● เล่ห์รักฤดูร้อน ●
ยกที่ 63 – จดจำ
มีวิธีทักทายตั้งมากมายในโลก สำหรับคนที่เพิ่งเคยพบกันแค่ครั้งเดียว(โดยบังเอิญเสียด้วย) และระดับความสนิทสนมอยู่ในขั้นคนไม่รู้จัก
“รู้จักคิมหันต์ไหมครับ?” แต่สามภพเลือกจู่โจมแบบนั้น แล้วยังต่อด้วยร่ายชื่อสี่พี่น้องเป็นชุด เผื่ออีกฝ่ายจะข้องใจว่าเขาพูดถึงคิมหันต์คนไหน
“..วสันต์ วัสสานะ สิสิร คิมหันต์ พวกเขาสี่คน คุ้นชื่อหรือเปล่าครับ”
ชายหนุ่มตรงหน้าเบิกตากว้าง รอยยิ้มเลือนหายไปจากริมฝีปาก และสามภพมั่นใจว่าเขาถูกจ้องด้วยสายตาราวกับเห็นเป็นตัวประหลาดจากโลกอื่นอยู่เสี้ยววินาที ก่อนเจ้าบ้านจะกลับมาเป็นปกติเหมือนตอนแรกอีกครั้งอย่างแนบเนียน ทักทายด้วยหนึ่งในประโยคมาตรฐานประหนึ่งว่าไม่ได้ยินคำพูดเขาเมื่อครู่
“สวัสดีครับ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”
“ผม..”
“..?”
สามภพพยายามสงบจิตสงบใจ บอกตัวเองว่าอย่ารีบร้อน กลับมาทักทายด้วยมารยาทอย่างคนทั่วไปพึงทำ
“สวัสดีครับ”
“อา..สวัสดีครับ”
ก่อนกระบวนการทักทายจะวนเวียนไม่รู้จบ เขาสูดลมหายใจเข้าช้า ๆ เอ่ยกับอีกฝ่ายชัดถ้อยชัดคำ
“คุณเอกภพใช่ไหมครับ ผมชื่อสามภพ เป็นทันตแพทย์ที่เพิ่งมาอยู่ปีนี้”
“อ้อ..ครับ”
“และเป็นคนรักของคิมหันต์”“...”
“รู้จักเขาใช่ไหมครับ จำเขาได้หรือเปล่า ตอนนั้นเขายังเด็กมาก แต่คิดว่าคุณไม่น่าจะลืมเด็กที่เป็นน้องชายคนรักของตัวเอง..”
สายลมหวีดหวิวอยู่ข้างหูเขา เสียงครางต่ำของเครื่องจักรซึ่งแว่วมาจากไหนสักแห่งนั้นได้ยินชัดเจนเมื่อพวกเขาเพียงแต่มองหน้ากันในความเงียบ เจ้าของบ้านสีขาวหลังงามในเนื้อที่ราวสองไร่เบิกตากว้าง รอยยิ้มซึ่งใคร ๆ ต่างบอกว่าประดับอยู่บนใบหน้าสงบนิ่งอยู่เสมอ กลายเป็นเพียงการยกมุมปากอย่างฝืดฝืนกระทั่งเลือนหายไปในที่สุด
สามภพระบายลมหายใจยาว ก้มลงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา เปิดอัลบั้มรูปที่มีภาพคิมหันต์ซึ่งเขาเคยถ่ายไว้ แล้วยื่นให้คนตรงหน้าดู
“...จำได้ไหมครับ คิม...เอ้อ หมายถึงคีม..ที่เป็นชื่อเล่นตามพ่อแม่เขาตั้ง” จากนั้นจึงเลื่อนไปยังรูปซึ่งเขาลอบเก็บภาพมาจากรูปถ่ายอีกที ภาพจริงนั้นอยู่ในอัลบั้มเก่า ๆ ในห้องคิมหันต์
สี่พี่น้องเมื่อสมัยยังเด็กยืนเรียงกัน ส่งยิ้มให้กล้องด้วยแววตาสดใสในความซีดจางของภาพ วัยเด็กอันเต็มไปด้วยความไร้เดียงสาของทั้งสี่ถูกเก็บบันทึกไว้ในนั้น แม้สีสันเลือนราง แต่ความทรงจำในวันเก่ายังคงชัดเจนราวกับมันเพิ่งถูกถ่ายไว้แค่เมื่อวันสองวันก่อน
ชายหนุ่มตรงหน้าจ้องมองพิกเซลเหล่านั้นบนจอโทรศัพท์ตาไม่กะพริบ ริมฝีปากเคลื่อนขยับเป็นพยางค์ไร้เสียง...แต่สามภพรู้ดีว่าอีกฝ่ายพูดอะไร
“...วสันต์’เขามองตามสายตาเอกภพ เชื่อมั่นว่ามันคงไปหยุดอยู่กับรอยยิ้มของคนที่กอดคอคิมหันต์อยู่ในภาพ..รอยยิ้มของพี่ชายคนโตซึ่งจากไปแล้วตลอดกาล
“...คุณหมอชื่อสามภพหรือครับ?”
เป็นคำถามแรกที่เขาได้รับจากอีกฝ่าย หลังจากบทสนทนาชะงักไปครู่ใหญ่ และเขาแน่ใจว่าตัวเองจับได้ถึงความสับสนในน้ำเสียงแหบพร่านั้น
“ใช่ครับ”
“...คบกับคีมอยู่หรือ?”
“ใช่ครับ”
“...แล้วมาที่นี่..?”
“ผมอยากให้คุณช่วย”
“เรื่องอะไรครับ”
สามภพสบตาคู่สนทนาตรง ๆ เอ่ยออกมาเพียงสั้น ๆ ในความหมายที่อีกฝ่ายน่าจะเข้าใจไม่ยาก
“..ปัญหาเดียวกับที่เคยเกิด”เอกภพเม้มปาก มองเขาอย่างชั่งใจ และราวกับจะโยนหน้ากากชายหนุ่มหัวอ่อนยิ้มง่ายไปเสียตรงนั้น เสียเวลาลังเลอีกเพียงครู่เดียว ก็หันไปเลื่อนประตูรั้วให้เปิดกว้างขึ้นพลางหันมาบอกเขา
“ถนนข้างหน้าแคบไปหน่อย เอารถเข้ามาจอดในบ้านก่อนสิครับ”
ทางเข้าจากรั้วไปยังตัวบ้านค่อนข้างกว้างขวาง มีสวนหย่อมและสนามหญ้าสีเขียวสดอยู่ด้านข้าง ขาตั้งวาดรูปวางอยู่ตรงมุมเงียบสงบมุมหนึ่ง ล้อมรอบด้วยต้นไม้ร่มรื่นและไม้ประดับซึ่งแตกกิ่งก้านสวยงาม บอกให้รู้ว่าได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดี
อีกฝั่งหนึ่ง เจ้าหมาโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ที่เคยกระโจนออกมาจากริมถนนจนเขาเกือบขับรถชน กำลังเดินส่ายก้นอาด ๆ ตรงเข้ามาทางนี้ เอาศีรษะดันขาเจ้านายแล้วหันมามองเขา โบกหางเป็นพวงไปมาพลางย้ายร่างเข้ามาใกล้ แลบลิ้นทักทายอย่างเป็นมิตร
“ดุ๊กดิ๊ก” เอกภพปรามเบา ๆ พอมีสิ่งมีชีวิตขนทองอ้วนฟูเข้ามาก็คล้ายจะทำให้บรรยากาศมีชีวิตชีวาขึ้นบ้าง
“ของคิมหันต์ก็ชื่อดุ๊กดิ๊กครับ” สามภพอดจะยิ้มน้อย ๆ ไม่ได้เมื่อนึกถึงไอ้ตัวแสบของเขา “พอรู้ว่าที่นี่มีโกลเด้นชื่อดุ๊กดิ๊กเหมือนกัน เขาก็บอกเจ้านี่คงเป็นดุ๊กดิ๊กที่หนึ่ง ส่วนของตัวเองเป็นดุ๊กดิ๊กที่สอง”
“คีมก็เลี้ยงหรือครับ”
“ลูกรักเขาละ ชื่อดุ๊กดิ๊กเหมือนกัน เริ่มแก่ตามกันไปแล้วครับ”
“แล้วเขาเป็นยังไงบ้าง”
“ดีครับ” ชายหนุ่มผงกศีรษะ ขณะที่สังเกตภายในตัวบ้านไปด้วย ข้างนอกว่าสวยแล้ว ตกแต่งภายในก็ถือว่าเยี่ยมทีเดียว เรียบง่าย แต่ดูอบอุ่น “กวนประสาทดี”
อีกฝ่ายผายมือเชิญให้เขานั่งที่โซฟารับแขก บอกให้รอสักครู่แล้วเดินหายไปด้านหลัง ครู่หนึ่งก็กลับมาพร้อมน้ำเย็นและคุ้กกี้ในจานใบเล็ก
“หมอทานนี่ได้ไหมครับ พอดีไม่ค่อยได้ซื้อขนมติดบ้าน”
สามภพโคลงศีรษะเป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไร บรรยากาศเป็นทางการเกินไปเช่นนี้ดูเหมือนจะไม่ทำให้อะไรคืบหน้าสักเท่าไรนัก
“เรียกผมว่าภพเฉย ๆ ก็ได้ เรียกแบบเดียวกับที่เรียกคนเป็นรุ่นน้องทั่วไป”
“อ้อ”
“และถ้าไม่ว่าอะไร ผมขออนุญาตเรียกคุณว่า ‘พี่เอก’ เหมือนที่คิมเรียก เราจะได้คุยกันสบายใจขึ้น”
คนฟังนิ่งไปแวบหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ พลางทรุดตัวลงนั่งฝั่งตรงข้าม
“ได้..ภพ นายดูท่าทางจะรู้เรื่องอะไรมากอยู่?”
“พอสมควรครับ”
เอกภพแค่นหัวเราะให้กับความบังเอิญบนโลกนี้ พอคุยกันเหมือนคนทั่วไปก็คล้ายว่าจะแสดงความเป็นผู้ใหญ่กว่าออกมามากขึ้น “ก่อนจะขอความช่วยเหลืออะไร ไหนลองเล่าเรื่องตอนนี้ให้ฟังหน่อยได้ไหม”
“เรื่องใครหรือ?”
“ทั้งหมดนั่นแหละ คีมที่นายบอกว่าคบกับเขาอยู่ เจ้าสา เจ้าสิ เป็นยังไงบ้าง...แล้วที่บ้านเขาล่ะ”
เขาพยักหน้า นึกถึงคิมหันต์ที่คงกำลังยุ่งเรื่องเรียนน่าดู ย้อนกลับไปตั้งแต่ช่วงพบกันใหม่ ๆ จนกระทั่งถึงตอนนี้ วันที่เจอกันครั้งแรก สารพัดวีรกรรมแสบทรวงยากจะลืม (ใครลืมลงก็บ้าแล้ว) ความยียวนกวนประสาท พูดมาก มือไว เอาแต่ใจ แต่ก็ขี้อ้อน หลายครั้งที่หัวเราะออกมาเมื่อกล่าวถึง และหลายครั้งก็เผลอยิ้มบางเบาโดยไม่รู้ตัว
“เชื่อแล้วว่ารักกันจริง” อีกฝ่ายขัดอย่างติดตลก
สามภพกระแอมครั้งหนึ่ง จากนั้นเปลี่ยนไปเรื่องพี่สาวทั้งสองของคิมหันต์แทน “ส่วนพี่สา ตอนนี้แต่งงานแล้ว กำลังตั้งท้องลูกคนแรก..อืม..หรือต้องบอกว่าคู่แรก”
“แฝดหรือ?”
“ใช่ครับ ก่อนหน้านั้นเคยแท้งมาครั้งหนึ่ง แต่ปลอดภัยดี กำลังใจก็ดีด้วย”
“สาเป็นอย่างนั้นตลอดละนะ” เอกภพพยักหน้า คลี่ยิ้มน้อย ๆ ครั้งนี้ดูมีความสุขจริงโดยไม่ได้เสแสร้ง “แล้วสิล่ะ เดี๋ยวนี้คุยเก่งมากขึ้นหรือยัง”
เขานึกไปถึงหน้านิ่ง ๆ ของพี่สาวคนรอง คิดเอาเองว่ารายนี้ก็คงไม่ได้เปลี่ยนจากสมัยเด็กมากนัก “ไม่ค่อยพูดเท่าไรนะครับ เว้นตอนจิกกัดกับคิม”
“ฮะ ๆ เด็กพวกนี้นี่นะ”
“แต่พวกเขาก็รักกันดีมาก”
อีกฝ่ายพยักหน้าเห็นด้วย
“แล้วพี่เอกล่ะครับ อยู่อย่างนี้ ไม่เคยคิดจะมีใครใหม่หรือ”
ใบหน้ายิ้มแย้มของอีกฝ่ายลดระดับกลับมาเป็นเรียบนิ่งทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“บ้านกว้างอยู่นะครับ ผมแค่แปลกใจว่าพี่อยู่คนเดียวโดยที่ไม่เคย—”
“..เคยสิ...” เอกภพถอนหายใจยาว “..เคยคิดว่าถ้าไม่ก้าวข้ามมันไปให้ได้ ก็จะต้องจมอยู่กับอดีตอย่างนี้ตลอดไป ถ้าหากมีใครสักคนที่จะรักได้อีกครั้ง...”
“ถ้าอย่างนั้นแล้ว..?”
ชายหนุ่มมองหน้าเขา ด้วยสายตาเหมือนกับผู้ใหญ่ที่กำลังมองเด็ก
“รู้ไหม พี่เคยเกือบจะแต่งงานด้วยซ้ำ คิดว่าอยากมีชีวิตใหม่ ผู้หญิงคนนั้นน่ารัก นิสัยดี ถ้าแต่งด้วยคงมีความสุข ...แต่เอาเข้าจริงแล้ว พี่ก็เห็นเธอเป็นแค่ตัวแทน สุดท้ายเราก็ทนกับความรู้สึกแบบนั้นไม่ได้กันทั้งคู่”
“แค่คนเดียวหรือครับ”
“..ไม่หรอก” ชายหนุ่มยิ้มบาง แต่ราวกับไม่ได้ยิ้มให้เขา “..หลังเลิกกับผู้หญิงคนนั้น ทีนี้ก็ใช้ชีวิตเละเทะเลย”
เขาเลิกคิ้วให้กับคำว่า
‘เละเทะ’“เหมือนคนหลงทางน่ะ เที่ยวจัด ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ลองคบคนนั้นคนนี้ไปทั่ว ทั้งผู้หญิงผู้ชาย ทุกคนบอกว่าพี่คงเสียใจที่เลิกกับแฟน แต่ความจริงไม่ใช่ พี่เสียใจที่วสันต์ไม่อยู่ตรงนี้ สับสนที่ทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากพยายามหาคนใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วก็ค่อยมารู้ตัวในที่สุดว่าไม่มีใครแทนเขา.. จะทนกับความรู้สึกผิดต่อคนที่คบอยู่ก็ไม่ได้ ในเมื่อทำอย่างไรก็ไม่สามารถรักคนอื่นได้หมดใจอย่างนั้นอีกครั้ง...”
“สุดท้ายก็คิดว่าไม่เห็นเป็นไรเลยถ้าจะอยู่อย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ...ก็เลยย้ายมาที่นี่ สร้างบ้านสีขาวอย่างที่เคยสัญญากับเขา มีขาตั้งวาดรูปในสวนหย่อม หมาโกลเด้นที่เราบอกจะเลี้ยงแล้วตั้งชื่อตามใจเขา อย่างที่เขาก็ตามใจคีมมาอีกที เวลาผ่านไปก็วาดรูปเขาไว้มากมายไปหมด แขวนไว้เต็มผนังห้อง เก็บไว้เต็มลิ้นชัก ...ไม่รู้นะ มันอาจจะดูเหมือนคนบ้า จมปลักกับอดีต พี่ผ่านช่วงฟูมฟายมาแล้ว ถึงมันจะเศร้า..แต่ก็ไม่ได้คร่ำครวญอีก พี่มีความสุขกับการแค่ได้คิดถึง...มันก็เท่านั้น....”
“...อายุเพิ่งสามสิบกว่าเองนี่ครับ” สามภพลองหยั่งเชิง “สำหรับผู้ชายแล้ว.. นี่ก็แค่เริ่มต้น”
“นั่นสินะ” คนฟังหัวเราะ เลี่ยงไปถามเขาอย่างอื่นแทน “แล้วปัญหาที่ว่า เรื่องป๊าเขาไม่ยอมรับหรือ?”
เขาพยักหน้าช้า ๆ
“อย่าทำอะไรบุ่มบ่าม”
“พี่สาก็บอกอย่างนั้น แต่ป๊าเขาก็รู้เรื่องแล้วนั่นละ กีดกันเต็มที่เสียด้วย”
“ไม่ได้มีกระทบกระทั่งถึงขั้นทำร้ายร่างกายกันใช่ไหม?”
“ไม่มีครับ”
“งั้นก็ดีแล้ว” เอกภพพยักหน้า “แอบคบกันต่อไปก็ได้นี่”
“ป๊าเขาเคยจะหาผู้หญิงมาให้แต่งงานกับคิมด้วย”
“เล่นอย่างนั้นเลยหรือ”
เขาถอนหายใจ เกือบจะพร้อมกับเอกภพ
“ก็ครอบครัวคนจีนละนะ”
“แต่ทุกคนบอกเขาอ่อนลงเยอะ มีแต่คำว่า
ถ้าเป็นเมื่อก่อน ๆ กรอกหูผม”
“จริงอย่างนั้นนั่นละ พี่เองก็อาจจะต้องบอกแบบเดียวกัน...” อีกฝ่ายพูดต่อขณะที่มองไกลออกไปนอกหน้าต่างกระจก “...
ถ้าเป็นเมื่อก่อน นายอาจจะไม่รอดมานั่งคุยอยู่ตรงนี้ก็ได้”
“และผมก็คิดว่าเขาดูเจ็บปวด”
เอกภพเงียบไปครู่ใหญ่ กว่าจะพึมพำออกมาเสียงเบาหวิว
“...แน่ละ...หัวอกคนเป็นพ่อ...เขาเจ็บปวดไม่น้อยไปกว่าใครหรอก”
“พูดแบบตรงไปตรงมานะครับ ผมอยากให้พี่ช่วย”
อีกฝ่ายหันกลับมามองเขาตรง ๆ “ช่วยยังไงหรือ”
“อาจฟังดูเป็นวิธีตื้น ๆ แต่ถ้าเขารู้ว่าพี่ยังรักลูกชายของเขาอยู่..บางที...เขาอาจจะยอมรับได้ว่ามันไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร...”
เอกภพโคลงศีรษะน้อย ๆ “นายเองยังพูดด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจเลย”
“แต่ถ้าเราไม่ลอง—”
“จะคิดดูแล้วกัน”
“....”
“นายกลับไปเถอะ เย็นมากแล้ว”
สามภพขมวดคิ้วน้อย ๆ ต่อให้พูดออกมาเสียงนุ่มหรือด้วยหน้าตายิ้มแย้มอย่างไร ฟังดูก็ออกจะเป็นการไล่อยู่ชัด ๆ
เขาลุกจากโซฟา อดไม่ได้จะเคืองอยู่นิดหน่อย
“ครับ งั้นขอตัวกลับก่อน”
เดินออกไปกำลังจะพ้นประตูบ้าน ก็ได้ยินเสียงคนข้างหลังดังขึ้น
“เอาไว้พาคีมมาเที่ยวสิ”
“...?”
“มาทักทายไอ้ดุ๊กดิ๊กที่หนึ่ง” อีกฝ่ายหัวเราะในลำคอ “ความจริงแล้วมันควรต้องเป็นหมาของเขา”
เขาจ้องหน้าเจ้าของบ้าน รอยยิ้มจริงใจปรากฏอยู่บนนั้น จนอดไม่ได้จะยิ้มตอบพร้อมกับค้อมศีรษะน้อย ๆ ความขุ่นเคืองละลายหายไปตรงหน้าประตูนั่นเอง
“ครับ”
วันเสาร์ของสัปดาห์ถัดมา เขามาหยุดอยู่หน้ารั้วบ้านหลังเดิม แต่คราวนี้พร้อมกับคิมหันต์ เร็วกว่าที่คาดไว้ เพราะพอเจ้าตัวรู้เรื่องเข้าก็ใช้เวลาเพียงแค่คืนเดียวตัดสินใจขอ (แกมบังคับข่มขู่อย่างน่าเตะตามประสา) ว่าให้พามาด้วย อย่างไรก็อยากเจออีกสักครั้ง เสาร์อาทิตย์นี้ว่าง หรือจะให้ไปหาเองถึงโรงพยาบาลก็ได้ แต่หลังจากนั้นช่วยพาไปด้วยคน
“ที่นี่น่ะหรือ?”
“อา”
“ไม่อยากเชื่อเลย เฮียเพี้ยนมาหาพี่เขาก่อนผม”
“แล้วทำไมกันล่ะ”
“เฮ้ ๆ ดุ๊กดิ๊ก!” คิมหันต์เลิกฟังเขาเรียบร้อย หันไปทำตาลุกวาวใส่เจ้าหมาแก่ที่ส่ายก้นออกมาต้อนรับอีกฝั่งรั้ว ขณะที่เจ้าของดูเหมือนจะไม่อยู่บ้าน “นี่ใช่ไหมดุ๊กดิ๊กที่ว่า”
“ใช่”
สามภพชะเง้อมองเข้าไปในโรงจอดรถข้างตัวบ้าน วันนี้รถที่เคยเห็นตอนมาครั้งก่อนไม่อยู่ เขาพลาดเองที่ไม่รู้จักขอเบอร์โทรศัพท์ติดต่อหรือถามก่อนว่าอีกฝ่ายจะว่างวันไหน นึกอยากมาก็มา สะเพร่าอะไรอย่างนี้
“พี่เอกไม่อยู่แหงเลยอะ”
“อืม”
“เฮียเพี้ยนโทรหาดิ๊”
“ไม่มีเบอร์”
คิมหันต์หรี่ตา ทำหน้ากวนประสาทใส่ “เข้าไปนั่งคุยกับพี่เขาในบ้านโดยไม่ได้ขอเบอร์เนี่ยนะ”
“เออน่า”
“เสียเที่ยวชะมัดเลย”
“งั้นเรากลับกันก่อน”
“ปีนไหม?” ว่าพลางทำหน้าเจ้าเล่ห์ คิมหันต์สมัยเกรียนจัดคล้ายจะกลับมาอีกครั้ง
“...”
“ปีนแบบที่เฮียเพี้ยนปีนรั้วบ้านผมบ่อย ๆ ไง”
“จะบ้าเรอะ”
“ด่ามาได้ ตอนนั้นผมก็อยากพูดกับพี่อย่างนี้เหมือนกันนั่นแหละ”
สามภพกุมขมับ “กลับก่อน เดี๋ยวพามาใหม่ ไปหาอะไรกินกันก่อนก็ได้”
“น่า ๆ” อีกฝ่ายเห็นเขาปฏิเสธเลยยิ่งแกล้งก่อกวน “ตอนนี้ไม่มีคน แถมพี่เอกก็ใจดีออก เฮียเพี้ยนดูต้นทางให้หน่อย”
“ถ้าบอกว่าใจดีแล้วทำไมต้องให้ดูต้นทางด้วยเล่า”
คิมหันต์ยิ้มเผล่ เดินหาตำแหน่งเหมาะ ๆ ตรงส่วนที่เป็นเสาปูนขนาดใหญ่แล้วเตรียมโหนตัวขึ้นไป
“เผื่อคนอื่นเห็นแล้วนึกว่าผมเป็นขโมยขึ้นมาทำไง ถ้าโดนสอยร่วงแล้วใครจะดูแลเฮียเพี้ยน”
เขาอยากจะหัวเราะให้ลั่น ไม่รู้ทุกวันนี้ใครดูแลใครอยู่ รีบเดินไปคว้าแขนอีกฝ่ายให้หยุดทำเป็นเล่นเรื่อยเปื่อยเสียที พร้อมกับที่เสียงคุ้น ๆ ดังขึ้นจากด้านหลัง
“ทำอะไรกันน่ะพวกนาย?”
เจ้าบ้านกำลังมองตรงมาด้วยสีหน้าเหวอ ๆ จากในรถซึ่งเข้ามาจอดเทียบ กระจกเปิดลงจนสุด มีเขากับคิมหันต์ยืนชิดรั้วด้วยท่าทางไม่ให้ดูเป็นที่น่าสงสัย แม้รู้ตัวว่าไม่ทันแน่แล้ว กว่าจะเปิดกระจกรถลงมาถามอย่างนี้คงเห็นพวกเขามาแต่ไกล
“....พี่...เอก?” คิมหันต์พึมพำอยู่ข้าง ๆ เขา ดึงสายตาเจ้าของชื่อให้มาตรึงอยู่กับตัวเองโดยอัตโนมัติ “...เป็นพี่จริง ๆ ด้วย”
เอกภพเปิดประตูลงจากรถ เดินตรงมาทางพวกเขา แต่ดูเหมือนจุดสนใจอยู่ที่คิมหันต์มากกว่าโดยไม่ต้องเดา
“...ผมเอง...จำได้ไหม” คิมหันต์ชี้ตัวเอง “...คีม..ที่เป็นน้อง—”
“โตขนาดนี้แล้ว...” ชายหนุ่มกระซิบ สีหน้าเหมือนทั้งอยากหัวเราะและร้องไห้ออกมาพร้อมกัน “...เหมือนพี่นายไม่มีผิด...”
สามภพมองทั้งสองคนตรงหน้า เหตุการณ์ประมาณนี้เขาคาดไว้อยู่แล้วว่าอาจเกิดขึ้นได้ เป็นการพบกันที่หากมองให้ซึ้งก็คงจะซึ้งดี...
แต่ไอ้ที่คาดไม่ถึงก็คือตอนเอกภพดึงคิมหันต์เข้าไปกอดไว้แน่นนั่นละ“อ้าวเฮ่ย!?”
เขากำลังจะไปคว้าเจ้าเด็กในสังกัดตัวเองออกมาเป็นการด่วน ต่อให้เมื่อก่อนเคยสนิทกันอย่างไร แต่ทำอย่างนี้ก็ดูออกจะข้ามหน้าข้ามตาเกินไปหน่อย ทว่ายังไม่ทันได้จับแยกกลับมีอันต้องชะงักลงกลางคัน
“!?”คิมหันต์รู้สึกได้ถึงหยดน้ำอุ่น ๆ ที่ขยายตัวเป็นวงบนไหล่ของตัวเอง
“....พี่....เอ..ก...?”
เอกภพกำลังร้องไห้...หลังจากที่ไม่เคยเสียน้ำตาสักหยดมาเป็นเวลาหลายปี
มีต่อรีพลายถัดไปค่ะ
v
v
v