● เล่ห์รักฤดูร้อน ●
ยกที่ 38 – สงบศึก
ฝนหลงฤดูโปรยปรายเป็นสาย ฟ้าครึ้มส่งเสียงคำรามครืนครางจนเจ้าหมาอ้วนขนทองวิ่งจี๋มาหมอบอยู่ตรงชานหน้าบ้าน ส่งสายตาเว้าวอนไปยังผู้เป็นเจ้าของตาปริบ ๆ
สิทธิในการเข้าไปนั่งเล่นในบ้านสำหรับดุ๊กดิ๊ก โกลเด้นรีทรีฟเวอร์หนุ่มวัยสองขวบกว่า คือหลังจากอาบน้ำใหม่ ๆ เท่านั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในวันที่ฟ้าฝนเทกระหน่ำ เนื้อตัวมอมแมมหลังเกลือกกลิ้งดินแฉะทั่วสนามหญ้า สถานที่อันเหมาะสมหนึ่งเดียวคือบ้านสุนัขหลังใหญ่อันเป็นวิมานข้างโรงรถ ซึ่งหมารักของคิมหันต์ก็ไม่เคยกวนอยากเสนอตัวเข้าไปคลอเคลียนายถึงในบ้านหากไม่ได้รับคำอนุญาต (กับคิมหันต์นั้นไม่เท่าไร แต่หากวัสสานะมาเห็นเข้าอาจได้มีงดหรือลดอาหารสักหนึ่งมื้อเป็นการลงโทษ) แต่วันนี้คงต้องขอเป็นข้อยกเว้น
เปรี้ยง!
“งี้ดดด..!” หมาใหญ่ ใครว่าไม่กลัวฟ้า ปรากฏการณ์ธรรมชาติเบื้องบนทำเอาเจ้าตูบอ้วนตัวสั่นระริก ขยับเข้าใกล้ประตูบ้านอีกนิดพร้อมกับยื่นขาหน้าไปวางแหมะอย่างหาที่พึ่ง ก่อนจะส่งจมูกตามไปติด ๆ ครางหงิงจนน่าสงสาร เรียกร้องให้เด็กหนุ่มที่นั่งขดอ่านหนังสืออยู่บนโซฟาหันมาสนใจ
“อะไร?”
“งี้ดด..”
ข้างนอกฟ้าแลบแปลบปลาบ หากว่ากันตามกฎว่าความเร็วแสงนั้นมากกว่าเสียง เป็นสัญญาณว่าอีกไม่นานอาจมีฟ้าคำรามตามมา เด็กหนุ่มห่อไหล่น้อย ๆ เตรียมอุดหูรอ ขณะที่จับจ้องกิริยารุกคืบของดุ๊กดิ๊กอย่างสงสารปนขบขัน
ครืนนน...นน! “...หงิงง”
หมาหนุ่มที่โตแต่ตัวครางเสร็จก็ขยับพ้นประตูบ้านมาอีกครึ่งร่าง
“เฮ่ย ๆ เยอะไปแล้ว ออกป๊ายย!” คิมหันต์ร้องปราม คลานลงจากโซฟาที่แช่อยู่ตั้งนานไปหาสิ่งมีชีวิตร่วมบ้าน “กรรม เอาโคลนละเลงหมดเลย ใครจะถูวะเนี่ย!?”
ไม่น่าถามเลย ก็เขานั่นแหละต้องเป็นเก็บกวาดก่อนวัสสานะกลับบ้านมาเห็น
เปรี้ยง! เด็กหนุ่มถอนหายใจ มองไอ้ดุ๊กดิ๊กที่ตัวสั่นระริก เนื้อตัวชื้นเม็ดฝน นัยน์ตาดำขลับวาววับเป็นเม็ดลำไยกำลังจ้องเขาอย่างมีความหวัง ขณะที่ขาหลังก็ดันร่างตุ้มตุ้ยปกคลุมด้วยขนสีทองเกาะกันเป็นก้อนขยับเข้ามาอีกหนึ่งคืบ
“ดุ๊กดิ๊ก” เขาทำเสียงแข็ง “เข้าบ้านตัวเองไป”
หมารักดื้อแพ่งด้วยการทำตาใส แลบลิ้นเลียมือเขาแผล็บ ๆ ปราศจากอาการเกรงกลัวสักนิด ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างหนึ่งคนกับอีกหนึ่งตัวก็ออกมาทำนองนี้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย และในฐานะเจ้าของแล้ว คิมหันต์รู้สึกว่ามันช่างเป็นเรื่องน่าอนาถอย่างบอกไม่ถูก
“หยุดเลย” เด็กหนุ่มชักมือกลับหลังจากโดนเลียจะถึงข้อศอกอยู่แล้ว เขกหัวมันเบา ๆ หนึ่งครั้งแล้วเริ่มการอบรมซึ่งไม่ได้เข้าหูหมาแม้แต่น้อย “เดี๋ยวเจ้ใหญ่กลับมาเห็นจะทำไงหา ดูสภาพเข้า อย่างกับเพิ่งไปผ่านสงครามโลก”
คนกับหมาจ้องตากันอย่างเข้มข้น เมื่อต่างฝ่ายต่างมีเป้าหมายซึ่งสวนทางกันอยู่ในหัว ไม่มีฝ่ายใดยอมลดราวาศอก จนกระทั่งเสียงฟ้าร้องดังสนั่นขึ้นอีกครั้ง
เปรี้ยง! และไฟดับพรึ่บ “อ้าวเฮ่ย!?”
คิมหันต์ทำหน้าเหรอหรา กะพริบตาปริบ ๆ เหลียวมองไปรอบบ้าน มือสองข้างกอดร่างเปรอะโคลนของลูกชายขนทองซึ่งกระโจนเข้าใส่ตอนฟ้าลั่นเมื่อครู่ คนกับหมานั่งสงบสติอารมณ์ในแสงสลัวจากดวงอาทิตย์ช่วงใกล้พลบค่ำซึ่งซ่อนเร้นอยู่หลังเมฆดำครู่หนึ่ง ก่อนเด็กหนุ่มจะตั้งสติได้ ชะเง้อดูบ้านข้างเคียงว่าไฟดับด้วยหรือเปล่า
“อา..บ้านยัยป้ามหาภัยก็ดับ”
เขาถอนหายใจเฮือก พยายามดันไอ้อ้วนบนตักให้ไถลออกนอกประตู ฝนยังเทลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา ระหว่างสำรวจโดยรอบบริเวณจากบนชานบ้านก็ต้องคอยดึงปลอกคอหมาดื้อให้เดินตามไปด้วย “มานี่ลูกพ่อ อย่าเกเร เด็กดี..”
น่าแปลกที่พอพูดว่า
‘เด็กดี’ คิมหันต์กลับนึกถึงบางคนซึ่งเคยเอ่ยคำนั้นกับเขา
จะว่าไปก็ไม่ได้เจอหน้ากันหลายวันแล้ว เป็นเด็กมหา’ลัยคงมีอะไรให้ทำเยอะแยะ
“หงิงงง” เสียงครางของไอ้ลูกชายละลายความรู้สึกโหวงเหวงอันลึกลับหายเรียบ เขาก้มลงสบตากับมันแล้วย่นหัวคิ้ว ปอดแหกจริง ๆ เจ้าตัวนี้
“รู้แล้วน่าว่ากลัวน่ะ”
เปรี้ยงงง! คิมหันต์สะดุ้งโหยง ไม่ได้เตรียมอุดหูไว้ก่อน ตัวเองก็ใช่จะชอบสภาพอาการแบบนี้ยังต้องมายืนปลอบหมาวันฝนพรำอีก
สองชีวิตลู่ถูลู่ถังกันออกจากชานบ้าน โกลเด้นรีทรีฟเวอร์หนุ่มออกแรงขืนเล็กน้อยพอโก่งค่าตัว พอมั่นใจว่าจะไม่โดนทิ้งแน่ ๆ จึงยอมเดินตามผู้เป็นนายไปจนถึงโรงรถ เปียกฝนระหว่างทางนิดหน่อยด้วยเด็กหนุ่มเห็นว่าเป็นระยะทางใกล้ ๆ ขี้เกียจหาร่ม รีบสาวเท้าไปยังบ้านหมาอันเป็นเป้าหมายด้วยสภาพทุลักทุเล
“เอ้า..อยู่นี่แหละ” เขาออกคำสั่ง ชี้เข้าไปที่รังนอนของไอ้ลูกชายแล้วพยักพเยิด “เดี๋ยวพรุ่งนี้อาบน้ำให้”
แสงไฟสีส้มสว่างวาบขึ้นจากหน้ารั้วบ้าน แวบหนึ่งที่คิมหันต์เข้าใจว่าเป็นแสงจากรถของวัสสานะ และกำลังแปลกใจว่าทำไมวันนี้เธอกลับเร็วผิดปกติ แต่ต่อมาจึงได้รู้ว่าเข้าใจผิดเมื่อพาหนะอันเป็นต้นกำเนิดแสงเคลื่อนเข้ามาใกล้รั้วบ้านมากขึ้น ก่อนจะจอดสนิทหน้าประตูรั้ว
ม่านน้ำฝนกระหน่ำทำให้มองเห็นไม่ชัดเจนนัก แต่เขาค่อนข้างแน่ใจว่าผู้มาใหม่คือใคร
เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว กระโจนกลับไปเอาร่มที่ชานหน้าบ้าน มีหมาอ้วนตามแจจนต้องเรียกมาเข้าร่มด้วยขณะพากันเดินออกไปยังประตูรั้ว
“พี่มาทำอะไรอะ!?”
เขาตะโกนฝ่าสายฝน แม้เดาว่าสามภพคงไม่ได้ยินเพราะนั่งอยู่ในรถ ไหนจะเสียงหยดน้ำเม็ดใหญ่ ๆ ที่โปรยปรายลงมาไม่ขาดสายอีก
“บอกไว้แล้วไง ไม่ได้เช็คไลน์หรือ? โทรไปก็ไม่รับ”
น่าแปลกที่สามภพตะโกนกลับมาราวกับได้ยินเสียงเขา เพ่งดูดี ๆ เห็นว่ากระจกรถถูกเลื่อนลงอยู่เล็กน้อย พอได้ฟังคำอีกฝ่ายจึงนึกได้ว่าเขาทิ้งโทรศัพท์ไว้บนห้องนอนตั้งแต่ตอนสาย ก่อนจะลงมาอ่านหนังสือที่ชั้นล่างเกือบทั้งวัน
“เปิดประตูรั้วเร็ว”
เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว สั่งอีกแล้ว คนอะไรวะ!? ฝนก็เทออกขนาดนี้ยังจะมาใช้คนอื่นอีก
“ลงมาเปิดเองดิ” เขาเบ้ปากล้อเลียน
“ฝนตก”
อ้าว..ก็รู้นี่หว่า แล้วเรียกเขามาเปิดเนี่ยนะ “ขี้โกงนี่!” เขาเริ่มโวย ทำท่าแคะขี้มูกอย่างยียวน “อยากเจอก็ลงมาลุยฝนเอง”
สามภพกลอกตา แต่บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มน้อย ๆ หลังจากถอนหายใจจนสุดปอดแล้วก็เอื้อมมือไปคว้าร่มที่เบาะหลัง ดับเครื่องยนต์แล้วพาร่างตัวเองกางร่มมาประจันหน้ากับเจ้าเด็กปากดีที่อีกฝั่งรั้ว
“สรุปว่ารู้ด้วยหรือว่าอยากเจอน่ะ?”
เขายิ้มมุมปากให้คนที่ยืนเต๊ะอยู่หลังรั้ว ท่าทางกวนประสาทอย่างสบายอกสบายใจเต็มที่ ไม่รู้ลืมแล้วหรืออย่างไรว่าเขาถนัดปีนรั้วบ้านนี้ขนาดไหน ฟังจบอย่างนั้นคิมหันต์ก็คล้ายจะหน้าเจื่อนลงนิดหน่อย มาตรวัดความเกรียนลดวูบลงอีกหนึ่งระดับ ทำจมูกย่นใส่แล้วเดินเข้ามาดันรั้วเปิดให้อย่างเสียมิได้ พอเจ้าตัวเดินเข้ามาใกล้แล้วจึงได้เห็นว่าเนื้อตัวเลอะโคลนพอกับหมาขนทองที่เดินเบียดกันอยู่ใต้ร่มคันเดียว
“บังให้หมาอยู่นั่น” เขาพยักพเยิด “ตัวเองเปียกหมดแล้วไอ้เบื้อก”
“เรื่องของผมน่า” อีกฝ่ายบ่นหงุงหงิง ขณะที่เขารีบแทรกตัวเข้าไป ยืนมองสภาพมอมแมมตั้งแต่หัวจรดเท้าของคิมหันต์แล้วก็อดขำไม่ได้ เด็กอะไรจะไร้มาดเวลาอยู่กับหมาได้ขนาดนี้ ตอนกับคนด้วยกันก็เอาแต่เก๊กอยู่นั่น เห็นเขาทำท่าจะจ้องอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเจ้าตัวจึงรีบหันหลังแล้วเดินนำไปยังตัวบ้าน
“ปิดรั้วด้วย”
สั่งแขกอีกแน่ะ! ชายหนุ่มโคลงศีรษะ หันไปผลักประตูรั้วให้เข้าที่แล้วรีบก้าวขายาว ๆ ตามหลัง มองเลยไปยังตัวบ้านเห็นมืดสนิท จึงนึกได้ว่าระหว่างทางตอนช่วงใกล้ถึงที่นี่ ไฟบ้านอื่นก็ดับลงดื้อ ๆ เช่นกัน
“ไฟดับหรือ?”
“อือ”
คิมหันต์เงยหน้ามองเมฆครึ้ม เสียงฟ้าร้องไม่รู้ว่าเงียบลงตั้งแต่เมื่อไร ฝนเริ่มซาแต่ยังมีหยดน้ำร่วงลงเปาะแปะอยู่ไม่ขาด เมื่อฟ้าเลิกคำราม หมาขนทองลูกรักก็ตีตัวออกห่างอย่างน่าหมั่นไส้ แต่กลับได้เฮียหมาบ้ามาเดินตามต้อย ๆ แทน
“พี่สายังไม่กลับ?”
“ฮื่อ” เด็กหนุ่มตอบรับสั้น ๆ หย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ที่ชานด้านหน้า ไม่ได้เดินนำเข้าไปในตัวบ้าน เพราะสภาพที่ไฟฟ้าใช้การไม่ได้ เขาก็ไม่รู้จะเข้าไปทำอะไรมืด ๆ เหมือนกัน
“พี่มาทำไม?”
“มาเยี่ยม” สามภพยักไหล่ พูดไปก็เสมองทางอื่นไปด้วย “คิดถึง”
“....”
ทว่าพอเห็นอีกฝ่ายนั่งเงียบเหม่อมองเม็ดฝนแล้วทำเอาเก้อขึ้นมาอย่างมาประหลาด
“ล้อเล่นน่า” เขาตบท้ายเผื่อจะช่วยให้อะไรดีขึ้น
คิมหันต์นั่งชันเข่า ใบหน้าครึ่งหนึ่งซบอยู่กับขาตัวเอง ตาตี่แล้วยังหรี่ตามาทางเขาอย่างสงสัยใคร่รู้ แก้มขาวแต้มสีชมพูจาง ๆ อย่างน่ามอง
“แค่ล้อผมเล่นจริงดิ”
ชายหนุ่มระบายลมหายใจเชื่องช้า ย่อตัวลงนั่งข้างไอ้ตัวยุ่งที่พูดขนาดนี้ก็ยังอุตส่าห์ทำเป็นคลางแคลงใจอยู่นั่น
“สิ่งแรกที่พูดมักจะเป็นเรื่องจริง” เขาพยักหน้าเออออกับตัวเอง “บางคนก็บอกประมาณนี้”
คิมหันต์หัวเราะในลำคอ “พี่แม่งตลกว่ะ”
“ไม่ค่อยมีใครพูดอย่างนั้นเท่าไหร่”
“เพราะผมพิเศษ” เด็กหนุ่มยักคิ้ว เอ่ยคำเยินยอตัวเองออกมาได้เต็มปากเต็มคำ
“ใช่” เขายิ้ม และไม่คิดเถียง “พิเศษ”
คิมหันต์ก้มหน้าก้มตา รู้สึกใจหวิว ๆ จนชวนให้วูบบอกไม่ถูก เลี่ยงการมองหน้าคู่สนทนาด้วยการเอานิ้วไปเขี่ยหยดน้ำฝนที่สาดเข้ามาเรื่อยเปื่อย
“นี่ก็ล้อเล่นอีกใช่ปะ”
“เคยไปทำฟันไหม?” สามภพถามลอย ๆ ก้มลงดูว่าอีกฝ่ายเล่นอะไรกับหยดน้ำพวกนั้น และนึกได้ว่าบางครั้งก็อย่าไปคิดหาเหตุผลการกระทำของคิมหันต์เลย เขามองเสี้ยวหน้าของอีกฝ่ายที่ยังทำทีเป็นสนอกสนใจน้ำฝนบนปลายนิ้วก่อนจะพูดต่อ “..หมอมักบอกว่าเจ็บนิดเดียว”
“เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้วะ?”
“เราว่าหมอล้อเล่นหรือเปล่า?”
“ของแบบนั้นคงไม่มีหมอที่ไหนพูดจริงหรอกมั้ง" เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว "บางทีอาจสอนกันมาในหลักสูตรเลยก็ได้”
“แต่หมอบางคนถ้าบอกไม่เจ็บคือไม่เจ็บ หรือถ้าคิดว่าจะเจ็บก็จะเตือนไว้ก่อน”
“มีด้วยหรือ?”
เขาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ เหยียดขาสุดความยาว มองออกไปในความเวิ้งว้างของฟ้าหลังฝน ยังมีเมฆอยู่บ้างแต่ไม่มากนัก และสำหรับยามพลบค่ำที่ไฟฟ้าดับไปทั่วบริเวณเช่นนี้ก็คล้ายว่าพอจะเริ่มมองเห็นกระจุกดาวได้ประปรายตั้งแต่ฟ้ายังไม่มืดสนิท
“พี่ก็คิดว่าจะเป็นหมอแบบนั้น”
“ไม่โกหกคนไข้?”
“ใช่” เขาพยักหน้าอีกนั่นแหละ เอื้อมมือไปลูบผมสีทองนุ่มนิ่มของเด็กหนุ่มแล้วผลักเบา ๆ ให้เอนหลังตามลงมาบนพนักของเก้าอี้ตัวข้าง ๆ “ไม่โกหกเราด้วย”
"ผมไม่ใช่คนไข้"
คิมหันต์ขืนตัวอยู่ครู่หนึ่ง แต่เมื่อแน่ใจแล้วว่าการกระทำของเขาปราศจากความคิดร้ายก็ค่อยเอนตัวลงมาเก้ ๆ กัง ๆ ก่อนจะโดนเขาเอาเท้าเขี่ยขาให้เหยียดออก
“เหยียดเข่าด้วย” เขาเก๊กเสียงเข้มไม่จริงจังนัก “ทำตามเฮีย”
เด็กหนุ่มเตะหน้าแข้งแขกผู้มาเยือนอย่างรำคาญใจ ก่อนจะใช้นิ้วเท้าหยิกที่น่องอีกฝ่ายด้วยความสามารถพิเศษส่วนบุคคล สามภพสะดุ้งแล้วเตะสู้เบา ๆ แต่ครู่เดียวก็เอาแต่หัวเราะเหมือนเห็นเป็นเรื่องตลกเสียเต็มประดา ที่แย่คือสุดท้ายเขาก็พลอยขำไปด้วยตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้
“เฮียเพี้ยนแม่งปัญญาอ่อน” เด็กหนุ่มแกว่งขาไปมาเมื่อสามภพพยายามจะหยิกน่องเขาด้วยวิธีเดียวกันบ้างแต่ไม่สำเร็จ พร้อมกับส่งสำเนียงเกทับอย่างอวดดี “ของแบบนี้มันต้องมีความสามารถ อย่ามาเลียนแบบซะให้ยาก”
“ต่อให้หรอกไอ้ตี๋น้อย”
คิมหันต์หัวเราะหึ ๆ อย่างผู้กุมชัยชนะ ครึ้มอกครึ้มใจได้เพียงครู่หนึ่ง จนเมื่อเผลอลอบมองใบหน้าคมคายของอีกฝ่ายซึ่งกำลังคลี่ยิ้มบางใต้เสี้ยวแสงสุดท้ายของแสงอาทิตย์ช่วงรอยต่อกลางวันกลางคืน นอกจากความร้อนนิดหน่อยซึ่งก่อตัวขึ้นในอก อีกอย่างหนึ่งที่มาพร้อมกันคือความสงสัยจนต้องออกปากถาม
“ทำไมพี่ไม่ไปจีบผู้หญิงสักคน..”
สามภพไม่ตอบ แล้วยังทำท่าเหมือนว่าไม่ได้ยินเขาพูดอย่างนั้นแหละ
“หาได้อยู่แล้วนี่..ทำไมต้องทำให้มันผิดธรรมชาติด้วย”
“..ไม่รู้สิ”
คิมหันต์เบะปาก “ตอบอะไรโคตรไร้ความรับผิดชอบเลย”
“แล้วอยากให้เฮียรับผิดชอบรึไง” เขาเอ่ยติดตลก แต่คนฟังไม่ยอมขำด้วย
“ไร้สาระว่ะ” เด็กหนุ่มบ่นกระปอดกระแปด “ไม่อยากเชื่อเลยว่าเป็นคนเดียวกับเฮียหมาบ้าที่จะตีกันตายก่อนนี้”
สามภพเลิกคิ้วพร้อมกับยักไหล่ ก่อนจะหันไปผลักศีรษะอีกฝ่ายเบา ๆ ให้หน้าคะมำไปนิดหน่อยพอเรียกสายตาค้อนขวับมาได้ “นั่นเพราะเรายังไม่รู้จักกันดีพอ..แล้วไอ้ตี๋หัวทองก็กวนตีนซะ..”
“นั่นก็เพราะพี่ยังไม่รู้จักผมดีพอ” คิมหันต์ย้อนพร้อมรอยยิ้มเผล่ “ความจริงแล้วผมงี้โคตรเด็กดี”
“อ้อ...เรอะ?”
เขายักยิ้มมุมปาก ส่งสายตาไม่เชื่อเต็มที่จนเด็กหนุ่มทำหน้ามุ่ย พึมพำออกมาอย่างขัดใจ
“ถึงได้บอกไงว่าพี่ไม่รู้จักผม”
“งั้นเดี๋ยวจะรู้จักให้มากกว่านี้” สามภพพยักหน้าช้า ๆ หรี่ตามองโดยรอบซึ่งเริ่มมืดลงอย่างรวดเร็ว และไฟฟ้าก็ยังไม่สามารถใช้งานได้ “อีกเท่าไหร่นะ...ปีหนึ่ง...หรือมากกว่านั้นก็ได้”
เขายังไม่ทันพูดอะไรต่อ คิมหันต์ก็เปรยขึ้นกลางเสียงหยดน้ำเปาะแปะ
“นอกจากเจ้สองคน ผมเคยมีอาเฮียด้วยละ...”
“หืม?”
“เขาเป็นเกย์”
“อ้อ”
ชายหนุ่มพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ ไม่แน่ใจว่าควรตอบสนองแบบไหนจึงได้แต่นิ่งฟังเงียบ ๆ
“แต่เขาตายไปแล้ว” ลมหอบเอาไอฝนมาปะทะผิววูบหนึ่ง ก่อนจะพัดจากไปพร้อมกับพาเขาใจหายวาบไปด้วย ประโยคบอกเล่าของคิมหันต์ไม่แสดงอารมณ์ใดให้เป็นที่สังเกต เขาพยายามมองหาร่องรอยความรู้สึกบนใบหน้าของเด็กหนุ่มข้างกาย แต่กลับพบเพียงรอยยิ้มมุมปากซึ่งดูน่าหมั่นไส้อย่างที่เจ้าตัวมักปั้นมันขึ้นบนริมฝีปากอยู่เสมอ มองเห็นเลือนรางในความมืดซึ่งคืบคลานเข้าหา โอบกอดพวกเขาไว้เงียบงัน
“กำลังอยากบอกอะไรหรือ?”
คิมหันต์ยักไหล่ จ้องเขาตรง ๆ อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยปฏิเสธเสียงเรียบ
“เปล่า”
ไฟหน้าบ้านกะพริบสามสี่ครั้ง จากนั้นก็สว่างโร่ขึ้นจนทั่ว คิมหันต์เบนความสนใจของตัวเองไปยังไฟฟ้าซึ่งกลับมาใช้งานได้เป็นปกติอีกครั้ง เดินไปหยุดพิจารณาคราบโคลนหน้าประตูบ้านพลางสบถถึงหมารักอย่างอ่อนใจ รีบเช็ดเท้าลวก ๆ แล้วเดินเข้าไปเปิดไฟจนทั่ว ก่อนจะหันกลับมามองแขกที่ยังยืนรีรออยู่ด้านหน้า
“พี่ไม่เข้าบ้านหรือ?”
ชายหนุ่มยักคิ้วน้อย ๆ ค่อนข้างลำบากกับการควบคุมตัวเองไม่ให้ยิ้มออกมา เขาถอดรองเท้าไว้หน้าประตู กระโดดหลบรอยเปื้อนบนพื้นที่หมาอ้วนของคิมหันต์ทำไว้ เดินตามเจ้าของบ้านไปยังทางเข้าห้องครัว
แผ่นหลังโปร่งของเด็กหนุ่มซึ่งเห็นอยู่ตรงหน้าทำให้เขารู้สึกอยากดึงมากอดแน่น ๆ อีกสักครั้ง เห็นอยู่ใกล้แค่นี้แต่เอื้อมมือคว้าไว้ไม่ได้ช่างอึดอัดจนแม้แต่ตัวเองยังนึกไม่ถึง
“คิม”
คิมหันต์ซึ่งกำลังย่อตัวอยู่หน้าตู้เย็นชะงักไป ทั้งที่เขาเป็นคนเรียกแต่กลับไม่ได้พูดอะไรต่อ มันจุกอกไปหมดอย่างไรบอกไม่ถูก
“ผมดีใจที่เราคุยกันดี ๆ ได้บ้าง”
จู่ ๆ เด็กหนุ่มก็โพล่งขึ้นมาไม่มีปี่มีขลุ่ย
“แบบว่า..นาน ๆ ทีน่ะ” เจ้าบ้านหันมายักคิ้ว ยัดป๊อกกี้เต็มปากอย่างไม่คิดชวนแขกกินด้วย “ช่วงนี้ต้องเตรียมสอบ ไม่ว่างทะเลาะด้วยหรอก”
สามภพหลุดขำออกมาหนึ่งเฮือก พูดเหมือนทุกทีเขาเป็นคนเริ่มอย่างนั้นแหละ ส่วนใหญ่คิมหันต์เป็นฝ่ายก่อกวนก่อนทั้งนั้น ถึงกระนั้นก็ตัดสินใจมองข้ามประเด็นนั้นไปเสียแล้วคุยเรื่องอื่นที่อยากรู้
“มีรับตรงที่มอ ได้สมัครแล้วใช่ไหม?”
“อื้อ”
เขายิ้ม มองอีกฝ่ายเคี้ยวขนมตุ้ย ๆ พอเขาแบมือเป็นเชิงว่าขอแบ่งบ้างไอ้ตัวแสบก็ส่งแต่กล่องเปล่ามาให้ พฤติกรรมไม่เหมือนคนที่เพิ่งบอกว่าไม่ว่างทะเลาะด้วยเอาเสียเลย
“พร้อมยัง?” ชายหนุ่มเดินลากเท้าเข้าไปใกล้ ยืนมือไปเอานิ้วเกลี่ยข้างแก้มของเด็กหนุ่มซึ่งมีเศษขนมติดอยู่แผ่วเบา คิมหันต์เพียงแต่สะดุ้งน้อย ๆ แต่ไม่ได้ขยับหนี และนั่นดูเป็นสัญญาณอันดีในความคิดเขา “มั่นใจหรือเปล่า?”
คิมหันต์ขบริมฝีปาก คว้าข้อมือสามภพไว้ในมือตัวเอง แล้วหันไปโอบเอวอีกฝ่ายไว้หน้าตาเฉย ปฏิเสธไม่ได้ว่าเห็นสามภพแล้วอยากเกาะอยากออเซาะชะมัด เขาคงเป็นพวกติดสัมผัสจริง ๆ นั่นแหละ
“สอบติดเลี้ยงข้าวผมปะล่ะ?”
ชายหนุ่มโคลงศีรษะ “ยังไม่สอบก็เลี้ยงไปตั้งเยอะแล้ว”
“พูดงี้คือตกลง?”
“แล้วจะรอ” สามภพกระซิบตอบ “ทั้งเรื่องสอบเข้า..แล้วก็อีกหนึ่งปีให้หลังด้วย”
“อดทนไปปะ” คิมหันต์หัวเราะ เอนตัวไปพิงอีกฝ่ายอย่างจงใจ เงยขึ้นมองตาแป๋วแล้วยังส่งรอยยิ้มทะเล้นมายั่วอีก
“นั่นสิ” เขาก้มลงไปหาอย่างรับมุก “จะทนไหวไหมนะ?”
เด็กหนุ่มกะพริบตาถี่ ๆ ถอยออกมาเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว เขาไม่ได้เตรียมใจไว้ล่วงหน้าสำหรับความใกล้ชิดอันน่าหวาดเสียวระหว่างปลายจมูกในลักษณะนี้ เมื่อเห็นว่าใบหน้าพวกเขาห่างกันมากพอจะไม่รู้สึกร้อนผ่าวที่สองข้างแก้มจึงได้ส่งเสียงต่อเป็นปกติ
“พี่น่าจะไปเกิดเป็นผู้หญิง”
“พูดบ้าอะไรน่าขนลุก”
“ที่ทำกันอยู่นี่น่าขนลุกกว่าอีก”
เขาส่ายหน้าแล้วผละออกจากสามภพ สับสนตัวเองพิลึกว่าจะเอาอย่างไรกับชีวิตดี คำพูดของพี่สาวยังก้องอยู่ในหัว และที่ผ่านมาเขาก็อยู่ในโอวาทของเธอมาโดยตลอด..หรืออย่างน้อยก็เกือบตลอด เขาเองใช่จะเบี่ยงเบนอย่างคนอื่นชิงตีตนไปก่อนไข้ แต่เวลาอยู่กับสามภพก็ชอบไปกระแซะแบบเมื่อครู่อยู่เรื่อย รู้ทั้งรู้ว่าอีกฝ่ายมีเจตนาอย่างไรกลับไปชวนเล่นเรื่อยเปื่อย มั่นใจว่าอย่างไรก็ไม่ตกหลุมสามภพแน่ ทว่าบางครั้งกลับอดคิดไม่ได้ว่านี่มันเหมือนแมลงเม่าบินเข้ากองไฟหรือเปล่า
“เอาเถอะ” เสียงของชายหนุ่มดึงเขาหลุดจากภวังค์ หันไปมองก็เห็นอีกฝ่ายกำลังทำสีหน้าขบขันใส่เขาอยู่ “เดี๋ยวจะกลับแล้ว วันนี้มีธุระต่อ”
“อ้าว?”
“ไม่ต้องทำท่าเสียดายขนาดนั้นเด็กน้อย พี่แค่ผ่านมาทำธุระแถวนี้เฉย ๆ เลยแวะมาหา โทรไปก็ไม่รับนี่”
คิมหันต์กอดอก ยืดตัวขึ้นอย่างไว้เชิง รีบปฏิเสธข้อกล่าวหาเป็นพัลวัน “ผมไม่ได้เสียดายสักหน่อย อีกอย่างผมอ่านหนังสือ ต้องเอาโทรศัพท์ไว้ห่างตัวหน่อย ไม่งั้นชอบมีเฮียหมาบ้าที่ไหนไม่รู้ส่งอะไรต่อมิอะไรมาก่อกวน”
“โอเคครับ” สามภพวางมือลงบนศีรษะเขาแล้วขยุ้มเบา ๆ “ไม่กวน ใกล้สอบแล้ว ตั้งใจอ่านหนังสือเข้าล่ะ”
เขาอยากเถียงต่ออีกสักหน่อย แต่น้ำหนักมือซึ่งวางลงพร้อมกับแทรกนิ้วไปตามเส้นผมอ่อนโยนก็ชวนให้รู้สึกสบายจนเผลอเอียงศีรษะตอบเหมือนลูกหมาเชื่องๆ
“ผมคุยโวกับป๊าไว้เยอะเลย” เด็กหนุ่มพึมพำเสียงแผ่ว ผ่อนลมหายใจเข้าออกเชื่องช้า “พี่ว่าผมจะสอบติดปะ”
สามภพก้มลงมองคนถาม แวบหนึ่งที่ความกังวลฉายขึ้นบนสีหน้าอีกฝ่าย ก่อนจะถูกกำจัดไปอย่างรวดเร็วแล้วแทนที่ด้วยรอยยิ้มกริ่ม หนึ่งในอีกสารพัดรูปแบบหน้าทะเล้นของคิมหันต์
“ติดสิ”
เขายืนยัน ไม่ใช่แค่เพื่อให้กำลังใจ หากแต่เชื่อเช่นนั้นจริง ๆ
คิมหันต์ดูจะชอบใจ ฉีกยิ้มร่าออกมาพร้อมกับตบหลังเขาป้าบใหญ่ “รอเลี้ยงข้าวผมได้เลย”
“ได้”
สามภพเผลอวาดรอยยิ้มบางเบาไปด้วย ยกนิ้วหัวแม่มือขึ้นแตะริมฝีปากตัวเอง ก่อนจะย้ายนิ้วนั้นไปวางไว้บนเรียวปากบางเฉียบของเด็กหนุ่มช้า ๆ ลากแผ่วเบาอย่างทะนุถนอมไปตลอดแนวสีชมพูสดนั้น ระหว่างที่อีกฝ่ายเบิกตากว้างพร้อมกับที่สีเลือดฝาดปรากฏขึ้นบนพวงแก้ม
นั่นไม่ดีกับหัวใจเลย “ไว้เจอกันใหม่” เขาตัดบท กลัวว่าหากอยู่นานกว่านี้อาจจะห้ามใจไม่อยู่เข้าจริงจนได้
“..กลับดี ๆ ล่ะเฮีย”
“...”
คิมหันต์หลุบตาลงต่ำ ใบหูสองข้างเป็นสีแดงระเรื่อ ส่งเสียงกระซิบเบาหวิวใต้ปลายจมูก
“..แล้วผมจะพกโทรศัพท์”
นั่นไม่ดีกับหัวใจเอาจริง ๆ - หมดยกที่ 38 –
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
ยังไม่ดราม่าอะไรนะค้า คอมเม้นต์ตอนที่แล้วแอบเห็นหวีดกันหลายท่าน ยังค่ะ อย่างเพิ่งรีบเซ็ง เดี๋ยวเฮียเพี้ยนใจแป้ว 555
รักแท้มันต้องมีอุปสรรคกันบ้าง (เหรอ?) แต่คิดว่าไม่สาหัสอย่างเรื่องรัก...ติดดินในมุมมองของเรานะคะ
ตอนนี้เรื่อย ๆ เอื่อย ๆ ช่วงสงบศึกและหวั่นไหว(?)กันสักหน่อย
นั่งพิมพ์ไปก็คิดไกลถึงพล็อตช่วงใกล้จบ(ทั้งที่ยังเขียนไม่ถึงไหน)แล้วอยากข้ามไปมุ้งมิ้งตอนนั้นเลยซะจริง ๆ ฮา
คำถามจากตอนที่แล้ว ขออนุญาตตอบเฉพาะส่วนที่คิดว่าไม่สปอยล์นะคะ
ป๊ากับม้าคิมหันต์ยังมีชีวิตอยู่ค่ะ ^^ และใช่แล้ว บ้านนายเอกความจริงมีพี่น้องสี่คน ชายสองหญิงสอง แต่ปัจจุบันเหลือชายหนึ่งหญิงสองค่ะ
(และตอนที่แล้วสั้นกว่าปกติจริงจากจำนวนคำค่ะ แฮร่~)
แล้วพบกันตอนหน้า ขอบคุณคนอ่านผู้น่ารัก >3< *กอดฟัด*

ปล.ของแถมรอบนี้งดก่อนนะคะ พอดีมีแต่รูปวาดเล่นของแม่ไก่ลูกเจี๊ยบซึ่งไม่ค่อยเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ถ้าคิดถึงไปส่องได้ที่เพจค่า