● เล่ห์รักฤดูร้อน ●
ยกที่ 18 – ไม่ได้เป็นอะไรกัน แต่...
สรัญมองรูปสุนัขโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ซึ่งถูกส่งเข้ามือถือตัวเองด้วยสีหน้าว่างเปล่า ขนสลวยสีทองดูสุขภาพดีจนน่าเอาไปโฆษณาอาหารเม็ด แต่เขาคิดว่าตัวเองไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายของผลิตภัณฑ์อาหารหมา
“ไหนดุ๊กดิ๊ก?”
“นั่นแหละ” อีกฝ่ายตอบกลับมาน้ำเสียงว่างเปล่าพอกัน
“เชี่ย! แล้วไหนที่ว่าเปลือยอีก?”
สามภพยักไหล่ เก็บมือถือเข้าประเป๋าเป็นเชิงประกาศว่าจะไม่ส่งรูปอะไรอย่างอื่นให้อีกแล้ว “นั่นก็เปลือยไง หรือจะให้จับมันกล้อนขน”
“ไอ้ภพ ไอ้เวร เอาดี ๆ ไหนน้องหัวทองของกรู๊วววว~!?”” สรัญเริ่มง้องแง้ง ส่วนผู้หญิงโต๊ะข้าง ๆ พากันหันมามองแล้วตอนนี้แต่ไม่ทำให้เจ้าตัวสงบปากสงบคำลงแต่อย่างใด “ความจริงแล้วน้องมันไม่ได้ชื่อดุ๊กดิ๊กใช่ไหมไอ้หมาหวงก้าง!”
ชายหนุ่มถอนหายใจเหนื่อยหน่าย กว่าจะรู้ตัวได้ ถ้าเป็นโจรขึ้นบ้านก็โดนยกเค้าเกลี้ยงแล้ว
“ชื่อคิม ดุ๊กดิ๊กนั่นลูกชายพันธุ์โกลเด้นของมัน”
“นั่นไง!!” อีกฝ่ายตบโต๊ะ ทำสีหน้าเหมือนอยากตะโกนว่าแทงหวยทำไมไม่ถูก “ว่าแล้วทำไมชื่อในไลน์เขียนอย่างนั้น!”
สามภพหัวเราะหึ ๆ “มันควรจะรู้ตั้งแต่แกไลน์หามันแล้วเปล่าวะ”
“ควาย!” สรัญตบหัวเขา และเขาตบหัวกลับ โดนกันไปคนละทีแล้วกลับมานั่งคุยต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ฉันหล่อ เชื่อใจเพื่อน ไม่นึกว่าไอ้หน้านิ่งอย่างแกจะตอแหลเก่ง”
เขากลอกตา ยังนึกไม่ออกว่าหล่อกับเชื่อใจเพื่อนมันเกี่ยวกันตรงไหน
“นี่ถามจริง” จู่ ๆ ชายหนุ่มผิวแทนก็เปลี่ยนโหมด จากที่ครึกครื้นตบหัวกันอยู่ดี ๆ กลายเป็นนั่งทำหน้าขรึมประสานมือไว้บนโต๊ะแล้วโน้มตัวมาทางเขา กินข้าวข้างนอกกับเพื่อนคนนี้บ่อย ๆ น่ากลัวจะโดนกล่าวหาว่าเป็นคู่ขามันเข้าสักวัน
“น้องคิมเป็นใคร”
“....”
“บอกหน่อย ถ้าไม่ใช่เด็กแกฉันได้สบายใจ”
“..ถ้าไม่ใช่เด็กฉัน...” สามภพหรี่ตา ไม่รู้ตัวสักนิดว่าโทนเสียงต่ำที่เลือกใช้แฝงความกดดันจนคนฟังต้องขมวดคิ้วตาม “แล้วจะทำไม?”
“จะได้จีบ”
“มันไม่ได้เป็นเกย์” ถึงกับเป็นเดือดเป็นร้อนต้องเถียงแทนทันควัน
สรัญยิ้มกรุ้มกริ่ม ลบรูปหมาสีทองที่ได้มาทิ้งอย่างไร้เยื่อใย “ไม่เป็นก็จีบได้ ของอย่างนี้ไม่ลองไม่รู้”
เอาอีกแล้ว..ความรู้สึกหงุดหงิดเช่นนี้ ไม่รู้ทำไมนักหนาน่ารำคาญตัวเอง เป็นอารมณ์ขุ่นมัวเดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลงคล้ายตอนเถียงกับคิมหันต์เรื่องห้ามไปยุ่งกับปิ่นหยก แต่แน่นอน..ไอ้ตี๋หัวทองนั่นไม่ใช่เด็กเขา
“ไม่..” เขาส่ายหน้าเบา ๆ ย้ำอีกครั้งคล้ายพูดกับตัวเอง ...ไม่ใช่เด็กเขา... “ไม่ได้เป็นอะไรกัน”
“งั้นจีบนะ”
แต่ก็ไม่อยากให้ไปเป็นเด็กคนอี่นเหมือนกัน“กูไม่ให้จีบ!”............................................................
............................
.
.
.
.
.
ติ๊งหน่อง…คิมหันต์พลิกตัวอยู่บนเตียง ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปงละเลยแสงแดดที่แยงลอดผ้าม่าน
ติ๊งหน่อง…ติ๊งหน่อง…“อือออ...”ติ๊งหน่อง…ติ๊งหน่อง…ติ๊งหน่อง…“โอยยย..คร้าบ ๆ รู้แล้ว!” เด็กหนุ่มลุกขึ้นมานั่งขยี้ตางัวเงีย คลานลงจากรังนอนอันเป็นที่รัก เกาหัวสีทองแกรก ๆ จนฟูยุ่งเหยิงขณะที่ชะเง้อออกไปมองหน้าบ้านจากหน้าต่างห้อง ใครกันช่างมากดออดรัว ๆ อีกแล้ว ถ้ารู้ว่าเป็นไอ้พวกเด็กประถมแก๊งเกรียนแถวบ้านอีกจะไล่เตะให้กลับไปฟ้องแม่ไม่ทันเลย
“น้องคิม!”เสียงหวานร้องตะโกนอยู่หน้ารั้ว ได้ยินแล้วถึงกับชะงัก ขยี้ตาเพ่งมองอีกครั้งให้แน่ใจว่าตื่นแล้วจริง ๆ
“พี่อัน..” เขาพึมพำ บอกลำบากเหมือนกันว่าตัวเองอารมณ์ไหน รู้แต่หายง่วงขึ้นมาทันทีทั้งที่เมื่อคืนจนตีสี่ก็ยังไม่ได้นอน
“พี่มาเยี่ยม”
เหมือนเห็นเธอขยิบตาไปด้วยขณะพูด แม้ว่าระยะออกจะไกลสักหน่อย ..หรือบางทีเขาอาจมองผิดเอง
“เยี่ยมทำไม ผมไม่ได้ป่วย” เขาตะโกนตอบ
“คิดถึง” ว่าแล้วเธอก็หัวเราะเสียงใส น่ารักพอกับน่าขนลุก
ให้ตาย..อะไรของผู้หญิงคนนี้ อันนายืนโยกตัวไปมารอให้อีกฝ่ายลงมาเปิดประตูให้ โรงรถที่ปกติมีรถมาสด้าสองสีขาวจอดอยู่ตอนนี้ว่างเปล่า เดาว่าพี่สาวคนโตของคิมหันต์คงออกไปร้านยาซึ่งหมายความว่าเจ้าตัวน่าจะอยู่บ้านคนเดียว
หญิงสาวก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ นี่ก็เกือบเที่ยงเข้าไปแล้ว แต่ท่าทางเด็กหนุ่มตอนโผล่หน้าออกมาเมื่อครู่นั้นอย่างกับเพิ่งตื่น งานโรงเรียนเมื่อวานหลังจากเธอกลับไปก่อนไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรอีก เท่าที่รู้(และดังไปทั่ว)คือสามภพจ่ายเงินหนึ่งหมื่นบาทในการประมูลตัวคิมหันต์ นั่นน่าตกใจทีเดียวแม้แต่สำหรับอันนา ฐานะทางบ้านของชายหนุ่มไม่เรียกแย่ ความจริงคงต้องถือว่าค่อนข้างดีด้วยซ้ำ แต่ทั้งสามพลผู้เป็นคนรักและสามภพน้องชายไม่ใช่พวกใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย ยอมเสียเงินจำนวนมากในคราวเดียวเพื่อแย่งตัวเด็กมัธยมเช่นนี้นับว่าไม่ธรรมดา
คิมหันต์โผล่หน้ายุ่ง ๆ ออกมาจากตัวบ้าน เดินกะเผลกสับขาหลอกกับหมาตัวโตขนสีทองซึ่งพยายามเข้ามาพันแข้งพันขาด้วยความรักใคร่ ไขกุญแจประตูรั้วแกรกกรากพร้อมกับเอ่ยถามไปด้วย “พี่อันมาทำอะไรแต่เช้าเนี่ย?”
“ถ้านั่นเป็นคำทักทาย ก็สวัสดีตอนเที่ยงเช่นกันจ้ะ” เธอยิ้ม เรียกสีหน้ามู่ทู่ขึ้นมาฉายบนดวงหน้าขาว ๆ แม้ใต้ตาจะคล้ำนิดหน่อยและเปลือกตาดูช้ำแปลก ๆ แต่ก็น่าเอ็นดูพิลึก
คิมหันต์ไม่ตอบอะไรขณะแง้มรั้วเพียงเล็กน้อยให้เธอเข้ามาแล้วรีบปิดก่อนหมารักจะถลาออกไปเล่นคลุกฝุ่นข้างนอก เดินนำไปทางตัวบ้านแล้วส่งคำถามให้ผู้มาเยือน “นั่งข้างในหรือเอาซุ้มตรงสวนดี”
หญิงสาวเอียงคอ เหลือบมองตามไปยังสวนหย่อมขนาดย่อมข้างบ้านซึ่งจัดเป็นซุ้มมีโต๊ะและเก้าอี้ไม้ร่มรื่นตั้งอยู่ แต่แดดตอนใกล้เที่ยงวันก็ยังแรงเกินกว่าจะนั่งเล่นเรื่อยเปื่อยอยู่ดี หันกลับไปมองตามร่างโปร่งข้างหน้าซึ่งดูจะเลือกคำตอบให้เธอเรียบร้อยด้วยการก้าวขานำไปยังตัวบ้านแล้วจึงถามขึ้นทีเล่นทีจริง “ไม่กลัวพี่จะทำอะไรไม่ดีหรือ? ให้ทายดีกว่าว่ามาทำไม”
เด็กหนุ่มชะงัก เหลือบมาทางนี้ด้วยสายตาระแวดระวังแวบหนึ่งแล้วออกเดินอีกครั้ง “เรื่องไอ้ปิ่นอีกแล้ว? แกล้งอะไรมันอีกอะ”
“ทำไมมองพี่ในแง่ร้ายจัง” เธอพูดกลั้วหัวเราะ แต่เป็นเสียงหัวเราะที่ได้ยินแล้วไม่ชวนให้คนฟังสบายใจเท่าไรนัก “พี่นั่งนี่ได้ไหม” ว่าแล้วก็ชี้ไปที่โซฟาตัวโปรดของเขา ความจริงคือเขาโปรดปรานโซฟาเกือบทุกตัวนั่นแหละ
“เชิญครับ” เด็กหนุ่มยักไหล่ สีหน้าไปคนละทางกับประโยคสุภาพที่เอ่ยออกมา “เอาน้ำเปล่าหรือน้ำส้ม”
“น้ำส้ม” อันนายิ้ม “ไม่เอายานอนหลับ”
อันนารู้มาก...ข้อนี้เขาไม่ควรลืมเด็กหนุ่มตัดสินใจหยุดพูดอย่างอื่นต่อ เดินไปรื้อค้นหาอะไรในตู้เย็นมาให้แขก รู้สึกตลอดเวลาว่ามีสายตาจับจ้องตามหลังเขาทุกฝีก้าว เป็นภาวะน่าอึดอัดจนสุดท้ายก็ต้องส่งเสียงทำลายความเงียบขึ้นมาจนได้ “พี่หิวยัง หรือเคี้ยวหัวใครมาก่อนแล้ว”
หญิงสาวกลอกตา ไอ้เด็กนี่ “ก็ว่าจะเคี้ยวหัวคุณน้องอยู่ละ”
น่าแปลก นอกจากพ่นลมหายใจเซ็ง ๆ แล้วคิมหันต์ก็ไม่ได้เถียงอะไรกลับมาอีก สงบเสงี่ยมกว่าที่คิดเยอะทีเดียว เดินลากขาถือแก้วน้ำส้มพร้อมกับคุกกี้ในจานแบนมาวางไว้บนโต๊ะตรงหน้า สังเกตดี ๆ นอกจากแผลใต้ผ้าก๊อซที่หัวเข่าซึ่งเดาจากขนาดผ้าปิดว่าคงใหญ่ ก็ยังเห็นรอยถลอกเป็นทางอีกหลายแห่งตามแข้งขา เรื่องที่เธอกังวลจนต้องมาดูให้เห็นด้วยตาตัวเองดูท่าจะเกิดขึ้นจริงเสียแล้ว
“ขาไปโดนอะไรมาหรือ?” อันนาช่วยรับแก้วน้ำจากอีกฝ่ายแล้วเปิดประเด็นขึ้นก่อน ก้มลงไปมองก็อดห่วงขึ้นมาไม่ได้ “ภพทำหรือเปล่า?”
เธอถามทั้งที่รู้อยู่แล้วคิมหันต์ยังคงเงียบ ย่อนั่งลงที่โซฟาเล็กอีกตัวแล้วถามซ้ำขอคำตอบซึ่งยังไม่ได้รับ “พี่อันมาทำอะไร?”
“มาดู”
“ยังไม่เปิดจองตั๋ว”
ในฐานะผู้หญิงคงไม่งามถ้าจะฉีกขาเตะ
“เห็นยังปากดีได้พี่ก็ดีใจ”
เด็กหนุ่มพยักหน้า โยกตัวไปมาเป็นเชิงว่าเขาสบายดีพร้อมกับยกขาขึ้นไขว่ห้างแบบไม่เจียมสังขาร “แข็งแรงฟิตเปรี๊ยะ จะส่งใครมาอีกก็ชิล ๆ”
“ส่วนสามภพดูไม่ค่อยเป็นตัวเองเท่าไรช่วงหลังมานี้”
เขาเลิกคิ้ว ควรต้องตอบอะไรไหม แต่ให้พูดอย่างไรดี แค่ได้ยินชื่อคนคนนั้นก็หงุดหงิดแล้ว “ไอ้พี่ภพมันบ้า”
“นานทีเราจะเห็นตรงกัน” อันนาเอนหลังบนพนักพิงพลางยกแก้วน้ำส้มขึ้นจิบ “ภพบ้าจริง ๆ ได้ข่าวว่าเสียไปหมื่นนึง กว่าจะถึงสิ้นเดือนคงได้กินแกลบแน่”
เด็กหนุ่มเหม่อมองไปตรงหน้า หลุดมาดยียวนไปชั่วขณะ ไม่ได้จับจ้องที่สิ่งใดเป็นพิเศษขณะที่พึมพำต่อ “อย่างนั้นเชียวหรือ ไม่ใช่ว่าบ้านรวย?”
“บ้านมีฐานะ แต่ยังไงก็เรียนอยู่ ยังขอเงินพ่อแม่ พี่ชาย ไม่มีงานเป็นของตัวเอง” เธอชี้แจง “เงินที่ได้ต่อเดือนก็จำกัดนั่นแหละ”
“งั้นก็ยิ่งบ้าเลย” คิมหันต์ยักไหล่ แย่งคุกกี้ที่เอามาให้แขกส่งเข้าปาก “สมน้ำหน้า”
หญิงสาวถอนหายใจ “แถมยังรังแกเด็กด้วย”
เด็กหนุ่มมองผู้หญิงตรงหน้า จากมุมแบบนี้อันนาก็ใช่ว่าจะเป็นคนร้ายกาจนักหากไม่ถือว่านี่เป็นรูปแบบการแสดงเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์บางอย่างของเธอ เขายักคิ้วพร้อมกับรอยยิ้มมุมปากอันเป็นเอกลักษณ์ ต้องมาให้ผู้หญิงแสดงทีท่าสงสารนี่รู้สึกไม่ไหวเอาเสียเลย “ผมโดนอยู่ฝ่ายเดียวที่ไหน เฮียหมาบ้าคงอายเลยไม่กล้าฟ้องเรื่องพวกนั้นอะดิ”
อันนาพยักหน้า พอเดาออกว่าคิมหันต์คงไม่ทำตัวเจี๋ยมเจี้ยมยอมให้คนอื่นทำอะไรเอาได้ แต่ถึงขั้นมีแผลเต็มแข้งขาเช่นนี้เธอก็คิดว่าสามภพทำเกินไปหน่อยเหมือนกัน ทั้งที่อุตส่าห์กำชับว่าให้เบาไม้เบามือหน่อยแท้ ๆ ไม่คิดว่าจะเลยเถิดกันขนาดนี้ “พรุ่งนี้พี่จะไปกินข้าวกับคุณพ่อคุณแม่พี่พลที่บ้านด้วย สามภพก็ไป”
คิมหันต์ทำหน้าไม่ถูก บ่นงุบงิบว่าแล้วมาบอกทำไม
“เดี๋ยวจะช่วยเตือนไว้บ้าง” เธอยกน้ำส้มกระดกหมดแก้วก่อนจะลุกขึ้นยืน หันมายิ้มน้อย ๆ พร้อมกับมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าราวกับจะสำรวจว่าไม่มีอะไรสึกหรอ เสร็จแล้วก็หัวเราะแผ่วเบากับสีหน้างุนงงของเจ้าบ้าน “ส่วนวันนี้ไม่ต้องห่วง ไม่ทำอะไร แค่แวะมาดูเท่านั้นแหละ ฟังสายรายงานมาแล้วแอบเป็นห่วง”
เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว สงสัยขึ้นมาตงิดว่าไอ้สายที่ว่านั่นใครกัน
“พี่ขอโทษแทนภพด้วย แต่ไม่ใช่คนเลวร้ายหรอกนะ เชื่อเถอะ”
คิมหันต์คิ้วผูกโบว์แล้วตอนนี้ “ผมไม่ได้จะเอาคำขอโทษ”
“แสดงว่าไม่ได้โกรธ?” เธอยิ้มละมุน “งั้นจะเอาอะไร”
เขาเผลอนึกไปถึงหน้าโหด ๆ ของคนที่ย่อตัวลงถอดถุงเท้าเปื้อนเลือดให้แถมยังมาทำเป็นลูบผมเสียอ่อนโยน ทั้งที่ก่อนหน้านั้นอย่างกับจะหิ้วไปฆ่า พาไปโรงพยาบาลแต่ด่าบ้างโวยบ้าง แล้วอยู่ ๆ ก็เกิดเพี้ยนดึงเข้าไปกอดแน่น เลยไปจนถึงข้อความ
‘หลับยัง?’ ซึ่งได้รับทางมือถือเมื่อคืนแต่แล้วก็เงียบไปเหมือนแค่ส่งผิดคน
และหากถามว่าเขาจะเอาอะไรอย่างนั้นหรือ?“บอกเขาว่ายี่สิบสี่ชั่วโมงที่ตกลงไว้ เมื่อไหร่ก็ว่ามา”
"อ่าฮะ"
"....."
อันนารอฟัง แต่คิมหันต์ยังเงีบบจนเธอพูดต่อ “แค่นี้?”
“หลังจากนั้นก็เลิกยุ่งกับผมได้แล้ว” “เอาจริงหรือ จะบอกให้” หญิงสาวพยักหน้าช้า ๆ ดูจากน้ำเสียงแข็งกร้าวของคิมหันต์แล้ว ถ้าสามภพเป็นอย่างที่เธอคาดเดาไว้จริงและยังไม่รู้ใจตัวเองสักที ท่าทางหลังจากนี้คงต้องเจองานหนักเป็นแน่ “แต่เขาจะทำตามหรือเปล่าพี่ไม่รู้นะ”
“ว่าแต่พี่อันกลับไง?”
“น่ารักจริง เป็นห่วงด้วย?” เธอหัวเราะกับอีกฝ่ายที่เกาท้ายทอยแก้เขิน(เดาว่าเขิน) แย่แล้วที่เผลอตัวไปรู้สึกเอ็นดูอยู่ลึก ๆ ทั้งคิมหันต์และปิ่นหยก ปกติก็ใช่ว่าเป็นนางงามรักเด็ก แต่สองคนนี้ดูมีเสน่ห์จนน่าแปลกใจแม้คนแรกจะชอบกวนประสาทให้ปรี๊ดแตกตั้งแต่เจอกันครั้งแรกก็เถอะ ครั้งนี้ยังดีที่เหมือนจะหงอยผิดปกติบทสนทนาจึงราบรื่นขึ้นเยอะ “จอดรถไว้ที่ร้านอาหารใกล้ ๆ จ้ะ พอดียืมรถพี่พลมา”
คิมหันต์เดินไปส่งเธอถึงหน้าบ้าน ยกมือไหว้ทั้งที่ตั้งแต่เจอกันครั้งแรกจนมาถึงบ้านเมื่อครู่ก็ยังไม่เห็นเคยทำอย่างนี้สักครั้ง มารยาทดีเล่นเอาใจอ่อนอีกแล้ว หากทำตัวอย่างนี้แต่แรกคงไม่ระแวงต้องไปไหว้วานสามภพมาให้ช่วย โดยเฉพาะเมื่อเธอพบว่าปิ่นหยกก็ไม่ได้เป็นเด็กแย่อย่างที่คิดมากไปล่วงหน้า
“ช้านะเรา ป่านนี้เพิ่งไหว้”
“ความจริงผมนิสัยหล่อกว่าที่พี่คิดเยอะ”
อันนาหัวเราะ ไอ้เด็กหลงตัวเอง “ไม่ต้องไหว้หรอก พี่รู้สึกแก่”
“เรื่องจริงทั้งนั้น”
“เดี๊ยะ!”คิมหันต์ยิ้มเผล่กวนประสาทส่งท้าย เข็นรั้วบนล้อเลื่อนมากั้นระหว่างพวกเขาเอาไว้ ตาหยีวิบวับจนน่าละทิ้งมาดกุลสตรีแล้วกระโดดจระเข้ฟาดหาง เห็นว่าตัวเองยืนปลอดภัยอยู่หลังรั้วแล้วจึงโบกมือให้เธอไหว ๆ
“เฮ้อ...เด็กนี่” หญิงสาวยกมือขึ้นนวดขมับ เงยหน้าขึ้นพูดอะไรต่อสักนิดให้เด็กหนุ่มสบายใจ “อ้อ..แล้วอีกอย่าง”
“??”
“น้องปิ่นดูเป็นเด็กดี”
คิมหันต์ยิ้มอีกครั้ง คราวนี้ดูจริงใจกว่าเก่าเห็นได้ชัด “อย่างที่บอก”
“ไม่น่ามีพิษมีภัย”
“บื้อจะตาย เป็นภัยใครได้"
"ชมหรือด่าเนี่ย"
เด็กหนุ่มยักไหล่ "น้องชายพี่แหละจะเป็นภัยกับมัน” ขณะที่เธอทำหน้าเห็นด้วยอยู่ในที
“อาทิตย์นี่ทั้งรักทั้งหลง”
“ผมถึงว่าอย่าไปแกล้งมันเลย มันน่าสงสารมาทั้งชีวิตแล้ว”
“....” หญิงสาวนิ่งไป มองเด็กผู้ชายตรงหน้าที่ทำสามภพสับสนชีวิตถึงขั้นทำอะไรเพี้ยน ๆ “น้องคิมดูรักน้องปิ่นจัง”
เด็กหนุ่มหัวเราะ “รักไม่เท่าไอ้ดุ๊กดิ๊กหรอก"
เปรียบเพื่อนซี้กับหมา ปิ่นหยกมาได้ยินคงดีใจตาย
“คิมเกลียดภพไหม?”อีกฝั่งของรั้ว จากบรรยากาศคล้ายจะเฮฮาเมื่อครู่กลับเปลี่ยนเป็นอึมครึมในชั่วพริบตา คิมหันต์ทำหน้าลำบากใจอยู่หลังซี่เหล็กเหล่านั้น เกาหูหมารักซึ่งยืนคลอเคลียไปด้วยคล้ายกับกำลังพยายามนึกหาคำพูดทั้งที่เป็นแค่ทำถามง่าย ๆ ปลายปิด
“...”
“ช่างเถอะ จะไม่ตอบก็ได้”
หน้ากากเริงร่าถูกดึงขึ้นมาสวมไว้บนใบหน้าอีกแล้ว “เกลียดเป็นบางที” เด็กหนุ่มยักไหล่ จุดรอยยิ้มพร้อมกับเสียงแค่นหัวเราะในคอ “แต่ไม่มีอะไรสำคัญแล้วปะ? ถ้าพี่โอเคเรื่องไอ้ปิ่นกับน้องชายพี่ ก็ไม่มีความจำเป็นต้องหาใครมากันผมอีก”
จริงของคิมหันต์เธอพยักหน้า โบกมือลาเด็กหนุ่ม ไว้เจอสามภพพรุ่งนี้คงได้คุยกันให้ชัดเจนสักทีว่าจะอย่างไรต่อด้วยความเป็นห่วงน้องชายคนรักขึ้นมาจับใจ เสียท่าจริง ๆ ส่งมาหาข้อมูลดันไปหลงเด็กเกรียน คุยกันทางโทรศัพท์หรือเจอหน้าทีไรมีแต่ไอ้ตี๋ ๆ ๆ โดยไม่รู้ตัว แถมยังความรู้สึกช้ามัวแต่สับสนอีก เสียเงินเป็นหมื่นหากทำแค่พาเจ้าตัวแสบมาทะเลาะต่อยตี เห็นทีจะได้อกหักตั้งแต่ยังไม่ทันรู้ตัวว่าชอบเขาเข้าแล้ว
ถ้าอันนาได้รู้ว่าในเวลาไล่เลี่ยกัน ณ คอนโดของชายหนุ่ม พ่อคนความรู้สึกช้าที่ว่ากำลังไล่กอดเพื่อนเกย์เพื่อพิสูจน์ทฤษฎีเพี้ยน ๆ ว่าตัวเองชอบผู้ชายจริงหรือเปล่า แถมยังกระหยิ่มอยู่ในใจคิดว่ารอดแน่แล้วคงต้องหัวเราะเสียจริตออกมายกใหญ่ ตรงข้ามกับสรัญเพื่อนหนุ่มของเจ้าตัวซึ่งนั่งอึ้งอยู่ที่ร้านอาหารในเวลาต่อมา เพราะคำปฏิเสธเสียงเข้มว่า
'กูไม่ให้จีบ' จากคนที่บอกว่าไม่ได้เป็นอะไรกับน้องดุ๊กดิ๊—เอ้ย! น้องคิม.......................................................
..............................
.
.
.
.
'กูไม่ให้จีบ'เขาช่างพูดออกไปได้อย่างไร!สามภพเอาหัวโขกหมอน ใช่แล้ว..โขกหมอน เพราะถ้าโขกอย่างอื่นสมองอาจกระทบกระเทือนได้ ไอคิวลดลงสักสิบยี่สิบคงเป็นอุปสรรคต่อการเรียนหรือต่อกรกับคิมหันต์น่าดู
คิมหันต์.. เด็กเกรียนนั่นอีกแล้วนี่มันเช้าวันอาทิตย์แท้ ๆ แต่ตื่นมากลับพบว่ามีแต่เรื่องของไอ้ตี๋หัวทองลอยอยู่เต็มหัว สลัดอย่างไรก็ไม่หลุดเป็นปลิงดูดเลือด ต่างที่เด็กปลิงตาตี่นี่ดูดสมาธิเขาแทน สูบเฮือก ๆ จนจะหมดตัวอยู่แล้ว
ตกลงวันนั้นร้องไห้จริงหรือแค่น้ำตาซึม?
แผลหายเจ็บหรือยัง หมอบอกต้องทำแผลทุกวันแล้วมีใครพาไปโรงพยาบาลไหม หรือว่าขี่มอเตอร์ไซค์ไปเอง แต่มอเตอร์ไซค์ก็น่าจะทิ้งไว้ที่โรงเรียนไม่ใช่หรือ เห็นข้อความที่เขาทักไปแต่ไม่ยอมตอบนี่คือโกรธหรือว่าอะไร? จากนั้นก็โดนยิงรัวต่อเนื่องด้วยอีกสารพัดคำถามซึ่งผุดขึ้นมาไม่หยุดหย่อน
และทั้งหมดหมุนวนโดยมีคิมหันต์เป็นจุดศูนย์กลาง"บ้าเอ๊ย"
ชายหนุ่มผุดลุกขึ้นนั่ง เขาควรรีบอาบน้ำแต่งตัว วันนี้มีกินข้าวเที่ยงกับที่บ้าน หากไปช้าทั้งพ่อทั้งพี่ชายคงบ่นอีกยาว แถมยังต้องเจอกับอันนาซึ่งไปร่วมโต๊ะอาหารด้วยบ่อย ๆ แล้วยังเป็นที่เอ็นดูของพ่อและแม่เขาอีก
เขาไม่ได้รังเกียจเธอ ความจริงอันนาทำตัวเป็นว่าที่พี่สะใภ้ผู้น่ารักเลยด้วยซ้ำ แต่วิธีพูดและกระทำของเธอซึ่งชอบมาสะกิดปมบางอย่างในใจเขาจนทำอะไรวู่วามหลุดจากการควบคุมตัวเองเริ่มทำสามภพประสาท เธอทำราวกับอ่านใจเขาออก เข้าอกเข้าใจทุกเรื่องซึ่งแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังสับสน และการพบกันที่กำลังจะถึงนี้ชายหนุ่มก็นึกหวั่นว่ามันอาจเป็นเช่นที่ผ่านมา
สิ่งที่สามภพหวั่นใจไปล่วงหน้านั้นค่อนข้างถูกต้องทีเดียว- หมดยกที่ 18 -
==========================
มาต่อแล้วค่ะ พี่ภพบ้าบอขนาดนี้ควรจะยอมรับได้แล้วนะ (ฮา) อีกนิดนะคะ >w<
พี่อันเป็นผู้หญิงแอบน่ารักนะคะในความคิดเรา แค่หวงน้องชายและร้ายบางที ความจริงนางก็ออกจะเอ็นดูเด็ก ๆ เป็นสาววายใช่ไหม จับคู่จริง 555
ขอบคุณคนอ่านผู้น่ารัก *กอดก่าย* <<เอ๊ะยิ่งคุยยิ่งลามปาม 555

พบกันตอนหน้า แต่ก่อนจาก อย่าลืมของแถมค่ะ lol
v
v
v