ตอนที่ 2 :: จำผมได้หรือเปล่า?? ::“อะไรนะครับ!!! อาร์กับพวกคุณน้าจะย้ายไปอังกฤษ!!”เด็กชายปรเมศในวัยสิบหกร้องเสียงดัง ทำเอาเด็กน้อยหน้าตาราวกับตุ๊กตาฝรั่งที่นั่งกินคุ้กกี้อยู่ข้างๆหันมามองด้วยความตกใจ
“เมศ อย่าเสียงดังสิ น้องอาร์ตกใจหมด”คุณหญิงชดช้อยเตือนเสียงเรียบก่อนเอื้อมตัวไปเช็ดขนมออกจากมุมปากเด็กน้อยที่นั่งยิ้มกว้างอยู่อย่างเอ็นดู
“ใช่จ๊ะเมศ พอดีน้าแฟรงค์ถูกโอนกลับไปที่สาขาแม่ที่อังกฤษ แล้วพวกญาติของน้าแฟรงค์เค้าก็อยากให้พวกเราไปอยู่ด้วยกัน”พิมพิกาเอ่ยขึ้น
“แต่ผมไม่อยากแยกกับน้องอาร์นี่ครับ”พูดจบก่อนดึงเจ้าตัวเล็กอ้วนกลมดูน่ารักน่าถนอมแบบตุ๊กตามากอด ส่วนเจ้าตัวที่ถูกกอดก็เอาแต่หัวเราะเอิ๊กอากด้วยความจั๊กจี้
“ไม่แยกเนอะ ไม่แยก”เสียงเล็กๆเอ่ยพลางตีแขนเด็กหนุ่มเบาๆเหมือนต้องการยืนยัน
“ช่ายยยยยๆไม่แยกเนอะ เนอะ”ปรเมศพยักเพยิดให้เด็กน้อยเช่นกัน กริยาที่เห็นตรงหน้าทำเอาแม่ของเด็กทั้งสองต่างส่ายหัวอย่างเอ็นดูปนขำ
บ้านอาชวโยธิน ครอบครัวของคุณพิทักษ์และคุณหญิงชดช้อย ผู้ซึ่งประกอบอาชีพบริษัทนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศนั้นประกอบไปด้วยบุตรชายและบุตรสาวอย่างละคน โดยมีนายปรเมศเป็นลูกชายคนโตและวรารีเป็นลูกสาวคนเล็ก โดยทั้งสองห่างกันแค่ปีเดียวทำให้ในความรู้สึกของปรเมศนั้น น้องสาวที่คลานตามกันมาออกจะเป็นตัวยุ่งสำหรับเค้าเพราะชอบแหย่ ชอบกวนเค้าเป็นประจำผิดกับเด็กน้อยอาร์เธอร์ นันทกร วินแฮม ลูกชายเพียงคนเดียวของบ้านวินแฮม เด็กน้อยที่ห่างกับเค้าถึงสิบปี!!แต่ความน่ารักน่าเอ็นดูช่างเหลือร้ายยิ่งกว่าใคร เค้ายังจำได้ว่าครั้งแรกที่เห็นชายหนุ่มเชื้อสายอังกฤษหน้าตาดีที่เค้าเรียกว่าน้าแฟรงค์และหญิงสาวหน้าหวานสวยลูกสาวท่านทูตนามพิมพิกาย้ายมาอาศัยข้างๆบ้านเค้านั้น เธอก็เริ่มท้องได้ประมาณ 4-5เดือนแล้วเนื่องจากชายหนุ่มได้รับคำสั่งจากบริษัทที่อังกฤษให้ย้ายมาทำงานที่บ้านเกิดของภรรยา และทั้งสองก็เห็นดีด้วยที่จะให้ลูกได้เกิดในแผ่นดินของผู้เป็นแม่จึงรีบกลับมาตั้งแต่ที่พอจะย้ายได้
เมื่อเวลาผ่านไปสี่เดือนกว่า เด็กชายนันทกรหรืออาร์ก็ถือกำเนิด วันแรกที่เค้าได้เห็นเด็กน้อยที่โรงพยาบาล เค้ายังจำได้ไม่เคยลืมว่าเด็กน้อยใช้มือเล็กๆนั้นกำนิ้วชี้ของเค้าแน่นแค่ไหน แล้วหลังจากนั้นปรเมศก็ตั้งตนเป็นพ่อคนที่สองของนันทกรทันที ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่พิมพิกาจะต้องไปทำธุระอะไรก็แล้วแต่ปรเมศจะอาสาเป็นคนดูแลหนูน้อยแทนทันที จนแม้แต่การพูดคำแรกหรือตั้งไข่ครั้งแรก เค้าก็เป็นคนที่ได้เห็นคนแรกเสมอ และสิ่งที่เค้ายิ่งกว่าภูมิใจที่สุด คือ........
“แอ๊ะ แอ๊ะ เอ๊ะ”มือเล็กๆตีลงบนต้นขาของเด็กชายที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างๆ คนโดนตีก็หันมายิ้มให้
“ว่าไงครับ น้องอาร์สุดที่รักของพี่เมศ ตีพี่จะเอาอะไรหรอ”เด็กน้อยปรเมศในวัยสิบขวบถาม
“เอ๊ะ เอ๊ะ เอ เอ”เด็กน้อยเงี่ยหูฟังอย่างสงสัย
“ว่าไงครับ หิวหรอ เปียกหรือเปล่า”
“บู้ว!!บู้ว!!เอ เอ เม เม”เด็กน้อยส่ายหัวชี้นิ้วมายังปรเมศก่อนจะพูดอีกครั้ง
“เห๋!!อย่าบอกนะว่า ไหนร้องพูดชัดๆอีกทีสิ”เด็กชายยกทารกน้อยเข้ามาใกล้ นันทกรชี้คนตรงหน้าแล้วพูดอีกครั้ง
“เม เม”
“เฮ้ย!!!ไหนเอาอีกรอบสิ ชัดๆ เมศ เมศ”
“เม เม๊ะ!!!”เสียงเล็กๆร้องอย่างขัดใจที่เสียงไม่เหมือนแต่แค่นั้นก็ทำให้ปรเมศดึงเด็กน้อยเข้ามากอดเต็มรัก แล้วเดินอย่างเร็วไปบอกแม่ของอีกฝ่ายทันที
“น้าพิม!!!น้องอาร์พูดแล้ว น้องพูดชื่อเมศด้วย!!!”หญิงสาวสองคนที่นั่งคุยกันอยู่นั้นหันมามองด้วยความตกใจและตื้นเต้นต่างรีบเดินไปหาเด็กน้อยทั้งสองทันที
“ไหนๆ จริงหรือ???ไหนพูดสิลูก พูดเร็ว”พิมพิกาบอกอย่างตื่นเต้น นันทกรยิ้มตาหยีคล้ายภูมิใจในบางสิ่งบางอย่างแล้วชี้นิ้วไปที่ปรเมศอีกครั้ง
“เม๊ะ!! เม๊ะ!!”ปรเมศยิ้มกว้างในขณะที่คนเป็นแม่หน้าเหี่ยว
“อะไรอะ ทำไมไม่พูดว่าแม่ก่อนหละ โธ่!!น้องอาร์รักพี่เมศกว่าแม่พิมพ์แล้วหรือเนี่ย”คุณหญิงชดช้อยหัวเราะคิก ไม่รู้จะช่วยปลอบอย่างไร รู้แต่ว่าตอนนี้ลูกชายตัวเองหลงรักน้องฝรั่งหัวปักหัวปำแล้วอย่างแน่นอน
.............................................
.........................
............
....
“อาร์ เป็นอยู่ที่นู้นต้องใส่เสื้อหนาๆนะ เพราะที่นู้นเค้าหนาวไม่เหมือนบ้านเรา”เด็กหนุ่มจัดการติดกระดุมเสื้อให้เด็กน้อย ส่วนคนติดก็รีบพยักหน้า
“อืม!! คุณแม่บอกว่าจะพาไปดูหิมะกองโตๆด้วย”นันทกรพูดอย่างอวดๆ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อพี่ชายสุดที่รักทำหน้าเศร้า
“พี่เมศเป็นอะไร อ๋อ!!พี่เมศอยากได้หิมะเหมือนกันใช่ม้า เดี๋ยวอาร์จะเอามาฝากเยอะๆเลยน้า อย่าทำหน้าเศร้าสิ”ปรเมศมองหน้านันทกรก่อนถอนหายใจออกมาแรงๆจับเจ้าตัวเล็กนั่งตักแล้ววางคางลงบนหัวทุยจับโยกไปโยกมา
“ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่อาร์จะได้กลับมานะสิ เฮ้อ!!!บินตามอาร์ไปเรียนที่อังกฤษดีไหมนะ”แล้วมะเหงกจากมารดาสุดที่รักก็ถูกมอบให้หนึ่งลูก นันทกรเห็นอย่างนั้นก็รีบเป่าพี่ชายที่ตอนนี้กุมหัวตัวเองใหญ่ หันแอบไปมองค้อนคุณป้าแสนสวยของตัวเองด้วย
“เหลวไหลใหญ่แล้วเรา อย่าพูดจาให้น้าพิมพ์เค้าลำบากใจสิ คิดจะไปต่อเมืองนอก เอาในเมืองไทยให้รอดก่อนเถอะ”
“แม่อะ!!”
“ไม่ต้องมาแม่อะ จะไปส่งน้องหรือเปล่า รีบไปได้แล้ว”พูดจบคุณหญิงก็เดินฉับๆไปที่รถ ปล่อยให้พิมพิกายิ้มแหยๆแล้วปล่อยให้เด็กหนุ่มอุ้มเจ้าตัวน้อยของเธอขึ้นรถตามไปอีกคน
“ขณะนี้เครื่องบินโบอิ้ง X357 เที่ยวบินกรุงเทพ-ลอนดอนได้พร้อมสำหรับการเดินทางแล้วคะ ท่านผู้โดยสารสามารถขึ้นเที่ยวบินนี้ได้ที่เกต H เครื่องงบินจะขึ้นอีกภายใน 20 นาที ขอให้ผู้โดยสารทุกท่านขึ้นเครื่องได้แล้วค่ะ ประกาศ เที่ยวบิน......”เสียงเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ที่ประกาศให้ผู้โดยสารขึ้นเครื่องนั้นราวกับเสียงมัจจุราชที่จะพรากเด็กชายนันทกรไปจากอ้อมกอดของปรเมศ เด็กหนุ่มน้ำตาซึมเมื่อคิดว่าไม่รู้จะเจอเด็กน้อยของเค้าได้อีกครั้งเมื่อไหร่ ร่างเล็กมองพี่ชายสุดที่รักแล้วก็ปาดน้ำตาให้ ร้องโอ๋ๆพร้อมตบหลังคนที่อุ้มตนอยู่เบาๆ
“สัญญานะอาร์ว่าอาร์จะไม่ลืมพี่เมศ อาร์จะต้องกลับมาหาพี่เมศนะ”
“อาร์สัญญา พี่เมศอย่าร้องนะ โอ๋ๆ อาร์ไปเที่ยวแปปเดียวเอง”หนูน้อยยังใช้นิ้วชี้กับนิ้วโป้งตั้งเป็นจีบเล็กๆให้เห็นว่าแปปเดียวจริง
“แม่ๆ ดูพี่เมศสิโตซะเปล่าร้องไห้ด้วย แถมต้องให้น้องอาร์มาปลอบอีก”วรารีกระซิบแม่ของเธอเสียงเบาแต่หน้าตากลับขำคนเป็นพี่เต็มที่
“พี่เค้ารักของเค้า แล้วเราจะไปแซวเค้าทำไม เรานั้นแหละน้องจะไปแล้วไม่เข้าไปลาน้องหน่อยละ”คุณหญิงชดช้อยอดดุลูกสาวคนเล็กไม่ได้ วรารีบุ้ยใบ้ไปทางพี่ชายก่อนกระซิบนินทาอีกครั้ง
“ก็คุณพี่ชายเล่นไม่ปล่อยอย่างนั้น หนูจะเข้าไปยังละคะ”คุณหญิงชดช้อยถอนหายใจเบื่อหน่ายเดินไปหาลูกชายคนโตทันที
“พอแล้วเมศ เดี๋ยวน้องจะร้องตามเราพอดี คืนน้องให้คุณน้าพิมพ์ได้แล้ว”พิมพิการับลูกน้อยมาจากปรเมศก่อนลูบหัวชายหนุ่มที่เริ่มสูงกว่าเธอไปมากแล้ว
“น้าจะพาอาร์กลับมาเยี่ยมบ่อยๆนะจ๊ะ”
“น้องร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง ชอบเป็นหอบบ่อยๆยังไงคุณน้าก็ต้องระวังมากๆนะครับ”
“น้าพิมพ์เค้าเป็นแม่เค้ารู้หรอกนะ........โชคดีนะพิมพ์ ยังไงก็กลับมาเยี่ยมกันบ้าง พี่คงคิดถึงพิมพ์มากทีเดียว”คุณหญิงชดช้อยยิ้มอย่างเศร้าๆ เสียดายเพื่อนบ้านรุ่นน้องผู้น่ารักคนนี้
“ค่ะ พี่ช้อย งั้นพิมพ์ลาละคะ น้องอาร์ลาคุณป้ากับพี่ๆซิลูก”
“ไปนะฮะคุณป้าช้อยสุดสวย พี่รี พี่เมศ”เด็กน้อยก้มหัวไหว้ก่อนโบกมือรัว วรารีดึงเจ้าตัวน้อยไปหอมแก้มทีหนึ่งแล้วยิ้มกว้าง
“บายจ้าตัวเล็ก สวัสดีคะน้าพิมพ์ น้าแฟรงค์”คู่รักหนุ่มสาวรับไหว้เด็กสาวก่อนรับไหว้เด็กหนุ่มที่ทำหน้าราวกับโลกจะแตกแล้วหันหลังเดินเข้าประตูตรวจเช็คร่างกาย
“เราก็กลับกันเถอะ”คุณหญิงชดช้อยชวนลูกทั้งสองกลับบ้าน ปรเมศยังคงหันกลับไปมองที่ประตูบานที่เด็กน้อยของเค้าเดินเข้าจนกระทั่งมันลับหายไปกับสายตา......
//////////////////////////////////////////
“น้องอาร์.......”เสียงพึมพำแผ่วเบาของคนที่ตนกอดอยู่ ทำให้นันทกรเงยหน้าขึ้นก่อนยิ้มรับ
“ครับพี่เมศ”ชายหนุ่มจับใบหน้าขาวแผ่วเบา จับหันซ้ายหันขวา เค้าโครงหน้าบางส่วนที่คุ้นเคยปรากฏแก่สายตา ชายหนุ่มยังคงพึมพำไม่เลิก
“น้องอาร์.......น้องอาร์จริงๆหรือ???”
“จริงๆซิครับ หรือพี่เมศลืมผมไปแล้ว”เด็กหนุ่มเอียงคอมองอย่างสงสัยก่อนจะต้องตกใจเมื่อชายหนุ่มกอดรัดตัวเองซะแน่นจนหายใจแทบไม่ออก
“น้องอาร์!!!!น้องอาร์จริงๆด้วย!!!น้องอาร์ของพี่ โอ๊ย!!!คิดถึงที่สุดเลย ไหนขอหอมแก้มให้หายคิดถึงหน่อย ฟอด!!!!ฟอด!!!ฟอด!!!!”เด็กหนุ่มยิ้มกับท่าทางโอเวอร์ของพี่ชายในความทรงจำของเค้า พอกำลังจะเอ่ยปากให้ชายหนุ่มหยุดการกระทำที่ทำให้เค้าหายใจไม่ออกก่อน เสียงกรีดร้องด้านหลังก็ดังขึ้น
“กรี๊ดดดดดดดดด!!!!นี้มันอะไรกันคะคุณเมศ ไอ้เด็กนี้มันเป็นใคร คุณถึงมาทำสวีทกับมันต่อหน้าแพรอย่างนี้ คุณจะหักหน้าแพรเกินไปแล้วนะคะ!!!”เด็กหนุ่มและชายหนุ่มต่างหันไปมองหญิงสาวที่ตอนนี้เธอกลายร่างเป็นยักษ์ไปเสียแล้วก่อนมองหน้ากันแล้วเด็กหนุ่มก็พูดขึ้น
“แฟนพี่เมศหรือครับ”ปรเมศกำลังอ้าปากจะตอบเสียงของแพรวาก็แทรกขึ้นมาทันที
“ใช่นะสิ!!!แล้วแกเป็นใครมากอดแฟนฉันอยู่นั้นแหละ”ปรเมศขมวดคิ้วเมื่อเห็นแพรวาใช้สรรพนามเหยียดน้องชายสุดที่รักของเค้าแถมมาตู่อีกว่าเป็นแฟนกันทั้งๆที่เค้าไม่เคยตกลงกับเธอเลยสักครั้ง ความสัมพันธ์แค่ชั่วครั้งชั่วคราวต่างหากที่เธอกับเค้าได้ตกลงกันไว้
“ผมนะหรือครับ.....ผมก็เป็นคู่หมั้นพี่เมศไงครับ”
“ห๋า!!!!”สองหนุ่มสาวต่างร้องออกมาพร้อมกัน นันทกรยกยิ้มก่อนจะทำหน้าเจ็บปวด มือข้างหนึ่งกำหน้าอกแน่น เข่าทรุดลง ปรเมศเห็นท่าไม่ดีรีบประคองน้องน้อยของเค้าไว้แนบตัว
“พี่เมศ หายใจไม่ออก อึก สงสัยหอบกำเริบ”
“อาร์!!ยาอยู่ไหน บอกพี่มาเร็ว!!”
“กระ......เป๋า...สะพาย..”ปรเมศรีบหยิบยาที่นันทกรใช้ตั้งแต่เด็กในกระเป๋าทันที เด็กหนุ่มครอบปากกับยาพ่นก่อนจะหายใจเข้าลึกๆ อาการหายใจติดขัดจึงดีขึ้น
“ไม่เป็นไรแล้วใช่ไหม??”ปรเมศถามอย่างเป็นห่วง นันทกรพยักหน้าอย่างเหนื่อยๆ เมื่อเห็นดังนั้นชายหนุ่มจึงอุ้มอีกคนขึ้นหลังแล้วเดินกลับเข้าบ้านทันที ปล่อยให้แพรวาที่ยืนอึ้งอยู่ยังงุนงงไม่หาย เด็กหนุ่มหันมามองแพรวาตาแป๊วผิดเมื่อครู่ก่อนยกยิ้มสวยส่งให้ เธอถึงได้เข้าใจในทันทีว่า...............เธอเจอคู่แข่งสุดแสบเสียแล้ว!!!!!
“แม่!!!แม่ พ่อด้วยครับ ลุกหน่อย ขอทางผมหน่อย!!!”
“อะไรกันตาเมศ ดึกแล้วยังส่งเสียงดัง.....ว้าย!!!!แกเอาใครมาเนี่ย......อ้าว?? หนูอาร์”คุณหญิงชดช้อยร้องขึ้นเมื่อลูกชายคนโตตะโกนให้เธอและสามีลุกออกจากที่นั่งก่อนวางใครบางคนลงบนโซฟาตัวยาว เมื่อมองดีๆจึงรู้ว่าเป็นน้องอาร์ของเธอนั้นเอง
“สวัสดีครับคุณป้าช้อย คุณลุงพิทักษ์”เด็กหนุ่มขยับตัวลุกขึ้นเพื่อไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองแต่โดนนายปรเมศกดไหล่ให้นอนลงอีกครั้ง
“นอนลงไปเลย ให้สีหน้าดีขึ้นก่อนค่อยลุกขึ้นมา”
“น้องเป็นอะไรหรือลูก”คุณหญิงชดช้อยถามด้วยความเป็นห่วง
“หอบกำเริบนะครับแม่”
“ผมไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกครับ แค่ปรับกับสภาพอากาศไม่ทันเท่านั้นเอง”เด็กหนุ่มแก้ตัวเสียงอ่อย
“แล้วทำไมบอกป้าละคะว่าจะมาวันนี้ป้าจะได้ไปรับ”
“ไม่ต้องลำบากหรอกครับคุณป้า ผมอายุสิบแปดแล้วนะครับ”นันทกรพูดหน้าเง้า คนฟังถึงกับยิ้มแล้วลูบหัวเอ็นดู
“เออ!!พูดถึง........แม่ ผมขอคุยด้วยหน่อย ยัยรี พ่อฝากดูอาร์ด้วยครับ”
“เอาสิ แม่พอจะรู้อยู่ว่าเราจะพูดอะไร”ว่าแล้วคุณหญิงชดช้อยก็เดินนำลูกชายไปที่ห้องอีกห้องทันที
“อยากถามเรื่องของน้องใช่ไหม??”คุณหญิงชดช้อยนั่งลงบนโซฟานิ่ม มองลูกชายด้วยสายตาคมกริบ
“ใช่........เรื่องคู่หมั้นหมายความว่าไงครับแม่”ปรเมศถามเสียงเขียว
“อย่างที่รู้ น้องอาร์จะมาเป็นคู่หมั้นของลูก เอาไว้หาฤกษ์ดีได้เมื่อไหร่ แม่จะให้จัดงานเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้”
“แม่!!!แม่เล่นอะไรอยู่ครับ ทำอย่างนี้ไม่ได้นะครับ อาร์เป็นผู้ชาย ผมก็เป็นผู้ชาย แบบนี้มันผิด คนอื่นเค้าจะคิดผมเป็นพวกวิปริตนะครับ!!”
“แม่ยอมให้แกเป็นพวกวิปริตชอบผู้ชายด้วยกัน ดีกว่าพวกมั่วไม่เลือกสุดท้ายก็ติดเอดส์ตาย”
“แม่!!!พูดแรงไปแล้วนะครับ”
“แรง??ตรงไหนไม่ทราบ ขนาดแม่ขู่แกขนาดนั้น แกยังเอาเลขาหน้าห้องมาได้เสียกันในห้องทำงาน แกนั้นแหละเห็นหัวแม่บ้างหรือเปล่า"คำพูดของคุณหญิงชดช้อยทำให้ปรเมศต้องหุบปากฉับ รู้สึกถึงกระแสน้อยใจของมารดา
“แต่........ผมไม่ได้ชอบน้องอาร์แบบนั้น”ชายหนุ่มกล่าวเสียงอ่อย
“บุญเท่าไหร่ที่แม่ยังให้แกหมั้นกับน้อง ไม่ใช่กับพวกกล้ามปู น้องออกจะน่ารัก ดูสิ!!!รึแกรังเกียจน้อง”ปรเมศรีบส่ายหัว
“ไม่ได้รังเกียจ แต่ผมรักอาร์แบบน้องเท่านั้น”
“อยู่ๆไปเดี๋ยวก็รักเองแหละ หรือแกอยากเปลี่ยนเป็นพวกกล้ามปู?? ได้ๆเดี๋ยวแม่จะลองติดต่อพวกลูกหลานไฮโซที่เป็นแนวนั้นให้นะ”ว่าแล้วคุณหญิงก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากด ทำเอาปรเมศรีบคว้าแย่งมาแทบไม่ทัน
“เฮ้ย!!!ไม่เอานะแม่”
“งั้นจะหมั้นกับน้องไหม??”หญิงชราถามอย่างเป็นต่อ
“......ก็ได้ครับ”คุณหญิงชดช้อยยิ้มอย่างสมใจก่อนลุกขึ้นแล้วเหมือนจะนึกบางอย่างออก
“อ๋อ!!ถ้าแกทำน้องเสียใจแม้สักนิดละก็.........”ท่าปาดคอของคุณหญิงทำเอาปรเมศกลืนน้ำลายเอื๊อกแล้วเดินคอตกตามหลังมารดากลับไปหานันทกรอีกครั้ง
“น้องอาร์จ๊ะ เดี๋ยวป้า อุ๊ย!!ไม่ใช่สิ แต่นี้ต่อไปต้องหัดเรียกแม่แล้วนะให้คนเอากระเป๋าขึ้นไปไว้ที่ห้องพี่เมศให้นะจ๊ะ........แล้วเมศอุ้มน้องขึ้นห้องด้วย”
“ห๋า!!!อะไรกันแม่ จะให้นอนห้องเดียวกับผมหรือ”ปรเมศถามเสียงตื่นอีกครั้ง
“ก็งั้นสิ คู่หมั้นกันไม่เห็นเสียหายตรงไหนเนอะ ยัยรี”คุณหญิงชดช้อยหันไปถามลูกสาวทันที
“ใช่คะแม่ เร็วๆเลยพี่เมศ”ขณะที่ชายหนุ่มไม่รู้จะค้านยังไง เสียงคนป่วยก็ดังขึ้น
“เอ่อ.......อย่าเลยนะครับคุณป้า พี่เมศเค้าก็ต้องการความเป็นส่วนตัวบ้าง ผมนอนที่ห้องรับรองแขกดีกว่าครับ”
“น้องอาร์ แม่บอกว่าให้เรียกว่าแม่ไง แต่เรื่องนั้นช่างก่อน จะเอางั้นจริงๆหรือจ๊ะ แม่ว่าอยู่ห้องเดียวกันจะดีกว่า”เด็กหนุ่มพยักหน้ายิ้มๆ คุณหญิงถอนหายใจ
“ก็ได้จ๊ะ แต่ยังไงวันนี้ก็ต้องนอนห้องพี่เมศไปก่อนนะ เพราะยังไม่ได้ทำความสะอาดห้องรับรองแขกเลย หนูยิ่งแพ้พวกฝุ่นอยู่ด้วย”นันทกรหันไปมองเจ้าของห้องที่ตนจะไปพักด้วยในคืนนี้ราวกับจะถามว่า ให้เค้าไปนอนที่ห้องด้วยได้ไหม ปรเมศก็พยักหน้าตกลง.......แค่คืนเดียวไม่เป็นไรหรอกมั้ง
“ครับ คุณป้า เอ๊ย!!คุณแม่ แหะ แหะ”เด็กหนุ่มรีบแก้เมื่อสายตาคนโดนเรียกชื่อจ้องอย่างจับผิด ว่าแล้วคุณหญิงชดช้อยก็ไล่ปรเมศให้อุ้มนันทกรขึ้นห้องทันทีเพื่อพักผ่อน
เมื่อขึ้นมาถึงบนห้องและต้องอยู่กันสองคนแล้ว ปรเมศถึงกับเหงื่อด้วยไม่รู้จะพูดอะไรด้วยดี แน่นอนเค้าอยากถามถึงชีวิตที่ผ่านมาของเด็กหนุ่ม อยากกอด อยากหอมให้หายคิดถึงเหมือนตอนเด็กๆ แต่เมื่อเจอเรื่องน่าช็อคอย่างเรื่องคู่หมั้นเค้าก็ไม่รู้ว่าจะทำตัวยังไงกับเด็กหนุ่มดี
“เอ่อ......แบบว่า นอนเลยไหม อ๊ะ!!แต่อาร์ยังไม่ได้อาบน้ำเลยนี่เนอะ เอ่อๆ....แบบว่า”
“พี่เมศไม่ต้องไปคิดมากเรื่องที่คุณป้าพูดเรื่องหมั้นของพี่กับผมหรอกครับ”นันทกรพูดออกมาเสียงเรียบ ทำให้ปรเมศชะงักเมื่อเห็นเด็กหนุ่มยิ้มให้ ก็ยิ้มแหยๆตอบกลับ
“คุณป้าเค้าแค่อยากดัดนิสัยพี่เมศเลยโทรไปปรึกษามัม พอดีกับที่ผมอยากกลับมาเรียนที่เมืองไทยพอดีและมัมก็อยากให้ผมมาอยู่ที่บ้านนี้เพราะกลัวเรื่องสุขภาพของผม คุณป้าเลยแกล้งยกเรื่องหมั้นขึ้นมาเพื่อให้พี่เมศเข็ดหลาบบ้างเท่านั้นแหละครับ”
“จริงหรือ??”
“จริงสิครับ แต่ผมว่าพี่เมศก็เพลาๆเรื่องพวกนี้หน่อยดีกว่ามั้งครับ ทำแบบนี้ไม่ดูไม่ดีเลยนะครับ”เมื่อโดนอดีตน้องชายข้างบ้านดุเข้าให้ ทำเอาชายหนุ่มอดหมั่นไส้ไม่ได้ แอบขยี้ไอ้แก้มนุ่มๆขาวๆด้วยความรักไปหนึ่งทีก่อนหงายหลังนอนอย่างโล่งอก
“เฮ้อ!!ค่อยยังชั่ว พี่นึกว่าเราจะเอาจริงไปกับแม่พี่ด้วย ว่าแต่คิดถึงจังเลยน้า เดี๋ยวเจ้าตัวเล็กของพี่โตซะแล้วจะยอมให้พี่กอดได้ไหมเนี่ย”ว่าแล้วก็พูดเสียงหวานใส่คนที่นั่งมองเค้ายิ้มๆอยู่โดยไม่รู้เลยว่ากระแสเสียงตัวเองนั้นอ่อนโยนกว่าที่พูดกับคนอื่นเพียงใด
“จะดีหรือพี่เมศ ผมโตเป็นหนุ่มแล้วนะ”นันทกรยิ้มแหย ทำเอาคนที่กางแขนอยู่ชะงักแล้วก็นึกได้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้านั้นไม่ใช่น้องอาร์ตอน 6 ขวบที่น่ารักของเค้าอีกต่อไปแล้ว แถมน้องยังเป็นผู้ชายอีก มากอดกันอย่างนี้คงดูไม่ดีเท่าไหร่
“คิก........ล้อเล่นน่า พี่เมศทั้งกอดทั้งหอมจนเนื้อตัวแล้วก็แก้มผมช้ำไปหมดแล้วผมยังจะมาหวงตัวทำไมละครับ”ว่าแล้วก็โถมเข้าหาอ้อมกอดของพี่ชาย ชายหนุ่มสูดดมผมนิ่มอย่างสุขใจ ลูบหลังบางนั้นเบาๆ
“เล่นซะพี่ใจหาย นึกว่าน้องอาร์ของพี่จะเปลี่ยนไปซะแล้ว พอโตเป็นหนุ่มก็ไม่ให้กอด”
“ก็พี่เมศอะใจร้ายกับผมก่อนนี้ ไหนบอกว่าจะไปหาผมที่นู้นก็ไม่เห็นไป”นันทกรเงยหน้าขึ้นจากอกกว้าง พูดว่าชายหนุ่มเสียงเบา
“พี่ขอโทษ พี่ไม่มีเวลาหน่ะ”ปรเมศเอ่ยขอโทษได้ไม่เต็มเสียงเมื่อนึกย้อนกลับไป ปีแรกๆเค้าก็ขยันเขียนจดหมายส่งรูปถ่ายไปหาน้องอยู่หรอก แต่เริ่มปีหลังๆเมื่อตอนเข้ามหาวิทยาลัยเค้าก็เริ่มสังคมที่กว้างขึ้น เพื่อนเยอะขึ้น เที่ยวติดพันผู้หญิง มีแฟนและเรื่องอื่นๆอีกมากมายทำให้ไม่เคยได้ไปหาคนในอ้อมกอดเหมือนดั่งที่ตั้งใจไว้เลย เชื่อว่าถ้าน้องไม่มาหาภายในสองสามปีนี้เค้าก็คงลืมน้องไปสนิทเหมือนกัน
“แต่เราก็โตขึ้นเยอะนะ สูงเกือบถึงจมูกพี่แล้วนะเนี่ย”ปรเมศบ่ายเบี่ยงไปเรื่องอื่นแทน
“ไม่เห็นโตเลย พวกเพื่อนๆผมชอบเรียกว่าไอ้เตี้ยอยู่เรื่อย”ว่าแล้วก็ทำหน้าบูด
“ก็พวกนั้นเค้าเป็นฝรั่งเต็มตัว ว่าแต่อยู่นู้นเป็นไงบ้างเล่าให้พี่ฟังหน่อยสิ”เด็กหนุ่มพยักหน้าก่อนเล่าชีวิตที่อังกฤษให้ชายหนุ่มฟัง ต่างฝ่ายฝ่ายต่างหัวเราะในเรื่องเล่าของแต่ละฝ่ายจนเวลาล่วงเลยผ่านไป ปรเมศหลับลงด้วยความเหนื่อยอ่อน นันทกรมองใบหน้าพี่ชายต่างสายเลือดของตนภายใต้ไฟสีส้มอย่างเอ็นดู ริมฝีปากบางประทับบนกลีบปากของอีกคนแผ่วเบา รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏบนใบหน้าดูใสซื่อนั้น
“คุณป้าอาจไม่เอาจริง แต่ผมไม่มีวันปล่อยพี่ไปหรอกนะ พี่เป็นของผมทั้งเมื่อก่อนทั้งตอนนี้และตลอดไป ผมกลับมาแล้วเพราะงั้นอย่าหวังเลยว่าจะมีผู้หญิงหน้าไหนได้ใกล้ชิดกับพี่อีก หึหึหึหึ ครั้งนี้ผมจะต้องไม่พลาดแน่นอน พี่ต้องเป็นของผมคนเดียวเท่านั้น......”
ติดตามตอนต่อไป
-------------------
Neya : สวัสดีคะ หายไปนานนิดนึง แบบว่าช่วงกินเจต้องไปช่วยงานบุญของเจ้านายที่ทำร่วมกับกิจการของที่บ้าน เพิ่งจะเริ่มว่างเองคะ ในตอนแรกมีแต่คนบอกว่าอีตาพี่เมศโคตรมั่ว
ฮ่าๆๆ ซึ่งมันก็จริงตามประสาหนุ่มโสดรุปหล่อ พ่อรวยคะ ถึงแม้จะหมั่นไส้อีตาพี่เมศยังไงก็ขอให้ติดตามเรื่องนี้กันต่อไปนะคะ