้ชาย น้องบีมไม่ได้อยากแต๊บเสริมอึ๋มยัดก้นเด้งนะคะ” พี่ชายทำท่าตุ้งติ้งแล้วเอาทิชชู่เช็ดให้อีก

“เรามันอ่อนไหวไปป่ะ มรสุมอะไร พระเอกถูกนางร้ายตื๊อ เข้าใจผิดเหมือนทั่วๆไปอ่ะดิ่”

“เอาไปอ่านเองเลยไป ไม่ใช่เรื่องงี่เง่าแบบนั้นหรอกน่า”

ธนกฤตเปิดดูคร่าวๆ

“คนเขียนชื่อธันย์เหรอ ไม่เห็นเคยได้ยิน นักเขียนใหม่ป่ะ”

หญิงสาวส่ายศีรษะก่อนจะตอบคำถาม

“เขียนมานานแล้ว แต่นี่เป็นเรื่องแรกที่เศร้าน่ะ”

“งั้นขอยืมไปหน่อยแล้วกัน อยากรู้ว่าจะเศร้าแค่ไหนกันเชียว”

 

 

“พี่ราม พี่หมอส่งหนังสือมาให้อ่าน รันยังขี้เกียจอยู่นะ.... อ่านแล้วเล่าให้ฟังทีดิ” คนเป็นน้องเอ่ยบอกทันทีที่พี่ชายเปิดประตูเข้าบ้านมา

“ตอนสไกป์กันพี่บีมยังร้องไห้ตาบวมเลย... อ่านแทนทีนะ” รัญชน์เอ่ยทับแกมบังคับ

พอนึกหน้าผู้ชายตัวโตๆร้องไห้ตาบวมก็อดขำไม่ได้ ราเมนทร์ลูบหัวน้องชายเบาๆแล้วรับหนังสือมาวาง

“เราก็อ่านสิ ฝึกไว้ จะได้อ่านไทยคล่องๆ”

เกือนสองเดือนแล้วที่อยู่ที่นี่... ในตอนแรกเขาคิดว่าแค่สองอาทิตย์ก็น่าจะเสร็จ แต่พอมาถึง เอเจนซี่เจ้าที่เคยสนิทสนมและ”ใหญ่”ในวงการกลับป้อนงานใหญ่ให้เขา จนแทบไม่มีเวลาไปไหน

หรืออีกอย่าง... คือเขาไม่มีเหตุผลที่จำเป็นต้องอยู่ไทยแล้ว

กับธันย์ชนก... เพราะบอกไว้ตอนเลิกกันว่าจะไม่ยุ่งวุ่นวายให้รำคาญใจ เพราะอย่างนั้น แม้จะอยากติดต่อเท่าไรชายหนุ่มก็ต้องฝืนความรู้สึกไว้..

แต่ราเมนทร์รู้ข้อดีอย่างหนึ่งของการอยู่ห่างกัน... คือเขาได้รับรู้ว่าเป็นห่วงและคิดถึงธันย์ชนกแค่ไหน

“ก็อ่านให้รันก่อนนะ นะ.... นะ” สามนะแบบนี้แปลได้ชัดว่ากำลังออดอ้อนพี่ชายของตัวเองชัดเจน

“อือ ไว้ว่างๆก่อนแล้วกัน”

...ไอ้ตัวขี้อ้อนก็ยังเป็นตัวขี้อ้อนวันยังค่ำ ความรู้สึกรักของเขายังคงมีให้ไม่เปลี่ยนแปลง

...แค่ไม่ชัดเจนว่ารักที่เป็นอยู่... มันคือรักแบบไหน...

“เย้” เด็กหนุ่มร่างเล็กกระโดดเข้ากอดราเมนทร์เต็มแรง

“แล้วอย่าลืมมาเล่าให้รันฟังนะ”

“อื้อ”

ไม่รู้ว่าจะทนอ่านได้แค่ไหน...เพราะเท่าที่เคยเป็นมาไม่เกินหนึ่งบทก็จอดซะแล้ว

“ไว้ว่างๆก่อนแล้วกัน ปะ ไปหาอะไรกินกันดีกว่า”

ราเมนทร์วางหนังสือลงกับโต๊ะ หลังสือเล่มหนา...ที่จะเปลี่ยนชีวิตเขาไปทั้งชีวิต

 

 

เสียงจังหวะยาวในการรอสายไม่ได้ทำให้คนโทรหงุดหงิดในการรอสักนิด รอยยิ้มจางที่แฝงความน่ากลัวยังคนจับบนใบหน้า... รอเวลาที่ใครบางคนจะลนลานรับโทรศัพท์มือถือที่ส่งไปให้ทางไปรษณีย์

“รับเร็วสิ...ธันย์ชนก”

-ไม่ต้องโทรมาแล้วนะ- น้ำเสียงสั่นไหวเอ่ยขอร้อง

“ไม่ให้โทร? แสดงว่าอยากเจอหน้าฉันล่ะสิ... แต่ขอโทษจริงๆนะ พอดีช่วงนี้ฉันยุ่งๆ” น้ำเสียงคุกคามที่ฟังเผินๆเหมือนกำลังทักทายเพื่อนเก่ายังคงพูดต่อ

“คิดถึง... อยากกอดนาย... นายคิดถึงฉันหรือเปล่าธัน”

-..... ไม่.... ฉันไม่อยากเจอนายแล้วบอล.......-

“พูดอย่างนี้คิดดีแล้วเหรอ... อย่าลืมสิว่าฉันมีความลับของนายอยู่” ภูริพูดเบาๆแล้วหัวเราะ

ต่อให้ต้องแย่ง..ต้องเลว เขาก็จะเอาของๆเขาคืนมา

“รูปนายที่กำลังร้องไห้อยู่ใต้ตัวผู้ชายอื่น... แฟนนายคงชอบนะ”

-ฉันบอกแล้วว่าเขาไม่ใช่แฟน เราเลิกกันแล้ว!! นายก็ด้วย ออกไปจากชีวิตของฉันเสียที- น้ำเสียงที่ดังขึ้นไม่ได้ฟังน่ากลัวเลยแม้แต่น้อย เป็นแค่การทำเสียงดังสู้กับความหวาดกลัวของตัวเองก็เท่านั้น

“ที่ฉันกลับมาเพราะจะทวงนายคืนต่างหาก เลิกกันแล้วก็ดี... งั้นฉันเปลี่ยนใจแล้ว อีกสองสามวันฉันจะไปหานายที่ห้อง ถ้านายไม่เปิดให้ฉันจะเปิดโปงภาพหลุดของคุณธันย์ นักเขียนชื่อดัง...”

ปลายนิ้วสากกดตัดสายทันทีที่พูดจบ เขามองโทรศัพท์ในมือแล้วหัวเราะเสียงดัง... ด้วยน้ำเสียงแสนขมขื่น

...ถ้าตอนนั้นฉันไม่ทำพลาดไป...

...ตอนนี้ฉันจะยังคงมีนายเคียงข้างใช่ไหม...

 

 





“........ พี่ราม?” คนที่กลับมาถึงบ้านแปลกใจกับไฟที่ยังไม่เปิดและสภาพบ้านที่ดูจะเงียบๆผิดปกติ เพราะไม่เห็นคนตัวโตที่มักจะมาต้อนรับ หรือบอกว่าเย็นนี้จะพาไปทานอะไร

“รัน... กลับมาแล้วเหรอ...” เสียงแหบห้าวดังจากมุมหนึ่งของโซฟา

ราเมนทร์ลุกขึ้นจากตรงที่นอนอยู่แล้วเดินมาสวมกอดน้องชายแน่น

...พี่รักรัน...

เป็นเส้นความรักที่ปิดกั้นหัวใจของเขา โซ่ที่พันธนาการไว้ไม่ให้เขารักใครได้อีก

...แต่บางที กุญแจที่ไขโซ่นั้นได้คือตัวเขาเอง

“รัน... พี่จะกลับไทย” เป็นครั้งแรกที่ราเมนทร์บอกความปรารถนาของตัวเองมาตรงๆ โดยไม่มีคำถามต่อว่าพี่จะกลับได้ไหม หรือ รันจะอยู่ได้หรือเปล่า

“ธันเขารอพี่อยู่... เขารอให้พี่กลับไปหา ไปบอกรักเขา....”

หนังสือเล่มหนาที่มาจากไทย ตัวละครที่ครั้งหนึ่งเขาเคยเห็นตั้งแต่เป็นร่างคาแรคเตอร์... หญิงสาวที่ถูกทำร้ายกับเจ้าชายต่างภพ

หากความรู้สึกที่ขาดหายไปเป็นถนนเส้นหนึ่ง หนังสือเล่มนี้คงเป็นสะพานเชื่อมที่จะพาให้เขารู้สึกถึงบางสิ่งที่ชัดเจนไม่ใช่แค่คิดถึง ไม่ใช่แค่ห่วงหาหรือต้องการคนอยู่เคียงข้าง

...แต่เป็นรัก... ที่ไม่มีมายาใดๆมาพรางตา...

...ธัน... ผมรักคุณ...

“อือ กลับสิ ง้อให้ได้นะ” เด็กหนุ่มยิ้มกว้างให้อย่างเข้าอกเข้าใจ

“รันโตแล้วนะ”

“บางทีมันอาจจะนาน ยังไงรันก็ดูแลตัวเองด้วย มีอะไรโทรหาพี่นะ... พี่จะออกเดินทางพรุ่งนี้แล้ว” ชายหนุ่มคลายอ้อมกอดแล้วมองน้องชาย... ที่จู่ๆก็ดูโตขึ้นผิดหูผิดตา นัยน์ตาสีน้ำตาลเทาไล่มองรัญชน์แล้วเขาก็พบความจริงที่ว่า ความรักที่เคยคิดว่าผิดบาปนั้นได้หายไปแล้ว

...ในชั่วเสี้ยววินาทีที่เขารู้ตัวว่ารักใคร...

“อื้อ ได้ ไม่ต้องเป็นห่วงรันนะ” เขาโอบกอดพี่ชายเอาไว้แน่น

“ง้อให้ได้นะ”

“รุ่นนี้แล้วไม่มีผิดหวัง” ราเมนทร์ยิ้มกว้าง... และเป็นรอยยิ้มจากใจจริงครั้งแรกนับตั้งแต่มาอยู่ออสเตรเลีย

 

To be continued...

หัวข้อ: ・・・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ Chapter 39 อดีตที่หลอกหลอน [11/04/15]
เริ่มหัวข้อโดย: kagehana ที่ 11-04-2015 19:36:34
-39-




 

“บอล..... เลิกยุ่งกับฉัน... เสียที” นัยน์ตาสีเข้มจ้องมองคนที่ยืนอยู่หน้าประตูพลางเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย

“ไม่...อย่าให้ฉันต้องเหนื่อยน่า สองเดือนมานี้ฉันคิดถึงแต่นายคนเดียวเลยนะ...” ภูริยิ้มยียวนแล้วถือโอกาสผลักประตูเข้ามาในห้อง

“ทีเมื่อก่อนนายตัวติดฉันแจ พอมีผู้ชายใหม่ก็บอกให้เลิกยุ่ง ฉันเป็นคนหวงของ...นายก็รู้”

“... รู้ ถึงได้อยากให้นายไป..... ฉัน.... ไม่อยากเห็นหน้านายอีกแล้วบอล....” เขาตอบเสียงเรียบโดยไม่มีอารมณ์ใดใด พยายามข่มความหวาดกลัวที่เริ่มตีขึ้นมาอีกครั้งเมื่อได้ยินคำว่า 'หวงของ'

ธันย์ชนกที่ดูแปลกไปทำให้ภูริชะงักไปเล็กน้อย เหมือนกับไม่กลัวเขาและอดีตอีกต่อไปแล้ว... ซึ่งเป็นท่าทีที่น่าหวั่นเหลือเกิน

“นายไม่กลัวเรื่องนั้นจะเปิดเผยหรือไง.....วันนี้ฉันมีของให้นายดูด้วยนะ”

มือใหญ่หยิบอัลบั้มในกระเป๋าออกมาแล้วดึงรูปถ่ายในนั้นมาโยนแทบเท้า

“คัดพิเศษเพื่อนายโดยเฉพาะ....ถือว่าเป็นของขวัญจากฉัน”

“!!!??? ภาพที่ปรากฏต่อสายตาทำให้หัวใจวูบไหว อดีตที่วิ่งหนีกลับมาหลอกหลอนจิตใจจนลนลาน เพราะไม่เคยคิดว่าจะต้องเห็นภาพเหล่านี้ ที่ตอกย้ำชัดเจนยิ่งกว่ายามฝันร้าย

“ม-- ไม่!! ไม่บอล!! นายจะเอาอะไร??”

ปีศาจร้ายในร่างคนพรายรอยยิ้มหล่อเหลา เขาดึงรั้งร่างเล็กที่สั่นไหวมากอดแล้วกระซิบข้างหู

“เมียฉัน ผู้หญิงแสนดีที่น่าเบื่อที่สุดในโลกไม่อยู่สองอาทิตย์ ฉันจะมาอยู่กับนายที่นี่... แล้วฉันจะยอมเก็บรูปสวยๆพวกนี้ไว้สักพัก...”

...สองอาทิตย์...

...อย่างนั้นเหรอ...

“แค่.... สองอาทิตย์... ใช่ไหม....” น้ำเสียงที่เอ่ยถามออกไปฟังสั่นไหว แผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน

“ทำไงได้ แพรไปแค่นั้น ฉันยังอยากให้ไปสักสองเดือนด้วยซ้ำ” ภูริทำท่าเบื่อหน่าย

ผู้หญิงแสนดีเพียบพร้อมทุกอย่าง... แต่เขาไม่เคยมีความสุขหรือตื่นเต้นเมื่ออยู่ใกล้ ไม่มีอาการใจเต้นเหมือนอยู่กับธันย์ชนกในตอนนั้น

“ให้ฉันอยู่นะธัน...”

...คล้ายกับตัวเองไม่มีทางเลือก ธันย์ชนกไม่ต้องการให้รูปเหล่านั้นไปปรากฏที่ไหน อยากจะให้หายไปจากโลกใบนี้ด้วยซ้ำ

“... แล้วนาย ต้องทิ้งรูปพวกนั้น.......”

“อือ....” คำตอบรับไปส่งๆไม่ได้สร้างความมั่นใจให้คนฟังสักนิด

“ถ้านายยอมทำตามใจฉัน รูปพวกนั้นไม่มีวันที่ใครจะได้เห็นแน่”

...อดทนแค่สองอาทิตย์...

...แค่สองอาทิตย์เท่านั้น...

“เข้าใจ... แล้ว” เขาตอบรับโดยไม่อาจรู้ได้ว่าอีกสองอาทิตย์ข้างหน้าตัวเองจะต้องเจอกับอะไรบ้าง

...หรือตอนจบของนิยาย...

...เป็นแบบนั้นดีแล้ว...

 

 

“ขอดูแหวนวงนั้นหน่อยครับ” ร่างสูงในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์ชี้นิ้วไปที่แหวนทองคำขาวแบบเกลี้ยงที่วางอยู่บนชั้นวาง ในมือถือช่อลิลลี่สีขาว...

ดอกไม้ที่ธันย์ชนกชอบ

ทั้งที่ตอนแรกว่าจะกลับมาเร็วที่สุด แต่ดันเจอมรสุมงานเข้ามาจนล่าช้าไปสองอาทิตย์ นิยายเล่มหนาที่ถูกเปิดอ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่านั้นได้พกมาด้วยในกระเป๋า

“วงนี้นะคะ” พนักงานสาวแย้มรอยยิ้มหวานให้พลางเอื้อมมือเข้าไปหยิบแหวนวงนั้นออกมาอย่างระมัดระวัง ก่อนจะวางลงบนถาดไม้ที่ปูกำมะหยี่ไว้

ราเมนทร์หยิบแหวนขึ้นมาดูแล้วยิ้มออกมาจางๆ ดูจากขนาดแล้วน่าจะพอดี... แถมรูปลักษณ์ยังเรียบๆซึ่งเหมาะกับคนที่ไม่ชอบสะดุดตาใครๆอย่างธันย์ชนก

ชายหนุ่มวางแหวนลงแล้วหยิบการ์ดยื่นให้พนักงาน

“เอาวงนี้ครับ”

“รอสักครู่นะคะ” พนักงานสาวหยิบแหวนขึ้นมาแล้วค้อมศีรษะให้ ก่อนจะเดินหายเข้าไปด้านหลังร้านเพื่อหยิบเอากล่องและถุงออกมาให้ราเมนทร์เลือกดู

ราเมนทร์ใช้เวลาเลือกสักพักก่อนจะตัดสินใจเลือกเอากล่องเรียบๆกล่องหนึ่ง เขารับบัตรและของมาด้วยอาการหัวใจพองโต

...การที่รู้ว่าตัวเองรักใครจริงๆแล้วมันเป็นเช่นนี้เอง...

ชายหนุ่มอมยิ้มกับตัวเอง... และภาวนาให้ชายหนุ่มที่แสนคิดถึงคนนั้นยังไม่นอนหลับไป

...คุณจะดีใจหรือเปล่านะ...

...ถ้าตอนนี้ ผมจะบอก...ว่ารักคุณ...

 

 

“ย-- อย่า... อ.... อือ..... บอล.... ม...” ธันย์ชนกเอ่ยเสียงสั่นพร่า ร่างกายสั่นสะเทิ้มอยู่ภายใต้พันธนาการของภูริ

“ว่าไงนะ...พูดชัดๆสิธัน...” ชายหนุ่มรั้งข้อมือที่ผูกไว้แล้วจับปลายขาของธันย์ชนกแยกออกกว้าง

“ตรงนั้นของนายที่ถูกไอ้นั่นเข้าไป....เดี๋ยวฉันทำความสะอาดให้แล้วกัน”

“อึก! ม.... ไม่บอล..! อย่า--!?” น้ำเสียงที่อ้อนวอนฟังดูอ่อนแรงไร้ประโยชน์

ท่อนล่างที่เปลือยเปล่าของอดีตคนรักถูกสอดแทรกแก่นกายแข็งแรงเข้าสู่ภายในโดยไร้การโลมเร้าใดๆ ความปรารถนาที่หื่นกระหายถูกยัดเยียดลงสู่ร่างบาง... เหมือนที่ครั้งหนึ่งได้เคยกระทำไว้ในวันที่ฝนเทสาดอย่างกราดเกรี้ยว

“... ฉันจะลงโทษ... ที่นายให้... ผู้ชายคนอื่น... กอด...” เสียงทุ้มต่ำคล้ายเสียงสัตว์ครางกึกก้อง

หลังจากวันที่ธันย์ชนกยอมให้เข้ามาอยู่ ร่างบางก็ตกเป็นเป้าหมายในการร่วมรักอย่างดุดันสนองความต้องการปีศาจในร่างคน สามวัน... ที่ภูริเอาแต่มัวเมาในร่างบอบบางที่เต็มไปด้วยรอยขบเม้มที่เขาสร้างมันขึ้น จะมีก็เพียงตอนที่หลับและกินข้าวทำความสะอาดร่างกายเท่านั้นที่ชายหนุ่มไม่ดึงร่างบางมาแนบชิดกาย

“ฉันไม่ให้ไป... ไม่ให้นายหนีไปจากฉัน... นายเป็นของฉัน... ธัน... ธัน...” น้ำเสียงคลุ้มคลั่งกระซิบข้างหูพลางสอดร่างกระแทกลึกเข้าไป

“... จ... เจ็บนะ... บอล... อ.. อึ้ก--!” น้ำตาค่อยๆเอ่อไหลลงอาบแก้มสีซีด บาดเจ็บทั้งหัวใจและร่างกาย

“พ... พอเถอะ... พอ”

“ลืมมันสิธัน... ลืมมัน แล้วมารักฉันเหมือนเดิม” กายที่สั่นระริกของธันย์ชนกยังแสดงความรังเกียจตัวตนของเขาเหมือนในวันวาน

ภาพในวันนั้นซ้อนทับกับวันนี้... จนภูริรู้สึกเจ็บในใจ

“บอกสิว่ารักฉัน อย่าร้องไห้ บอกมา!”

“ไม่-- ฮึก ฉัน... ไม่ได้รัก.... นายแล้ว” ใบหน้าสวยพยายามหันหนี

-เพี๊ยะ-

ใบหน้าสวยถูกฝ่ามือฟาดอย่างรุนแรงจนหันไปฝั่งตรงข้าม ภูริกระแทกกายซ้ำจนได้กลิ่นคาวเลือด มือที่แข็งเหมือนเหล็กบีบปลายคางแล้วก้มลงชิมรสขื่นของเลือดในโพรงปาก

“ห้าม...พูด...ไม่งั้นฉันจะฆ่านาย...แล้วจะฆ่าตัวตายตาม”

ความรุ่มร้อนอันบ้าคลั่งทะยานจนถึงที่สุด ภูริกระตุกเกร็งตัวแล้วปลดปล่อยเข้าสู่ภายในอันบอบช้ำ ข้างในที่ถูกปลดปล่อยซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่สามารถรองรับของเหลวที่พวยพุ่งออกมาได้ พอร่างสูงถอนกายออก หยาดน้ำจึงไหลออกมาเปรอะเปื้อนสะโพกแดงช้ำและท่อนขาเรียวที่ไร้เรี่ยวแรง... ก่อนจะค่อยๆหยดลงเลอะผ้าปูที่นอนยับย่น นัยน์ตาสีเข้มเหลือบมองสีแดงของโลหิตที่ไหลออกมาปะปนพลางยิ้มจางๆมุมปาก

“เหมือนตอนนั้นเลยธัน... นายที่กำลังถูกทำลาย... ชักอยากถ่ายรูปเก็บไว้แล้วสิ ดีไหมธัน... รูปของนาย... ของนายกับฉันคนเดียว...”

คนที่ถูกทำร้ายได้แต่ร้องไห้สะอึกอื้น ไม่สามารถสรรหาคำพูดใดใดออกมาบรรยายความรู้สึกในตอนนี้ได้

...นอกจากเฝ้าหวังให้เป็นเพียงฝันร้ายและจบลง

 

 

...ตอนนี้จะยังอยู่ที่เดิมหรือเปล่านะ...

ราเมนทร์คิดขึ้นมาหลังจากที่ยืนอยู่หน้าห้องของธันย์ชนก ชายหนุ่มถือช่อลิลลี่แล้วจ้องมันด้วยความรู้สึกหลากหลาย มือใหญ่กระชับกล่องแหวนในมือแล้วตัดสินใจเคาะเบาๆ

“ธัน.... อยู่หรือเปล่า”

ทว่าเจ้าของห้องกลับไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น

“พอ... หรือยัง.......” นัยน์ตาไร้แววจ้องมองอย่างขอร้อง

“หึ... ยังหรอกนะ นายต้องอยู่ให้ฉันทำอย่างนี้จนกว่าจะพอใจ” ภูริลุกขึ้นแล้วคว้าผ้าเช็ดตัวมาพันลวกๆ ร่างกายที่ยังไม่ได้ชำระล้างเดินจะไปอาบน้ำ หากแต่ได้ยินเสียงเคาะประตูเบาๆดังขึ้นมาก่อน หัวคิ้วขมวดมุ่นขึ้นมาทันทีอย่างไม่สบอารมณ์

“ใครวะแม่ง ขัดจังหวะชิบ”

ภูริยักไหล่ ไม่แม้แต่จะเดินไปประตู เขาหมุนตัวเดินเข้าห้องน้ำทิ้งร่างบอบบางให้นอนหมดสภาพบนเตียง

“... อ... อึก.....” ธันย์ชนกพยายามขยับตัวแต่ก็ไปไหนไม่ได้เพราะพันธนาการที่ข้อมือ ในใจนึกต่อว่าตัวเองที่รับข้อตกลงที่ไม่น่าเชื่อถือของอีกคน ทั้งๆที่น่าจะรู้ดีที่สุดว่าคนอย่างภูริไม่น่าจะรักษาสัญญาได้

“ธัน...” เสียงแผ่วๆดังขึ้นอีกครั้ง ราเมนทร์เคาะประตูแรงขึ้น เท่าที่ได้ยิน... เขาได้ยินเสียงเดินในห้อง แต่ไม่รู้เพราะอีกฝ่ายไม่อยากเจอหรืออะไรถึงไม่ยอมตอบรับ

...ไม่ได้แล้วใช่ไหม...

...ที่ผมจะบอกว่ารัก...

เสียงที่ได้ยินพร้อมกับเสียงเคาะประตูเรียกให้น้ำตาไหลออกมาอีกครั้ง ชายหนุ่มที่ไม่อาจขยับตัวได้ทำเพียงปล่อยให้ตัวเองร้องไห้ออกมา

...คิดถึงเหลือเกิน...

...เสียงของคุณ...

...แต่ขอร้อง...

...กลับไปเสียเถอะครับ...

“ยังไม่ไปอีกเหรอวะ” น้ำเสียงหงุดหงิดดังขึ้นจากด้านในก่อนร่างสูงในชุดเดิมจะเดินออกมา นัยน์ตาคมมองร่างบอบบางที่ปล่อยให้น้ำตาไหลรินก็พอจะเดาเรื่องได้ ภูริยิ้มกว้างแล้วปราดเข้ามาหาธันย์ชนก

“ธัน... ไอ้หมอนั่นมันกลับมา... เลิกกับมันนะ อย่าไปรักมัน มันรับนายไม่ได้หรอก ถ้ารู้เรื่องของพวกเรา... เชื่อฉันนะ... ไม่มีใครรักนายได้หรอก เพราะนายเป็นของฉันคนเดียว”

ภูริลุกขึ้นแล้วเดินไปที่ประตู เขาหมุนลูกบิดทำท่าจะปลดล็อก

“ให้มันเห็นนายตอนนี้... คงสนุกดีนะ...”

“ไม่!! อย่านะบอล!!!” น้ำเสียงแหบแห้งตะโกนบอกห้าม มือสองข้างพยายามขยับสู้อีกครั้งเพื่อสลัดให้หลุด

...ขอแค่นั้น...

...อย่าให้คุณเห็นผม...

ภูริหันไปมองอีกครั้งก่อนจะปลดล็อก... แล้วเปิดประตูออกกว้าง

ราเมนทร์ที่ยิ้มกว้างพร้อมช่อดอกไม้นิ่งอึ้งไปทันทีที่เห็นว่าใครเป็นคนเปิด ร่างสูงไล่สายตาสำรวจสภาพห้องแต่ไม่ทันได้ทำอะไร ดอกไม้ในมือที่ถืออยู่กลับถูกกระชากลงไปกับพื้นแล้วเหยียบซ้ำจนช้ำหัก นัยน์ตาสีน้ำตาลอมเทาฉายแววไม่พอใจอย่างชัดเจน ราเมนทร์ผลักไหล่ผู้ชายที่รู้ว่าเป็นแฟนเก่าของธันย์ชนกแล้วเดินกระแทกไหล่เข้าไปโดยไม่รู้ว่าคนที่ถูกผลักนั้นยิ้มกำลังยิ้มร้ายกาจรอเรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้น

“ธัน...คุณอยู่ไหน..”

...ทำไม...

...ผมมาช้าไปใช่ไหม...

“ไม่!! คุณราม-- ออกไป!!! อย่าเข้ามา ผมไม่อยากเห็นหน้าคุณ!!!” ธันย์ชนกร้องตะโกนลั่นพลางพยายามดิ้นให้หลุดจากพันธนาการ

ราเมนทร์ชะงักอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงตะโกนที่เกือบจะเป็นตวาด... แต่เพราะปลายเสียงที่อ่อนแรงทำให้อดที่จะเดินเข้าไปต่อไม่ได้

เขาเคยเห็นภาพที่ไม่น่าดูมามากมาย... แต่สิ่งที่กำลังปรากฏต่อสายตาเขาตอนนี้คือภาพที่เลวร้ายที่สุดในชีวิต

ธันย์ชนก... คนรักของเขา อยู่ในสภาพเปลือยเปล่าและถูกพันธนาการข้อมือยึดไว้กับหัวเตียงจนแดงช้ำ ร่างกายที่เคยเป็นสีนวลมีร่องรอยฟกช้ำและรอยแดงนับไม่ถ้วน ยิ่งไปกว่านั้น ท่อนขาเรียวที่ถูกมัดแล้วจับแยกออกกว้างแลเห็นส่วนอ่อนไหวที่อ่อนตัว... และช่องทางด้านหลังที่เปรอะเปื้อนด้วยโลหิตและหยาดขุ่นข้น

ราเมนทร์มองใบหน้าสวยที่บัดนี้เต็มไปด้วยรอยน้ำตา

“ธัน... ธัน...” ราเมนทร์พูดอะไรไม่ออกได้แต่พึมพำเรียกชื่อแล้วเดินเข้าไปหาช้าๆ

ภูริมองภาพของคนที่ถูกทำร้ายทั้งสองคน แล้วยิ้มออกมาอย่างไม่ปิดบัง

“กลับมาทำไมล่ะ ฉันบอกแล้วไงว่าอะไรที่เป็นของฉัน ฉันต้องเอาคืน...”

“............. เข้ามา.... ทำไม...... ครับ......” น้ำเสียงที่ไร้กำลังเอ่ยผะแผ่ว ใบหน้าที่มีแต่รอยน้ำตาเบือนหนี รู้สึกคล้ายกับหัวใจถูกขยี้จนไม่เหลือแม้แต่ซาก

แววตาของธันย์ชนกที่ราวกับคนสูญเสียทุกสิ่งบ่งบอกได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้มาจากความปรารถนาของเจ้าตัว ราเมนทร์เดินเข้าไปหาแล้วแกะเชือกที่มัดข้อมือทั้งสองก่อนจะเลื่อนลงไปแกะที่ปลายเท้าและรวบร่างอ่อนเพลียเข้าสู่อ้อมแขน

“ธัน... ขอโทษ... ผมขอโทษ...”

ร่างกายบอบบางสั่นระริกซ้ำยังเกร็งขืนสัมผัสอบอุ่นที่อีกฝ่ายมอบให้ ใบหน้าของธันย์ชนกยังคงเบือนหนี

“ออกไป.... ครับ... อย่า...”

“ไม่... ธัน... อย่าร้องไห้” ชายหนุ่มรู้ซึ้งถึงคำว่าหัวใจสลาย เขาได้แต่กอดร่างคนรักที่เปรอะเปื้อนไว้ด้วยกำลังแขนที่มี

“หึ... ทำตัวเป็นพระเอก จะบอกให้นะธัน ไม่มีใครมันรับได้หรอกเรื่องที่นายถูกคนอื่นกอด... ยกเว้นฉัน... อย่าไปเชื่อมัน” ภูริพูดขึ้นอย่างร้อนรนด้วยเห็นท่าทีของราเมนทร์ที่กอดธันย์ชนกอย่างทะถุถนอม

“ไม่มีใครรักนายจริงหรอก!”

“หุบปาก!” ราเมนทร์หันหน้าไปตวาดแล้วหันกลับมาลูบศีรษะธันย์ชนกอย่างอ่อนโยน

“ไม่เป็นไรนะธัน ผมอยู่ตรงนี้... จะอยู่กับคุณ... เชื่อผมนะ...”

“ผม......” นัยน์ตาแดงช้ำจ้องมองคนที่เอ่ยคำสัญญา ไม่อยากจะเชื่อว่าราเมนทร์จะพูดอย่างนั้นออกมาได้ ในอกรู้สึกเต็มตื้นขึ้นมา

...จนลืมบางสิ่งบางอย่างไป

ภูริมองภาพธันย์ชนกแล้ว ความโกรธยิ่งเพิ่มขึ้น ร่างสูปราดเข้ามากระชากไหล่บอบบางในอ้อมกอดราเมนทร์แล้วดึงเส้นผมสีดำจนใบหน้าสวยแหงนขึ้น

“อยากโง่เหมือนตอนนั้นใช่ไหม โดนรุมซะขนาดนั้นไม่เข็ดหรือไง” ภูริตอกย้ำด้วยน้ำเสียงร้อนรน

“ไม่มีใครรักนายหรอก ไม่มีสักคน นอกจากฉัน”

“โอ๊ย--! ไม่-- บอล! อย่า-- ฮึก.... อย่า อย่านะ--!” ธันย์ชนกรู้ดีแล้วว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร มือที่เป็นอิสระแล้วพยายามเอื้อมคว้าท่อนแขนแข็งแรงของภูริเอาไว้ หมายจะยื้อยุดเพื่ออ้อนวอนไม่ให้พูดต่อ

“แฟนแกน่ะถูก--” ไม่ทันได้พูดจบ กำปั้นก็พุ่งเข้าใสหน้าจนภูริล้มลงไปกับพื้น

ราเมนทร์ลุกขึ้นยืน นัยน์ตาสีสวยเต็มไปด้วยความคั่งแค้น เขาลุกเข้าไปหาแล้วเตะคนที่นอนอยู่เต็มแรง ราเมนทร์กระชากคอเสื้อคนที่นอนอยู่ขึ้นมาแล้วต่อยใบหน้าจนแตกเลือดไหลอาบ

“อย่ามาแตะต้องธันอีก” น้ำเสียงราบเรียมแต่เฉียบขาดพูดขึ้น

“ธันเป็นคนของฉัน แกไม่มีสิทธิ์มาแตะต้อง”

“ถามธันดูสิว่าใครได้แตะต้องก่อน! ฉันเป็นผู้ชายคนแรกของเขา ไม่สิ... ต้องบอกว่าพวกฉันถึงจะถูก...” ภูริค่อยๆยันกายขึ้นแล้วปาดเลือดที่มุมปาก ก่อนจะถ่มน้ำลายลงพื้นแล้วเหยียดยิ้มสะใจ

“บอกเขาไปสิว่าครั้งแรกของนายเป็นยังไง!”

“บอล!!!” ชายหนุ่มได้แต่สะอื้นออกมาพลางก้มหน้าลง

“ไม่... ไม่.....”

“หยุดพูดเรื่องพวกนี้แล้วออกไปซะ ก่อนที่ฉันจะแจ้งตำรวจจับแก!” ราเมนทร์พูดแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา

“เอาสิ จะได้รู้กันไปเลยว่านักเขียนชื่อดังเป็นเกย์ โดนข่มขืนยับ ทีนี่ต่อให้ปิดใครก็ไม่มิดแล้วเรื่องอดีตของนาย”

ธันย์ชนกได้แต่ร้องไห้ สิ่งที่หลุดออกมาปะปนกับเสียงสะอื้นมีเพียงคำว่า พอแล้ว กับ หยุดเสียที เพราะไม่อยากให้ราเมนทร์ต้องรับรู้เรื่องราวในอดีตเลยแม้แต่สักนิดเดียว

ราเมนทร์มองคนรักแล้วได้แน่นึกสงสาร แต่ตอนนี้... หากเขาแสดงความหวั่นไหวเพียงชั่วครู่ก็คงจะเปิดโอกาสให้คนตรงหน้ารังควานไม่รู้จบ

“ถ้าแกกล้าทำ... ฉันจะฆ่าแก” สันกรามถูกขบแน่นด้วยความโกรธ ร่างสูงใหญ่ประเคนหมัดซ้ำเพื่อยืนยันว่าเขาเอาจริง

ภูริได้แต่ปัดป้อง นักธุรกิจกับช่างภาพที่ต้องแบกกล้องร่วมสิบกิโล... ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะ

ราเมนทร์เตะเข้าที่ท้องก่อนจะตวัดขาเตะที่ปลายคางจนภูริล้มทั้งยืน... และนอนหมอบอยู่แทบเท้า

ใบหน้าที่เคยดูดีบิดเบี้ยวเพราะความเจ็บปวดและคั่งแค้น อดีตคนรักของธันย์ชนกผงกหัวขึ้นมองแล้วกระอักเลือดออกมา แต่ไร้เรี่ยวแรงจะทำอะไร

“ไปซะ แล้วอย่ามายุ่งกับเราอีก แกมันไม่คู่ควรกับคนดีๆอย่างธัน”

“เฮอะ... คนดีๆ” ภูริค่อยๆลากตัวเองลุกขึ้น แล้วเดินโซเซไปที่ประตู

“งั้นเชิญดูคนดีของแก... ที่ในรูปพวกนี้แล้วกัน” พูดจบ มือเขียวช้ำก็ควักรูปถ่ายหลายสิบใบออกมาโปรยทั่วห้อง

“ขอให้แกมีความสุขกับอดีตของแฟนแก... ที่เป็นเมียของอีกหลายๆคน....”

ภูริหัวเราะกึกก้องก่อนจะเดินโผเผออกนอกประตูไป ทิ้งให้ทั้งห้องจมอยู่กับความเงียบงัน...

มือที่ไร้แรงเอื้อมคว้าร่างสูงที่ยืนนิ่ง

“อย่าดูนะครับ.... คุณราม.... อย่าดู--!” ร่างบางขยับลุกหมายจะไปเก็บรูปถ่ายของตัวเองที่ไม่เคยได้ดูให้พ้นจากสายตาของราเมนทร์

...แต่ทุกอย่างมันสายเกินไป

รูปหลายสิบใบ...เป็นภาพที่แค่ดูแวบแรกก็รู้ว่าเป็นการข่มขืน..

เขาเหลือบเห็นรูปหนึ่งที่ตกอยู่ปลายเท้า ราเมนทร์เอื้อมหยิบขึ้นมาดูก่อนจะขยำทิ้งช้าๆ

...ไอ้เลว...

ในภาพนั้น ธันย์ชนกที่เนื้อตัวเปล่าเปลือยถูกจับให้นอนหงาย ใบหน้าหวานเปรอะเปื้อนหยาดน้ำตาและของเหลวที่แค่มองก็รู้ว่าเป็นอะไร ริมฝีปากเล็กๆถูกบีบจนอ้าออกเพื่อรองรับส่วนแข็งขึงของใครคนหนึ่ง อดีตแฟนเก่าที่อยู่ในรูปถ่ายกำลังสอดใส่อยู่ในช่องทางด้านหลังที่เลือดสีแดงไหลหยดลงบนเตียงสีขาวยับย่น ด้านข้างมีผู้ชายอีกคนกำลังใช้มือปลดปล่อยหยาดอารมณ์ใส่ใบหน้าสวย และอีกน่าจะมีอีกหนึ่งคน... ที่เป็นคนถ่ายรูปใบนี้

ความรู้สึกขมๆพุ่งมาจากช่องท้อง พอมองรูปอื่นที่ตกอยู่บนพื้นแล้วมีร่างเล็กๆของธันย์ชนกกำลังใช้มือที่สั่นเทาเก็บก็เห็นไม่แตกต่างกัน คนในรูปมีเพิ่มลดจำนวนไปบ้าง แต่ทุกรูป... ผู้ถูกกระทำเป็นธันย์ชนก

...และกลุ่มคนที่รุมข่มขืนก็เป็นเพื่อนทั้งสามคนและอดีตคนรักที่เขาเก็บรูปถ่ายที่ธันย์ชนกมีแต่รอยยิ้มนั้นไว้...

“เลว... ไอ้สัตว์นรก...” ราเมนทร์พึมพำเบาๆ แล้วค่อยๆย่อตัวลงนั่งกับพื้น เก็บรูปมาพลิกกลับด้านลงปิดบังภาพถ่ายเหล่านั้นจากสายตา

...คนรักของเขา...

...และอดีตที่โหดร้าย...

ชายหนุ่มนั่งหลับตานิ่ง...โดยไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้เลย

“อ... ออกไปครับ.... ออกไป!” ธันย์ชนกเอ่ยไล่ทั้งน้ำตา ในช่วงเวลาที่รู้สึกว่าไม่เหลืออะไรในชีวิตอีกแล้ว เขาไม่อยากมองสายตาของราเมนทร์ที่คงมองตัวเองด้วยความสมเพช

...หรือรังเกียจ

“ธัน...ไม่เป็นไรนะ...ไม่เป็นไร...” ราเมนทร์คลานไปหาธันย์ชนกที่นั่งร้องไห้ราวกับจะขาดใจบนพื้น ชายหนุ่มโอบร่างบอบบางที่ถูกทำร้ายไว้ในอ้อมกอดที่รัดจนแน่นเพราะกลัวจะแตกสลายลงไป

“คนผิดคือพวกมัน... ไม่ใช่ธัน...” น้ำตาไหลจากดวงตาที่เศร้าโศกที่มองเห็นพื้นพร่าเลือน

“ให้ผมอยู่นะธัน... ให้ผมอยู่กับคุณ... อย่าไล่ผม... อย่าร้องไห้คนเดียว”

“ไม่... รังเกียจผม... เหรอครับ...” ใบหน้านองน้ำตาเงยขึ้นสบมองพลางเอ่ยถามเสียงเบา

ชายหนุ่มส่ายหน้าเบาๆ... เขาไม่ได้รังเกียจธันย์ชนกเลยสักนิด หากจะมี... ก็เป็นเพียงความสงสารและเสียใจที่ตัวเองปล่อยให้เหตุการณ์ร้ายๆนี้ย้อนมาในความทรงจำของคนรักอีกครั้ง

“............”

...แล้วตัวเขาเองล่ะ...

ราเมนทร์ที่กอดคนรักอยู่รู้สึกผิดอย่างรุนแรงเมื่อนึกถึงตนเอง เพราะครั้งหนึ่ง เขาเองก็เคยบังคับฝืนใจธันย์ชนกเหมือนกัน

“ธัน... ผมขอโทษ... เรื่องวันนั้น ขอโทษที่ทำร้ายคุณซ้ำ... ขอโทษที่ฝืนใจคุณ...” ขณะที่พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ชายหนุ่มก็ลูบแผ่นหลังบอบบางไปด้วย เรื่องกล้องถ่ายรูป กับอาการสั่นยามถูกกอด ก็คงเป็นเพราะเรื่องราวเลวร้ายนี้เหมือนกัน

“ผมมันเลว... ไม่ต่างกับพวกมันเลย...” น้ำตาอุ่นร้อนหยดลงผ่านปลายจมูก... สู่หัวไหล่บอบบางที่มีรอยช้ำ

...ขอโทษ... ที่ตอกย้ำแผลของคุณ...

“อย่า... พูดแบบนั้นครับ...” ธันย์ชนกไม่เคยเอาอีกฝ่ายไปเปรียบเทียบแบบนั้นด้วยซ้ำ คนพวกนั้นทำไปด้วยความสะใจ ระบายอารมณ์ใคร่ของตัวเองใส่เขาที่ไร้ทางสู้ ครั้งแล้วครั้งเล่า ในขณะที่ราเมนทร์ทำไปด้วยความเมา

คำพูดธันย์ชนกที่ช่วยปลอบทำให้รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง แต่ความรู้สึกผิดก็ยังคงอยู่...

“ผมจะไม่ปล่อย... ให้เกิดเรื่องแบบนี้... ขึ้นอีกแล้ว”

ธันย์ชนกได้แต่ร้องไห้ มือไม้ที่อ่อนแรงยกขึ้นโอบกอดแผ่นหลังกว้างเอาไว้ด้วยเรี่ยวแรงที่มี

...คุณจะอยู่กับผมจริงเหรอครับ...

“...... กลับมา... ทำไมครับ....”

“...กลับมาอยู่กับคุณไง...” ราเมนทร์ยิ้มออกมาได้เมื่อธันย์ชนกเป็นฝ่ายกอดบ้าง เขาจูบเบาๆที่ข้างแก้มแล้วซุกใบหน้าบนลาดไหล่บาง

“..ผมน่าจะกลับมาเร็วกว่านี้... คุณจะได้ไม่ต้องเจอเรื่อง... แบบนี้”

หากจะบอกรักตอนนี้...อีกฝ่ายคงไม่มีเรี่ยวแรงจะฟังแล้ว

...รอให้จัดการอะไรบางอย่างเสร็จก่อน...

...ผมจะบอกว่ารักคุณ...

“............... อืม” เขาตอบรับให้กับอะไรนั้น ตัวเองก็ยังไม่แน่ใจ เพียงแค่น้ำเสียงอ่อนโยนกับอ้อมกอดนี้ ก็ทำให้รู้สึกคล้ายกับจะทิ้งทุกอย่างไว้ข้างหลังได้

“ไปอาบน้ำกันนะ” พูดจบร่างสูงก็อุ้มร่างบอบบางที่เหมือนจะหักพับไว้แนบอกแล้วก้าวเดินไป

นัยน์ตาอ่อนแรงที่สบมองมีเพียงความรักส่งไปให้

“ทั้งๆที่ผม... บอกว่าไม่รัก... คุณรามแล้ว”

แต่ผมรักคุณ...ราเมนทร์ต่อในใจ

“ไม่เป็นไรหรอกธัน...เพราะคุณโกหก... ผมรู้”

“!? ................ ขอบคุณ......” รอยยิ้มจางๆปรากฏขึ้นบนใบหน้า แบบที่ว่าหากไม่สังเกตดีๆก็คงไม่เห็น

...ขอบคุณที่กลับมาหาผม...

...ขอบคุณที่รับรู้ถึงความรักของผม...

 

 

 

 

 

 

 

 

To be continued...
หัวข้อ: Re: ・・・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ Chapter 39 อดีตที่หลอกหลอน [11/04/15]
เริ่มหัวข้อโดย: iamtoon ที่ 13-05-2015 12:03:18
พี่รามอย่าไปยอมมมมมม มันทำร้ายคนที่พี่รามรักเลยนะะะะะะ เอาให้จมดินแบบไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาอีกเลยเถอะะ  :angry2: :m31:
หัวข้อ: ・・・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ Chapter 40 เช้าวันใหม่ [05/06/15]
เริ่มหัวข้อโดย: kagehana ที่ 05-06-2015 10:44:31
-40-









หลังจากพาธันย์ชนกไปชำระล้างร่างกายแล้ว ราเมนทร์ก็โอบอุ้มคนรักของตัวเองที่พันเพียงผ้าขนหนูมาวางบนโซฟาที่เขาชอบนั่งประจำ ชุดนอนถูกเอามาวางไว้ข้างๆก่อนที่ชายหนุ่มจะลุกขึ้นขยับใส่ให้ช้าๆ

“วันนี้ไปนอนห้องผม...ไม่สิ เราย้ายไปอยู่ห้องผมกัน ของค่อยเอาตามไปแล้วคืนห้องนี้ซะ เดี๋ยวผมจัดการเรื่องให้นะธัน...”

...ไม่อยากให้คุณอยู่ในสถานที่ที่มีแต่ความทรงจำเลวร้าย

“.... ถ้าคุณอยู่ด้วย....... ผมไม่เป็นไร... หรอก” เจ้าของห้องตอบเสียงเบา ความรู้สึกในตอนนี้เขาเองก็ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหน หากแต่ถ้าราเมนทร์อยู่ข้างๆแบบนี้ไปตลอด ก็ไม่ต้องการอะไรเพิ่มเติมมากมาย

“ผมกลัวว่ามัน... เอ่อ... มันชื่ออะไรนะ” ราเมนทร์แสร้งถาม... เขาต้องการข้อมูลของคนที่ทำร้ายธันย์ชนก เพื่ออะไรบางอย่าง... ที่บอกคนตรงหน้าไม่ได้

“ยังไงผมขอชื่อมันไว้ เผื่อมันมาอีกจะได้แจ้งให้ตำรวจลงบันทึกประจำวันว่ามันบุกรุก... ผมกลัว... ว่ามันอาจจะแอบกลับมาอีก” ชายหนุ่มใส่เสื้อผ้าให้จนเสร็จแล้วหยิบยาและผ้าพันแผลมาทำแผลตรงข้อมือให้เบาๆ

“... ภูริ..... ปัญจวิเชียร....” ชายหนุ่มมองคนที่กำลังทำแผลให้ด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความรัก

...ผมรักคุณ...

...รักเหลือเกิน...

“เสร็จแล้ว...ไปนอนไหมธัน” ราเมนทร์พันผ้าก็อซให้แล้วลูบเบาๆ เขายกข้อมือเรียวขึ้นมาแนบริมฝีปาก

“......... เราจะผ่านมันไปด้วยกันนะ ธันไม่ต้องกังวลอะไร... ไม่ต้องคิดมาก ไม่ต้องคิดว่าตัวเองไม่มีค่า...” ชายหนุ่มเลื่อนสายตาขึ้นไปสบด้วยความรู้สึกที่เต็มเปี่ยม

“... เพราะคุณเป็นคนที่มีค่าที่สุด... ในชีวิตผม...”

“.................” น้ำตาไหลออกมาด้วยคำพูดที่บอกว่าตัวเองนั้นมีค่า ธันย์ชนกพยายามกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ขณะที่บีบมือของราเมนทร์แน่นขึ้น

“.... อือ........ อือ......”

ปลายนิ้วสากแตะที่ผิวแก้มแล้วเช็ดน้ำตาออกให้อย่างทะนุถนอม

“ไปนอนนะธัน....”

...ขอให้คุณนอนหลับฝันดี...

...ส่วนผม...จะทำให้คนที่ทำร้ายคุณไม่กล้ากลับมาอีก...ตลอดไป...

 

 






ท่ามกลางความมืดมิดในห้องกว้าง มีร่างที่เคยยืดอกสูงใหญ่นั่งขดตัวซุกอยู่ที่มุมห้อง แสงพระจันทร์ที่ฉายลงบนพื้นเป็นสิ่งเดียวที่บอกว่าตอนนี้อยู่ในช่วงเวลาใด

คนที่นั่งอยู่ขยับตัวนิดหนึ่งแต่ก็สูดปากเพราะความเจ็บ เขาเอามือกุมซี่โครงที่คาดว่าน่าจะหักเอาไว้ นัยน์ตาสีดำหรี่ลงอย่างคั่งแค้นเมื่อนึกถึงสาเหตุที่ตัวเองต้องบาดเจ็บและกลับมาในสภาพแตกยับโดยที่ทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้เลย

เสียงกริ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากเจ้าของห้อง ร่างอ่อนเพลียที่บาดเจ็บค่อยๆลุกขึ้นเดินไปตามเสียงนั้น เขาลากขาช้าๆด้วยความเจ็บปวด... ที่แม้จะผ่านไปสามวันแล้วก็ยังไม่ดีขึ้นเลย

“ใครครับ” เสียงแหบถามไปเบาๆ เพราะด้วยหน้าตาที่ต้องรักษา... ทั้งของตนเองและภรรยา เขาจึงจำใจใช้แต่ภาษาสุภาพ

“คุณภูริ... ปัญจวิเชียร นะครับ”

“ครับ... ไม่ทราบว่าใครครับ” ภูริขมวดคิ้วแน่น แม้ที่นี่จะเป้นห้องพักในอพาตเม้นท์สุดหรู แต่ยามวิกาลเช่นนี้ก็ไม่น่าจะมีใครมาหาได้

“ผมมาจากเคาน์เตอร์ด้านล่าง พอดีมีพัสดุด่วนมาถึงคุณครับ”

ภูริถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเปิดประตูให้ไปรับ

“รีบๆเอามา จะได้เสร็จเรื่องซะที”

“งั้นคงต้องขอเวลาหน่อยแล้วกัน” ปีกหมวกที่หุบลงถูกเปิดขึ้นเผยใบหน้าคุ้นเคยที่ฉายแววตาโหดเหี้ยม

“แก!!”

 






 

นัยน์ตาที่บวมช้ำจากการร้องไห้ค่อยๆเปิดขึ้น ท่อนแขนเรียวขยับช้าๆก่อนจะรู้สึกได้ว่าคนที่นอนกอดอยู่นั้นได้หายไปแล้ว

“...... คุณราม” น้ำเสียงแหบแห้งเอ่ยเรียกแผ่วเบาก่อนจะมองไปรอบๆห้องขณะที่ยันกายขึ้นนั่ง

...แต่ก็ไม่มีแม้แต่เงา

ธันย์ชนกค่อยๆขยับลุกขึ้นแล้วก้าวลงจากเตียง รู้สึกปวดไปตามร่างกายจนต้องนิ่วหน้า

...อยู่ข้างนอกหรือเปล่านะ

ทว่าพอเดินออกไป กลับไม่เห็นแม้แต่เงา

...คงออกไปซื้อของล่ะมั้ง...

ร่างบางตัดสินใจนั่งลงที่โซฟาแล้วเอนตัวพิง

...เดี๋ยวคงกลับมา...

 






 

-ตุ้บ-

ร่างสะบักสะบอมถูกเหวี่ยงลงไปนอนกองกับพื้น ปลายเท้าของราเมนทร์ถีบหัวไหล่ให้อีกฝ่ายหงายขึ้นแล้วเหยียบบนยอดอกไว้

“แค่นี้มันยังไม่สาสมกับที่แกทำกับธันไว้ แต่ฉันกลัวแกตาย...” ใบหน้าหล่อเหลาชื้นเหงื่อยังคงราบเรียบ มีเพียงดวงตาที่ลุกโชนด้วยความแค้น

“ไม่ใช่ห่วงแกหรอกนะ ฉันห่วงตัวเอง ไม่อยากเข้าคุก” ปลายเท้าหนักๆกระทืบซ้ำ

“ฮะฮะฮะ” คนที่นอนหงายสะบักสะบอมหัวเราะลั่นห้องสลับกับสำลักเลือด

“ถุย พระเอกนะมึง เห็นรูปแล้วสินะ เป็นไง... ธันตอนเรียนมหาลัยของกูสวยไหม มึงรู้เปล่าว่าตอนที่กูใส่เข้าไปน่ะธันมันร้องยังกับผู้หญิงเสียซิงเลยนะเว้ย”

คำพูดหยาบคายที่อีกฝ่ายพ่นออกมาทำให้ร่างสูงฟิวส์ขาด เขาลงนั่งกับพื้นแล้วดึงเส้นผมชุ่มเลือดของภูริขึ้นมา

“หุบปากหมาๆของแกซะ” หมัดหนักๆกระแทกเข้าครึ่งปากครึ่งจมูกจนเลือดไหลโกรก ภูริเจ็บจนร้องไม่ออก แต่ร่างกายอ่อนแอยังคงถูกรั้งไว้จนใบหน้าบิดเบี้ยว

“แค่ก...แค่ก...”

“ฟิล์มอยู่ไหน... รูปทั้งหมด ทุกอย่างที่แกมีอยู่ไหน!”

“กูไม่ให้ ธันของกู... นั่นมันของกูคนเดียว กูไม่ให้ใครทั้งนั้น!” พูดจบก็รวบรวมแรงทั้งหมดถุยน้ำลายปนเลือดใส่หน้า

“ธันไม่ใช่ของแก ไม่ใช่ตั้งแต่วันที่พวกแกทำร้ายเขา... แกบอกว่าแกรักธัน... อยากให้ธันอยู่กับแก... แล้วแกทำอย่างนั้นได้ยังไง” ราเมนทร์พูดเสียงเบาด้วยความรู้สึกขมขื่น

“คนที่รักจริง... เขาไม่ทำอย่างนี้หรอก” ราเมนทร์ยกแขนปาดสิ่งที่ติดอยู่บนใบหน้าออก แล้วกระชากคอเสื้อให้ภูริลุกขึ้น

“แกมันก็คนมีหน้าตาในสังคม... เมียแกก็ด้วย ฉันสืบประวัติมาหมดแล้ว.... อย่าทำให้ฉันโมโห ไม่งั้น... ฉันจะทำลายครอบครัวแกให้หมด”

“เฮอะ...” ภูริพูดออกมาแค่นั้นแล้วหลับตาลง

...เพราะรัก... มากเกินไป...

...เขาเลยต้องทำลายธันย์ชนก...

“เออ ตอนนั้นกูมันเหี้ย! กูรู้ว่ากูทำร้ายธัน แต่กูรักธัน... มึงออกไปจากชีวิตธันสิ แล้วกูจะยอมให้ฟิล์มให้รูปทั้งหมด มึงยอมแลกไหมล่ะ”

ราเมนทร์มองภูริอย่างสมเพช... หมาจนตรอกที่มีดีแค่ปาก หากไม่กำหราบในวันนี้อาจจะทำอะไรร้ายแรงขึ้นมาอีกได้

“พอเหอะ... ธันไม่ได้รักแกแล้วนะบอล...” ราเมนทร์เรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงที่ไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ

“ฉันรักธัน... และไม่มีอะไรมาเปลี่ยนฉันได้ ฉันยอมรับอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของเขา... แกอย่ามายุ่งอีกเลย ให้ธันเขามีความสุขเสียที แค่นี้เขาก็เจ็บปวดมามากพอแล้ว”

ภูริเงียบลง เขาเบือนหน้าหนีกลั้นความรู้สึกผิดที่หลั่งไหลมาอย่างท่วมท้นจนเกือบจะเป็นน้ำตา

...และเพราะความรักที่เปลี่ยนเป็นการทำลาย...

...เลยต้องสูญเสียไป...

“..........อยู่ในตู้เซฟ รหัส...วันเกิดธัน....” น้ำเสียงอ่อนล้าพูดออกมาแผ่วเบา

...รั้งต่อไปไม่ได้อีกแล้ว...

ภูริพึมพำเบาๆด้วยน้ำเสียงที่เหมือนกลั้นสะอื้น

“.......กูรักธัน...กูรักธันจริงๆ...”

หากย้อนเวลาได้...เขาก็อยากให้ความคิดชั่ววูบในวันนั้น เป็นเพียงฝันไป...

 

 

ธันย์ชนกไม่รู้ว่าตัวเองนั่งรอราเมนทร์ให้กลับมานานแค่ไหน ผ่านไปหนึ่งวัน หรือมากกว่านั้น นัยน์ตาสีเข้มที่ไร้ประกายมองเหม่อไปด้านนอก

...หรือจะไม่กลับมาแล้ว...

ร่างบางนั่งกอดเข่าอยู่ที่ริมระเบียง สายตาว่างเปล่ามองไปอย่างไร้จุดหมาย ในตอนที่ตื่นขึ้นมานั้นคิดไว้แล้วว่าราเมนทร์จะกลับมา แต่นี่ผ่านไปจนมืดแล้วอีกฝ่ายก็ยังไม่กลับมา จวบจนรุ่งสางวันใหม่มาเยือน ก็ยังไม่กลับมา พอลองเดินดูรอบๆห้องก็ไม่เห็นรูปที่ภูริเอามาโยนไว้

...หรือจะฝันไป...

ทว่าหลักฐานการทำแผลก็ยังคงอยู่ ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าเขาเปลี่ยนใจแล้วหนีไป

น้ำตาไหลลงมาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แต่ธันย์ชนกก็ไม่คิดจะปาดมันออก ร่างบางค่อยๆยืนขึ้นแล้วเอนตัวพิงกับราวระเบียงแล้วชะโงกหน้าไปมองด้านล่าง

“.... พีรกานต์... ตอนนั้นก็คงรู้สึกแบบนี้... สินะ...”

 

 

“.... ไม่มีอีกแล้วใช่ไหม” ราเมนทร์ที่เดินถือรูปและฟิล์มออกมาเอ่ยถามคนที่ยังนอนกองกับพื้นแน่นิ่ง

“บอล... ไม่มีอีกแล้วใช่ไหม ทั้งรูปทั้งฟิล์ม”

มือที่เลอะไปด้วยเลือดค่อยๆหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงออกมายื่นให้

“ไม่มีแล้ว... ที่อื่นก็ไม่มี กูมีกล้องอันเดียว... พวกมันไม่มี...” ภูริพูดไปไอไปก่อนที่แขนไร้แรงจะปล่อยให้โทรศัพท์ตกลงพื้น

“ในมือถือ... กูถ่ายจากรูป มึงเอาไปให้หมดเลย...”

ราเมนทร์เอื้อมหยิบมือถือขึ้นมารวมไว้แล้วเก็บทุกอย่างใส่ถุงกระดาษ

“บอล... ไปหาหมอซะ” ร่างสูงพูดเพียงเท่านั้นก่อนทำท่าจะเดินออกไป แต่สุดท้าย... ก็หันกลับมาพูดอีกครั้งกับคนที่นอนอยู่

“ฉันขอร้อง... ออกไปจากชีวิตธันซะ แกช่วยทำดีกับธันเป็นครั้งสุดท้าย... อย่าให้คนที่ฉันรัก..และแกก็รัก ต้องเจ็บอีกเลย อย่ามาให้เห็นหน้า... อย่ามายุ่งเกี่ยวกันอีก แกทำเพื่อธันได้ไหม....”

ราเมนทร์เห็นเพียงอาการพยักหน้าตอบรับของคนที่นอนขดร่างกายสั่นเทาบนพื้น ชายหนุ่มพรูลมหายใจช้าๆแล้วเดินไปที่ประตู

“เดี๋ยว...”

ราเมนทร์หันตามเสียงเรียกแล้วสบตากับคนที่พลิกตัวหันมาทางเขา

“....มึงรักธันจริงใช่ไหม...มึงจะไม่ทำร้ายเขา... แบบกูใช่ไหม...” คนพูดหลับตาลงช้าๆก่อนจะลืมตาเผยดวงตาแดงก่ำ ราเมนทร์พยักหน้าให้โดนไม่มีเสียงพูดใดๆ

“....... บอกธันด้วย ว่ากูขอโทษทุกเรื่องที่กูทำกับเขา... และกูจะไม่ไปยุ่งอีก... กูสัญญา”

ถ้าการรักใครสักคน... แต่ความรักนั้นมีแต่ทำร้ายอีกฝ่าย อย่างน้อยก็ควรหยุดตั้งแต่ที่ยังสามารถทำได้

...ทำร้าย...

...เจ็บปวด...

...แต่จะไม่มีอีกแล้ว...

ภูริหลับตาลงช้าๆ ปล่อยให้ตัวเองที่เหลือเพียงลำพังนอนฟังเสียงฝีเท้าและประตูที่ปิดลง

...ขอให้นายมีความสุข...กับคนที่นายรักและรักนายจริง...

...ธันย์ชนก...

 

 

“... รัก... อย่างนั้นเหรอ” ธันย์ชนกพึมพำออกมาเบาๆ ขณะที่ยืดตัวผ่านระเบียงไป

...บางทีถ้ากระโดดลงไปเลย...

...อาจจะไม่ต้องคิดอะไรอีกแล้วก็ได้...

ราเมนทร์ก้มมองดูนาฬิกาข้อมือ หลังจากจัดการกับภูริเสร็จก็ล่วงเข้าไปค่อนคืนของวันที่สามที่หลบออกมาแล้ว ในตอนแรกเขาคิดว่าจะใช้เวลาไม่นานในการตามหา แต่ยิ่งตามยิ่งสับสน กว่าจะเจอได้ก็ต้องรบรากับการเอารูปและฟิล์มกลับมาอีก

ชายหนุ่มเสียบคีย์การ์ดห้องเข้าไป ภายในห้องดูเงียบสงบ... เงียบจนเหมือนไม่มีคนอยู่ในห้อง

“ธัน... อยู่ไหนน่ะ... ธัน” ราเมนทร์เรียกเบาๆ

ทว่าเจ้าของห้องกลับไม่ได้ยินเสียงเรียกในยามที่ตัวเองกำลังยืนอยู่ริมระเบียง

...คงไม่กลับมาแล้วจริงๆ...

ราเมนทร์เดินหาในห้องจนครบก็ไม่เห็นใคร ในใจนึกร้อนรนจนแทบทนไม่ไหว เขาสืบเท้าเข้าห้องนู้นออกห้องนี้แล้วพบเพียงความว่างเปล่า ในหัวคิดแต่เรื่องร้ายๆที่อีกฝ่ายจะทำ เขาไม่มีโอกาสอธิบายเรื่องอะไรก่อนจะออกมา... ทั้งที่รู้ว่าตอนนี้ธันย์ชนกอ่อนแอถึงขีดสุดก็ตาม

นัยน์ตากังวลมองออกไปนอกระเบียง และทันทีที่เห็นแผ่นหลังเล็กบางซึ่งนั่งอยู่บนขอบ ของทุกอย่างในมือก็ถูกทิ้งลงพื้นแล้ววิ่งเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว

“ธันจะทำอะไรน่ะ!!” ทันทีที่เขากอดร่างเล็กนั้นไว้ได้ก็ตะโกนออกมา

“ธันจะตายไม่ได้... ห้ามทำอย่างนี้... ไม่นะธัน....” น้ำเสียงสั่นเครือละล่ำละลักพูดต่อ

“...... คุณราม” เขาหันมากระพริบตามองอีกฝ่ายด้วยความแปลกใจ

“........... กลับมา... เหรอครับ” น้ำตาไหลออกมาอีกครั้งเมื่อเห็นใบหน้าอีกฝ่ายชัดเจน

“กลับมาสิ... กลับมา...” ราเมนทร์แทบจะร้องไห้เมื่อเห็นแววตาของธันย์ชนก เขาอุ้มร่างบอบบางกลับเข้ามาในห้องแล้วกอดไว้แน่นโดยไม่พูดอะไรออกมาเลย

“ผมนึกว่า... คุณจะไม่กลับมา.....” มือเอื้อมมาโอบกอดร่างสูงเอาไว้แน่น

“ผมไปเอาฟิล์มกับรูป.... แล้วก็มือถือของบอลมาให้... ผมไม่หนีธันไปไหน...” ร่างสูงกอดแน่นขึ้นแล้วพาเดินไปหยิบถุงกระดาษให้

“ทั้งหมดอยู่ในนี้ พรุ่งนี้หาที่กว้างๆไปเผาทิ้งกันนะธัน ลบอดีตร้ายๆแล้วอยู่กับผมนะ”

“..... จะอยู่กับผมจริงๆเหรอครับ.....” เขายังคงไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยินจากปากของอีกฝ่าย

“อืม... ผมมีบางเรื่องที่ยังไม่ได้บอกคุณ ผมเลยต้องรีบกลับมา” ราเมนทร์ยิ้มจางๆแล้วจับมือเรียวเอาไว้

“ถ้าคุณฟังแล้ว... ค่อยตัดสินใจก็ได้ว่าจะให้ผมอยู่ด้วย... ตลอดไป... หรือเปล่า”

ราเมนทร์บีบเบาๆที่มือเรียง เขาลูบผ้าพันแผลช้าๆแล้วค่อยๆดึงผ้าก็อซออก

“แต่ผมยังไม่บอกตอนนี้หรอก.... มาทำแผลกันก่อนดีกว่า”

“อืม....” เขาตอบรับเสียงเบาพลางปล่อยให้ราเมนทร์ได้ทำตามใจ ไม่รู้ว่าสิ่งที่อีกฝ่ายจะบอกนั้นคืออะไรด้วยซ้ำ

ร่างสูงวิ่งไปหยิบยาใส่แผลและแอลกอฮอล์พร้อมสำลีมาวางไว้ข้างกายแล้วเริ่มลงมือล้างแผลใส่ยาจนเสร็จเรียบร้อยทุกอย่าง

“ขอโทษนะที่ผมไปโดยไม่บอกคุณ... แต่หลังจากนี้จะไม่มีอีกแล้ว ถึงคุณจะเบื่อจะรำคาญ... ผมก็จะอยู่ข้างๆคุณ”

ราเมนทร์ขยับตัวเข้าใกล้แล้วจูบที่ริมฝีปากบางที่แตกซีดเบาๆ... จุมพิตที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักของผู้ชายคนหนึ่ง

...ผมรักคุณ...

“... ทำไม... ถึงกลับมา... คุณ... น่าจะลืมผม... ไปแล้ว... ไม่ใช่เหรอ” เพราะเวลาสองเดือนกว่าที่เขาต้องทรมานอยู่กับอดีตของตัวเอง ก็คิดมาตลอดว่าราเมนทร์คงจะไปมีความสุขใหม่แล้ว

“....... ผม... คิดถึงคุณทุกวัน ไม่ว่าผมจะทำอะไร ภาพความทรงจำที่มีคุณมันคอยจะผุดขึ้นมาในนี้” ราเมนทร์เอื้อมมือจับมือเรียวให้มันมาแตะอยู่บนหน้าอก

“คุณทำให้ผม..... ไม่คุ้นเคยกับการไม่มีคุณนะธัน”

“........ เป็นแค่ความคุ้นเคย.... ใช่ไหมครับ” ธันย์ชนกถามเสียงนิ่ง

“ไม่ใช่นะ!” ราเมนทร์รีบแก้เพราะคราวที่แล้วที่เสียไปก็เพราะเรื่องนี้

“ทั้งที่ผมจะบอกพรุ่งนี้แท้ๆ แต่เอาเหอะ” ชายหนุ่มไปคว้ากระเป๋าของตัวเองมาแล้วหยิบหนังสือข้างในมาเปิดตรงเนื้อเรื่องหน้าสุดท้าย

“ผมจะกลับมาเปลี่ยนตอนจบของหนังสือเล่มนี้........”

“?!” เขาตกใจ เพราะไม่คิดว่าราเมนทร์จะได้อ่านด้วยซ้ำ

“... ทำไมถึงมีหนังสือของผม....”

“ก็ต้องยกความดีให้แฟนรันเขา ไอ้หมอมันอ่านแล้วชอบเลยส่งมาให้ รันใช้ให้ผมอ่านอีกที... ผมจำคาแรคเตอร์ได้เลยรู้ว่าเป็นคุณ... ผมชอบมันนะธันแต่คิดว่าตอนจบเศร้าไป...” ราเมนทร์เปิดหนังสือออกแล้วกางไปหน้าสุดท้าย ปลายนิ้วสากไล่ตามตัวหนังสือที่เขียนอยู่

...แม้กระทั่งตอนนี้...

...ข้าก็ยังรักเจ้า...

...ดีมีเทรียส...

...สักวันนึงเจ้าอาจจะลืมข้า...

...แต่ข้า...

...รักเจ้าจนลมหายใจสุดท้าย...

“บางที... พีร์ราห์เขาอาจจะไม่รู้ก็ได้นะว่าที่จริงแล้วดีมีเทรียสเป็นคนโง่... ที่เพิ่งรู้ตัวว่าเขารักใคร” นัยน์ตาสีน้ำตาลอมเทามองสบกับดวงตาคู่สวย

“ให้นิยายเรื่องนี้มันจบแบบมีความสุข... เถอะนะธัน...”

“....... คุณ... จะรู้ได้ยังไง... ผมเป็นคนเขียน.... ตอนจบแบบนี้ ก็ถูกแล้ว” ธันย์ชนกเถียงกลับทั้งที่ในอกนั้นหัวใจกำลังเต้นแรง

“ผมรู้สิ เพราะดีมีเทรียสต้องรู้สึกแบบเดียวกับผมแน่ๆ มันโง่ มันงี่เง่า... มันต้องสูญเสียไปก่อนถึงจะรู้...” ราเมนทร์ยิ้มให้คนรักแล้วโน้มตัวป้องปากกระซิบข้างหู

“....ผมรักธัน.....”

“................ จริง.... เหรอ...” เขาแทบไม่เชื่อหูตัวเอง ไม่อยากคิดว่าได้ความรักของอีกฝ่ายมาแล้ว

“คุณราม... รักผม... จริงๆ... ใช่ไหม....”

“ตอนที่คุณขอเลิกกับผม จนถึงตอนนั้นผมก็ยังไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่ผมรู้สึกกับคุณคือความรัก... แต่ยิ่งนานวันเข้า มันไม่ใช่แค่ความรู้สึกที่ต้องการคนอยู่ด้วย...แต่มันเหมือนมีอะไรขาดหายไป”

ราเมนทร์รวบร่างบางเข้ามากอดแน่นอีกครั้ง แล้วหอมที่แก้มขาวเบาๆ

“เพราะผมคิดว่าตัวเองรักรัน มันเหมือนสมองผมสั่งให้บอกตัวเองอย่างนั้น โดยที่ผมไม่ได้ฟังเสียงหัวใจตัวเองเลย”

...ว่าที่จริงแล้วผมรักใคร...

“พอผมได้อยู่กับตัวเอง ได้อยู่ห่างคุณ ได้คิดทบทวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า... ผมเลยรู้ว่าตัวเองโง่แค่ไหน... ที่ไม่ยอมบอกคุณว่ารัก”

ราเมนทร์เลื่อนใบหน้าธันย์ชนกมาสบตาแล้วกระซิบเสียงแผ่ว

“...ผมรักคุณ...”

“ฉัน.... ขอโทษ.....” เสียงของธันย์ชนกฟังดูสั่นเครือ ปลายนิ้วยกขึ้นสัมผัสใบหน้าของร่างสูงแผ่วเบา กระทั่งสรรพนามที่ใช้ก็เปลี่ยนไป ในยามที่หัวใจไม่ปิดกั้นตัวเอง

“..... ฉันรักราม..... ขอโทษ.... ที่บอกว่าไม่รักแล้ว.......”

...เพราะอดีตที่หลอกหลอน...

“บอลมาหาตอนที่รามไม่อยู่... ฉันเลยคิดว่าถ้ามีรามอยู่ด้วยฉันคงไม่เป็นไร แต่รามก็บอกว่าจะไปกับรัน... ฉันถึงคิดว่า ถ้ารามกลับมาแล้ว ฉันคงไม่เหมือนเดิม.... ฉันถึงได้........ บอกเลิก... เพราะคิดว่า.... ยังไง รามก็ไม่รักฉัน........”

“ผมรู้... ผมรู้ธัน... คุณโกหกไม่เก่ง ตอนคุณบอกไม่รักรู้ไหมว่าดวงตาของคุณเศร้าแค่ไหน” ราเมนทร์แตะที่หางตาเบาๆ

“ถ้าผมไม่ไปกับรันตอนนั้น คุณคงไม่โดนบอลทำร้าย... ผมรู้สึกแย่จัง” ราเมนทร์กอดแล้วซบใบหน้าลงบนไหล่บาง

“ช่าง... เถอะ.... ไม่เป็นไร” เขาหันมาแตะริมฝีปากที่ข้างขมับของราเมนทร์

“ไว้ผมชดเชยให้ ผมจะรักคุณเยอะๆ รักมากๆ... จะทำดีกับคุณ ให้คุณลืมเรื่องร้ายๆนะธัน ผมรักคุณ...” ฝ่ามือใหญ่ลูบไล้แผ่นหลังใต้เสื้อตัวบางเบาๆ ก่อนจะพรมจูบที่ราวกับปีกฝีเสื้อทั่วใบหน้า

“หอมพีช... หวานๆเศร้าๆ” จมูกโด่งแตะลงข้างลำคอสูดกลิ่นหอมที่แสนคุ้นเคย

“......... อืม” สัมผัสอบอุ่นที่คุ้นเคยทำให้ร่างกายสั่นสะท้าน ทั้งๆที่รู้อยู่เต็มอกว่าเป็นราเมนทร์ แต่ดูราวว่าช่วงที่ห่างหายไปกลับถูกฝันร้ายทำให้กลับเป็นดังเดิม

นัยน์ตาสีสวยสลดลง... เขารู้ว่าอาการต่อต้านนี้เกิดมาจากเรื่องใด ทั้งที่ครั้งหนึ่งมันเคยหายไปแล้ว

...เขาไม่อยากจะให้อภัยผู้ชายคนนั้น แต่ถ้าเขาทำร้ายจนอีกฝ่ายตาย... ตัวเขาเองก็อาจจะไม่ได้อยู่เคียงข้างธันย์ชนก

“ขอโทษนะธัน... ไม่เป็นไร... ไม่สั่นนะ... ใจเย็นๆ ผมไม่ทำร้ายคุณ” ราเมนทร์กอดแน่นพลางกระซิบเบาๆที่ข้างหู

“ไม่เป็นไร..... ฉันไม่เป็นไรราม....” ธันย์ชนกเอ่ยตอบเสียงแผ่ว เขายกมือขึ้นดึงฝ่ามือของอีกฝ่ายให้ทาบลงบนผิวกายที่ยังสั่นระริก

“ฉัน... ไม่เป็นไร”

“ไม่ต้องฝืนหรอกธัน เรื่องมันเพิ่งเกิด... ไม่ต้องรีบร้อนนะ ยังไงผมก็รอ” ราเมนทร์พูดจากใจจริง บาดแผลที่เบื้องหลังแม้จะไม่ใหญ่ แต่หากไปสะกิดมันอาจจะทำให้เจ็บอีก

...ไหนจะสภาวะจิตใจที่บอบช้ำ...ที่ควรจะใช้เวลาเยียวยา...

“ผมรักคุณ ไม่ใช่แค่ร่างกาย หัวใจ หรือข้างใน แต่ผมรักทั้งหมด”

“.... กอดฉัน......” คำขอร้องเบาๆที่ไม่เคยเอ่ยหลุดออกมาจากริมฝีปากบาง

คนฟังรู้ดีว่าธันย์ชนกต้องข่มความอายแค่ไหนถึงจะพูดมันออกมาได้ ใบหน้าขาวแดงก่ำไปด้วยเลือดฝาดย้อมผิวระเรื่อชวนให้หลงใหล ชายหนุ่มซุกจมูกข้างลำคอแล้วแตะปลายลิ้นเบาๆตรงร่องไหปลาร้าหยักสวยที่โผล่พ้นเสื้อ มือใหญ่สอดเข้าไปด้านหลังแล้วลูบไล้ผิวเรียบเนียนเบาๆแถวช่วงเอว

“ไม่นึกเลยว่าจะมีวันที่ธันบอกให้กอด... รู้สึกดีใจยังไงไม่รู้...”

“.... จริงเหรอ” แม้น้ำเสียงจะสั่นไหวทว่ารอยยิ้มจางๆบนใบหน้ากลับบอกตรงข้ามกัน

“ดีใจสิ... ก็ผมรักคุณนี่นา” ราเมนทร์จับที่ชายเสื้อของธันย์ชนกแล้วค่อยๆถอดออก..

รอยช้ำบนร่างกายเลือนหายไปบ้าง แต่ก็ยังพอมีให้เห็นเป็นจ้ำ ราเมนทร์มองอยู่ครู่หนึ่งแล้วดึงร่างบอบบางมากอดเบาๆ

“มาสร้างความทรงจำใหม่แทนที่มันนะ... ผมจะทำให้ธันมีความสุข...”

“อืม.....” เขาตอบรับเบาๆพลางจูบอีกฝ่ายผะแผ่วที่ริมฝีปาก

ราเมนทร์รั้งร่างบอบบางเข้ามาแนบชิด ผิวขาวถูกจูบเบาๆไปทั่วทั้งร่าง ราเมนทร์กอดซ้ำเมื่อร่างกายคนรักสั่น และรุกเร่งยามที่อีกฝ่ายโอนอ่อน ให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ

“เข้าไปได้ไหม....” ชายหนุ่มแตะที่ช่องทางเบื้องหลังแผ่วเบาแล้วกดย้ำอีกครั้ง

“...ธัน...ไหวไหม....”

“... อ... อือ...” แม้จะบังคับร่างกายไม่ได้ แต่เขาก็บอกความปราถนาของตัวเองออกมาให้อีกฝ่ายรู้

รอยยิ้มจางๆแตะบนใบหน้าหล่อเหลา ราเมนทร์ค่อยๆเล้าโลมร่างเพรียวให้มีอารมณ์ร่วม เมื่อไหร่ที่ร่างกายสั่นไหว...เขาก็จะหยุดแล้วจูบปลอบโยนให้ เหมือนครั้งก่อนที่รู้สึกเหมือนเพิ่งผ่านมาไม่นาน

...ถึงมันจะกลับมาเริ่มต้นจากจุดเดิมก็ตาม...

“รัก... ธันนะ...” ชายหนุ่มกระซิบเบาๆแล้วงับติ่งหูนิ่ม นัยน์ตาที่เงยสบนั้น... แม้ไม่ต้องพูดออกมาก็รู้ว่าต้องเป็นสิ่งเดียวกัน

“... อืม... ฉันรักราม....” เขาปล่อยร่างกายให้อีกฝ่ายได้สัมผัสตามใจโดยไม่อยากให้สนตัวเองที่กำลังสั่นระริกเพราะร่างกายที่จดจำฝันร้ายเอาไว้

คำตอบรับเสียงสั่นๆเป็นเหมือนแรงกระตุ้นแสนอ่อนโยน ราเมนทร์จูบริมฝีปากสั่นไหวแล้วแทรกตัวคั่นระหว่างขาทั้งสองข้าง ส่วนอ่อนไหวที่แข็งขึงเสียดสีกันเชื่องช้า หยาดน้ำใสๆไหลจากส่วนปลาย... ทุกครั้งที่เสียดสี ร่างของธันย์ชนกก็จะสั่นไหวและผวากอดเรียกชื่อเขา

แม้จะไม่อยากให้ธันย์ชนกฝืนเกินตัว แต่เพราะอีกฝ่ายไม่ได้ห้าม ชายหนุ่มจึงรักษาระดับของการเคลื่อนไหวไว้

“ธันพร้อมไหม.... ผมนวดเจลให้แล้วนะ.... รู้สึกถึงนิ้วผมนะ” ราเมนทร์พูดพลางขยับปลายนิ้วเข้าออกช้าๆ

“ฮึก.... อือ...” เพราะยังรู้สึกแสบแผลที่เกิดจากการฉีกขาดอยู่บ้างทำให้น้ำตาไหลออกมา กระนั้น เรียวแขนที่อ่อนแรงก็โอบกอดร่างสูงเอาไว้ด้วยความรัก พลางเอ่ยเรียกชื่ออีกฝ่ายซ้ำไปมาไม่หยุด

“ไม่เป็นไรนะ... ไม่เป็นไร...” เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังพยายามจะก้าวข้ามความทรงจำเลวร้าย ชายหนุ่มจึงไม่ได้หยุดมือแต่เปลี่ยนเป็นกอดแน่นขึ้นแล้วลูบหลังปลอบใจ

จนเมื่อช่องทางด้านหลังเริ่มอ่อนลง... ไม่แข็งเกร็งเหมือนก่อนหน้านี้ ชายหนุ่มจึงถอนปลอยนิ้วออกแล้วขยับอุ้มให้คนรักนั่งบนตัก

แก่นกายสีสวยที่สั่นไหวของธันย์ชนกแนบชิดหน้าท้องของเขา โดยมีท่อนแขนเรียวโอบรอบลำคอไว้ ธันย์ชนกซบหน้าลงกับบ่าของเขา ใบหน้าหวานแดงซ่านพลางหอบหายใจแผ่วๆ

ส่วนแข็งขึงของราเมนทร์แนบชิดกับเบื้องหลัง... ซึ่งนั่นเป็นยิ่งกว่าแรงกระตุ้นใดๆ

“ธัน... จะนั่ง... หรือนอน...” ราเมนทร์เปิดโอกาสให้ หากจากสภาพนี้... ถ้านั่งแล้วช่วยธันย์ชนกประคองสะโพก อีกฝ่ายจะรับรู้ความรู้สึกได้เร็วและดีกว่า

“... นั่ง.... ก็ได้.....” เขาตอบเสียงพร่าทั้งที่ไม่เคย ในตอนนี้เขาคิดเพียงว่าหากได้เชื่อมต่อเป็นหนึ่งเดียวกันก็พอแล้ว

แค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะให้ชายหนุ่มทำตามใจตัวเอง... ราเมนทร์ใช้มือหนึ่งประคองสะโพกเพรียวให้ค่อยๆลดตัวลงต่ำ มือหนึ่งจับส่วนรุ่มร้อนของตัวเองกดเบาๆที่รอยจีบที่ยังไม่เปิด ชายหนุ่มลดร่างคนรักลงมาเรื่อยๆ ในตอนแรกที่เข้าไปได้เพียงส่วนบนสุด ร่างในอ้อมกอดก็กลับแข็งเกร็งจิกเล็บลงบนไหล่

“ไม่เป็นไรนะ...ค่อยๆนั่งนะธัน..ผ่านด้านบนสุดไปก็สบายแล้ว” ราเมนทร์จูบที่ลำคอชื้นเหงื่อปลอบโยน

“อ... อือ.... ราม..... ราม....” ที่บังคับได้ในตอนนี้มีเพียงหัวใจที่ต้องการราเมนทร์ ถึงร่างกายจะเกร็งต้าน สั่นระริกเพราะความหวาดกลัวจากส่วนลึก แต่เขาก็รับรู้ถึงความรักครั้งนี้มากพอที่จะต่อต้านความกลัวของตัวเอง

ราเมนทร์ค่อยๆประคองสะโพกเพรียวให้ลดลงเรื่อยๆ ส่วนแข็งเกร็งที่โอบล้อมด้วยช่องทางอ่อนนุ่มดูเหมือนจะยิ่งโตขึ้นภายใน ความเร่าร้อนก่อตัวอย่างรวดเร็วทนแทบทนไม่ไหว แต่ชายหนุ่มทำได้เพียงกดอาการของตัวเองแล้วปล่อยให้ธันย์ชนกค่อยๆนั่งคร่อมลงมาจนแนบชิด

ในช่วงเวลาที่เชื่อมต่อกันสมบูรณ์ ราเมนทร์กอดร่างที่สั่นไหวไว้แนบแน่นพลางจูบปลอบนับครั้งไม่ถ้วน ฝ่ามือหนาลูบบนแผ่นหลังเปล่าเปลือยชื้นเหงื่อเบาๆด้วยความรัก

“ผมอยู่ในตัวธันแล้วนะ รู้สึกไหม...”

“อือ..... รู้สึก....” วงแขนโอบรัดรอบร่างสูงแน่น ริมฝีปากสั่นระริกแนบริมฝีปากที่ข้างขมับของร่างสูง

“ขยับได้ไหม” เสียงทุ้มถามเบาๆ

ริมฝีปากอุ่นร้อนไล่จูบที่ต้นแขน หัวไหล่ จบตรงไหปลาร้าข้างลำคอหอมๆ

“ยกตัวขึ้น... ขยับนะ”

คำพูดของราเมนทร์ทำให้รู้สึกคล้ายกับต้องมนตร์ ร่างกายเริ่มขยับตามที่อีกฝ่ายพูด ทันทีที่รู้สึกถึงการเสียดสี นัยน์ตาคู่สวยก็ปิดแน่น

“อ๊า-- ราม... อือ...”

ร่างกายที่สอดประสานค่อยๆขยับเคลื่อนอย่างเชื่องช้า ไฟอารมณ์อันเร่าร้อนถูกสุมเข้าหากันให้ลุกท่วมร่างที่กอดเกี่ยว เสียงผิวเนื้อเสียดสีสลับกับเสียงครางดังในห้องกว้าง ท่ามกลางสายฝนที่โปรปรายอย่างอ่อนโยนภายนอกหน้าต่างท่ามกลางท้องฟ้าไร้ดาว

...ท้องฟ้า...ที่จะเปลี่ยนให้วันพรุ่งนี้เป็นวันที่สวยงาม...

 

 

 

 

 

 

 

 

 

To be continued...
หัวข้อ: Re: ・・・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ Chapter 39 อดีตที่หลอกหลอน [11/04/15]
เริ่มหัวข้อโดย: kagehana ที่ 05-06-2015 10:53:11
“

-41-






“หึ...หึหึ....” เสียงหัวเราะไร้เรี่ยวแรงดังขึ้นในความเงียบ

ร่างบอบช้ำของคนที่นอนอยู่บนพื้นคลายจากการงอตัว ภูริพลิกตัวมานอนหงาย หน้าต่างที่เป็นกระจกใสเกือบทั้งบานเผยให้เห็นท้องฟ้ายามกลางคืนอันมืดมิด มีเพียงแสงดาวเล็กๆรำไรอยู่ริมขอบ มือหนาเอื้อมมือไปคว้าอากาศแต่ก็หมดเรี่ยวแรงจนมือข้างนั้นตกลงมาก่อน

นัยน์ตาสีเข้มมองข้างนอกเหม่อลอย ก่อนที่นัยน์ตาคู่นั้นจะมีหยาดน้ำตาไหลออกมา... พร้อมกับหยาดฝนเม็ดแรกที่พรำลง

...มันเริ่มผิดพลาดตั้งแต่ตอนไหน...

...ทำไมฉันถึงกลายเป็นคนแบบนี้...

ภาพอดีตย้อนเข้ามาในหัวยามที่เปลือกตาปิดลง

...ภาพ..ของวันแรกที่ได้เจอกับธันย์ชนก...



//////////



“... ฉัน... ธัน นายล่ะ” รอยยิ้มกว้างบนใบหน้ามอบให้กับชายหนุ่มร่างสูงที่นั่งอยู่ข้างๆขณะรอรุ่นพี่มาพาไปเข้าหอประชุม

“ชื่อบอล ยินดีที่ได้รู้จักนะ”



...ตั้งแต่วันนั้น ฉันก็ถูกนัยน์ตาคู่สวยดึงดูดเข้าไปแล้ว...



“ธันชอบเขียนหนังสือเหรอ” ภูริที่เพิ่งเลิกเรียนนั่งลงบนม้านั่งใต้ร่มไม้ข้างๆธันย์ชนก

“เห็นว่างๆก็เอาแต่ก้มหน้าเขียนๆ ไม่ค่อยพูดกับฉันเลย”

“อื้ม น่าเบื่อเนอะ” เขาเงยหน้าขึ้นมามองพลางตอบด้วยรอยยิ้มจางๆ

“หือ? ไม่นี่ ก็นายชอบของนาย อย่างฉันยังชอบเล่นกีต้าร์เลย สิ่งที่ชอบไม่มีเบื่อหรอกนะ” พูดจบร่างสูงก็นั่งลงข้างๆแล้วชะโงกหน้าดูในหนังสือ

“ว่าแต่เขียนอะไรเนี่ย เอามาดูมั่งได้ปะ” ใบหน้าคมสันฉีกยิ้มหวานแล้วแกล้งดึงออกมา

“เฮ้ยๆๆ ไอ้บอล แม่งนั่งจีบกันอีกแล้ว กูล่ะเซ็ง เพื่อนเป็นตุ๊ด” กลุ่มเพื่อนอีกสามคนที่ตามมาสมทบยืนหัวเราะเบาๆ

“เชี่ย พ่อมึงดิตุ๊ด สัดวี”

คนพูดน้อยหัวเราะตามพลางหันไปตอบภูริ

“อืม แต่เพิ่งวางพลอตเอง ไม่มีอะไรเท่าไหร่หรอก”

“เดี๋ยวไว้ขอดูนะ” ความสนใจถูกหันไปหาเพื่อนที่ยืนมองยิ้มๆ

“ยิ้มไรมึง ไปไกลๆไป”

“หวงเหรอวะ เฮ้ย ธัน.... ไอ้บอลมันหวงแกเหรอ เป็นแฟนกันตั้งแต่เมื่อไหร่วะ” วิสุทธิ์หยอกแล้วตบที่บ่าเล็กเบาๆ

“เป็นแฟนอะไร พวกเราเปล่า ใช่มั้ยบอล” ธันย์ชนกหันไปยิ้มให้กับอีกคนรอคำตอบ

“ไอ้พวกนี้แม่งปากหมา อย่าไปสนเลย” พูดจบก็คว้ามือไปจับแล้วพาลุกออกไป



...ฉันยังจำได้นะธัน...

...ว่าตอนนั้นมือนายอุ่นแค่ไหน...



“เล่นกีต้าร์ให้ฟังเอาปะ” ภูริขยับเอากีต้าร์ที่วางอยู่บนเตียงมาวางบนตัก ห้องส่วนตัวกว้างขวางได้ต้อนรับเพื่อนสนิทคนนี้เป็นครั้งแรก

“อยากฟังเพลงอะไร... บอกมาได้เลย”

“เอาสิ เพลงอะไรก็ได้ ฉันฟังได้หมดล่ะ” เขาหันมาตอบพร้อมรอยยิ้มจางๆ



จะอยู่ไกลห่างสักเท่าไหร่ สิ่งหนึ่งที่ยึดใจเราอยู่ ไว้ไม่ให้เราห่างกัน

คือความห่วงใยที่เธอให้ฉัน คำพูดเหล่านั้น ที่เธอคอยส่งมา

ให้ฉันได้รับรู้ ให้ฉันนั้นได้มั่นใจ ไม่มีสิ่งไหนที่จะลึกซึ้งถึงคุณค่า

ผ่านมาจากถ้อยคำนั้น ผ่านมาจากสายตาฉัน และสิ่งๆนั้นบอกฉันให้รู้ตลอดมา



ชายหนุ่มร้องเพลงเบาๆ กีต้าร์ตัวเก่งถูกดีดเป็นทำนองเพลงดังในขณะนั้น ทำนองเพลงแสนหวานถูกดีดไปเรื่อยๆพร้อมเสียงร้องนุ่มนวล ดวงตาสีเข้มมองเพื่อนตรงหน้า... ด้วยความรู้สึกที่ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอะไร



ฉันและเธอจะเดินไปด้วยกัน ไม่ว่าจะทุกข์หรือว่าจะสุขสันต์ ฉันจะมีเธอข้างกาย

วันเวลาจะนานสักเพียงไหน เพื่อนฉันคนนี้นั้นไม่มีวันห่าง และไม่มีวันจากไปไหน



คอร์ดสุดท้ายจบลงพร้อมกับร่างสูงที่เอียงตัวเข้าหาจนใบหน้าเกือบแนบชิด

“นายชอบป่ะ”

“?! อ-อือ ชอบสิ” คนที่ไม่ทันตั้งตัวถึงกับตกใจ พวงแก้มสีขาวซับสีเรื่อขึ้นมาทันที

“บอลเล่นเก่ง... เพราะดี”

“ก็เล่นให้ธัน...นายชอบก็ดีแล้ว”



ในตอนนั้น...ถ้าเพียงความสัมพันธ์ของเราถูกยอมรับจากคนอื่นๆ

...เรื่องมันคงไม่จบเลวร้ายอย่างงี้...



“ธันมีแฟนยัง” คำถามที่ถามขึ้นมาท่ามกลางความมืดในหอพักเงียบๆของธันย์ชนกในค่ำคืนที่นอนไม่หลับ ภูริพลิกตัวนอนคว่ำแล้วจ้องลงไปในดวงตาคู่สวยรอคำตอบ

คนถูกถามหัวเราะเบาๆ

“ไม่มี มีก็เห็นแล้วสิ บอลเถอะ มียัง”

“งั้นมาลองคบกันไหม” ภูริตอบด้วยคำถาม

“หา?? คบ? คบอะไรบอล” ใบหน้าหวานหันมามองด้วยความตกใจ

“ไม่รู้ดิ ก็ฉันชอบอยู่กับนายน่ะ... ก็เลยอยากรู้ว่าถ้าเราคบกันจะเป็นยังไง แต่ถ้านายไม่โอเคก็ไม่เป็นไรนะ”

“ที่บอกให้คบ... บอลรู้รึเปล่าว่าพูดอะไรออกมาน่ะ” ธันย์ชนกท้วง เพราะแค่ทุกวันที่อยู่ด้วยกัน ก็ต้องถูกเพื่อนในก๊วนช่วยกันแซววันละไม่ต่ำกว่าสามรอบแล้ว

“ก็ชอบธันไง แล้วฉันก็รู้ว่านายก็ชอบเหมือนกับ... นี่ไง เราคบกันแบบลับๆไม่ต้องบอกใครดีไหม” ท่อนแขนแข็งแรงวางพาดบนตัวเด็กหนุ่ม เพื่อนสนิทคนสำคัญที่ทำให้หัวใจหวั่นไหว

...ไม่ได้ถึงขั้นรัก แค่รู้สึกดีที่อีกฝ่ายแสดงออกว่าชอบเขาโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัว...

“ก็ไม่เสียหายอะไร ใช่ไหม?”

หัวใจเต้นรัวขึ้นแค่เพียงอีกฝ่ายพาดแขนลงมา

“..... รู้.... ตั้งแต่เมื่อไหร่” เขาเอ่ยถามเสียงเบา

“รู้..... แล้วก็ยังเป็นเพื่อนกับฉัน.... เหรอ”

“อือ... ถ้าธันชอบฉัน ฉันก็คิดว่าโอเคนะ ธันน่ารักว่าผู้หญิงหลายๆคนอีก” ภูริก้มลงแตะริมฝีปากที่ข้างแก้มซับสีเลือด

“ตกลงปะ..คบกันนะ”

ร่างบางไม่ทันตั้งตัวจึงได้แต่หันใบหน้าหลบด้วยความเขินอาย

“.... อืม.... คบกัน...”



...ทำไมนะ...

...ทำไมฉันต้องเป็นคนอ่อนแออย่างนี้...



“บอล...พรุ่งนี้พ่อจะพาไปหาคู่หมั้นแก หนูแพรลูกสาวคุณหญิงพิไล”

“ป๊า ผมมีแฟนอยู่แล้ว...”

“นั่นเรื่องของแก แต่นี่เป็นเรื่องของครอบครัวเรา แกไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ”



“บอล กูถามจริงเหอะ มึงชอบไอ้ธันเหรอวะ”

“กู... เปล่า...”

“เชี่ยแม่งโกหกว่ะ กูเห็นไอ้ธันมันมานัวเนียกับมึง เดี๋ยวจับแขน เดี๋ยวกอด ห่า มึงก็ยอมให้ทำ กูเห็น...”

“ไรวะ เดี๋ยวนี้มึงชอบไอ้นั่นแทนนมเหรอวะ ฮะฮะฮะ ติดใจล่ะสิมึง”

“เฮ้ยกูบอกว่าเปล่า กูไม่ได้คบ”



ถ้าถามว่ารักไหม... ในตอนนั้นเขายังไม่สามารถพูดได้เต็มปาก ทั้งหน้าตาชื่อเสียง และสังคมที่อยู่

มันไม่ใช่ความรัก... ต้องไม่ใช่

ก็แค่ถูกใจ... จะใครก็ได้ทั้งนั้น

ภูริตอนเรียนมหาวิทยาลัยได้แต่พร่ำบอกตัวเองเท่านั้น



“แต่ธันมันชอบมึงแน่ๆ กูถามจริงเหอะ มึงเสร็จไอ้ธันหรือไอ้ธันเสร็จมึงวะ”

“ปากหรือส้นตีนวะ ไอ้ธันมันมาชอบกูเอง กูรำคาญจะตายห่า ไล่ก็ไม่ไป” เพราะความโง่เง่าอันน่าสมเพช ถึงได้ต้องรีบปฏิเสธอย่างนี้



ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ภูริคนนั้นไม่เคยรักใคร... จะมีก็เพียงธันย์ชนกที่เข้ามามีอิทธิพลจนตัวเองยังรู้สึกกลัว กลัวจะสูญเสียทุกอย่างในมือ กลัวว่าคนอื่นจะรู้ กลัวว่าตัวเอง... จะตกหลุมรักขึ้นมาจริงๆ



“มึงคิดว่ากูเป็นเกย์เหรอ”

“แต่มึงมีไอ้ธันอยู่ อย่างงี้ก็เหมือนคู่เกย์ล่ะวะ”



เพราะมีธันย์ชนกอยู่...เลยอาจจะต้องสูญเสียทุกอย่างไปเหรอ



“ป๊าได้ข่าวมาว่าแกคบกับผู้ชายเหรอบอล ไอ้ทุเรศ ไอ้ลูกอกตัญญู”

“ป๊า-- เดี๋ยว”

“ไม่ต้องมาป๊า ลูกชายฉันต้องเป็นผู้ชาย ไม่ใช่ตุ๊ด ลูกชายฉันต้องไม่เป็นตุ๊ด”



“ไอ้ธันแม่งมีอะไรดีวะ มึงถึงไม่ยอมไล่มันซะที”

“เออ... กูบอกแล้วว่าตุ๊ดทั้งคู่ มึงปล่อยๆมันไปเหอะ”

“ห่า... กูว่าแล้ว”



ความกดดันในตอนนั้น ภูริที่ไม่เคยต้องเจอกับเรื่องแบบนี้ถึงกับสติหลุด เขาจินตนาการถึงวันที่ความจริงถูกเปิดเผย คิดถึงความรู้สึกซับซ้อนที่มีต่อธันย์ชนก...

...ไม่...

...ฉันจะไม่เป็นเกย์...

แต่ถ้าอยู่อย่างนี้ต่อไป... สุดท้ายแล้วคงไม่พ้น ต้องรักธันย์ชนกเข้าสักวัน



“พวกมึงอยากลองมั้ยล่ะว่าอะไรทำให้กูติดใจมัน... กูหาวิธีไล่มันจากชีวิตกูได้แล้ว”



ราวกับปีศาจร้ายเข้าสิง ความคิดในวันนั้นเป็นความคิดเลวร้ายที่สุด... ซึ่งมันยังคงฉุดรั้งเขาให้เจ็บปวดทุกครั้งที่นึกถึง

...ทำไมนะ...

...ทำไมฉันถึงไม่เข้มแข็งกว่านี้...



“ธัน วันนี้ไปที่หอฉันนะ” ภูริเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มที่ปิดบังความกังวลไว้

“หืม ได้สิ จะให้ฉันทำอะไรให้กินหรือเปล่า” ธันย์ชนกเอ่ยตอบทันที เขานึกถึงเวลาที่คนรักมาหาที่หอ ชอบให้ตัวเองทำอะไรง่ายๆให้ทาน

“ไม่ต้อง แค่ไปก็พอ...”



และความทรงจำเลวร้ายของธันย์ชนกก็เริ่มขึ้นตั้งแต่เปิดประตูเข้าไปในห้องนั้น



“พวกมึงจะเล่นกับมันก็ได้ แต่กูขอก่อน” ภูริผลักร่างเพรียวลงไปกลางวงแล้วก้าวขึ้นคร่อมร่างที่สั่นไหว

“บอล??? ทำอะไร????!!!!” ธันย์ชนกที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกเบิกตากว้าง

“ไอ้วี มึงล็อคแขนไว้” ภูริไม่ได้ให้คำตอบแต่กลับบอกด้วยการกระทำ

“ไอ้แจ็ค...มึงถ่ายรูปให้กูหน่อย”

นัยน์ตาสีเข้มก้มลงมองธันย์ชนกที่เงยขึ้นมาสบตาด้วยแววตาตระหนก

“ฉันจะทำให้นายออกไปจากชีวิตฉันเสียที... นายมันน่ารำคาญ น่าเบื่อ... ฉันจะทำลายนาย เอาให้ไม่มีหน้าไปสู้ใครได้เลย”



ฉันจะทำลายนาย... และอะไรบางอย่างในความรู้สึกฉันที่มันก่อตัวอย่างชัดเจน



“!!!!!??? ทำไม??? บอล-!!? อย่านะ!!!!” พอจับต้นชนปลายได้ถูก ร่างบางก็รีบปัดป้องดิ้นรน



...ทำไมวันนั้นฉันถึงไม่ยอมฟังคำขอร้องของนาย...

...ทำไมถึง..ไม่ฟังเสียงหัวใจตัวเอง...



“.....ธัน...” พอเรียกชื่อ นัยน์ตาที่บวมปิดของร่างบอบช้ำข้างใต้ก็ตื่นขึ้นมามองด้วยแววตาหวาดผวา ผิวกายเปลือยเปล่าถูกเล่นอย่างรุนแรงจนช้ำไปทั่งร่าง เสียงหวีดร้องที่ดังหลายต่อหลายครั้งมีแต่จะยั่วยุให้คนทั้งสี่กระทำตามใจตนเอง ภูริเป็นคนแรกที่ได้เข้าไปในตัวธันย์ชนกและยังครอบครองมาจนถึงตอนที่ฟื้นจากสลบไสล

“เหนื่อยหรือไง ยังไม่จบหรอกนะ”

“พอแล้ว...... พอแล้วบอล.... ฉันขอโทษ......... ฮึก-- ไม่!! ไม่!!! ปล่อย-!!!” น้ำเสียงอ่อนแรงเอ่ยอ้อนวอนแต่กลับต้องหวีดร้องอีกครั้งเมื่ออีกฝ่ายกระทำตรงข้าม

ภูริกระแทกร่างเข้าลึกสู่ภายใน ท่ามกลางเสียงเชียร์และยุส่งของเพื่อนๆที่ร่วมกันทำร้าย... เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่หลงรักเขา...

...ยังจำได้ดีถึงกลิ่นคาวเลือดที่โชยออกมาจากร่างที่ถูกทำร้ายจนยับเยิน

...และแววตาคู่สวยที่มองถามว่าตนเองผิดอะไร...



ภูริลืมตาขึ้นมองเพดานห้องอันมืดมิด เขาไอสำลักเลือดออกมากองบนพื้น

จากวันที่สายฝนโปรยปรายอย่างบ้าคลั่ง วันต่อมา... เขาก็ไม่เห็นหน้าธันย์ชนกอีกเลย

ชายหนุ่มได้ยินข่าวมาว่าธันย์ชนกลาออกจากมหาลัยแล้วกลับไปอยู่ต่างจังหวัดกับญาติ

หลายต่อหลายครั้งที่เขานึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่ทำลงไป เขารู้สึกเหมือนคนโง่เง่าที่สุด... ในตอนที่ผ่านไปหลายปี หลังแต่งงานกับคู่หมั้นสาวสวย

...ว่าเขารักธันย์ชนก...

ภูริยกมือปิดหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมาอย่างไม่อายใคร เสียงร้องไห้ดังก้องในห้องว่างเปล่าที่แสนเงียบงัน

...เสียงของคนที่โง่เง่าที่เพิ่งรู้ใจตนเอง...



//////////////////////////



“... ตื่นแล้วเหรอราม” น้ำเสียงแผ่วเบาเอ่ยถามคนที่ขยับอ้อมกอดช้าๆก่อนที่จะได้สบมองกับนัยน์ตาสีอ่อนที่น่าดึงดูด รอยยิ้มจางๆประดับบนใบหน้าของธันย์ชนกขณะที่ยกมือขึ้นสัมผัสปลายผมของราเมนทร์เบาๆ

“อือ...” น้ำเสียงงัวเงียบอกให้รู้ว่ายังตื่นไม่เต็มที่ มีแต่ร่างกายเปล่าเปลือยที่กอดรัดแน่นขึ้นเท่านั้นที่เป็นการกระทำโดยอัตโนมัติ

“เจ็บ... หรือเปล่า” คำถามที่ตามมาคือความเป็นห่วงที่พอจะแทรกความง่วงเข้ามาได้

“... ไม่เป็นไร... นะ” ฝ่ามือที่ยังเย็นอยู่แตะลงบนผิวแก้มของอีกฝ่าย ซึมซับความอบอุ่นจากผิวกายของราเมนทร์แล้วยิ้มให้อีกครั้ง

“ไม่เรียกผมว่าคุณรามแล้วเหรอ...” ราเมนทร์ดึงมือที่แตะแก้มเขามาจูบเบาๆที่กลางฝ่ามือ

“แต่ผมชอบนะ แทนตัวเองว่าฉันแล้วเรียกผมว่ารามเฉยๆเนี่ย”

“... ก็รามรักฉัน...... ใช่ไหม...” เขาเอนศีรษะเข้าหา คล้ายกับอยากได้อ้อมกอดอบอุ่นอีกครั้ง

“อือ รักสิ” คนที่เป็นหมอนให้โอบไว้เบาๆอย่างทะนุถนอม

“รักมาก... จะมากขึ้นทุกวัน... จะไม่ปล่อยให้รออีกแล้ว”

“อืม... ขอบคุณนะ... ที่รักฉัน... ที่ไม่ทิ้งฉัน...” นัยน์ตาคู่สวยปิดลงช้าๆพลางขยับตัวเข้าใกล้อีกนิด

...ความสุขที่ตามหามาตลอด...

...อยู่ตรงนี้แล้วใช่ไหม...

“ไม่ทิ้งหรอก ไม่มีวันทิ้ง ผมจะอยู่กับธันจนกว่าธันจะไล่ผม... จนกว่าธันจะเกลียดผม... แต่ผมหวังว่าไม่มีวันนั้นนะ” ราเมนทร์ยืดตัวมาหอมข้างแก้มขาวเบาๆแทนคำบอกรักใดๆ

...ให้ผมได้อยู่กับคุณ...

...ตลอดไป...



///////////////////////////



นัยน์ตาสีเข้มจ้องมองเปลวไฟสีส้มที่ไหววูบไปตามแรงลม ฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนมา10ปีกำลังถูกเผาทิ้งไม่ให้เหลือแม้แต่ซาก ภายใต้ท้องฟ้าสีเทานั้น ข้างกายของเขามีคนรักยืนอยู่

...คนที่บอกว่าจะไม่ทิ้งไปไหน...

ราเมนทร์มองเปลวไฟที่ลามเลียถุงกระดาษที่ไหม้จนจวนจะหมด เขากอดธันย์ชนกจากด้านหลังให้ตัวเองเป็นที่พักพิงของคนรัก

“จดจำไว้แต่สิ่งดีๆนะธัน... ให้เรื่องร้ายๆมันมอดไปกับไฟที่เผานะ อย่าไปจำมันอีกเลย จากนี้ไปให้ความทรงจำของเราเข้าไปแทนที่..... จำไว้นะว่าผมอยู่ข้างคุณเสมอ”

“อืม... ฉันจะจำ แต่เรื่องๆดีนะราม...”

เขายกมือขึ้นรับอ้อมกอดที่มีแต่ความรักมอบให้ไว้ก่อนจะหลับตาลง

...ครั้งหนึ่ง...

...ก็เคยมีคนกอดฉันแบบนี้...



///////////////////////////////////





“ธัน... ทำอะไรน่ะ” ร่างสูงที่เพิ่งละความสนใจจากกีต้าร์ตัวโปรดเขยิบตัวเข้ามาหา ท่อนแขนแข็งแรงวาดโอบจากด้านหลังมากอดไว้ก่อนปลายคางสากจะวางบนไหล่

“เขียนนิยายอีกแล้ว...”

เจ้าของชื่อหันไปมองยิ้มๆก่อนจะเอ่ยตอบเช่นเคย

“ก็เวลาคิดออกแล้วถ้าไม่เขียนมันจะลืมน่ะ ขอโทษนะ อุตส่าห์มีเวลากันสองคนแท้ๆ...”

“หืม? ไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่หิวหรือยัง เดี๋ยวฉันลงไปซื้อข้าวที่ร้านให้ไหม” ภูริหอมแก้มคนรักแรงๆทีหนึ่งแต่ยังไม่ยอมคลายอ้อมกอด

“ธันตัวอุ่น หอมด้วย...”

“บอลพูดไปนู่นเลย ยังไม่ได้อาบน้ำ จะหอมอะไร” ธันย์ชนกหัวเราะเบาๆพลางเอียงใบหน้าหลบเล็กน้อย

“ไม่รู้ดิ แต่หอมไง ฮ้อมหอม” คนตัวส งกว้าแกล้งหยอกด้วยการไล่จุ๊บที่หลังคอเน้นเสียงให้คนถูกทำได้แต่ดิ้นด้วยความจักจี้

“คุณยายเป็นไงมั่งอ่ะ สบายดีป่ะ”

“อืม สบายดี ยังขายขนมเทียนอยู่เหมือนเดิม” หลังจากดิ้นหนีริมฝีปากของภูริได้ ร่างบางก็เอ่ยตอบด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

“กลับบ้านคราวหน้าฉันจะเอามาฝากบอลนะ”

“อื้อ ชอบกินฝีมือของยายที่สุดเลย” ภูริลุกขึ้นยืนบิดตัวไปมา

“อยู่กับธันนี่ดีจัง สบายๆดี ไม่ต้องเหนื่อยด้วย”

“ฮะฮะฮะ จริงเหรอ ไม่น่าเบื่อแน่นะ” คำพูดของอีกฝ่ายเรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะออกมาจากธันย์ชนก

“ไม่นี่... ไม่เบื่อหรอก ฉันชอบจะอยู่กับธันจะตาย” ร่างสูงโน้มตัวลงจูบหน้าผากมนเบาๆ

ความรู้สึกดีใจถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มหวานก่อนที่จะยืดตัวขึ้นไปกระซิบบอกเบาๆ

“รักบอลจัง...”

“รักธันเหมือนกัน” ภูริตอบกลับด้วยถ้อยคำที่หวานล้ำอย่างเท่าเทียม ก่อนจะตามด้วยจุมพิตหวานบนริมฝีปากบางตรงหน้า

“.... ขอบคุณนะ.....” รอยยิ้มหวานไม่ยอมจางหายไปจากใบหน้า เรียวแขนของธันย์ชนกยกขึ้นโอบกอดอีกฝ่ายเอาไว้

“ขอบคุณอะไร ไม่เห็นต้องขอบคุณเลย” ใบหน้าหล่อเหลายิ้มกว้าง

“แค่อยู่ด้วยกันก็พอแล้ว...”

“..... อืม.... ฉันจะอยู่กับบอลนะ” ริมฝีปากขยับเข้าแตะที่ข้างขมับ

“อยู่ด้วยกัน....”



//////////////////////



...จนถึงตอนนี้ฉันก็ไม่เข้าใจ...

...ว่าฉันทำให้นายเบื่อ...

...หรือรำคาญ...

...ตั้งแต่เมื่อไหร่...

“คิดอะไรอยู่เหรอธัน...” น้ำเสียงทุ้มถามข้างหูก่อนจะขยับอ้อมแขนให้แน่นขึ้น

“ไม่สบายใจอะไรหรือเปล่า บอกผมมานะ”

“ไม่เป็นไรหรอก... มันเป็นอดีตไปแล้ว... คิดไปก็เปล่าประโยชน์” เขาหันใบหน้ามายิ้มจางๆให้คนที่โอบกอดไว้

“ใช่...ตอนนี้คิดถึงเรื่องเราดีกว่าธัน...” ปลายเสียงเลือนหายไปคล้ายลังเลที่จะพูด

“เรามีเรื่องสำคัญที่ต้องทำกัน... ธันรู้ไหม...”

ร่างบางหันมาหาพร้อมกับสีหน้าแปลกใจและรอยยิ้ม

“มีอะไรต้องทำ... อีกเหรอ”

“ฟังดีๆนะธัน... เพราะผมรักคุณ ผมถึงต้องพูดออกมา...” ราเมนทร์พูดด้วยน้ำเสียงเครียด เขาสบตากับนัยน์ตาสีดำที่มองมาตรงเขา

“เราไปตรวจเลือดกันนะธัน ทั้งผมทั้งคุณ” ร่างสูงเห็นแววเจ็บปวดในดวงตาที่ฉายออกมาวูบหนึ่งก็อดจะรวบเข้ามากอดไม่ได้

“ไม่ใช่นะธัน... ผมไม่มีทางรังเกียจ แต่ผมคิดว่ามันจะดีกว่าถ้าเราทั้งคู่รู้ไว้ว่ามันมีหรือไม่มี... เชื่อผมนะธัน ถ้าเกิดโชคร้าย... เราก็จะต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันนะ”

“.... เรา.... ใช่ไหม” เขาถามย้ำเสียงอ่อน เขาไม่เคยนึกถึงเรื่องนี้ คิดเพียงแค่ว่า ตัวเองไม่เคยอยากนึกถึงเลยสักนิด

“เราสิ... ทั้งผมทั้งคุณ ถ้าคุณโชคร้ายผมก็พร้อมโชคร้ายไปกับคุณ” ราเมนทร์ยิ้มจางๆให้

...อยากให้คุณเชื่อผม...

...ว่าผมจะอยู่เคียงข้างคุณ...

“ผมเองก็ใช้ชีวิตโลดโผนมาเยอะ เจอเรื่องราวต่างๆก็มาก...ถ้ามันจะเป็นโชคร้ายจากคนที่ผมรัก ผมก็จะยอมเป็นโดยไม่แคร์อะไรด้วย”

“....... ทำตัวเป็นพระเอก.... จังเลยนะรามน่ะ” คำพูดของอีกฝ่ายเรียกน้ำตาให้รื้นออกมา

“ไปตรวจกัน......”

“เดี๋ยวไปหาไอ้หมอ ไปวันไหนดี” ราเมนทร์ดีใจที่คนรักยอมตกลง

“กลัวหรือเปล่าธัน....”

“ไม่กลัว.... มีรามอยู่ ฉันจะไม่กลัว” เขาตอบอย่างหนักแน่น

...ฉันจะเข้มแข็ง...

ราเมนทร์รับคำด้วยจุมพิตหวาน ย้ำคำสัญญา... ที่ว่าจะอยู่ข้างกันตลอดไป









To Be Continued....
หัวข้อ: ・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・ Chapter 40-42 Journey... [END] (05/06/15)
เริ่มหัวข้อโดย: kagehana ที่ 05-06-2015 11:04:24
-42-






“หวัดดีครับคุณธัน คุณพี่ชาย” เจ้าของนัยน์ตาจันทร์เสี้ยวเอ่ยทักเมื่อเห็นว่าคนที่มาขอนัดนอกรอบมาถึงแล้ว

“สวัสดีครับหมอบีม” ธันย์ชนกยิ้มให้ก่อนจะนั่งลง

“วันนี้มีนัดตรวจเลือดวิเคราะห์หาเชื้อHIVและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆนะครับ ผมนัดไว้ให้แล้ว...” ธนกฤตหันไปมองราเมนทร์ที่นั่งอยู่ใกล้ๆ

“ไม่ต้องกังวลนะ เรื่องผลไม่กี่วันก็ออก เดี๋ยวผมนัดมาฟังผลอีกที”

หมอหนุ่มเซ็นเอกสารแล้วยิ่นให้

“เดี๋ยวไปเจาะเลือดนะครับ แล้วยังไงจะติดต่อกลับไป”

“ผลเลือดส่งที่นี่หรือที่บ้าน” ราเมนทร์ถามเสียงเรียบเพราะไม่คุ้นเคยกับคนรักของน้องชายในบทบาทนายแพทย์

“มีทั้งสองแบบ แต่ผมแนะนำว่าให้มาฟังผลที่นี่เพื่อความชัดเจน”

ธันย์ชนกหันมาหาคนรักแล้วบีบมือข้างที่จับกันไว้เบาๆ

“มาที่นี่แหละ ฉันไม่เป็นไร”

“งั้นมาที่นี่ก็ได้” ราเมนทร์ยอมรับ

“ช่วงนี้คุณธันมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัว มีไข้สลับสูงต่ำ หรือท้องเสียอาเจียนมั่งไหมครับ” ธนกฤตถามขึ้นอีกครั้งแล้วสบตากับดวงตาสีเข้มที่มองมาอย่างอ่อนโยน

“ไม่มี... ครับ” เขาตอบอย่างสงบนิ่ง

...ไม่อยากเชื่อเหมือนกันว่าตัวเองจะสงบใจได้ขนาดนี้...

“ผมก็ไม่มี” ราเมนทร์ตอบต่อ มือใหญ่ที่วางอยู่เลื่อนจับมือเรียวมาบีบเบาๆ...แอบให้กำลังใจกันใต้โต๊ะ

“ถ้างั้นก็เป็นสัญญาณที่ดีครับ งั้นเชิญไปเจาะเลือดเก็บตัวอย่างแล้วกลับบ้านได้ ผมจะติดต่ออีกทีครับ”

ธนกฤตพูดทั้งรอยยิ้ม

...อาการเบื้องต้นที่น่าสงสัยยังไม่เกิด..ก็ยังสามารถคิดได้ในทางบวก...

“ขอบคุณนะครับหมอบีม ถ้าอย่างนั้นวันนี้ผมลาก่อนนะครับ” เขาลุกขึ้นพร้อมทั้งยกมือขึ้นไหว้

“ครับ สวัสดีครับ”ธนกฤตไหว้กลับแทบไม่ทัน

“ไปก่อนนะ แล้วตอนนี้ยังติดต่อกับรันอยู่หรือเปล่า หรือเลิกกันแล้ว” มุมปากที่ยกยิ้มขึ้นเผยให้ธนกฤตรู้ว่ากำลังถูกกวน

หมอหนุ่มยิ้มหวานตอบกลับพร้อมเอ่ยประโยคที่ทำให้คนเป็นพี่หุบยิ้มแทบไม่ทัน

“ทุกวันครับ รับรองว่าตุ๊กตายางของคุณพี่ชายยังไม่มีรอยแกะใช้แน่นนอน เดี๋ยวผมส่งคืนไปที่บ้านคุณให้แทนแล้วกัน”



////////////////////////



“รามอยากกินอะไรเย็นนี้” ธันย์ชนกเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเดินเข้ามาหา

“ฉันจะทำให้”

“ไอ้หมอมันโทรมาบอกเมื่อกี้...ว่าให้ไปฟังผลพรุ่งนี้” ราเมนทร์พูดเบาๆแล้วดึงร่างเล็กมากอดไว้

“พร้อมนะธัน...”

“อื้ม... พร้อมสิ....” เขาซึมซับไออุ่นจากกายของราเมนทร์ไว้

“พร้อม”

“งั้นหลับตาก่อน” ราเมนทร์พูดแล้วจูบเบาๆที่เปลือกตา

“ไม่ว่าพรุ่งนี้ผลจะออกมาเป็นยังไง เราจะอยู่ข้างกันและกัน...จะไม่ทิ้งกันใช่ไหม..คุณธันย์ชนก”

...ในหัวใจเขาไม่เคยหวาดกลัวกับโรคร้ายที่อาจจะต้องเผชิญ...

...เพราะรู้ดีว่าไม่ว่าอย่างไร..เขาก็จะมีคนๆนี้อยู่เคียงข้าง...

ชายหนุ่มอายุมากกว่าหลับตาลงตามคำขอ ริมฝีปากมีรอยยิ้มจางๆปรากฏให้เห็น

“ทำไมต้องเรียกเต็มยศขนาดนั้นครับ คุณราเมนทร์” น้ำเสียงติดจะขำน้อยๆด้วยซ้ำ

ราเมนทร์หยิบกล่องที่อยู่ในกระเป่ากางเกงออกมา เขาเปิดดูมันแล้วยิ้มน้อยๆอย่างมีความสุขให้กับแหวนเรียบๆที่ขาวเงิน..ที่ราคาสูงไม่มากไปกว่าความรักที่เขามีให้คนๆนี้

...แหวน...ที่ตั้งแต่คราวนั้นยังไม่ได้ให้...

“รักธันนะ..อยู่ด้วยกันตลอดไป”

เสียงกระซิบทุ้มแผ่วเบาข้างใบหูนุ่มนิ่มในยามที่แหวนถูกเลื่อนเข้าไปสู่นิ้วนางข้างซ้ายที่จับไว้

“ไปแต่งงานที่ออสเตรเลียกันนะ”

“ราม??!!” ธันย์ชนกมีสีหน้าตกใจ เพราะสิ่งที่มอบให้ไม่ใช่สิ่งที่คิดว่าจะได้รับ

“อะไร... นี่... เดี๋ยว-...”

“ไม่เอาจะโกรธนะ” คนพูดยิ้มหวานแล้วแตะหน้าผากอีกฝ่ายด้วยหน้าผากตัวเอง

“ผมซื้อมัน..ตั้งแต่วันแรกที่ผมกลับมาไทย...แล้วรอโอกาสที่จะให้คุณมาตลอด”

...โอกาส...

...ที่จะขอให้คุณอยู่เคียงข้างกัน...

“รักคุณจัง....”

“ใครบอก... ว่าฉันจะไม่เอา....” เขาเงยขึ้นสบตาคนที่โอบกอดเอาไว้

“ร้องไห้เป็นผู้หญิงบ่อน้ำตาตื้นเลย”

“ไม่เป็นไรหรอก..ถ้าธันร้องเพราะความดีใจผมก็ยินดี” ราเมนทร์แตะริมฝีปากข้างผิวแก้มเนียนเบาๆ ก่อนจะเลื่อนลงสู่ริมฝีปากสีสวยที่สั่นไหวเพราะกลั้นสะอื้น

“พรุ่งนี้ไปฟังผลกัน...แล้วแวะหาอะไรกินข้างนอกนะ ห้ามใส่แว่นด้วย” ชายหนุ่มขู่คนรักเบาๆแล้วงับเข้าที่ปลายจมูกด้วยความหมั่นเขี้ยว

“... อืม.... ไม่ใส่แล้ว... จะไม่ใส่... อีกแล้ว” ธันย์ชนกตอบเสียงสั่นก่อนจะจูบอีกฝ่ายตอบเบาๆ

“ฉันรักราม... รัก... รักมาก...”

“รักเหมือนกัน...รักธันนะ...”

...จะพูดคำว่ารัก...

...แทนช่วงเวลาที่เสียไป...

...ให้มากเท่าที่ก้องกังวานในหัวใจ....



/////////////////////////////



“หวัดดีครับคุณธัน คุณพี่ชาย”

“สวัสดีครับ หมอบีม” เขาเอ่ยทักด้วยใบหน้าที่มีแต่ความสุขฉาบฉายอยู่

“วันนี้มาดูผลตรวจกันนะครับ....พร้อมหรือยังครับ” ธนกฤตมองสบตากับทั้งสองคนด้วยรอยยิ้ม

“ก็มาอยู่นี่ไง ถ้าไม่พร้อมก็ไม่เห็นหรอกน่า” รอยยิ้มกวนๆนั่นเหมือนกับดึงอารมณ์บูดของราเมนทร์ออกมา ชายหนุ่มพูดเสียงห้วนกลับไปแทบทันที

“ราม....” ชายหนุ่มร่างบางเอ่ยเสียงเข้มขึ้นเป็นเชิงปราม ไม่ว่าเมื่อไหร่ ราเมนทร์กับธนกฤตก็ดูจะหาเรื่องขัดกันได้เสมอ

“ผลว่าไง” พอถูกปราม ร่างสูงเลยได้แต่นั่งนิ่งๆแต่ไม่วายถามอีกรอบ

ธนกฤตกลั้นขำกับอาการที่เหมือนเสือตัวใหญ่ที่ถูกกระต่ายขี่หลัง นายแพทย์หนุ่มหยิบกระดาษที่บอกผลออกมาวางบนโต๊ะแล้วเลื่อนให้คนทั้งคู่

“ผมขอให้เขาตรวจละเอียดที่สุดแล้วก็เร็วที่สุดด้วย อยากเปิดเองหรือให้ผมอธิบายให้ครับคุณธัน”

“อธิบายให้ผมฟังก็ได้ครับ” เขาตอบด้วยรอยยิ้มกว้าง

“งั้นของคุณธันก่อนนะครับ”

ธนกฤตหยิบใบตรวจเลือดของธันย์ชนกขึ้นมาเปิด เรื่องผลนั้นเขารู้ดีอยู่แล้ว...จึงไม่รู้สึกเครียดที่ต้องอธิบายอะไรสักนิด

“ของคุณธันมีภาวะเม็ดเลือดแดงต่ำไปนิดหน่อยแต่ไม่มีปัญหาอะไร เดี๋ยวผมสั่งยาบำรุงเลือด ส่วนเรื่องผลตรวจHIV...” ธนกฤตเงยหน้าขึ้นสบตาแล้วยิ้มให้จนนัยน์ตาเป็นรูปจันทร์เสี้ยว

“ไม่พบเชื้อครับ สบายใจได้”

ได้ยินเพียงเท่านั้น รอยยิ้มกว้างก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของธันย์ชนกขณะที่หันมามองหน้าของคนรัก

“.... ขอบคุณนะ... ราม”

ราเมนทร์ดึงคนรักมากอดอย่างไม่อายสายตาคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม เขาพูดไม่ออกเพราะความยืนดีที่ตื้นตันอยู่ในอก ชายหนุ่มทำได้เพียงลูบแผ่นหลังคนรักเบาๆแล้วกอดนิ่งนาน...

“ดีจัง...ดีจังนะธัน....”

“อื้อ... ดี... ดีมากเลย” เขาเอนใบหน้าซบลงกับไหล่กว้าง

ธนกฤตมองภาพความยินดีตรงหน้าด้วยรอยยิ้มที่ติดจะอิจฉานิดๆ ก็ใครใช้ให้คนรักตัวเล็กทำแสบหนีไปเรียนต่างประเทศ..แถมเกือบจะไม่ได้บอกเขารอมร่อด้วยซ้ำ

“อะแฮ่ม..แค่กๆ..” ...อิจฉาโว้ย

“ทีนี้เหลือของคุณพี่รามนะครับ” ธนกฤตพูดแทรกขัดความสุข

“กลัวไหม?”

“อย่ากวน เปิดอ่านแล้วบอกมา” ราเมนทร์หันมามองแล้วดึงใบหน้ายิ้มกว้างอย่างน่ารักของธันย์ชนกมาหันหาเขา

...ก็หวง...

...ไม่อยากให้ใครเห็น...

ธนกฤตเปิดกระดาษออกดู คิ้วเข้มขมวดมุ่น... แล้วคลายออก... ก่อนจะขมวดอีกครั้ง โดยไม่มีคำพูดใดๆออกมา

“ทำไมครับหมอบีม” เป็นธันย์ชนกเองที่กังวลจนต้องละมือที่จับไว้ออก

ธนกฤตไม่ตอบอะไร มือใหญ่เลื่อนส่งให้ราเมนทร์ที่นั่งอึ้ง ราเมนทร์รับมาพลิกดูและในนาทีเดียวกันนั้น นายแพทย์หนุ่มก็ยิ้มออกมา

“แข็งแรงสมบูรณ์มาก ทนถึกใช้งานหนักได้สบายครับ” หมอขี้เล่นยิ้มกว้างแล้วยักคิ้วให้ราเมนทร์

“กวนตีนนะไอ้หมอ” ใจที่หล่นวูบไปครู่หนึ่งฟูขึ้นมาดังเดิม แต่ปากก็อดพูดแขวะคนรักน้องชายไม่ได้

“ทำหน้าเครียดใส่เมื่อกี้เพื่อจะเล่นมุขหรือไง กระจอก”

“ก็ยังดีที่ได้เห็นใครบางคนหน้าซีดล่ะนะครับ คุณพี่ชาย~”

ธนกฤตยิ้มอีกครั้งแล้วก้มลงเขียนตัวยาบำรุงเลือดในชาร์ตของธันย์ชนก

“หมอบีมขี้แกล้งแบบนี้... ระวังน้องรันไม่ยอมกลับมานะครับ” ธันย์ชนกอดไม่ได้ที่จะแหย่คืน ความหนักอึ้งที่แบกไว้ในตอนแรกคล้ายกับถูกยกออกไปหมดจนสบายตัว

“โหคุณธัน อย่าขู่อย่างงี้สิครับ แค่นี้ก็คิดถึงจะแย่อยู่แล้ว” ชายหนุ่มแกล้งทำหน้าเศร้า

“ใครจะไปโชคดีได้อยู่กับแฟนแบบคุณธันล่ะ อ่อ...แต่ไม่รู้โชคดีหรือไม่ดีที่ได้แฟนกวนๆแบบนี้นะครับ” ธนกฤตกัดโดยที่ยังยิ้มอยู่

“โชคดีสิครับ...” ร่างบางตอบโดยไม่สนใจรอยยิ้มของธนกฤต ตอบตามความรู้สึกของตัวเองล้วนๆ

คนนั่งข้างๆหันไปมองคนรักด้วยรอยยิ้ม...ที่หวานยิ่งกว่าครั้งใด

“ผมก็โชคดี...ที่มีคุณ...”

“งั้น... ถ้าธุระเสร็จแล้ว... ผมขอตัวก่อนเลยนะครับ” ร่างโปร่งลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วจับแขนอีกคนให้ลุกขึ้นมาด้วย

“เดี๋ยวครับ เดี๋ยว” ธนกฤตรีบเรียกคนที่ทำท่าจะเดินออกไปไว้

“รอรับยาคุณธันก่อนนะครับ เดี๋ยวไปรอที่ห้องจ่ายยา เดี๋ยวผมให้คุณกุ้งหน้าห้องจัดการให้”

พูดจบก็เปิดช่องเล็กๆยื่นเอกสารให้พยาบาลคู่ใจ

“เรียบร้อยครับ ไม่มีอะไรต้องกังวลแล้ว...แค่กินยาเรื่อยๆแล้วสักสองสามเดือนก็น่าจะโอเค”

“ขอบคุณหมอบีมมากนะครับ เป็นธุระให้เยอะแยะ” คนอายุมากกว่าหันมายกมือไหว้ขอบคุณจากใจ

เป็นอีกครั้งที่ธนกฤตไหว้กลับแทบไม่ทัน

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมทำตามหน้าที่หมอแล้วก็หน้าที่น้องเขยที่ดี” นัยน์ตายิ้มได้หยักโค้งอย่างสดใส

“ไปเอายากันดีกว่า...”ราเมนทร์โอบคนรักให้หันหลังแล้วพาเดินไปที่ประตู เขาหยุดยืนชั่วครู่ก่อนจะหันกลับมาหาแล้วพูดด้วยเสียงเบาๆรัวเร็ว

“ขอบใจ........”



///////////////////////



ชายหนุ่มร่างเล็กในชุดครุยเดินออกมาจากผู้คนมากมายที่พากันจับกลุ่มคุยเพื่อแสดงความยินดีให้กันและกัน

เสียงโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้นเรียกความสนใจจากคนรอบๆทำให้เจ้าตัวต้องรีบหลบไป

“ว่าไงพี่ราม... อือ รู้แล้ว ที่โรงแรมนะ... เดี๋ยวขับรถตามไป... อือ เจอกัน”

...วันนี้เป็นวันที่รัญชน์เรียนจบ และพี่ชายของเขาก็จะพาไปเลี้ยงฉลองให้ที่โรงแรมหรูใจกลางเมือง

จากเด็กตัวเล็กเมื่อสี่ปีก่อน กลายเป็นชายหนุ่มร่างบางที่ดูเติบโตขึ้น แม้จะยังไม่สูงขึ้นเท่าไหร่ แต่โครงร่างและรูปหน้าก็ดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น

ท่ามกลางกลุ่มคนมากมายที่กำลังแสดงความยินดี ธนกฤตรู้สึกขัดเขินในความแปลกที่และแปลกตา เขาปัดชุดสูทสีเทาอ่อนเบาๆ ช่อดอกไม้ในมือถูกโอบกอดอย่างทะนุถนอมในขณะที่เดินไปหาคนรักที่ยืนหันหลังให้ ใบหน้าหล่อเหลาที่ยังเหมือนเดิมไม่ผิดเพี้ยนยิ้มกว้างขึ้น ในอกเหมือนหัวใจที่กำลังเต้นอยู่จะหลุดออกมา ร่างสูงไม่ร้องทัก... เขาเพียงแค่เดินไปหาจากด้านหลังแล้วกอดเอาไว้ด้วยความรู้สึกแสนคิดถึง

“Hey?!” ร่างบางหันมาด้วยความตกใจและตั้งใจจะผลักออก แต่พอเห็นว่าเป็นใครแล้ว รอยยิ้มหวานก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า

“พี่บีม!” เรียวแขนสองข้างเอื้อมไปโอบกอดเอาไว้แน่นด้วยความคิดถึง

“ยินดีด้วยนะรัน” แม้จะเจอหน้ากันทางสไกป์เกือบทุกคืน แต่ยังไงก็ไม่เหมือนกับความอบอุ่นที่ได้กอดอย่างนี้

“คิดถึงรัน...คิดถึงตัวเล็กที่สุดเลย” พึมพำกับเส้นผมสีอ่อนพลางหอมลงไปเบาๆ ธนกฤตดึงล่างเล็กออกนึดหน่อยแล้วส่งช่อดอกไม้ที่เตรียมมาให้

“ยินดีด้วยที่เรียนจบแล้วนะ”

“เซอร์ไพรส์มากๆเลยนะ อือ...” รัญชน์รับเอาช่อดอกไม้มาถือไว้ด้วยความดีใจ

“มาได้ยังไงนะ....”

“ก็คุณธันบอก...ว่าวันนี้รันจะรับปริญญา”

หลังจากตรวจเลือดเสร็จ ไม่กี่เดือนราเมนทร์กับธันย์ชนกก็ย้ายกลับมาอยู่ที่ออสเตรเลียในบ้านหลังเดิม บางครั้งธันย์ชนกก็อีเมลมาถามไถ่ตามประสาคนรู้จัก จนเมื่อสองอาทิตย์ก่อนชายหนุ่มอีเมลมาบอกว่ารัญชน์กำลังจะรับปริญญาและจะมีงานเลี้ยงกัน ชายหนุ่มเลยตกลงใจจองตั๋วเครื่องบินที่ได้มาแบบฉิวเฉียด

“ก็รันไม่ยอมบอก พี่เลยต้องหาจากแหล่งข้อมูลไง”

“ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ตั้งใจไว้นะ ว่าจะรีบกลับไปหาคนงานยุ่งด้วยซ้ำ” มือเขาเอื้อมคว้าข้อมือของธนกฤตแล้วดึงให้เดินตามไปที่ลานจอดรถ

“ก็คนงานยุ่งมาหาแล้ว...จะมาเอาแหวนที่เคยให้คืนด้วย” พอหยุดยืนหน้ารถ ชายหนุ่มก็พูดด้วยใบหน้านิ่งๆ

“ป๊าบอกว่า4ปีนานไปแล้ว ไปเอาแหวนคืนมาได้แล้ว”

“ไม่ให้! พี่บีมให้แล้วรันไม่คืนนะ!” เขาโวยกลับไม่ต่างจากเมื่อสี่ปีก่อน ขณะเปิดรถแล้วเอาช่อดอกไม้วางไปที่เบาะหลัง รถเต่าคันเล็กนั้นถือว่าขนาดกำลังเหมาะสำหรับคนขับ

“ก็ตั้ง4ปี...รันจะให้พี่ทำยังไงล่ะ มันนานมากนะ รันก็เรียนจบแล้ว พี่รอไม่ไหว...” ธนกฤตจับมือข้างที่มีแหวนไว้แล้วแตะเบาๆ

“คืนพี่เถอะ..”

“ไม่คืน!!!” คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน ประตูรถถูกปิดเสียงดังพร้อมทั้งเสียงที่ดังขึ้น

“เดี๋ยวเถอะ!จะพังรถหรือไง” ใบหน้าโกรธๆที่งอง้ำน่าจับมาหอมให้เข็ด แต่ชายหนุ่มยังคงเก๊กหน้าขรึมต่อ

“ยังไงพี่ก็จะเอาคืน ของๆพี่นะ...”

“ไม่ให้! ยังไงรันก็ไม่ให้!! อึก...” หยดน้ำตาไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้ ทั้งๆที่คิดว่าได้เจอหน้ากันแล้วก็ดี แต่กลับถูกทวงแหวนคืนแบบนี้ เมื่อกี๊มันน่าเหวี่ยงดอกไม้ทิ้งเสีย

“ไม่ให้แล้วจะเปลี่ยนยังไงล่ะ” มือข้างหนึ่งที่ว่างอยู่ยื่นไปตรงหน้า เผยให้เห็นแหวนวงเรียบแบบเดียวกันแต่ฝังเพชรไว้สามเม็ดเรียงกัน

“คืนแหวนสัญญามา....แล้วเอาแหวนหมั้นไปแทนนะ” ธนกฤตจับมือเรียวข้างซ้ายขึ้นมาจูบเบาๆ

“ใส่สองข้างแปลกออก เอาแหวนสัญญาไปร้อยสร้อยดีกว่าเนอะ”

“นิสัยไม่ดีที่สุดนะ! นิสัยไม่ดีจริงจัง! ไม่คืน ไม่ให้ จะใส่สองวงข้างเดียวกัน!!” พอรู้ตัวว่าโดนแกล้ง รัญชน์ก็โวยวายเสียงดังขึ้นพลางยื้ดยุดมือไว้ ไม่ยอมคืนแหวนให้ท่าเดียว

ธนกฤตขำกับท่าทางเหมือนเด็กถูกขัดใจของคนรักเลยยิ่งแกล้งดึงมือเล็กเอาไว้

“สองวงข้างเดียวก็ตลก อย่าดื้อน่า”

“ไม่ตลก เป็นแฟชั่นได้ พี่หมอไม่รู้เรื่องแฟชั่นอย่ามาเถียง” ร่างเล็กยังไม่มีทีท่าว่าจะยอมอ่อนให้ง่ายๆ โชคดีที่วันนี้เป็นวันรับปริญญา ลานจอดรถที่แม้จะเต็มไปด้วยรถมากมายหากแต่ไร้ซึ่งเงาผู้คน

“ข้างๆคูๆ” ร่างสูงพูดยิ้มๆแล้วรวบตัวเข้ามากอดไว้

“ถอดมาเลย เดี๋ยวเอาไปใส่สร้อยให้ แล้ววงนี้ไม่เอาใช่ป่ะ..นี่แหวนหมั้นนะ” มือที่จับแหวนอยู่ส่ายยั่วไปมาใกล้ๆใบหน้าเล็กๆที่ทำปากยื่นอย่างน่ารัก

“ก็รันจะใส่สองวง!!! ไม่เอานะ!!” คนตัวเล็กกว่ายังคงเถียงอย่างไม่ยอมแพ้

“จะใส่สองวงไปทำไม งั้นไม่ถอดวงนั้นคืน วงนี้โยนทิ้งนะ” ชายหนุ่มชูแหวนขึ้นแล้วโยนเล่นในมือ

“ให้รันทั้งสองวง ขอคืนแค่ไม่กี่วัน เดี๋ยวเอามาให้ใหม่นะ”

“................ ขี้โกง!! นิสัยไม่ดี!!” พูดแบบนั้นออกไปแต่ก็ถอดแหวนวงเก่าคืนให้พลางทำหน้ายู่

“ทำหน้าบู้อีกแล้ว” ธนกฤตรับแหวนวงเก่ามาแล้วหอมเบาๆตรงหน้าผากของคนแสนงอน

ชายหนุ่มจับมือนุ่มของคนรักขึ้นมาแล้วสอดวงใหม่ไว้กับนิ้วนางข้างซ้ายพร้อบกับจูบหวานๆฝากไออุ่นไว้กับแหวนบนนิ้ว

“หมั้นไว้ก่อนนะ คนนี้พี่หมอบีมสุดหล่อจองแล้วด้วย” นัยน์ตาสีเข้มหยักยิ้มจนหรี่หยี

“อื้อ จองเลย ให้จอง ห้ามจองนานนะ มาเอาไปเร็วๆด้วยนะ” รอยยิ้มหวานจับที่ริมฝีปากบางขณะเอื้อมแขนขึ้นโอบกอดอีกคนให้ใบหน้าชิดเข้ามา

“จองเลยเอาเลยได้ป่ะ” ธนกฤตถามคล้ายล้อเล่นแต่แววตาแฝงความจริงจัง

“กลับไปอยู่ที่ไทยด้วยกันไหม..พี่เป็นคนขี้เหงา อยู่คนเดียวมาตั้งสี่ปีแล้ว... ถ้าเป็นอย่างนี้อีกหน่อยต้องเหงาตายแน่ แต่ถ้ารันยังไม่อยากทำอะไร ยังไม่มีใครที่อยากอยู่ด้วยมากกว่าพี่... เราย้ายไปอยู่ด้วยกันนะ”

นัยน์ตาสีเข้มมองสบคนรัก

...เอาแต่ใจแบบนี้...

...จะได้ไหม...

“..... พูดเหมือนว่ามาแล้วต้องรีบกลับเลย ยังไม่ตอบได้ไหมนะ” รัญชน์เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มหวาน

“ได้..ให้คิดนานๆ แต่พี่เคลียร์งานมาแค่อาทิตย์เดียวนะ” มือใหญ่ลูบหัวคนรักอย่างเอ็นดู

“ให้พี่ขับให้ไหม รันเหนื่อยแล้วทั้งวัน ไปกินกันที่ไหนนะ”

ชายหนุ่มร่างเล็กเปิดประตูรถฝั่งข้างคนขับออก

“ขึ้นไปเลย รันจะขับให้ ไม่ต้องไปกินแล้ว จะกินพี่หมอแทน”

“เฮ้ย! ได้ไง เดี๋ยวนี้ทะลึ่งใหญ่แล้ว” คนที่เพิ่งมาถึงยอมนั่งแต่โดยดี พอร่างเล็กขึ้นมานั่งบนรถถึงได้พูดต่อ

“เดี๋ยวไอ้ราเมงมันก็กินหัวพี่หรอก นัดคุณธันไว้แล้วด้วย ไป-กิน-ข้าว-เลย” ธนกฤตเน้นเสียงทีละคำแล้วดึงแก้มนิ่มๆไปด้วย

“ช่างสิ ไม่เอา ไม่มีรันพี่รามก็ดินเนอร์กับพี่ธันไปนั่นแหละ” เขายังไม่ยอมงาย มือบิดกุญแจสตาร์ทเครื่องแล้วค่อยๆถอยรถออกจากที่จอด

“แน่ะ! เอานิสัยดื้อแบบนี้มาจากใครเนี่ย” ธนกฤตยิ้มอ่อนใจ ดูเหอะ... นี่ขนาดมีคนรอจัดงานให้นะเนี่ย

“ไม่เอานะ รันคิดถึงพี่บีม นานสี่ปีเลยนะ ไม่ได้นะ รันจะกินพี่บีม” รถเต่าคันเล็กค่อยๆเคลื่อนตัวออกจากลานจอดรถ แล้วมุ่งหน้าไปยังถนนใหญ่

“ฮะฮะฮะ” คนที่จะถูกกินหัวเราะลั่นรถแล้วบีบจมูกโด่งรั้นของคนรักเบาๆ

เอาเหอะ......

...เพราะตัวเขาเองก็อยากจะ‘ถูกกิน’จะแย่อยู่แล้ว...

“แล้วอย่าลุกไม่ขึ้นแล้วกัน!”

“ไม่มีแล้ว ไม่มี!” รัญชน์เหยียบคันเร่งให้เร็วขึ้นเมื่อเห็นว่าท้องฟ้าเริ่มส่งเสียงครืนๆ

“โอเค แล้วจะคอยดู”



//////////////////////



ท้องฟ้ามืดครึ้มโชยกลิ่นฝนมาแต่ไกล ร่างสูงมองออกไปข้างนอกครั้งแล้วครั้งเล่า สอดส่ายสายตาหาน้องชายที่ยังมาไม่ถึงซะที

“ธัน...ผมได้บอกรันหรือเปล่าว่าเรานัดกันที่นี่”

“บอกแล้ว....” ธันย์ชนกยิ้มให้อีกฝ่ายที่กระวนกระวายร้อนรน

...บางทีถ้าบอกไปตอนนี้คงไม่เป็นไรล่ะมั้ง...

“อาจจะไม่มาแล้ว... มั้ง”

“อ่าว ทำไมล่ะ ก็นัดกันที่นี่ รันจะไปไหนได้” ราเมนทร์หรี่ตามองความผิดปกติในดวงตาคนรัก... ซึ่งฉายแววซุกซนขึ้นเรื่อยๆ

“ธันมีอะไรปิดผมแหง..ใช่ไหม”

“จับได้แล้วเหรอ” คนรักแสนดีหัวเราะคิกคักอย่างสนุกสนาน

“ก็วันนี้หมอบีมเขาโผล่ไปเซอร์ไพรส์”

“ว่าไงนะ!” ราเมนทร์เผลอเสียงดัง ก่อนจะลดเสียงลง

“ไอ้หมอมันมาได้ไง รันไม่ได้บอก ผมก็ปิดมัน.....หรือว่า...”

ไอ้ใบหน้ายิ้มหวานๆหัวเราะคิกคักนี่ขอเหอะ... แค่นี้ก็หวงจะแย่อยู่แล้ว

“ฉันบอกเองแหละ โกรธเหรอ” เขาเอียงคอถามเสียงอ่อน

“...................จะโกรธลงได้ไงล่ะ”

แค่อีกฝ่ายยิ้มให้ เขาก็ยอมทุกอย่างแล้ว กับเรื่องแค่นี้จะโกรธได้ไง

“ร้ายมากนะธัน แอบไปติดต่อไอ้หมอตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย..... ผมหึงนะ”

“ก็คิดว่างานรับปริญญาของรันสำคัญนี่นา ไม่ใช่เหรอ จะหึงอะไรผมครับคุณราเมนทร์” หางเสียงฟังดูลากยาวกว่าปกติพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า

“ก็ธันแอบไปติดต่อไอ้หมอ ไม่รู้แหละ.... เอาเป็นว่าผมหึง ถ้าคืนนี้ไม่ให้ทำโทษผมจะงอนนะ” ร่างสู่ขู่หวานๆแล้วชิงลงโทษก่อนด้วยการเอาจมูกกดลงบนแก้มขาวหอมกลิ่นพีช

...ที่ตอนนี้กลายเป็นกลิ่นหอมหวานที่แสนสดใส...

...ช่วงเวลาทุกวินาทีที่อยู่ด้วยกันเป็นสิ่งมีค่าเกินกว่าจะหาคำใดมาบรรยาย...

“รักธันนะ”

...ผมจะพูดมันออกมาทุกครั้งที่อยากพูด...

...ไม่ให้คุณรู้สึกว่ามันขาดหาย...

“ฮะฮะฮะ ทำโทษเหรอ แล้วจะหายงอนฉันแน่นะ” ธันย์ชนกยิ่งหัวเราะร่วนพร้อมกับรอยยิ้มหวานที่กว้างขึ้น

“คุณก็รู้ว่าผมเคยงอนคุณได้นานที่ไหน...” ราเมนทร์เอ่ยอ้อนเสียงหวาน

บรรยากาศงานฉลองกลายเป็นดินเนอร์แสนหวานด้วยไวน์ชั้นเลิศ ราเมนทร์ชิมรสหวานอมขมของไวน์พร้อมกับแอบฉกริมฝีปากหวานๆเป็นของแกล้มหลายต่อหลายครั้ง ท่านกลางยามค่ำคืนที่ฝนโปรยปราย ความอบอุ่นกลับโอบล้อมทั้งสองคนไว้... จากความหนาวในวันฝนพรำ



/////////////



“พี่บีม...” น้ำเสียงอ่อนหวานเอ่ยเรียกแผ่วเบายามริมฝีปากแนบสัมผัสกัน

“... ฝนตกแล้ว...” มือเรียวโอบรอบลำคอหนาแล้วดึงลงมาให้แนบชิด

“อืม...เหมือนวันแรกที่เจอตัวเล็กเลย...” ชายหนุ่มขยับตัวรับคนรักเข้ามาในอ้อมกอดพร้อมจุมพิตแผ่วๆที่สัมผัสกัน

“ดีจังที่เราได้รักกัน”

“อืม... ดี... ไว้จะพาพี่บีม... ไปตากฝนนะ”

“เป็นหวัดนะ..ตากฝนน่ะ” ชายหนุ่มลูบเส้นผมนุ่มๆที่ยาวขึ้นอีกนิดแล้วจับปลายผมข้างหน้ามาแตะริมฝีปากเบาๆ

“แต่ถ้าตากกับรัน..ก็โอเค...”

“รัก... ที่สุดเลย.......” คำบอกรักหวานหูถูกพูดอีกครั้งก่อนที่จุมพิตหวานจะกลืนมันเข้าไป เตียงหลังใหญ่ยวบลงด้วยน้ำหนักของคนทั้งสอง

ร่างกายอบอุ่นกอดเกี่ยวกันด้วยความรัก แม้ข้างนอกจะมีฝนโปรยแต่กลับไม่รู้สึกหนาว

...เพราะมีกันและกัน...

...ความอบอุ่นนั้นจึงซึ่มผ่าน...

...ไปถึงหัวใจ...

วันฝนพรำที่สร้างความทรงจำทั้งดีและร้ายจะถูกจดจำไว้ในหัวใจ... และก้าวผ่านมันไปพร้อมมือที่เกาะกุมกัน

...ขอให้วันฝนพรำของทุกคน...

...เต็มไปด้วยความอบอุ่น






-END-





Talk : จบแล้วววววว ลงจนจบจนได้ค่ะ มุมิ

นิยายธีมฝนพรำที่ลงในหน้าฝนซึ่งไม่มีฝนซักเม็ด 5555

ขอบคุณที่ติดตามกันมายาวนานนะคะ ใครเพิ่งมาอ่านก็ขอให้สนุกกับการอ่านยาวๆไป แอ๊งบ้างกร๊าวบ้างสีสันชีวิตค่ะ

หมีกับดอกไม้ขอขอบคุณคนอ่านทุกคนสำหรับกำลังใจนะคะ เรื่องถัดไปก็ยังวนเวียนอยู่บ้านนี้ อาถรรพ์จริงๆสิให้ตาย 555

รักคนอ่าน

kagehana

หัวข้อ: Re: ・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・ Chapter 40-42 Journey... [END] (05/06/15)
เริ่มหัวข้อโดย: Tsubamae ที่ 24-09-2015 11:35:22
อยากให้ไอ้เลวภูริได้รับกรรมมากกว่านี้จับค่ะ. ชอบนิยายแนวหน่วงๆจบแฮปปี้แบบนี้มากๆตามอ่านขอบคุณนักเขียนแทบทุกเรื่องเลย
ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: ・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・ Chapter 40-42 Journey... [END] (05/06/15)
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 25-09-2015 18:12:26
 o13
หัวข้อ: Re: ・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・ Chapter 40-42 Journey... [END] (05/06/15)
เริ่มหัวข้อโดย: ka[ze]na ที่ 26-09-2015 10:44:55
ชอบมากเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: ・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・ Chapter 40-42 Journey... [END] (05/06/15)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 26-09-2015 11:18:04
ปักหมุดไว้ก่อน ยังไม่ได้อ่าน
ตามอ่านแพร๊บบบบ
หัวข้อ: Re: ・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・ Chapter 40-42 Journey... [END] (05/06/15)
เริ่มหัวข้อโดย: iamtsubame ที่ 27-09-2015 01:44:57
สนุกมากค่ะ อ่านรวดเดียวจนตาแฉะหมดแล้ว ขอบคุณนะคะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: ・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・ Chapter 40-42 Journey... [END] (05/06/15)
เริ่มหัวข้อโดย: sawapalm ที่ 27-09-2015 02:08:06
น่ารักดีจ้าาาา แฮปปี้แอนดิ้ง น่ารักๆๆๆ :mew1:
หัวข้อ: Re: ・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・ Chapter 40-42 Journey... [END] (05/06/15)
เริ่มหัวข้อโดย: evil_kun ที่ 01-10-2015 11:29:06
เพิ่งมีโอกาสอ่านเรื่องนี้ รวดเดียวจบเลย
ชอบมากเลยค่ะ ภาษาสวยมาก แทบไม่มีคำผิดเลย

น้องรันน่ารัก  >_<
หัวข้อ: Re: ・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・ Chapter 40-42 Journey... [END] (05/06/15)
เริ่มหัวข้อโดย: carenaka ที่ 03-10-2015 02:20:54
สนุกมากค่ะ :mew6: :mew4:
หัวข้อ: Re: ・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・ Chapter 40-42 Journey... [END] (05/06/15)
เริ่มหัวข้อโดย: DREAM COME TRUE ที่ 14-10-2015 14:52:56
สนุกมากกกกกกก เสียดายที่ทำไมคนได้อ่านน้อยอย่างนี้นะ ทั้งๆที่สนุกแบบนี้

ขอชมเชยผู้แต่งครับ
แต่งเรื่องได้น่าติดตามดีครับ

คู่คนพี่โหดมากครับ ตอนแรกสงสารธันสุดๆ พี่รามใจร้ายมากให้รอตั้งนาน
อย่างไรก็ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆนะครับ
หัวข้อ: Re: ・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・ Chapter 40-42 Journey... [END] (05/06/15)
เริ่มหัวข้อโดย: whitelavenders ที่ 15-10-2015 04:56:14
อ่านจนจบภายในวันเดียว เห็นหน้าน้อยแต่ยาวมากกกก
คู่ของรันกับพี่หมอก็น่ารักตามประสาดีค่ะ กุ๊กกิ๊ก ดราม่านิดหน่อยพองาม
เราชอบความตรงของรันจริง ๆ นะ แบบเป็นคนที่ทำอะไรค่อนข้างตรงความรู้สึกดี

แต่คู่ที่ติดใจและคอยเอาใจช่วยมากที่สุด คือ คู่คุณธันกับรามนี่แหละค่ะ
คิดไว้ตั้งแต่ต้น ๆ แล้วว่าคุณธันต้องมีอดีตที่ไม่น่าจดจำ
แต่ไม่คิดว่า จะโดนหักหลัง นึกภาพตามแล้วเจ็บป่วยมากเลยอ่ะ
โดยทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจ จนกลายเป็นคนเก็บตัวไปเลย
การที่โดนขนาดนั้นแล้วคุณธันไม่ได้เป็นอาการทางจิตก็ยังนับว่าดีนะ อ้อ แล้วก็ไม่ติดโรคด้วย
แต่เลวร้ายมากเลยอ่ะ เฮ้อ ทำไมเราอินจัง 5555
แล้วยิ่งไปโดนทำซ้ำอีก ไปรักเขาแต่เขาแค่ชอบอีก สงสารคุณธันจัง
แต่ก็นับว่าโชคดีแล้วล่ะ ที่รามรู้ใจตัวเองและมาสารภาพแฮปปี้เอนดิ้งในที่สุด
(ใจจริงก็กลัวจะหักมุมแบบคุณธันโดนฆ่าตาย 55555 ดีที่ไม่เป็นแบบนั้น)

รออ่านตอนพิเศษหวาน ๆค่ะ
หัวข้อ: Re: ・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・ Chapter 40-42 Journey... [END] (05/06/15)
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 16-10-2015 20:53:33
ยอมรับเลยว่ากว่าจะอ่านจบ มันเศร้า มันเสียใจ เจ็บทรมารไปกับธันตลอดเลย  :sad4:

แต่ก็ดีใจที่สุดท้ายแล้วธันก็ได้พบรักแท้  :mc3:

หัวข้อ: Re: ・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・ Chapter 40-42 Journey... [END] (05/06/15)
เริ่มหัวข้อโดย: Celestia ที่ 18-10-2015 20:19:26
ขอบคุณสำหรับนิยายดี ๆ นะคะ แต่เสียดายที่ภูริไม่โดนแรงกว่านี้ คือเป็นเรานี่เราจับส่งตำรวจนะ ไม่ยอมแค่ได้เตะได้ต่อยแน่ ๆ
หัวข้อ: Re: ・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・ Chapter 40-42 Journey... [END] (05/06/15)
เริ่มหัวข้อโดย: Jthida ที่ 20-10-2015 10:53:39
เรื่องนี้สนุกกกก พึ่งมาเจออ ชอบมาก
หัวข้อ: Re: ・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・ Chapter 40-42 Journey... [END] (05/06/15)
เริ่มหัวข้อโดย: May@love ที่ 25-10-2015 14:20:43
ประทับใจน้องรันตัวเล็ก
พี่รามขี้หวง พี่หมอบีมจอมเลี่ยน
และพี่ธันคนสวย

ดีใจที่ได้อ่านเรื่องนี้ตอนจบแล้ว
ไม่งั้นรอขาดใจแน่ๆ สนุกและชวนติดตามมากๆ

ขอบคุณนะคะสำหรับนิยายดีๆ :pig4:
หัวข้อ: Re: ・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・ Chapter 40-42 Journey... [END] (05/06/15)
เริ่มหัวข้อโดย: zaturday ที่ 12-11-2015 21:59:41
'เลอค่า'
เป็นนิยายที่เลอค่าจริงๆ นอกจากคำนี้ก็คิดคำอื่นไม่ออกแล้ว ตอนที่อ่านเห็นคนเม้นน้อย ทั้งๆที่เรื่องนี้เป็นนิยายที่ดีมาก ครบรส ภาษาสวย เราทั้งดีใจและเสียใจที่เพิ่งได้มีโอกาสมาอ่านเรื่องนี้ตอนที่จบแล้ว เพราะเราอยากจะเม้นแทบทุกตอนที่อ่านจบ แต่เราก็ดีใจที่ได้อ่านแบบรวดเดียวจบ เพราะรู้สึกอินไปตามเนื้อเรื่องที่ผู้แต่งได้เขียนออกมา
สุดท้ายที่อยากบกคือเรื่องนี้สนุกมาก อ่านเพลิน ครบรส วางไม่ลง และอยากบอกต่อ
หัวข้อ: Re: ・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・ Chapter 40-42 Journey... [END] (05/06/15)
เริ่มหัวข้อโดย: marisa9397 ที่ 15-11-2015 22:11:29
อ่านรวดเดียวจบเลยค่ะ ชอบมาก
ขอบคุณมากนะคะ
หัวข้อ: Re: ・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・ Chapter 40-42 Journey... [END] (05/06/15)
เริ่มหัวข้อโดย: minchy ที่ 17-11-2015 01:49:25
อ่านสนุกมากมาย เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะคะ  ครบทุกรสจริงๆ
หัวข้อ: Re: ・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・ Chapter 40-42 Journey... [END] (05/06/15)
เริ่มหัวข้อโดย: yokibear ที่ 24-11-2015 22:43:03
ธันกับพี่ราเม็งคือลุ้นหนักมากกก ลงเอยซะที
ตัวเล็กกับพี่หมอน่ารักกกก ขอบคุณนะคะ สนุกมากๆเลย
หัวข้อ: Re: ・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・ Chapter 40-42 Journey... [END] (05/06/15)
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 29-11-2015 13:49:58
สงสารพี่ธันมาก พี่ธันผ่านพ้นไปได้ดีใจจริงๆ พี่รามดูแลดีๆนะ
ส่วนพี่หมอกับน้องรัน น่ารักมาก
หัวข้อ: Re: ・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・ Chapter 40-42 Journey... [END] (05/06/15)
เริ่มหัวข้อโดย: SOMCHAREE ที่ 08-12-2015 14:24:39
 o13 o13 o13 อ่านรวดเดียวจบเลยจ้า เป็นเร่องที่สนุกมาก ครบทุกอารมณ์ ชีวิตของธันหน่วงมากอ่ะ แต่เก่งนะที่ผ่านมันมาได้ ดีใจที่ทั้งสองคู่ลงเอยกันแบบนี้ ขอบคุณคนเขียนนะค่ะ จะติดตามผลงานนะค่ะ
หัวข้อ: Re: ・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・ Chapter 40-42 Journey... [END] (05/06/15)
เริ่มหัวข้อโดย: missyaoi ที่ 08-01-2016 19:20:11
อยากจะตีตัวเองแรงๆ ที่เพิ่งมาเจอเรื่องนี้ มันดีมากๆ เลยอ่ะ คู่หวานก็หวาน คู่หน่วงก็หน่วงได้ใจ สนุกมากๆ เลยค่ะ ไม่รู้จะบอกยังไง แต่อ่านเรื่องนี้แล้วอยากจะบอกต่อจริงๆ
หัวข้อ: Re: ・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・ Chapter 40-42 Journey... [END] (05/06/15)
เริ่มหัวข้อโดย: basanti ที่ 13-01-2016 07:59:40
ตามมาอ่านจากกระทู้แนะนำนิยาย ขอบคุณคนเขียนมากสำหรับนิยายที่สนุกและครบรสทั้ง feel good และดราม่า น่าเสียดายที่นิยายดี ๆ เรื่องนี้มีคนอ่านน้อย ใครอ่านจบแล้วช่วย ๆ กันบอกต่อนะให้คนเข้ามาอ่านงานดี ๆ  :pig4: :pig4: :pig4:

รวมผลงานของคุณ kagehana

ซี่รี่ย์ตัวละครชุดเดียวกัน
+:+ My all...私のすべて... +:+ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44853)
Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ (จบแล้ว) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=36284)
: ~SCAR~ : ตราบาปไร้รอยเลือน (จบแล้ว) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=32704)

♥~ รักกุบกิบ~ ♥ (จบแล้ว) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37037)

ตามไปอ่านกันเยอะ ๆ นะ เป็นกำลังใจให้คนเขียน  o13
หัวข้อ: Re: ・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・ Chapter 40-42 Journey... [END] (05/06/15)
เริ่มหัวข้อโดย: chaoyui ที่ 16-01-2016 22:00:48
สนุกมากค่ะ หลังๆนี่อ่านคู่พี่เป็นเรื่องหลัก คู่น้องรันเป็นเรื่องรอง ดราม่าพิเศษใส่ไข่สองแผง  :hao5:

ขอบคุณคนเขียนด้วยนะคะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: ・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・ Chapter 40-42 Journey... [END] (05/06/15)
เริ่มหัวข้อโดย: ammchun ที่ 19-01-2016 07:02:44
รู้จักเรื่องนี้มาจากห้องถามหานิยายแล้วมีคนอ่านแนะนำมา  อ่านรวดเดียวจนจบเลยค่ะ  เสียน้ำตาเยอะเลยเรืีองนี้  ตาบวมหมดแล้วววววว  เป็นนิยายที่สนุกครบรสเลยค่ะ  สุขเศร้าเหงาซึ้ง



ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・ Chapter 40-42 Journey... [END] (05/06/15)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 21-01-2016 04:41:37
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・ Chapter 40-42 Journey... [END] (05/06/15)
เริ่มหัวข้อโดย: แมลงมีพิษชนิดหนึ่ง ที่ 04-02-2016 23:34:23
เนื้อเรื่องสนุกดีนะ แต่ชอบเรื่องราวของธันเป็นพิเศษ พอดีเป็นคนเสพติดดราม่าน่ะ ฮ่าๆๆ

 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・ Chapter 40-42 Journey... [END] (05/06/15)
เริ่มหัวข้อโดย: Prattana ที่ 08-02-2016 14:28:22
เพิ่งเข้ามาอ่าน อ่านรวดเดียวจบเลย ชื่นชมคนแต่งทั้งภาษาดีและไม่มีคำผิดเลย น่าปรบมือให้สุดๆเลยค่ะ
ชอบน้องรัน นางแสดงออกตรงๆไม่มีแอ๊บ น่ารักสุดๆ สงสารธันย์มากๆ อ่านแล้วเศร้า
ยิ่งตอนที่ย้อนอดีตกลับไปตอนเรียนมหาลัยยิ่งเศร้าสุดๆ ผ่านเรื่องเลวร้ายขนาดนั้นมาได้ไง..
พอเห็นธันย์มีความสุขเราก็ยิ้มตาม ดีใจกับธันย์ นี่เราอินมากๆเลยนะนี่
ถ้าไม่เข้ากระทู้แนะนำ เราคงไม่เจอนิยายดีๆแบบนี้ อยากเป็นกำลังใจให้คนแต่งนะ เราชื่นชมฝีมือมากๆเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: ・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・ Chapter 40-42 Journey... [END] (05/06/15)
เริ่มหัวข้อโดย: Bear Company ที่ 28-02-2016 10:43:58
ขอบคุณค่ะ  o13
หัวข้อ: Re: ・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・ Chapter 40-42 Journey... [END] (05/06/15)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 11-03-2016 17:14:40
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・ Chapter 40-42 Journey... [END] (05/06/15)
เริ่มหัวข้อโดย: Shin b ที่ 11-03-2016 23:07:37
มาติดตามมมมม :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・ Chapter 40-42 Journey... [END] (05/06/15)
เริ่มหัวข้อโดย: neno.jann ที่ 13-03-2016 12:40:41
โอยยยย ตั้งแต่อ่านมาสามเรื่อง เริ่องนี้บีบหัวใจที่สุดเลยค่ะ  :hao5: ในที่สุดก็แฮบปี้ๆสักที ลุ้นตัวแทบแตก ขอบคุณคนอต่งที่อต่งนิยายดีๆแบบนี้มาให้อ่านน้า  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・ Chapter 40-42 Journey... [END] (05/06/15)
เริ่มหัวข้อโดย: liza sarin ที่ 01-04-2016 15:29:41
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・ Chapter 40-42 Journey... [END] (05/06/15)
เริ่มหัวข้อโดย: khwanruen ที่ 03-12-2016 14:07:22
อ่านรวดเดียวจบเลย  อ่านไปร้องไห้ไป ซาบซึ้งกับความรักของทั้งสองคู่มาก ขอบคุณคนเขียนมากนะคะ แต่งเก่งมากเลย ภาษาสวยงามมาก  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ[UPDATE] มีข่าวประกาศเรื่องรวมเล่มหนังสือค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: kagehana ที่ 05-01-2017 20:27:21


สวัสดีค่า Kagehana นะคะ


มีข่าวมาประกาศค่ะ


ID : TBL-984-766

เราจะจัดพิมพ์นิยายเรื่อง rainy days (พี่หมอบีมกับน้องรัน) แล้วล่ะค่า
เช่นเดียวกับที่เราจะ reprint เรื่อง scars (พี่เดฟกับน้องปัน) นะคะ

หากท่านสนใจ และประสงค์จะสั่งซื้อ ขอความกรุณา ยืนยันการสั่งที่ลิงค์ด้านล่างนี้เลยค่ะ

https://goo.gl/forms/7Ug265KvRG7WJBqn2

สำหรับ rainy days อาจจะด่วนไปเล็กน้อย แต่ขอให้รบกวนยืนยันการสั่งจองภายในวันที่ 8 มค. 2560 นะคะ เพราะจะได้เป็นล็อตแรกไป ถ้าแจ้งมาหลังวันที่ 8 มค. เราไม่แน่ใจว่าจะมีเหลือพอมั้ยค่ะ เพราะไม่ได้สั่งพิมพ์เผื่อมากค่ะ ยังไงขอให้ติดตามทางอีเมลอีกทีนะคะ

สำหรับ scars ที่ reprint เราจะรับยอดจนถึงสิ้นเดือนมกราคม คือวันที่ 31 มค. 2560 เท่านั้นค่ะ

สุดท้ายนี้ หากไม่อยากพลาดข่าวสารผลงานเรื่องใหม่ หรือเวลาเราประกาศจะพิมพ์ผลงานของเรา สามารถลงทะเบียนรับข่าวสารจากเราได้ที่นี่ค่ะ http://eepurl.com/cwgXtX (รับประกันว่าไม่มีอีเมลขยะแน่ๆค่ะ)

ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ติดตามกันมานะคะ

รักคนอ่าน


kagehana





 
หัวข้อ: Re: Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ[UPDATE] มีข่าวประกาศเรื่องรวมเล่มหนังสือค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: A-J.seiya* ที่ 08-01-2017 12:24:51
สนุกกกกกกก
เพิ่งได้เข้ามาอ่านเรื่องนี้ ปริ่มมากค่ะ
พี่หมอบีมกับน้องรัน ละมุนกับใจมากๆ
ฝั่งพี่รามกับคุณธันก็เป็นกำลังใจให้กัน
ฮือออออ อิ่มมาก ขอบคุณสำหรับนิยายดีดีค่ะ
หัวข้อ: Re: Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ[UPDATE] มีข่าวประกาศเรื่องรวมเล่มหนังสือค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: graciej ที่ 10-01-2017 09:06:44
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ[UPDATE] มีข่าวประกาศเรื่องรวมเล่มหนังสือค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: scottoppa ที่ 10-01-2017 22:19:30
ชอบพี่รามกับคุณธันมากๆๆๆๆๆๆ
เป็นคนมีปมที่น่าเอ็นดูมากค่ะ
คู่หมอบีมน้องรันก็น่ารักมากกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ[UPDATE] มีข่าวประกาศเรื่องรวมเล่มหนังสือค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: momonuke ที่ 16-02-2017 21:57:13
ขอบคุณสำหรับนิยายดีดีนะคะ ฮืออออ ภูริแม่ฟบหดสฟหบด
หัวข้อ: Re: Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ[UPDATE] มีข่าวประกาศเรื่องรวมเล่มหนังสือค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: mickeyz.min ที่ 19-02-2017 22:12:04
ทำไมเราอ่านแล้วเรารู้สึกเหนื่อย 55555 ลุ้นเหนื่อย
หัวข้อ: Re: Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ[UPDATE] มีข่าวประกาศเรื่องรวมเล่มหนังสือค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: lonely_pp ที่ 13-07-2017 01:21:55
สนุกมากกกก ชอบคู่คุณธันกับพี่ราม ช่วงดราม่าสนุกจริงๆค่ะ หน่วงได้ใจจริง
หัวข้อ: Re: Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ[UPDATE] มีข่าวประกาศเรื่องรวมเล่มหนังสือค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: lipure ที่ 27-12-2017 01:09:39
คู่แรกนี่ มาม่าต้มยำน้ำใส

ส่วนคู่ที่สอง คู่พี่นี่ก็มาม่า ต้มยำน้ำข้นกันมาเลยทีเดียว

กินแล้วซี้ดดด แซ่บบบ ทั้งสองคู่เลย

 o13 :mew1:

หัวข้อ: Re: ・・・ Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ・・・ Chapter 39 อดีตที่หลอกหลอน [11/04/15]
เริ่มหัวข้อโดย: Musashi ที่ 06-03-2021 04:32:08
“เฮอะ... คนดีๆ” ภูริค่อยๆลากตัวเองลุกขึ้น แล้วเดินโซเซไปที่ประตู

“งั้นเชิญดูคนดีของแก... ที่ในรูปพวกนี้แล้วกัน” พูดจบ มือเขียวช้ำก็ควักรูปถ่ายหลายสิบใบออกมาโปรยทั่วห้อง

“ขอให้แกมีความสุขกับอดีตของแฟนแก... ที่เป็นเมียของอีกหลายๆคน....”

ภูริหัวเราะกึกก้องก่อนจะเดินโผเผออกนอกประตูไป ทิ้งให้ทั้งห้องจมอยู่กับความเงียบงัน...

มือที่ไร้แรงเอื้อมคว้าร่างสูงที่ยืนนิ่ง
ปล่อกฃัลไปทำไมครับ จับมัดข่มขืนถ่ายรูปมันไว้เล่นกลับบ้าง อีกอย่างมันก็มีเมียมีพ่อแม่ รูปก็มีมันมีเพื่อนมัน แลกหมัดไปเลย แจ้งความเอาเข้าคุกให้หมด
หัวข้อ: Re: Rainy Day : ความทรงจำใต้เงาฝนพรำ[UPDATE] มีข่าวประกาศเรื่องรวมเล่มหนังสือค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: samsung009 ที่ 06-03-2021 19:52:49
 :pig4: