ผมเดินหลับมาที่ห้องนั่งเล่นอีกครั้งด้วยความสงสัยสุดๆ หลังจากที่เข้าไปไหว้แม่ได้ไม่นาน แม่ก็บอกว่าวันนี้ไอ้ดิวอยากเรียนทำอาหารเลยให้ลองเป็นลูกมือในครัวดู ผมที่ไม่เคยคิดอยากจะเข้าครัวช่วยแม่เลยต้องย้ายตัวเองออกมา ผมตัดสินใจไปเล่นกับพูห์ที่หน้าบ้าน ก่อนจะโยนลูกบอลพลาสติกให้เจ้าตัวเล็กเอาไปฟัดเล่น
ท้องฟ้าที่เคยเป็นสีส้มในตอนนี้กลายเป็นสีดำสนิท ผมมองท่าทางที่สนุกสนานของพูห์อย่างใจลอย ในที่สุดผมก็รู้คำตอบของปัญหาที่เรื้อรังมาได้พักใหญ่ แต่ผมก็ยังไม่กล้าพอที่จะเปิดดูเฉลยว่าสิ่งที่คิดไว้นั้นถูกต้องหรือไม่ ถึงอย่างนั้นโชคชะตาก็ดันพาคำตอบตัวใหญ่มาให้ผมเห็นเต็มตา
นี่มันเกิดอะไรขึ้นวะ...
หลังจากที่นั่งเล่นกับูห์ยู่สักพัก ผมก็กลับเข้ามาในบ้านอีกครั้งเมื่อได้เวลาอาหารเย็นแล้ว ผมจัดเตรียมอาหารให้พูห์อย่างที่ทำเป็นประจำ พร้อมกับได้กลิ่นหอมของอาหารที่ลอยเข้ามาแตะจมูก ผมเข้าไปล้างมือให้สะอาดก่อนจะเดินไปยังโต๊ะอาหารที่มีไอ้ดิวกำลังจัดอยู่
“หมดแล้วลูก” แม่บอกไอ้ดิว เมื่อเห็นว่ามันกำลังจะเดินกลับเข้าไปในครัวอีกครั้ง
“ครับ” ไอ้ดิวตอบก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆผม
“วันนี้แม่ทำอาหารเยอะนะ” ผมบพูดขึ้น หลังจากที่มองดูอาหารประมาณสี่ห้าอย่างที่อยู่บนโต๊ะ
ธรรมดาถ้าผมอยู่กันแค่สองคน แม่จะทำอาหารอย่างมากก็แค่สามอย่างเท่านั้น หรือไม่บางครั้งก็ไปซื้ออาหารข้างนอกมาทานบ้าง ถ้าวันไหนขี้เกียจทำหรือนึกไม่ออกว่าจะทำอะไร อยู่กันสองคนก็ง่ายดีแบบนี้แหละครับ
“วันนี้มีดิวมาทานด้วยนี่” แม่บอก ก่อนจะยิ้มออกมา “แมลงปอลองชิมแกงส้มไข่ชะอมดูสิ”
“ทำไมเหรอ” ผมถามอย่างสงสัย แต่ก็หยิบช้อนกลางที่อยู่ในชามตักอาหารเข้ามาใส่จานของผมอย่างว่าง่าย ก่อนจะตักกินโดยที่ไม่ทันได้สังเกตว่ามีสายตาอีกสองคู่กำลังมองดูอยู่
“เป็นยังไงบ้าง” แม่ถามขึ้น ผมเลิกคิ้วขึ้นอย่างนึกสงสัย
“อร่อยดีนี่ ทำไมเหรอ” ผมตอบพลางมองหน้าแม่ที่หันไปมองไอ้ดิวที่กำลังยิ้มแก้มตุ่ยแทน แล้วมันมีอะไรวะครับ
“แกงส้มชามนี้ดิวเป็นคนทำเองทั้งหมดน่ะ” แม่บอกก่อนจะยิ้มออกมา “รสชาติใช่ได้เลยไช่ไหม”
“ห๊ะ?” ผมได้แต่นึกตกใจ ก่อนจะหันไปมองเจ้าของอาหารตัวจริงที่กำลังยิ้มมองผมอยู่ ไม่ทันที่ได้คิดมากไปกว่านี้ เสียงของแม่ก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“นี่มาอ้อนให้แม่สอนให้ตั้งแต่บ่ายแก่ๆโน้นแล้ว” แม่บอก ก่อนจะหันไปหาไอ้ดิว “แถมยังบอกอีกว่าจะมาขโมยสูตรไปอีกด้วย ร้ายจริงเชียว” แมฟ้องผมอย่างอารมณ์ดี
“ก็คุณแม่ทำอาหารอร่อยนี่ครับ” ไอ้ดิวยอกลับ ผมว่างานนี้แม่ต้องแพ้ทางมันแล้วแน่นอนครับ ผมขอฟันธง!
“เข้าใจพูดนะเรา” แม่ตอบพลางยิ้มออกมา ก่อนจะหันมาหาผมที่เหมือนถูกลืมไปครู่หนึ่ง “ทานให้หมดด้วยนะของชอบไม่ใช่เหรอ”
ผมพยักหน้า ก่อนจะหันไปตักอาหารอย่างอื่นต่อ รสชาติของแกงส้มที่เพิ่งได้กินไปเมื่อครู่ยังรู้สึกได้อยู่ที่ปลายลิ้น ผมเม้มริมฝีปากของตัวเอง โดยไม่นึกอยากมีส่วนร่วมในบทสนทนากับใครตอนนี้สักเท่าไหร่
ผมไม่รู้ว่าไอ้ดิวมันทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร ถ้าจะทำให้ผมหวั่นไหวไปกับอาหารของมันล่ะก็ ผมก็ยอมรับเลยว่า มันได้ผล!
“เดี๋ยวนี้ผู้หญิงเขาก็หันมาชอบผู้ชายที่ทำอาหารเป็นกันแล้ว ดูเป็นผู้ชายอบอุ่น” แม่พูดขึ้นอีกครั้ง “เสียดายถ้ามีลูกสาวอีกคนน่าจะดี แม่จะรีบยกให้ดิวเลย”
ผมได้นั่งฟังด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ ก่อนจะมองหน้าแม่ที่กำลังยิ้มมองไปที่ไอ้ดิว ซึ่งตอนนี้กำลังนั่งอยู่ข้างๆ ผมไม่กล้าพอที่จะหันไปมองท่าทีของคนที่ถูกพูดถึง แต่ก็ไม่อาจระงับความอยากรู้ว่าไอ้หน้ายิ้มจะตอบออกมาอย่างไร
“แค่แมลงปอคนเดียวก็พอแล้วครับ”
“เอ๋?” แม่มีท่าทีสงสัยเล็กน้อย ก่อนจะหันมามองผม “อ้าวแล้วเราเป็นอะไรไปล่ะ หน้าแดงหูแดงไปหมดแล้ว”
“แกงส้มนี่เผ็ดน่ะ” ผมบอกกลบเกลื่อน ก่อนจะหยิบแก้วน้ำมาดื่ม พร้อมกับเสียงหัวเราะเบาๆที่ดังขึ้นใกล้หู
:|– ::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::: …
หลังจากที่ทานอาหารเย็นกันเสร็จ แม่ก็บอกว่าจะล้างจานให้แล้วไล่ผมกับไอ้ด้วไปทำธุระให้เรียบร้อย ไอ้หน้ายิ้มจะได้ไม่ต้องกลับดึก ตอนนี้พวกเราสองคนเลยกลับเข้ามาอยู่ในห้องนอนของผมอีกครั้ง
“กูไม่เห็นรถมึงเลย” ผมบอกพลางทำท่าหาของในห้องตัวเองไปเรื่อย ยังไม่ทันไรผมก็เริ่มไม่เป็นตัวของตัวเองซะแล้ว ยิ่งความเงียบภายในห้องที่เกิดขึ้นในตอนนี้ ผมยิ่งนึกหาคำพูดไม่ออก
“กูจอดไว้อีกซอยอ่ะ” ไอ้ดิวบอก ก่อนจะนั่งลงบนเตียงของผมโดยไม่ได้รับอนุญาต มันยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง “ทำไมโทรไปหาแล้วไม่รับเลยล่ะ”
“กูไม่ว่าง” ผมตอบปัด ยังนึกว่ามันจะไม่ถามเรื่องนี้เสียอีก ผมไม่ได้สนใจโทรศัพท์มือถือของตัวเองอีก หลังจากที่ได้นั่งคุยกับโต้ง ตัดสินใจเก็บมันลงกระเปาเป้เลยไม่รู้ว่าไอ้ดิวมันหยุดโทรมาตอนไหน ก่อนจะหยิบมาดูอีกทีก็ตอนโทรกลับหาพี่น็อต ถึงได้รู้ว่ามันบ้าโทรมาหาผมเกือบสามสิบครั้ง
ช่างเป็นคนที่มีความพยายามดีจริงๆ
“นึกว่าตั้งใจจะหนีหน้า” ไอ้ดิวว่าก่อนจะมองหน้าผมตรงๆ พร้อมกับเสียงทุ้มที่คุ้นเคบจะดังขึ้น “คิดว่ามึงอาจจะเกลียดกูไปแล้ว”
มันก็สมควรไม่ใช่หรือไงวะ!
ผมบอกกับตัวเองในใจ จะมีผู้ชายคนไหนมาดีใจที่ถูกผู้ชายมาขโมยจูบไปแบบนั้น แต่มึงยังโชคดีไอ้ดิวที่ผู้ชายคนนั้นที่มึงฉวยโอกาส มันดันบ้า นอกจากจะไม่ได้โกรธมึงแล้ว ยังเพี้ยนพอที่จะหวั่นไหวกับจูบของมึงด้วย จริงๆแล้วผมควรจะโมโหมันใช่ไหมเนี่ย!
“แมลงปอไม่ได้โกรธใช่ไหม” ไอ้ดิวถามย้ำ พลางทำสีหน้าอ้อนตามที่มันเคยทำเวลาที่ต้องการเรียกร้องความสนใจจากผม
ทำหน้าแบบนั้น กูคงโกรธมึงลงหรอก...
ผมหน้าบึ้งลง ทั้งที่ในใจกำลังอายอย่างบอกไม่ถูก ก่อนจะตัดสินใจเดินไปนั่งบนโต๊ะหนังสือของตัวเอง ถึงแม้ตอนนี้ไม่นึกอยากจะสู้หน้าไอ้ดิวสักเท่าไหร่ แต่ในเวลานี้ผมไม่มีพื้นที่ให้ถอยมากนัก
ผมเริ่มจะจนมุมแล้ว...
“มึงเลยมาหากูที่บ้านหรือไง” ผมตอบกลับโดยข้ามการตอบคำถามของมัน ก่อนจะถอนหายใจออกมาเพื่อระบายความร้อนที่ทำงานอยู่ในตอนนี้ “แล้วนี่มึงเกิดบ้าอะไรถึงไปช่วยแม่กูทำกับข้าว”
“บอกก่อนว่าไม่โกรธกันแล้วถึงจะบอก”
“เยอะชิบหาย” ผมบ่นอย่างไม่พอใจ พลางมองใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มเล็กน้อยดวงนั้น ก่อนจะจำใจพยักหน้าให้หมดเรื่องหมดราว
ไอ้ดิวคลี่ยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะหันไปหยิบตุ๊กตาหมีพูห์ที่อยู่บนเตียงของผมมากอดเล่น “อยากฝึกไว้ พอดีว่าการทำอาหารได้ มันอยู่ในหลักสูตรการเป็นแฟนของลูกชายบ้านนี้ไง”
“ไอ้บ้า” ผมตอบกลับคำพูดนั้น ไม่อาจจะกลั้นรอยยิ้มที่พยายามเสนอหน้าในเวลานี้ ทั้งที่ไม่ต้องการเลยสักนิด ผมก้มหน้าลงโดยที่รู้ตัวดีว่าไม่ได้ช่วยอะไรเท่าไหร่ “ถ้าเสร็จธุระมึงแล้วก็กลับไปได้แล้ว”
ไอ้ดิวมึงกลับไปเถอะ กูไม่รู้ว่าจะเอาตัวเองไปซ่อนไว้ตรงไหนแล้ว...
“เสร็จธุระอะไรกัน ลืมแล้วหรือไงว่าต้องสอนกีตาร์กูน่ะ” ไอ้ดิวร้องบอก ผมเงยหน้าไปมองคนพูดอีกครั้ง โดยที่ไม่แน่ใจว่าตอนนี้ตัวเองหายหน้าแดงแล้วหรือยัง “อาทิตย์ที่แล้วก็ไม่ได้เรียน”
นั่นเพราะมึงไปป้อสาวอยู่ไม่ใช่หรือไงวะ
ผมถอนหายใจกับตัวเอง ผมไม่ได้ลืมเรื่องนี้หรอกครับแต่ไม่อยากนึกถึงเท่าไหร่ ผมไม่รู้หรอกว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร แม้จะนึกหงุดหงิดใจแต่ผมจะทำเป็นเหมือนไม่รู้ไม่เห็นก็แล้วกัน ผมจะไปทำอะไรได้ล่ะ ผมไม่ได้เป็นอะไรกับมัน
ก็แค่.... คนที่มันบอกว่าชอบคนหนึ่งเท่านั้น
“กูไม่เห็นมึงเอากีตาร์มา”
“อยู่ที่รถอ่ะ ขี้เกียจไปหยิบแล้ว” ไอ้ดิวบอก ก่อนจะยิ้มหวานส่งมาให้ผมเป็นเชิงอ้อนนิดๆ “ขอยืมกีตาร์ของมึงเรียนแล้วกันเนอะ”
ผมไม่ได้พูดอะไร เพราะไม่อยากจะเห็นสีหน้าแบบนี้ของมันอีก ก่อนจะเดินไปหยิบกีตาร์ของตัวเองให้อย่างไม่เรื่องมาก เพราะรู้ดีว่าตัวเองแพ้สีหน้าแบบนั้นมากแค่ไหน ยิ่งเป็นสีหน้าของคนที่มีผลกระทบต่อจิตใจของผมมากขนาดนี้ ตอนนี้หัวใจของผมที่อ่อนไหวอยู่แล้วก็แทบจะเรียกว่าอ่อนปวกเปียกเลยล่ะครับ
“เอาไป” ผมยื่นกีตาร์ของตัวเอง พร้อมกับหนังสือเรียนกีตาร์ที่ผมซื้อมาใช้ฝึกเล่นให้ “กูว่าระดับมึงแล้ว ไม่ต้องให้กูสอน เอาหนังสือไปอ่านเองเร็วกว่าเยอะ”
จริงๆแล้วการเล่นกีตาร์ก็ไม่ได้มีอะไรยุ่งยาก แค่จับจังหวะและจับคอร์ดให้ได้ก็สามารถดล่นได้แล้ว ท้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับการฝึกฝนของแต่ละคน ขีนรอให้ผมมาสอนมันก็ไม่ต่างจากอ่านหนังสือให้ฟังเท่าไหร่ อ่านเอาเองก็ได้ครับแบบนั้น เพราะผมก็ไม่ได้มีเทคนิคอะไรเลย
ไอ้ดิวรับกีตาร์และหนังสือเรียนกีตาร์ด้วยตัวเองไปจากมือของผม ก่อนที่มันจะวางหนังสือไว้ข้างตัวแล้วถอนหายใจออกมา ใบหน้าหล่อเหลานั้นแฝงแววเหนื่อยใจอย่างเห็นได้ชัด
“กูเข้าใจว่าเรียนเองได้ แต่ที่อยากให้สอนเนี่ยเพราะอยากมาเจอเข้าใจหรือเปล่า”
“แต่กูก็ไม่มีอะไรจะสอนแล้ว” ผมบอกเสียงแผ่ว ยิ่งมาได้ยินอะไรแบบนี้แล้ว หัวใจของผมก็เหมือนเต้นเร็วจนเหนื่อยไปหมด ผมชักไม่แน่ใจแล้วว่าจะรอฟังมันพูดแบบนี้ได้สักเท่าไหร่
ถ้าผมเผลอหมดแรง เพราะตื่เนเต้นเกินไป มันจะน่าอายแถมยังน่าเกลียดมากไปหรือเปล่า...
ไอ้ดิวนั่งขัดสมาธิบนเตียงนอนของผม ก่อนจะหยิบกีตาร์มาวางไว้บนตัก พร้อมกับจับมือของผมที่กำลังยินทำอะไรม่ถูกให้นั่งลงตาม ไอ้หน้ายิ้มคลี่ยิ้มอย่างอ่อนโยนมาให้อีกครั้ง “จริงๆแล้ว กูก็ซ้อมแล้วก็แอบเรียนล่วงหน้ามาแล้วเหมือนกัน”
“ก็ดีแล้ว” ผมบอกพลางกำมือของตัวเองแน่น ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ ผมคงกระชากมือของตัวเองออกไปนานแล้ว แต่ไม่รู้ทำไม สมองที่ได้สั่งการให้ร่างกายเคลื่อนไหว ถึงได้ยอมจำนนต่อจิตใจที่กำลังกู่ร้องให้ผมคล้อยตามมากขนาดนี้
ผมก็แค่ทำตามใจเท่านั้นเอง...
“อยากเล่นให้ฟังเพลงนึง แอบไปซ้อมมา” ไอ้ดิวบอกก่อนจะหัวเราะเบาๆ
“เพลงอะไรวะ” ผมถาม ทั้งที่จิตใจยังอยู๋ไม่สุข ในเมื่อตอนนี้ไอ้ดิวยังไม่ปล่อยมือจากผม
“ตั้งใจเล่นให้มึงฟังโดยเฉพาะ” ไอ้ดิวว่าต่อ โดยไม่ได้สนใจคำถามของผม
“ยนาดนั้น” ผมตอบกลับทั้งที่นึกอะไรไม่ออก เอาน่าถ้ามันเล่นเกีตาร์เมื่อไหร่ก็เอามือออกไปเองนั่นแหละ จับมือกันแค่นี้จะตื่นเต้นไปทำไมวะ
“อืม ฝึกจนจำคอร์ดในเพลงได้หมด” ไอ้ดิวว่าด้วยเสียงภูมิใจนิดๆ ใบหน้าหล่อเหลาที่แต้มไปด้วยรอยยิ้มนั้นทอดมองมาทางผมนิ่ง “ยอกแล้วไงว่าตั้งใจเล่นเอาไว้ให้ปฟนฟัง”
“เรื่องของมึง” ผมตอบกลับ ทั้งที่รู้สึกได้ว่าเสียงของตัวเองสั่น มือที่เย็นอยู่นั้นมีเหงื่อซึมออกมา
“ถึงมึงจะไม่เคยสนใจกูเลย” ไอ้ดิวพูดขึ้น ก่อนจะเว้นช่วงไปเล็กน้อยพร้อมกับรู้สึกว่ามือทั้งสองข้างของผมกำลังถูกจับเอาไว้ ผมก้มลงมองก่อนจะเงยหน้ามาสบตากับดวงตาสีดำสนิทที่ตอนนี้กลับสว่างไสว “แต่มึงน่ะเป็นแฟนกูมานานแล้วนะ”
“ห๊ะ?”
“ตอนนี้เหลือแค่ว่า มึงจะยอมให้กูเป็นแฟนมึงด้วยหรือเปล่าเท่านั้น”
TBC :|– ::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::: …
Note :::มาลงตอนใหม่แล้วค่ะ เนื้อเรื่องขอหวานแบบค่อยเพิ่มระดับนะคะ (ขนาดจะหวาน มันยังช้าเลย แฮะๆ

)
ตอนนี้แมลงปอก็เปิดใจแล้วล่ะค่ะ แบบค่อยๆเป็นค่อบๆไปแบบเดิม
ส่วนดิวก็เริ่มรุกแบบทีละนิด ประมาณดูท่าทีเหยื่อไปด้วย ฮ่าๆ คล้ายเอาไม้แหย่ อิอิ
ขอบคุณมากเลยค่ะที่ติดตามกันมาจนถึงตอนนี้
บวกแทนคำขอบคุณนะคะ และยังแสดงความคิดเห็นได้เต็มที่เช่นเคย เพื่อนำไปปรับปรุงต่อไปค่ะ
ขอบคุณมากเลยค่ะ
ปล. ถ้าตอนนี้ยังไม่หวาน หรือหวานไม่ถูกใจ ต้องขออถัยด้วยจ้า (เลเวลอัพทีละขั้นนะคะ)
คั้งแค่คอนนี้จะเริ่มหวานประปรายทีละนิดไปเรื่อยๆนั่นแหละค่ะ
ช่วยติดตามกันต่อไปด้วยนะคะ