● เล่ห์รักฤดูร้อน ●
ยกที่ 10 – (บุก)รุก(ไม่รู้ตัว)
สามภพยืนพิงต้นไม้ สังเกตความเป็นไปของเด็กมัธยมในช่วงเวลาเลิกเรียนอยู่ครู่ใหญ่
ตัวเขาเองห่างเหินบรรยากาศที่ว่ามานานมากแล้วแม้เพิ่งเรียนมหาวิทยาลัยปีหนึ่ง ความจริงไม่น่าไกลจากชีวิตมัธยมปลายนัก แต่เพราะก่อนหน้านี้เคยซิ่วมาจากคณะนิติศาสตร์ที่เรียนตามคำแนะนำกึ่งบังคับของทางบ้าน ด้วยอยากให้เจริญรอยตามพี่ชายซึ่งเป็นทนายความ เรียนไปได้หนึ่งปีแล้วพบว่าไม่มีความสุขกับสายนี้เลยลาออกมาแบบไม่ฟังคำค้านใครเพื่ออยู่ว่าง ๆ ไปอีกหนึ่งปี ให้เวลาพ่อแม่ได้ทำใจและเริ่มเหนื่อยกับการบ่นจนเลิกเองในที่สุด สงบศึกกับผู้หลักผู้ใหญ่แล้วจึงมาสอบใหม่อีกครั้งเพื่อเข้าคณะทันตแพทยศาสตร์อย่างที่เคยต้องการตั้งแต่ยังเป็นเด็กมัธยมหัวเกรียน ซึ่งมีแต่เพื่อนบอกว่าไม่เข้ากับบุคลิกเขาสักนิด แถมยังไปคนละแนวกับคณะเดิมที่ทางบ้านส่งเสริมโดยสิ้นเชิง ตอนนี้สามภพจึงอายุมากกว่าเพื่อนร่วมคณะซึ่งเรียนตามเกณฑ์อายุปกติไปราวสองปี
“.....” เด็กหนุ่มหน้าตี๋ตัวเล็กคนหนึ่งลอบมองเขาหวั่น ๆ ก่อนจะเดินผ่านไปด้วยระยะห่างที่ดูแล้วคงเป็นทางอ้อมพอสมควร
สามภพยักไหล่ เขาไม่ใช่พวกหาเรื่องไปทั่วแม้สามพลผู้เป็นพี่ชายเคยบอกว่าสีหน้าแบบนี้(แบบไหน? เขายังนึกสงสัยอยู่เนือง ๆ)อาจทำให้คนอื่นเข้าใจผิดอยู่เรื่อยก็ตาม ซึ่งนั่นชายหนุ่มคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องดี ลดปริมาณพวกเกาะแกะน่ารำคาญไปได้อีกโข
สามภพเหลือบมองตามเด็กหน้าตี๋คนนั้นจนลับสายตา รูปลักษณ์ภายนอกทำให้นึกถึงใครบางคนซึ่งเรียนอยู่ที่นี่โดยไม่ได้ตั้งใจ
ชายหนุ่มล้วงโทรศัพท์มือถือในประเป๋ามาจ้องมองอยู่ครู่ใหญ่ เรียกหน้าแชตขึ้นมาเพื่อเปิดไปยังชื่อใครที่ว่านั่นโดยละเลยตัวเลขในวงกลมสีแดงซึ่งแจ้งเตือนจำนวนข้อความ สติกเกอร์ หรืออาจจะคำขอแอดเป็นเพื่อน? (เขาไม่ค่อยเชี่ยวชาญการใช้งานแอพพลิเคชันพวกนี้เท่าไรนัก) ซึ่งถูกกระหน่ำส่งมาบ้าคลั่งจากคนอื่นที่ไม่เคยจำชื่อว่าใครบ้าง และเขาปิดเสียงหรือการสั่นเตือนจากคนเหล่านั้นเอาไว้เป็นการถาวร
บทสนทนาเดิมบนพื้นหลังสีฟ้าปรากฏแก่สายตา เขาไม่รู้ว่าเปิดมันขึ้นมาเพื่ออะไร ทว่าโดยขาดความยั้งคิด มือก็พิมพ์ข้อความบางอย่างแล้วกดปุ่ม
‘send’ ออกไปเสียแล้ว
‘อยู่ไหน?’ชั่วขณะหนึ่งซึ่งเกิดนึกสงสัยตัวเองว่ามาทำบ้าอะไรอยู่ตรงนี้ ก้มหน้าก้มตาจ้องข้อความในมือถืออย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทว่าความสงสัยเหล่านั้นก็จบลงโดยยังไม่ได้รับคำตอบที่เหมาะสมเมื่อโทรศัพท์ส่งเสียงเตือนว่ามีคนส่งบางอย่างตอบกลับมา
‘มาทำอะไร’ชายหนุ่มเผลอยืดหลังขึ้นอย่างระแวดระวัง หรี่ตาครุ่นคิดพร้อมกับเหลียวมองผ่านกลุ่มเด็กนักเรียนรอบตัวซึ่งบางคนคล้ายจะออกอาการชัดเจนว่าพยายามเดินเลี่ยง
คิมหันต์..ไอ้เด็กแสบ โดนถามกลับมาเช่นนี้แสดงว่าเด็กนั่นคงเห็นเขาเข้าแล้วจากที่ไหนสักแห่ง เพราะเขายังไม่ได้บอกสักคำว่าตัวเองอยู่ที่นี่ นั่นอาจจะเป็นวิธีหนึ่งในการแสดงให้เห็นว่าตัวเองเหนือกว่าของอีกฝ่ายซึ่งดูแล้วน่าหมั่นไส้เป็นบ้า
‘เห็น?’ เขาส่งคำถามกลับไปทันควัน
‘เห็นทุกอย่างแหละ’ จริงดังคาด คิมหันต์เกทับกลับมา เห็นแค่ตัวหนังสือยังพอบอกได้เลยว่าหากเป็นในรูปแบบเสียงพูดเจ้าตัวคงกำลังส่งสำเนียงอวดดีอยู่เป็นแน่
‘งั้นก็โผล่หัวมา’หน้าข้อความแจ้งให้ทราบว่าประโยคคำสั่งของเขาถูกอ่านแล้ว แต่กลับไม่มีอะไรตอบกลับมาจากเด็กตี๋หัวทองนั่นสักอย่าง
กระทั่งเวลาผ่านไป นักเรียนแยกย้าย จากจุดที่เขายืนอยู่สามารถสังเกตผู้คนเข้าออกผ่านประตูโรงเรียนซึ่งดูแล้วน่าจะเป็นทางเดียวที่ทุกคนใช้ ก่อนนี้เขาขับรถผ่านเห็นประตูรั้วอีกฟากหนึ่ง แต่สภาพช่างย่ำแย่จนเดาว่ามันคงปลดประจำการไปแล้ว
ณ จุดนี้เขาควรจะเห็นการเคลื่อนไหวของทุกคนที่ใช้ประตูใหญ่หน้าโรงเรียน ทว่าผ่านไปตั้งนานสองนานก็ยังไม่เจอแม้แต่วี่แววของเด็กหนุ่มผมทองที่เขากำลังยืน........รอ.....
รอ...? บ้าแล้วสามภพเพิ่งรู้ตัว (และไม่อยากยอมรับเลยให้ตาย) ความจริงมันบ้าตั้งแต่เขาขับรถเลยมาถึงนี่แทนที่จะกลับคอนโดนั่งทำงานทำการต่างหาก!
กำลังคิดว่าอีกสักห้านาทีหากยังไม่เจอใครก็จะกลับ แต่แล้วต้องชะงักรอบแรกอยู่เพียงลำพังว่าทำไมต้องรอถึงห้านาทีด้วย ความจริงตั้งใจมาทำอะไรยังไม่รู้เลย
ชายหนุ่มเตรียมผละจากต้นไม้ที่ยืนพิงอยู่ คิดกับตัวเองว่าต้องกลับตอนนี้ เวลานี้ แต่ก็มีอันต้องชะงักรอบสองเมื่อเด็กหนุ่มหน้าตี๋ซึ่งเพิ่งเดินเลี่ยงผ่านเขาไปเมื่อครู่ใหญ่กำลังตรงเข้ามาอีกครั้ง ด้วยสีหน้าซีดเซียวอย่างกับคนใกล้เป็นลม
“...พี่”
ชายหนุ่มเลิกคิ้ว ข้างหลังเขาเป็นต้นไม้ ไม่มีคนอื่น และสายตาของเจ้าเด็กนั่นก็กำลังพยายามมองมายังเขาขณะที่สาวเท้าเข้ามาใกล้ คำนั้นพูดกับเขาแน่นอนแต่การกระทำช่างชักช้าจนน่ารำคาญ
“พอดีว่าพี่คนนั้น” สมบูรณ์พูดต่อ แม้ในใจจะอยากหันหลังแล้วควบมอเตอร์ไซค์หนีกลับบ้านเต็มทน “..ฝากให้เอานี่มาให้พี่”
“คนไหน?” สามภพถาม แม้เริ่มพอเดาอะไรได้ราง ๆ “คนหัวทอง?”
ตี๋น้อยพยักหน้ารัว ๆ นึกอยู่ในใจว่าจะมีสักกี่คนในโรงเรียนนี้ที่หัวทองอร่ามขนาดนั้น แล้วก็คิดได้ว่ายังมีรุ่นพี่ร่างใหญ่ให้อารมณ์คล้ายหมีกริซลีย์ที่ชื่อ.....เอ่อ....ชื่อ.......? ช่างเถอะ ชื่ออะไรก็จืดจางจนลืมไปแล้วอยู่อีกคน ตอนนี้ควรพะวงเรื่องตรงหน้ามากกว่า เด็กหนุ่มเริ่มขยายความต่อให้ชัดเจนตามที่ถูกไหว้วานแกมข่มขู่มา
“จากพี่คิม”
ชายหนุ่มมุ่นคิ้ว ชื่อดังกล่าวเรียกความสนใจจนเขาโน้มตัวลงไปฟังชัด ๆ โดยอัตโนมัติ และนั่นทำให้สมบูรณ์ต้องถอยไปตั้งหลักอีกหนึ่งก้าวขณะที่พูดต่อเสียงเครียดเจืออารมณ์วิตก “พี่คิมฝากนี่ให้พี่”
พร้อมกันนั้นอะไรบางอย่างซึ่งอีกฝ่ายกำไว้ในมือก็ถูกยื่นส่งมาให้ แต่สามภพกลับยืนนิ่งไม่เอามือออกไปรับ
“แบมือออก” เขาสั่ง
“??” สมบูรณ์กำลังงง และสีหน้าของหนุ่มน้อยก็เรียกว่าซื่อตรงต่อความรู้สึกทีเดียว
“พี่ไม่เห็นว่าแกส่งอะไรมา” ชายหนุ่มหรี่ตาแล้วยังใจดีช่วยไขข้อสงสัย หากมีมนุษย์สักคนเคยโดนปล่อยยางรถทั้งสี่ล้อ ถูกตำรวจพุ่งเข้าชาร์จล็อคแขนขาหน้าแนบพื้น เกือบถูกวางยาในแก้วน้ำส้ม และโดนจับขังในห้องน้ำไว้หนึ่งคืนเต็มเพื่อถีบประตูออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาทำอนาจารผู้เยาว์ต่อตำรวจสน.เดิมแทนคำอรุณสวัสดิ์ ย่อมไม่ใช่เรื่องแปลกกับการจะหวาดระแวงสิ่งของใด ๆ อันถูกส่งมาจากไอ้ผู้เยาว์ตัวแสบซึ่งก่อเรื่องทั้งหมดที่ว่า
สมบูรณ์เกือบพ่นลมหายใจหงุดหงิดออกมาแล้ว ถ้าไม่ติดตรงเขาอาจโดนต่อยสลบก่อนได้พ่นเฮือกสุดลม นึกสงสัยว่าอีกฝ่ายจะระแวงอะไรนักหนา แต่พอคิดอย่างเป็นกลางว่าเจ้าของวัตถุในมือนี้เป็นคิมหันต์ก็พบว่าไม่ใช่เรื่องวิตกจริตเกินไปเลยที่จะระมัดระวังไว้สักหน่อย
เด็กหนุ่มแบมือออกช้า ๆ ต่อหน้าสามภพ ใจหวังอยากหลุดจากตรงนี้แล้วกลับบ้านไปเตรียมแผ่นหนังโป๊ชุดใหม่เต็มที
“จุกปิดยางรถ?”สมบูรณ์พยักหน้า ท่าทางบอกชัดว่าเขาเองก็แปลกใจไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
ชายหนุ่มหยิบมันขึ้นมาดู ยังไม่เข้าใจความหมายที่คิมหันต์ต้องการจะสื่อถึงนัก แต่วัตถุในมือเรียกความทรงจำเมื่อครั้งโดนปล่อยยางเสียแบนแต๋ตั้งแต่พบกันคราวแรกให้ขึ้นมาลอยเด่นเป็นภาพชัดแจ๋วอีกครั้งในหัวเลยทีเดียว
“พี่คิมฝากบอก...อันนี้เขาฝากบอกนะ ผมไม่ได้พูดเอง” เด็กหนุ่มรีบดักคอ ชิงตัดช่องน้อยแต่พอตัว เพราะขนาดเขาไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วยยังสัมผัสได้ถึงความน่าหมั่นไส้ในสารซึ่งคิมหันต์ฝากมาถึง “เขาบอกว่ากล้ามากที่เอารถมาจอดเย้ยขนาดนี้ หรือว่าลืมที่เคยเจอกันครั้งก่อนไปแล้ว”
สมบูรณ์ชะงักไปวูบหนึ่ง ด้วยแววตาซึ่งเปลี่ยนอารมณ์ฉับพลันของคนตรงหน้าตั้งแต่เขาพูดไปได้เพียงนิดเดียวนั้นทำเอาขนลุกขึ้นมาอย่างยากอธิบาย
“หวังว่าพี่คงไม่บื้อเกินจนจำจุกปิดยางรถของตัวเองไม่ได้” เขาพูดต่อกล้า ๆ กลัว ๆ “...อะ...นี่ไม่ใช่ความเห็นผมนะ!” ไม่ลืมจะย้ำเผื่ออีกฝ่ายได้ยินสิ่งที่ฝากมาแล้วเกิดหน้ามืดอยากระบายอารมณ์กับเจ้าของคำพูดซึ่งไม่อยู่ตรงนี้ และเขาก็ไม่นึกอยากเสียสละตัวเองแทน
สามภพก้มลงมองวัตถุทรงกระบอกสีดำขนาดเล็กกลิ้งอยู่ในมือ เด็กหนุ่มก้มลงมองตามด้วยระดับความเข้าใจสถานการณ์ที่ยังติดลบ พลางคิดว่าเป็นเขาก็จำหน้าตาจุกปิดยางรถตัวเองไม่ได้หรอก คิมหันต์บ้าไปแล้ว
“ลุงยามที่ป้อมหน้าโรงเรียนก็มีเบอร์อู่รถ ถ้าเผื่ออยากรู้” อันนี้ก็ไม่ใช่คำพูดเขาเหมือนกัน ทว่ายังไม่ทันได้ชี้แจง..
สามภพเบิกตากว้าง เวรแล้ว..ยางรถ!!
“ไอ้เด็กคิม!” ชายหนุ่มคำรามลอดไรฟันต่อหน้าสมบูรณ์ ความจริงรุ่นพี่เจ้าของชื่อนั้นยังฝากอะไรมาอีกสองสามประโยค แต่หลังจากสามภพสบถไม่ได้ศัพท์ออกมาอีกหนึ่งคำ เจ้าตัวก็วิ่งพรวดพราดกลับไปยังตำแหน่งที่จอดรถเอาไว้เสียแล้ว ไม่ทันได้อยู่รอฟังอย่างอื่นที่เหลือจากคู่กรณีผ่านปากรุ่นน้องผู้โชคร้าย
“...ท่าจะบ้า” สมบูรณ์มองร่างสูงใหญ่ซึ่งพุ่งตัวห่างออกไปพลางถอนหายใจโล่งอก โยนความสงสัยเรื่องสามภพจะโกรธอะไรนักหนาทิ้งไป ในเมื่อจุกปิดอันนั้นเขาเห็นกับตาว่าคิมหันต์เก็บมันขึ้นมาจากพื้นชัด ๆ ใช่ว่าจะไปดึงออกมาจากล้อรถใครเสียหน่อย และถ้อยคำที่รุ่นพี่หนุ่มหัวทองฝากมาก็ช่างประหลาดจนขี้เกียจคิดหาเหตุผลให้เสียเวลา
เด็กหนุ่มยักไหล่ เดินกลับไปยังลานจอดรถ สวนทางกับมอเตอร์ไซค์ของคิมหันต์ที่วิ่งฉิวออกนอกประตูรั้วโรงเรียนโดยสามภพไม่ทันได้สังเกตเพราะกำลังรีบรุดไปยังทิศทางตรงกันข้าม
“อ้าว?..ไปแล้ว?” สมบูรณ์มองตามพาหนะสองล้อที่พุ่งทะยานบนถนนจนพ้นสายตา ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเกิดอะไรขึ้น วันนี้มีแต่สิ่งน่าฉงน แต่ช่างปะไร ไม่ใช่เรื่องของเขาเสียหน่อย
อย่างน้อยก็รอดไปขายหนังโป๊ต่อละเว้ย!.
.
.
.
สามภพยกมือขึ้นนวดขมับ เขากระหืดกระหอบวิ่งกลับมาเพื่ออะไร(วะ!?)
ความหงุดหงิดที่ยิ่งกว่าโดนปล่อยยางล้อรถจริง บางทีอาจเป็นการโดนหลอกให้เชื่อสนิทใจว่าโดนปล่อยยางไปแล้ว แต่ความจริงไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยนี่แหละ!
ยางทั้งสี่ของวีออสสีบรอนซ์ทองคู่ใจเขายังอยู่ดีมีสุขทุกประการ จับดูก็ยังแข็งโป๊ก ถ้าพวกมันสี่ล้อฉีกยิ้มแสดงสุขภาพดีออกมาได้คงทำไปแล้ว จุกสีดำซึ่งกำแน่นอยู่ในมือตลอดทางที่วิ่งกลับมายังจุดจอดรถ พอเอามาเทียบดูแล้วก็เป็นคนละแบบกับของรถเขาอีกต่างหาก
‘หวังว่าพี่คงไม่บื้อเกินจนจำจุกปิดยางรถของตัวเองไม่ได้’ข้อความซึ่งส่งผ่านรุ่นน้องหน้าตี๋ดังก้องในหัวเขาอีกครั้ง จากนั้นก็วนอีกรอบ อีกรอบ และอีกรอบ เหมือนมีใครกดปุ่มรีเพลย์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
หงุดหงิดแทบตายเมื่อรู้ตัวว่าโดนหลอกหัวปั่นไปหมด ครั้งนี้เอาผิดอะไรเด็กนั่นไม่ได้สักอย่างในเมื่อเจ้าตัวไม่ได้ทำอะไรล่วงเกินสมบัติข้าวของเขาแม้แต่น้อย แถมยังไม่ได้พูดสักคำว่ามาปล่อยลมยางรอบสอง เป็นเขาที่ระแวงจนคิดไปเองทั้งนั้น ซึ่งคิมหันต์ก็เลือกใช้ประโยชน์จากความระแวงนี้ได้ดีเหลือเชื่อ
“ไอ้คิม...ไอ้....”........................................................
...............................
.
.
.
.
“อารมณ์ดีอะไรวะ” ปิ่นหยกทักพร้อมกับผลักท้ายทอยเขาเบา ๆ ซึ่งนั่นเพียงพอสำหรับการทำให้หน้าทิ่มจมูกเกือบจิ้มจานเค้กเปล่าด้วยกำลังเผลอการ์ดตก
คิมหันต์ยักไหล่ ครึ้มอกครึ้มใจจริงอย่างอีกฝ่ายว่าจนเกินกว่าจะเถียงหรือแสดงอาการตอบโต้ เด็กหนุ่มเพียงแต่ยกมุมปากเป็นรอยยิ้มบางแล้วเอาหลอดแกว่งโกโก้ปั่นของโปรดเล่น
“สงสัยเค้กสูตรใหม่พี่เอมใส่กัญชา” เพื่อนรักยังไม่วายแซวต่อขณะที่เดินวนผ่านมาทางเขาอีกรอบเพื่อเก็บจานจากลูกค้าซึ่งลุกไปแล้วเข้าครัว เด็กหนุ่มผมทองมองตามปิ่นหยกจนเจ้าตัวเดินหายไปหลังร้าน ตลกดีที่เมื่อวันสองวันยังก่อนดูป่วยแทบตาย มาตอนนี้เดินปร๋อวิ่งทำงานต่อแล้ว อึดถึกสมกับเป็นหัวหน้าพรรคกระยาจก(ซึ่งน่าเศร้านิดหน่อยที่ต้องบอกว่ามีสมาชิกพรรคคนเดียวคือเจ้าตัวนั่นเอง)
เขาเอนหลังพิงพนักโซฟาสีแดงตัวโปรดของร้านเค้กทานตะวัน ตำแหน่งเดิมกับที่มักมายึดเป็นประจำหากไม่มีลูกค้าคนอื่นจับจองอยู่ ซึ่งความจริงก็แทบไม่มีลูกค้าคนไหนนั่งตรงนี้ด้วยออกจะหลบมุมไปสักหน่อย อีกครู่ใหญ่กว่าจะตระหนักได้ว่ามาโอ้เอ้อยู่ที่นี่นานเกินไปแล้วเมื่อท้องฟ้าข้างนอกเริ่มมืดบอกเวลาพลบค่ำ
“เฮ่ยปิ่น! กลับแล้วนะ”
“ไม่ช่วยล้างจานก่อนเรอะ” เสียงตะโกนดังตอบมาจากในครัว
“ไอ้เวร! ได้คืบเอาศอก” เด็กหนุ่มดีดตัวขึ้นจากโซฟา เดินบอกลาสมาชิกในร้านจนทั่วด้วยท่าทีเริงร่าแกมยียวน ชวนเถียงอีกสองสามคำก่อนจะจ่ายเงินค่าเครื่องดื่ม (เพราะเค้กนั้นฟรีเนื่องจากอยู่ในช่วงทดลองของเอมจิต) แล้วลั้นลาไปยังมอเตอร์ไซค์ที่จอดทิ้งไว้ด้านหน้า ระหว่างทางจากร้านถึงบ้านก็ยังอารมณ์ดีถึงขั้นฮัมเพลงไปตลอดทาง
“Oh I’m curious yeahhh~ ซาจิน โซก เนกา ซุนกัน มีโซจีออ แว~”กลับถึงบ้านตามปกติ ทุกอย่างราบรื่นเหลือเชื่อ เขาเอารถไปเก็บในโรงจอด เดินแกว่งกุญแจ เต้นก๊องแก๊ง(แต่คิดเองว่าเท่มาก)ไปด้วย ไอ้ดุ๊กดิ๊กหมารักวิ่งเข้ามาพันแข้งพันขาจนถึงประตูหน้าบ้านซึ่งเปิดค้างไว้ แสงไฟส่องสว่างออกมาจากด้านใน เดาว่าวัสสานะผู้เป็นเจ้ใหญ่ของเขาคงกลับมาได้พักหนึ่งแล้ว อะไรก็ล้วนเข้าที่เข้าทางอย่างที่ควรเป็น
จนกระทั่งสะดุดเข้ากับรองเท้าหนังสีดำคู่หนึ่งหน้าบ้านนั่นเอง “!?” ปากที่กำลังฮัมเพลงอยู่ชะงักลงฉับพลัน คิมหันต์ก้มหน้าดูรองเท้าคู่โตอย่างกับเรือสองลำซึ่งกลิ้งโค่โล่หลังจากโดนเขาเอาเท้าเตะอยู่หน้าบ้าน เชื่อว่าแม้แต่ไอ้ดุ๊กดิ๊กยังบอกได้ว่านี่ไม่ใช่รองเท้าของสมาชิกร่วมชายคาต่อให้อุดจมูกหมาของมันเอาไว้
“น้องครีม” เด็กหนุ่มสะดุ้งสุดตัว ถ้านั่นเป็นเสียงผู้หญิงเขาจะไม่แปลกใจเลยเพราะวัสสานะเรียกน้องชายตัวเองอย่างนั้นเสมอเวลาอยู่บ้าน แม้ปกติเธอมักเรียก
‘ครีม’ เฉย ๆ ไร้นุ้งน้องนำหน้าให้สยองหูเล่นก็เถอะ
“กลับช้านะเรา”
นัยน์ตาดำขลับหรี่ลงแฝงเล่ห์ร้ายยามจ้องมองมา จมูกโด่งเป็นสัน และมุมปากยักยิ้มโชว์ฟันเขี้ยว ทั้งหมดนั้นรวมอยู่บนใบหน้าซึ่งคล้ายจะแสดงอารมณ์ชอบอกชอบใจของคนที่ยืนเท้ากรอบประตู ท่วงท่าประหนึ่งรอพูดประโยคนี้กับเขามาเนิ่นนาน “ลืมของไว้แน่ะ”
สามภพเอามือข้างหนึ่งกระตุกข้อมือเขาไปยึดไว้ด้วยความเร็วราวงูฉก อารมณ์ซึ่งแสดงออกภายนอกไม่เปลี่ยนสักนิดแต่แรงที่บีบอยู่นั้นแน่นเกร็งจนเด็กหนุ่มเผลอนิ่วหน้า ส่วนมืออีกข้างซึ่งกำเอาไว้พยายามยัดเยียดอะไรบางอย่างใส่ฝ่ามือของเขา ฮึดฮัดหน้าบ้านกันอยู่ครู่ใหญ่ สุดท้ายแล้ววัตถุนั้นก็ถูกบังคับใส่มือคิมหันต์จนได้
มันคือจุกยางรถยนต์เด็กหนุ่มก้มลงไปมองหลังจากข้อมือตัวเองถูกปล่อยเป็นอิสระ วัตถุสีดำชิ้นเล็กนั้นกลิ้งอยู่บนฝ่ามือชื้นเหงื่อ
ทั้งหมดเกิดขึ้นกะทันหันจนตั้งตัวไม่ติดด้วยไม่คิดว่าครั้งนี้จะมีบุกถึงบ้าน(ลืมไปว่าครั้งที่แล้วก็ถูกบุกบ้านเหมือนกัน) กว่าสติจะกลับมามากพออ้าปากเถียงก็โดนล็อคคอไว้แน่นเสียก่อนได้โวยอะไร ท่อนแขนแกร่งซึ่งคล้องคออยู่กึ่งดึงกึ่งลาก รู้สึกได้ถึงแผงอกและกล้ามเนื้อหน้าท้องซึ่งปะทะอยู่กับแผ่นหลังของเขาด้วยสองร่างเกยกันอยู่ ขณะที่ขาถูกบังคับให้ก้าวตามสะเปะสะปะเข้าส่วนห้องโถงราวกับอีกฝ่ายเป็นเจ้าบ้านส่วนเขาเป็นเพียงแขกผู้มาเยือน
“ไอ้เชี่ยพี่ภพ!!”
“ปากหมา”
“พี่แม่งแย่! ไม่มีมารยาท ใครเชิญเข้าบ้านวะ!”
“พี่สาเชิญ” ชายหนุ่มตอบหน้าตาเฉย
คิมหันต์อ้าปากหวอ เพิ่งตระหนักว่าโดนเจ้ใหญ่เล่นเข้าแล้วไง ทำไมถึงได้ดูไม่รู้ว่าพวกเขาเขม่นกันอยู่ออกขนาดนี้ “งั้นผมไล่!”
สามภพหยุดเดิน คลายวงแขนลงเพื่อจะคว้าไหล่เขาแล้วพลิกตัวมาเผชิญหน้า “เรายังไม่ได้คิดบัญชีกันเลยไอ้น้อง”
“คิดบัญชี!?” คิมหันต์ย้อนถามเสียงสูงแล้วเถียงต่อคอเป็นเอ็น “ผมไม่ได้ทำอะไรพี่สักหน่อย”
“.....” ชายหนุ่มคิดตามและพบว่าไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าเป็นเช่นนั้นจริง คราวนี้เจ้าเด็กหัวทองตรงหน้ายังไม่ได้ทำอะไรเขาสักอย่างนอกจากหลอกให้เข้าใจผิด.......เท่านั้น
เท่านั้น....? หากมองในแง่เจตนาแล้วไอ้จิ้งจอกเจ้าเล่ห์นี่จงใจปั่นหัวเขาชัด ๆ!“ทำ” สามภพยืนยันเสียงแข็ง
“ทำอะไร!? พูดให้ดี ๆ” คิมหันต์จ้องตาไม่ยี่หระแม้ไหล่จะโดนตรึงไว้แน่น “พูดไม่เข้าหูจะไล่ออกจากบ้านแล้วแม่ง!”
พูดไม่เข้าหูจะไล่ออกจากบ้านอย่างนั้นหรือ? ช่างกล้าขู่ออกมาได้ ชายหนุ่มเลิกคิ้ว ส่งรอยยิ้มเยาะที่มุมปาก ปล่อยมือจากลาดไหล่ซึ่งยึดเอาไว้แล้วยกขึ้นกอดอกแทน
“งั้นไม่พูดแล้ว”จากนั้นก็หันหลังเดินเข้าครัว(คนอื่น)เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น“อ้าวเฮ่ย!”- หมดยกที่ 10 -
=====================================
ไม่พูดก็ไม่โดนไล่เนอะ(เรอะ!?) พี่ภพแย่!!!! 5555
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านค่ะ //ฟัดเลยยยย >3<
พบกันตอนหน้า ของแถมรีพลายถัดไปนะคะ ^^
