ผมหยุดความคิดของตัวเองลง เมื่อได้ยินเสียงของไอ้กี้ที่หันมาถามโต้ง แน่นอนว่าการเอ่ยคำพูดในครั้งนี้ช่วยขับไล่บรรยากาศที่ไม่อาจจะนิยามได้ให้ผ่อนคลายลง
“ไปเดินถ่ายรูปเล่นนิดหน่อย แล้วก็แวะหาของกินด้วย” โต้งว่า ก่อนจะหันไปมองไอ้ดิว “มึงรีบกินก่อนเถอะ เดี๋ยวต้องไปเตรียมตัวอีกไม่ใช่เหรอ”
ไอ้ดิวหันไปมองคนพูด ก่อนจะยิ้มออกมาเหมือนเช่นทุกครั้ง ไอ้หน้ายิ้มหยิบถุงขนมจีบออกมานั่งจิ้มกิน ผมลอบถอนหายใจกับความคิดที่ดูยุ่งเหยิงของตัวเอง ก่อนจะเอื้อมมือไปคว้าถุงพลาสติกที่บรรจุซาลาเปาลูกใหญ่ล่อน้ำลายของผมแทน
กูไม่สนใจมึงแล้ว ซาลาเปานี่น่าสนใจกว่ามึงตั้งเยอะ!
ไม่ทันที่ผมได้หยิบก้อนแป้งเนื้อนุ่มที่กำลังส่งกลิ่นหอมยั่วใจนั้น ขนมจีบชิ้นหนึ่งก็มาโผล่ตรงหน้าของผมกลางอากาศ ผมหันไปมองยังทิศทางที่มาของมัน พร้อมกับสายตาที่ปรากฏภาพใบหน้าที่ตกแต่งด้วยเครื่องสำอางอย่างลงตัวนั้นกำลังจ้องมองมา
“กินกับกูเนี่ยแหละ กูกินไม่หมด” ไอ้ดิวว่าก่อนจะคลี่ยิ้ม
“ตลกน่า กินไม่หมดได้ยังไง ธรรมดามึงกินเยอะจะตาย” ผมบอก ก่อนจะเห็นสีหน้าของไอ้ดิวที่หงอยลงไปเล็กน้อย ผมกลั้นหายใจพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วลง "แล้วนั่นมึงจะยื่นออกมาทำไม“
ผมได้แต่นึกอยู่ในใจว่า อย่าให้มันได้รู้เลยว่าสีหน้าของมันในตอนนี้เล่นงานผมได้มากขนาดไหน...
“กูว่าจะป้อนมึงอ่ะ ลงโทษที่จะให้มึงช่วยกิน” ไอ้ดิวว่าต่อ ก่อนจะเลื่อนขนมจีบชิ้นที่ว่ามาจ่อตรงปากของผม
“ไม่ต้องเดี๋ยวกูกินเอง” ผมเอ่ยปฏิเสธ พลางจับมือของมันออก ไอ้ดิวหน้าหงอยลงอีกระดับ
“มึงโกรธกู จริงสินะเพราะกูไปว่ารุ่นพี่คนโปรดของมึงอย่างนั้น”
“คนโปรดอะไรของมึง” ผมขมวดคิ้วแน่นพลางสบกับนัยน์ตาสีดำสนิทของอีกฝ่าย “มึงหยุดพูดอะไรเหลวไหลได้แล้ว กูไม่ได้โกรธใครทั้งนั้น” แต่ถ้ามึงยังไม่หยุดดราม่าใส่กูตอนนี้ กูโกรธมึงแน่!
“ถ้าอย่างนั้นก็อ้าปากสิ เดี๋ยวเย็นแล้วไม่อร่อย”
ผมมองหน้ามันครู๋หนึ่ง ทั้งที่สีหน้าของมันดูหงอยๆ แต่ประกายในดวงตาของมันกลับสดใสจนผมมองเห็นได้ชัดเจน ผมนึกลังเลขึ้นมา ก่อนจะรู้สึกถึงเนื้อแป้งที่สัมผัสเข้ากับริมฝีปากของตัวเอง ผมถอนหายใจ แล้วจำใจอ้าปากเพื่อรับขนมจีบที่มันส่งมาให้ถึงที่ ไอ้หน้ายิ้มก็เริ่มยิ้มขึ้นมา
“เอาอีกลูกนะ”
“ไม่ต้องแล้ว ป้อนกูอยู่ได้ กินเข้าไปเองบ้างดิ” ผมบอก เมื่อรู้สึกร้อนวูบวาบขึ้นมาอีกครั้ง
“ผลัดกันคนละคำแล้วกันเนอะ”
“ปัญญาอ่อนชิบหาย” ผมพูดขึ้น ก่อนจะเบนสายตาไปทางอื่น ทว่าหางตายังเห็นภาพคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ใบหน้าหล่อเหลานั้นยังมองผมอย่างรอคอย “ตามใจมึงแล้วกัน”
ทันทีที่ผมพูดจบ ไอ้ดิวก็คลี่ยิ้มกว้างกว่าเดิม ผมมองรอยยิ้มนั้นราวกับตกอยู่ในภวังค์ ริมฝีปากบางที่แย้มรอยยิ้มจนเห็นฟันสีขาวเรียงสวยนั้นไม่ต่างอะไรกับรอยยิ้มของเด็กเล็กเวลาได้รับคำชมเลยสักนิด ทว่าท่าทีที่ตั้งอกตั้งใจเลือกจิ้มขนมจีบในถุงที่แสนธรรมดาแบบนั้นกลับสร้างความรู้สึกสั่นไหวขึ้นมาในใจของผมอย่างบอกไม่ถูก ทันทีที่ขนมจีบชิ้นต่อมาถูกยื่นมาตรงหน้า ผมก็อ้าปากรับอย่างว่าง่าย โดยทำเมินสายตาอีกสองคู่ที่กำลังทอดมองมาเงียบๆ
:|– ::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::: …
หลังจากผ่านช่วงเวลาที่แสนกดดันเมื่อชั่วโมงก่อน ผมก็ได้ย้ายตัวเองมาอยู่ที่ริมสนามฟุตบอลแล้วครับ ตอนนี้ก็กำลังนั่งอยู่ในเต็นท์กับไอ้กี้สองคน ส่วนโต้งไปเดินถ่ายรูปเพื่อเก็บบรรยากาศ แต่ผมไม่ได้มาเขียร์พี่น็อตติดขอบสนามหรอกนะครับ แต่กำลังมาเชียร์ไอ้ดิวที่ตอนนี้กำลังยืนควงไม้โชว์ลีลาอยู่หน้าโต๊ะคณะกรรมการต่างหาก
แล้วไอ้บ้าที่ไหนมันบอกว่าผมเดินมาไม่ไหววะ...
ผมนึกบ่นขึ้นมาในใจ นอกจากพวกผมที่มานั่งดูมันแล้ว ตอนนี้ก็ยังมีกลุ่มแฟนคลับของมันที่มายืนออรอชมมันอยู่เพียบเลยครับ สมกับเป็นหนุ่มฮอตของโรงเรียนเสียจริงๆ
ผมได้แต่อธิษฐานอยู่ในใจว่า อย่าได้เจอพี่น็อตแถวนี้เลย ไม่อย่างนั้นมีเรื่องอีกแน่ อย่างที่ผมเคยบอกไปก่อนหน้านี้แล้วว่า ไม่ใช่ว่าผมเดินมาไม่ไหวหรอกนะครับ ตั้งใจว่าจะมาโรงเรียนก็ไม่ได้คิดว่าจะมานั่งอยู่กับที่สักเท่าไหร่ และที่สำคัญตอนประกาศรางวัลกีฬาสีท้ายงานทุกคนก็ต้องมารวมกันที่นี่อยู่ดี ผมไม่อยากเป็นคนหนึ่งที่พลาดโอกาสได้ลุ้นรางวัลพร้อมกับเพื่อนๆหรอกครับ
“มึงว่าไอ้ดิวมันจะชนะไหมวะ” ไอ้กี้ถามผม
“กูดูไม่ออก มันก็เหมือนกันหมด” ผมตอบ หลังจากที่ดูมาสักพักก็นึกไม่ออกว่าจะให้คะแนนยังไง ผมว่าลีลาท่าทางมันก็เหมือนกันหมดนั่นแหละครับ
“กูไม่ได้หมายถึงเรื่องนี้ แต่กูหมายถึงเรื่องไอ้พี่น็อตกับไอ้ดิวต่างหาก” ไอ้กี้อธิบาย ผมหันไปมองมันด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่ายใจทันทีที่ได้ยิน ไม่นึกว่ามันจะมาถามอะไรแบบนี้
“ทำไมวะ”
“มึงคิดยังไงกับเรื่องนี้”
“เรื่องนี้ของมึงคือเรื่องไหน” ผมถามอย่างต้องการคำขยายความมากขึ้นกว่าเดิม ผมไม่อยากปล่อยไก่เล้าใหญ่ให้มันไปหรอกครับ แค่ตอนนี้ก็รู้สึกว่าตัวเองตกต่ำพออยู่แล้ว
“มึงอย่าทำเป็นไม่รู้เรื่องไอ้ปอ” ไอ้กี้หรี่ตามองผม “อย่าบอกว่ามาถึงขั้นนี้แล้ว มึงยังกล้าตีมีนไม่รู้เรื่องอีก”
“แล้วมันเรื่องอะไรล่ะวะ” ผมถามย้ำอีกรอบ ไม่ได้สนสีหน้าที่ดูเหมือนจะโมโหขึ้นมาของไอ้เพื่อนซี้
“ไอ้สัดนี่! มันจะมีเรื่องไหนนอกจากมีตัวผู้สองคนกำลังแย่งมึงอยู่เนี่ย” ไอกี้พูดออกมาด้วยความหงุดหงิดอย่างคนที่ไม่ได้ดั่งใจ
ชัดเจนเลยครับเพื่อนว่าเรื่องเดียวกัน....
“แล้วมึงรู้เรื่องนี้ได้ยังไง” ผมไม่ตอบในทันที แต่อยากรู้ข้อมูลจากมันก่อน
ไอ้กี้ถอนหายใจออกมา ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเซ็งเล็กน้อย “กูสังเกตได้มาสักพักแล้ว มีแต่คนโง่แบบมึงที่มองไม่ออก” ก่อนนัยน์ตาเรียวแฝงแววเยาะเย้ยมองมาทางผม
“ใครมันจะไปคิดว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับตัวเองล่ะวะ” ผมโต้กลับ คุณคงไม่คิดว่าผมโรคจิตพอจะมานั่งคิดว่าเพื่อนเพศเดียวกันกำลังคิดเกินเลยกับตัวเองอยู่หรอกนะครับ ผมชักสีหน้าใส่มัน “แล้วมันก็บอกมึง?”
“ก็ไม่เชิง” ไอ้กี้ตอบอย่างไม่ใส่ใจ “เรื่องนั้นมันไม่สำคัญนักหรอก”
ไม่สำคัญกับมึง แต่สำคัญกับกูโว้ย เพรากูอยากรู้!....
ไอ้กี้ยักไหล่อย่างไม่สนใจท่าทีของผมที่แสดงความไม่ชอบใจในคำตอบที่ได้รับเท่าไหร่ ก่อนจะหันมาไล่ถามผมอีกครั้งแทน “แล้วสรุปว่ามึงจะเลือกคนไหน”
“กูขอไม่เลือกได้ไหม” ผมตอบพร้อมกับความเซ็งที่วิ่งมาจับเส้นประสาท ทำไมผมถึงต้องมีตัวเลือกแค่สองคนนี้ด้วย ที่สำคัญดันเป็นตัวเลือกประเภทเดียวกันกับผมอีกต่างหาก ผมต้องการตัวเลือกที่ต่างจากพวกครับ!
“ไม่เลือกไม่ได้ มึงต้องตัดสินใจ”
“มึงอยากให้กูชอบผู้ชายหรือไงวะ” ผมถามมันกลับด้วยความสงสัย นี่มึงกำลังฝืนใจกูอยู่นะเว้ย!
“กูไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น” ไอ้กี้ถอนหายใจออกมา ก่อนจะตอบออกมาอย่างใจเย็น “ใครมันจะอยากให้เพื่อนตัวเองไปเป็นแบบนั้นกันล่ะวะ แต่ไอ้ดิวมันก็เพื่อนกู”
“กูก็เพื่อนมึง” ผมโต้กลับ เรื่องนี้ยังไงผมก็ไม่ยอมง่ายๆหรอกครับ ไม่ใช่ว่าผมรังเกียจไอ้ดิวมัน ผมแค่ยอมรับกับตัวเองไม่ได้ ถ้าหากว่าจะมีคนพิเศษเป็นผู้ชายก็เท่านั้น
“จริงอย่างที่มึงว่า แล้วทีนี้มึงจะทำยังไง”
“กูมีคนที่ชอบอยู่แล้วมึงก็รู้” ผมบอก พร้อมกับใบหน้าหวานของรุ้งที่ฉายชัดขึ้นในความคิด ก่อนมันจะสะดุดลง เมื่อนึกได้ว่าตลอดหลายวันที่ผ่านมานี้ ผมแทบจะลืมเธอไปเลยด้วยซ้ำ เพราะไอ้สมองบ้าๆของผม มัวแต่คิดวนเวียนอยู่กับไอ้ตัวดีที่เอาแต่ทำให้จิตใจและร่างกายของผมสั่นคลอน
ผมยอมรับว่า ไอ้ดิวมันมีอิทธิพลต่อผมพอสมควร ไม่นับความหน้าตาดีของมัน ท่าทางที่เอาใจใส่ผมจนออกนอกหน้านั้น ทำให้ผมหวั่นไหวไม่น้อย ยิ่งสังเกตพฤติกรรมของตัวเอง ผมก็ยิ่งรับรู้ว่ารูปแบบความสัมพันธ์ในลักษณะนี้ชักจะอันตรายมากไปทุกที
“เรื่องนั้นกูก็รู้ แต่ก็ไม่อยากให้มึงปิดโอกาส”
“ถ้าเป็นผู้หญิงก็ว่าไปอย่าง แต่นี่มึงกำลังจะให้กูไปสนใจผู้ชายนะเว้ยไอ้กี้” ผมตอบสวนมันกลับ
“ไอ้ปอ แต่ผู้ชายที่กูว่ามันเพอร์เฟคสุดๆแล้วนะมึง” ไอ้กี้พูดหน้าตาย ก่อนจะยิ้มออกมา “แล้วกูก็รู้จักมันดีด้วย นั่นมึงดูสิ! ผู้หญิงมองมันน้ำลายหก แล้วไงวะ? มันสนใจที่ไหน” ไอ้กี้บอกผมพลางพยักเพยิกไปทางที่มันว่า ก่อนที่ผมจะเห็นไอ้ดิวที่ยิ้มส่งให้ผู้หญิงกลุ่มนั้นเล็กน้อย แล้วเดินมาทางผมแทน
“มึงลองคิดดู มีแต่คนอยากได้มันกันทั้งนั้น มึงโชคดีจะตายห่า”
ผมไม่ทันได้ตอบ ไอ้หน้ายิ้มก็เดินมาถึง ใบหน้าหล่อเหลาดวงนั้นเปื้อนเหงื่อเล็กน้อย ก่อนน้ำเสียงทุ้มที่แฝงไปด้วยความสดใสจะดังขึ้น “กูเป็นยังไงบ้างวะ”
“กูให้ร้อยเต็มสิบ” ไอ้กี้บอก ไอ้ดิวหัวเราะรับกับคำพูดเกินจริงนั้น ผมมองมันพูดอะไรบางอย่างกับไอ้กิ้ย่างไม่นิกสนใจ ก่อนจะมองเลยไปยังผู้หญิงกลุ่มใหญ่ที่ยืนมองไอ้หน้ายิ้มอยู่ห่างๆ แต่ไม่กล้าเข้ามาใกล้
“เดี๋ยวกูไปเปลี่ยนเสื้อก่อน พวกมึงนั่งรออยู่ตรงนี้ก่อนก็ได้” ไอ้ดิวบอกอีกครั้ง มันหันมามองผมเล็กน้อย ผมไม่ได้หลบตา แล้วไอ้ตัวดีก็พาร่างของตัวเองห่างออกไป
ผมนั่งทบทวนกับความคิดของตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะมีความคิดบางอบ่างวิ่งผ่านเข้ามา ในเมื่อไอ้เพื่อนซี้มันรู้เรื่องมาขนดนี้แล้ว บางทีไอ้หน้าตี๋นี่อาจจะช่วยเปิดความคิดบางอย่างที่ผมมองไม่เห็นในตอนนี้ให้ชัดเจนมากขึ้นก็ได้
“แล้วมึงคิดว่ากูควรจะทำยังไง”
“นั่นเป็นเรื่องที่มึงต้องจัดการเอาเอง” ไอ้กี้ตอบอย่างคนไม่รับผิดชอบ ผมหันไปจ้องหน้ามันเล็กน้อย
“ทำไมวะ ที่เรื่องของรุ้ง มึงยังช่วยกูเลย”
“แต่นี่มันเป็นเรื่องของเพื่อนสนิทกูทั้งคู่ กูไม่อยากแทรกแซง” ไอ้กี้หันมามองหน้าผมอย่างจริงจัง “แต่ถ้าไม่เลือกไอ้ดิวกูจัดการมึงแน่”
“ไอ้ห่า! ทำไมต้องมาเล่นงานกูด้วย” ผมพูดขึ้นอย่างไม่พอใจ นี่ขนาดมึงไม่อยากยุ่งนะเนี่ย ยังไล่บี้กูมาได้ขนาดนี้
“กูเคยบอกมึงแล้วว่ากูเชียร์ทั้งคู่ แล้วกูก็เชียร์เพื่อนกูด้วย ถ้าไอ้ดิวเสียใจ มึงเจ็บหนักไอ้ปอ”
“นี่มึงขู่กู กูก็เพื่อนมึงนะโว้ย” ผมกล่าวเตือนมันอีกครั้ง ให้ตายเถอะ! นี่มึงจะลำเอียงรักเพื่อนไม่เท่ากันไปถึงไหนวะ
ไอ้กี้ยักไหล่อย่างไม่สนใจสายตาไม่พอใจของผม “ไอ้ปอกูก็เชียร์มึงเหมือนกัน อยากให้มึงมองไอ้ดิวบ้าง”
ผมขมวดคิ้ว ก่อนจะตอบไปเสียงเข้ม “แล้วไอ้บ้าที่ไหนที่มันอยากให้กูเป็นแฟนกับรุ้งวะ”
“ก็ตอนนั้นกูยังไม่รู้เรื่องนี้นี่หว่า” ไอ้กี้บอกหน้าตาย “ตอนนี้กูรุ้เรื่องแล้ว ถึงกูไม่ขัดขวาง แต่คงต้องอำลาแฟนคลับปอรุ้งแล้วว่ะ”
“มันเองก็ไม่ได้บอกมึงไม่ใช่เหรอ? บางทีมันอาจจะไม่ใช่อย่างที่มึงคิดก็ได้”
“นั่นแล้วแต่มึงจะคิด แต่กูไม่เปลี่ยนความคิดของกูแน่” ท่าทีที่เหมือนไม่สนใจคำพูดของผม ทำให้ผมนึกฉุนขึ้นมาเล็กน้อย
“ยังไงมึงก็จะยัดเยียดกูให้มันใช่ไหมวะ” ผมถามอย่างมีน้ำเสียงกึ่งโมโห
“เอาน่า! ถ้ามึงคิดว่าตัวเองมั่นคงพอ จะกลัวอะไรวะ” ไอ้กี้บอกอีกครั้ง ก่อนจะยิ้มออกมา ผมเบือนหน้าหนี ทั้งที่หัวใจและสมองกำลังทำงานหนัก
ก็เพราะกูเองก็ไม่ไว้ใจตัวเองน่ะสิ...
ผมได้แต่บอกกับตัวเองอยู่ในใจ ก่อนสายตาจะเห็นร่างของผู้ชายที่ตกเป็นหัวข้อในการสนทนานี้กำลังเดินเข้ามา ตอนนี้ไอ้ดิวเปลี่ยนชุดไปใส่แค่เสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ ใบหน้าที่เคยตกแต่งด้วยเครื่องสำอางถูกลบออกจนเหลือเพียงแต่ผิวขาวใสที่ผมเห็นจนคุ้นตา ก่อนรอยยิ้มที่เป็นเอกลักษณ์จะถูกส่งมาก่อนที่เจ้าตัวจะเดินมาถึงด้วยซ้ำ
“ไม่รู้ว่ามึงจะจัดการเรื่องนี้ยังไง แต่รับรองว่ากูไม่บอกเรื่องนี้กับมันแน่นอน” ไอ้กี้กล่าวย้ำกับผมอีกครั้ง
TBC :|– ::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::: …
Note ::::ตอนนี้เป็นตอนนึงที่รุ้ึสึกว่าเขียนยากมากเลยค่ะ อยากจะปาดเหงื่อออกมาด้วยความโล่งใจ อิอิ
หากน้องดิวเป็นโจรย่องเบา พี่น็อตก็เป็นนักต้มตุ๋นที่มาอย่างเปิดเผยค่ะ

โดยจุดประสงค์ของสองคนนี้คือการมาล่อลวงแมลงปอนี่เองนะ อิอิ
ในตอนนี้นอกจากการแสดงตัวของพี่น็อตแล้ว พี่กี้ก็แสดงตัวเช่นกันค่ะ
เรียกว่าเป็นการเผชิญหน้าของตัวละครในเรื่อง ในหลายๆด้านอ่าเน้
ยังไงก็ช่วยเชียร์ช่วยลุ้นกันต่อไปด้วยจ้า
ขอบวกแทนคำขอบคุณของทุกคอมเม้นนะคะ คนเขียนน้อมรับคำติชมทุกกรณีค่ะ
หากมีพิมพ์ผิดไปบ้าง ต้องขออภัยไว้ด้วย
ชอบคุณที่ยังติดตามจนมาถึงตอนนี้ ไม่คิดว่าจะมาไกลขนาดนี้เลย อิอิ

ช่วยติดตามตอนต่อไปเรื่อยๆด้วยนะคะ ขอบคุณมากเลยค่ะ