“ รักคืนรัง ”
ตอนที่ 15
‘ที่รัก’ ...ที่รักอย่างนั้นหรือ แค่เขตแดนเรียกผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าว่า
‘ที่รัก’ ทำไมธรณ์ถึงได้รู้สึกเจ็บที่อกซ้ายมันปวดแปลบขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
ไหนบอกว่าจะอยู่ข้างกันยังไงล่ะ นี่ยังไม่ทันไรก็จะทิ้งเขาไปอีกแล้วใช่ไหม ท่าทางที่สนิทสนมคุ้นเคยเหมือนรู้จักกันมานาน เอาเวลาไปรู้จักกันตอนไหน ทำไมเขาไม่เคยรู้เลย
เขาชอบเขตแดนเข้าจริงๆแล้วใช่ไหม แล้วที่กำลังรู้สึกอยู่นี่เรียกว่าอะไร
...‘หึงหวง’ เขามีสิทธิ์ด้วยหรือ
โง่จริงธรณ์! คิดแต่ว่าที่ว่างข้างๆเขาเป็นของเขตแดน แล้วเคยถามบ้างหรือเปล่า ว่าที่ว่างข้างๆเขตแดนน่ะเป็นของใคร
“เราจะไปจำน้องเขาได้ได้ยังไงล่ะเขตต์ ผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว” หญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวหันไปต่อว่าเขตแดนไม่จริงจังนักด้วยท่าทางสนิทสนม ก่อนจะหันมาแนะนำตัวกับธรณ์ “สวัสดีค่ะน้องธรณ์ พี่ชื่อ
‘ที่รัก’ หรือชื่อเต็มๆว่าสุทธิลักษณ์ เป็นเพื่อนสมัยอยู่มหาวิทยาลัยของเขตต์ค่ะ พี่เคยไปที่บ้านเขตต์ด้วย ไม่รู้น้องธรณ์จำได้หรือเปล่า”
ธรณ์อยากจะตะโกนออกมาเสียงลั่น...คนบ้าอะไรชื่อ
‘ที่รัก’ !! เขาก็นึกว่าเป็นสรรพนามที่เขตแดนเรียก หลงเข้าใจผิดไปหลายตลบ ที่ไหนได้ เป็นชื่อของเจ้าตัวเองหรอกหรือ แต่...เขาก็ยังไม่ชอบใจกับท่าทีสนิทสนมที่เธอมีให้เขตแดนอยู่ดี ไม่ชอบเลยจริงๆ
“มันนานแล้ว ผมจำไม่ได้หรอกครับ” ธรณ์ตอบไปตามตรง
ไม่ใช่ว่าจำไม่ได้อย่างเดียว ไม่เคยสังเกตด้วยต่างหากล่ะ เวลาเขตแดนพาเพื่อนมาทำรายงานที่บ้าน ธรณ์ก็มองแบบผ่านๆเหมือนไม่ใส่ใจ เลยจำไม่ได้หรอกว่าเพื่อนเขตแดนน่ะมีใครบ้าง เคยพาใครมาบ้าง อารมณ์แบบเด็กๆตอนนั้น บอกได้เลยว่าไม่อยากสนใจ คนที่แย่งความสนใจของเขตแดนไปจากเขา
“ไม่คิดไม่ฝันเลยนะว่าจะได้มาเจอ
‘แฟนเก่า’ ที่พัทยา” สุทธิลักษณ์พูดยิ้มๆ
“ให้มันน้อยๆหน่อยเถอะเธอ”
“หล่อเหมือนเดิม แล้วยังโสดเหมือนเดิมหรือเปล่าเขตต์”
คนถูกถามตีหน้าดุใส่ ไม่ตอบคำถาม ธรณ์ฟังเขตแดนกับสุทธิลักษณ์คุยกัน แล้วก็รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเป็นส่วนเกิน ความรู้สึกแบบนี้...ไม่ชอบเลยจริงๆ ไม่อยากให้เขตแดนสนใจใครมากกว่าเขาเลย
แล้ว
‘แฟนเก่า’ นี่มันอะไรกัน เขาไม่ยักรู้ว่าเขตแดนเคยมีแฟนมาก่อน คิดดูอีกที ถ้าไม่มีแฟนนี่สิถึงจะเป็นเรื่องแปลก แต่พอรู้ว่าเขตแดนเคยมีแฟน มันกลับเป็นเรื่องธรณ์ยอมรับไม่ได้ หรือถ้าต้องยอมรับจริงๆ...มันก็เป็นไปได้ยากเหลือเกิน เขาตอนนี้ไม่ต่างจากเด็กชายธรณ์คนขี้หวงในวัยเด็กเลยแม้แต่น้อย แต่อย่างน้อย...วันนี้เขาก็โตพอที่จะรู้จักควบคุมสติและอารมณ์ ไม่เรียกร้องความสนใจแบบเด็กๆเหมือนสมัยก่อน
สุทธิลักษณ์ยืนคุยกับเขตแดนพอหอมปากหอมคอก็เอ่ยขอตัว ความจริงแล้วส่วนมากเขตแดนจะเป็นคนฟังเสียมากกว่า มีแต่สุทธิลักษณ์ที่คอยหยิบยกเรื่องนั้นเรื่องนี้มาพูดไม่ขาดปาก
“ไปนะคะน้องธรณ์ ไปแล้วนะเขตต์ ไว้มีอะไรเดี๋ยวเราโทรหา”
เขตแดนโบกมือเป็นเชิงไล่ แต่คนถูกไล่ก็ไม่ถือสา ยังคงหัวเราะอย่างอารมณ์ดีและขยิบตาให้คล้ายจะยั่วเย้าอีก ธรณ์ฝืนยิ้มให้อีกฝ่ายตามมารยาท แล้วก็ต้องสะดุ้ง เมื่อมือใหญ่ของคนที่ยืนอยู่ข้างตัวยื่นมาอังที่หน้าผากเขา พร้อมกับหน้าคมที่เคลื่อนเข้ามาใกล้
“ไม่สบายหรือเปล่าธรณ์ หน้าตาดูไม่ค่อยดีเลยนะ”
“สบายดีครับ สงสัยผมจะไม่ได้ออกกำลังกายนาน” ธรณ์ปดออกไปคำโต
“แล้วนี่ไม่ว่ายน้ำต่อแล้วเหรอไง”
“ผมอยากไปเดินเล่นที่ชายหาดมากกว่า”
“ดีเหมือนกัน ตั้งแต่มาถึงเท้ายังไม่ได้เหยียบทรายเลย” เขตแดนลุกขึ้นยืน แล้วก็คว้าผ้าเช็ดตัวมาคลุมตัวธรณ์เอาไว้
จากตรงส่วนของสระว่ายน้ำ ทางรีสอร์ททำทางเดินเล็กๆลงไปยังชายหาด ชายหนุ่มสองคนเดินเคียงกันไป ไม่มีใครพูดอะไร ถ้าคนหนึ่งไม่ถาม และอีกคนก็ไม่ยอมอธิบาย แล้วเมื่อไหร่จะรู้เรื่องกัน คิดดังนั้นธรณ์จึงแกล้งทำทีเป็นกล่าวปนเสียงหัวเราะออกไป เหมือนจะพูดให้ฟังดูขำ ทั้งๆที่หน้าตาคนพูดไม่ได้บ่งบอกว่ากำลังรู้สึกขำเลยซักนิด
“ผมไม่ยักรู้เลยว่าพี่เขตต์เคยมีแฟนมาก่อนด้วย”
“หมายถึงใคร ที่รักน่ะเหรอ?” เขตแดนหันกลับมาหมายจะดูทีท่าของคนพูด แต่ธรณ์ก็เดินห่างออกไป
ผิดไหม...ถ้าอยากจะคิดเข้าข้างตัวเองว่าธรณ์กำลังหึงหวงเขา “พี่ที่รักเขาก็น่ารักดีนะครับ ทำไมถึงเลิกกันล่ะ”
ธรณ์รู้ เขาอาจจะควบคุมน้ำเสียงและท่าทางได้ แต่ถ้าลองได้สบตากับเขตแดน อีกฝ่ายต้องรู้ถึงกระแสความไม่พอใจของเขาแน่ๆ เพราะมันฟ้องออกมาชัดเจนทางสายตา ชายหนุ่มถึงต้องเดินเลี่ยงห่างออกมา ไม่อยากจะเปิดเผยความรู้สึกให้ตัวเองละอายใจ
เขาก็เป็นแค่คนที่เขตแดนต้องดูแล เป็นแค่น้องชาย จะมีสิทธิ์อะไรไปไม่พอใจเขตแดน ทั้งที่คิดได้อย่างนี้แล้ว แต่ธรณ์ก็ยังคงไม่พอใจอยู่ดี
“เราไม่ได้เลิกกันซะหน่อย” ถ้อยคำธรรมดาเปรียบเหมือนสายฟ้าฟาดลงมากลางใจ ปลายเท้าที่ย่ำบนทรายเนื้อนุ่มถึงกับเซไปคล้ายจะหมดเรี่ยวแรง ธรณ์เกลียดตัวเอง เกลียดที่ยังคงแคร์เขตแดนจนไม่เป็นตัวของตัวเอง เหมือนเด็กชายธรณ์ในวัยเด็กไม่มีผิด ปลายเท้าขยับพยายามจะก้าวย่างอย่างมั่นคง ก่อนจะต้องชะงักกึก...
“โอ๊ย!!” ธรณ์อุทานเสียงหลงออกมาด้วยความตกใจ ซวนเซจวนเจียนจะทรุดลงไปกองอยู่ที่พื้น ดีที่ว่าเขตแดนยื่นแขนออกมาคว้าไว้ทัน หน้าคมถึงกับเผือดสีไปเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าอะไรเป็นอะไร
“ไหวไหมธรณ์ เดี๋ยวพี่พยุงไปนั่งที่เก้าอี้ผ้าใบก่อน”
ธรณ์กัดฟันพยักหน้า เปลือกหอยอันไม่ใช่น้อย แต่ด้วยอารมณ์ที่แปรปรวนรวนเรของตนเอง ไม่ทันสังเกตสังกาและระมัดระวัง ถึงได้เหยียบลงไปเต็มแรงจนบาดเข้าที่เท้า เลือดสีแดงไหลออกมาจากบาดแผล แม้จะไม่น่ากลัว แต่ก็ไม่น่าดูเท่าไหร่นัก
เขตแดนพยุงธรณ์มานั่งลงที่เก้าอี้ผ้าใบ ลืมเรื่องที่คุยค้างไว้สิ้น เพราะถึงยังไงคนตรงหน้าก็สำคัญกว่า ต่างจากคนเจ็บ เจ็บแผลที่เท้ายังไม่เท่าเจ็บที่ใจ อะไรที่พูดค้างไว้ยังจำได้อยู่
เขตแดนทรุดตัวลงนั่งยองๆ ฝ่ามือใหญ่ประคองเท้าที่เปื้อนทรายขึ้นมาพลิกดู หน้าคมเคร่งเครียดจนติดจะเป็นดุ ถ้าเป็นเวลาปกติธรณ์คงนึกขำและอยากจะเอ่ยแซว แต่บังเอิญว่าตอนนี้อารมณ์ของธรณ์มันไม่ปกติเท่าไหร่ ติดจะขุ่นมัวเสียด้วยซ้ำไป
“เจ็บมากไหม”
“จริงๆพี่เขตต์น่าจะไปอยู่กับพี่ที่รักนะครับ นานๆจะมีโอกาสมาเจอกัน”
คนถามกับคนตอบพูดไปกันคนละเรื่อง จนเขตแดนต้องนิ่วหน้าออกมา ส่วนธรณ์ก็เสมองไปทางอื่น ลึกๆในใจอยากจะตบปากตัวเองแรงๆ ที่หัดพูดจาประชดประชันยิ่งกว่าผู้หญิง นี่เขาจะไม่เป็นตัวของตัวเองไปถึงไหนกัน แค่เขตแดนทำดีกับเขานิดหน่อย ทำไมถึงได้เผลอใจยอมเปิดเผยความเป็นตัวเองขนาดนี้
ไม่ดีเลยธรณ์...ชักจะอ่อนแอเกินไปแล้วนะ เกราะกำบังของนายมันหายไปไหนกัน ถูกผู้ชายตรงหน้าพังลงไปหมดแล้วเหรอไง
“แล้วจะเดินกลับบังกะโลไหวไหมเนี่ย”
“พี่ที่รักเขามาคนเดียวเหรอครับ”
“สนใจเขาจังนะ ชอบเขาเหรอไง” เขตแดนถามเสียงดุ
“ผมสนใจเขาก็เพราะว่า...เขาเป็นแฟนของพี่เขตต์ต่างหาก” มือใหญ่เอื้อมมาบีบจมูกธรณ์คล้ายจะหมั่นไส้ปนเอ็นดู จนธรณ์ต้องยกมือมากุมจมูกที่ไม่ต้องส่องกระจกก็รู้ทันทีว่าคงแดกเถือกแน่ๆ ก่อนจะเงยหน้ามองเขตแดนโกรธๆ ทว่าคนถูกมองก็ทำเหมือนเมินดวงตาโกรธๆนั่นไปเสีย แถมยังยิ้มใส่ตาธรณ์อีกต่างหาก
“เขามากับสามีเขา มาพักผ่อนกัน จะต้องให้พี่ไปกวนเขาอีกไหม”
แค่คำว่า
‘สามี’ ก็ดูเหมือนจะบอกสถานะของบุคคลที่สามได้ชัดเจน ธรณ์ได้แต่อ้าปากค้าง คนอย่างเขตแดนไม่เคยโกหก มีแต่ไม่พูดกับพูดไม่หมดเท่านั้นแหล่ะ มันน่านัก!!
“อ้าว...แล้วไหนเมื่อกี้บอกว่าไม่ได้เลิกกัน”
“จะเลิกกันได้ยังไง ในเมื่อไม่ได้เป็นอะไรกัน”
“พี่ที่รักเขาเป็นแฟนเก่าพี่เขตต์ไม่ใช่เหรอ” ธรณ์ทำหน้าเหรอหราทันที ก็เมื่อกี้ก็ได้ยินเองกับหู เห็นอยู่กับตา จะบอกว่าหูเฝื่อนตาฝาดก็คงไม่ใช่
คนที่ถูกคาดคั้นแทนที่จะทำหน้าไม่พอใจ กับอมยิ้มมุมปากด้วยความพึงพอใจอย่างที่ธรณ์ไม่ทันได้สังเกตเห็น ไม่เสียแรงที่เขตแดนหลงเชื่อเพื่อนรักสมัยเรียน นึกไม่ถึงว่ามุกตื้นๆแบบในละครหลังข่าวจะยังใช้ได้ผล ทำให้คนบางคนยอมเผยความรู้สึกให้เขาดีใจเล็กๆ
ไม่ต้องบอกว่าชอบ ไม่ต้องบอกว่ารัก แค่ได้รู้ว่าธรณ์มีเขาอยู่สายตา สนใจเรื่องของเขาบ้าง แค่นี้เขตแดนก็ดีใจมากแล้ว
“ยิ้มอะไรครับพี่เขตต์” คนที่ยังไม่ได้รับคำตอบ นิ่วหน้าถามเขตแดน
ผู้ชายคนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ผ้าใบ ส่วนอีกคนก็นั่งยองๆอยู่ด้านข้าง ก็คงเป็นภาพธรรมดาที่พบเห็นได้ทั่วไป แต่อะไรจะโรแมนติกไปกว่าพระอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้า ผู้คนรอบข้างที่เริ่มหายไป มันดูคล้ายฉากในภาพยนตร์รักที่ธรณ์เคยดูอย่างไรก็ไม่รู้ แล้วจะผิดไหม...ถ้าเขตแดนอยากทำตัวให้มันโรแมนติกสมกับบรรยากาศขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุมีผล
“ฟังพี่นะครับ...” เสียงทุ้มห้าวเอื้อนเอ่ยออกมาอย่างนุ่มนวล มือใหญ่ยื่นมาแตะแขนธรณ์ไว้
“พี่ไม่เคยมีแฟน จะแฟนเก่าหรือแฟนใหม่อะไรก็ไม่เคยมี อยากรู้ไหม...ว่าทำไม”
เขาว่ากันว่า...ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ และตอนนี้ธรณ์ก็เชื่ออย่างสุดหัวใจ เพราะดวงตาของเขตแดนที่มองสบมาที่เขา กำลังบอกอะไรหลายอย่างที่แม้ว่าจะอยากรู้ แต่ยังรู้สึกกล้าๆกลัวๆจนต้องมองเลยไปข้างหลัง มองยอดต้นมะพร้าวที่ไหวเอนตามแรงลม มองคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่ง มองจนรู้สึกสงบ แล้วจึงเบือนหน้ากลับมามองคนที่ตั้งคำถาม
“ทำไมครับ...”
“เพราะว่าพี่จะไปดูแลใครได้ยังไง ถ้ายังคอยเอาแต่คิดถึงเด็กผู้ชายตัวเล็กที่คอยวิ่งตามพี่อยู่ตลอดเวลา” ดวงตาที่มองสบมามันมีความหมาย มีคำพูดมากมายอยู่ในนั้น อยู่ที่ว่าคนฟังจะอยากได้ยินมันหรือเปล่า ธรณ์ยื่นมือมาแตะที่บ่าเขตแดน บอกเสียงเรียบๆว่า
“ผมอยากกลับบังกะโลแล้วครับ”
เขตแดนฝืนยิ้มออกมา ใจใครใจมัน บังคับกันไม่ได้ ถ้ายังไม่พร้อม เขาก็ไม่คิดจะเร่งรัดหรอก มาได้ขนาดนี้ก็ดีแค่ไหนแล้ว ไกลกว่าที่คิดและเคยวาดฝันเอาไว้เสียอีก
ชายหนุ่มขยับจะลุกขึ้นยืน แต่ก็ต้องชะงัก เพราะฝ่ามือของธรณ์ที่รั้งเขาเอาไว้ไม่ให้ลุกไปไหน เสียงทุ้มๆที่ดังมาเข้าหู บอกเขาทีว่าเป็นความจริง ไม่ใช่เสียงลมที่กระทบใบไม้ยอดหญ้าให้เขาหูแว่วเล่นๆ
“ให้ผม...ขี่หลังพี่เขตต์เหมือนเมื่อก่อนตอนที่ผมหกล้มได้ไหม” รอยยิ้มกว้างขวางฉาบไปทั่วดวงหน้าคมคายก่อนจะหันหลังให้ทันทีอย่างไม่ลังเล ธรณ์ขยับตัวจากเก้าอี้ผ้าใบไปเกาะหลังเขตแดน แม้จะตัดสินใจทำลงไปแล้ว แต่ก็ยังอดถามเพื่อความแน่ใจไม่ได้
“ไม่หนักใช่ไหมครับ”
“หนักแค่ไหน พี่ก็จะรับไว้ทั้งหมด” คนฟังเกิดอาการหมั่นไส้ครามครัน เลยแกล้งทิ้งน้ำหนักตัวลงไปเต็มที่จนคนรับน้ำหนักถึงกับเซไปเล็กน้อย ธรณ์หัวเราะออกมาเบาๆอย่างพอใจที่ได้แก้เผ็ดเขตแดน
“แต่ผมไม่หนักนะพี่เขตต์ เพราะตอนนี้ผมไม่ได้แบกอะไรไว้เลย” จะอีกกี่ครั้งที่มีธรณ์อยู่บนหลัง ความรู้สึกของเขตแดนก็ยังเหมือนเดิม อยากให้บังกะโลที่เห็นอยู่ข้างหน้าไกลกว่าเดิม อยากให้หนทางทอดไกลออกไป แต่ก็รู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้ ที่ทำได้ก็เพียงแค่ผ่อนฝีเท้าให้ช้าลง ชายหนุ่มชะงักฝีเท้าลงเล็กน้อยก่อนจะกลับเป็นปกติ เมื่อรู้สึกถึงใบหน้าของธรณ์ที่แนบลงมาที่หัวไหล่
“ขอผมอยู่แบบนี้ซักพักนะครับ”
ถ้าถามเขตแดน เขาอยากจะตอบเหลือเกินว่า...จะอยู่ตลอดไปก็ยังไหว
หน้าอกของธรณ์แนบชิดกับแผ่นหลังของเขตแดน เหมือนระยะห่างระหว่างคนสองคนที่ค่อยๆลดลง เข้าใกล้กันมากขึ้น เข้าใจกันมากขึ้น
====================
กลับมาถึงห้องพัก เขตแดนก็รีบทำแผลให้คนที่นั่งอยู่บนเตียง ถ้าถามว่าเป็นอะไรมากไหม ธรณ์ตอบได้เลยว่าไม่ แผลแค่นี้สำหรับเขา มันไกลหัวใจ แต่ก็แผลแค่นี้เช่นกัน ที่ทำให้หัวใจเราใกล้กันมากขึ้น
ธรณ์ยิ้มออกมาบางๆ เพิ่งรู้ว่าการที่ไม่ได้แบกรับอะไรไว้ ไม่ต้องสนใจใครหรืออะไรมันทำให้รู้สึกดีและสบายใจมากแค่ไหน
“แย่เลย...”
คนที่เพิ่งทำแผลให้เสร็จแกล้งบ่นลอยๆ และก็เรียกความสนใจจากคนที่นั่งห้อยขาอยู่ที่ปลายเตียงได้ผลชะงัดนัก
“ทำไมครับ”
“ก็ธรณ์เจ็บขา พี่กำลังคิดว่าคืนนี้จะพาไปกินซีฟู้ดบาร์บีคิวที่ห้องอาหารของโรงแรม”
ไม่ว่าเมื่อไหร่ เขตแดนก็ยังเป็นคนที่จับทางธรณ์ถูกเสมอ แค่คำพูดประโยคเดียว ก็ทำเอาคนเจ็บตาวาวยิ่งกว่าเด็กชายตัวน้อย ยามที่พี่ชายบอกจะพาไปปั่นจักรยานเสียอีก
“ซีฟู้ดบาร์บีคิว?”
“ใช่! เป็นบุฟเฟ่ต์นะ เขาจะมีของสด แล้วก็ให้เราเอาไปย่างบนเตาบาร์บีคิวเอง แต่ธรณ์เจ็บขาอยู่ ลุกขึ้นลุกลงไปยืนปิ้งย่างคงไม่ไหว เดี๋ยวพี่โทรศัพท์สั่งรูมเซอร์วิสมากินที่ห้องกันดีกว่า”
“ผมจะไป!!”
เขตแดนเบือนหน้ากลับมาหาธรณ์ มองเท้าธรณ์ ก่อนจะเงยหน้ามามองเจ้าของเท้า แล้วก็ตีหน้าเคร่งใส่เหมือนดุเด็กที่ไม่รู้จักโต
“ธรณ์เท้าเจ็บอยู่แบบนี้จะไปได้ยังไง”
“ผมไม่ได้เจ็บมากซะหน่อย ให้เดินก็ยังเดินไหว” ไม่พูดเปล่า ต้องมีหลักฐานประกอบ ธรณ์ อิสรพัฒน์เด้งตัวลุกจากเตียง เดินสวนสนามรอบห้องให้เขตแดนได้ดูเป็นขวัญตา
“แล้วเมื่อกี้ทำไมต้องขี่หลังพี่กลับมาด้วยล่ะ” เขตแดนถามคนที่หายป่วยกะทันหันยิ้มๆ
“ก็ผมอยากขี่หลัง ไม่ได้เหรอไงครับ” ธรณ์ยักคิ้วใส่เขตแดน แล้วก็คว้าผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำไป
คนที่ยังอยู่ข้างนอกก็ได้แต่หัวเราะเบาๆ เปลี่ยนอารมณ์เร็วเหลือเกินนะธรณ์ แต่ไม่เป็นไร เพราะไม่ว่ายังไงเขาก็จะตามให้ทัน
ความรู้สึกลึกๆในใจมันไม่ได้เพิ่งเกิดเพียงแค่วันสองวัน มันบ่มเพาะมาเนิ่นนาน จนเผลอนึกไปว่ามันคือความผูกพัน โชคดีที่เขารู้ตัวและยอมรับได้เร็ว พอรู้ตัวและยอมรับมันไปแล้ว ก็อยากจะพัฒนาให้มันไปไกลกว่านี้ ยิ่งแน่ชัดในความรู้สึกของตัวมากเท่าไหร่ เขตแดนยิ่งไม่อยากเก็บเอาไว้มากเท่านั้น
คำๆเดียวที่มีความหมายยิ่งใหญ่ ถ้าบอกออกไป แล้วจะทำให้เราเปลี่ยนไปไหม====================
[มีต่อนะคะ]