Magica Café
Magic (13)ความเดิมตอนที่แล้ว
หน้าร้านเมจิคกะ คาเฟ่ เมฆครึ้มเคลื่อนคล้อยมาปกคลุมราวกับอีกไม่นานนี้ฝนจะเทลงมาเป็นแน่ ทั้งที่เมื่อครู่ฟ้ายังสว่างไร้วี่แววของเมฆฝน ชายหนุ่มตัวสูงโปร่งคนหนึ่งก้าวเข้ามาด้านหน้าร้านนั้น แสงสว่างจากจี้ประดับสร้อยที่เขาสวมใส่แวววาวตัดกับความมืดครึ้มของท้องฟ้า เขาเงยหน้ามองป้ายชื่อร้านแล้วพึมพำเบาๆ
“ที่นี่สินะ”++++++++++++++
เริ่มต้นมื้อเช้าในช่วงปิดภาคเรียนของเด็กๆ หลังจากเลี้ยงฉลองให้หลังสอบแล้ววันนี้คุณพ่อคุณแม่ก็หยุดอยู่บ้านหนึ่งวัน ใช้เวลากับครอบครัวให้คุ้มค่าก่อนที่จะต้องยกกันไปประจำอยู่ที่ร้าน ปอมปอมสมัครเข้าเรียนพิเศษช่วงปิดภาคเรียนนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะกำลังจะเป็นหนุ่มน้อย ม.ปลาย เต็มตัวเมื่อเปิดภาคเรียนครั้งใหม่ ไม่อยากปล่อยให้เวลาผ่านเลยไปโดยไม่ได้หาความรู้เพิ่มเติมใส่ตัว คุณพ่อกับคุณแม่เห็นว่าเด็กๆเครียดกับการสอบมากแล้วจึงเอาใจกันสักหน่อย ทำอาหารทานกันเองในครอบครัว และยังแบ่งไปให้ข้างบ้านอีกด้วย
อาร์ดิวรับหม้อใบสวยที่คุณแม่ตักแกงใส่เพื่อให้เอาไปให้บ้านชีวา เด็กหนุ่มเป็นคนยกไปให้โดยมีน้องชายหน้าแฉล้มเดินตามหลังมาติดๆ ที่จริงปอมปอมน้อยอยากถือไปเองแต่กลัวซุ่มซ่ามทำหลุดมือแล้วพี่ชีวาไม่ได้กินเลยต้องให้พี่ชายช่วยถือ ปลอดภัยกว่ากันเยอะเลย
เมื่อเอาของไปให้บ้านข้างๆเสร็จแล้วเรียบร้อยสองพี่น้องก็กลับมาที่บ้านพร้อมกล่องพลาสติกที่บรรจุผลไม้หวานฉ่ำมาเสียเต็มกล่อง พอถือมาให้คุณแม่รวิในครัวท่านก็หัวเราะขำ รับกันไปให้กันมาอยู่อย่างนี้ล่ะทั้งสองบ้าน สองพี่น้องช่วยกันจัดโต๊ะ คุณพ่อกับคุณแม่จึงไปล้างมือแล้วออกมาทานข้าวกัน
“เออ แม่ลืมบอกไป เดี๋ยววันเสาร์นี้จะมีคนมาที่บ้านนะ” คุณแม่พูดขึ้นมาเมื่อนึกได้ ท่านก็มัวแต่ยุ่งจนลืม
“ใครครับ?” อาร์ดิวเอ่ยถามขณะที่วางแก้วน้ำที่ตนเองดื่มหลังทานข้าวเสร็จลงบนโต๊ะ ปอมปอมก็รวบช้อนเมื่อทานอิ่ม หูก็ตั้งใจฟังที่คุณแม่กับพี่ชายคุยกัน
“พี่เมฆน่ะ จำพี่เขาได้ไหมล่ะ?”
คุณแม่บอก ลุกขึ้นไปเปิดตู้เย็นเอาผลไม้ที่เพื่อนข้างบ้านให้มาแช่เย็นไว้ออกมาให้ทุกคนได้ทานกันต่อ สองพี่น้องปอปลาหันมามองหน้ากันเมื่อฟังคุณแม่บอก ใครคือพี่เมฆ?
“ท่าทางแบบนี้จำไม่ได้ชัวร์”
คุณพ่อเอ่ยเย้าแล้วหัวเราะ หันไปขอบคุณคุณแม่ที่แบ่งผลไม้ใส่จานมาวางตรงหน้าให้ ก่อนที่คุณแม่จะนั่งลงแล้วขยายความให้เด็กๆฟัง
“พี่เมฆลูกลุงตะวันไงครับ เขาจะมาเรียนโทที่นี่น่ะ แม่เลยให้มาพักที่บ้านก่อน ไว้จัดการเรื่องหอพักเรื่องอะไรเรียบร้อยค่อยย้ายไป อาร์ดิวกับปอมปอมคิดว่ายังไง?” คุณแม่อธิบายแล้วเอ่ยถามความเห็นเด็กๆในตอนท้าย
“ปอมไม่มีปัญหาหรอกครับ ถ้าเขาไม่มีปัญหากับปอมก่อน” ปอมปอมน้อยว่า จิ้มผลไม้ใส่ปากตัวเองชิ้นใหญ่จนแก้มป่อง อาร์ดิวหัวเราะขำน้อง ก่อนจะจิ้มชิ้นพอดีคำมาทานบ้าง
“อ้าว แล้วกัน” คุณแม่อุทาน ขณะที่คุณพ่อยีหัวตัวแสบด้วยความหมั่นเขี้ยว คุณแม่จึงหันมาทางอาร์ดิวบ้าง
“ดิวก็ไม่มีครับ” เด็กหนุ่มยิ้มให้คุณแม่ เพราะตนเองก็ไม่เคยจะอยากมีปัญหาอะไรกับใครเสียที
“โอเค งั้นแม่จะได้โทรบอกป้าเขาให้พี่เมฆเตรียมตัวมาได้เลย”
คุณแม่สรุปความทุกคนก็พยักหน้ารับตามนั้น ลงมือทานผลไม้ตบท้ายมื้ออาหารกันต่อก่อนจะช่วยกันเก็บล้าง วันนี้อิสระ นอนเกลือกกลิ้งอยู่ที่บ้านได้ตามแต่ใจ เรื่องพี่เมฆ สองพี่น้องปอปลาก็ไม่ได้คิดว่ามันจะมีปัญหาอะไร พี่น้องกันทั้งนั้น
+++++++++++++++
ณ ท่าอากาศยาน สนามบินสุวรรณภูมิในเวลาต่อมา อาร์ดิวกับปอมปอมและชีวาพากันตามมาส่งตาต้า เพราะตาต้าสอบเข้ามหาวิทยาลัยทางภาคเหนือได้แล้วจึงต้องเดินทางไปอยู่ที่โน่น ตอนลุ้นผลสอบตาต้าเครียดจนถึงกับอาเจียน เพื่อนทุกคนเห็นถึงความตั้งใจอย่างจริงจังของตาต้ามาตลอด รู้ได้เลยว่าตาต้าอยากที่จะไปที่นั่นจริงๆ และในที่สุดเพื่อนคนนี้ก็ทำได้
“ตาต้า”
ปอมปอมเรียกเพื่อนรุ่นพี่ที่ตนเองสนิทสนมที่สุด พอเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะจากไปไกลก็อดใจหายไม่ได้ ตาต้าก้าวมาหาน้องแล้วจับศีรษะกลมโยกเบาๆ ส่งยิ้มให้เมื่อเห็นว่าน้องเล็กท่าทางจ๋อยแบบนั้น ปอมปอมอยากยิ้มตอบแต่มันก็ทำได้ยากจนเกินไป
“ปอมคงคิดถึงตาต้ามากๆแน่เลยอ่ะ”
“พี่ก็คิดถึงปอมปอมเหมือนกัน ถ้ามีเวลาพี่จะกลับมาเยี่ยมนะ หรือปอมปอมจะไปที่ไร่องุ่นก็ได้” ตาต้ายิ้มบอก ที่ที่เขาจะไปอยู่เป็นไร่องุ่นขนาดใหญ่ของทางภาคเหนือ ไร่ที่มีคนที่เขารักทั้งสองคนรออยู่
“ปอมอยากไป อยากกินองุ่น” น้องเล็กยิ้มตอบเมื่อพูดถึงของกิน
“มีสตรอเบอร์รี่ด้วยนะ” ตาต้าว่า
“ดีเลย ส่งมาให้ปอมกินบ้างนะ” คราวนี้หนุ่มน้อยตาโต ตบมือเปาะแปะ ของชอบเลยนะสตรอเบอร์รี่เนี่ย
“เมื่อกี้ยังหงอยอยู่เลย พอเรื่องกินล่ะดี๊ด๊าเชียว” ชีวาที่ยืนอยู่ข้างกันเหน็บน้องเบาๆ ตาต้ากับอาร์ดิวหัวเราะขำ เห็นตามนั้นด้วย
“ถ้าตาต้าส่งมาป๋าไม่ต้องกินเลยนะถ้างั้นอ่ะ” น้องว่ากลับ
“งก”
ชีวาจิ้มหน้าผากเด็กงก อีกฝ่ายย่นจมูกใส่แล้วหันมาสนใจตาต้าต่อ ไม่นานนักก็ถึงเวลาขึ้นเครื่อง ตาต้ากอดลาเพื่อนทั้งสองคน ก่อนจะกอดปอมปอมที่ทำท่าจะร้องไห้แต่กลั้นเอาไว้สุดฤทธิ์ แต่เพียงพี่ชายคนสนิทสวมกอดเท่านั้นก็ปล่อยโฮทันที แขนเล็กๆกอดตาต้าแน่น เสียงทุ้มกระซิบปลอบน้องเล็กแล้วลูบหลังให้หยุดร้อง เพราะตาต้าเองก็ใช่ว่าจะไม่อยากร้อง บ่อน้ำตาตื้นพอกันทั้งสองคน
เมื่อผละออกมาจากอ้อมกอดเพื่อนพี่ชายแล้วปอมปอมก็ถอยมายืนข้างพี่ชายของตนเอง ยังคงสะอื้นอยู่แต่พยายามจะไม่ร้องอีกเมื่อตาต้าจะเดินจากไป อาร์ดิวลูบหัวน้องเบาๆแล้วรั้งมากอด หนุ่มน้อยก็กอดเอวพี่แล้วซุกหน้ากลั้นสะอื้น ถึงรู้ดีว่าไม่ได้จากกันตลอดไป แต่ก็อดไม่ได้ที่จะน้ำตาไหลอยู่ดี
“เห็นตาต้าไปแล้วแบบนี้รู้สึกใจหายเนอะ” อาร์ดิวเปรยขึ้นมาขณะที่ทั้งสามคนกำลังเดินออกมาจากตัวอาคารสนามบินเพื่อกลับบ้านกัน
“อืม พวกเราต่างคนก็ต้องมีหนทางเดินของตัวเอง ตาต้าเขาเลือกแล้ว และเขาก็มีจุดหมายที่แน่นอน”
ชีวาเองก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกวูบไหวที่ใครคนหนึ่งในกลุ่มจะห่างไปไกล มือใหญ่กุมกระชับมือน้องที่เดินเคียงกันมาขณะเอ่ยตอบคำถามเพื่อนอย่างอาร์ดิว
“น่าอิจฉา”
อาร์ดิวจบการสนทนาเพียงเท่านั้น ทั้งหมดพากันขึ้นรถกลับบ้าน ระหว่างทางที่มองออกนอกหน้าต่างรถแล้วเห็นเครื่องบินที่ทะยานสูงขึ้นไปบนฟากฟ้าก็อดคิดไม่ได้ว่าบนเครื่องบินลำนั้นอาจจะมีเพื่อนรักของตนเองอยู่ก็เป็นได้ เพื่อนของพวกเขาอยากไปเรียนต่อในที่ที่ห่างไกล มุ่งมั่นที่จะทำมันและก็ทำมันจนสำเร็จจนได้ พวกเขาเองก็จะพยายามไม่ให้น้อยหน้ากัน ต้องออกเดินหน้าตามหาฝันของตนเองบ้างแล้ว
+++++++++++++
Magica Café
สามหนุ่มแห่งร้านเมจิคกะจับกลุ่มคุยกัน ปรึกษาหารือกันว่าจะจัดการกับปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้นอย่างไรดี อาร์ดิวยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ชะเง้อมองแขกหนุ่มคนหนึ่งที่มานั่งนานแล้วแต่ยังไม่มีวี่แววว่าจะสั่งอาหารหรืออะไรเลย ให้พนักงานในร้านไปถามก็ยังไม่ได้ความอีก การ์ฟกับชีวายืนกอดอกพิงเคาน์เตอร์อยู่ด้านหน้า ขนาบข้างอาตี๋น้อยอีกที หันมามองหน้ากันแล้วพยักพเยิดให้อีกฝ่ายไปจัดการ เพราะยังมีคนรอคิวทานอาหารอยู่อีก ถึงไม่อยากจะรบกวนเวลาส่วนตัวของลูกค้า แต่มานั่งเฉยๆในร้านอาหารโดยไม่สั่งอะไรมาทานแบบนี้น่าจะรู้ว่ามันเสียมารยาท พื้นที่นี้ไม่ใช่พื้นที่สาธารณะที่ใครจะมานั่งเล่นได้
คุณพ่อไปป์ก็ยุ่งอยู่ในครัว ส่วนคุณแม่ก็ออกไปทำธุรกรรมที่ธนาคารยังไม่กลับ ตี๋น้อยจึงต้องรับมือเอง นี่ถ้าปอมปอมอยู่คงเดินยิ้มแฉ่งเข้าไปหาลูกค้าแล้ว แต่ตอนนี้น้องชายที่น่ารักยังไม่กลับมาจากเรียนพิเศษเลย
“เอาไงตี๋?”
การ์ฟเอี้ยวหน้ากลับไปถามคนที่หลังเคาน์เตอร์เชิงปรึกษา ตี๋น้อยอาร์ดิวท่าทางอึดอัดกับสถานการณ์ จะไล่แขกก็คงไม่ดีแน่ ทำอย่างไรดีนะ คิดไปคิดมาอาร์ดิวก็ลุกขึ้นแล้วคว้าสมุดกับปากกาจดรายการอาหารก่อนเดินไปหาลูกค้าหนุ่มคนนั้น ชีวากับการ์ฟหันมามองหน้ากันโดยไม่ได้นัดหมาย
“สวัสดีครับ”
อาร์ดิวเอ่ยทักทายนำไปก่อนเพื่อให้ลูกค้าหันมาสนใจในสิ่งที่ตนเองจะพูด และไม่เป็นการเสียมารยาทหากจะถามไปโต้งๆโดยไม่เกริ่นนำ
“สวัสดีครับ” ลูกค้าหนุ่มทักทายกลับพร้อมรอยยิ้ม
“ครับ ไม่ทราบจะรับอะไรเลยไหมครับ เห็นนั่งนานแล้วอาจจะคอแห้งหรือหิว” เด็กหนุ่มยิ้มให้ขณะเอ่ยถามลูกค้า
“ไม่ล่ะครับ ผมไม่หิว” ลูกค้าหนุ่มตอบกลับมา ฟังดูแล้วมันช่างยียวน มาร้านอาหารโดยไม่สั่งอาหารยังไม่พอ ยังบอกว่าไม่หิวอีกด้วย
“ร้านเมจิคกะ คาเฟ่ ของเราให้บริการทั้งอาหารและเครื่องดื่มครับ” อาร์ดิวว่าอย่างนั้น ยังคงยิ้มให้ลูกค้าอยู่เช่นเดิม
“ผมทราบครับ คุณเห็นผมนั่งนานแล้วทั้งที่ไม่ได้สั่งอะไรเลยจะมาไล่ผมสินะครับ”
อีกฝ่ายตอกกลับยิ้มๆ อาร์ดิวชะงักไปเล็กน้อยก่อนปรับสีหน้าให้เป็นปรกติ การ์ฟที่เห็นท่าทางอาตี๋น้อยไม่ค่อยดีจึงเดินเข้ามาหา สีหน้าบอกบุญไม่รับเมื่อมองหน้าตาที่เขาคิดไปเองว่ามันกวนอวัยวะเบื้องต่ำของคุณลูกค้าคนนี้
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ ทางเราเพียงแต่อยากให้คุณมีความสุขกับการรับประทานอาหารในร้านของเรา ดีกว่ามานั่งเฉยๆให้ท้องร้องประท้วงเวลาเห็นอาหารละลานตาผ่านหน้าไปนะครับ”
อาตี่ของการ์ฟยังเอ่ยด้วยน้ำเสียงสุภาพคงเส้นคงวา แต่ประโยคที่พูดไปเมื่อครู่มันฟังดูแปลกๆอยู่นะนี่ ลูกค้าหนุ่มมองตี๋น้อยแล้วยิ้ม ก่อนที่จะเอ่ยปาก
“ถ้าอย่างนั้นมีอะไรอร่อยๆแนะนำไหมครับ?”
รอยยิ้มแปลกๆนั่นพาเอาตี๋น้อยรู้สึกแปลกตาม กระแอมเบาๆแล้วจึงหันไปมองการ์ฟ ผายมือออกเพื่อขอเมนูมาให้ลูกค้าสั่ง พร้อมแนะนำรายการอาหารที่เป็นที่นิยมในร้านไปสองสามอย่าง ตบท้ายด้วยรายการของหวานที่อร่อยไม่แพ้กัน
“การ์ฟ ทำหน้าให้ดีๆหน่อยสิครับ คุณจะไล่ลูกค้าเหรอ?”ตี๋น้อยกระซิบกระซาบกับคนหน้าบึ้ง การ์ฟถอนใจก่อนจะยกมุมปากแสยะขึ้นมานิดนึง
“นี่เขาเรียกว่ายิ้มแล้วเหรอ?”
“เออน่า ช่างฉันเถอะ”
การ์ฟทำเสียงหงุดหงิด อาร์ดิวเม้มปากก่อนจะหันเหความสนใจไปที่ลูกค้าหนุ่มเจ้าปัญหาที่ยังมีรอยยิ้มแปลกๆส่งมาให้เขาอยู่ เหมือนจะกำลังกลั้นขำ แล้วจะขำเขาเรื่องอะไรหว่า? ลูกค้าหนุ่มปิดเมนูอาหารแล้ววางลงบนโต๊ะก่อนสั่งโดยไม่ต้องดูเมนูซ้ำ การ์ฟจดยิกๆตามแทบไม่ทัน ก่อนที่ลูกค้าหนุ่มจะเอ่ยตบท้ายการสั่งอาหารของตนเอง
“ทั้งหมดนี้เก็บเงินที่อารวินะครับอาร์ดิว”
อาร์ดิวทำหน้างง เขาจำไม่เห็นได้เลยว่ารู้จักกับผู้ชายคนนี้ คิดทบทวนดูอีกทีว่าเคยเจอกันที่ไหนก็ไม่เห็นจะจำได้ แต่สะดุดกับคำที่ผู้ชายคนนี้เรียกคุณแม่ของตนเองจึงลองเดาดู
“พี่เมฆ...?”
รอยยิ้มที่มีอยู่แล้วยิ่งกว้างขึ้นไปอีก อาร์ดิวจึงค่อยเผยยิ้มออกมาที่ตนเองเดาถูก จะว่าไปเขากับพี่ชายคนนี้เคยเจอกันเมื่อนานมาแล้ว ตั้งแต่เพิ่งจำความได้เลยกระมัง ตอนนี้พี่เขาเป็นหนุ่มแล้วรูปร่างหน้าตาก็เปลี่ยนแปลงไปจนความทรงจำแสนเลือนรางไม่สามารถแทรกเข้ามาให้นึกออกได้เลย ตอนไปเยี่ยมคุณยายกับคุณตาเมื่อครั้งที่ท่านทำบุญบ้านพี่เขาก็ไม่ได้มา ทำให้ไม่ได้เจอกันเสียที
การ์ฟหันมามองอาร์ตี๋กับนายลูกค้าหน้าหล่อที่ทำตัวมีปัญหา มัวยิ้มให้กันอยู่นั่นล่ะ ท่าทางจะอิ่มรอยยิ้มกันแล้วมั้ง เด็กหนุ่มก้าวออกไปจากจุดที่ทั้งสองคนกำลังสร้างโลกส่วนตัวที่เขาเข้าไปไม่ถึงแล้วเดินดุ่มเข้าไปหลังร้านเพื่อนำรายการอาหารไปให้ในครัว อาร์ดิวเหลียวมองตาม หันมาทางพี่เมฆแล้วเอ่ยบอก
“พี่เมฆรอสักครู่นะครับ เดี๋ยวผมไปบอกพ่อให้ว่าพี่มาถึงที่ร้านแล้ว”
“ครับ แต่ไม่ต้องบอกให้คุณอาออกมาหรอกนะ ค่อยไปเจอกันที่บ้านเลย ไม่อยากรบกวนเวลางานท่าน แค่มาดูร้านเฉยๆน่ะ”
“ครับ” อาร์ดิวรับคำก่อนเดินเข้าหลังร้านไป
++++++++++++
การมีเมฆมาอยู่ร่วมบ้านดูจะไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายนักสำหรับสองพี่น้องปอปลา เมื่อทั้งสามดูสนิทสนมเข้ากันได้ดีจนคุณพ่อคุณแม่วางใจ ด้วยความที่เมฆเป็นคนใจเย็นและเป็นพี่ใหญ่ทำให้เข้ากับน้องๆได้อย่างไม่ยากนัก
เมฆคือหนึ่งในสายเลือดของครอบครัวที่มีพรพิเศษประจำตัว พรที่เขาไม่อยากได้มันนัก แต่เมื่อมีมาโดยไม่ตั้งใจเช่นนี้เขาจึงจำต้องควบคุมและใช้มันให้เกิดประโยชน์มากกว่าโทษ ครอบครัวเขาทำงานเกี่ยวเครื่องประดับอัญมณีหลายหลาก ทั้งเพื่อความสวยงามและโชคลาง เมื่อก่อนคุณแม่รวิของสองพี่น้องปอปลาก็ทำงานอยู่ที่นั่นจนกระทั่งออกเรือนมา เขารู้ว่าลูกพี่ลูกน้องของเขาหนึ่งในสองมีพรพิเศษ คนนั้นคืออาร์ดิว แต่เขาสัมผัสถึงพลังที่ซ่อนเร้นไม่ได้เลย ทั้งที่รู้ว่าน้องชายคนนี้มีความพิเศษ อาจจะเป็นเพราะเทอร์ควอยส์สีเขียวอมฟ้าที่ห้อยคอเด็กคนนี้อยู่ก็เป็นได้ เขาถึงได้ไม่รู้สึกอะไรเลยเมื่อเข้าใกล้อาร์ดิว
สำหรับตัวเขาเอง จะเรียกมันว่าเป็นความสามารถพิเศษได้ไหมไม่รู้ เพราะเขาสามารถสื่อสารกับคนที่ไม่มีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้แล้ว เหมือนจะเป็นหมอผีเลยนะ แต่เขาไม่ชอบให้ใครมาเรียกแบบนั้นนักหรอก ก็เขาออกจะหนุ่มฟ้อหล่อเฟี้ยวขนาดนี้
ทางด้านปอมปอมที่ไปเรียนพิเศษและมีงานจากโรงเรียนสอนพิเศษมาทำที่บ้านก็ได้ที่ปรึกษาดีๆอย่างพี่เมฆคอยสอนให้ หนุ่มน้อยเลยปลื้มใจกับการมีพี่ชายเพิ่มขึ้นมาอีกคนเป็นอย่างมาก มากเสียจนมีคนแถวนี้กลายเป็นหมาหัวเน่าไปแล้ว
“ป๋า เป็นอะไรอ่า งอนอะไรปอมเหรอ?”
หนุ่มน้อยมาตามง้อคนงอนถึงบ้าน เพราะดูพักนี้พี่ชายข้างบ้านจะชอบทำปั้นปึ่งใส่ บางทีการที่ต่างคนต่างอยู่คนละที่ กว่าเขาจะเรียนเสร็จกลับมาเจอที่ร้านก็ไม่ค่อยได้คุยกันเพราะชีวาก็ทำงาน กว่าจะพากันปิดร้านแล้วกลับมาบ้านเด็กอนามัยอย่างปอมปอมก็เข้านอนไปแล้ว นั่นมันอาจจะทำให้ป๋าชีวาของเขางอนที่ไม่มีเวลาให้ก็เป็นได้
“เดี๋ยวนี้ไม่ใช่แค่เด็กเขมแล้วนะ”
“อะไรอ่า?” นิ้วเรียวจิ้มแขนพี่ที่นั่งงอนอยู่จึกๆ ทำหน้าซื่อตาใสไม่รู้เรื่อง ก็เขาไม่รู้จริงๆนี่นา เรื่องเขมพอรู้ว่าพี่ชีวาไม่วางใจ เพราะเขมก็ไปเรียนพิเศษที่เดียวกันเลย แต่ไอ้ที่บอกว่าไม่ใช่แค่เขมมันคืออะไรเขายังงงๆ
“นายพี่เมฆนั่น มันสำคัญมากกว่าพี่สินะ” ป๋าตัวโตตัดพ้อต่อว่าน้อยเนื้อต่ำใจ ปอมปอมกะพริบตาปริบๆ เอ่อ... เกี่ยวอะไรกับพี่เมฆกันล่ะนี่
“โธ่ ป๋า ใครจะมาสำคัญเท่าป๋าไม่มีอีกแล้วล่ะน่า ยกเว้น...” แขนเรียวกอดเกี่ยวเอวพี่แล้วทำเสียงออด ก่อนจะปิดท้ายประโยคด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์ ป๋าขี้งอนหันขวับมามองตาเขียว
“ยกเว้นใคร ไม่ได้อยู่คุมไม่เท่าไหร่แอบปันใจให้คนอื่นแล้วใช่ไหม?”
“จุ๊ๆๆ อย่างี่เง่านะครับป๋าวา ฟังปอมก่อนน้า ใจร้อนแล้วมาต่อว่าปอมแบบนี้ เดี๋ยวปอมไม่รักนะครับ”
กะปอมน้อยพูดราวหลอกล่อเด็ก ชีวาปรายตามามองเด็กน้อยหน้าเป็นแล้วถอนใจ น้องทำเหมือนเขาเป็นลูกไล่ ต้องตามใจน้องทุกสิ่งอย่าง แต่นั่นมันก็คือความจริงที่เขาไม่คิดจะปฏิเสธ เพราะเขายอมที่จะเป็นลูกไล่คอยตามใจน้องทุกอย่างจริงๆ
“ที่ปอมบอกว่ายกเว้นน่ะ ยกเว้นพ่อกับแม่ปอมนะ อ๊ะ! ยกเว้นดิวด้วย หรือป๋าไม่คิดว่าครอบครัวสำคัญ?” หนุ่มน้อยเอียงคอถาม แขนยังกอดเอวพี่เอาไว้อยู่ รอยยิ้มซุกซนมันทำให้ชีวานึกใจอ่อน น่ารักซะไม่มีล่ะเด็กคนนี้ มันน่าฟัดเสียให้เข็ด
“ถ้าเป็นพ่อกับแม่แล้วก็อาร์ดิวก็แล้วไป อย่าให้พี่รู้นะว่าปอมปอมแอบปันใจให้ใครอื่น โดยเฉพาะเด็กเขมกับนายเมฆนั่น”
“พี่เมฆเป็นพี่ชายปอมนะ ป๋านี่คิดอะไรไปเรื่อย” น้องต่อว่าคืนบ้าง พี่ก็คือพี่สิ ใครจะไปคิดอะไรเกินเลยกับพี่ตัวเอง ป๋าอ่ะบ้า เนอะ
“แล้วเด็กเขมนั่น...”
“เพื่อน จบป่ะ?” น้องทำเสียงสูง จิ้มจมูกโด่งๆของคนเป็นพี่แล้วจะลุกหนี พูดไปพูดมามันก็วนอยู่ที่เดิม ขี้เกียจง้อละ
“จะหนีไปไหน?” ชีวาคว้าตัวผอมๆนั้นกลับมานั่งบนตัก กดจมูกกับซอกคอน้องให้จั๊กจี้เล่นแล้วนั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนอ้อนออดให้น้องสนใจตน
“หวงมากนะปอมปอม ไม่อยากให้อยู่ใกล้ใครเลยจริงๆ”
“บ้าเหรอป๋า ปอมยังต้องเจอคนอีกเยอะเลยนะในชีวิตนี้อ่ะ ป๋าจะตามหวงปอมไปตลอดไม่ได้หรอก ปอมยังไม่หวงป๋าเลย”
“จริงอ่ะ?” คนเป็นพี่เลิกคิ้ว อมยิ้มน้อยๆอย่างไม่ค่อยอยากจะเชื่อ
“จริง ปอมรู้ลิมิตตัวเอง” น้องพยักหน้าจริงจัง
“โห มีลิมงลิมิตด้วย”
“แน่ล่ะ” หนุ่มน้อยทำลอยหน้าทะเล้น
“สมมตินะ ถ้าพี่ใกล้ชิดกับสาวที่ไหนเป็นพิเศษ กะปอมน้อยตัวนี้จะหวงพี่ป่ะ?”
“ป๋าควรรู้ว่าตัวเองทำอะไรอยู่” สีหน้าทะเล้นเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นดุในฉับพลันจนชีวายิ้มขำทั้งยังเอ่ยแซวน้อง
“ดุด้วยเว้ย”
“มันจริงไหมล่ะ ถ้าคนหนึ่งเชื่อใจ แต่อีกคนอยากทำอะไรก็ทำ เราคงไปกันไม่รอด”
“กี่ขวบแล้วเราน่ะ?” คำพูดที่ดูเป็นผู้ใหญ่เกินตัวทำให้คนเป็นพี่เอ่ยถามยิ้มๆ
“มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับอายุหรอก ขึ้นอยู่กับว่าใครมีสมองจะคิดมากกว่า”
“แรง”
ชีวาตบท้ายกับคำพูดน้อง แรงจริงยิ่งกว่าโดนด่าตรงๆเสียอีก ปอมปอมเอี้ยวหน้ามามองพี่ นิ้วเรียวจิ้มปลายคางแล้วลากจากฝั่งหนึ่งมาอีกฝั่งช้าๆ หรี่ตานิดๆพร้อมกับพูด
“อย่าคิดนอกใจปอมเชียว ปอมจะเอาคืนให้หนักเลย!”
“ไม่กล้าหรอกครับ รักปอมปอมที่สุดแล้ว” เด็กหนุ่มเอ่ยเอาใจ หอมแก้มนิ่มไปฟอดใหญ่
“ดีครับ” สองมือกุมแก้มพี่แล้วยิ้มหวาน ชีวาอมยิ้มกับท่าทางราวเสือน้อยที่กำลังขู่เหยื่อ ท่าทางเหยื่อที่เสือน้อยขู่จะโตกว่าเสืออีกนะ หึหึ
เด็กหนุ่มจูบแก้มน้องซ้ำอีกหนทั้งที่อยากจะทำมากกว่านั้น โอกาสก็เอื้ออำนวยเหลือเกิน ที่จริงแล้วเขาไม่ได้กลัวคำขู่หรอก แต่อย่างที่น้องบอก หากคนหนึ่งเชื่อใจ แต่อีกคนกลับนึกอยากทำอะไรก็ทำมันคงไปกันไม่รอด สมองมีไว้คิดและทบทวน หัวใจมีไว้รักและซื่อสัตย์ต่อคนที่รักทั้งต่อหน้าและลับหลัง
ช่วงหัวค่ำ ห้องนอนของอาร์ดิวเป็นแหล่งรวมพลของสามหนุ่ม ปอมปอมนอนคว่ำตีขาอยู่บนเตียงคอยฟังที่พี่ใหญ่อย่างเมฆเล่าความเป็นมาของอัญมณีแต่ละชนิดที่ทั้งสามคนสวมใส่ติดคอ ปอมปอมเลยถามถึงจี้ที่ส่องแสงแวววาวที่เมฆใส่บ้าง
“อันนี้เขาเรียกแก้วมุกดา เห็นนี่ไหม มันแวววาวเหมือนแก้วเลย” ถอดสร้อยแล้วยื่นให้น้องดู ปอมปอมโผล่หน้ามาดูสร้อยของพี่เมฆในมืออาร์ดิว
“เป็นหินที่ได้มาจากแม่น้ำโขง ซึ่งถือว่าเป็นแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ เพราะตามความเชื่อแล้วเขาว่ากันว่าเป็นที่ที่มีพญานาคาปกปักรักษา และหินชนิดนี้มันหายากมาก แถมการเจียระไนก็ต้องละเอียดมากๆทำให้ราคามันแพงลิบ”
พี่ใหญ่ของบ้านอธิบาย น้องทั้งสองคนก็พยักหน้าหงึกหงักตาม ปอมปอมหยิบสร้อยจากมือพี่ชายมาดู ท่าทางจะชอบมันมากทีเดียว เอาไปเทียบกับบุษราคัมของตัวเองใหญ่เลย
“ส่วนอันนี้ สีสันเหมือนไข่มุกเลยเห็นไหม?”
กล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินเข้มถูกนำมาเปิดให้น้องดู ภายในบรรจุเครื่องประดับที่คล้ายจะทำจากไข่มุก เมฆเห็นว่าน้องทั้งสองคนสนใจก็รู้สึกปลื้มใจลึกๆก่อนอธิบายต่อ
“แต่มันไม่ใช่ไข่มุกนะ เป็นพลอยชนิดหนึ่งเรียกว่ามุกดาหาร”
“ได้มาจากจังหวัดมุกดาหารเหรอ?” ปอมปอมที่ก้มดูเครื่องประดับชิ้นดังกล่าวเงยขวับขึ้นมาถาม
“ไม่ใช่ มันเป็นชื่อที่เขาตั้งขึ้นมา ได้วัตถุดิบมาจากหินแม่น้ำโขงเหมือนกัน”
“แล้วมันช่วยอะไรเราได้บ้างอ่ะ?”
“ตามความเชื่อเขาบอกกันว่ามันเป็นอัญมณีสารพัดนึก และป้องกันภยันตราย ทำให้ใจเราสงบร่มเย็นตามท้องน้ำของแม่น้ำโขงที่ไหลผ่านทั่วทุกหัวระแหง”
“โห สรรพคุณเยอะขนาดนี้’ไมไม่เก็บไว้ใช้เองอ่ะ” ปอมปอมน้อยทำตาโตแล้วจีบปากจีบคอพูดน่าหมั่นไส้ พี่เมฆเลยยีผมนิ่มด้วยความหมั่นเขี้ยว
“ของผมก็เคยมีเหมือนกัน แต่ให้น้องคนหนึ่งไปแล้ว” อาร์ดิวพูดกับพี่ชายคนโตแล้วยิ้ม เมฆเองก็ยิ้มตอบ รู้สึกว่าน้องคนนี้พูดน้อยเหลือเกิน ต่างจากปอมปอมที่ช่างพูดเจรจา
“พี่ๆมีแบบนี้กันหมดเลย งั้นอันนี้ปอมขอนะ” หนุ่มน้อยพูดเร็วแล้วแอบงุบงิบใส่กระเป๋าตัวเองหน้าตาเฉย
“เนียนๆ เนียนนะเราอ่ะ”
“เนียนแล้วพี่เมฆจะให้ป่ะล่า” เกาะแขนพี่เมฆแล้วเอาหัวกลมๆไปถูออดอ้อน
“ไม่ให้” พี่เมฆว่า แกล้งทำหน้าจริงจัง
“โห่ ไม่น่ารักเลยอ่ะ”
น้องเล็กทำเสียงยานคาง จากที่เกาะแขนอ้อนพี่ชายคนโตก็ดันออกห่างโดยเร็วพลัน น่าหมั่นไส้จนเมฆเขกมะเหงกหน้าผากนูนเสียหนึ่งป๊อก ปอมปอมลูบหน้าผากตัวเอง ยู่หน้าใส่พี่เมฆ
“ไปนอนได้แล้วไป พรุ่งนี้ต้องไปเรียนพิเศษไม่ใช่เหรอ?”
“ขี้เกียจ”
พอพี่เมฆพูดถึงเรื่องเรียนปอมปอมน้อยก็หงายหลังผึ่งลงไปนอนกลิ้งบนที่นอนของอาร์ดิว ไม่อยากไปขึ้นมาเสียอย่างนั้น อาร์ดิวลูบผมน้องเบาๆ กะปอมน้อยจึงคว้ามือเรียวที่ให้ความรู้สึกอุ่นนั้นมาแนบแก้มตัวเองแล้วหัวเราะ
“อนาคตของชาติ” พี่เมฆว่าลอยๆ แต่กะให้กระทบคนที่ทำท่าว่าจะนอนสบายอยู่ในห้องนี้ ปอมปอมจึงลุกขึ้นมานั่งหน้ามุ่ย
“ไปเลย พี่เขาจะได้นอน ลุกขึ้นมาตัวแสบ”
มือใหญ่ดึงแขนน้องเล็กให้ลุกตามที่บอก คนเป็นน้องก็ทำตัวอ่อนปวกเปียกไม่ยอมไป เมฆจึงเปลี่ยนมาจับอุ้มพาดบ่าจนน้องดิ้นกระแด่วๆ
“ว๊ากกกก พี่เมฆเดี๋ยวปอมตก” มือเรียวขยุ้มกำเสือด้านหลังพี่เมฆเอาไว้แน่น หวาดเสียวสุดๆอ่ะ
พอสองคนนั้นออกไปแล้วอาร์ดิวรู้สึกว่าห้องเงียบขึ้นเยอะเลย เด็กหนุ่มลุกไปเข้าห้องน้ำ เตรียมตัวจะนอนแล้วเหมือนกัน เพราะต้องตื่นแต่เช้าไปที่ร้านกับคุณพ่อ ส่วนคุณแม่ก็จัดการส่งปอมปอมไปเรียนก่อนจะแวะเข้าร้าน เขา ชีวา การ์ฟ และพี่เมฆเป็นพนักงานชั่วคราว เข้าไปทำงานที่ร้านเพียงช่วงปิดภาคเรียนหาสตางค์ค่าขนมเท่านั้น วันอาทิตย์ก็ได้หยุดพักผ่อน เพราะพอเข้ามหาวิทยาลัยแล้วก็อยากทุ่มเทให้กับมันมากที่สุด พอเกรดออกมาแล้วจะได้ไม่นึกเสียใจในภายหลัง
ออกจากห้องน้ำมาอาร์ดิวก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดัง เด็กหนุ่มก้าวเข้ามานั่งที่เตียงแล้วคว้าโทรศัพท์มากดรับ
“ครับ การ์ฟ?”
“ตี๋ นายไล่ผีเป็นไหม?”
“หา?? ผมไม่ใช่หมอผีนะ” อาร์ดิวตอบกลับไปงงๆ อยู่ๆก็โทรมาถามว่าไล่ผีเป็นไหมนี่นะ
“ช่างเถอะ ขอโทษที่โทรมากวน”
“การ์ฟ…”
“หลับฝันดีนะตี๋”
อาร์ดิวได้แต่อ้าปากค้าง ยังไม่ทันจะได้พูดได้ถามอะไรปลายสายก็กดวางไปเสียแล้ว โทรศัพท์ค่อยถูกลดลงจากหู ขณะที่เจ้าของนั่งนิ่งค้าง อึ้งกับคำพูดประโยคสุดท้ายนั่น กัดปากตัวเองเมื่อรู้สึกเขินไม่ทราบสาเหตุ ก่อนหลับตาปี๋แล้วสะบัดหัวไปมาไล่ความคิดพิเรนทร์ที่มันเกิดขึ้นมาเพียงเพราะคำพูดประโยคเดียว
“อย่าเต้นแรงขนาดนี้สิหัวใจ”
เด็กหนุ่มพึมพำ มือเรียววางบนอกซ้ายของตนเองที่รู้สึกว่ามันเต้นแรงมากเกินจำเป็น
++++++++++++
ต่อด้านล่างค่ะ