- 2 - “ครับ..” มือหนึ่งถือโทรศัพท์ มือหนึ่งปรุงเครื่องปรุง ไม่ได้สนใจสองหนุ่มสาวที่เงียบเสียงไปแล้ว
“ทำอะไรอยู่” ปลายสายถาม
“กำลังกินผัดไทย”
“แวะซื้อที่ไหน”
“นั่งกินที่ตลาด”
“อ้าว! ยังไม่ถึงบ้านเหรอ”
“ยัง..บอลพาแวะกินก่อน”
“กินเผื่อด้วยนะ”
“อืม..ทำอะไรอยู่” ผมถาม
“กำลังจะอาบน้ำ”
“ไปอาบดิ”
“อ้าว..ไล่เลยเหมือนไม่อยากคุย” น้ำเสียงมีงอน
“เปล่า..กำลังจะกินผัดไทย”
“คร๊าบบบ..ถึงบ้านเดี๋ยวโทรหา” ยังไม่ยอมวาง
“ไหนบอกโทรห้าทุ่ม” ผมท้วง
“คิดถึง..อยากโทรก่อน” เงียบเลยกู ไม่น่าถาม
“ทำไมเงียบไปล่ะ..” ยังตามอีก
“จะกินแล้ว ไม่มีมือจับส้อม” ผมปัด
“ขอคุยกับไอ้บอลหน่อยสิ” ผมเงยหน้ามองฝั่งตรงข้าม ตาคมจ้องผมอยู่ก่อน แถมตาบิ๊กอายก็มองไม่กะพริบ ทำหน้าเหรอหรา คือพวกมึงจะจ้องกูกันทำไม
“หนุ่ยจะคุยด้วย” ผมบอกพร้อมกับยื่นโทรศัพท์ให้ บอลรับเอาไป
“ไง..สัด” นั่นคือการทักทาย
“แดกอยู่..น้อยหน่อยยังไม่พ้นวันเยอะแล้วมึง”
“เหี้ย!ลูกแพรอยู่กับกู เปล่า!..เจอพอดี คุยไหม” สักครู่โทรศัพท์ผมก็เปลี่ยนไปอยู่ในมือสาวน้อยในโต๊ะ ผมเงื้อมหูฟังตักผัดไทยเข้าปากไปด้วย
“แพรนะ..” เธอกรอกเสียงใส
“แหม..หนุ่ยต้องเลี้ยงเสาร์นี้ ทำอุบอิบไม่เปิดตัว ถ้าบอลไม่บอกนี่แพรไม่รู้เลย ไปดูหนังกัน..พาแฟนไปด้วย” เธอพูดเป็นประโยคยาว
“จร้า..เพื่อนแพรคงเสียใจแย่ แอบปลื้มหนุ่ยอยู่ด้วย แต่คงสู้พี่บูเค้าไม่ได้หรอก น่ารักยังกับเด็กญี่ปุ่น” อย่าบอกเธอหมายถึงผม จืดสนิทบอกหน้ารักเหมือนญี่ปุ่น สงสัยบิ๊กอายที่เธอใส่หลอกตาเข้าแล้ว
“ไม่หรอกจะรังเกียจทำไม คอนแวนต์มีไม่รู้กี่คู่ หญิงบ้างชายบ้างเปลี่ยนหน้ากันเป็นว่าเล่น แพรชินแล้วล่ะ หืม..บอลเหรอไม่รู้สิ เดี๋ยวถามให้ รอแป๊ป” พูดเสร็จเธอหันมาจ้องบอลลูน เอามือปิดโทรศัพท์เหมือนกลัวเสียงจะเล็ดรอดเข้าไป
“บอลเกลียดเกย์หรือเปล่า” คำถามแบบไม่ให้ตั้งตัว พร้อมกับหันมายิ้มเจื่อนให้ผมแบบขอลุแก่โทษ ผมมองบอลลูนดูสิจะตอบยังไงกับคำถามหมัดฮุกแบบนี้จากปากผู้หญิงที่กำลังคบหา
“ไม่เกลียดเกย์..แต่เกลียดตุ๊ด” กรรม..ตุ๊ดกับเกย์มันต่างกันไหม
“อะไร..เกย์กับตุ๊ดต่างกันตรงไหน หนุ่ยเขาฝากถาม” ลูกแพรคิดเหมือนผม ซึ่งเนียนตักผัดไทยเข้าปาก แต่หูรอลุ้นคำตอบ
“ตุ๊ดแรดร่าน..แต่เกย์อย่างไอ้หนุ่ยพอทำใจได้ ยังไงมันก็เพื่อน” เออสรุปน้องกูมันเข้าใจตรรกะอะไรของมัน เผลอถอนหายใจโดยไม่รู้ตัว พานอิ่มเอาดื้อๆ ในขณะที่คนตั้งคำถามรีบรายงานปลายสาย
“บอลบอกหนุ่ยเป็นเพื่อนทำใจรับได้” แล้วมึงเป็นเพื่อนกันทำไมไม่ถามกันเองเล่าเว้ย หรือมันไม่กล้าถาม แต่กล้าให้เป็นพ่อสื่อให้พี่ชาย งงกับพวกมึงจริงๆ จากนั้นคุยอะไรกันอีกเล็กน้อย ค่อยส่งโทรศัพท์คืนผม
“หนุ่ยจะคุยด้วยค่ะ” ผมรับมาแนบหู
“ครับ..”
“วันเสาร์ดูหนังรอบบ่ายกัน ผมเลี้ยง” น้องชวน สงสัยสืบเนื่องจากนัดเมื่อตะกี้ละมั้ง
“ไม่แน่ใจดูก่อน” ผมตอบแบบขอไปที
“เดทแรกของเราอย่าปฏิเสธนะครับ” เสียงอ้อนจากปลายสาย
“อืม..ห้าทุ่มไม่ต้องโทรแล้วนะ ไว้คุยพรุ่งนี้ ขออาบน้ำทำการบ้านหน่อยเดี๋ยวงานไม่เสร็จ” ผมตอบรับ พร้อมกับตัดบทด้วย ไม่อยากคุยแล้ว
“ครับๆ พรุ่งนี้เจอที่โรงเรียน นอนหลับฝันดีครับบูตัส”
“อืม..ฝันดี” วางสายจังหวะบอลลูนเรียกเก็บตังค์พอดี น้องวนรถไปส่งลูกแพร ผมต้องอัปเปหิตัวเองไปนั่งเบาะหลังปล่อยสองคนคุยกันจุ๋งจิ๋งๆ อยากกลับถึงบ้านไวๆ จะได้พักผ่อนทำการบ้าน วนไปส่งลูกแพรก็ต้องอ้อมไปยูเทิร์นอีก ผมก็ต้องลงเปลี่ยนกลับมานั่งหน้าเหมือนเดิม
รู้สึกเหมือนเป็นตัวอะไรสักอย่าง เป็นไปได้อยากนั่งแท็กซี่กลับตั้งแต่ที่รู้ว่าบอลลูนจะมาส่งเธอด้วยซ้ำ น่าโมโหที่พอส่งเธอไม่ทันไร รถของแม่เธอก็เข้ามาจอดตามหลัง สรุปเธอไปตลาดกับแม่ แต่ดันให้แม่กลับเองเพราะเธอจะให้บอลลูนมาส่ง
บรรเจิดเหลือเกินความคิด แถมผมหงุดหงิดคือน้องดันหน้ามึนไม่อะไรยังไง ตกลงการเป็นแฟนนี่ต้องบริการขนาดนี้เลย ผมคงทำใจไม่ได้ถ้าเรื่องงี่เง่านี้เกิดกับตัวเอง ดีหน่อยที่น้องหนุ่ยไม่เยอะ กลับถึงบ้านปาเข้าไปห้าทุ่มกว่า แทนที่จะมีเวลาทำอะไรมากกว่านี้ ดันเสียเวลาไปกับการวนรถส่งคน พอถึงบ้านเลยหนีขึ้นห้องปล่อยบอลลูนจัดการปิดบ้านคนเดียวเสียเลย...
“ก็อกๆๆ..นอนหรือยัง” น้องเคาะประตูเรียก ผมกำลังอ่านหนังสือทบทวนวิชาเรียน
“มีอะไร” ลุกไปเปิด
“สอนโจทย์ข้อนี้ให้หน่อย ทำแล้วไม่เข้าใจ โทรถามไอ้วิทย์มันก็งงพอกัน พรุ่งนี้ต้องเอาคะแนน” น้องถือสมุดกับหนังสือในมือ
“อืม..เข้ามาสิ” ผมหันหลังเดินกลับไปที่โต๊ะหนังสือ น้องปิดประตูก้าวตามมาติดๆ ก่อนจะวางอุปกรณ์ลงบนโต๊ะ แล้วลากเก้าอี้อีกตัวมานั่งกางหนังสือหน้าที่มีปัญหา เลื่อนมาชี้ให้ผมดู
“ข้อนี้แหละ พรุ่งนี้มีสอบเก็บคะแนน” ผมพยักหน้ารับ ก้มหน้าอ่านทำความเข้าใจโจทย์ จนรู้ว่าต้องทำยังไง ค่อยเงยหน้าขึ้นมาถึงกับผงะหงายหลังเกือบตกเก้าอี้
“อ่ะ..เอร้ยยย!” เกือบเจ็บ หากไม่มีอ้อมแขนยาวรวบกอดผมไว้ทัน กลายเป็นตัวผมเข้าไปซุกอกของน้อง ปลอดภัยจากการตกเก้าอี้ แต่ดันผวาจนหัวใจเต้นรัวแทน
“ทำอะไร อยากเจ็บตัวหรือไง อยู่ดีๆก็หงายหลัง” อยากเถียงชะมัดอยู่ดีๆใครจะหงายหลัง ตกใจหน้ามึงแหละ อยู่จนชิดจมูกเฉียดแก้มกูเลย เสือกก้มมาได้ไม่ให้สุ่มให้เสียง
“ปล่อยได้แล้ว” ผมดันไหล่น้องออก ยอมคลายอ้อมกอดให้ผมนั่งอย่างปกติ ที่ไม่ปกติคือผมที่รู้สึกร้อนไปทั้งหน้า ผลพวงจากการหายใจไม่ออกตอนมุดหน้าซุกอกบอลลูน กลิ่นสบู่อ่อนๆเข้ามาเต็มปอดเลย
“อ่ะทำแบบนี้..บลาๆๆ” ผมรีบอธิบายวิธีทำ เบี่ยงหัวหนีเป็นระยะ น้องเอียงหน้าเข้ามาดูใกล้ๆ ตกลงมึงสายตาสั้นหรือไง
“มองไม่ชัดเหรอ” อดไม่ได้ถามอย่างสงสัย
“เปล่า..” ฟังคำตอบแล้วงง
“ถามทำไม” เสือกย้อนถามอีก
“เห็นก้มมองเสียใกล้”
“เอียงมองไม่ได้ก้ม นั่งข้างมันดูเอียงๆดูแล้วงง” นั่นคือคำตอบ ผมเลยเลื่อนสมุดที่เขียนวิธีทำพร้อมคำอธิบายไปอยู่หน้าคนมีปัญหาแทน แต่ปัญหาตกเป็นของผม กลายเป็นคนเอียงคอเข้าไปเขียนแทน ดันได้กลิ่นสบู่ที่กระจายออกจากซอกคอน้องเฉยเลย ปลายจมูกอยู่ห่างไม่ถึงคืบ
“ไม่สบายเหรอ” น้องถาม
“ทำไม” งง?
“ลมหายใจร้อน” น้องบอก..ผมไปไม่เป็น
“ทำหน้างง..มันเป่ารดคอเนี่ยะ” คำเฉลย ซึ่งคาดว่าตอนนี้หน้าผมคงเห่อแดงอย่างไม่ต้องสงสัย
“คงซ้อมมวย เลือดลมเลยร้อน” ตอบแบบน้ำขุ่นๆ หาคำตอบไม่ได้
“อืม..ไม่เป็นดีแล้ว ป่วยแล้วจะยุ่ง” พูดเหมือนจะห่วง
“มาต่อกันเหอะ” ผมดึงความสนใจกลับมายังคำอธิบายตรงหน้าแล้วเราก็หัวแทบชนกันอีกครั้ง ด้วยสภาพที่ต้องสลับกันเขียนสลับการอธิบายโจทย์ที่น้องให้ช่วยติว นี่เป็นความใกล้..ชิด ซึ่งผมไม่คาดคิดว่าน้องจะให้ผมช่วยติวมาก่อน เป็นนิมิตหมายที่ดีในความสัมพันธ์ของเรา เหมือนจะพูดกันได้มากขึ้น แต่ผมกลับไม่ชินการใกล้ชิดกับน้องเท่าไหร่ หรือเป็นเพราะถูกกระทำครั้งนั้น ทำให้ผมหวาดเกรงโดยไม่รู้ตัว..คงใช้แหละ...???
มาแล้วค่ะ อิน้องบอลสุดซึน
กนกกับโจ๊กมันยังเป็นอะไรที่...โฮ๊ะๆๆๆ

ขอบคุณที่ตามเป็นกำลังใจให้กันล้นหลาม รักคนอ่าน คิดถึงคนเม้นท์
อยากกอดทุกคน อิอิ...

Luk.
