Magica Café
Magic ( 8 )
“วา... ชีวา... ชีวาคะ!”
“ค... ครับ?”
ชีวาที่นั่งมองเหม่อสะดุ้งกับเสียงเรียกของสาวข้างกาย ตอนนี้เขาอยู่ในงานวันเกิดน้องสาวของพริม ไม่ได้รู้จักกับน้องเขาเป็นการส่วนตัวจนต้องมาร่วมงานวันเกิด แต่เพราะปอมปอมเป็นเพื่อนกันกับสาวน้อยคนนั้นและมาร่วมงานนี้ด้วย การ์ดที่น้องนั่งทำก็เพื่อจะให้เพื่อนคนนี้นี่ล่ะ เมื่อชีวารู้ว่าน้องจะไปงานวันเกิดเพื่อนจึงได้ตามมาเฝ้า ขอยืมรถพี่ชายขับมาส่งน้องกับเพื่อนของน้องอย่างจูน และพอมาถึงงานแล้วรู้ว่าเจ้าของงานวันเกิดเป็นน้องสาวของพริม ชีวาจึงมีข้ออ้างที่จะอยู่เฝ้าน้องต่อด้วยการนั่งคุยกับพริมไปพลางๆ
“เหม่ออะไรคะ เห็นมองตั้งนานแล้ว?” พริมเอ่ยถามอย่างสงสัย เพราะตั้งแต่มาชีวาก็เอาแต่มองกลุ่มน้องสาวของเธอ มีอะไรน่าสนใจอยู่ในนั้นหรือ
“อ๋อ เปล่าๆ เห็นน้องๆเขาสนุกกันแล้วก็มองเพลิน เมื่อกี้พริมว่าไงนะ?”
“แหม ไม่ฟังกันเลยแบบนี้งอนซะดีไหมเนี่ย?” สาวเจ้าแสร้งว่าเง้างอด
“อย่างอนวาเลย พริมก็รู้ว่าวาอ่ะ... ง้อใครไม่เป็น….”
คนที่บอกง้อใครไม่เป็นยกยิ้มอย่ามีเลศนัย หลิ่วตาเจ้าชู้ส่งไปให้สาวสวยจนอีกฝ่ายเขินอายกับความนัยที่สื่อมา
“บ้า~”
พริมตีแขนคนพูดด้วยความเขิน ชีวาหัวเราะหยอกล้อกับหญิงสาว ลอบถอนใจที่แถไปได้ เกือบไปแล้วไหม มัวแต่มองอะไรอยู่วะชีวา!?
“เฮ้ย! ปอมปอม!!”
เสียงโหวกเหวกทำให้ชีวาดีดตัวลุกขึ้นพลอยทำให้พริมตกใจตามไปด้วย ชีวารีบวิ่งเข้าไปในกลุ่มเด็กๆที่กำลังชุลมุนกันอยู่ เห็นจูนเพื่อนสนิทของปอมปอมกับเด็กผู้ชายอีกคนล็อคแขนปอมปอมไว้คนละข้าง ฝั่งตรงข้ามน้องเป็นเด็กผู้ชายตัวโต มุมปากของเด็กคนนั้นมีเลือดซึม ดูจากสภาพแล้วน่าจะเพราะโดนต่อย ปอมปอมสะบัดแขนออกจากการเกาะกุมของเพื่อนแล้วเดินลิ่วออกไป เสียงเพื่อนๆเรียกตามแต่หนุ่มน้อยก็ไม่สนใจจะหันกลับไปมอง จูนขอโทษเพื่อนที่เป็นเจ้าของงานวันเกิดแล้วจึงวิ่งตามปอมปอมไป
“มึงไม่น่าทำแบบนั้นกับมัน”
เสียงเด็กๆคุยกันลอยมาเข้าหูทำให้ชีวาที่กำลังจะไปลาพริมกลับบ้านหยุดฟังอย่างไม่ตั้งใจ เพราะในใจก็อยากรู้เหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมน้องถึงได้โมโหจนถึงขั้นมีเรื่องชกต่อยกับเพื่อน
“ก็กูชอบมันพวกมึงก็รู้ มีแต่มันนั่นแหละที่ทำปิดหูปิดตาไม่ยอมมองกูเลย!”
คำพูดของเด็กผู้ชายตัวโตที่ถูกปอมปอมต่อยทำให้ชีวาสะดุดใจ เด็กคนนั้นชอบปอมปอม?
.........................
ในใจชีวามีแต่ความสงสัยกับเรื่องการทะเลาะกันของน้องกับเพื่อน จนขึ้นรถมาถึงได้รู้ว่าทำไมน้องถึงโกรธจนชกปากเพื่อนจนเลือดกลบแบบนั้น เพราะน้องเล่นถูปากตัวเองจนจะถลอก ชีวาเลี้ยวรถเข้าจอดข้างทางแล้วจับข้อมือน้องเอาไว้ จูนที่นั่งรถมาด้วยกันที่ด้านหลังรีบแกล้งตาย เอ้ย แกล้งหลับเปิดทางให้เพื่อน แอบหรี่ตาเล็กๆเพื่อดูสถานการณ์
“เลิกเช็ดได้แล้ว แดงไปหมดแล้วเนี่ย”
เมื่อข้อมือข้างหนึ่งถูกจับปอมปอมจึงยกอีกข้างขึ้นเช็ด ชีวาถอนใจกับความรั้นนั้นก่อนจับมันไว้ทั้งสองข้าง เมื่อไม่มีที่ให้เช็ดแล้วปอมปอมเลยซุกหน้ากับอกพี่แล้วใช้เสื้อพี่นั่นล่ะเช็ดแทน
“ปอมปอม!”
ชีวาเรียกน้องเสียงดุ ปอมปอมหยุดชะงัก จูนที่แอบดูอยู่เบาะหลังก็ถึงกับสะดุ้งไปด้วย สองคนด้านหน้านิ่งกันอยู่ท่านั้นทำให้จูนเองก็ไม่กล้าจะขยับตัว จนปอมปอมพูดขึ้นมาเสียงเบา
“จูบแรกของปอมอ่ะ”
“อย่าคิดมากเลยน่า เรื่องแค่นี้เอง”
จริงๆชีวาอยากจะปลอบน้อง แต่ก็รู้ดีล่ะว่าคำพูดเขามักตีความหมายไปในทางลบได้เสมอ ครั้งนี้ก็เช่นกัน เมื่อน้องถอยห่างออกไปแล้วบิดข้อมือออกจากมือเขา
“โกรธอะไร?” ชีวาเอ่ยถามเพราะไม่รู้ถึงสาเหตุ เขาพูดอะไรผิดไปอีกแล้วหรือ
“...............”
สิ่งที่ได้ตอบกลับมาจากน้องคือความเงียบ ปอมปอมนั่งเอนพิงเบาะรถราวไม่ได้ยินคำถาม จูนหรี่ตาขึ้นมามองทั้งคู่ ก่อนแยกเขี้ยวใส่ชีวา ทึ่มจริงๆเลย ชิ!
“ถ้าจะนับกันจริงๆมันไม่ใช่จูบแรกเสียหน่อย กะปอมเคยจูบพี่ด้วยจำไม่ได้หรือไง?”
“อันนั้นไม่นับ”
“ทำไมล่ะ?”
ชีวาอมยิ้มเมื่อเอ่ยถาม ถึงน้องจะสวนกลับมาทันทีแต่กลับตีสีหน้าไม่ถูก แบบนี้หมายความว่าไง?
“ก็... ปอมแค่จุ๊บเฉยๆ”
“มันไม่เหมือนกันเหรอ?”
“จะไปเหมือนได้ไง แค่เขียนก็ไม่เหมือนแล้ว”
คนเป็นน้องว่าอย่างนั้น ชีวาหัวเราะในลำคอ ก่อนโน้มตัวไปดันเบาะคร่อมตัวน้องไว้ ปอมปอมมองพี่อึ้งๆ เบี่ยงหน้าหนีเมื่อพี่เคลื่อนหน้าเข้ามาใกล้
“แล้วแบบไหนที่เขาเรียกว่าจูบ หืม?”
ชีวาเอ่ยถามระยะใกล้ ปลายจมูกแทบแตะแก้มน้อง ปอมปอมหันกลับมามองหน้าพี่ ดวงตาเรียวกะพริบปริบ ริมฝีปากเอ่ยคำพูดยั้งไว้ไม่ทัน
“ป๋าไม่อยากรู้หรอก”
“อยากรู้สิ อยากรู้มาก”
แขนเรียวสอดคล้องโอบคอพี่ โน้มให้พี่ขยับลงมาใกล้อีกนิดแล้วจูบริมฝีปากพี่เบาๆ แต่ก็เพียงแค่แตะค้างไว้อย่างนั้น ก่อนที่น้องจะผละห่างชีวาก็ค่อยๆบดคลึงริมฝีปากจิ้มลิ้มนั้น ความรู้สึกแสนแปลกใหม่สำหรับเขาเกือบทำให้ห้ามใจไม่อยู่ ตอนแรกเพียงจะแกล้งน้องเล่นเท่านั้น แล้วตอนนี้เขาทำอะไรอยู่ ทำไมยังไม่ผละห่างจากน้องอีก เสียสติไปแล้วใช่ไหม...
“อะแฮ่ม แฮ่มๆๆๆๆๆๆ”
เสียงกระแอมกระไอจากจูนที่กลายเป็นอากาศภายในรถเรียกสติสตังของทั้งคู่ให้กลับมาอยู่กับปัจจุบัน ชีวาผละห่างจากน้อง กลับมานั่งที่ของตนเอง ปอมปอมเหลียวกลับไปมองจูนที่เอนนอนอยู่เบาะหลัง เพื่อนจูนส่งยิ้มล้อเลียนมาให้ แหมะ ถ้าเมื่อกี้เขากระแอมแล้วยังไม่แยกกันนี่เขาว่าจะขากใส่แล้วนะนี่
“เกรงใจกันบ้าง’ไรบ้าง”
หนุ่มน้อยหน้ามนว่าอย่างนั้น ปอมปอมแยกเขี้ยวใส่เพื่อน ขณะที่คนเป็นพี่หัวเราะขำ ปอมปอมนั่งหน้าแดงมาตลอดทางที่พี่ขับรถกลับบ้าน ในใจอดเปรียบเทียบไม่ได้ว่าตอนโดนเพื่อนบังคับจูบ กับจูบแบบเต็มใจกับพี่... มันต่างกันมากจริงๆ
+++++++++++++++
สนามแข่งรถในคืนเดียวกันนั้น
การ์ฟมีนัดแข่งทั้งที่สภาพร่างกายไม่พร้อม แต่จะยกเลิกไปก็ไม่ได้ เพราะศักดิ์ศรีตัวเดียวที่มันค้ำคอ ทั้งที่มีประสบการณ์มาแล้วว่าการเอาคำว่าศักดิ์ศรีมาเป็นที่ตั้ง ผลลัพธ์มันออกมาเป็นเช่นไร เชนกับกลุ่มเพื่อนก็มาร่วมดูการแข่งนัดนี้ด้วย เขาเห็นแล้วว่าท่าทางการ์ฟดูไม่ดีเท่าไหร่ พอเข้าไปเตือนว่าไม่ควรลงแข่งการ์ฟก็ไม่สนใจจะฟัง ถึงเขาจะไม่ถูกกับการ์ฟ แต่ก็ไม่ได้อยากให้เป็นอะไรร้ายแรงหรอกนะ ก็รู้กันดีอยู่ว่าหากแข่งในขณะที่ร่างกายไม่พร้อมมันมีผลเสียอย่างไร พลาดเพียงเล็กน้อยอาจหมายถึงชีวิตเลยก็เป็นได้
รถที่เข้าร่วมการแข่งขันลงสนามอย่างครบถ้วน เสียงเครื่องยนต์ดังข่มกันไม่มีใครยอมใคร เชนมองรถคันที่การ์ฟขับเขม็ง มันจะไหวแน่หรือแบบนี้ เมื่อรถออกสตาร์ทแล้วพุ่งตัวออกไปเสียงเชียร์จากรอบสนามก็ดังขึ้นกว่าเดิม รถที่ลงแข่งทุกคันเจ้าของรถต่างก็มีเทคนิกพิเศษของตนเองกันทั้งนั้น พุ่งทะยานเบียดบี้สูสีกันจนคนดูลุ้นระทึก เมื่อถึงโค้งสุดท้ายก่อนถึงเส้นชัยใครมีความสามารถแบบไหนก็งัดกันออกมา แม้แต่การเล่นไม่ซื่อก็ตาม การ์ฟเร่งความเร็วไม่มีหยุด ถึงอย่างไรเขาก็ต้องชนะแน่ เด็กหนุ่มคิดอย่างลำพอง แต่แล้วความกระหยิ่มในใจกลับถูกสั่นคลอนด้วยความโคลงเคลงของตัวรถ เกิดอะไรขึ้นกับรถของเขา!!?
เด็กหนุ่มบังคับทิศทางรถอย่างสุดความสามารถ มันเสียสมดุลจนดึงกลับแทบไม่ได้ แถมรถที่ตามหลังมายังเบียดเสียจนจะตกขอบ ในหัวเด็กหนุ่มหมุนวน ตาเริ่มพร่าจากอาการป่วยที่เป็นอยู่ ไม่ เขาจะเป็นอะไรตอนนี้ไม่ได้!!!
“การ์ฟ!!!”
เชนเรียกชื่อคู่อริอย่างตกใจเมื่อรถของการ์ฟควบคุมไม่อยู่ เกิดอาการแตกตื่นขึ้นกับคนดูเมื่อเสียงเบรคดังยาวเหยียด สะเก็ดไฟจากการเสียดสีของล้อรถกระเด็นออกมาน่าหวาดเสียว ก่อนที่รถจะพลิกคว่ำแล้วไถลไปตามพื้นถนน เหวี่ยงตัวแรงจนคนดูต้องกรีดร้อง
เชนวิ่งลงจากอัฒจันทร์ เพื่อนในกลุ่มวิ่งตามไปไม่ห่าง เด็กหนุ่มเข้าไปดูการ์ฟเมื่อรถหยุดลง กุมเปิดประตูรถที่มันบุบบี้เสียรูปทรง เพื่อนในกลุ่มมองหน้ากันก่อนพยักหน้าให้เข้าไปช่วยเชน คนคุมสนามเรียกรถพยาบาลมารับคนเจ็บ ไม่ให้ใครขยับเขยื้อนตัวการ์ฟเพราะกลัวจะมีอะไรกระทบกระเทือน สภาพรถที่ว่าแย่ แต่เจ้าของรถดูแย่ยิ่งกว่าเมื่อเลือดสีแดงสดไหลซึมลงมาอย่างน่ากลัว
“การ์ฟ! การ์ฟ! ได้ยินกูไหม!?”
แม้เชนจะตะโกนเสียงดังแค่ไหนแต่เจ้าของชื่อก็ยังนิ่งสนิท ถึงจะเกลียดขี้หน้ามัน แต่เขาก็ไม่อยากให้มันมาตายแบบนี้นะ!!
+++++++++++++++
Magica Café
มิมิวมาหาอาร์ดิวที่ร้าน สั่งอาหารมาทานเล่นขณะคุยกันไปด้วย เธอมีเรื่องเป็นกังวลหลายอย่าง เวลาอยู่กับอาร์ดิวแล้วเธอรู้สึกผ่อนคลายลง ทำให้เธอติดที่จะมาหาอาร์ดิวอยู่บ่อยๆเวลาไม่สบายใจ บางทีก็กลัวเพื่อนลำบากใจอยู่เหมือนกันที่มักมาปรึกษาปัญหาอยู่เรื่อยๆ แต่อาร์ดิวก็ยังใจดีและเป็นที่พึ่งให้เธอได้เสมอ
“น้องมิมิวคะ ใช่โทรศัพท์น้องหรือเปล่าคะ?”
พนักงานของร้านเดินออกมาจากด้านในร้านพร้อมโทรศัพท์เครื่องหนึ่ง มิมิวรับมาแล้วบอกขอบคุณ นี่เธอสะเพร่าขนาดไปวางมือถือทิ้งไว้โดยไม่รู้ตัวแล้วหรือ
“ขอบคุณมากค่ะพี่ มิวคงเบลออ่ะ เมื่อกี้ไปเข้าห้องน้ำแล้วคงลืมวางไว้”
“คราวหลังเอาใส่กระเป๋าไว้เลยนะ ถ้าคนอื่นเห็นคงไม่ได้คืนแน่” อาร์ดิวว่า
“ค่า จะเก็บให้ดีเลย... ขอบคุณมากนะคะ”
มิมิวรับคำเสียงทะเล้นก่อนหันมาบอกขอบคุณพี่พนักงานอีกครั้ง พี่เขายิ้มรับคำขอบคุณก่อนไปทำงานของตนเองต่อ มิมิวจึงเปิดดูในเครื่อง หัวคิ้วสวยขมวดเมื่อมีเบอร์ที่ไม่ได้รับขึ้นมาเป็นพรืด มองหน้าอาร์ดิวที่นั่งอยู่ตรงข้ามแล้วบอก
“มีเบอร์แปลกโทรมาตั้งหลายสายแหนะ”
“เขาอาจจะมีธุระสำคัญก็ได้ ลองโทรกลับไปไหม?”
อาร์ดิวเลิกคิ้วกับคำบอกเล่า ก่อนจะแนะให้เพื่อนโทรกลับไป มิมิวพยักหน้าก่อนกดโทรออก เมื่อปลายสายกดรับสีหน้าของเธอก็ซีดเผือด อาร์ดิวเอื้อมมือไปกระตุกมือเธอเพื่อเรียกสติเบาๆ มิมิวมองหน้าเพื่อนก่อนจะเอ่ยบอกเสียงแผ่ว
“การ์ฟเกิดอุบัติเหตุตอนแข่งรถ ตอนนี้อยู่ในห้องไอซียู”
อาร์ดิวอึ้งกับสิ่งที่ได้รับรู้ บีบมือเพื่อนเบาๆอย่างปลอบใจ สีหน้ามิมิวยังซีดจนน่าเป็นห่วง เด็กสาวขอร้องให้อาร์ดิวไปโรงพยาบาลเป็นเพื่อน อาร์ดิวจึงไปบอกพ่อกับแม่ของตนเอง ก่อนขึ้นรถของบ้านมิมิวตรงไปโรงพยาบาล
..........................
เทสต์กับบิวรีบมาที่โรงพยาบาลเมื่อได้รับแจ้งเรื่องหลาน หน้าห้องฉุกเฉินมีเด็กหนุ่มสองคนกับเด็กสาวอีกหนึ่งนั่งรออย่างกระวนกระวาย สาวน้อยหนึ่งเดียวในนั้นเทสต์รู้จักดี เธอคือมิมิว คนรักของหลานชายเขาเอง แล้วอีกสองคนนั้นคงเป็นเพื่อน
“น้าเทสต์”
มิมิวเอ่ยทักเมื่อเทสต์ก้าวเข้ามาในระดับสายตา เด็กทั้งสามคนไหว้เทสต์กับบิว ก่อนที่ทั้งหมดจะพากันรออยู่หน้าห้องฉุกเฉินนั้นอย่างเป็นห่วงคนเจ็บด้านใน มิมิวจับมืออาร์ดิวแน่น เธอกลัวการ์ฟเป็นอะไรไป ไม่รู้ว่ารออยู่นานเท่าไหร่ ไม่มีใครสนใจเวลา เมื่อทุกคนจดจ่ออยู่กับความปลอดภัยของการ์ฟ จนกระทั่งแพทย์ผู้ทำการรักษาออกมาบอกว่าการ์ฟพ้นขีดอันตรายแล้ว ทุกคนก็ถอนใจอย่างโล่งอกไปตามกัน
+++++++++++++++
มิมิวจะไปเยี่ยมการ์ฟที่โรงพยาบาล เด็กสาวมาชวนอาร์ดิวไปด้วย ก็ไม่รู้ทำไมต้องมารบกวนอาร์ดิวอยู่ตลอด พอคุณแม่ของอาร์ดิวรู้ว่าเพื่อนของลูกเกิดอุบัติเหตุต้องเข้าโรงพยาบาลจึงฝากของให้ลูกชายไปเยี่ยมเพื่อน
หลังจากที่ได้ออกมาอยู่ห้องธรรมดาแล้วอาการการ์ฟก็ยังไม่ดีขึ้นเท่าที่ควร อาการตอบสนองต่อสิ่งเร้าน้อยมากจนต้องดูแลกันอย่างใกล้ชิด คุณพ่อคุณแม่ของการ์ฟกับน้องเอิงเดินทางเข้ากรุงเทพฯเมื่อรู้เรื่องนี้ อาร์ดิวกับมิมิวที่มาเยี่ยมการ์ฟก็ได้พบพวกท่านด้วย อยู่พูดคุยทำความรู้จักกันสักพักเทสต์ก็ให้พวกท่านกลับไปพักผ่อนที่บ้านเพราะเดินทางมาเหนื่อยๆ การ์ฟกับน้าชายและน้องเอิงเรียนและทำงานอยู่ในเมืองกรุง ขณะที่พ่อแม่ของการ์ฟอยู่ต่างจังหวัด ช่วงปิดภาคเรียนน้องเอิงจึงกลับไปอยู่กับพ่อแม่ที่ต่างจังหวัดด้วย
อาร์ดิวลงมาหาซื้อของกินไปให้มิมิวที่รับอาสาอยู่เฝ้าการ์ฟให้ขณะที่น้าชายของการ์ฟพาครอบครัวการ์ฟกลับไปพักผ่อน เมื่อออกจากลิฟท์แล้วจะเดินไปยังร้านค้าสายตาก็เหลือบไปเห็นคนคุ้นตาเดินผ่านไปแว้บๆ อาร์ดิวยืดคอมองตาม คิ้วขมวดเมื่อเห็นว่าคนที่เดินผ่านหน้าไปเมื่อครู่คือการ์ฟ การ์ฟจะมาเดินอยู่แถวนี้ได้อย่างไรในเมื่อเมื่อครู่นี้ยังเห็นนอนไม่ได้สติอยู่ห้องพักชั้นบนโน่น เพื่อตัดความสงสัยของตนเองอาร์ดิวจึงรีบเดินไปตามทางที่เห็นคนๆนั้นเดินไปเมื่อครู่ เพราะคิดว่าตัวเองต้องตาฝาดแน่ๆ
ทางเดินของโรงพยาบาลทอดยาวไปเรื่อยๆ ด้านข้างเป็นพื้นที่โล่งที่ถูกจัดแต่งเป็นสวนสวย มันไม่ได้ให้บรรยากาศน่ากลัวจนอาร์ดิวต้องถอย คนๆนั้นเดินไปจนถึงทางแยกก็หยุดทำให้อาร์ดิวต้องหยุดตาม หัวใจเกิดเต้นระรัวขึ้นมาไม่ทราบสาเหตุ ทั้งที่ตอนเดินตามมาเขาไม่ได้รู้สึกกลัวสักนิด จะมากลัวอะไรเอาตอนนี้ไม่รู้ ใจหนึ่งก็อยากจะรู้ให้แน่ว่าผีหรือคน แต่อีกใจก็ชักจะหวั่นๆ ก่อนที่จะได้ตัดสินใจว่าจะอยู่หรือไปคนๆนั้นก็หันกลับมาทางที่อาร์ดิวยืนอยู่ช้าๆ ดวงตาเรียวเบิกกว้าง ผะ... ผีเหรอ!!?
“ว้ากกกกกกกกกกกกก”
อาร์ดิวร้องลั่นก่อนจะวิ่งกลับทางเดิมโดยไม่เหลียวหลัง ผีหลอกอ่ะ กลางวันแสกๆเลยด้วย ฮืออออ ถึงเขาจะเห็นนิมิตบ้างอะไรบ้าง แต่เขาไม่เคยถูกผีหลอกนะ ทำไมมันเป็นแบบนี้ ยังมีผีตัวอื่นในโรงพยาบาลด้วยหรือเปล่านี่ แงงงง
วิ่งกลับมาหยุดยืนหอบอยู่ใกล้ๆเคาท์เตอร์ประชาสัมพันธ์แล้วอาร์ดิวก็แทบทรุด เหนื่อยกว่าวิ่งแข่งกีฬาโรงเรียนอีก เมื่อได้หยุดพักก็เหมือนว่าจะเพิ่งนึกขึ้นมาได้ ถ้าเมื่อครู่คือการ์ฟจริง แล้ว... แล้วทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ ที่สำคัญ... ทำไมเขาถึงเห็นวิญญาณ แต่ว่ามันคือวิญญาณแน่หรือ หรือเขาเพียงแค่คิดไปเอง นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับเขา?
“การ์ฟ…”
อาร์ดิวพึมพำชื่อของอีกคนเบาๆ ก่อนจะสลัดความคิดฟุ้งซ่านของตัวเองออกไปจากหัวแล้วจะไปหาซื้อของกินมาให้มิมิวอย่างที่ตั้งใจไว้แต่แรก เกิดเรื่องประหลาดขึ้นกับเขามากเกินไปแล้ว ขณะที่จะลุกไปก็ได้ยินเสียงลิฟท์เปิดออกพร้อมกับที่เตียงถูกเข็นออกมาอย่างรวดเร็ว อาร์ดิวหันไปมองความวุ่นวายขนาดย่อมที่เกิดขึ้น สายตาสะดุดเข้ากับเด็กสาวที่วิ่งร้องไห้ตามเตียงผู้ป่วยนั้น ... มิมิว
‘การ์ฟ!!’
เด็กหนุ่มดีดตัวลุกขึ้น หันกลับไปมองทางที่ตนเองวิ่งมาเมื่อครู่ ก่อนขาจะออกวิ่งกลับไปทางนั้นทันทีไม่ลังเล เมื่อไปถึงจุดที่ตนเองเห็นการ์ฟแล้ววิ่งหนีมานั้น การ์ฟก็ไม่ได้อยู่ตรงนั้นเสียแล้ว อาร์ดิวเหลียวมองรอบกาย มีเพียงความเงียบและสายลมที่พัดมาเบาๆ
“การ์ฟ คุณอยู่ตรงนี้หรือเปล่าอ่ะ?”
คนคงมองว่าเขาเป็นบ้าที่เรียกหาใครไม่รู้ในพื้นที่โล่งแบบนี้ แต่เมื่อมองหาจนท้อใจแล้วอาร์ดิวก็ไม่เห็นวี่แววของคนที่อยากเจอแม้แต่น้อย เมื่อกี้เขาไม่น่าวิ่งหนีเลย แต่เมื่อหันกลับมาอีกทีการ์ฟก็หยุดยืนอยู่ไม่ไกล ยังดีใจได้ไม่ทันไรการ์ฟกลับจะเดินหนีไปอีก อาร์ดิวจึงรีบวิ่งตาม
“คุณจะไปไหน?”
เด็กหนุ่มวิ่งมาดักหน้าการ์ฟเอาไว้ ตอนนี้จะเป็นผี จะเป็นวิญญาณ หรือเป็นตัวอะไรเขาก็ไม่กลัวแล้วล่ะถ้ามันจะช่วยคนๆนี้ได้ การ์ฟมองอาร์ดิวนิ่งๆ ไม่ตอบคำถามใดๆ อาร์ดิวจึงพูดกับอีกฝ่ายต่อ
“กลับเข้าไปข้างในด้วยกันเถอะนะ”
“....................”
“การ์ฟ…”
มีเพียงความเงียบที่ผ่านไปพร้อมเวลาที่เดินไปเรื่อยๆ การ์ฟยื่นมือมาหา อาร์ดิวผงะถอยอย่างลืมตัวทำให้คิ้วของอีกฝ่ายขมวด
“เอ่อ... ขอโทษ มาสิ”
มือเรียวยื่นไปตรงหน้า การ์ฟมองมือที่ยื่นมาหาแล้วนิ่ง เหลือบตามองหน้าเจ้าของมือที่มองกลับมาที่เขาด้วยความลุ้นแล้วจึงยื่นมือไปจับ เกิดแสงสว่างวาบขึ้นมาเมื่อมือของทั้งคู่สัมผัสกัน อาร์ดิวก้มมองมือของตนเองที่กุมมือการ์ฟอยู่ด้วยความอึ้ง จับได้ด้วย???
“หน้านายตลก”
เสียงของอีกคนแว่วมาให้ได้ยิน อาร์ดิวเงยมองคนพูด กะพริบตาปริบเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังยิ้ม การ์ฟยิ้มให้เขาด้วย?
อาร์ดิวจับมือการ์ฟไว้มั่นเพราะกลัวว่าถ้าจับไม่แน่นการ์ฟจะหายไปไหนอีก ขณะที่อีกมือก็กดโทรหามิมิวเพื่อถามว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหน การ์ฟมองมือเรียวที่จับมือของตนเองไว้แล้วก็กระชับอุ้งมือให้แน่นขึ้น ขณะที่เดินตามอาร์ดิวกลับไปอีกทาง เหลียวมองกลับไปด้านหลังที่มีม่านหมอกปกคลุมแล้วยิ้มนิดๆ เขาคงไปไม่ได้แล้ว ก็มีคนไม่อยากให้ไปนี่นา ก้าวเดินของการ์ฟกับอาร์ดิวที่ห่างออกไปเรื่อยๆทำให้ม่านหมอกนั้นค่อยจางลงช้าๆก่อนจะหายไปในที่สุด…
เมื่ออาร์ดิวมาถึงห้องฉุกเฉินที่มิมิวบอกก็เห็นว่าทุกคนในครอบครัวการ์ฟมารวมกันอยู่ที่นี่หมดแล้ว เพิ่งจะกลับกันไปได้ไม่นาน ท่าทางคงจะยังไม่ได้พักผ่อนกันด้วยกระมัง ต้องรีบกลับมาดูการ์ฟกันอีก มิมิวเห็นเพื่อนเดินเข้ามาก็ลุกมาหา ละล่ำละลักบอกเพื่อนว่าตนเองกลัวแค่ไหนตอนที่สัญญาณชีพจรการ์ฟหยุดเต้น อาร์ดิวขอโทษเพื่อนที่ไม่ได้อยู่ด้วยตอนสำคัญ ก่อนพาเพื่อนไปนั่งที่เก้าอี้เพื่อรอฟังผลการรักษา
เด็กหนุ่มหันมามองการ์ฟที่ยืนเงียบอยู่ไม่ไปไหน มือของทั้งคู่ยังคงกุมกัน อาร์ดิวค่อยคลายมือออกเมื่อเอ่ยบอกกับการ์ฟ
“ไปสิการ์ฟ เข้าไปในห้องนั้น”
อาร์ดิวพยักหน้าไปยังห้องฉุกเฉินที่ปิดประตูสนิท มือของการ์ฟยังจับมือเขาแน่น ทั้งที่เขาปล่อยมือแล้วแต่อีกฝ่ายกลับไม่ยอมปล่อยตาม สายตาคมมองหน้าอาร์ดิวนิ่งๆ คนถูกมองเลิกคิ้วสูงเป็นเชิงถาม ใบหน้าของการ์ฟโน้มเข้ามาใกล้แล้วจูบริมฝีปากบางเบาๆไม่ให้ทันตั้งตัว ก่อนที่คนจูบจะหายวับไป
อาร์ดิวกะพริบตาปริบ เมื่อครู่เหมือนเขาจะเห็นรอยยิ้มของคนฉวยโอกาสด้วย มือเรียวแตะปากตนเอง ทำไมมันเหมือนจริงแบบนี้ล่ะ รู้สึกอุ่นๆแปลกๆ แก้มเขาก็ร้อนวูบๆด้วย นี่เขาเขินหรือ เขินผีนี่นะ เอ๊ะ! ไม่สิ วิญญาณต่างหาก เออ จะอะไรก็ช่างเถอะ แต่ตอนนี้หน้าเขาร้อนไปหมดแล้ว~
แกร๊กเสียงประตูห้องฉุกเฉินเปิดออกทำให้อาร์ดิวชะงัก ทุกคนพากันลุกเข้าไปหาผู้ที่ก้าวออกมาอย่างมีความหวัง อาร์ดิวขยับเข้าไปใกล้เพื่อรับฟังข่าวด้วยอีกคน และข่าวที่ทุกคนได้รับ... มันคือข่าวดี
++++++++++++++++
คุณพ่อคุณแม่ของการ์ฟที่มาจากต่างจังหวัดอยู่เฝ้าจนการ์ฟหายดีแล้วจึงพามาที่ร้าน Magica Café ช่วงปิดภาคเรียนสองพี่น้องปอปลาก็มาขลุกอยู่ที่นี่ ทำให้เมื่อเห็นว่าการ์ฟกับครอบครัวมาที่ร้านก็ออกจะแปลกใจอยู่ไม่น้อย ยิ่งเห็นว่าคุณพ่อกับคุณแม่ของตนเองดูสนิทสนมกับครอบครัวการ์ฟเป็นอย่างดีก็ยิ่งแปลกใจ
ผู้ใหญ่เข้าไปคุยกันในห้องทำงานของร้าน ขณะที่เด็กๆรวมตัวกันอยู่ด้านนอก พี่ๆพนักงานร้านก็ยังคงทำงานกันไปเป็นปรกติ น้องเอิงที่ตามพ่อแม่กับพี่ชายมาด้วยก็คุยกับปอมปอมเสียงแจ๋ว คนที่มีท่าทีอึดอัดคงเป็นอาร์ดิว แค่การ์ฟนั่งอยู่เฉยๆก็ทำให้เขาหายใจไม่ทั่วท้อง เป็นอะไรไปแล้วไม่รู้
“ตี๋…”
“ห... หา!?” อาร์ดิวเสียงหลง กำลังภาวนาไม่ให้การ์ฟหันมาสนใจอยู่เลย ทำไมมันไม่ได้ผลล่ะ
“จะบอกว่าไม่ต้องเกร็งขนาดนั้นก็ได้” การ์ฟเอ่ยบอกเสียงเรียบ
“อ... อ๋อ” อาร์ดิวพยักหน้าหงึกหงัก ผ่อนลมหายใจยาว มันอึดอัดเกินไปแล้วนะ!
ครืดดด
“ฉันจะออกไปข้างนอก”
“เอ่อ...”
การ์ฟเอ่ยบอกเท่านั้นแล้วเดินออกไปจากร้าน อาร์ดิวหน้าจ๋อยเพราะรู้สึกว่าที่การ์ฟต้องลุกออกไปสาเหตุมาจากตนเอง ปอมปอมกับน้องเอิงมองหน้ากันแล้วยิ้มแหย พี่เราเขาไม่ถูกกันเลยเนอะ
...........................
ในขณะที่สถานการณ์ของเด็กๆด้านนอกชักจะเริ่มไม่ดี ด้านในห้องทำงานสองครอบครัวก็พูดคุยกันเสียถูกคอ เพราะไม่ได้พบกันเสียนานทำให้มีเรื่องคุยกันสารพัด ที่คุณพ่อกับคุณแม่ของการ์ฟพาการ์ฟมาที่ร้านในวันนี้ เหตุเพราะจะพาลูกมาฝากไว้กับคุณพ่อคุณแม่สองพี่น้องปอปลา
“ลงทุนซื้อบ้านให้พวกเขาอยู่กันสามคนน้าหลาน แต่น้าอย่างเจ้าเทสต์ก็ไม่ค่อยจะอยู่ติดบ้าน เจ้าการ์ฟเองก็โน่น ไปแข่งรถแข่งเรืออะไรก็ไม่รู้ จนเกิดอุบัติเหตุนี่ล่ะค่ะพ่อแม่อย่างเราถึงได้รู้” คุณแม่ของการ์ฟเล่าความทุกข์ใจให้ฟัง
“วัยรุ่นก็อย่างนี้ล่ะครับ เลือดร้อน ชอบความท้าทาย” คุณพ่อไปป์ของอาร์ดิวว่ายิ้มๆ
“โธ่ ถ้ามันไม่เสี่ยงต่อชีวิตมนก็จะไม่ว่าอะไรเลยค่ะคุณไปป์” คุณแม่การ์ฟว่าต่อ
“ว่าแต่... คนไหนคะที่คุณวิผูกดวงไว้กับนายการ์ฟน่ะค่ะ?”“อ้อ อาร์ดิวน่ะค่ะ คนที่ดูเรียบร้อยๆหน่อย”
คุณแม่รวิของสองพี่น้องปอปลาบอกยิ้มๆ ถ้าอีกฝ่ายไม่เอ่ยถามท่านก็ลืมไปแล้วนะนี่ เรื่องที่ท่านทำพิธีผูกดวงอาร์ดิวกับการ์ฟเอาไว้ด้วยกัน เพราะตอนเด็กอาร์ดิวอ่อนแอมากจนอาจจะถึงขั้นเสียชีวิตได้ และขณะนั้นเองท่านกับสามีก็ได้ช่วยเหลือครอบครัวการ์ฟจากเหตุการณ์เพลิงไหม้เอาไว้ ทำให้ได้รู้จักกับครอบครัวของการ์ฟ ด้วยความพิเศษที่ท่านมีทำให้รู้ได้ว่าการ์ฟคือคนที่จะช่วยลูกชายของท่านได้ คุณแม่จึงได้เอ่ยขอกับทางพ่อแม่ของการ์ฟ ขอผูกชะตาของอาร์ดิวไว้กับการ์ฟ เพราะท่านทำใจไม่ได้จริงๆหากลูกชายของท่านจะต้องจากไปก่อนวัยอันควร เพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณที่ทดแทนกันไม่หมดพ่อแม่การ์ฟจึงยอมให้ทำ เรื่องนี้พวกท่านไม่เคยเล่าให้เด็กๆฟัง จึงมีแต่พวกท่านสี่คนเท่านั้นที่รู้ แม้แต่เทสต์เองก็ไม่เคยเล่า แต่รายนั้นเขารู้สึกได้ด้วยตัวของเขาเองทำให้เป่าหูหลานอยู่ทุกวันเรื่องเนื้อคู่เป็นผู้ชาย
..................................
ต่อด้านล่างค่ะ