- STEP 10 –
สิ่งปลูกสร้างสไตล์โคโลเนียลสีขาว ดูโดดเด่นท่ามกลางมวลหมู่แมกไม้นานาพันธุ์ เป็นความสงบท่ามกลางความวุ่นวายของเมืองหลวง แต่ความสงบคงอยู่เพียงแค่ชั่วครู่ ก่อนจะถูกทำลายลงด้วยเสียงฝีเท้าดังตึงตัง ที่ทำเอาสตรีสูงวัยซึ่งกำลังนั่งร้อยมาลัย สำหรับเตรียมถวายพระอยู่ถึงกับหยุดชะงัก นิ่วหน้าเล็กน้อยก่อนจะยอมวางมือจากงานตรงหน้า
“คุณยาย...คุณยายคร้าบบบบบ แอลกลับมาแล้วคร้าบบบบบ” เด็กชายผิวขาวหน้ามน วัยสิบสองที่ยังคงสวมชุดนักเรียนมัธยมอยู่ แม้ว่าชายเสื้อจะหลุดรุ่ยออกจากขอบกางเกงสีน้ำเงิน มาหยุดยืนหอบต่อหน้าสตรีสูงวัย หยาดเหงื่อเกาะพราวทั่วดวงหน้าขาวกระจ่าง
พอเห็นหน้าคุณยายชัดเจนถนัดถนี่ ดวงหน้าขาวก็เจื่อนลงเล็กน้อย คุณหญิงอังกาบส่ายศีรษะด้วยความระอา และเหมือนเด็กชายจะรู้ตัว จึงรีบย่อตัวลงแล้วคลานเข่าเข้ามาด้วยท่าทางเรียบร้อย
“เจ้าแอล...ยายบอกกี่หนแล้วลูก ว่าอย่าเสียงดัง เวลาเดินอย่าลงเท้าหนัก ยายพูดเคยฟังบ้างหรือเปล่าลูก?” แม้น้ำเสียงจะเจือแววดุ ตามประสาผู้ที่เคยชินกับระเบียบวินัย แต่หญิงชราก็คว้าเอาหลานชายมากอดแนบอก ลูบศีรษะด้วยรักและความเอ็นดู
“แอลขอโทษครับ”
“แล้วนี่จะออกไปเล่นอีกล่ะสิเรา เพิ่งกลับมาจากโรงเรียนเองนะ แล้วดูสิ เสื้อแสงหลุดลุ่ยกลับบ้านมาทุกวัน”
เด็กชายหัวเราะแหะๆ ก่อนจะรีบกอดเอวคุณยายเป็นการประจบ แล้วพาเข้าประเด็นโดยทันที
“พอดีเวย์เขาจะมาช่วนแอลไปปั่นจักรยานที่สวนสาธารณะด้วยกัน คุณยายอนุญาตไหมครับ” เด็กชายเปลี่ยนมาถามเสียงเรียบร้อย อันเป็นกิริยามารยาทที่ถูกผู้เป็นยายฝึกมาตลอด นับตั้งแต่ถูกมารดาส่งมาอยู่กับคุณยาย
“ยายอนุญาต แต่อย่ากลับเกินห้าโมงเย็นนะลูก แล้วเดี๋ยวจะได้มาช่วยยายตำน้ำพริกกะปิ”
“คุณยายจะทำน้ำพริกกะปิเหรอครับ เดี๋ยวแอลจะรีบกลับมาช่วยทำอาหารนะครับ แอลไปปั่นจักรยานกับเวย์ก่อนนะครับ”
คุณหญิงอังกาบมองหลานชายคนรองด้วยความเอ็นดู รู้ดีว่าเจ้าหลานชายเองก็เรียบร้อยเฉพาะยามอยู่ต่อหน้า ลับหลังก็โลดโผนโจนทะยานประสาเด็กหนุ่มวัยรุ่น แถมยังชอบมีเรื่องชกตีเตะต่อยเสียด้วยซ้ำ แต่อย่างหนึ่งที่หญิงชรานึกภาคภูมิใจคือ เสน่ห์ปลายจวักที่ไม่ได้ถ่ายทอดไปยังลูกสาวเพียงคนเดียว อย่างน้อยหลานชายคนรองก็รับไปเป็นมรดกติดตัว ดีกว่าจะปล่อยให้สูญหายไปตามกาลเวลา
แต่พอถึงเวลาที่หลานชายจะต้องกลับบ้าน คุณหญิงอังกาบก็ต้องตกอกตกใจ เมื่อแม่บ้านคนเก่าคนแก่อุทานเสียงหลง พอย่างกายออกมาดูก็เห็นหลานชายตัวดี พาหน้าตาบวมช้ำแถมยังปากเจ่อกลับบ้านมาเป็นของฝาก
“เจ้าแอล!! ไปทำอะไรมา”“แอลไปต่อยหน้าไอ้อ้นมา เพราะมันเห็นแอลซ้อนจักรยานเวย์ มันเลยมาด่าว่าแอลเป็นตุ๊ด แอลไม่ชอบ”
คุณยายถอนหายใจยาว มองเจ้าหลานชายที่กล้าหาญตอบออกมาอย่างฉะฉาน แล้วก็ต้องถามเสียงอ่อน
“แล้วแอลเป็นอย่างที่เขาว่าหรือเปล่าลูก?”
หลานชายตัวดีส่ายหน้า เพราะเคยเห็นตุ๊ดที่โรงเรียนมาก็แล้ว ตัวเขาเองไม่ได้มีรสนิยมอย่างที่ว่าแน่นอน ที่จะมาทาปาก แต่งหน้า ทำตัวสะดีดสะดิ้ง
“ถ้าไม่ได้เป็นอย่างที่เขาว่า แอลจะเดือดร้อนทำไม ยิ่งแอลเป็นเดือดเป็นร้อน เขาก็ยิ่งชอบใจ คิดเสียว่าเป็นเสียงนกเสียงกา อย่าเอามาใส่ใจ เขาไม่ใช่ญาติโกโหติกาเรา อยากพูดอะไรก็ปล่อยเขาไป พอเหนื่อยนัก เดี๋ยวเขาก็หยุดเองลูก”
“คุณยาย แล้วทำไมแอลหน้าตาไม่เหมือนพี่เอฟ ไม่เหมือนเอสกับอาร์ล่ะ ใครเจอแอลก็ชอบมาชมว่าแอลน่ารัก หน้าเหมือนผู้หญิงบ้างล่ะ แอลไม่ชอบเลย แอลเป็นผู้ชายนะ”
หลานชายคนโปรดของคุณยาย ที่รับเอารูปหน้าจากมารดามาทุกกระเบียดนิ้ว ทำท่าขึงขังเอาเรื่อง ดูขัดกับหน้าตาของตัวเอง แต่ยังไงก็ยังแลดูน่าเอ็นดูมากกว่าน่ากลัว
“แอลไม่ดีใจหรือลูก ยายมีหลานอยู่สี่คน แอลเป็นหลานที่เหมือนลูกสาวของยายมากที่สุด แอลรักแม่ไหมลูก?”
“รักครับ แอลรักคุณแม่”
“ถ้าอย่างนั้นแอลก็ต้องดีใจ ที่แอลหน้าตาเหมือนคุณแม่นะลูก ใครจะพูดอะไรก็ช่างเขา อย่าเก็บเอามาใส่ใจ ตราบใดที่เขาไม่มีค่าควรให้เราใส่ใจ ฟังยายนะลูก แอลอาจจะไม่ชอบที่หน้าตาตัวเองน่ารัก แต่นี่คือสิ่งที่คุณป๋ากับคุณแม่ให้แอลมานะลูก”
“ครับ คุณยาย แอลจะไม่สนใจเวลาคนอื่นมาล้อแอลอีก แอลรักคุณแม่ คุณป๋าก็รักคุณแม่ คุณยายก็รักคุณแม่ แอลจะยอมหน้าเหมือนคุณแม่ก็ได้ ทุกคนจะได้รักแอลเหมือนที่รักคุณแม่”
.
.
.
ผมสะดุ้งตื่นมาตอนแปดโมง นี่เป็นครั้งแรกที่ผมฝันถึงคุณยาย นับตั้งแต่คุณยายจากไปตอนผมเข้ามหาวิทยาลัย พอเสียคุณยาย คนเก่าคนแก่ที่เคยอยู่รับใช้คุณยายก็แยกย้ายไปประกอบอาชีพอย่างอื่น หรือบางคนก็แก่ชรามากแล้ว ลูกหลานจึงมารับไปดูแล บ้านสีขาวหลังงามจึงถูกปิดตาย เพราะคุณแม่เองก็ไม่เห็นความจำเป็น ที่ผมจะต้องมาอยู่ในบ้านหลังใหญ่เพียงคนเดียว
ผมถูกคุณแม่ส่งมาอยู่กับคุณยายตอนอายุสิบเอ็ด เป็นช่วงที่กำลังจะเข้าเรียนมัธยมพอดี เพราะคุณแม่มีลูกชายสี่คน ด้วยความที่กลัวว่าคุณยายจะเหงา เพราะคุณยายมีลูกคนเดียวและเป็นลูกสาว ซึ่งก็คือคุณแม่ ที่พ่อแต่งงานกับคุณป๋าไม่นาน คุณป๋าก็หอบคุณแม่ไปอยู่อเมริกาด้วยกัน
ผมถูกส่งมาเพราะพี่เอฟ พี่ชายผมค่อนข้างเรียบร้อย แต่ผมนี่มีเรื่องราวกับชาวบ้านชาวช่องเขาทั่ว จนคุณแม่บอกว่า ถ้าคุณยายยังอยู่ในวัง ก็จะจับผมส่งเข้าวังด้วยซ้ำ คุณแม่บอกว่า เวลาเห็นผมเอาหน้าสะบักสะบอมกลับมาบ้านแล้วหัวใจจะวาย สงสัยเพราะผมจะหน้าเหมือนคุณแม่มากเกินไป
ส่วนเอสกับอาร์...ยังเด็กและเป็นฝาแฝดที่ไม่ยอมแยกกันอย่างเด็ดขาด แต่พอเอสกับอาร์อายุเท่าผม ก็ถูกส่งมาอยู่กับคุณยายเหมือนกัน เพราะคุณป๋าบอกว่าคุณแม่ชอบตามใจพวกเรา คุณป๋าไม่มีเวลามาปราบด้วย ต้องส่งมาให้คุณยายช่วยกำราบ
คุณยายเคยอยู่ในวังมาก่อน เป็นข้าหลวงเก่า ฝีมือการทำอาหารของคุณยายเป็นที่เลื่องลือ ตลอดเวลาที่ผมอยู่กับคุณยายก็ถูกเคี่ยวเข็ญสารพัด การทำอาหาร งานบ้านงานเรือน กิริยามารยาท เพราะคุณแม่ไม่ยอมรับมรดกของคุณยาย คุณยายจึงต้องถ่ายทอดให้ผม ผมเคยโอดครวญเมื่อตอนถูกบังคับให้ทำอาหาร หรือต้องมานั่งซักผ้าของตนเอง แม้กระทั่งทำตัวเรียบร้อยราวกับถวายตัวเข้าวัง
‘คุณยาย แอลไม่ใช่ผู้หญิงนะครับ ทำไมแอลต้องมาทำอะไรพวกนี้ด้วย’
จำได้ว่าผมอารมณ์เสียมาก เพราะชอบมีคนรู้แล้วเอามาล้อ ผมตำส้มตำ ที่คุณยายจะเอามาทำข้าวมันส้มตำ จนมะละกอแทบแหลกคาครก คุณยายตอบผมกลับมาว่า...
‘ใครเป็นคนกำหนดหรือเจ้าแอล ว่างานไหนคืองานผู้หญิง งานไหนคืองานผู้ชาย ทุกสิ่งทุกอย่างที่ยายสอนล้วนแต่เป็นความรู้ติดตัว เพื่อตัวแอลเอง คุณแม่เราเขาก็ไม่ยอมเรียนรู้ฝีมือการทำอาหารจากยายแล้ว นี่ก็จะปล่อยให้ความรู้มันตายไปกับยายอีกคนหรือ อย่าคิดว่ามันเป็นสิ่งที่น่าอาย เป็นสิ่งที่แสดงถึงความอ่อนแอ ทุกสิ่งทุกอย่างคือความรู้ ถ้ามันไม่ดี ยายจะสอนให้แอลหรือลูก ยายเคยสอนอะไรที่ไม่ดีกับตัวแอลบ้าง’
ทุกวันนี้ผมเลยรับเอาสเน่ห์ปลายจวัก ที่คุณยายเฝ้าเคี่ยวเข็ญและพร่ำสอนผมกว่าหกปี เป็นเสมือนมรดกติดตัวจากคุณยาย ที่พวกผู้หญิงบางคนยังอิจฉาผม มาตอนนี้ผมก็ต้องรู้สึกขอบคุณคุณยายเหมือนกัน ที่เฝ้าเคี่ยวเข็ญผมทุกอย่าง
คุณยายสอนผมเสมอ เรื่องการให้เกียรติ อย่าแบ่งแยกงานผู้หญิงงานผู้ชาย ขนาดเสื้อผ้าผมเอง คุณยายยังไม่ยอมให้แม่บ้านมาซักให้ผม บอกว่าผมต้องรับผิดชอบของตัวเอง จำได้ว่าตอนแรกผมโทรกลับไปงอแงให้คุณป๋ากับคุณแม่ฟังประจำ ว่าส่งผมมาลำบาก แต่ถึงตอนนี้ก็คงมีแต่ต้องขอบคุณคุณยายล่ะครับ
เฮ้อ...พูดแล้วก็คิดถึงคุณยายนะครับ
ผมคว้ากระดาษกับปากกามาจด รายการอาหารที่คิดว่าวันนี้จะลงมือทำ พูดแล้วก็จะหาว่าอวด คุณแม่ผมยังทำอาหารไม่เป็นเลยครับ คุณยายบอกว่ามีลูก ลูกไม่ยอมเอาซักอย่าง โชคดีที่หลานชายอย่างผมยังเอาบ้าง
.
.
.
พี่เภามารับผมตอนสิบเอ็ดโมง และพอเห็นรายการอาหารที่ผมจด รวมถึงข้าวของที่ต้องซื้อ ก็บอกว่าเดี๋ยวจะให้เด็กที่บ้านไปจ่ายตลาดให้ ความจริงผมก็เกรงใจอยู่เหมือนกัน ไปทำอาหารบ้านเขา แล้วยังต้องรบกวนเด็กที่บ้านเขาอีก แต่พี่เภาก็บอกว่ามันเป็นหน้าที่ของเด็กที่บ้าน แล้วเดี๋ยวพอเด็กกลับมา ผมค่อยเริ่มทำอาหาร
ส่วนตอนนี้...ผมกำลังนั่งเผชิญหน้าอยู่กับผู้หญิงที่ยังดูสาวและสวยกว่าอายุจริง คุณแม่พี่เภาครับ คุณแม่พี่เภาจ้องมองอย่างพิจารณา ตั้งแต่ผมก้าวเข้ามา จนผมเองยังรู้สึกประหม่า
“ม๊า...นี่น้องแอลที่ผมเคยเล่าให้ฟังไงครับ”
ผมยกมือไหว้คุณแม่พี่เภา กำลังสับสนว่าจะเรียกแทนด้วยสรรพนามอะไร ปากก็เผลอพูดออกไปทันที
“สวัสดีครับคุณป้า”
คุณแม่พี่เภาขมวดคิ้วคล้ายไม่พอใจ ผมก็ยิ่งนั่งตัวเกร็ง สมบัติผู้ดีกี่ร้อยบทที่คุณยายเคยพร่ำบ่นพร่ำสอน เพราะไม่อยากขายหน้าเวลาพาผมไปพบปะผู้หลักผู้ใหญ่ จะถูกผมหยิบมาใช้เอาก็ตอนนี้ล่ะครับ
“เรียกป้าทำไมฮึ เรียกม่าม๊าเหมือนพี่เภาสิลูก”
สงสัยผมจะลืมแคะหู หรือคุณแม่พี่เภาอาจจะพูดผิด แต่พอทำหน้างงมากเข้า พี่เภาเลยสะกิดแล้วบอกผมซ้ำ
“ม๊าพี่บอกให้แอลเรียกว่า ม่าม๊า ไงล่ะ”
“อ่า...ครับ ม่าม๊า”
คุณแม่พี่เภายิ้มกว้างอย่างพึงพอใจ พี่เภาเองก็กระตุกยิ้มที่มุมปาก ผมว่าสถานการณ์ดูน่าตกใจอยู่นะครับ เหมือนคุณแม่สามีกำลังต้อนรับลูกสะใภ้เลย..ฮือ...ไม่ใช่ผมนะครับ
“มานั่งตรงนี้เร็วลูก ม่าม๊าจะได้ดูหน้าน้องแอลถนัด”
ผมขยับเข้าไปนั่งตรงที่ว่างข้างคุณแม่พี่เภา เพราะไม่รู้จะเอ่ยปากปฏิเสธออกไปยังไงเหมือนกัน คุณแม่พี่เภายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ขณะประคองหน้าผมอย่างพินิจพิจารณา
“หน้าตาน่ารักน่าชังจริงเชียว ผิวพรรณก็ดีเหมือนที่เภาบอกเลย มาเป็นลูกชายม๊าอีกคนนะ”
ลูกชายใช่ไหมครับ ถ้าลูกชายก็โอเคครับ
“ม๊า ทำแอลกลัวหมดแล้ว จ้องซะอย่างกับจะสแกนรูขุมขน”
“เอ๊ะ! ปากเสียจริงเภานี่ ม๊าแค่อยากดูน้องแอลชัดๆเองนะ พี่เภาแกล้งอะไรน้องแอลหรือเปล่าลูก ถ้าพี่เภาทำอะไร บอกม่าม๊าเลยนะลูก”
ผมส่ายหน้าปฏิเสธ แกล้งน่ะไม่เคยหรอก แต่ถ้ากวนตีนน่ะ...นับไม่ถ้วนเลย แต่ตอนนี้ยังไม่กล้าฟ้องหรอก
คุณแม่พี่เภาให้อารมณ์คล้ายกับคุณแม่ผมเลย ที่ชอบโอ๋และตามใจผม แต่คุณแม่พี่เภาทำท่าจะโอ๋ผมมากกว่าคุณแม่ผมเองซะอีก แถมคุณแม่พี่เภาคุยเก่งมาก ชวนผมคุยตลอด ถามผมสารพัดเรื่อง ส่วนคนพามาก็นั่งฟังไปยิ้มไปลูกเดียว
“เภาบอกว่าน้องแอลทำกับข้าวเก่งมาก ไปเรียนมาจากไหนหรือลูก”
“คุณยายเป็นคนสอนครับ พอดีผมถูกส่งมาอยู่กับคุณยายตั้งแต่เด็ก แล้วคุณยายท่านเคยอยู่ในวัง ก็เลยสอนและเคี่ยวเข็ญผมครับ”
“ดีจัง อย่างนี้เภาก็สบายแล้วสิ” สองแม่ลูกเขาสบตากัน แล้วจะยักคิ้วหลิ่วตากันทำไมครับ
“ทุกวันนี้ก็สบายแล้วครับ แต่ยังอยากสบายมากกว่านี้ รออยู่นี่แหล่ะครับ” เหอะ...คุณแม่คุณลูกเขาคุยกันรู้เรื่องอยู่สองคน
“ปกติ...เอ่อ...ม่าม๊าอยู่กับคุณพ่อแค่สองคนเองเหรอครับ?” ผมถามเพราะเห็นที่บ้านมีกันอยู่สามคน แล้วถ้าพี่เภาอยู่คอนโดตลอด คุณพ่อคุณแม่ก็คงอยู่กันเอง
“เปล่าลูก เภาเขามีพี่สาวกับน้องชายด้วย แต่พี่สาวน่ะเขาติดสัมมนาที่ต่างจังหวัด ส่วนเจ้าคนเล็กก็นัดแฟนดูหนัง นี่ดีนะที่เภาพาน้องแอลมาอยู่เป็นเพื่อนม่าม๊า”
“ถ้าม่าม๊าเหงา เดี๋ยววันหลังแอลมาอยู่เป็นเพื่อนก็ได้ครับ”
เฮ้ย...ผมเผลอพูดอะไรออกไปเนี่ย สงสัยเพราะคุณแม่พี่เภาให้ความรู้สึกคล้ายคุณแม่ผมมากเกินไป ผมเลยเผลอทำตัวเหมือนเวลาอยู่กับคุณแม่ คุณแม่พี่เภายิ้มกว้างเลยครับ
“พูดแล้วห้ามคืนคำนะน้องแอล เดี๋ยวม๊าจะให้เภาพาน้องแอลมาหาม๊าบ่อยๆ”
สองแม่ลูกเขาสบตากันบ่อยดีนะครับ เดี๋ยวก็สบตา เดี๋ยวก็หลิ่วตา เดี๋ยวก็ยักคิ้ว...เป็นอะไรกันหรือเปล่า
“เห็นเภาบอกว่าน้องแอลก็อยู่คอนโดเหมือนกัน ที่บ้านไม่เป็นห่วงเหรอลูก ยังไงก็ให้พี่เภาคอยไปรับไปส่งได้นะ” เชื่อแล้วครับ ว่าเป็นแม่ลูกกัน มาแนวเดียวกันเลย
“ขอบคุณมากครับม่าม๊า” ผมตอบได้แค่นี้...จริงๆนะ
ก็ทุกวันนี้พี่แกก็ยึดหน้าที่นั้นไปเรียบร้อยแล้วนี่ครับ ผมเองก็ไม่อยากจะขัดหรอก ถึงจะรู้สึกทะแม่งๆ แต่ถ้ามันจะช่วยประหยัดค่ารถกับค่าน้ำมัน ผมจะทำไม่รู้ไม่ชี้ก็แล้วกันครับ
“เภาเคยบอกม๊านี่นา ว่าน้องแอลไม่ได้อยู่กับคุณพ่อคุณแม่ ยังไงคิดซะว่าม๊าเป็นคุณแม่อีกคนของน้องแอลเลยนะลูก เพราะน้องแอลนะ เภาถึงเปลี่ยนไปขนาดนี้”
เปลี่ยน...เปลี่ยนยังไง ผมเห็นคุณชายก็ยังเหมือนเดิม อ้อ...กวนประสาทผมน้อยลงครับ แล้วก็...ชอบรุกรานผมทางวาจามากขึ้นด้วย
คุยซักพักคุณแม่พี่เภาก็ขอตัว บอกว่าจะไปเอาของว่างมาให้ คุณชายหัวเราะหึหึก่อนจะขยับเข้ามาหา
“หัวเราะอะไร?”
“เป็นยังไง แม่สามี เอ๊ย แม่พี่ใจดีใช่ไหมล่ะ?”
“ใจดีมากกกกก ไม่เหมือนลูกชาย กวนประสาทที่สุด อยากจะถามม่าม๊าเหมือนกันว่าตอนเด็กเอาอะไรให้กิน” หึ...รู้จักผมน้อยไปซะละ แต่...คนเราหัวเราะทีหลังมักจะดังกว่า
“แหม...เรียกม่าม๊าเต็มปากเต็มคำเลยนะ”
จะด่ากลับก็ไม่ได้ เพราะม่าม๊า...เอ่อ...เอาวะ เลยตามเลยแล้ว นั่นแหล่ะ ม่าม๊าเดินมานู่นแล้ว พร้อมกับข้าวตังหน้าตั้ง ผมเลยทำได้แค่หันหน้าหนี แต่ไม่วายแอบด่าในใจ ต่อหน้าไม่ได้ ลับหลังก็ยังดีครับ
“เภา...แกล้งอะไรน้องเนี่ย เดี๋ยวเถอะ พอม๊าไม่อยู่ก็แกล้งน้องเหรอ ใช้ได้ที่ไหนฮะเรา”
หึหึ เป็นไงครับ ได้กลิ่นใครบางคนที่หัวเริ่มเน่าหรือเปล่าครับ
“แกล้งที่ไหนกันเล่า ใครจะกล้าแกล้งลูกชายคนใหม่ของม๊าล่ะ แค่มาวันเดียวเภาก็ตกกระป๋องแล้ว”
เออ...ผู้ชายตัวโตเขาก็ขี้ใจน้อยแล้วก็ขี้งอนเป็นเหมือนกันนะ แต่น่าสงสารที่ไม่มีง้อ แถมทำหน้างอได้ไม่เท่าไหร่ เด็กก็มาเรียก เพราะคุณพ่อคุณชายเขาจะให้ไปช่วยลงต้นไม้
“นี่ๆ...รอม่าม๊าแปบนะน้องแอล เดี๋ยวม่าม๊าไปเอารูปเภาตอนเด็กๆมาให้ดู”
.
.
.
ผมนั่งหัวเราะขำน้ำหูน้ำตาร่วงกับคอลเลคชั่นภาพถ่ายของคุณชายเขาเสร็จ ก็รีบโยกย้ายสำมะโนครัวมาที่ห้องครัวเลยครับ เพราะเด็กเขาซื้อของกลับมาพอดี ม่าม๊าเลยพาเด็กอีกสองคนมาคอยเป็นลูกมือผม มีม่าม๊าคอยสังเกตการณ์
“เดี๋ยวแอลจะทำกุ้งอบวุ้นเส้น เขียวหวานไก่ แกงจืดเต้าหู้ แล้วก็ยำผักกระเฉด ม่าม๊ากินได้นะครับ”
แฮ่...ผมคุยกับม่าม๊าแปบเดียวก็สนิท รู้ตัวอีกทีก็เผลอแทนตัวด้วยชื่อเหมือนเวลาคุยกับคุณป๋ากับคุณแม่ซะแล้ว ม่าม๊าพี่เภาน่ารักจริงๆนี่ครับ เล่าวีรกรรมสมัยเด็กของพี่เภาให้ผมฟังเพียบ
“ม๊ากินได้หมดแหล่ะลูก นี่...ถ้าวันไหนเบื่อพี่เภา ก็มาอยู่ม๊าแทนนะน้องแอล”
“โหย...อะไรเนี่ยม๊า ตัวเองมีเจ๊กับตี๋แล้วยังไม่พออีกเหรอ จะมาแย่งของผมอีก”
แขกไม่ได้รับเชิญเดินเข้ามาในครัว มาโวยวายประกาศความเป็นเจ้าของหน้าตาเฉย ถามความสมัครใจกันหรือยังฮะคุณชาย ผมยังไม่ได้เป็นของใครนะ
“ไม่มีใครน่ารักเท่าน้องแอลนี่นา เจ๊แกทำกับข้าวได้เหรอ อาตี๋ก็กวนประสาท ไม่เหมือนน้องแอลของม๊า ถ้าน้องแอลมาอยู่กับม่าม๊านะ สงสัยแม่บ้านตกงานกันทุกคนแน่เลย”
“แอลไม่ใช่คนใช้นะม๊า”
“แล้วม๊าบอกตอนไหนว่าน้องแอลเป็นคนใช้ แกอย่ามาเกะกะเลยเภา ออกไปรอข้างนอกกับป๊าแกนู่น”
ม่าม๊าโบกมือไล่พี่เภาไม่พอ ยังเอามือดันพี่เภาออกไปนอกห้องครัวอีก ผมเลยหันไปยักคิ้วให้ พี่เภาหันมาชี้หน้าคาดโทษผม แต่ไม่วายโดนม๊าตีมือและบ่นอีกระลอก
ผมเริ่มทำแกงเขียวหวานไก่ก่อน เพราะต้องเคี่ยวแกงนาน มีลูกมือสองคนนี่ผมทำเสร็จเร็วขึ้นเยอะ แถมมีม่าม๊าเป็นคนคอยชิมให้อีกต่างหาก ทำไปคุยกันไป เหมือนตอนผมทำอาหาร แล้วคุณแม่มาคอยยืนให้กำลังใจผมเลย คุณแม่ผมไม่ทำหรอกครับ บอกแล้วว่ามีแค่ผมที่รับมรดกมาจากคุณยาย หึหึ
“น้องแอลว่าพี่เภาเป็นคนยังไงคะลูก?”
ต่อหน้าม่าม๊า คงด่าลูกชายเขาไม่ได้สินะ จะพยายามนึกข้อดีให้ก็แล้วกันนะคุณชาย
“พี่เภาก็เป็นคนดีครับ มีน้ำใจครับ ตั้งใจทำงาน...”
“แล้วน้องแอลชอบพี่เภาไหมลูก?”.
.
.
ฮือ...ผมรู้แล้วครับ ว่าลูกชายเขารุกเก่งเหมือนใคร เหมือนม่าม๊านี่เลยครับ ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นจริงๆครับ กว่าจะทำอาหารเสร็จ ผมสะดุ้งเฮือกไปหลายสิบรอบ กับคำถามล้วงลับตับแตกของม่าม๊า อาทิเช่น...
“น้องแอลมีแฟนหรือยังลูก?”
“พี่เภาเขาไม่เคยตามตื๊อตามตอแยใครเลยนะ เพิ่งมีน้องแอลเป็นคนแรก แถมยังทำให้เภาเลิกเจ้าชู้เรี่ยราดอีก ม่าม๊าต้องขอบคุณน้องแอลจริงๆ”
“พี่เภาเขาเอาเรื่องน้องแอลมาเล่าให้ม่าม๊าฟังไม่หยุดเลย ว่าแอลอย่างนู้น แอลอย่างนี้...”
ผมเองเลยตัดสินใจถามม่าม๊าไปเหมือนกัน
“ม่าม๊าไม่ว่าไม่โกรธเหรอครับ ที่พี่เภาเขาชอบผู้ชาย”
“ม๊าจะโกรธ ถ้าคนนั้นไม่ใช่น้องแอล ตั้งแต่ที่เภาเจอแอลนะ ม๊าเห็นเค้ามีความสุขมากขึ้น ยิ้มง่ายขึ้น ตั้งใจทำอะไรมากขึ้น ราวกับเป็นคนละคนกับเมื่อก่อนเลย เรื่องชู้สาวเขาก็เลิกหมด เวลาเขามาเล่าถึงน้องแอลให้ม๊าฟัง ทำให้ม๊าอยากรู้จักทุกครั้ง ว่าน้องแอล คนที่ทำให้ลูกชายม๊ามีความสุขเป็นคนแบบไหนกัน”
“ตอนแรกม๊าก็ตกใจ ที่รู้ว่าเภาชอบผู้ชาย ม๊านึกว่าตัวเองเลี้ยงลูกไม่ดี ให้ความอบอุ่นลูกไม่พอ แต่เปล่าเลย...น้องแอลทำให้เภาเป็นผู้เป็นคนมากขึ้น น้องแอลอาจจะไม่รู้ ม๊าก็ไม่อยากเล่าหรอก น้องแอลต้องไปถามพี่เขาเองนะลูก แต่เชื่อม่าม๊าเถอะ...ว่าพี่เภาเขารักหนูจริงๆ”
พอทำอาหารเสร็จเรียบร้อย ม่าม๊าก็จูงผมออกมานั่งที่โต๊ะกินข้าว ปล่อยหน้าที่ที่เหลือให้เป็นของเด็กรับใช้กับแม่บ้าน ผมทำท่าจะเข้าไปช่วย แต่ม่าม๊าก็ดึงแขนผมไว้
“เอ๊...ม๊าบอกแล้วไงว่าน้องแอลเป็นลูกม่าม๊า เป็นแม่บ้านให้พี่เภาเขาก็พอลูก ม๊ามีแม่บ้านของม๊าแล้ว”
ผมเลยได้แต่เออออห่อหมก เดินตามแรงจูงของม่าม๊ามาที่โต๊ะกินข้าว มีผู้ชายที่คาดว่าน่าจะเป็นคุณพ่อของพี่เภานั่งอยู่ก่อนแล้วกับพี่เภา ม่าม๊าดันผมให้นั่งข้างพี่เภา ส่วนตัวเองก็ไปนั่งข้างคุณพ่อ พอผมยกมือไหว้คุณพ่อ คุณพ่อก็ทำผมตะลึงอีกคนแล้วครับ
“อ๋อ นี่เอง แอลที่เภาชอบเอามาเล่าให้ฟังบ่อยๆ น่ารักกว่าที่คิดอีกนะ”
สงสัยงานนี้ต้องมีเคลียร์ครับ คุณชายเอาเรื่องผมมาเล่าอะไรไว้บ้างเนี่ย ทำไมทุกคนถึงทำเหมือนรู้จักผมดีกว่าตัวผมเองอีกล่ะครับ
“ป๊า...อาหารเย็นน้องแอลทำเองหมดเลยนะ เมื่อกี้ตอนอยู่ในครัวม๊าชิมแล้ว อร่อยทุกอย่างเลย ลูกสาวเราชิดซ้ายเลยล่ะป๊า” ม่าม๊าไม่ต้องทำคะแนนให้ผมก็ได้ครับ ผมไม่ได้มาสมัครเป็นลูกสะใภ้...ฮือ
“มีพี่น้องอีกไหมล่ะแอล ป๊าจะได้ขอให้มาช่วยดูแลลูกป๊าอีกสองคนหน่อย”
“มีครับ มีพี่ชายหนึ่งคนกับน้องชายอีกสองคนครับ”
ม่าม๊าทำตาโตประสาคนจีน ที่เห่อลูกชาย ยิ่งพอเจอบ้านผมที่มีถึงสี่คน ม่าม๊ายิ่งอิจฉาคุณแม่ผมใหญ่เลยครับ
“พี่ชายอายุเท่าไหร่เหรอน้องแอล ม๊าจะขอให้ลูกสาวม๊า”
ผมนึกถึงพี่เอฟ...คุณพ่อคนที่สองของผมแล้วก็ได้แต่หัวเราะหึหึ เอสกับอาร์มันเคยพูดถึงพี่เอฟว่า
‘หมาแม่ลูกอ่อน จงอางหวงไข่ สิงโตหวงลูกยังแพ้พี่เอฟของพวกเรา แต่โชคดีนะ...ที่พี่เอฟเขานับแอลเป็นลูกเขาคนเดียว เอสกับอาร์เลยรอดตัว’นั่นล่ะครับ...พี่ชายผม ที่ทุกคนรู้ดีว่าทำตัวประหนึ่งคุณพ่อคนที่สองของผม
“พี่เอฟอายุ 25 แล้วครับ ช่วยงานคุณป๋ากับคุณแม่อยู่”
“หืม? เอฟกับแอล ชื่อเป็นตัวอักษรทั้งคู่เลย ความคิดดีนะเนี่ย แล้วอีกสองคนก็เป็นตัวอักษรด้วยหรือเปล่า”
“ครับ ตัวอักษรหมดเลย พี่เอฟ แอล เอส อาร์ แต่เอสกับอาร์เป็นฝาแฝดกันครับ”
ผมเห็นพี่เภาแอบเบิกตากว้างกับข้อมูลที่เพิ่งรู้ของผม ถ้ารู้กิตติศัพท์และฤทธิ์เดชของพี่ชายผมแล้วจะหนาวกว่านี้อีก อ้อ...ความแสบของเจ้าแฝดนรกนั่นด้วย ครอบครัวผม...เยอะทุกคนครับ พอเจอแล้วจะบอกว่าผมน่ารักที่สุด หึหึ อ่า...คุณแม่ผมน่ารักที่สุดก็ได้ครับ
“เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าแอลมีพี่น้องด้วย เวย์ไม่เห็นเคยเล่าให้ฟัง พี่ก็ยังไม่เคยเจอ”
น้อยคนครับที่จะรู้เรื่องครอบครัวผม แต่อย่างน้อยเพื่อนรักผมสามคนก็รู้ เพียงแต่ว่าไม่ค่อยพูดถึงกันเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ใช่ความลับอะไร แค่ไม่ค่อยมีใครถามผม
“พี่เภาเจอสิแปลก ก็ครอบครัวผมอยู่ที่อเมริกากันหมด คุณป๋ากับคุณแม่เขาทำธุรกิจอยู่ที่นู่น แล้วก็อยู่ที่นั่นตั้งแต่ผมยังเด็กแล้ว มีแต่ผมที่ถูกส่งมากับคุณยายตอนมัธยม เลยมาอยู่ที่เมืองไทยนานกว่าคนอื่น ส่วนเจ้าแฝดถูกส่งตามมาทีหลัง แต่โดนคุณแม่ลากกลับไปแล้วครับ”
“หืม...ความรู้ใหม่เลยนะเนี่ย”
“ไม่ต้องทำหน้าตื่นเต้นขนาดนั้นก็ได้ ไม่ได้ออกข้อสอบ”
ผมประชดคนที่ตั้งหน้าตั้งตาฟังด้วยความหมั่นไส้ นี่ถ้าหยิบสมุดขึ้นมาชอร์ทโน้ตได้ พี่แกคงทำไปแล้วละ ประวัติชีวิตผมไม่ได้มีออกข้อสอบนะครับ
.
.
.