Magica Café
Magic (10)
ปอมปอมวิ่งออกมาด้านนอกหลังจากเข้าไปรายงานพี่ชายว่าเพื่อนพี่มาหา สวนกับคุณแม่พอดีท่านจึงเรียกเอาไว้
“ปอมปอม”
“ครับ” หันมาขานรับคุณแม่พร้อมยิ้มแฉ่ง ไปอารมณ์ดีมาจากไหนล่ะน่ะ
“วันนี้กลับพร้อมแม่นะครับ”
“แต่มันดึกนะ” หนุ่มน้อยเอียงคอ
“ไม่ดึกหรอก วันนี้พ่อเขาจะปิดร้านเร็วหน่อย เพราะคุณยายโทรมาบอกให้เตรียมตัวไปบ้านพรุ่งนี้น่ะ จะทำบุญบ้าน” คุณแม่แจงเหตุผล
“ทำบุญบ้านเหรอครับ ทำไมทำตอนนี้อ่ะ?”
“เห็นว่างูเข้าบ้านหรือไงนี่แหละ สะเดาะเคาระห์ ความเชื่อคนโบราณเขาน่ะ”
“อ๋อ งั้นปอมไปติดป้ายหน้าร้านนะว่าพรุ่งนี้หยุด” หนุ่มน้อยพยักหน้ารับทราบก่อนเสนอ
“ครับผม”
“อ๊ะ! หม่ามี้ พี่ๆเขารู้ยังอ่ะครับ?” จะเดินไปแล้วก็ยังย้อนกลับมาถามเมื่อนึกขึ้นได้
“รู้แล้วจ้า แม่บอกพี่ๆเขาแล้ว”
“คร้าบ~”
คุณแม่ยิ้มขำพร้อมส่ายหน้าเบาๆ วันนี้ลูกชายคนเล็กของท่านดูอารมณ์ดีจริงๆนะ ปอมปอมออกมาพามิมิวไปนั่งที่โต๊ะประจำพร้อมส่งเมนูอาหารให้พี่เขาเลือกเสร็จสรรพ แล้วจึงเข้าไปในห้องทำงานเอาป้ายพรุ่งนี้หยุดหนึ่งวันมาติดหน้าร้าน เท้าเอวยืนมองผลงานของตัวเองแล้วก็ยิ้มพอใจ ปัดมือเบาๆก่อนกลับเข้าร้านไป
อาร์ดิวออกมานั่งเป็นเพื่อนมิมิว แต่ก็เพียงไม่นานเพราะเขาสวมชุดพนักงานร้าน มันคงดูไม่ดีนักหากมานั่งคุยกับลูกค้า คุยกันสักพักเมื่ออาหารมาเสิร์ฟตี๋น้อยจึงกลับไปประจำที่เคาน์เตอร์เป็นเพื่อนปอมปอม ให้คุณแม่เข้าไปเคลียร์ด้านใน ส่วนคุณพ่อตอนนี้เป็นเชฟใหญ่อยู่ในครัว
การ์ฟมาวนๆเวียนๆอยู่ข้างเคาน์เตอร์ อาร์ดิวเงยขึ้นมามองคนที่เดินไปเดินมางงๆ จนคุณแม่ออกมาจากด้านในเห็นเข้าเลยเอ่ยทัก
“มีอะไรหรือเปล่าการ์ฟ?”
“เปล่าครับคุณป้า”
การ์ฟบอกปฏิเสธก่อนเข้าไปด้านใน อาร์ดิวเลิกคิ้ว มองตามการ์ฟแล้วหันกลับมามองมิมิว ก่อนตี๋น้อยจะถอนใจออกมาเบาๆ
......................
ช่วงพักกลางวัน การ์ฟออกไปคุยกับมิมิวข้างนอก เพราะแบบนั้นเขาถึงได้เห็นว่ามิมิวพาใครมาเป็นเพื่อนด้วย เป็นหนุ่มรุ่นพี่ที่เขาไม่คุ้นหน้า แต่เขาก็พอดูออกว่าหนุ่มคนนั้นคิดเช่นไรกับมิมิว และการที่มิมิวมาที่ร้านจุดประสงค์หลักก็ไม่ใช่เพราะมาทานอาหาร แต่เพราะการ์ฟอยู่ที่นี่เธอจึงได้มาหาเขา ทั้งสองคนเดินมาหาที่นั่งคุยกันไม่ไกลจากที่รถของมิมิวจอดอยู่ พี่ผู้ชายคนนั้นก็ยังเดินตามมาด้วย การ์ฟจิ้ปากเบาๆก่อนหันกลับไปหาแล้วพูดกับพี่เขา
“ผมขอคุยกับมิมิวเป็นการส่วนตัวจะได้ไหมครับพี่?”
“ก็คุยไปสิ ใครว่าอะไรล่ะ” หนุ่มรุ่นพี่ตอบกลับมาแบบกำปั้นทุบดิน
“พี่เล่นยืนอยู่ใกล้ขนาดนี้เขาไม่เรียกว่าคุยเป็นการส่วนตัวแล้วล่ะครับ” การ์ฟย้อน พยายามจะควบคุมตัวเองไม่ให้มีเรื่องกับคนไม่รู้จัก
“พี่ธาร ไปรอที่รถก่อนได้ไหมคะ?”
มิมิวเห็นท่าไม่ดีจึงต้องบอกให้หนุ่มรุ่นพี่ช่วยออกไปก่อน หากยังอยู่ตรงนี้ต่อไปการ์ฟคงไม่ยอมคุยกับเธอแน่ หนุ่มรุ่นพี่ปรายตามองการ์ฟที่เบือนหน้าไปมองทางอื่นแล้วหันมาพูดกับมิมิว
“ให้เวลาสิบนาที ถ้านานกว่านี้พี่จะมาตาม”
การ์ฟพ่นลมหายใจแรงๆเมื่ออีกฝ่ายเดินออกไปหลังจากกำชับกำชามิมิวเสร็จ จะไปก็ยังจะเก๊กอีก หมั่นไส้ว่ะ!
“ใครเนี่ย?” การ์ฟเอ่ยถามคนข้างกาย
“เอ่อ... พี่ชายมิว”
“.............?”
“ลูกชายเพื่อนสนิทคุณแม่น่ะ” มิมิวเอ่ยแก้เมื่อการ์ฟมองมาอย่างมีคำถามกับคำตอบแรกของเธอ
“อ้อ” การ์ฟทำเสียงเชิงรับรู้ ขณะที่นึกในใจว่า มิน่าล่ะ
เมื่อเหลือกันอยู่สองคนก็ดูเหมือนว่าทั้งคู่จะทำตัวไม่ถูก ช่วงที่ห่างกันไปมันยิ่งเพิ่มช่องว่างระหว่างกันมากขึ้นไปอีก การ์ฟและมิมิวนั่งเงียบกันอยู่เพราะไม่รู้จะเริ่มต้นพูดกันอย่างไร การ์ฟคิดว่าตนเองคงขี้ขลาดเกินไปที่จะเอ่ยคำใดออกไปก่อน ไม่กล้าเอ่ยถามด้วยซ้ำว่าที่มิมิวมาหานั้นเพราะเหตุใด เพราะลึกๆแล้วก็รู้ว่าสุดท้ายมันจะจบลงที่ตรงไหน
“เวลาที่เราห่างกัน การ์ฟรู้สึกยังไงบ้าง?” มิมิวเป็นฝ่ายเริ่มต้นเอ่ยถาม หากไม่เริ่มพูดกันตอนนี้ เรื่องทุกอย่างมันก็คงจะยืดเยื้อออกไปอีกเรื่อยๆ ทั้งที่ความรู้สึกภายในใจมันไม่เหมือนเดิมแล้ว
“ไม่รู้สิ มันหน่วงๆล่ะมั้ง จะสุขก็สุขไม่เต็มที่ มันมีเรื่องให้คิดอยู่ตลอดเวลา การ์ฟมักจะคิดอยู่เสมอว่าหัวใจของเราสองคนมันเปลี่ยนไปอย่างที่มิวว่าจริงๆเหรอ” การ์ฟหันมามองหน้าสาวคนรักเมื่อเอ่ยจบประโยค
“แล้วได้คำตอบว่ายังไง?” มิมิวถามกลับ ขณะที่ในใจก็หวาดหวั่นกับคำตอบของอีกฝ่าย
“อาจจะใช่ก็ได้มั้ง”
“ทำไมต้องมีมั้งตลอดด้วยล่ะ?” เด็กสาวคิ้วขมวดเล็กๆ
“มันมีบางอย่างที่การ์ฟไม่รู้ว่าคืออะไร เหมือนมันจะติดค้างในใจตลอดมา ตั้งแต่ที่การ์ฟฟื้นขึ้นมามันมักจะนึกถึงบางเรื่อง แต่ก็ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังนึกถึงอะไรอยู่ บางทีการ์ฟอาจจะกำลังเป็นบ้า” การ์ฟพูดแล้วก็หัวเราะในลำคอราวจะเยาะหยันตัวเอง
“แล้ว... หัวใจของมิวที่มิวบอกว่ามันเปลี่ยนไป หมายถึงเขาเหรอ?” เด็กหนุ่มเอ่ยถาม เมื่อคาดเดาไปว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับมิมิวอาจมาจากหนุ่มรุ่นพี่ที่มาด้วยกัน
“เปล่า พี่ธารเพิ่งเข้ามา และหัวใจมิวไม่ได้เปิดรับเขาในตอนนี้ แต่ที่บอกว่ามันเปลี่ยนไป นั่นเพราะปัจจัยแวดล้อมระหว่างเรา เรื่องที่การ์ฟเอามิวไปเป็นของพนันกับเชน มิวบอกว่าไม่โกรธแล้ว นั่นก็คือว่าในตอนนี้มิวไม่โกรธ แต่ก่อนหน้านี้มิวทั้งโกรธและรู้สึกแย่กับการ์ฟมากๆ มิวเคยคิดว่าคนที่รักกัน มีใจให้กัน เขาจะเห็นความสำคัญของกันและกัน แต่เมื่อหัวใจที่มิวยกให้มันถูกนำไปใช้ราวสิ่งของชิ้นหนึ่งซึ่งไม่มีค่าเลย มันก็ทำลายความเชื่อมั่นในใจของมิวลง แม้จะให้อภัยแต่ก็ยังไม่สามารถลืมได้ว่าครั้งหนึ่งการ์ฟเคยทำอะไรไว้ และไม่แน่ว่าต่อจากนี้มันจะไม่มีอีก”
“..................” ทุกคำที่มิมิวพูดมาการ์ฟได้แต่เพียงเงียบฟัง ประโยคยาวยืดนั้นมันสรุปทุกอย่างในตัวของมันเอง
“มิวอาจจะเป็นคนคิดเล็กคิดน้อยก็ได้ แต่นั่นล่ะคือตัวตนของมิว” มิมิวปิดท้าย พอได้เอ่ยออกไปแล้วบรรยากาศรอบกายมันยิ่งหนัก ยิ่งการ์ฟเงียบ เธอยิ่งกดดัน
“คำขอโทษมันคงไม่ใช่สิ่งที่มิวต้องการ…”
“ใช่ เพราะต่อให้การ์ฟขอโทษสักกี่ครั้ง ความรู้สึกของเราก็ไม่สามารถกลับมาเป็นเหมือนเก่า” มิมิวตอกย้ำในสิ่งที่การ์ฟกำลังคิด พยายามที่จะไม่ให้เสียงของตนเองสั่น
“เรา...” การ์ฟเริ่มต้นประโยคเพียงเท่านั้นแล้วเงียบไป ร่องรอยความเสียใจในแววตาของอีกคนมันสะท้อนความรู้สึกของเขาไม่ต่างกัน
“เราต่างก็สามารถเลือกทางเดินของตัวเองได้” มิมิวต่อประโยคที่การ์ฟค้างไว้
“และมิว... เลือกที่จะเดินจากการ์ฟไปสินะ…?”
การ์ฟมองตรงไปข้างหน้า พรูลมหายใจยาว มันอึดอัดจนไม่สามารถจะเอ่ยคำใดออกมาได้ง่ายๆ ทุกอย่างมันชัดเจนว่าวันนี้มันต้องจบ ขณะที่ในใจเกิดคำถามว่าเราไม่สามารถคบกันได้อีกต่อไปแล้วหรือ ทางออกของเรื่องนี้มันคือคำว่าจบอย่างเดียวเท่านั้นใช่ไหม หรือที่จริงแล้วที่ทุกอย่างมันเดินมาจนถึงจุดนี้เป็นเพราะเขาพยายามไม่พอ หรือไม่ก็เป็นเพราะเขาไม่พยายามที่รั้งมันเอาไว้เลย
“เราคงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้”
“อือ”
มิมิวเอ่ยปิดท้ายก่อนลุกขึ้น การ์ฟตอบรับเพียงสั้นๆ ไม่ได้หันไปมองด้วยซ้ำเมื่ออีกฝ่ายเดินจากไป ได้แต่เพียงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม แม้อยากจะรั้งไว้ แต่เมื่อหัวใจไม่ได้ใกล้กันอีกแล้วมันก็มีแต่จะทำร้ายกันและกันให้เจ็บปวดมากขึ้นเท่านั้น…
..........................
“เช็ดน้ำตาซะ พี่ไม่ชอบเห็นเราร้องไห้”เสียงทุ้มของหนุ่มรุ่นพี่เอ่ยบอกเมื่อจับจูงมือมิมิวให้เดินกลับมาที่รถ มันน่าหงุดหงิดที่น้องสาวคนนี้ร้องไห้เพราะผู้ชายคนอื่น
“ไม่อยากเห็นก็ปิดตาไว้สิ”
มิมิวว่ากลับอย่างพาลพาโล เธอร้องไห้มันก็เรื่องของเธอ ไม่อยากเห็นก็อย่ามองสิ เงาจากร่างสูงผ่านวูบ ริมฝีปากหนุ่มรุ่นพี่แตะปากของเธอเบาๆ มิมิวชะงักเมื่อถูกขโมยจูบไม่ให้ทันตั้งตัว
“ปิดตาไม่เป็น แต่ปิดปากอ่ะ ถนัด”
คนพูดยิ้มมุมปาก จับมือเรียวรั้งให้เดินไปที่รถ มิมิวมองแผ่นหลังกว้างของคนด้านหน้า มือเรียวแตะปากตัวเองแล้วเม้มแน่น บอกย้ำกับตนเองในใจว่ามันก็แค่วิธีทำให้เธอหยุดร้องเพราะพี่เขารำคาญเท่านั้นแหละ...
.............................
การ์ฟกลับเข้ามาในร้านหลังจากคุยกับมิมิวเสร็จแล้ว เด็กหนุ่มทำงานของตนเองไปเงียบๆจนหมดวัน สายตาของอาร์ดิวอดไม่ได้ที่จะคอยมองตามอย่างเป็นห่วง คุณแม่ของสองพี่น้องปอปลาชวนการ์ฟกลับไปเยี่ยมบ้านที่ต่างจังหวัดด้วยกันในวันพรุ่งนี้ เด็กหนุ่มไม่ค่อยอยากจะไปไหนเพราะสภาพหัวใจไม่ค่อยจะแข็งแรง แต่จะปฏิเสธก็เกรงใจจึงได้แต่เพียงยิ้มรับ เมื่อถึงเวลากลับบ้านอาร์ดิวก็วิ่งตามการ์ฟออกมาหน้าร้าน
“การ์ฟ”
การ์ฟหันมามองตามเสียงเรียก เลิกคิ้วให้คนเรียกเชิงถาม
“อะไรตี๋?”
อาร์ดิวก้าวเข้ามาหาแต่ก็ยังไม่พูดอะไร ท่าทางเก้ๆกังๆดูประหลาดจนการ์ฟสงสัย ดวงตาเรียวช้อนมองเขาก่อนหลุบต่ำ เหมือนมีอะไรจะพูดแต่ก็ไม่พูดมันออกมา อึกๆอักๆและเป็นแบบนั้นอยู่ซ้ำๆ การ์ฟยิ้มมุมปากนิดๆก่อนจะถามคนที่มีทีท่าผิดแปลก
“เป็นห่วง?”
“อือ”
อีกฝ่ายตอบรับง่ายดายจนการ์ฟแปลกใจ “หึ ตรงจังนะ”
“แล้ว... ไม่เป็นไรใช่ไหม?” ตี๋น้อยเอ่ยถามเสียงค่อย กลัวกระทบใจคนฟัง
“ยังไม่ตายอ่ะ เฮิร์ทนิดหน่อย” การ์ฟตอบกวน ไม่เคยชินกับการมีคนอื่นที่ไม่ใช่คนในครอบครัวหรือคนรักเป็นห่วง
“เขาเป็นคนดี…”
“อะไร?”
“เปล่า แค่จะบอกว่าพี่คนนั้นเป็นคนดี” อาตี๋น้อยอธิบาย ทำให้การ์ฟนิ่วหน้าแล้วถามกลับ
“แล้วฉันล่ะ?”
“บางทีก็ใจร้อนไป แล้วก็มั่นใจในตัวเองจนไม่ฟังความคิดเห็นของคนอื่น” ตี๋น้อยว่า
“รู้จักฉันดีนี่”
การ์ฟยกยิ้มเมื่ออีกฝ่ายพูดเหมือนรู้จักเขาดีอย่างนั้น ขณะที่คนรู้ดีอมยิ้มนิดๆ
“กลับละ พรุ่งนี้ไม่ไปนะ” การ์ฟเอ่ยบอกก่อนหมุนตัวจะเดินออกไป
“บอกแม่เองสิ!” อาร์ดิวตะโกนไล่หลังทำให้อีกคนหยุดกึก หันมามองอาตี๋ที่มองมาอย่างไม่ต้องการรับฝากคำพูดของอีกฝ่าย
“นายเป็นลูกคุณป้านะ”
“แต่ไม่ใช่แม่นี่” อาตี๋ย้อนกลับ
“เออๆ ถ้ามาไหวจะมา” การ์ฟตอบส่งๆเพราะไม่อยากเถียงด้วยก่อนหมุนกายกลับทางเดิม
“การ์ฟ!”
“รู้แล้วน่า”
“รู้อะไรยังไม่ได้พูดเลย??” อาร์ดิวเลิกคิ้วงง แค่เรียกเฉยๆ รู้แล้วหรือว่าเขาจะพูดอะไร
“รู้ว่านายเป็นห่วง”
อาร์ดิวชะงัก กัดปากตนเองเบาๆเมื่ออีกฝ่ายมองมายิ้มๆ
“คุณอาจจะไม่ชอบใจ แต่ว่า... มันก็ใช่…”
อาร์ดิวยอมรับเสียงเบา คราวนี้จึงกลายเป็นการ์ฟที่เป็นฝ่ายประหม่ากับดวงตาเรียวรีที่มองตอบมาอย่างจริงใจนั้นแทน
“อ่า... ขอบใจ เจอกันพรุ่งนี้” เด็กหนุ่มเอ่ยบอกก่อนออกเดินอีกครั้ง
“เอ๋ แสดงว่าจะมาใช่ไหม ไม่แฮงค์นะ!?”
“เออ”
คำตอบที่ได้รับทำให้อาร์ดิวอมยิ้ม อย่างน้อยการ์ฟก็รับคำ แต่จะทำได้ไหมพรุ่งนี้คงรู้กัน
“ยิ้มอะไรอ่า~” ปอมปอมแอบย่องมาข้างหลังพี่ ก่อนโผล่หน้ามายิ้มแป้นแล้นอยู่ข้างๆ
“ก็อยากยิ้มอ่า~” อาร์ดิวล้อเลียนน้องกลับ
“ชอบเขาอ่ะดิ้” หนุ่มน้อยทำเสียงสูงประกอบคำพูด
“เปล่าสักหน่อย เขาเป็นแฟนเพื่อนนะ”
“ฮั่นแน่ มีบอกว่าเขาเป็นแฟนเพื่อนแต่ไม่ปฏิเสธว่าไม่ได้ชอบแบบจริงจัง มีพิรุธนะเนี่ย” น้องยังล้อไม่เลิกทำให้คนเป็นพี่ต้องปรามเสียงดุ
“ปอมปอม”
“คร้าบ~”
“ไปเก็บของกลับบ้านเลย ดึกแล้วเนี่ย”
“เขินอ่ะ”
“เขินบ้าอะไร!”
“ปอมเขิน ไม่ได้บอกว่าดิวเขินสักหน่อย ดิวพูดไม่เพราะ”
กะปอมน้อยย่นจมูกใส่พี่ชายก่อนวิ่งเข้าร้านไปเก็บของกลับบ้าน อาร์ดิวส่ายหน้า ก่อนยิ้มคนเดียวอีกครั้งแล้วจึงเดินตามน้องเข้าไปเก็บของ ก็มันอดยิ้มไม่ได้นี่นา
+++++++++++++++
เช้าวันต่อมาสองพี่น้องปอปลาตื่นกันแต่เช้าเพื่อไปบ้านคุณตาคุณยาย การ์ฟให้เทสต์มาส่งตั้งแต่เช้ามืด ก่อนที่เทสต์จะกลับไปหาบิวที่ห้อง ไม่ได้ไปกับหลานเพราะงานตัวเองก็หนักไม่ค่อยได้กลับบ้านที่ต่างจังหวัดสักเท่าไหร่
เมื่อเตรียมตัวพร้อมทั้งหมดก็ออกเดินทาง ไปถึงที่บ้านโน้นในตอนสายๆ ทันเวลาทำบุญเพราะคุณยายนิมนต์พระมาฉันเพลที่บ้าน ลูกหลานอยู่พร้อมหน้าคุณตาคุณยายท่าทางจะมีความสุขน่าดูเพราะยิ้มไม่หุบ ครอบครัวการ์ฟก็มาช่วยที่บ้านด้วยเพราะบ้านก็ไม่ได้ไกลกันนัก ตั้งแต่ที่คุณพ่อคุณแม่สองพี่น้องปอปลาช่วยเหลือกันไว้ในคราวนั้นก็นับญาติกันเรื่อยมา มีอะไรก็ช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาตลอด
หลังเสร็จงานบุญการ์ฟก็กลับไปพักที่บ้านตนเอง ตอนเย็นทุกคนถึงจะพากันกลับกรุงเทพฯ วันนี้ฉุกละหุกทำให้มีเวลาอยู่ไม่นาน สองพี่น้องปอปลาจึงสัญญากับคุณตาคุณยายว่าจะหาเวลามาเยี่ยมใหม่ คราวนี้จะอยู่นานๆให้เบื่อหน้ากันไปเลย คุณยายหัวเราะแล้วร้องท้าว่าให้มันจริงอย่างที่พูด ท่านจะตั้งตารอเลยทีเดียว
ยังมีเวลาอีกหลายชั่วโมงก่อนกลับเด็กๆเลยพากันไปเที่ยวเล่นในหมู่บ้าน ก่อนปอมปอมจะกลับมานอนเล่นกับคุณยาย พอเห็นคุณตาทำข้าวของไว้ใช้เองก็เข้าไปนั่งดูอย่างสนอกสนใจ ขณะที่พี่ชายอย่างอาร์ดิวไปเดินเล่นที่สะพานข้ามคูน้ำหลังบ้าน รอบๆมีต้นไม้และแปลงผัก บนคูน้ำก็ปลูกดอกไม้นานานชนิด ให้ความรู้สึกสดชื่นและได้บรรยากาศท้องไร่ท้องนาดีจนอาร์ดิวนั่งเล่นเพลิน แว่วเสียงเด็กๆแถวนั้นพูดคุยหัวเราะกันดังมาเป็นระยะ เสียงนกตามธรรมชาติก็ร้องประสานราวจะแข่งกับเสียงเด็กๆ การ์ฟเดินมานั่งลงข้างๆ อาร์ดิวหันมามองก่อนหันกลับไปมองบรรยากาศรอบๆต่อ
“รู้เปล่า เมื่อก่อนแถวนี้เวลากลางคืนน่ะ มีหิ่งห้อยเยอะมากเลยนะ” การ์ฟชวนคุย
“รู้สิ นี่มันบ้านผมนะ” อาร์ดิวตอบแล้วหัวเราะเบาๆ
“นั่นสิ”
การ์ฟว่าอย่างเห็นด้วย เขานี่ก็ถามไม่คิด นั่งข้างกันเงียบๆอยู่ครู่หนึ่งการ์ฟก็พูดขึ้นมาอีก
“นายสงสารฉันไหม?”
“สงสารเรื่องอะไร?”
“ก็เรื่อง... เรื่องที่ฉันโดนทิ้งมา”
คนถามหันมามองหน้าคนด้านข้าง อาร์ดิวละสายตาจากธรรมชาติรอบกายที่ตนเองให้ความสนใจอยู่มามองอีกฝ่าย ก่อนเอ่ยถามกลับไป
“คุณอยากเป็นคนน่าสงสารเหรอ?”
“เปล่า”
“งั้นผมก็ไม่สงสารคุณหรอก” ตี๋น้อยว่าอย่างนั้น
“อ้าว?”
“ไม่มีใครอยากเป็นคนน่าสงสารหรอก จริงไหม?”
คนพูดอมยิ้มนิดๆ การ์ฟกลอกตามองสูง นั่นสิ ทำไมอาตี๋นี่พูดอะไรก็ดูจะถูกไปเสียหมดเลยนะ
“ฉันว่าจะถามนายหลายทีแล้ว สร้อยนั่นน่ะ มันมีความพิเศษอะไรหรือเปล่า?”
การ์ฟเปลี่ยนเรื่อง หันมาถามเรื่องที่คาใจมานานแล้วบ้าง อาร์ดิวจับสร้อยที่คอ ก้มลงไปมองมันแล้วเงยหน้าขึ้นมาถามกลับ
“ทำไมเหรอ?”
“เขาใส่อะไรไว้ในนี้ มันทำไมมีสีแปลกตาจัง เหมือนมีแสงสว่างออกมาจากในนี้…”
การ์ฟช้อนจี้สีเขียวอมฟ้าที่สะท้อนแสงจางๆไว้ในมือ ก้มลงไปมองใกล้ๆอย่างสนใจสีสันที่ดูดึงดูดสายตา เมื่อเงยขึ้นมาถึงได้รู้ว่าตนเองอยู่ใกล้อีกคนเพียงใด อาร์ดิวชะงักนิ่งเมื่อสบสายตาคมในระยะประชิดแบบนี้ เด็กหนุ่มกัดปากตนเองเมื่อเกิดอาการประหม่าทำให้สายตาการ์ฟเลื่อนมาที่ริมฝีปากสวย
“ขอโทษ”
การ์ฟพึมพำเบาๆก่อนปล่อยสร้อยในมือ อาร์ดิวขยับลุกขึ้นแล้วปัดกางเกง ท่าทางเก้อกระดากกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“ผมกลับนะ ห้าโมงเย็นเจอกันที่บ้านตายาย” อาร์ตี๋พูดเร็วก่อนก้าวเดินไปไม่รอฟังคำตอบ มือเรียวกำสร้อยที่คอแน่น ฮือออ ใจเต้นแรงเกินไปแล้ว
เมื่ออีกคนเดินพ้นไปแล้วการ์ฟก็วางมือทาบอกซ้ายตัวเอง เด็กหนุ่มนิ่วหน้าเล็กน้อย ก่อนพึมพำ
“ช่วงเวลาทำใจ... เหรอ?” พูดแล้วนิ่งไปนิดก่อนว่าต่ออย่างไม่เข้าใจตัวเอง
“อะไรวะเนี่ย เศร้ากว่านี้ได้ป่ะ ร้องไห้ไปเลยดิไม่ใช่มา...” เด็กหนุ่มถอนใจเบา ละมือจากอกซ้ายช้าๆ
“ไม่ใช่มาใจเต้นกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง...”การ์ฟลุกขึ้น ส่ายหัวกับความรู้สึกประหลาดของตนเองก่อนเดินกลับบ้าน มือใหญ่ทึ้งหัวตัวเองเพราะมันยังไม่ยอมหยุดคิดถึงเรื่องเมื่อครู่เสียที…
+++++++++++++++++++
สองพี่น้องปอปลากลับเข้ากรุงเทพฯมาก็เริ่มดึกแล้ว การ์ฟโทรบอกไม่ให้เทสต์มารับตั้งแต่ออกจากบ้านที่ต่างจังหวัดเพราะไม่อยากกวน แต่พอมาถึงเทสต์ก็มาจอดรถรออยู่ในบ้านสองพี่น้องปอปลาแล้วเรียบร้อย ทุกคนช่วยกันขนของลงจากรถ การ์ฟเอากระเป๋ากับของฝากที่คุณพ่อกับคุณแม่ของตนเองให้เอาติดมือมาทานกับเทสต์ที่กรุงเทพฯไปเก็บที่รถของเทสต์ เมื่อจัดการเสร็จก็ลาคุณพ่อคุณแม่สองพี่น้องปอปลาแล้วขึ้นรถกลับ
“รู้ได้ไงว่าผมจะกลับเวลานี้?” การ์ฟเอ่ยถามผู้เป็นน้าชายเมื่อขึ้นมานั่งข้างกันบนรถ
“ไม่รู้หรอก แต่มารอตั้งแต่กลางวันแล้ว ให้แม่บ้านโทรบอกถ้านายกลับมา เห็นค่ำแล้วยังไม่มาเลยมารออีกที” เทสต์บอกกับหลานชายยิ้มๆ
“ขอบคุณนะเทสต์”
“นิดหน่อยน่า”
มือใหญ่โยกศีรษะหลานรัก แหม วันนี้มีขอบคงขอบคุณด้วยแฮะ ตั้งแต่ไปทำงานที่ร้านนั้นนี่น่ารักขึ้นเป็นกองเลยนะ ผู้เป็นน้ายิ้มแย้มอารมณ์ดีขณะขับรถพาหลานกลับบ้าน...
+++++++++++++++
ช่วงวันหยุดของทุกคนหมดไป เด็กนักเรียนที่น่ารักจึงต้องกลับมาเรียนกันต่อ ชีวากับปอมปอมตัวติดกันตลอดในช่วงนี้ จะว่าไปเมื่อก่อนก็ตัวติดกันอยู่แล้วมันเลยดูไม่แปลกในสายตาของเพื่อนๆเท่าไหร่ ที่แปลกไปก็คงมีเขม ที่เข้ามาอยู่ใกล้ปอมปอมให้ชีวาขวางหูขวางตาเล่นๆ ชีวาอยากจะแสดงความเป็นเจ้าของน้องมากกว่านี้แต่ก็เกรงว่ามันจะดูไม่ดีนักหากประกาศตูมลงไปว่าน้องเป็นของตนเอง แต่เพราะความไม่ชัดเจนแบบนั้นทำให้เขมเองก็สู้ไม่ถอย
“มันก็แค่ความเคยชิน แค่เพียงเพราะคิดว่าพี่ที่อยู่ข้างมันมาตลอดคือคนที่ใช่ ทั้งๆที่จริงๆแล้วยังมีคนอีกมากที่รักมันมากกว่าพี่ และไม่เห็นแก่ตัวอย่างพี่ที่ไม่รักมันแต่ยังหวงก้าง เดี๋ยวปอมปอมก็ตาสว่างแล้ว”
เด็กเขมท้าทายเด็กหนุ่มรุ่นพี่ที่ทำตัวเป็นหมาหวงก้าง ถึงแม้ตอนนี้ก้างที่ว่าจะยินยอมพร้อมใจเป็นของหมาก็เถอะ!
“ถ้าคิดว่าทำได้ก็ลองดูสิ แต่บอกไว้ก่อนนะไอ้หนู เตรียมผ้าเช็ดหน้าไว้สักสองโหลเลย เผื่อไม่พอซับน้ำตาเวลาอกหักซ้ำ-ซ้ำ!!”
ชีวาตอกย้ำซ้ำเติม เขาไม่คิดจะสู้กับเด็กหรอก แต่ในเมื่อเด็กนี่มันคิดจะปีนเกลียวกัน ต่อไปก็อย่าหาว่าเขาเป็นผู้ใหญ่รังแกเด็กก็แล้วกัน!
++++++++++++++
หลังทำการบ้านเสร็จปอมปอมก็เดินมาบ้านข้างๆ คราวนี้ไม่ปีนระเบียงห้องเหมือนทุกทีแล้ว เพราะวันก่อนคุณพ่อมาเห็นเลยโดนดุไปชุดใหญ่ ลิงน้อยเลยไม่กล้าปีน ถึงคุณพ่อจะอยู่ที่ร้าน แต่คนทำก็รู้อยู่แก่ใจ ดังนั้น เพื่อความสบายใจของตนเองและคุณพ่อ ปอมปอมน้อยจึงต้องเดินไปเข้าทางประตูหน้าบ้านแทน ดูเข้าตามตรอกออกตามประตู ก็อย่างนี้ล่ะ คนมันมีมารยาทอ่ะเนอะ
ปอมปอมสวัสดียามค่ำคุณพ่อกับคุณแม่ของพี่ชีวา ก่อนขึ้นมาหาพี่บนห้อง ชีวากำลังทำงานของตนเองอยู่ เปิดภาคเรียนใหม่แต่งานกลับเยอะตั้งแต่วันแรกๆเลย เห็นพี่ทำงานอยู่ปอมปอมจึงไปค้นการ์ตูนบนชั้นหนังสือติดผนังมาอ่านรอ หางตามองเห็นหนังสือโป๊ในชั้นก็หยิบโยนทิ้งไป พอชีวาหันมามองสภาพห้องตัวเองหลังจากวางมือจากงานบนโต๊ะก็อึ้งไปสามวิ เมื่อมีหนังสือหลายเล่มวางกองอยู่บนพื้น หันไปมองเด็กน้อยที่นอนคว่ำอ่านการ์ตูนอยู่บนเตียงแล้วก็ส่ายหน้า เด็กหนุ่มลุกเดินไปเก็บหนังสือบนพื้นเข้าชั้นเหมือนเดิม เห็นหน้าปกแล้วก็ชะงักไปนิดแต่ก็ไม่ได้บ่นอะไร เพียงแต่อมยิ้มแล้วคิดในใจว่า มิน่าล่ะ เล่นวางกองไม่เกรงใจเจ้าของเลย
ชีวาลงไปข้างล่างเพื่อหาขนมขบเคี้ยวมาให้น้องทานเล่น เด็กหนุ่มถือจานขนมเข้ามาในห้องแล้วเรียกน้องมาทาน คนบนเตียงก็กระดึ้บลงมานั่งด้านล่างแล้วหยิบขนมในจานกินไปด้วยอ่านการ์ตูนไปด้วยสบายอารมณ์ ชีวาส่งแก้วน้ำให้น้องเมื่อน้องสะบัดมือทำท่าว่ามันจะติดคอ แล้วจึงเอ่ยถามเรื่องคาใจ
“กับเด็กเขมนั่นรู้จักกันมานานหรือยัง?”
“ตั้งแต่อนุบาลมั้ง ถ้าจำไม่ผิด” ปอมปอมเอ่ยตอบ สายตายังอ่านการ์ตูนในมือขณะที่วางแก้วน้ำลงบนโต๊ะเมื่อดื่มเสร็จ
“ทำไมต้องมีถ้าจำไม่ผิดด้วย?” ชีวาจี้ถาม พูดแบบนี้แสดงว่ารู้จักกันมานานมากแล้วใช่ไหม
“ก็เพิ่งสนิทกันตอนโตแล้วน่ะสิ”
น้องขยายความสั้นๆ ชีวาพยักหน้าเข้าใจ กับปอมปอมคงคิดว่าเพิ่งสนิท แต่เด็กเขมอาจเพิ่งรู้ใจตัวเองก็เป็นได้
“พี่ไม่ชอบเด็กเขมอะไรนั่นเลย กวนฉิบ” บ่นให้น้องฟังด้วยความเคืองคู่แข่งรุ่นน้อง
“ไม่ชอบกันเดี๋ยวมันจะได้กันเองนะ” ปอมปอมว่าเสียงเรียบ
“เฮ้ย! ไหงพูดงี้อ่ะ?”
“พูดถึงแต่เขมจนปอมชักจะหึงแล้วนะป๋า” น้องแกล้งว่า ทำหน้าดุตามน้ำเสียง
“เฮ้ยๆ พี่ไม่ได้คิดอะไรกับมันนะเว้ย พี่แค่ไม่ชอบที่มันมายุ่งกับกะปอมน้อยของพี่แค่นั้นเอง” คนเป็นพี่รีบแก้ต่างให้ตนเอง
“คิดมากน่าป๋า ถ้าปอมไม่เล่นด้วยซะอย่าง ใครหน้าไหนจะได้เห็นขาอ่อน”
“ขาอ่อนเลยเหรอ?”
“Yes!” น้องตอบรับก่อนหยิบขนมมากินต่อหน้าตาเฉย
“ดีละ เก็บไว้ให้พี่ดูคนเดียวพอ” ชีวากระซิบข้างหูน้อง น้องหดคอหนีแล้วตวัดมองพี่ด้วยหางตา
“ป๋า…”
“หา?”
“หางโผล่”
“................”
พูดแล้วตัวป่วนก็อ่านการ์ตูนต่อ คนเป็นพี่ได้แต่มอง ทำหน้าจริงจังแล้วพูดเสียงราบเรียบแบบนี้เล่นเอาเขาถึงกับเงียบสนิท เอ่อ... บางทีปอมปอมก็น่ากลัวเหมือนกันนะว่าไหม?
TBCผ่านไปอีกหนึ่งตอนแล้วนะเออ เลขสองหลักละ แต่ก็ยังค่อยๆกระดึ้บๆไปเรื่อยๆ ถ้าเคลียร์ทุกอย่างเรียบร้อยคงกลับมาอัพได้บ่อยๆค่ะ
ขอบคุณที่คอยติดตามกันอย่างต่อเนื่อง บวกและบวกให้ทุกท่าน
#แมวอ้วน มีคนฝากข้อความมาถึงนายอ่ะ
ป๋ากับน้องปอมปอมเคลียร์กันแล้วเรียบร้อย ถึงคิวนายการ์ฟกลับมาทวงตำแหน่งพระเอกแล้วใช่ไหม หลังจากที่กลายเป็นตัวประกอบมาตั้งนาน กร๊ากกกกก
ชอบอ่ะ 55555
วันใหม่ค่ะ