- 2 -ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ “แม่!! น้องขี้”
“แม่!!..น้องเยี่ยวอีกแล้ว” เป็นประจำ ที่ผมจะต้องเรียกแม่ให้มาทำความสะอาด หลังน้องปล่อยสิ่งปฏิกูลใส่แพมเพิสเสมอ ผมกำลังเรียนรู้วิธีดูแลทำความสะอาดให้น้องจากแม่ แต่ยังไม่ชำนาญพอที่จะฉายเดี่ยวต้องให้สุดสวยเป็นมือเอก แล้วผมเป็นผู้ช่วยไปก่อน
หลังเลิกเรียนผมรับหน้าที่เลี้ยงน้อง แม้จะวุ่นวายกับบทเรียนที่ต้องอ่านหนังสือเตรียมสอบเข้าป.1 อีกไม่กี่เดือนข้างหน้า แต่ผมก็ไม่เคยให้น้องห่างกาย ข้างเก้าอี้ต้องมีเปลนอนของน้องอยู่ใกล้ๆ ดีอยู่อย่างบอลลูนไม่เคยร้องไห้งอแง แต่..ไม่เคยร้องเลยนี่สิ ทั้งที่อายุจะขวบแล้ว
“แม่..ไม่แปลกใจบ้างหรือ..ทำไมน้องไม่เคยร้องไห้ เหมือนเด็กคนอื่นเลยอ้ะ”
“แปลกหรือ แต่ก็เลี้ยงง่ายดีนะ” แม่ตีมึนสรุปเอาเองสั้นๆ
“แต่บูว่าแปลกสุดๆนะแม่ น้องไม่หลุดเสียงออกมาให้ได้ยินเลยบูกลัวน้องจะมีปัญหา..”
“อะไร..บูคิดว่าน้องเป็นอะไร”
“น้องอาจจะ..พูด..ไม่..ได้” ตาแม่วาวโรจน์ตบโต๊ะเสียงดัง
“ป๊าป!!..คิดไว้แล้ว เอาล่ะยังไม่สายเกินไปน้องเพิ่งขวบเดียวเอง บูลองหาวิธีง้างปากให้น้องหลุดเสียงร้องออกมาให้ได้สิลูก” อ้าว!..สุดสวยพูดง่ายๆซะงั้น ฮืมม..ฟังแล้วจะชวนให้ผมคิดง่ายๆ ตามอ้ะดิ
“แม่!!!!..เด็กพูดไม่ได้ จะง้างปากให้พูดเนี่นนะ” ต้องโวย..กระผมไม่ใช่เทวดานะครับ
“ลูกลองทำดูก่อนสิ” แม่ตอบเหมือนไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไร
“ทำไมพ่อกับแม่ไม่พาน้องไปตรวจ” ผมถามตรงๆ
“น้องไม่ได้ป่วย ทำไมต้องพาไปหาหมอ” ฟังแล้วอึ้ง!!
“น้องไม่ร้อง ไม่เปล่งเสียงเลยนะแม่..มันผิดปกติ”
“แม่ถึงให้บูหาวิธีให้น้องเปล่งเสียงยังไงเล่าจ๊ะ บูลองทำหรือยังล่ะ ไม่ควรเสียเวลามายืนเถียงแม่อยู่แบบนี้ กลับไปดูน้องแล้วหาทางให้น้องพูดออกมาสิจ๊ะ” อ้าววว!! ไหงกลายเป็นผมซะงั้นครับ =.=?
“แล้วใครกันที่รับปากพ่อกับแม่..ว่าจะดูแลไม่ทอดทิ้งน้อง ปัญหาแค่นี้ก็จนปัญญาเสียแล้ว แบบนี้พ่อกับแม่จะวางใจได้ยังไง” ประโยคจบข่าว บูตัสคนหน้าใสก้มหน้ารับภารกิจอย่างไร้ข้อโต้แย้ง แต่ขอเดินหน้าเชิดไปเริ่มปฏิบัติการให้เจ้าตัวกลมส่งเสียงพูดออกมา..แม้สักพยางค์ก็ยังดี
ตั้งแต่นั้นมาเป็นเดือนแล้ว ที่ผมคลุกอยู่กับบอลลูน พูดๆๆๆบอลลูนของผมจะต้องพูดได้...บอลลูนของผมจะต้องไม่เป็นอะไร
“พ่อ..”
“พ่อ..พูดสิพ่อ” ผมจ้องเจ้าตัวดีที่มองตาแป๋ว รอยยิ้มบริสุทธิ์เผยจากปากเล็ก จนเห็นเหงือกแดง แต่ก็ยังไม่มีเสียง
ฮืมมม..คำว่า ‘พ่อ’ คงออกเสียงลำบากไป เด็กน่าจะออกเสียง ’ม’ ได้ก่อน ไม่งั้นคำว่าแม่ของทุกชาติภาษาจะเป็นเสียง ’ม’ เหรอครับจริงไหม?
“แม่..แม..แม่..พูดสิบอลลูนแม่..แม่ๆๆๆ”ผมชี้นิ้วดึงความสนใจให้เจ้าตัวกลมจ้องปากผมเวลาพูด แต่ผลลัพธ์ยังเหมือนเดิมน้องยิ้มลูกเดียว
“บู..เรียกสิ..บู..บูๆๆ” เปลี่ยนเป็นชื่อผม
“บู..บอลลูนพูดซิ..บู..เรียกสิบูๆๆ” เจ้าตัวกลมยังยิ้มนิ่ง จ้องผมใหญ่ แล้วปากเล็กๆก็เริ่มขยับไปมา ผมลุ้นจนแทบลืมหายใจ
“บะ...” เสียงที่เบาแทบไม่ได้ยิน ถึงไม่แน่ใจว่าเป็นอะไร แต่..บอลลูนของผม..พูดแล้ว!!!!! ผมไม่คิดไปเองใช่ไหม?
“แม่..แม่..แม่” ผมพูดนำอีก บอลลูนน่าจะพยายามออกเสียง ‘แม่’ แต่ปากตัวเล็กกลับนิ่งไปซะงั้น
“บู..บู..พูดสิ..บูวววว” ผมลองเปลี่ยนมาเรียกชื่อตัวเอง ลากเสียงสระอูยาวววว..ไปถึงเชียงใหม่เลยมั้ง บอลลูนจ้องผมนิ่ง
ก่อนปากเล็กกะจิดริด จะเริ่มขยับอีกครั้ง..
“บะ..บุ..บู” เสียงเบาๆที่บอลลูนเปล่งออกมา แต่ดังกึกก้องในหัวใจผม!! ความสุข..ความดีใจ..ความตื้นตันผสมกันยุ่ง..
ออกมาเป็นน้ำตาซะงั้น ผม...กำลังร้องไห้ บอลลูนพูดได้คำแรก.. คือชื่อผม!!! พ่อกับแม่รู้คงดีใจ ผมทำให้บอลลูนพูดได้แล้วครับ!!
“บูอีกครั้ง..เรียกพี่อีกครั้ง..อึก..บูๆๆ” น้องจ้องผมก่อนจะขมุบขมิบปากเสียงเล็กๆ ลอดออกมาได้ยินชัดๆอีกครั้ง
“บุ..แอ้..แอ้..บู”
“ฮึกๆ..แม่!! แม่ครับ!!" ผมตะโกนเรียกแม่ไปน้ำตาไหลไป สุดสวยวิ่งหน้าตั้งเข้ามา
"บูตัสเป็นอะไรไปลูก..แล้วเสียงดังทำไม..เดี๋ยวน้องตกใจหมด"
"ฮ่าๆๆๆ..." ผมหัวเราะทั้งน้ำตา แม่มองอาการประหลาดของผม
"น้อง..ฮึก...น้อง..พูดได้แล้วครับ!!" แม่จ้องผมนิ่ง ก่อนละสายตาไปจ้องบอลลูนพร้อมๆกับสลับจ้องผมไปด้วย
“คิคิ..คิคิ”เสียงบอลลูนหัวเราะออกมา ผมกลับแม่เรามองหน้ากัน ก่อนเราจะระเบิดเสียงหัวเราะตามน้อง
“ฮะฮ่าๆๆๆ..” เสียงหัวเราะของเราผสมผสานเสียงหัวเราะเล็กๆของบอลลูน มันเป็นเสียงหัวเราะที่ล้นไปด้วยความสุขจากบ้านบริรักษ์
ถ้าพ่อรู้เข้าเราคงได้ฉลองใหญ่แน่ ฉลองที่บอลลูนของผมพูดได้แล้ว เสียงที่เจ้าตัวเล็กเปล่งได้คำแรกคือชื่อผม!! รักบอลลูนของพี่ที่สุดในโลกคร้าบ..ฮะฮ่าๆๆ!!!!!!!!!!
หน้าที่คนเป็นพี่ต้องดูแลปกป้องน้อง นับตั้งแต่นั้นบูตัสอยู่ที่ไหนย่อมเห็นบอลลูนเป็นเงาตามตัว เราห่างกันเฉพาะตอนเข้าเรียนน้องอยู่อนุบาล 3 ผมเรียนป.2
ปัญหามันมีอยู่ว่า..ผมจะปกป้องน้องได้อย่างไรถ้าสู้ใครไม่เป็น สาเหตุเล็กๆด้วยเรื่องของเด็กอนุบาลทะเลาะกัน บอลลูนตัวใหญ่ตามเชื้อชาติตะวันตก ทำให้ตัวโตกว่าเด็กในวัยเดียวกันมาก ผลของการทะเลาะกันของเด็กอนุบาลกลายเป็นการเอาคืนจากเด็กประถม เมื่อพี่ชายของคู่กรณีบอลลูนดันตบหัวน้องผมจนร้องไห้ และเพื่อนผมไปเห็นเข้าพอดีมันวิ่งมาบอกผมซึ่งติดเวรทำความสะอาดหลังเลิกเรียน
“บู..บูตัสเกิดเรื่องแล้ว..น้องมึงโดนรุ่นพี่ป.5 ตบกบาลยืนร้องไห้อยู่ที่สนามเด็กเล่น..รีบไปเร็ว” ผมทิ้งไม้ถูพื้นวิ่งนำโดยไม่รอฟังซ้ำ พอมาเห็นผมปวดใจจนตัวสั่น เมื่อน้องโดนรุ่นพี่ป.5 ดึงคอเสียบีบแก้มจนหน้าแดงก่ำ น้ำตาไหลเต็มหน้าเสียงสะอื้นอยู่ในคอเพราะมันบีบปากไว้จนแก้มบุ๋ม พวกเด็กๆที่อยู่ในเหตุการณ์ไม่มีใครกล้ายุ่ง รุ่นพี่กลุ่มนี้เป็นที่รู้กันดี..เกเรที่สุด
“จำไว้..ห้ามแกล้งน้องกู..ไอ้อ้วน!!” บอลลูนตัวสั่นงันงก หน้าเต็มไปด้วยน้ำตา ไม่รอช้าผมวิ่งเข้าไปผลักไอ้รุ่นพี่ร่างสูงจนมันเซปล่อยมือหลุดจากคอเสื้อบอลลูนทันที
“ปล่อยนะ..ทำไมรังแกเด็ก” ผมตะโกนเสียงดังใส่หน้ามันที่กำลังจ้องผมตาขวางอย่างเอาเรื่อง
“มึงเสือกอะไรด้วย..ไอ้หมูอ้วนนี่แกล้งน้องกู” เพิ่งสังเกต นอกจากมันยังมีเพื่อนมันอีกสองและเด็กผู้ชายตัวเล็กยืนข้างๆ ทำหน้าสะใจที่เห็นบอลลูนร้องไห้หมดรูป เข้าใจทันทีคงเป็นคู่กรณีของน้องชัวร์
“เด็กทะเลาะกันทำไมพี่ต้องใช้กำลัง สอนเค้าสิ” ผมเตือนสติ แต่คงทำให้มันรู้สึกเสียหน้า..ที่โดนเด็กรุ่นน้องอบรมเข้าให้
“มันเรื่องของกู มึงเสือกอะไรด้วย” มันตวาดเสียงแข็ง ตาวาวโรจน์อย่างเอาเรื่อง ไม่ฟังเหตุผล
“เขาเป็นน้องผมเอง” ผมเอามือลูบหัวบอลลูกที่ยังสะอื้นไม่หยุดคาดว่าคงตกใจกลัวไม่น้อย พยายามปลอบน้องไม่ต้องกลัว ผมจะไม่ยอมให้ใครทำบอลลูนเจ็บตัวเป็นอันขาด
“ดีเลย..ไม่ให้กูรังแกเด็กใช่ไหม เปลี่ยนเป็นมึงคงไม่ผิด กูจะได้ไม่โดนว่ารังแกเด็กอีก” พูดจบมันไม่รอให้ผมทักท้วง ร่างสูงเดินมาซัดกำปั้นใส่หน้าผมไปเต็มๆ
“พลั๊ก!!” เป็นการถูกต่อยครั้งแรกในชีวิต ตั้งแต่เล็กจนโตผมกลัวการมีเรื่องทะเลาะวิวาท ผมไม่ชอบการชกต่อยเกลียดการใช้กำลังที่สุด
“ต่อยผมทำไม..พูดดีดีก็ได้” ยกมือกุมปากเลือดซึมเพราะผนังด้านในกระทบฟันอย่างแรง คำพูดของผมไม่ได้ช่วยให้มันมีสติเลยสักนิด ตรงข้ามมันกลับ..
“พลั๊ก!..ผลั๊ว!!..ตุ๊บ!..ปั๊ก!..พูดด้วยหมัดนี่แหละ..ลูกผู้ชายเขาตัดสินแบบนี้ ใครแข็งกว่าเป็นผู้ชนะใครแพ้ก็รับกรรมไป” ผมโดนทั้งหมัดทั้งเท้าจนร่วงลงไปนอนกุมท้อง จุกเจ็บไปหมดจนร้องไม่ออก คู้ตัวงอคลุกฝุ่นยังกับไส้เดือนโดนน้ำร้อนลวก เลือดกำเดาออกปากจมูก บอลลูนแผดเสียงร้องไห้จ้า ในหัวมึนไปหมดถ้าไม่ได้เพื่อนมันสองคนมารั้งตัวมันออกไป ผมคงจมตีนดับอนาถอยู่ตรงนั้น
“พอแล้วเห้ย..มันร่วงแล้วกลับเถอะ”
“ถุย!..ที่หลังอย่าเสือก..นึกว่าจะแน่” ถุยน้ำลายใส่ผมทิ้งท้าย แล้วพวกมันก็พากันเดินจากไป ไม่คิดชายตาแลดูผลงานด้วยซ้ำ เพื่อนคนที่วิ่งไปตามผมมา..รีบเข้ามาดูอาการท่าทางหน้าซีดปากสั่น
“เป็นยังไงบ้างบูตัส กูว่ามึงไปล้างเลือดก่อนเถอะ” เสียงของมันกอปรกับหน้าตาเหมือนสะหยดสยองสภาพผมไม่น้อย บอกอาการได้ดียิ่งกว่าส่องกระจกเสียอีก ก่อนมันจะพยุงผมลุก ฝืนทนไม่ลืมคว้าข้อมือของบอลลูนจูงกันเดินตรงไปยังห้องน้ำ น้องยังคงร้องไห้ไม่หยุด สิ่งที่ทำได้ตอนนี้พยายามปลอบน้องให้หายกลัว
“ไม่เป็นไรแล้วบอลลูน..ไม่ต้องกลัวพี่ไม่เป็นไรแล้วครับ” แม้ผมจะพยายามปลอบน้องแค่ไหน ช่วยได้มากที่สุดคือเปลี่ยนจากเสียงร้องเป็นสะอื้นฮักๆน้ำตาเต็มแก้ม ซึ่งผมเองก็น้ำตาคลอเบ้าปวดใจสุดๆ
ไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดบาดแผลที่ถูกชกเท่าไหร่ แต่เกิดจากความโมโหตัวเองที่ไม่เอาไหนสู้ใครไม่ได้มากกว่า มันกลายเป็นความมุ่งมั่นที่ผมตั้งใจอย่างแน่วแน่ นับตั้งแต่วินาทีนี้ผมจะไม่ยอมงอมืองอเท้าอีกต่อไป หากต้องใช้กำลังพิสูจน์เพื่อยุติปัญหา โดยผู้ชนะคือเหตุผลที่ถูกต้อง ผมก็จะใช้กำลังเป็นตัวตัดสินไม่หลีกเลี่ยงหรือขลาดกลัวมันแล้ว
กลับถึงบ้านพ่อกับแม่ตกใจไปตามระเบียบ ร้อยวันพันปีไม่เคยที่บูตัสจะก่อคดีด้วยเรื่องชกต่อย พอเห็นหน้าบวมช้ำเบ้าตาเขียวปากแตก เสื้อนักเรียนเปื้อนไปด้วยกำเดา ย่อมเป็นเรื่องปกติที่พวกท่านจะตกใจ
โดยเฉพาะยิ่งเห็นหน้าอูมแก้มยุ่ยเต็มไปด้วยคราบน้ำตา ล้างแล้วก็ยังไม่หายเพราะบอลลูนเล่นร้องไม่หยุด ผิดกับตอนเด็กไม่ร้องสักแอ๊ะ! หนำซ้ำตากลมโตขนตายาวเกาะพราวไปด้วยวาวน้ำ แถมบวมแดงเพราะเจ้าตัวร้องมานาน
พ่อกับแม่แค่สอบถามถึงต้นเหตุ แต่ไม่ได้ลงโทษผมซ้ำ ทั้งที่พวกท่านสั่งห้ามไม่ให้มีเรื่องทะเลาะวิวาทอยู่ประจำ สุดท้ายผมก็หลีกไม่พ้น แม่เป็นคนทำแผลประคบเย็นตรงแก้มให้ ผมตัดสินใจพูดกับพ่อด้วยน้ำเสียงจริงจังหนักแน่น
“พ่อครับ..” พอผมเรียกสายตาอ่อนโยนก็มองตอบ ก่อนมือหนาที่แสนจะอบอุ่นค่อยลูบลงบนหัวผมเบาๆ แทนการปลอบโยน
“ว่ายังไงครับ” เสียงทุ้มนุ่มถามอย่างห่วงใย
“บูจะเรียนชกมวย” เป็นคำขอที่พ่อกับแม่คงไม่คิดมาก่อน พวกท่านรู้ว่าลูกชายเกลียดการใช้กำลังเป็นที่สุด จู่ๆมาบอกขอเรียนชกมวย
“บูแน่ใจหรือลูก” พ่อถามสั้นๆไม่ใช่แค่ขอคำยืนยัน ผมรู้ต้องการให้ตรึกตรองอย่างถี่ถ้วน ไม่ใช่วูบวาบไปตามอารมณ์ พ่อไม่ชอบให้พวกผมเป็นคนแบบนั้น ตั้งใจแล้วก็ต้องลงมือทำให้สำเร็จ ไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ พ่อไม่อยากให้เป็นคนที่มีจิตใจโลเล
“ผมไม่เคยแน่ใจเท่านี้มาก่อน” ผมตอบพ่อไปตามจริง หากจะดูแลปกป้องบอลลูนได้ คงต้องแกร่งและเก่งพอตัว
“ถ้าอย่างนั้นไม่มีปัญหา หลังจากนี้หนึ่งอาทิตย์ลูกได้เรียนแน่นอน เตรียมตัวได้เลย” นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ผมเรียนชกมวย ทั้งที่หลายคนมองว่ารูปร่างหน้าตาไม่อำนวยเลยสักนิด แต่ผมไม่เคยสนของแบบนี้หุ่นไม่เกี่ยว
มาต่อตอนแรกให้เลยค่ะ
หลังเห็นกำลังใจตามมาติดๆ แม้จะยังไม่ขยับหน้า แต่กว่ายี่สิบเม้นท์ ก็โอเคเลย
รักคนอ่านที่ตามงานเขียนทุกคน ดูแลสุขภาพกันบ้างเด้อ....

Luk.

ปล.เราพูดไม่เก่ง ได้แค่เนี่ยะ..อิอิ
