“กูว่าช่างมันเถอะ มันผ่านไปแล้ว เตรียมวิชาต่อไปดีกว่า” ผมบอก ก่อนจะเดินไปหยิบโน้ตย่อที่ตัวเองทำเอาไว้ เวลาสอบทุกครั้ง เมื่อผมอ่านหนังสือจบ ผมจะทำการสรุปเนื้อหาก่อนจะเขียนเป็นโน้ตย่อ สำหรับเอาไว้อ่านหน้าห้องสอบ เพื่อทบทวนความรู้คร่าวๆ
“ไหนมึงกูดูด้วย” ไอ้กี้ว่า พลางชะโงกหน้ามาอ่าน ผมเลื่อนกระดาษมาไว้ตรงกลางเพื่อให้มันดูด้วยกัน ก่อนจะนึกบางอย่างได้
“แล้วพวกนั้นล่ะ”
ไอ้กี้เงยหน้ามามองผม ก่อนจะก้มหน้าอ่านเนื้อหาในกระดาษ “ไม่รู้เหมือนกัน ออกมาก็ไม่เห็นเจอใคร”
ผมตอบรับในลำคอแล้วอ่านเนื้อหาเพื่อทบทวนความรู้ของตัวเองอีกครั้ง ก่อนเสียงไอ้ดิวจะดังแทรกขึ้น ทำให้ผมกับไอ้กี้ที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาอ่านโน้ตย่อในมือต้องหันไปมอง
“พวกมึงดูนี่ดีกว่า อันนี้แนวที่อาจารย์บอกไว้” ไอ้หน้ายิ้มมันว่า ก่อนจะมายืนข้างผมอีกด้าน แล้วเลื่อนกระดาษในมือมาให้ผมกับไอ้กี้ดู ผมมองไปที่กระดาษที่เขียนโน้ตลักษณะเดียวกันกับของผม แต่มันเป็นกระดาษซีรอกซ์ ก่อนจะเลื่อนไปมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของคนที่ถือมันอยู่ในขณะนี้
ทั้งที่ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องไร้สาระแท้ๆ แต่สมองของผมกลับสั่งการให้ลอบมองท่าทางของมันไม่ได้ บางทีคงเพราะผมคอยแต่จับสังเกตพฤติกรรมของมันมากจนเกินไป จนสมองจดจำกิริยาดังกล่าวว่า หากไอ้ดิมาอยู่ใกล้เมื่อไหร่ ผมจะต้องแอบมองมัน นอกจากจะดึงการทำงานของร่างกายของผมให้ไปจดจ่อที่มันแล้ว ดูเหมือนสมาธิที่เคยมีก่อนหน้านี้จะหายไปในอากาศ
“มึงไปเอาของใครมาวะ” ไอ้กี้ถามพลางอ่านเนื้อหาในกระดาษแผ่นใหม่แทน เพราะเสียงของมันทำให้ผมกลับมาสนใจกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง
“ของพวกห้องสาม เมื่อกี้กูบังเอิญเจอเลยขอยืมมา” ไอ้ดิวว่า “ไม่เห็นอาจารย์จะบอกแนวแบบนี้กับห้องเราเลยว่ะ”
“นั่นสิ ขนาดในโรงเรียนมันยังเกิดความไม่ยุติธรรมแบบนี้ กูไม่สงสัยเลย ทำไมการเมืองถึงมีคอรัปชั่น” ไอ้กี้ว่าพลางขมวดคิ้ว
ไอ้กี้... มึงพูดอะไรของมึงเนี่ย?
ไอ้ดิวพยักหน้ารับ ทว่าสายตายังไม่ละจากหน้ากระดาษตรงหน้า ก่อนนิ้วชี้ของมันจะเลื่อนมายังบรรทัดหนึ่งบนกระดาษ “กูว่าตรงนี้เขียนผิดแน่ๆ”
ผมมองตาม ก่อนจะอ่านข้อความแล้วนึกไล่ไปยังเนื้อหาที่ได้อ่านมา “อืม กูก็ว่างั้น แล้วแบบนี้ข้ออื่นมันจะผิดไหมเนี่ย” ผมบ่นขึ้น พลางไล่มองดูคร่าวๆอย่างไม่เชื่อถือเท่าไหร่
ถ้าจำผิด งานนี้จบเห่แน่ๆครับ...
“ตายห่า! ถ้าผิดก็เปลืองเนื้อที่สมองของกูพอดี” ไอ้กี้ว่าพลางทำสีหน้าเคร่ง
“ไม่หรอก กูว่าที่ผิดน่าจะมีตรงนี้ที่เดียว นอกนั้นกูว่าใช่แล้วล่ะ” ไอ้ดิวว่า ผมมองตามอย่างไม่ค่อยแน่ใจ ก่อนจะเผลอหันไปมองคนพูดอีกครั้งเพื่อยืนยันคำตอบ นัยน์ตาสีดำที่สบเข้ากับผมทันทีที่หันไปมองนั้น ทำให้ผมชะงักไปเล็กน้อย ไม่นับปลายจมูกและแก้มสีขาวของมันที่ห่างจากผมไม่ถึงคืบ ก่อนความร้อนในร่างกายของผมจะทำงานพร้อมกับเลือดทิ่วิ่งผ่าบผิวแก้ม
เอาอีกแล้ว! มึงเอาหน้ามาชิดกูตั้งแต่เมื่อไหร่วะ...
“แล้วคำตอบที่ถูกมันคืออะไรวะ” ไอ้กี้ถามขึ้น ทำให้ผมต้องก้มลงไปมองที่กระดาษอีกครั้ง ก่อนจะได้ยินเสียงไอ้ดิวบอกคำตอบที่ถูกต้องออกไป
:|– ::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::: …
หลังจากที่ผมทำข้อสุดท้ายเสร็จ ผมก็มองไปรอบๆห้อง ส่วนใหญ่เพื่อนในห้องยังไม่ออกจากห้องสอบ ผมนั่งทบทวนคำตอบของตัวเองอีกครั้ง ก่อนจะตัดสินใจลุกจากเก้าอี้ เพราะไม่รู้จะนั่งต่อไปทำไมอีก ผมเดินไปส่งกระดาษข้อสอบ พร้อมกับอาจารย์คุมสอบบอกให้ผมกลับบ้านได้เลย ห้ามมายืนออกันหน้าห้องสอบอีก
ผมไหว้อาจารย์ ก่อนจะเดินไปหยิบกระเป่าที่วางไว้หน้าห้อง แล้วเดินออกมาเพราะวิชาที่สอบเมื่อครู่เป็นวิชาสุดท้ายของวันนี้ ผมเดินลงมาพร้อมกับนักเรียนบางคนที่เริ่มทยอยลงมาจากอาคารเรียน ผมค่อยๆก้าวลงบันไดช้าๆ ไม่ลืมจับราวเอาไว้กันพลาด หากตกบันไดกลิ้งลงมารอบสองในที่สาธารณะแบบนี้คงไม่ดีเท่าไหร่
ผมตัดสินใจแวะไปเข้าห้องน้ำ ก่อนจะบังเอิญเจอพี่น็อตที่เดินออกมาพร้อมกับเพื่อน พี่เขาหันมามองผมก่อนจะยิ้มออกมา ผมที่เดินสวนเข้าไปก็ยิ้มทักเล็กน้อย โดยไม่ได้คิดจะพูดคุยกับรุ่นพี่คนดังไปมากกว่านี้ หลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จ ผมก็เดินออกมาอีกครั้ง ก่อนจะเจอพี่น็อตที่เดิมมากับเพื่อน แต่ในตอนนี้กำลังยืนอยู่คนเดียว
“อ้าวพี่มารอเพื่อนเหรอครับ” ผมทักขึ้น ก็ในเมื่อมายืนรอหน้าประตูแบบนี้ ถ้าทำเป็นไม่สนใจก็ออกจะดูน่าเกลียดไปซักหน่อย
“พี่ยืนรอปอเนี่ยแหละ” พี่น็อตว่าพร้อมรอยยิ้ม ก่อนพี่เขาจะยืนมือมาดึงกระเป๋านักเรียนออกจากมือของผม แล้วพูดขึ้นมาอีกครั้ง “มาเดี๋ยวพี่ถือให้”
“ไม่เป็นไรครับพี่” ผมไม่ได้ปล่อยมือออก แต่กลับยึดที่จับของกระเป๋าเอาไว้แน่น “ไม่ได้หนักอะไรเลยด้วย มีแต่ชีทอ่ะ”
“นั่นแหละ ปอยังไม่หายดีไม่ใมใช่เหรอ จะได้เดินสะดวกๆไง” พี่น็อตว่า ก่อนจะออกแรงดึงกระเป๋าในมือของผมอีกครั้ง ดูเหมือนว่ารุ่นพี่คนนี้จะไม่ยอมรามือง่ายๆ ผมลดแรงของตัวเองลงแล้วปล่อยให้พี่เขาถือกระเป่านักเรียนของผมตามที่ต้องการ
“ผมเจ็บขา ไม่ได้เจ็บมือสักหน่อย” ผมพูดออกมาเหมือนบ่นให้ฟัง พี่น็อตยิ้มรับ ก่อนที่เราสองคนจะเดินลงบันไดอีกครั้ง ความเงียบที่เกิดขึ้นชวนให้ผมรู้สึกอึดอัด ก่อนที่ผมจะหาบทสนทนาต่อ เพราะไม่ชอบบรรยากาศในตอนนี้เท่าไหร่นัก “แล้วสอบเป็นยังไงบ้างพี่”
“ก็ทำได้นะ พอดีออกตรงกับที่อ่านไว้” พี่น็อตบอก “แล้วปอล่ะ ทำได้ไหม”
“พอถูไถได้น่ะครับ ผมไม่ค่อยฉลาดเท่าไหร่”
พี่น็อตหัวเราะกับคำพูดของผม ก่อนเสียงทุ้มนุ่มจะดังขึ้น “พี่ก็ชอบคนไม่ฉลาดแบบปอเนี่ยแหละ”
คำพูดของรุ่นพี่คนดัง ทำให้ผมต้องเบือนหน้าไปทางอื่น ทั้งๆที่ไม่อยากจะคิดอะไรให้มากกว่านี้ แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้ให้ความร่วมมือเอาเสียเลย คนที่เอาแต่หนีแบบผมก็แย่สีครับ
“พี่น็อตเนี่ยรสนิยมแปลกจังเลยนะครับ” ผมพูดขึ้น หลังจากนึกหาคำพูดมาสักพัก “ผมว่าพี่อย่ามาชอบผมเลย ผมไม่เหมาะกับพี่หรอก” ก่อนที่ผมจะหันไปมองพี่เขาอีกครั้ง
พี่น็อตเลิกคิ้ว ก่อนจะถอนหายใจออกมา ตอนนี้พวกเราสองคนค่อยๆเดินตามทางไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้นึกสนใจว่าทางเดินตรงหน้าจะสิ้นสุดที่ตรงไหน บางทีคงถึงเวลาที่ผมควรระบุจุดยืนของตัวเองเสียที ไม่แน่ว่าปัญหาวุ่นวายที่รุมเร้าผมในตอนนี้อาจจะคลี่คลายไปบ้างก็ได้
“ถึงปอจะบอกแบบนั้น แต่พี่ก็ไม่ยอมง่ายๆหรอกนะ” พี่น็อตพูด ก่อนจะมองตรงไปด้านหน้า ผมหันไปมองพี่เขาอีกครั้ง ไบหน้าด้านข้างได้รูปนั่นดูดีจนผมนึกอิจฉา น่าเสียดาย ถ้าผมเป็นเป็นผู้หญิงคงจะดีใจไม่น้อยที่มีคนแบบพี่น็อตมาสนใจ
“พี่น็อตเนี่ยหัวแข็งเหมือนกันนะ”
นัยบ์ตาคมนั้นทอดมองไม่ต่างจากสายตาของใครอีกคนที่ผ่านเข้ามาในความทรงจำของผม ผมหลุบสายตาลงต่ำ ก่อนจะรู้สึกว่าไม่อยากจะรับรู้สายตาแบบนี้ของพี่เขาสักเท่าไหร่ ความเงียบเข้าจู่โจมพวกเราอีกครั้ง
“ถึงพี่จะหัวแข็ง แต่ปอคงไม่ใจแข็งกับพี่หรอกใช่ไหม”
ผมหยุดฝีเท้าของตัวเอง ตอนนี้พวกเราเดินมาอยู่ที่ทางเดินเพื่อมุ่งหน้าสู่ประตูโรงเรียน ผมหันไปมองรุ่นพี่คนดังอีกครั้ง พร้อมกับสมองที่เริ่มไล่คิดหาวิธีจัดการกับเรื่องที่อยู่ตรงหน้า โดยไม่ได้นึกสนใจนักเรียนที่เดินผ่านไปมาแม้แต่น้อย
“ผมไม่ใช่คนใจแข็งหรอกนะพี่” ผมถอนหายใจออกมา “ผมแค่กลัวว่าความใจอ่อนของผมจะทำให้พี่เสียเวลาก็เท่านั้น”
บางทีผมก็นึกอยากรู้ว่า อะไรเป็นสาเหตุให้รุ่นพี่คนดังอย่างพี่น็อตถึงได้มายึดติดกับผมแบบนี้ ทั้งที่เราสองคนรู้จักกันไม่ถึงเดือนด้วยซ้ำ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นผมก็ยังขี้ขลาดไม่กล้าที่จะรับรู้ว่ามันคืออะไร กลัวแต่ยิ่งรับรู้มากขึ้นเท่าไหร่จะเหมือนโซ่ตรวนเส้นบางที่ค่อยๆรัดผมไว้เท่านั้น
“ปอไม่ต้องคิดถึงขนาดนั้นหรอก พี่รู้ขีดจำกัดของตัวเองดีครับ” พี่น็อตบอกผม พร้อมกับรอยยิ้มที่แต้มอยู่บนใบหน้า “แค่ปอเป็นห่วงความรู้สึกของพี่แค่นี้ พี่ก็ดีใจแล้ว”
:|– ::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::: …
ตอนนี้ผมกำลังนั่งอยู่ที่ม้านั่งริมทางเดินครับ ส่วนพี่น็อตกลับไปแล้ว หลังจากที่ผมปฏิเสธที่จะให้พี่เขาไปส่งที่บ้าน เพราะไม่อยากให้ความหวังอะไรให้มันดูยุ่งยากมากไปกว่านี้ แค่คนเดียวที่สร้างปัญหาในใจของผมในตอนนี้ก็น่าปวดหัวพออยู่แล้ว
นอกจากจะสลัดทิ้งออกไปไม่ได้แล้ว ไอ้เพื่อนซี้ยังคาดโทษกับผมเอาไว้อีก หากทำให้ไอ้หน้ายิ้มเสียใจเมื่อไหร่ มันจะมาเล่นงานผม งานนี้นอกจากรอยยิ้มและท่าทางที่มันเล่นงานผมจนล้มไม่เป็นท่า ยังมีแบ็คอัพทรงพลังช่วยหนุนหลังมันอีกแรง ผมก็ได้แต่หวังว่าตัวเองจะเข้มแข็งพอที่จะไม่ถูกคลื่นลูกใหญ่นี้ซัดออกไปได้
ผมนั่งคิดไปได้สักพัก ก่อนเสียงโทรศัพท์มือถือของผมจะดังขึ้น ชื่อที่ปรากฏตรงหน้าจอทำให้ผมมองดูอยู่สักพัก ก่อนที่มันจะดับไป เพียงครู่เดียวเสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับคนๆเดิมที่ยังพยายามติดต่อกับผมไม่เลิก
ผมถอนหายใจออกมา พลางนั่งฟังเสียงริงโทนที่ตั้งเอาไว้อย่างไม่นึกสนใจเจ้าของปลายสายเท่าไหร่นัก สายลมที่สัมผัสได้บางเบาเมื่อผมหยุดตัวเองไว้กับที่ อดที่จะคิดขึ้นมาไม่ได้ ถ้าผมหยุดวิ่งหนีแล้วมองไปรอบตัวอีกครั้ง ผมจะได้เห็นอะไรบางอย่างที่พลาดสายตาไปบ้างหรือเปล่า
ทว่าภาพที่เห็นมีเพียงเด็กนักเรียนที่ทยอยเดินออกจากโรงเรียน เสียงหัวเราะพูดคุยดังแว่วจนฟังไม่เป็นสรรพ โทรศัทม์มือถือในมือของผมสั่นไม่หยุด พร้อมส่งเสียงแผดร้องอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ไม่นานมันก็หยุดลง ก่อนจะเริ่มต้นส่งเสียงร้องอีกครั้ง ไม่รู้ว่าเป็นเช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมานานเท่าไหร่ ก่อนที่ผมจะตัดสินใจกดรับในที่สุด
“ตอนนี้มึงอยู่ที่ไหน” โทนเสียงที่เปลี่ยนไปจากเดิม ทำให้นึกสนใจขึ้นมา เพราะไม่ค่อยได้ยินน้ำเสียงที่ดูร้อนรนแบบนี้เท่าไหร่นัก
“อยู่ตรงม้าหินใกล้ทางออก”
“มึงนั่งรออยู่ตรงนั้น เดี๋ยวกูเดินไปหา”
ปลายสายตัดไปทันทีที่พูดจบ ผมนั่งอยู่คนเดียวได้ไม่นาน ก็เห็นร่างของไอ้ดิวที่เดินเข้ามาพร้อมกับสีหน้าที่ดูยุ่งๆเล็กน้อย ไม่ทันที่ผมได้คิดมากไปกว่านั้น ไอ้หน้ายิ้มก็มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าของผมแล้ว
“คิดว่าจะแอบหนีกลับไปก่อนแล้ว” ไอ้ดิวว่า ก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อย
“ก็กำลังจะเป็นแบบนั้นนั่นแหละ” ผมบอกด้วยสีหน้านิ่ง ความคิดของผมกำลังวิ่งไปมาไม่หยุด เพื่อหาเหตุผลว่าทำไมผมถึงยังนั่งอยู่ตรงนี้ ผมนึกปวดหัวเล็กน้อยกับคำตอบที่ได้รับ
ผมกำลังรอ.... รอให้มันมาหา
“ไม่นึกว่ามึงจะทำข้อสอบเสร็จเร็ว แสดงว่าทำได้” ไอ้ดิวว่าต่อ โดยไม่ได้สนใจสัหน้าของผม
“ทำนองนั้น” ผมตอบไปด้วยความรู้สึกโมโหตัวเองอยู่หน่อยๆ ก่อนจะเงยหน้ามองมันที่กำลังหยิบกระเป๋านักเรียนของผมที่วางไว้ข้างๆไปถือไว้ “มึงไม่ถามอะไรหน่อยเหรอ”
“ถามอะไร” ไอ้ดิวตอบอย่างสงสัย
“ช่างมันเถอะ” ผมถอนหายใจ ไม่เห็นต้องนึกสนใจว่ามันจะคิดยังไงเรื่องที่ผมไม่รับสายก่อนหน้านี้ ก่อนจะมองมือของมันที่ยื่นมาตรงหน้าของผม “อะไรของมึง”
“กลับกันเถอะ” ไอ้ดิวพูดขึ้น พร้อมกับคลี่ยิ้มน้อยๆ
ผมมองหน้ามันสักพัก แล้วลอบถอนหายใจออกมา พร้อมกับร่างกายที่แสนเกเรของผมจะสั่งการให้ยื่นมือไปจับฝ่ามือใหญ่นั้น ก่อนสมองจะทันได้คิดด้วยซ้ำ ผมรับรู้ได้ถึงนิ้วมือของอีกฝ่ายที่กระชับขึ้นเล็กน้อย ยามที่ออกแรงดึงร่างของผมให้ลุกขึ้น ผมก้มหน้าลงไม่กล้าพอจะมองใบหน้าของไอ้ดิวในตอนนี้ได้อีก
มึงมันตัวอันตรายชัดๆ
TBC :|– ::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::: …
Note :::ช่วงนี้นอกจากอากาศจะร้อนมากแล้ว โน็ตบุ๊คของคนเขียนก็เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย กลัวจะต้องเข้าศูนย์มากๆ
ช่วงนี้เลยเร่งปั่นเท่าที่จะทำได้ เผื่อเหตุการณ์ไมคาดฝัน ฮ่าๆ
รู้สึกตั้งแต่ตอนก่อนมาถึงตอนนี้ก็ยังรู้สึกว่าบรรยากาศเนื้อเรื่องมันดูอึมครึมไปเปล่าเนี่ย หรือว่าคิดไปเอง อิอิ
ตอนนี้ก็แสดงพัฒนาการของตัวละครมาอีกนิดนึงล่ะมั้ง
แมลงปอเป็นแค่เด็กผู้ชายธรรมดาที่ใจอ่อนเวลาที่ใครมาทำดีด้วย ไม่แปลกเท่าไหร่ที่จะเอนไปทางดิวมากกว่าพี่น็อต
นอกจากความสัมพันธ์แล้ว โอกาสอะไรหลายอย่างดิวก็เหนือกว่าเยอะ ถ้าสลับดิวกับพี่น็อต แมลงปอก็ต้องเอนไปทางพี่น็อตมากกว่าดิวเหมือนกัน
น้ำหยดทุกวันหินมันยังกร่อน นับประสาอะไรกับใจของคนใช่ไหมค่ะ อิอิ
ขอบคุณที่ยังติดตามมาจนถึงตอนนี้ ทั้งที่แรกเริ่มเรื่องนี้ตั้งใจจะเป็นแค่เรื่องสั้นไม่เกินสิบตอนจบแท้ๆ
แต่พล็อตที่ต้องเขียนเหลืออีกเป็นสิบตอน เฮือกกก

บวกตอบแทนทุกคอมเม้นนะคะ สามารถแนะนำติชมได้เช่นเคย
ยังไงก็ช่วยติดตามดิวกับแมลงปอต่อไปด้วยเน้อ
ขอบคุณมากเลยค่ะ