Lesson 50
( Kim Part )
หลังจากที่ผมออกจากบ้านหลังนั้นเวลามันก็ล่วงเลยผ่านมาแล้วถึงสามปีผมหนีขึ้นมาอยู่ทางเหนือของประเทศไทย โดยจังหวัดที่ว่านี่ค่อนข้างเจริญมากๆเลยครับชาวต่างชาติก็เยอะ....เชียงใหม่ครับ คือสถานที่ที่ผมเลือกจะมาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ โดยที่ทำงานเป็นลูกจ้างเงินเดือนก็พอประคองอยู่ได้เหลือเก็บนิดหน่อยครับ
“รัน เดี๋ยวช่วยดูลูกค้าฝั่งนู้นให้พี่หน่อยนะ”
“ได้ครับพี่สิงห์” พี่สิงห์ก็คือเจ้าของร้านเสื้อผ้าที่ผมมาทำงานด้วยครับ โดยที่ผมเป็นพนักงานต้อนรับและคอยดูแลลูกค้า ซึ่งพี่สิงห์เปิดร้านนี้กับพี่ทอยซึ่งพี่ทอยก็เป็นภรรยาของพี่สิงห์
“มีอะไรให้ช่วยไหมครับ” ผมเดินเข้าไปถามชายคนนึงซึ่งรูปร่างกำยำสูงใหญ่มากๆ แต่เค้าใส่แว่นดำ ซึ่งเค้าก็หันมามองผมแว๊บนึงแล้วก็เดินออกไป
“แปลกคนแฮะ” ผมงงนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้เอ๊ะใจคงมาดูเฉยๆมั้ง
“รัน ลูกค้าล่ะ” พี่สิงห์ถามผม
“ไม่รู้สิพี่ พอผมเข้าไปถามเค้าก็เดินออกไปเลย”
“หรอ เออช่างเค้าเถอะ...เดี๋ยวช่วงบ่ายรันคงต้องอยู่ร้านกับเจแค่สองคนอ่ะนะ เดี๋ยวพี่กับพี่ทอยจะไปเอาแบบชุดจากลูกค้าหน่อย”
“ได้ครับพี่ สบายมาก” ผมตอบรับคำและยิ้มให้...ร้านพี่สิงห์ไม่ธรรมดานะครับถึงจะเป็นร้านเสื้อผ้าก็จริงแต่ไม่ใช่แบบตลาดนัดนะ เป็นร้านแบบหรูหราเลยทีเดียว ดังนั้นคนที่จะเข้าร้านพี่สิงห์ได้ต้องมีเงินมากมายเลยทีเดียวเพราะเสื้อผ้าที่นี่ตัวนึงไม่ต่ำกว่าสามพันบาทครับ ขนาดผมทำงานมาได้สองปีกว่าๆยังหนาวๆร้อนๆเลยเวลาหยิบจับเสื้อผ้า เพราะราคาของมันแพงหูฉีกทีเดียว เงินเดือนแค่หมื่นสองอย่างผมไม่มีปัญญาซื้อใส่หรอกครับ เสียดายตังด้วย
“รัน กินอะไรหรือเปล่าเดี๋ยวเราจะไปซื้อข้าวแล้ว” เจถามผม เจก็คือพนักงานอีกคนที่อยู่คู่กับผมซึ่งเจจะตัวสูงใหญ่มากๆ ต่างกับผมลิบลับครับ
“เอาคะน้าหมูกรอบแล้วกัน เดี๋ยวเราหยิบตังให้นะ” พูดจบผมก็วิ่งไปหลังร้านเพื่อเอาตังให้เจ
“ฝากด้วยนะ”
“อ่าฮะ แปปเดียวเท่านั้นแหละ สิบห้านาทีรับรองได้กินชัวร์” แล้วเจก็เดินออกจากร้านไปอย่างรวดเร็ว ส่วนตอนนี้ผมก็เดินตรวจดูร้านๆรอบๆเพื่อเช็คความเรียบร้อยและความเป็นระเบียบของร้าน เพราะมีลูกค้าบางคนหยิบเสื้อผ้ามาแล้วก็วางระเกะระกะ ผมกับเจก็ต้องคอยตามเก็บเพื่อให้มันอยู่ในที่ของมัน
“รัน กินข้าวกับพี่ไหม” พี่สิงห์ถาม
“ไม่เป็นไรพี่เดี๋ยวผมเฝ้าหน้าร้านให้”
“เฮ้ย มากินด้วยกันเลยดิไม่ต้องเฝ้าหรอกเดี๋ยวพี่จะยกเข้ามากินในนี้”
“มันจะเหม็นแอร์นะพี่” ผมบอกพี่สิงห์เพราะร้านพี่แกเปิดแอร์ตลอดเวลาถ้าเอาอาหารเข้ามากินล่ะก็กลิ่นหึ่งแน่ๆ
“ช่างสิวะ พี่ร้อนนี่หว่าร้านก็ร้านพี่เพราะฉะนั้นไม่สน!!” พี่สิงห์ทำหน้ากวนๆแล้วก็ยกอาหารเข้ามานั่งกินหลังเคาร์เตอร์ ผมก็ยืนหัวเราะกับท่าทีของแก
“ไม่กินกับพี่จริงหรอ” พี่สิงห์เงยหน้าขึ้นมาถามหลังจากที่นั่งสวาปรามอย่างเอร็ดอร่อย
“ผมรอข้าวจากเจอยู่น่ะพี่”
“อ่ะๆ ตามใจ” แล้วพี่สิงห์ก็ก้มหน้าก้มตากินต่อ ดูๆแล้วพี่สิงห์เนี่ยก็เป็นคนที่น่าอิจฉาจริงๆครับ หน้าตาที่ขาวแบบตี๋ๆ หน้าก็เด็กกว่าอายุ แถมยังรักครอบครัวยิ่งกว่าอะไรซะอีก พี่แกเป็นคนเก่งมากๆครับ สร้างเนื้อสร้างตัวมาด้วยตัวเองจนเป็นคนที่มีชื่อเสียงมากๆในเชียงใหม่ ลูกสาวของแกก็หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู พาลให้ผมนึกถึงใครอีกคน...ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างนะ พี่จะลืมคนเห็นแก่ตัวอย่างผมรึยัง พี่จะเกลียดผมไหม แล้วถ้าสักวันนึงเราเจอกันมันจะเป็นยังไง......แต่ไม่มีวันซะหรอก ผมกับเค้าต้องไม่เจอกันอีก
“กลับมาแล้วครับ”
“ไหนบอกสิบห้านาที นี่มันเลยมายี่สิบสองนาทีแล้วนะ” ผมแกล้งบ่นๆครับ
“ขอโทษคร้าบบบบ ก็คนมันเยอะนี่นา” เจว่า แล้วก็ยื่นถุงข้าวมาให้ผม
“อ้าว ว่าแล้วกลิ่นอะไร พี่สิงห์แม่งเหม็นสปาร์เก็ตตี้ว่ะ” เริ่มแล้วครับศึกพี่น้องต่างสายเลือด เจกับพี่สิงห์เป็นลูกพ่อเดียวกันครับ แต่ว่าทั้งคู่เคยอยู่บ้านเดียวกันเลยรักกันแบบพี่น้องคลานตามกันมา
“เดี๋ยวกูเตะปากเลยไอ้น้องเวร ก็กูร้อนกูนี่” พี่สิงห์เถียง
“ร้อนก็เปิดพัดลงสิหลังร้านน่ะ ในนี่มันเหม็นคิดไม่เป็นหรือไงครับพี่” เจก็ยังไม่หยุดกวนพี่สิงห์ครับ
“แดกตีนกูนี่ จะได้แดกข้าวอร่อยๆ” พูดจบพี่สิงห์ก็ลุกไล่กวดเจทั่วร้านเลยครับ ส่วนผมก็เลี่ยงมานั่งกินข้าวอยู่หลังร้าน บางทีมันก็สนุกดีนะครับนั่งมองคนอายุ 22 กับ 28 ไล่ตีกันยังกับเด็กสองขวบทะเลาะกัน
หลังจากทานอาหารกันเสร็จเรียบร้อยพี่ทอยก็เข้ามารับพี่สิงห์ที่ร้านพร้อมกับลูกสาวของแกเพื่อที่จะไปทำธุระกันต่อซึ่งก่อนไปพี่แกก็รำพึงรำพันธ์อยู่นั้นเองว่า ไหวไหม จะมีปัญหาอะไรหรือเปล่า สารพัดปัญหาที่แกจะหยิบอ้างขึ้นมา จนบางครั้งเจก็ตะเพิดไล้พี่ชายตัวเองด้วยความรำคาญ
“ลูกค้าไม่มีเลยเนอะ ดีจัง” อยู่เจก็พูดขึ้นครับ
“ดีตรงไหน ร้านพี่สิงห์ก็ขายไม่ออกอ่ะสิ”
“หึ จะเป็นไปได้ยังไง ร้านพี่สิงห์ขายไม่ออก รอชาติหน้าเถอะ” อือ ก็จริงเพราะถึงหน้าร้านจะเงียบแต่ทางเว็บไซต์กับออร์เดอร์ทางโทรศัพท์ก็ไม่น้อยเลยนะครับ เรียกได้ว่างานเข้าแทบจะตลอดเวลา
“แล้วรันจะไปเรียนต่อไหมอ่ะ”
“เราก็ไม่รู้นะ เราอยากเก็บเงินไปอีกสักพักแล้วค่อยเรียนต่อน่ะ” ผมบอก เจก็พยักหน้าไม่ได้ถามอะไรต่อ นั่งเล่นไอโฟนของตัวเองต่อ ผมก็นั่งอ่านหนังสือไปเรื่อยๆครับ ตลอดทั้งวันก็มีลูกค้าแวะเวียนเข้ามาบ้างแต่ไม่มากเท่าไรนัก จนกระทั่งเวลาหนึ่งทุ่มตรงซึ่งเป็นเวลาที่ร้านต้องปิดแล้ว
“เจล็อกหลังร้านยังอ่ะ” ผมถามในขณะที่กำลังรูดประตูหน้าร้านลงอยู่
“อือๆ ปิดหมดแล้ว” แล้วผมกับเจก็ออกมาจากร้านแล้วก็ล็อกหน้าร้านเป็นอันเสร็จสิ้นภารกิจของวันนี้ ผมก็โดดซ้อนท้ายรถของเจเลยครับ ผมกับเจขับกลับทางเดียวกัน เจเลยอาสาไปส่งผมตลอด
“ฮัลโหล....ครับ.....ครับ....ได้ครับ....โอเคครับแม่” จากนั้นเจก็วางสายไปแล้วหันมามองผม
“วันนี้ขอส่งแค่หน้าปากซอยนะพอดีที่บ้านมีปัญหาน่ะ”
“อือ ไม่เป็นไรหรอกแค่นี้ก็เกรงใจจะแย่” จากนั้นเจก็ขับรถอย่างรวดเร็วจนกระทั่งรถจอดที่หน้าซอยทางเข้าห้องพักของผมผมก็ขอบใจเจไปตามเรื่องแล้วก็เดินเข้ามาในซอย แต่เอวันนี้ซอยมันมืดแปลกๆแถมผมยังรู้สึกไม่ดีอีกด้วยเหมือนมีคนตาม....ผมหันไปดูก็พบชายชุดดำประมาณสามคนเดินตามผมมาและมันก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆผมก็ออกแรงวิ่งเลยครับแต่เหมือนว่าจะช้าไปเพราะผมโดนกระชากหัวไว้แล้วก็มีรถวิ่งเข้ามา ผมถูกพวกมันเหวี่ยงผมขึ้นมาบนรถ
“อย่าทำอะไรผมเลยครับ ผมไม่เงินหรอกครับปล่อยผมไปเถอะ” ในรถมืดมากแต่พอรู้ว่าเป็นรถตู้ถูกดัดแปลงเอาเบาะออกจนมันกว้างขวางมีเพียงเบาะสุดท้ายเท่านั้น
“…” คนในความมืดไม่ตอบอะไรผม
“ผมขอร้องล่ะ พวกคุณต้องการอะไร” ผมพยายามพูดกับพวกเค้าอีกครั้ง
“คิดว่ายังไงล่ะ คุณ-รัน-พิ-สิทธุ์!!!!” น้ำเสียงคุ้นๆเหมือนกับว่าเป็นเสียงที่ไม่ได้ยินมานานมากๆ แต่ผมไม่เคยลืม เสียงของใคร...กันนะ
“ขอร้องปล่อยผมไปเถอะครับ ผมไม่เคยทำอะไรให้ใครนะครับ”
“จริงหรอครับ.....คิม”
“!!!”
ปล. แฮะๆ หายไปนาน