[เรื่องสั้น - Hidden Love] Foolish Beat [pg.4, 6/7/58]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [เรื่องสั้น - Hidden Love] Foolish Beat [pg.4, 6/7/58]  (อ่าน 139973 ครั้ง)

ออฟไลน์ nigiri-sushi

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 547
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1165/-8
    • Nigiri-Sushi Page
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออก ไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์  และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.อย่าพูดคุย ทักทาย นักเขียน คนอ่่านโดยรีพลายดังกล่าวไม่เกี่ยวพันกับนิยายให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรคอมเม้นต์สักคอมเม้นต์เีดียวก็เพียงพอแล้ว ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และทำลิงค์โยงมายังนิยาย และให้นักเขียนทุกคนทำลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยเกี่ยวกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

_____________________________________________________________________________________


สวัสดีคร้าบ  :impress2: เรื่องเก่ายังไม่จบ เอาเรื่องใหม่มาลงอีกแล้ว  :beat:

อันนี้เป็นเรื่องสั้น ชื่อหลักคือ Love is All Around แต่แบ่งเป็นหมวดได้ 4 หมวด

1. In Love

Please Mr. Postman

Wonderful Tonight

2. Lonely Love

I Don't Like To Sleep Alone

I Want to Hold Your Hand

3. Hidden Love

4. Hurt Love

Kiss Me Goodbye

Sad Movie


แต่ละเรื่องจะทยอยลงไปเรื่อยๆจ้า แล้วจะลิ้งค์มาที่หมวดของมันให้ อิอิ

ฝากด้วยเน้อ  :L2:
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-06-2015 21:39:07 โดย nigiri-sushi »

ออฟไลน์ nigiri-sushi

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 547
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1165/-8
    • Nigiri-Sushi Page
Re: เรื่องสั้น : Love is All Around
«ตอบ #1 เมื่อ05-08-2012 12:16:08 »


 :L1: In Love  :L1: 


"Please Mr. Postman"


@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@


เสียงมอเตอร์ไซค์หน้าบ้านดึงให้ใครคนหนึ่งลุกพรวดขึ้นจากที่ เขาละงานในมือ วิ่งถลาไปที่บานหน้าต่าง การมาของบุรุษในชุดสีน้ำตาลจุดรอยยิ้มกว้าง
   
เขาเดินวุ่นวายไปมาเหมือนหนูติดจั่นเมื่อชายหนุ่มตัวสูงใหญ่เดินอ้อมผ่านบ้านเขาไปอีกทาง “เดี๋ยวก็มา..” เสียงนั้นเฝ้าปลอบใจตนเอง
   
ดวงตาคู่เดิมหลุบลงมองปลายรองเท้ามันปลาบ จังหวะการเดินสม่ำเสมอย่ำไปตามพื้นร้อนระอุ หัวใจของเขาเต้นตึกตักไม่ต่างกัน
   
บุรุษไปรษณีย์หนุ่มจอดมอเตอร์ไซค์คู่ชีพไว้ด้านหน้า เขากลับเข้ามารื้อเอาซองจดหมายนับสิบ กล่องพัสดุอีกสองกล่อง จากนั้นก็เดินเลยไปอีกฝั่ง
   
หนุ่มเจ้าของบ้านกระวนกระวายใจ
   
“คุณป้า..เซ็นรับจดหมายด้วยครับ” เสียงทุ้มต่ำนั้นแว่วเข้ามา
   
..ต้องถึงคราวเขาบ้าง..
   
คนตัวสูงกลับเข้ามาที่รถอีกครั้ง ผู้ที่เฝ้ามองจากบานหน้าต่างเผยรอยยิ้มกว้างในทันทีที่อีกฝ่ายตรงดิ่งเข้ามาหา
   
“คุณธีระ..” หนุ่มส่งจดหมายยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดเหงื่อ
   
“ครับ..ธีระครับ” เจ้าของชื่อแทบจะถลาออกไป “จดหมายของผม”
   
“โอ้..” เขามีท่าทางนิ่งงัน “ขอโทษครับ ผมแค่จะมารบกวนให้คุณช่วยเซ็นรับจดหมายแทนคุณป้าข้างบ้านเท่านั้น”
   
คุณธีระที่ว่ามีสีหน้าเจื่อนลง “ไม่มีจดหมาย..”
   
“ผมเสียใจ” บุรุษไปรษณีย์คนดียิ้มปลอบ “เขาบอกมั้ยครับว่าส่งมาวันไหน ผมเห็นคุณรอนานแล้ว ถ้ายังไงผมช่วยเช็คให้ดีมั้ย”
   
คนตรงหน้าเงียบกริบ เจ้าหน้าที่อย่างเขาก็เลยได้แต่เงียบตาม
   
“ผมเอาใจช่วยนะครับ” เขาเพียงหวังดี

ปกติเจ้าของบ้านหลังคาสีฟ้า..คุณธีระจะได้รับจดหมายแทบทุกวัน ร่อนมาไกลด้วยต้นทางสุดเขตประเทศสยาม พักหลังจดหมายสีฟ้านั่นค่อยลดลง จากสม่ำเสมอก็เหลือเพียงอาทิตย์ละสองหน และจากอาทิตย์ละสองหนก็เหลือแค่หลายอาทิตย์หน จนมาตอนนี้..สามเดือนเต็มๆยังไม่มีวี่แววสักฉบับเลย

..คงถูกแฟนทิ้งแล้วล่ะมั้ง..

บุรุษไปรฯตัวใหญ่รบกวนให้เซ็นรับแล้วเดินเลี่ยงออกมา เขาทนมองสีหน้าหมองเศร้าของอีกคนไม่ได้จริงๆ

..ใครนะ..ใจร้ายได้ลงคอ..

“คุณไปรครับ..คุณไปร” ธีระวิ่งกระหืดกระหอบตาม

“เรียกผมระพีก็ได้” เขามองแก้มที่ขึ้นสีแดงเพราะแรงแดดอย่างเผลอตัว
   
“รอเดี๋ยวครับคุณไปร” หนุ่มตัวเล็กคว้าแฮนด์มอเตอร์ไซค์แน่น 

Wait a minute mister postman

please mister postman look and see

“ขอร้องล่ะครับ..ช่วยดูอีกครั้งได้มั้ย”

If there's a letter in your bag for me

“มันอาจจะมีจดหมายถึงผมก็ได้”

please, please, mister postman

คนที่นั่งคร่อมอยู่บนรถนิ่งอึ้ง เขาหลบดวงตาที่คลอไปด้วยหยดน้ำ และทั้งที่รู้แล้วว่ามันไม่มี แต่เขาก็อดรื้อกระเป๋าหาจดหมายรักจากแดนไกลไม่ได้อยู่ดี

..เพื่อคุณธีระ..

“เอ่อ..” เขาเปิดให้ดูทีละฉบับแล้ว

..ว่างเปล่า..ไร้ประโยชน์..

“ทำไมล่ะครับ” ธีระยืนนิ่ง

Why's it takin' such a long time for me

to hear from that boy of mine

“เพราะอะไรผมถึงต้องรอจดหมายจากแฟนผมนานขนาดนั้น”

“คือว่า..” คุณไปรฯทำหน้าไม่ถูก มือไม้เขาเกะกะไปหมด

..อย่าร้อง..ได้โปรดเถอะคุณธีระ..คุณจะทำให้ผมรู้สึกล้มเหลวนะ..

..การไม่มีจดหมายมาส่งให้คนที่เฝ้ารอจดหมายมันแย่เอาการเชียว..

“มันน่าจะมีบ้างสิครับ..เขาน่าจะส่งมาให้จากชายแดน”

There must be some word today from my boyfriend so far away

“เขาไปเป็นทหารประจำการ..ผมห่วงเขาแทบตาย”

“มันไม่มีเลยครับ..ไม่มีจริงๆ” เขาส่ายหัว แตะหลังมือเล็กแผ่วเบา

ธีระพยักหน้าอย่างจนใจ

Please mister postman, look and see

If there's a letter..a letter for me

“ถ้าเขาเขียนมา หรือมีจดหมาย พัสดุ โทรเลข โปสการ์ด กระดาษขาดๆ เศษของผุๆ..อะไรก็ได้ครับ อะไรสักอย่างที่เขาส่งมา”
ชายหนุ่มอ้อนวอน “ได้โปรดรีบบอกกัน..ผมจะคอยคุณอยู่อย่างนี้..จะรอวันที่คุณมาบอกว่ามีจดหมายถึงผม”

I've been standin' here waitin' mister postman so patiently

“ขอแค่กระดาษสักใบ..ที่บอกว่าอีกไม่นานเขาก็จะกลับบ้านแล้ว”

For just a card or just a letter sayin' he's returning' home to me

คุณธีระเดินคอตกกลับเข้าบ้านไป เขาเห็นท่าทางอย่างนั้นยิ่งรู้สึกแย่ขึ้นทวีคูณ มันไม่ง่ายเลยนะ..ที่จะแบกความรู้สึกของคนที่รอฟังข่าวคราวจากคนรัก

“ให้ตายเถอะ..” บุรุษไปรษณีย์หนุ่มส่ายหัว เขาเจอปัญหาเข้าเสียแล้ว
   
“คุณไปรครับ..คุณไปร”
   
..ปัญหาที่ว่า..ก็คือเสียงนุ่มๆของคุณธีระที่ตามมาเข้าฝันเขานี่ล่ะ..
   
“มีจดหมายถึงผมบ้างมั้ยครับ..ธีระครับ ผมชื่อธีระ”   

..ธีระ..Teera..
   
เขายกมือขึ้นปาดเหงื่อที่ไหลซึมตัวเสื้อ
   
..ธีระ..ที่รัก..
   
..Teera..Teerak..
   


@@@@@@@@@@@@@@@@@@@


ร่างสูงสะดุ้งตื่นจากที่นอน เขาเบิกตาโพลง เงยดูนาฬิกาแล้วรีบกุลีกุจอแต่งตัว ใครจะแชเชือนในหน้าที่ราชการอย่างไร เขาไม่สน แต่เขามีภาระต้องไปส่งจดหมาย วันนี้ก็เช่นกัน มีคนหลายคนกำลังรอคอยการมาของเขา
   
..หรือจะมีแต่คุณธีระคนเดียวกันนะ..
   
“คุณไปรครับ..คุณไปร”

..มาอีกแล้ว..เสียงนุ่มๆเสียงนั้น..

“เรียกผมว่าระพีเถอะครับ”

“คุณไปรครับ..” พูดออกไป คนตรงหน้าฟังเสียที่ไหน

คุณไปรฯที่ว่าหน้าซีดเซียว เขารื้อดูจนทั่ว ลองถามหาจดหมายสีฟ้าจากกองของทั้งหมด ลองเอารายชื่อที่พอจะจดจำได้ พลทหาร..อะไรสักอย่างที่ชอบเขียนจดหมายมาหาแฟนตัวเองถึงกรุงเทพ แต่แล้วทำไมช่วงนี้ถึงไม่ส่งข่าวคราว

..บางทีเขาก็ฉุนแทนคุณธีระเหมือนกัน..

“เอ่อ..ดื่มน้ำมั้ยครับ” คุณธีระยื่นถุงโค้กเย็นเจี๊ยบมาตรงหน้า

คุณไปรฯคนเดิมกะพริบตาปริบ “หือ?”

“โค้กครับ..หรือว่าไม่ชอบ” ร่างเล็กกว่าหน้าเศร้าสร้อย “สไปรท์ดีมั้ยครับ หรือว่าแฟนต้า น้ำส้ม น้ำแดง น้ำเขียว น้ำเหลือง”

“น้ำเหลืองไม่ต้องครับ..เกรงใจ” เขาหัวเราะ รับน้ำเย็นๆจากคนตรงหน้ามาดูดจ๊วบเดียวหมดด้วยหัวใจพองโต

..หัวใจพองโต?..

“ผม..” ธีระก้มหน้านิ่ง “ผมรู้ว่าผมเซ้าซี้แล้วก็ถามแต่เรื่องเดิม แต่ว่า..”

หัวใจพองโตดวงนั้นฝ่อแฟ่บ มันฟีบเหมือนลูกโป่งถูกเข็มเจาะ

..คุณธีระมีน้ำใจต่อเขาก็เพราะเรื่องจดหมายของแฟนต่างหาก..

“ผมเสียใจ..” บางทีเขาก็คิดนะ

..ถ้าจะรอจดหมายที่ไร้การติดต่อนานขนาดนั้น..

..ก็เลิกกันซะเถอะ..

“หลายอาทิตย์แล้วนะครับ..” ธีระน้ำตาคลอ “ไม่สิ..นี่ก็ขึ้นเดือนที่สี่แล้ว”

So many days you passed me

“คุณเดินผ่านผมไปเฉยๆ..ไม่มีจดหมาย..ไม่มีอะไรเลย”

by see the tears standin' in my eyes

“คุณคงสมเพช..ที่ผู้ชายอย่างผมทำได้แค่รอแล้วก็ร้องไห้เท่านั้น”

ชายหนุ่มในชุดสีน้ำตาลสั่นหัวรัว “ไม่ครับ..ไม่เลย”

“ผมขอโทษที่พาล..แต่ผมเสียใจ..” คุณธีระปาดน้ำหูน้ำตาที่ร่วงผล็อย“เสียใจที่คุณไม่มีจดหมายพวกนั้นให้ผม..ผมแค่อยากรู้สึกดีขึ้นเท่านั้นเอง”

You didn't stop to make me feel better

by leavin' me a card or a letter

บุรุษไปรษณีย์ตัวสูงยืนกระสับกระส่ายไปมา เขาทำอะไรไม่ถูก มือหนึ่งถือถุงโค้ก อีกมือละล้าละลัง จะปาดน้ำตาให้..หรือจะรวบตัวเล็กๆนั่นมากอดดี

“ได้โปรดเถอะครับ ทำไมคุณไม่ลองหาดูอีกครั้ง” เสียงนุ่มนวลทำเอาเขาคลั่ง “ลองหาดูให้ทั่ว..เพื่อผม..ขอร้องเถอะ”

why don't you check it and see one more time for me

ชายหนุ่มปล่อยถุงโค้กในมือลงพื้น สองแขนแข็งแรงดึงตัวคนตรงหน้าเข้ามากอด คุณธีระเบิกตากว้าง น้ำหนักเบาหวิวนั่นไม่เป็นการยากเลยที่จะบังคับไว้แนบอกโดยใช้กำลัง เขาคิดว่าเขาอ่อนโยนนะ..แต่ไม่ใช่ในเวลานี้แน่ๆ

..เพราะเขากำลังกอดคุณธีระเสียแทบป่นกระดูกให้หัก..

..ด้วยความหึง..

..Teera..Teerak..

“ถ้ามันลำบากขนาดนั้นล่ะก็..” เขากระซิบ “เลิกกับหมอนั่นเถอะ”

ธีระนิ่งค้าง เขาดูจะช็อคไปเมื่อถูกบดจูบลงมาแนบแน่น

“ถ้าไม่รังเกียจบุรุษไปรษณีย์จนๆ..” เขาคงบ้าไปแล้ว บ้าอย่างเต็มพิกัด เต็มสตรีมด้วยซ้ำที่อาจหาญจูบกับลูกค้ากลางวันแสกๆ “คบกับผมแทนสิ..ที่รัก”

เขาคงไม่มีหน้ากลับไปหาคุณธีระได้อีก หลังจากทำเรื่องบ้าระห่ำด้วยการจูบอีกฝ่ายต่อหน้าธารกำนัล เขาจำได้ว่าถูกผลักออกมาจนตัวเซ แล้วคุณธีระก็วิ่งหายลับเข้าบ้านไป ปิดประตูแน่นหนา ลงกลอน ซ้ำยังปิดผ้าม่านจนทึบ

หลังจากนั้น เวลาเขาไปส่งจดหมาย

..คุณธีระก็ไม่ได้โผล่ออกมาเรียกเขาอีกเลย..
   
“คุณไปรครับ..คุณไปร”   

..ให้ตายเถอะ..เวลานอนยังตามมาถึงนี่เชียว..
   
“ได้โปรดเถอะครับคุณไปร”
   
..ผมก็อยากขอร้องคุณเหมือนกันครับ..
   
“มีจดหมายถึงผมบ้างมั้ย ผมรอจดหมายของแฟนมานานแล้ว”
   
..เมื่อไหร่จะเลิกหวังลมๆแล้งๆเสียที..
   
“เอาแต่เรียกคุณไปร คุณไปรอยู่นั่นล่ะ” เขาบ่น นอนก่ายหน้าผากอยู่บนฟูกเก่าๆ เหม็นสาบคนจนเสียจริง ถึงฝ่ายนั้นจะแค่พลทหาร แต่ก็ยศเป็นทหาร เขามันแค่คนส่งจดหมาย จะมีดีอะไรไปสู้
   
“ผมชื่อระพี” เขาพึมพำ “ระพี..ธีระ คล้องจองกันมากกว่า..รู้มั้ย”
   
เขาปวดใจ เจ็บเสียจนต้องลาพักงานมาสองวัน ถ้าจะต้องไปแล้วได้มองแต่หลังคาบ้าน สู้ขอย้ายไปอยู่เขตอื่นเสียยังดีกว่า
   
ระพีพลิกตัวไปมา สุดท้ายก็รำคาญความเงียบจนต้องป่ายมือไปหยิบรีโมตทีวีมาเปิดฆ่าเวลา ช่วงนี้มีข่าวพอดี รายงานสดที่ได้ยินทำเอาเขาหูผึ่ง
   
“เกิดการปะทะกันระหว่างทหารไทยกับกองกำลังต่างชาติบริเวณชายแดนในเขตอำเภอแม่สาย เบื้องต้นพบผู้เสียชีวิตเป็นทหารไทยจำนวน..”
   
บุรุษไปรษณีย์หนุ่มกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดเคือง
   
..คุณธีระ..

เช้าวันถัดมา เขาลางาน แต่กลับคว้ามอเตอร์ไซค์บึ่งไปหาเจ้าของบ้านหลังคาสีฟ้าที่รอคอยจดหมายสีฟ้าจากชายแดนมาตลอดหลายเดือนนั้นทันที
   
เขากดออด กดครั้งแล้วครั้งเล่า จากการมีมารยาท มันเริ่มถี่รัว   

เนิ่นนาน..กว่าประตูหน้าบ้านจะเปิดออก คุณธีระโผล่ใบหน้าเซียวๆที่เปรอะเปื้อนคราบน้ำตามาพบเขา

“ผมเสียใจคุณธีระ..ผมขอโทษ” เขาพร่ำ “ผมมันปากเสีย ครั้งก่อนผมไม่ได้ตั้งใจจะพูดอย่างนั้น ผมเสียใจด้วยจริงๆเรื่อง..”

“ผม..ไม่เป็นไร” ดวงตาคู่กลมบวมแดง

“เขาเป็นผู้กล้า..เป็นทหารที่น่ายกย่อง เราทุกคนเสียใจกับเรื่องที่ชายแดนวันนั้น แต่ผมรู้..เขาจะต้องเป็นที่จดจำของพวกเราไปตลอด” 

“คุณระพีพูดอะไร” ธีระยกหลังมือปาดน้ำตา

ระพีนิ่งอึ้งด้วยความคาดไม่ถึง “คุณรู้ว่าผมชื่อระพี”

“คุณบอกผมประจำ” ร่างเล็กค่อยๆเยี่ยมหน้าออกมาเมียงมอง

“แต่..” เขาสับสน “ก็ไหนเรียกแต่คุณไปร คุณไปร”

“ผมกลัวใจตัวเอง” เจ้าของบ้านหลุบตาลงต่ำ “ผมได้แต่ท่องกับตัวเอง สั่งตัวเองเน้นๆ ผมจะรอจดหมาย ผมจะรอคอยเขา ผมจะไม่ว่อกแว่ก..กับบุรุษไปรษณีย์ที่มาส่งจดหมายสีฟ้าของเขาทุกวัน”

ระพีอ้าปากค้าง

“มีไอ้บ้าที่ไหนบ้างที่เรียกร้องหาจดหมายจากชายแดนเหมือนจะขาดใจกันไปข้าง..ถ้าไม่ใช่เพราะไอ้บ้าคนนั้นกำลังคิดนอกใจคนรัก”

“ผม..” คนส่งจดหมายรู้สึกหัวใจฟูฟ่อง

“แต่หลายวันก่อน..ที่คุณไม่มาส่งจดหมาย” ธีระก้มหน้างุด “ผมเพิ่งได้จดหมายจากแฟนผมนี่เอง” เขาชูจดหมายสีฟ้าให้ดู

ระพีสับสน ไม่รู้หัวใจจะพองหรือจะแฟ่บดี “แล้วข่าว..”

“เขาเก็บตัวอยู่ในค่าย..แถมเป็นฝ่ายนอกใจผมตั้งแต่ครึ่งปีที่ผ่านมา..ช่วงที่จดหมายสีฟ้านั่นเริ่มกะปริดกะปรอยเหมือนผู้ชายเป็นโรคนิ่วแล้วฉี่ไม่ออก”

“กับใคร..”

“เพื่อนที่ประจำการด้วยกัน” คุณธีระสูดจมูกดังฟืด

“ผมนึกว่าเขา..ตาย”

“ถึงผมจะอยากให้เขาตายตอนได้อ่านจดหมายขอเลิกของเขา..แต่ยังไงผมก็ไม่ใจร้ายถึงขั้นนั้นอยู่ดี” ชายหนุ่มยกมือขยี้ตา “อาจจะเพราะผมเอง..ตั้งแต่ที่เขาไม่ค่อยส่งจดหมายมาหา..ก็ไม่ได้มีใจให้เขาเต็มร้อยแล้วเหมือนกัน”

“แล้วคุณร้องไห้ทำไม” เขาขยับเข้าไปใกล้ ยกมือเกลี่ยน้ำตาทิ้งอย่างที่นึกหวังจะทำมาโดยตลอด

“คิดว่าคุณระพีจะไม่มาให้เจออีกแล้วน่ะสิ”

“ให้ตาย..” บุรุษไปรษณีย์ระพีอมยิ้มจนแก้มปริ

“จำไว้นะครับ” คุณธีระขมวดคิ้วมุ่น “อย่าเรียกผมว่าที่รัก ถ้าไม่คิดจะรักให้เต็มหัวใจ”



@@@@@@@@@@@@@@@@@


เช้าวันนี้ ระพีแต่งตัวเนี้ยบ หวีผมเรียบกริบ พรมน้ำหอมขวดละร้อยเก้าสิบเก้าเสียฟุ้ง แน่ใจว่าความหล่อไม่มีใครเกินถึงได้บึ่งมอเตอร์ไซค์คู่ใจออกมา
   
“คุณป้าครับ เซ็นรับพัสดุด้วย” เขาทำงานไป สายตาก็เหลือบมองคนที่นั่งจ้องกันจากข้างหน้าต่างบ้านหลังคาสีฟ้านั้นด้วยรอยยิ้ม
   
“วันนี้หล่อเชียว มาทำงานจริงเหรอเนี่ย” ป้าแกแซวเขาใหญ่
   
“มีเดทครับ มีเดท” เขาอวดด้วยหัวใจคับพองเต็มอก
   
“อ้อ..ขอให้โชคดีนะจ๊ะ”
   
ระพียิ้มรับ เดินไปส่งจดหมายสองฉบับให้บ้านตรงข้าม กลับมาหิ้วพัสดุกล่องใหญ่ให้บ้านฝั่งขวา มีโปสการ์ดท่องเที่ยวให้บ้านทางซ้าย จดหมายจากธนาคารให้บ้านถัดออกไป แล้วก็จดหมายขอบริจาคเงินให้อีกหลังที่เหลือ
   
..ไม่มีจดหมายสีฟ้าให้บ้านหลังคาฟ้าตามเคย..
   
..แต่ถ้ามี..รับรองได้แน่นอน..
   
..เขาจะเปิดอ่าน ฉีกมันทิ้ง ตามด้วยการเผาไฟไม่ให้เหลือซาก..
   
..คุณธีระเป็นแฟนเขาแล้ว..ใครหน้าไหนก็มาขอคืนดีไม่ได้!..
   
ระพีเดินเฉียดมาหน้าบ้านคุณธีระ ยิ้มให้พลางพยักหน้านัดหมายกันเรื่องเย็นวันนี้ เขาจะมารับที่บ้าน พาไปดินเนอร์ขนมจีนท่ามกลางแสงเทียนกันใต้สะพานพุทธ ที่นั่นมีของอร่อยเยอะแยะเชียว
   
“คุณไปรครับ คุณไปร..” เสียงนุ่มๆนั่นร้องเรียกเขาอีกครั้ง
   
ชายหนุ่มชะงักขาที่กำลังก้าวขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์
   
“คุณไปรครับ..” ร่างเล็กหอบหายใจเสียแก้มแดงเรื่อ “รอสักแป๊บได้มั้ย”

you gotta wait a minute, wait a minute...mister postman

“คุณไปร..” ธีระอมยิ้ม “ไม่มีจดหมายของผมบ้างเหรอ”

ระพีหน้าบึ้ง “ไม่มีครับ”

..ถึงมี..ผมก็จะจุดไฟเผา..

เจ้าของบ้านแหวกกระเป๋าส่งจดหมายดู ชี้ให้มอง “หาอีกครั้งได้มั้ย”

Mister postman look and see

“ไม่หาครับ” เขาบึ้งตึงหนัก

“ได้โปรด..”

คุณไปรฯอย่างเขาทนเสียงอ้อนวอนได้ที่ไหน จำใจก้มลงหา นัยน์ตาร้อนผ่าวด้วยความน้อยใจ ถ้าไม่ใช่ว่าวินาทีนั้น ริมฝีปากนุ่มนิ่มจะจรดลงข้างแก้ม
   
“คุณไปรครับ..” ธีระกระซิบทั้งรอยยิ้ม “ทีหลังถ้าจะเอาจดหมายมาส่งผม ขอเป็นจดหมายรักจากคุณระพีคนเดียวเท่านั้น ส่งให้ถึงที่ ส่งให้ไว ทำให้ดี”

c'mon deliver the letter, the sooner, the better

“แล้วจะมีรางวัล”

จุ๊บ..

Mister postman




FIN



 :L2:



(เน่า...เนอะ :really2:) เพลงนี้ของคาร์เพนเตอร์คร้าบ เพราะดีนะ จังหวะสนุกๆ อิอิ




ออฟไลน์ jilantern

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 465
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-1
Re: เรื่องสั้น : Love is All Around
«ตอบ #2 เมื่อ05-08-2012 12:28:13 »

หวานอ่ะตอนจบ ><

ออฟไลน์ jeeu

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 688
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-1
หวานมากกกก
อยากเจอคุณไปรแบบเน้ (ที่บ้านคุณไปรเป็นสาวสวย)
ธีระก็ช่างอ้อน คุณไปรน่ารักเชียวนะใจอ่อนตลอด
รอเรื่องต่อไปของท่านนิกิรินะคะ

ออฟไลน์ ratnalin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 743
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-2
เอามาลงในนี้แล้วววว >< ชอแเรื่องนี้มาก อ่านตอนจบแล้วก๊าวใจ แอบมีมาม่าเล็กน้อยแต่ไม่อืด อยากเจอคุณไปรแบบนี้มั่งจังน้อ ^^

รอเรื่องอื่นๆด้วยค่า

Keniji Teruyama

  • บุคคลทั่วไป
เดินเข้ากระทู้ โบกมือหยอย ๆ ยังไงกันนี่
+1 ครับ ^^

ออฟไลน์ Lemon_Tea

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1641
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-2
อ๊ากกกกกก
ไม่ไหวๆๆ เขินๆ
ชอบเรือ่งนี้อ่ะ  :o8:


สงสัยงานนี้คุณไปรคงมาส่งจดหมายพร้อมความรักที่เต็มเปี่ยมทุกวันแน่เลย
เรียกได้ว่าสุขใจทั้งผู้ให้และผู้รับ  :กอด1:

MiiCell

  • บุคคลทั่วไป
หวานมดขึ้นจอเลยอ่ะ โหเจ๊แพร์
เดี๋ยวนี้บริโภคน้ำตาลเป็นอาหารหลักป่าวเนี่ย
ระวังเป็นเบาหวานนะ  :pig4:

ออฟไลน์ nigiri-sushi

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 547
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1165/-8
    • Nigiri-Sushi Page


 :L1:Lonely Love :L1:



"I don’t like to sleep alone"



@@@@@@@@@@@@@@@@@@@



“เงินประกันสองเดือนนะคะ เซ็นสัญญาเช่าแล้วจ่ายเป็นเงินสดหรือเช็คก็ได้ ป้ามีเลขที่บัญชีให้ในใบสลิปแล้ว” คนดูแลอพาร์ทเมนท์บอกกับผมด้วยรอยยิ้ม
   
“เข้าวันที่ 1 มิถุนานะฮะ” ผมบอกย้ำ จัดการเรื่องเช่าห้องพักจนเรียบร้อยแล้วเลยถือโอกาสเดินสำรวจพื้นที่
   
ผมเป็นเด็กต่างจังหวัด มุมานะจนสอบเข้าเรียนแพทย์ได้ จะอยู่หอของทางมหาวิทยาลัยก็ไม่สะดวกนัก พ่อกับแม่เลยให้ไปหาห้องเช่าอยู่ภายนอก เท่าที่หามีทั้งหอรวมและหอแยก แต่สะดุดตาที่สุดเห็นจะเป็นอพาร์ทเมนท์ที่ผมเพิ่งตกลงเช่าอยู่ ตัวตึกทาสีครีมอ่อน แยกเป็นสองอาคาร สูงแค่สี่ชั้นและติดริมแม่น้ำเจ้าพระยาอีกด้วย ถึงจะแพงหน่อย แต่ลงทุนเพื่อเอาบรรยากาศเงียบๆคงเหมาะกับการท่องตำรามากกว่าอยู่ในตัวตลาดวังหลังเลย
   
“ตึกนี้สร้างกี่ปีแล้วครับ” ผมเงยหน้ามองระเบียงด้านนอก ค่อนข้างจะแคบหน่อย เขาไม่อนุญาตให้ตากผ้าตรงนี้ เพิ่มเงินอีกนิดจะมีแม่บ้านคอยดูแลความสะอาดและจัดการเรื่องซักรีดให้
   
คราบน้ำฝนเป็นทางยาวจากกำแพงด้านบนลงมา ตัวแอร์ค่อนข้างเก่าคร่ำแล้วบางส่วนก็ผุเป็นแถบ ภาพที่เห็นไม่ค่อยสวยนัก ตัดกับผนังที่เพิ่งจะทาใหม่แต่ก็คงไม่ได้ใหม่ภายในปีสองปีนี้แน่
   
“นานพอสมควรน่ะค่ะ” แกว่า พาผมเดินขึ้นบันไดไปชั้นสี่
   
ตอนแรกผมต้องการอยู่ห้องชั้นล่าง เพราะแค่เดินออกมาก็แทบจะติดกับรั้วขาวที่ปลูกอยู่ริมชานโล่ง ถัดจากรั้วออกไปเป็นลำน้ำเจ้าพระยา ทางขวามือเห็นพระปรางค์วัดอรุณอยู่ลิบๆ เสียอยู่อย่าง ทางการกำลังต่อเติมเขื่อนกั้นน้ำเวลาน้ำล้นฝั่ง แถวนั้นเลยค่อนข้างมีอุปกรณ์ก่อสร้างระเกะระกะ วิวข้างล่างอาจไม่สวยเท่าข้างบน แต่เวลากลับจากเรียนตอนดึกดื่น ผมค่อนข้างสบายใจมากกว่าถ้าจะได้เข้าห้องเลย ไม่ต้องเดินขึ้นบันไดคนเดียวมืดๆไปถึงชั้นบนสุด

ตอนแรกทำความเข้าใจกันและจองไปแล้ว แต่ดูเหมือนว่าจู่ๆ เจ้าของห้องชั้นล่างที่บอกว่าจะย้ายออกตอนปลายเดือนพฤษภาดันกลับคำเสียอย่างนั้น เขาบอกว่าขออยู่ต่ออีกหน่อย จะออกประมาณต้นเดือนสิงหา ห้องที่อยู่ติดกันอีกห้องก็ยังไม่มีกำหนดออก ผมเองต้องเข้าเรียนเดือนหก ป้าที่ดูแลเลยขอให้ผมย้ายไปอยู่ชั้นสี่ก่อนสักสองเดือน พอห้องข้างล่างออก ค่อยย้ายลงมาใหม่

ความจริงไม่อยากหรอก แต่ดูไปดูมา ห้องชั้นสี่ก็สวยดี วิวแม่น้ำเจ้าพระยาตอนกลางคืนมองได้ชัดเจนกว่าอยู่ชั้นล่าง แล้วอีกอย่าง ห้องเบอร์ยี่สิบที่ผมได้มานี่ก็แพงกว่าห้องข้างล่างตั้งสองพัน พ่อผมต่อราคาให้ถูกลงเพราะอีกฝ่ายผิดสัญญากับลูกค้าเอง ผมเลยตกลงกับข้อเสนอที่จะมาอยู่ชั้นสี่ก่อน ไม่มีอะไรเสียหายนอกจากเหนื่อยกับการขึ้นลงบันไดเท่านั้น

แกไขกุญแจเข้าไปในห้องพัก ผมสำรวจความเรียบร้อย รอบด้านเงียบสงัด ตรงกระจกบานเลื่อนที่ระเบียงมีมู่ลี่แขวน มันขาดเสียครึ่งตอนที่ผมลองจับ เปื่อยจนหลุดลุ่ย ส่วนไฟตรงตู้เสื้อผ้าก็ติดๆดับๆ

“เดี๋ยวจะส่งคนมาซ่อมให้นะคะ” แกว่าอย่างนั้น

“ห้องข้างๆกันนั่นของใครครับ” ผมถามเมื่อออกมานอกห้องเพราะสายตาเหลือบไปเห็นบานประตูสีขาวเข้า

“อ้อ..ลูกชายเจ้าของอพาร์ทเมนท์น่ะค่ะ ไม่ได้ให้เช่า แกอยู่ห้องนี้เลย”

ผมพยักหน้ารับ ปิดประตูแล้วเดินตามหลังแกลงมา บันไดค่อนข้างสูงและชัน เดินกันจนเหนื่อยไปสองเดือนล่ะคราวนี้

“วันที่จะย้ายเข้ามาโทรบอกป้าด้วยนะ เดี๋ยวจะให้เด็กมาช่วยยกของ”

ผมยิ้มให้ ว่าจะซื้อของฝากมาให้ป้า ตอบแทนน้ำใจน่ารักๆของแก


--------------------------------------------------------


วันที่ 1 มิถุนา ผมย้ายเข้าอพาร์ทเมนท์หลังใหม่ ป้าผู้ดูแลให้ยามแก่ๆมาช่วยหิ้วของ ผมเองเกรงใจว่าแกจะยกกระเป๋าไม่ไหว แต่สุดท้ายก็ทุลักทุเลขนถ่ายของหนักหลายกิโลเข้าไปได้สำเร็จ

กว่าจะทำอะไรเรียบร้อยปาไปสามทุ่มกว่า ผมจัดเสื้อเข้าตู้ วางข้าวของเครื่องใช้ อาบน้ำจนเย็นชื่นใจแล้วถึงเดินมานั่งที่ห้องรับแขก ห้องนี้แยกเป็นสองส่วน มีห้องนอนอยู่ด้านใน ห้องรับแขกติดกับริมระเบียง เปิดม่านแล้วเห็นแม่น้ำได้ชัดเจน มีพร้อมทั้งโทรทัศน์ เคาน์เตอร์ครัวและเครื่องทำความเย็นทั้งหลาย

ผมเปิดทีวีดูเล่น เปลี่ยนช่องได้ไม่ทันไรต้องหัวเสีย สัญญาณมันหายไป พอต่ออินเตอร์เน็ตกับโน๊ตบุ๊คก็ไม่ได้เรื่องอีก พรุ่งนี้คงต้องโวยกับป้าแกแล้วล่ะ

ผมเปลี่ยนใจจะนอน หลังจากปิดคอม ปิดทีวี เดินมาล้มตัวบนเตียงแล้ว ตอนนี้นี่เองที่ผมเพิ่งรู้สึก

ทุกอย่างรอบกายมันเงียบกริบ ไม่มีเสียงอะไรทั้งสิ้น อยู่หอเก่ายังได้ยินเสียงคนคุย เสียงคนเดิน เสียงทีวี เสียงทะเลาะของผัวเมีย แต่ที่นี่มันเงียบเหลือเกิน เงียบจนได้ยินกระทั่งเสียงลมหายใจของตัวเอง

“แม่..” ผมต่อทางไกล “เหงาจังเลย”

ปลายสายหัวเราะ หาว่าผมไม่รู้จักโต จะเรียนเป็นหมอวันสองวันนี่แล้ว

“เงียบเกิน แบบนี้ยิ่งเหงา” ผมเดินไปเปิดม่านดูวิวแม่น้ำตอนกลางคืน

เงาร่างสูงใหญ่ของใครคนหนึ่งยืนเท้าแขนกับรั้วสีขาว แสงจันทร์ที่อาบไล้ร่างของเขาชวนให้มีเสน่ห์อย่างน่าประหลาด เรือนผมสีเข้มพลิ้วไหวไปตามแรงลมยามดึก ไฟเลือนรางตรงระเบียงเหมือนทำให้ร่างของเขาดูพร่ามัวไป

“แค่นี้ก่อนนะแม่..” ผมวางสาย แหวกมู่ลี่เพื่อให้เห็นเขาชัดขึ้น

ใบหน้าคมคายเงยมองขึ้นมาบนชั้นสี่ รอยยิ้มมุมปากจุดประกายวาบในตัวผม เขาดูหล่อเหลา ให้ความรู้สึกนุ่มละมุน เยือกเย็น เหมือนกำลังได้กลิ่นหอมของดอกราตรี

..แปลกแท้..

ทั้งที่ผมสายตาสั้นและไม่ได้ใส่แว่นอยู่ แต่เชื่อเถอะ..ผมเห็นใบหน้าของเขาชัดเจน ทั้งที่ไฟไม่ได้สว่าง ทั้งที่เขาอยู่ไกลจากผมถึงสี่ชั้น

..แต่เหมือนรูปหน้าของเขาลอยเด่นอยู่ตรงหน้าต่างนี่เอง..

“ลงมาสิ”

ผมยืนตัวแข็ง เขาขยับปากแต่ผมกลับได้ยินเสียงของเขาชิดอยู่ข้างหู มันอบอุ่น อ่อนโยนแล้วก็ฟังนุ่มทุ้มจนหัวใจเต้นเร่า ผมจำได้ว่าตัวเองส่ายหัวหวือ สติสัมปชัญญะสั่งให้ผมกลับเข้าไปที่เตียง แล้วข่มตาให้หลับ เดี๋ยวนี้!


----------------------------------------------------


รุ่งเช้า คำถามแรกที่ยิงใส่ป้าที่ดูแลตึกคือ อพาร์ทเมนท์หลังนี้เคยมีใครตายมั้ย

“ไม่มีค่า” แกหัวเราะร่วน

“เมื่อคืนผมเห็น” ผมบอกแก “ผู้ชายตัวสูงขนาดนี้ ดึกแล้วนะ เขายังมายืนดูพระจันทร์อยู่เลย” ผมคะเนส่วนสูงของเขาเลยหัวผมไปอีกสองคืบเห็นจะได้

“โอ๊ย” แกนั่งขำ “แขกมีตั้งเยอะ ป้าจำไม่ได้หรอก แล้วอีกอย่าง ต่อให้ดึกดื่นเที่ยงคืน ใครอยากมายืนดูวิวแม่น้ำก็ไม่แปลกหรอกค่ะ จริงมั้ย”

ผมเงียบกริบ แกมีเหตุผลของแกเองนั่นล่ะ

เช้าวันนั้นผมออกไปหาซื้อของใช้มาเพิ่มในห้องอีก เพื่อนโรงเรียนเก่ายังนัดกินข้าวดูหนังกันก่อนเปิดเทอม กว่าผมจะกลับเข้าห้องก็สองทุ่มจนได้ ห้องแพงๆดีอยู่อย่าง ทางเข้าอพาร์ทเมนท์ต้องสแกนนิ้วมือเข้าไป

ผมหอบของ ทุลักทุเลขึ้นบันไดไปสี่ชั้น กำลังจะก้าวขึ้นชั้นสาม ถุงเจ้ากรรมดันขาด ของในนั้นร่วงพรวด กลิ้งหลุนๆลงมาจากขั้นบันได หยุดอยู่ที่ขั้นพัก

ผมถอนหายใจ วางของไว้ด้านบนแล้วเดินกลับลงมา กำลังจะเอื้อมมือหยิบ จู่ๆมีมือของใครไม่รู้ยื่นพรวดเข้ามาแทน ผมผงะถอย พอเงยหน้ามองเท่านั้น รู้สึกขยับตัวไม่ได้ไปชั่วขณะ

“ของคุณ..”

‘เขา’ ที่เจอกันริมระเบียงแม่น้ำยิ้มให้

ผมยืนนิ่ง

“รับไปสิครับ” เขาตัวสูงใหญ่ แค่ก้มลงมาก็แทบบดบังร่างของผมจนมิด

“ขอบ..คุณ” น้ำเสียงขาดหาย เหมือนคอแห้งผาก จะตะเบ็งก็ไม่มีแรง

“ผมอยู่ห้องชั้นสี่” เขาว่าเนิบนาบ

ผมกะพริบตาปริบ ดูเหมือนจะพอมีเรี่ยวแรงขึ้นมาบ้าง “ชั้นสี่..ผมก็อยู่”

เขาพยักหน้า ยิ้มเปี่ยมเสน่ห์จนนัยน์ตาผมพร่ามัว “ผมอยู่ข้างห้องคุณ” 

..ถ้าอย่างนั้น เขาคงเป็นลูกชายเจ้าของอพาร์ทเมนท์ริมน้ำ..

“ใช่..ผมเป็นลูกชายเจ้าของที่นี่” เขายิ้ม

ผมกลืนน้ำลายอย่างฝืดเคือง รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวคล้ายจะเป็นไข้

“ผ..ผมขอตัว” รีบสาวเท้าจากมา เขายืนนิ่งอยู่ตรงบันไดชั้นสาม ดูเหมือนจะมองตามผมตาไม่กะพริบ

ผมรีบไขกุญแจเข้าห้องด้วยมือสั่นเทา รู้สึกราวกับว่าจะไม่เป็นตัวของตัวเอง เข้าห้องได้ก็โยนข้าวของทิ้งแล้วมุดขึ้นเตียงในทันที
ผมรู้สึกดีที่มีเพื่อนข้างห้อง แต่น้ำเสียงเย็นเยียบของเขาไม่ช่วยให้รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาเท่าไหร่เลย


------------------------------------------------------


“ลูกชายเจ้าของอพาร์ทเมนท์?” ป้าแกถามทวน “อ้อ..เขาไปเรียนเมืองนอก เพิ่งกลับไทยมาไม่นานนี่เอง แกเป็นคนดีนะ ยังหนุ่มอยู่แท้ๆ แฟนก็ไม่มี..” แล้วแกก็เงียบไปก่อนจะถามขึ้นอีกครั้ง “ทำไมเหรอ”

“เปล่าครับ” ผมถอนหายใจ รับฟังคำบอกของป้าแกแล้วใจชื้นขึ้น

วันนั้นผมเปิดเรียน วันแรกก็แทบสลบ กว่าจะกลับค่ำมืดดึกดื่นตามเคย

ผมไขกุญแจเข้าห้อง ตั้งใจจะอ่านหนังสือทวนวิชาแต่สายตากลับเหลือบเห็นไฟในห้องด้านข้าง ความรู้สึกผิดที่ทำกิริยาแย่ๆใส่ทั้งที่เขาอุตส่าห์ช่วยเก็บของเมื่อวานผุดขึ้นมา ผมเลยยังยืนเก้ๆกังๆ ลังเลว่าจะลองผูกมิตรดูดีไหม

“มีอะไรรึเปล่าครับ” เสียงทุ้มต่ำดังอยู่ด้านหน้า

ผมผงะไปอีกก้าว เขามาไม่ให้สุ้มให้เสียง สาบานได้ว่าไม่ได้ยินเสียงเปิดประตูด้วยซ้ำ

“ดูคุณกังวลนะ” เขายิ้ม ลักยิ้มมุมปากนั่นช่วยดึงเสน่ห์เขาขึ้นทวีคูณ

“ผม..ผมอยู่ห้องนี้” ผมว่าตะกุกตะกัก ชี้ไม้ชี้มือให้ดูเลขที่ห้อง

“ครับ..” เขาพยักหน้า “ผมรู้”

“เอ่อ..ยินดีที่ได้รู้จักฮะ”

เขายิ้มตอบ “เช่นกัน”


------------------------------------------------------------

หลังจากนั้น ผมไม่แน่ใจนักว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไรและเริ่มขึ้นที่ตรงไหน อาจเป็นเพราะผมอยู่คนเดียวและเขาเองก็อยู่คนเดียว จากการทักทายกันหน้าห้อง ผมเริ่มคอยเงี่ยหูฟัง ดูเหมือนเขาจะทำงานกลับมาดึกๆ และมักนอนจนตะวันสายโด่งเสมอ ผมเลยไม่เคยเจอเขาตอนกลางวันเลย

ผมค่อยๆทำความรู้จักกับเขาผ่านเสียงกุกกักในห้อง ผ่านแสงไฟจากช่องประตู และผ่านตาแมวที่คอยเมียงมอง บางครั้งผมจะเปิดประตูออกไปทักเขา เขาจะยิ้มให้ และเราจะต่างคนต่างกลับเข้าห้อง

จากการทักเพียงผิวเผิน ผมเริ่มสนิทสนมกับเขา ในบางครั้ง..เขาเข้ามาในห้องของผม แต่ยังหยุดอยู่แค่ห้องรับแขกด้านนอก ส่วนผมเอง ไม่เคยขอเข้าไปดูในห้องของเขา เพราะทุกครั้งที่เริ่มคิด เขามักปรากฏตัวในห้องของผมเสมอ ไม่เคยขาดหายไปจนผมไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องล่วงรู้ชีวิตส่วนตัวของอีกฝ่าย

“กานต์..” เขาเรียกชื่อผมตอนที่เรานั่งดูทีวีด้วยกัน

“ครับ?”

“เคยรู้สึกเหงามั้ย”

ผมส่ายหัว ซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดของเขา “ไม่เคย..มั้ง”

“ทำไมถึงมีมั้ง”

“พี่นิลอยู่เลยไม่เหงา แต่ถ้าวันไหนไม่ได้อยู่ด้วยกัน สงสัยจะเหงาแน่”

“พี่จะอยู่กับกานต์ตลอด พี่สัญญา” เขาลูบหัวผม “เพียงแต่ตอนนี้พี่เหงา รู้สึกเหมือนอยู่ตัวคนเดียว นอนคนเดียว กินคนเดียว ใช้ชีวิตคนเดียว”

“อย่างพี่นิลเหงาด้วยเหรอ” ผมค่อนข้างประหลาดใจเพราะพี่เขาหน้าตาดี ขี้คร้านจะมีคนมาต่อแถวล่ะไม่ว่า แต่ถึงอย่างนั้น น้ำเสียงที่พี่นิลใช้ก็ไม่เหมือนคนพูดโกหกเลย “ตอนนี้ไม่เหงาแล้วนะ กานต์อยู่ด้วย”

“กานต์อยู่กับพี่ไม่นาน พี่อยากให้กานต์อยู่กับพี่..ทั้งวัน..ทั้งคืน”

ผมหน้าร้อนผ่าว

“แค่นี้ก็เจอกันทุกวันแล้ว พี่นิลอยากตื่นสายแล้วกลับดึกเองทำไม”

“พี่มานอนกับกานต์ได้มั้ย” เขาพึมพำ ไม่ได้สนคำพูดของผม ดวงตาสีดำสนิทเป็นประกายวาบ “พี่เหงา..ไม่อยากนอนคนเดียวอีกแล้ว”

จำไม่ได้ว่าตอบอะไรไป แต่รู้สึกตัวอีกที แผ่นหลังผมก็ทาบติดกับเตียง

“อ..อื้อ..” สายตาผมพร่ามัว เหมือนกับมีใครมาดับไฟ ความเจ็บเสียดเบื้องล่างขยับเข้าออก ผมดันแผ่นอกกว้างไว้แต่พี่นิลขยับลงมา บดเบียดช่วงตัวจนร่างของเราสองคนแนบสนิท ผิวกายเสียดสีกันจนร้อนพล่าน แขนแข็งแรงสอดรั้งเข้าใต้ข้อพับขาแล้วสอดตัวลงกึ่งกลาง

ผมเปลี่ยนมากอดรัดแผ่นหลังเขา ขบกัดบนบ่าเพื่อกลั้นเสียงคราง แรกเริ่มนั้นมันเจ็บ แต่หลังๆค่อยเปลี่ยนเป็นพายุอารมณ์ ความเสียวซ่านแล่นริ้วขึ้นมาตามแผ่นหลัง ขาทั้งสองโอบรอบสะโพกสอบขณะที่ร่างด้านบนเคลื่อนไหวตัวรวดเร็ว หูผมอื้ออึงไปหมด แต่ได้ยินเลาๆว่าเสียงผิวกายที่กระทบกระแทกกันมันฟังรุนแรงแค่ไหน เสียงเนื้อที่สอดเข้าออกดังระงม เสียงเตียงลั่นเอี๊ยดเป็นจังหวะ พี่นิลหยัดปลายเท้ากับฟูก เสือกไสความร้อนผ่าวเข้ามาในร่างผมจนสุด

ผมร้องไม่เป็นศัพท์ เขาก้มลง สอดปลายลิ้นโลมเลีย มืออีกข้างปัดป่ายไปทั่วอก บีบคลึงบนปลายยอดจนผมร้องครวญคราง ไม่ทันไร ผมก็กระตุกเกร็ง ปลดปล่อยออกมาจนคราบน้ำร้อนระอุเปรอะเปื้อนไปทั่วหน้าท้องแกร่ง เขายกยิ้มมุมปาก ผมขยับตัวขึ้นจูบแก้ม พี่นิลขบกัดริมฝีปากของผมพร้อมกับเร่งตัวเอง

เขาถอนตัวออก กระแทกกลับใหม่จนผมตัวสั่นคลอน เขาจับสะโพกผมไว้ ดันขาแยกกว้าง รับร่างใหญ่โตของเขาที่ยังคงกระชั้นตัวไม่หยุด ผมดิ้นพราด และยิ่งร้องระงม ถึงกับผวาขึ้นกอดเขาแล้วกระตุกวาบ เสร็จสมอีกครั้งเมื่อเขาหลั่งน้ำรักร้อนผ่าวเข้ามาในตัว ภายในร่างตอดรัดเขาหนักหน่วง รู้สึกเลยว่าในตัวมันกระตุกเป็นจังหวะ รีดเร้นเหมือนจะกลืนกินของเขาจนผลุบหายเข้าไปทั้งหมด

พี่นิลล้มตัวลงนอนซบอก เขาพรมจูบไปทั่วใบหน้า “พี่รักกานต์”

ผมยิ้มอย่างเป็นสุข คอยลูบแผ่นหลังเขาอย่างรักใคร่ พี่นิลยันตัวขึ้น จับขาผมตั้งชันอีกหน ประคองบางส่วนที่แข็งกร้าวขึ้นใหม่พร้อมกับสอดใส่มันลงมา

“พี่จะรักกานต์..ทั้งคืน”

“ฮ..อาา”

“ให้พี่รักแบบนี้ไปเรื่อยๆ..รู้มั้ยคนดี”

ผมไม่แน่ใจว่าพี่นิลเป็นคนที่ใช่สำหรับผมหรือเปล่า แต่เขากลายเป็นคนแรกของผมในทุกสิ่งทุกอย่าง ก่อนหน้า เราไม่เคยบอกรักกัน ไม่เคยได้ใช้เวลามากไปกว่าตอนกลางคืนอยู่ด้วยกัน

..แต่ในเวลานี้..ดูเหมือนผมจะไม่ใส่ใจกับเรื่องอื่นเลย..


-----------------------------------------------------------



ผมคิดว่ามันนานถึงสองเดือนที่ผมกับพี่นิลคบกันอย่างเงียบๆ เรายังคงเจอกันแค่ช่วงกลางคืนเพราะเวลาเราไม่ตรงกัน ผมเรียนหนักขึ้น พี่นิลก็จำเป็นต้องไปทำงานตลอดวัน จะมีแค่ช่วงกลางคืนเท่านั้นที่เราได้เห็นหน้าอีกฝ่าย

แน่นอนว่าในแต่ละคืน เรายังคงร่วมรักกันอย่างมีความสุข เสร็จสม กอดก่าย บอกคำว่ารัก และหลับใหลไปในอ้อมกอดของกันและกัน กระทั่งรุ่งเช้า

“พรุ่งนี้กานต์ต้องย้ายลงไปข้างล่างแล้วนะ” ผมบอกตอนที่พี่นิลทิ้งตัวลงมานอนบนร่าง

ดูเหมือนเขาจะมีท่าทีหงุดหงิดในทันใด “ไม่จำเป็น”

“เอ้า..พี่ก็แค่ไปหากานต์ข้างล่างเท่านั้นเอง กานต์ไม่ได้ย้ายออกไปไหน” ผมหัวเราะ ลูบบ่าเปลือยของเขาเบาๆ

“พี่ไม่ชอบ!” เขาเสียงแข็ง

ผมชะงักไป เขาเห็นท่าทีแปลกใจเลยเปลี่ยนอารมณ์

“พี่ไม่ชอบอะไร” ผมพึมพำ ข้างล่างพื้นที่ออกจะกว้าง หรือแค่วิวไม่สวย หรือที่ดูจะสะดุดตาและชวนให้ฉุกคิดมากที่สุด ก็คงเป็นหน้าห้องของผมล่ะมั้ง

..หน้าห้องของผมมีศาลพระภูมิตั้งอยู่..

“อย่างที่กานต์คิดนั่นล่ะ” พี่นิลว่าเสียงหงุดหงิด “พี่ถือ..ไม่ชอบ”

ผมถอนหายใจ “เอาไว้พี่นิลบอกป้าแกสิ ถ้าลดราคาให้กานต์เท่ากับข้างล่าง กานต์จะอยู่ชั้นสี่ถาวรเลยเอ้า”

พี่นิลยิ้มมุมปาก “เอางั้นก็ได้..”

เช้าวันถัดมา ผมตื่นไม่เจอพี่นิลตามเคย ผมแต่งตัวเรียบร้อย ลงบันไดตรงไปห้องทำงานของป้าที่ดูแลอพาร์ทเมนท์ ว่าจะลองต่อรองขออยู่ชั้นสี่ต่อ ถ้าแกสงสัยอะไร จะให้ไปถามพี่นิลเอา อย่างน้อยลูกชายเจ้าของที่คงสั่งอะไรได้ดีกว่า

ผมชะงักมือที่กำลังจะเคาะประตูกระจก ขมวดคิ้วมุ่นเมื่อเห็นแกกำลังจุดธูปดอกเดียวอยู่หน้ากรอบรูปสีซีด

“อ้าว..” แกหันมาพอดี ดูท่าทางอิดโรย “มีอะไรคะคุณ”

“ผมจะมาขอป้าเรื่องห้องชั้นสี่น่ะครับ”

แกหลบสายตาผมไป “จะย้ายออกเหรอคะ”

“เปล่าครับ ว่าจะขออยู่ต่อ” ผมยิ้มรื่น “ถ้าป้าไม่สบายใจ เดี๋ยวผมให้พี่นิลออกตัวแทน เจ้าของใหญ่เขาคงไม่ว่าหรอกครับ พี่นิลบอกแล้วว่าจะพูดให้”

“ไม่เอาๆ ไม่ต้องมาหาป้านะ” แกโบกมือไปมา ดูตัวสั่นงันงก “อยากทำอะไรก็ทำไปเถอะ อยู่ก็อยู่ไป ป้าไม่เกี่ยว”

ผมมึนงง ได้แต่บอกขอบคุณที่เรื่องมันง่ายดายก่อนจะลุกขึ้นยืน

จังหวะหนึ่ง สายตาเหลือบเห็นรูปถ่ายบนหิ้ง ผมตกตะลึงจนตัวชา

“ใคร..” ลำคอผมแห้งผาก สองเท้าขยับเข้าไปหาโดยอัตโนมัติ และโดยที่ป้าแกไม่ทันจะรั้งตัว ผมคว้าเก้าอี้มาปีนขึ้นไป กระชากรูปถ่ายใบนั้นลงมาดู

..ไม่ผิดแน่..ไม่ผิดจริงๆ..

..ทั้งชื่อ..และนามสกุล..

ผมรู้สึกวิงเวียน คลื่นไส้จนแทบทรงตัวไม่อยู่ ความโกรธแล่นริ้วขึ้นมา

“ล้อผมเล่นเหรอ!”

“ไม่..” แกก้มหน้างุด “ขอโทษที่ไม่ได้บอก ป้ากลัวคุณไม่กล้าอยู่ ห้องชั้นสี่ไม่มีใครเข้ามานานแล้ว ป้าต้องหาลูกค้า”

น้ำเสียง สีหน้า ท่าทางของแก ผมรับรู้ในทันที..ว่าไม่ได้แสดงละคร

..แต่ให้ตายเถอะ..

“ตลก..เมื่อคืน..พี่เขายัง” ผมตัวชา

พี่นิลมักมาหาผมเฉพาะเวลากลางคืน กลับออกไปในตอนกลางวัน แสดงความฉุนเฉียวเมื่อผมต้องการย้ายห้องลงมาอยู่ชั้นล่าง

..ใช่..เพราะห้องผมติดกับศาลพระภูมิ..

..เขากลัว..และไม่กล้ามา..

ผมฉวยข้อมือป้า ร้องขอกุญแจสำรองของห้องพี่นิล ตอนแรกแกจะไม่ยอม แต่ผมอ้อนวอน

สภาพมันเหมือนร้างมาหลายปี กลิ่นอับโชยเข้าจมูกทันทีที่เปิดประตูเข้าไป ไม่มีใครเข้ามาทำความสะอาด เฟอร์นิเจอร์ส่วนใหญ่คลุมผ้าขาว ข้าวของทุกอย่างถูกเก็บจนเกลี้ยง มีแต่ฝุ่นที่จับหนาตามพื้น

ผมรู้สึกเหมือนจะจับไข้ “ตั้งแต่เมื่อไหร่”

“ส..สามปีแล้ว” แกหลบสายตา ว่าไม่ทันไรก็ก้าวฉับๆออกไปด้านนอก “แกไม่ได้เสียที่นี่ แต่ตอนไปเยี่ยมแม่ที่ต่างจังหวัด แกคง
หลับใน รถเลยชน”

ผมก้าวตาม รู้สึกขนแขนลุกชัน



-------------------------------------------------------



ผมย้ายออกจากอพาร์ทเมนท์ริมน้ำนั่นในทันที..แทบจะในเช้าวันนั้น กระทั่งขึ้นไปเก็บของ ผมยังพาแม่บ้านไปเป็นเพื่อนทีเดียวสองสามคน

ผมจับไข้จริงๆ ต้องลาเรียนเกือบอาทิตย์ ไม่แน่ใจว่าหูแว่วไปเองหรือเปล่า แต่สายตาและในสมองผมยังเป็นภาพกับเสียงของพี่นิลอยู่กระทั่งตอนนี้

“พี่มานอนกับกานต์ได้มั้ย”

“พี่เหงา..ไม่อยากนอนคนเดียวอีกแล้ว”

เป็นเดือน..กว่าผมจะกล้านอนเพียงลำพัง บางทีต้องคอยลากใครต่อใครมานอนเป็นเพื่อน

“มึงกลัวอะไรนักหนา” ทุกครั้งที่ถูกถาม ผมจะเล่าให้ฟัง

แต่สุดท้าย..ไม่มีใครเชื่อ แน่อยู่แล้ว คนเรียนหมอที่ไหนกลัวผีกันบ้าง

ผมเข้ามาอยู่ในหอใหม่  มีรูมเมทอีกสองคนอยู่ห้องเดียวกัน ผมถึงได้หลับตาลงอย่างอุ่นใจ

คืนนี้ผมนอนขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มอุ่นๆ ดวงตาเริ่มปรือปรอยเพราะความง่วงงุน สัมผัสบางอย่างโอบล้อมลงมา ผมรู้สึกอุ่นใจ อาจเป็นเพราะพระที่แม่ให้คล้องติดคอไว้ก็ได้

“กานต์..พี่มาตามสัญญา”

เสียงหนึ่งกระซิบข้างหู

ผมลืมตาโพลง หายใจไม่ออกไปชั่วขณะ ทั้งร่างเย็นเฉียบ แข็งเกร็งเหมือนถูกตรึง

“พี่บอกแล้ว..จะอยู่กับกานต์ตลอดไป”

เขายิ้มท่ามกลางแสงจันทร์จากนอกหน้าต่าง

ผมสะดุ้งเฮือก ตื่นจากความฝัน เหงื่อไหลจนชุ่มบนผ้าปู เพื่อนเงยหน้าหันมามองอย่างสงสัย ออกปากถามว่าเป็นอะไร ผมจับพระที่คล้อง ท่านก็ยังอยู่ดี คงมีแต่ผมที่ฝันเป็นตุเป็นตะไปเองคนเดียว

“ฝันร้าย..” ผมตอบมัน

“เออ ไม่เป็นไรแล้วก็นอน” อีกฝ่ายว่า “พรุ่งนี้เรียนเช้า”

ผมพยักหน้ารับ ถอนหายใจเฮือกอย่างโล่งอก หันหลังแล้วคลุมโปง

เงาคนร่างสูงใหญ่ซ้อนทับเข้ามาจากด้านหลัง ท่อนแขนยาวพาดผ่านช่วงเอว โอบอยู่แนบชิดคล้ายจะแสดงความหวงแหน ร่างนั้นเบียดกายเข้าหา ดูราวกับจะทาบเป็นคนๆเดียว

“กานต์จะเป็นของพี่ทุกคืน”


---------------------------------------------------------



ทุกวันนี้ เขายังคงมาหา ยังคงกอด ยังคงกระซิบ และร่วมรักอย่างแผ่วเบาคล้ายอากาศธาตุ ในบางคืนเท่านั้น ที่เขาจะปรากฏตัวอย่างแจ่มชัด

ผมกลัว..จนเลิกกลัว

หวาดหวั่น และผวา แต่ตอนนี้มันกลายเป็นความเคยชิน

..ผมคงไม่มีวันได้นอนคนเดียวอีกต่อไป..



FIN




เป็นเรื่องแรกที่เขียนแบบงงๆ และจบลงแบบงงๆ 555+

เขียนตอนเรียนโทปี 1 ขอรับ แบบว่าย้ายจากแถวประตูน้ำไปอยู่ที่วังหลัง บรรยากาศก็เอาห้องตัวเองเขียน กร๊ากกก บางคืนสยองเหมือนกันนะ มันเงี๊ยบบบเงียบบ วังเวงสุดๆ บางคืนนอนคนเดียว มีเสียงฝนตกแบบแปะๆๆ เสียงมันจะคล้ายคนเอานิ้วเคาะกระจก (ฆ่ากุเถ้ออ อย่างนั้นน่ะ  :serius2:)

ไอ้ที่เจ็บใจคือ ป้าแม่บ้านแกเล่าให้แม่ฟังว่า ที่หอนี้น่ะเป็นที่แรงนะ แขกหลายคนเจอมาแล้ว (ป๊าดด ไม่บอกก่อนจะเข้าไปอยู่ฟระ) ก็พอดีแม่มาเล่าตอนย้ายออกแล้ว ไม่งั้นคงหลอนไปอีกนาน  o22


 :pig4:


ออฟไลน์ TONG

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2535
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-4
เมื่อจะหวาน แต่ก็สยองน่าดู

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ takara

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +379/-13
เรื่องแรกหวานอะ พอเรื่องที่สองรู้สึกจะอือม์ แฮ่แฮ่

ออฟไลน์ nigiri-sushi

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 547
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1165/-8
    • Nigiri-Sushi Page
 :L1:Hurt Love:L1:


"Kiss Me Goodbye" 



@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@


..เราเจอกันครั้งแรกในงานแต่งงานของอาผม..
   
 ในความจริง เรารู้ว่าแต่ละฝ่ายมีตัวตน แต่ต่างคนต่างไม่เคยสนใจกันและกัน ผมรับรู้..ว่าเขาคือลูกชายของน้า เขารับรู้..ว่าผมคือลูกชายของป้า
   
แม่ผมย้ายมาอยู่กรุงเทพหลังจากแต่งงานกับพ่อ แม่แทบจะไม่ได้กลับไปบ้านเกิดเลย เราลงใต้ไปเยี่ยมตากับยายกันนับครั้งได้
   
ในขณะที่เพลงบรรเลง คู่บ่าวสาวขึ้นไปบนเวที แสงไฟรอบด้านมืดลง ทุกสายตาจับจ้องเจ้าของงาน หากสายตาผม..มองแต่เขาเท่านั้น
   
คิดดูแล้ว เราน่าจะเคยเห็นกันตอนเด็ก..พี่ชายที่แก่เดือนกว่าไม่เท่าไหร่ ผมคงไม่สนิทกับเขาเพราะเราอยู่กันคนละบ้าน ผมจะนอนบ้านตา แต่เขานอนบ้านพ่อตัวเอง ไม่มีอะไรแปลก..เราแค่ยังเด็กด้วยกันทั้งคู่
   
ชั่ววินาทีหนึ่งนั้น เขาหันกลับมา สายตาเราประสานกัน
   
..เขายิ้มให้..และเป็นยิ้มที่อ่อนโยนเสียด้วย..
   
“คืนนี้เรานอนบ้านไหน” พี่สาวที่เป็นลูกของน้าอีกคนออกปากถาม
   
ตากับยายผมเป็นคนจีน แกมีลูกทั้งหมดห้าคน แต่ละคนแยกย้ายไปมีครอบครัวจนหมด จะมีแต่แม่ของผมเท่านั้นที่ย้ายมาอยู่กรุงเทพถาวร ผมไม่ค่อยสนิทกับญาติฝั่งแม่นัก แต่ถือว่าความสัมพันธ์ก็ไม่ได้เลวร้ายเสียทีเดียว
   
ผมขยับปากจะตอบว่าคงนอนบ้านตา แต่เขา..เดินเข้ามาแทรกกลางวงแล้วเท้าแขนลงกับพี่สาวที่ตัวเล็กกว่า

“นอนบ้านพี่ก็ได้ เดี๋ยวจัดห้องให้”

ผมไม่ปฏิเสธ พ่อแม่ผมก็ไม่ปฏิเสธ 
   
..คืนนั้น..เราจูบกัน..
   
มันเกิดขึ้นตอนไหน ผมแทบไม่รู้ตัว รู้เพียงว่าเราดูทีวีด้วยกัน ผมนั่งเงียบ เขาก็นั่งเงียบ เขาไปอาบน้ำ ผมนั่งเฉย พอเขากลับมานอน ผมก็ออกไปบ้าง
   
“ให้ปิดไฟเลยมั้ย” ผมถามคนที่นอนหลับตานิ่งอยู่บนเตียง
   
“อืม..” เขาตอบโดยไม่ลืมตามอง “ง่วงแล้ว”
   
ผมกลับเข้ามา ล้มตัวเบาๆลงบนฟูกก่อนจะขยับไปทางตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ในห้องที่เขาได้มันมาจากการจับฉลาก เขาคลี่ผ้าห่มออก ตวัดมาทางผม
   
ในความมืด..ผมได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอ เมื่อคิดว่าเขาคงนอนหลับไปแล้ว ผมถึงได้พลิกตัวกลับมา จ้องมองใบหน้าคมสันนั้นผ่านแสงสลัวจากนอกหน้าต่าง ไล่สายตาลงไปยังฝ่ามือที่วางทาบอยู่บนแผ่นอก
   
ตอนนั้นผมอยู่แค่ม.สาม สาบานได้ว่าไม่ได้คิดเกินเลยไปจากความสงสัยของตนเองเลยสักนิด ผมแค่ลองเอามือไปทาบกับมือเขาเท่านั้น

..แค่อยากรู้ว่าทำไมเราจึงต่างกันมากมาย..

เขาไม่ได้ตื่น แต่ฝ่ามือเขาขยับแผ่วเบา รวบปลายนิ้วผมไว้พร้อมกับพลิกตัวนอนตะแคง ผมชะงักกึก แทบหยุดหายใจกับปลายจมูกที่แนบข้างแก้ม

ในความมืดนั้น เขาค่อยๆขยับเข้าหา นิ้วยาวเกลี่ยไล้ลงกลางฝ่ามือ ผมกลั้นใจด้วยความตระหนก ลมร้อนผ่าวรินรดอยู่ข้างซอกคอ
ริมฝีปากเราสัมผัสกันบางเบา หัวใจผมเต้นรุนแรง มันดังระรัวคล้ายกำลังจะระเบิดออกมานอกอก เขาทาบปากอีกครั้ง..และผมก็แย้มรับ

เขาถือโอกาสนี้ขบกัดเพียงนุ่มนวลที่ริมฝีปากล่าง ผมหลับตานิ่ง ในอกซ้ายยังคงมีเสียงก้องดัง ทั้งตื่นเร้า ทั้งตกใจ และมีความสุข

..ผมคงชอบเขาเข้าแล้ว..

เขาหยุดเพียงแค่นั้น รวบตัวผมมากอดไว้ด้วยสองแขน ร่างเราแนบชิดกันจนกระทั่งใกล้เช้า ผมเป็นฝ่ายผละออกมาก่อนแล้วหันหลังให้

..ต่างฝ่ายต่างทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น..
   
เราคุยกันตามปกติ บ่อยครั้งที่ผมมักเสหลบดวงตาคมกล้านั้น เขาเป็นเพื่อน เป็นญาติ และเป็นพี่..ที่แสนดี
   
ผมไปงานแต่งงานของอาที่บ้านเกิดแม่แค่สองวัน ดังนั้น..เราจึงได้อยู่ใกล้กันแค่คืนเดียว แน่นอน..เป็นคืนเดียวที่ผมมีความสุขที่สุด


@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@


   
..เราเจอกันครั้งต่อมาในงานแต่งงานของพี่สาวเขา..
   
ผมช่วยแจกของชำร่วย เดินดูตามโต๊ะว่ามีอะไรขาดเหลือ ในขณะที่เขาเป็นคนต้อนรับแขก คอยพูดคุยและเอาใจใส่ด้วยรอยยิ้มอบอุ่น
   
ผมลอบมองเขา ส่วนเขา..ยิ้มตอบมาให้
   
“คืนนี้นอนที่ไหน” เจ้าสาวของงานยังคงห่วงผมเสมอ
   
ในระยะเวลาหลายปีที่เราไม่ได้ติดต่อกัน แม่ของผมกับลุงมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้ง แม่ลั่นปากว่าจะไม่กลับมานอนบ้านตาที่ลุงอาศัยอยู่ด้วยอีกเพราะฉะนั้น มาคราวนี้ผมจึงต้องอาศัยนอนที่อื่น “จองโรงแรมไว้แล้ว”
   
“บ้านพี่ก็ได้” และเขา..ก็ยังคงชักชวนด้วยคำเดิม
   
หกปี..ที่ผมไม่ได้เจอเขา ความคิดถึงมันกลุ้มรุมอยู่ในอกจนแทบแหลกสลายเพราะความอัดอั้น เขาเป็นพี่ เขาเป็นญาติ และเราอยู่ห่างกัน
   
..ผมไม่สามารถบอกความในใจนี้ไปได้..
   
“อันนี้ใครทำให้” ผมจ้องมองครอสติซที่ใส่กรอบไว้ข้างฝาผนัง
   
เขาปลดเสื้อออก ดึงผ้าเช็ดตัวมาคลุมท่อนล่าง “คนที่มาชอบพี่”
   
ผมนิ่งอึ้ง ดวงตาหม่นแสงลงด้วยความเจ็บปวด “แฟนเหรอ”
   
“ไม่หรอก” เขาส่ายหัว ชี้มือให้ดูของขวัญกองอื่นด้วยความภูมิใจ “ยังมีอีกนะ ภาพวาดนั่นก็ใช่ แต่เป็นคนละคน”
   
“ป็อปจริง” ในขณะที่หยอกล้อเขา..ผมก็ยอมรับว่าเจ็บ “ถ้าทำให้บ้าง พี่จะรับไว้มั้ย” สุดท้าย..ผมก็ถามออกไปในสิ่งที่ไม่ควร
   
“เอาสิ” เขายิ้มละมุน “จะตั้งไว้บนหัวเตียงเลย”
   
..คืนนั้น..เราจูบกัน..
   
ผมเป็นฝ่ายเข้านอนก่อน หัวใจเจ็บร้าวด้วยความไม่สงบ สายตามองผ่านความมืดไปที่กรอบรูปครอสติซ มันเป็นลายของเด็กชายและเด็กหญิงคู่กัน
   
..ผมไม่กล้าจะถามว่าเขามีคนที่ชอบหรือยัง..
   
ผมไม่อาจปั้นหน้านิ่งได้ในขณะที่ปากถามสิ่งที่ทำให้ใจเจ็บปวด ผมไม่อาจทนกลั้นน้ำตาได้..ถ้าหากคำตอบที่ได้รับคือการบอกว่ามี
   
..แต่คนๆนั้น..ไม่ใช่ผม..
   
มนุษย์เรามักเห็นแก่ตัว และผมขอเก็บความสุขที่ได้มาจากการเห็นแก่ตัวนั้นไว้นานๆ ถึงแม้เราจะไม่ได้คบกัน แต่เขาจะยังมีผม ผมจะยังมีเขา
   
..แม้ในฐานะญาติคนหนึ่ง..ก็ยังดี..
   
เมื่อได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอ ผมหันกลับไปด้านหลังอีกครั้ง ไล้ปลายนิ้วลงกับท่อนแขนแข็งแรง เวลาหกปีที่ผ่านมา เขาเปลี่ยนแปลงไปมาก

ใบหน้าหล่อเหลาอย่างคนใต้นั้นมีไรหนวดบางๆ ดวงตาสีดำสนิทมักมีแววฉ่ำหวานแอบซ่อนอยู่ภายใน เสียงนุ่มนวลเปลี่ยนเป็นทุ้มต่ำ ริมฝีปากที่ผมเคยสัมผัส..สุดท้ายก็อยากรู้ว่าเปลี่ยนไปมากน้อยเพียงใด

ผมโน้มตัวเข้าหาเขา แตะปากเบาๆด้วยความไม่กล้า

เขาไม่ลืมตาขึ้น แต่กลับยกแขนขึ้นโอบรัดตัวไว้ ออกแรงกดต้นคอให้ผมก้มต่ำ เขาขยับเพียงนิด เอียงหน้าเพื่อรับจูบทั้งหมดให้ถนัดขึ้น

มือข้างที่เหลือของเขาเลื่อนมาตรงราวเอว ฝ่ามืออุ่นร้อนสอดเข้าใต้ตัวเสื้อ เลิกมันขึ้นแล้วลูบไล้ผะแผ่วผ่านผิวเนื้อ ปัดป่ายมาถึงยอดอกทั้งสอง

ผมครางเบาๆด้วยความกลัว ห้องของตากับยายอยู่ไม่ไกลออกไปนัก

..นอกเหนือไปจากเสียงจูบแว่วหวาน เราไม่ได้พูดคุยอะไรกัน..

ผมเผยอริมฝีปากขึ้น เขาบรรจงสอดลิ้นเข้ามาภายใน เล็มเลียตามไรฟันและกระตุ้นเร้าให้ผมยอมตาม ปลายนิ้วใหญ่บีบคลึงไปทั่วตัว

มีเสียงฝีเท้าคนอยู่ด้านนอก ผมขยับตัวหนีอย่างรวดเร็ว น้าเปิดประตูเข้ามาข้างในเพื่อมาเข้าห้องน้ำที่มีอยู่ในห้องของพี่

แสงไฟสว่างวาบ ผมหลับตานิ่ง บังคับตัวเองให้อยู่เฉยที่สุด ส่วนเขา ยังคงหลับตาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ตามเดิม
เมื่อน้าออกไป เราต่างฝ่ายต่างทำเป็นมองเมินและไม่มีใครหันกลับมา

ตอนเช้า..ด้วยความละอายใจที่เป็นฝ่ายเริ่มก่อน ผมยังคงนอนแช่อยู่บนเตียงอย่างนั้นกระทั่งเขาออกไปเรียน เมื่อประตูปิดลงแล้วผมจึงลืมตา

เย็นวันนั้น ผมต้องกลับกรุงเทพ เขามาส่งที่สนามบิน

..เราต่างฝ่ายต่างทำเหมือนเรื่องเมื่อคืนเป็นแค่ความฝัน..

“ตั้งใจเรียนนะ” เขายิ้มให้ ฝากขนมไว้ถุงหนึ่ง “หวัดดีป้าให้ด้วย”

ผมพยักหน้า รับของมาพร้อมโบกมือลา

“อีกปีเดียวจะรับปริญญาแล้ว จะมามั้ย” สุดท้าย ผมกลั้นใจถามไป

“แน่นอน” เขาสัญญา

..ผมน่าจะรู้อยู่แล้ว..ว่าเขาไม่มา..



@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@



..เราเจอกันครั้งสุดท้ายในงานแต่งงาน..ของเขา..
   
อีกหกปีที่ผ่านมา..ผมติดต่อกับเขานับครั้งได้ รู้ดีว่าเราไม่อาจเปลี่ยนความสัมพันธ์ที่มีอยู่ รู้ดีว่าเขาเป็นพี่ รู้ดีว่าผมเป็นน้อง

..รู้ดีว่าสุดท้าย..เราเป็นได้แค่ญาติกัน..
   
แต่ผมกลับทำใจไม่ไหว..เมื่อได้การ์ดเชิญจากเขา
   
“ใคร..” ผมโทรหาเขา ไม่ใช่ครั้งแรกที่คุยกันทางโทรศัพท์ แต่เป็นครั้งแรกที่ผมใช้น้ำเสียงสั่นเครือเพื่อถามสิ่งที่ตนเองอยากรู้ “เจ้าสาว..ใคร”
   
ดูเหมือนเขาจะนิ่งอึ้งไป
   
“ตั้งแต่เมื่อไหร่..ตอนไหน..” ผมกลั้นเสียงสะอื้น
   
..เรื่องราวที่ผ่านมา..มันคืออะไร..
   
..อะไรคือความจริง..อะไรคือความกระจ่างในความคลุมเครือ..
   
..เราจูบกัน..เพื่ออะไร..

..หรือมีแต่ผมเท่านั้นที่คิดเกินเลย..

‘ถ้าเราจำได้’ เขาพึมพำ ‘เธอเป็นคนที่ปักครอสติซให้พี่’

..หัวใจผมขาดวิ่นด้วยความรวดร้าว..

“แต่งวันไหนล่ะ” ผมปรับเสียงตัวเอง หมดความพยายามในการทำงาน

‘ธันวานี้..จะมามั้ย’ เขาอ้อนวอน ‘มาให้ได้นะ อยากเจอ..’

ด้วยคำขอจากเขา ผมจองตั๋วเครื่องบินเพื่อไปร่วมงานแต่งงาน

ในระหว่างเดินทาง ผมได้แต่นึกขัน เรามักจะมาเจอกันและกันในวันแห่งความสุขของคนอื่นเสมอ ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมดีใจที่ได้เห็นหน้าเขา

..แต่มาวันนี้..ผมทุกข์จนแทบขาดใจ..

“มาจริงๆด้วย” เขายิ้มให้ผมอย่างเคย ลากตัวไปถ่ายรูปคู่กัน

ผมก้มหัวให้เจ้าสาว เธอไม่ได้สวยโดดเด่น แต่ในรอยยิ้มนั้นมีความอ่อนหวานและน่ารักอยู่ในที เธอเดินเข้ามาหา ยกมือไหว้ขอบคุณที่ผมมา

“เขาเล่าให้ฟังเรื่องน้องชายเสมอ” เธอยิ้ม “เขารักคุณมากค่ะ”

ผมมองหน้าพี่ชาย และเขามองหน้าผม

..มีอะไรบางอย่างที่แอบซ่อนไว้ในใจของเรา..

..สิ่งที่เราไม่เคยเอ่ยมันออกมา..

..สิ่งที่เราทำมองข้ามไป..

..สิ่งที่เรา..ต่างทำเหมือนไม่มีมันเกิดขึ้นมาก่อน..

“เขาก็เป็น..” ผมข่มเสียงสั่นพร่า “พี่ชาย..ที่ผมรักมาก”

หญิงสาวในชุดราตรีสีขาวยิ้มงดงาม เธอจูงผมให้มายืนตรงกลาง

แสงแฟลชสว่างวูบ ความรู้สึกผมด้านชา

..และน้ำตา..กำลังไหลลงในใจ..

“เขาเอาครอสติซที่คุณปักแขวนไว้ข้างผนัง” ผมบอกเธอ “เขารักคุณมาก..และเพราะคุณเป็นคนสำคัญ” ผมมองหน้าพี่ “ผม
เลยอยากฝากเขาด้วย”

เธอหัวเราะด้วยความสดใส “ของฉันอยู่ข้างผนัง แต่หมอนที่คุณปักแล้วส่งพัสดุมาให้เขาจากกรุงเทพ เขาวางไว้ตรงหัวนอนนะคะ”

ผมนิ่งงัน เขาเองก็นิ่งไป

เมื่อถึงเวลา พิธีกรเชิญคู่บ่าวสาวเข้าไปด้านใน ผมเดินตาม ญาติๆจะได้โต๊ะหน้าสุด ผมอยากเลี่ยงไปที่อื่น แต่ในเมื่อหลีกไม่ได้
ผมจึงต้องนั่งดูพรีเซ็นเตชั่นความรักของเขากับเธอ..ด้วยน้ำตา

“เจ้าสาวเล่าว่าเธอจีบเจ้าบ่าวก่อน” พิธีกรหยอกล้อ

“ปักครอสติซจีบเขาค่ะ” เธอแก้มแดงด้วยความเขินอาย

“แล้วก็ติดจริงๆด้วย” มีเสียงหยอกล้อดังมา

ผมเงยมองเพดาน ทำทีสนใจแชนเดอเลียร์คริสตัลแสนสวยด้านบน

..แต่น้ำตาผมยังคงไหลรินลงต่ำ..

“เจ้าบ่าวล่ะครับ..สนใจเจ้าสาวตอนไหน”

เขารับไมค์ไปถือ “คงเพราะ..เราได้คุยกัน”

ผมหันไปมองเขา ส่วนเขา..ยังคงมองผม

..ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมา..เราไม่เคยได้คุยกัน..

..ทำไมเราจึงคิดถึง..ทำไมเราถึงอยากเจอหน้า..

..ทำไมเรากอดกัน..ทำไมเราถึงได้จูบ..

..เพราะอะไร..และเพื่ออะไร..

..เรากลับปล่อยให้มันผ่านเลยไปถึงสิบสองปี..

..และเขาเลือกที่จะไม่รอ..

“ผมจะเก็บความประทับใจนี้ไว้กับตัว..จนวันตาย” เขาปิดท้ายแค่นั้น

ผมร้องไห้เบาๆ

..เขาพูดให้ใคร..

“คืนนี้เรานอนที่ไหน” พี่สาวที่มีลูกแล้วสองคนเดินเข้ามาถาม

ผมยิ้ม แววตาอ่อนระโหย ได้แต่มองเจ้าบ่าวเจ้าสาวที่ยืนรอส่งแขกอยู่หน้างาน เขาเองก็ได้ยินที่พี่สาวถาม แต่ครั้งนี้..ไม่มีคำชวนเดิมๆ

“ไม่ได้ค้างหรอกครับ จะกลับเลย”

ผมจองตั๋วกลับกรุงเทพคืนนี้ เพราะผมรู้ดี..ไม่มีที่ในบ้านนั้นสำหรับผมอีก สองครั้งที่ผ่านมา เขาออกตัวชวน แต่เพราะครั้งสุดท้ายเขาเจอเธอแล้ว

..บนเตียงของเขา ที่ที่เราเคยกอด เคยจูบ..

..จะไม่ใช่ที่สำหรับผมอีกต่อไป..

“ทำไมไม่ค้าง” เขาถามด้วยสายตาเป็นกังวล

เบื้องหลังความห่วงใยนั้น..มีบางสิ่งบางอย่างที่เรารับรู้กัน

..มันสายเกินไป..

“ขอให้มีความสุข” ผมทิ้งท้าย อวยพรคนทั้งคู่

เขาพยักหน้า มีแววเจ็บปวดซุกซ่อนภายใน “ขอโทษ..คงไม่ได้ไปส่ง”

“ไม่เป็นไร” ผมยิ้ม รับไหว้จากเจ้าสาวอีกครั้ง “มีน้องเร็วๆนะ”

ดวงตาของเขามีหยดน้ำเอ่อคลอ เขาผละจากเจ้าสาวของตัวเองเพื่อตามผมมายังลานจอดรถของโรงแรม ฝ่ามือใหญ่ฉุดรั้งแขนผมไว้แล้วดึงเข้าหาตัว

ผมยันอกเขาออกห่างโดยสัญชาตญาณเมื่อเขาโน้มลงชิด

“ขอให้มีความสุข” และเมื่อผมอวยพรเขาอีกครั้ง เขาจึงได้สติ

เขาปล่อยตัวผม ความเจ็บปวดที่เราต่างกักเก็บมันเอาไว้เหมือนจะปะทุขึ้นอย่างพลุ่งพล่าน หากสุดท้าย..เราเลือกที่จะเก็บกลืนมันลง

“ขอให้มีความสุข..เหมือนกัน”

ผมพยายามกลั้นน้ำตา เมื่อมันไหลลง ผมต้องซ่อนมันไว้ด้วยการยกมือไหว้เขาตามประสาคนที่อายุอ่อนเดือนกว่า “ขอบคุณครับ”

“จะได้เจอกันอีกมั้ย” เขายังรั้งเมื่อผมเดินออกไป

ผมเงยมองท้องฟ้าของเดือนธันวาคม มันช่างสวยงาม

..แต่ก็หนาวเหน็บในคราวเดียว..

“อย่าดีกว่า” ผมปฏิเสธ

“ครั้งสุดท้าย!” เขาเลือกที่จะตะโกน “ครั้งสุดท้าย..ก่อนเราจะไม่เจอกัน”

ผมอยากใจแข็ง อยากพาสองขาออกห่าง..แต่ผมกลับวิ่งเข้าไป

..ในคืนนั้น..เราจูบกัน..

ทุกอย่างเหมือนความฝัน เราสัมผัสกันและกันในยามที่มีสติ ไม่มีใครหลับตา ไม่มีใครทำเหมือนว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น เรารับรู้ และ
เราเต็มใจ

We choose it, win or lose it

..เราต่างเลือกหนทางนี้เอง..

Love is never quite the same

..ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีทางกลับไปเหมือนเดิม..

I love you, now I've lost you

..ฉันรักเธอ..แต่หลังจากนี้..ฉันต้องสูญเสียเธอ..

Don't feel bad, you're not to blame

..ไม่ต้องห่วงที่รัก..ไม่จำเป็นต้องโทษตัวเองเลย..

So kiss me goodbye and I'll try not to cry

..ดังนั้น..เพียงครั้งนี้..ได้โปรดจูบลากัน..จะพยายาม..ไม่มีน้ำตา

All the tears in the world won't change your mind

..เพราะแม้ว่าฉันจะร้องไห้จนขาดใจ..

..มันก็คงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีก

There's someone new and she's waiting for you

..ยังมีใครบางคนรอคอยอยู่ตรงนั้น..รอคอยเธอกลับไปหา..

Soon your heart will be leaving me behind

..และอีกไม่นาน..เธอคงจะทิ้งฉันไว้เบื้องหลัง..

Linger awhile, then I'll go with a smile

..ขอเวลาสักพัก..แล้วฉันจะจากไป..ด้วยรอยยิ้ม..

Like a friend who just happened to call

..เหมือนกับเพื่อนคนหนึ่ง..ที่ไม่มีอะไรลึกซึ้งระหว่างกัน..

For the last time pretend your are mine

..แต่ได้โปรดเถิด..ครั้งสุดท้ายเท่านั้น..ช่วยเสแสร้งว่าเธอเป็นของฉัน..

My darling, kiss me goodbye

..ที่รัก..ขอเพียงหนึ่งจูบลา..

 



FIN




นักอ่านถามว่า แล้ว "ผม" คือใคร และ "เขา" ล่ะใคร
ก็เลยบอกว่า "ไม่รู้" 555+
นานๆที อ่านแบบไม่มีชื่อตัวละครบ้างเนอะ  :z6:


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-08-2012 21:42:20 โดย nigiri-sushi »

ออฟไลน์ IIMisssoMII

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-2
คนเขียน เก่งนะ เเต่ละเรื่องสนุก น่าติดตาม ตัวละคร มีคาแรกเตอร์ชัดเจน

ออฟไลน์ takara

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +379/-13
ตอนนี้เศร้าอะ ต่างคนก้อต่างเก็บอะนะ

ออฟไลน์ ratnalin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 743
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-2
เรื่อง i don't want to sleep alone นี่อ่านแล้วหลอนเลยอ่ะ 555 แต่สุดท้ายก็จบแฮปปี้ น่ารักมากอ่ะ >< แต่อีกเรื่องนี่ TT_____TT
เรื่องไม่พูดกันนี่มันตรงกับที่เราเคยเจอมา ไม่ใช่เรื่องแต่งงานนะไม่ถึงขนาดนี้ แต่อ่านแล้วสะเทือนใจ เพลงก็เข้ากันมาก นั่งน้ำตาซึม สงสารอ่ะ

ชอบมากๆ มาต่ออีกนะคะ

yayee2

  • บุคคลทั่วไป
เรื่องราวน่ารักจริงๆเลยเชียว ธีระ-ระพี :man1:
ออกเดทในบรรยากาศโรแมนติก :impress2: แบบพอเพียงด้วยเนอะ
+1ให้ผู้เขียน สำหรับเรื่องนี้ "Please Mr. Postman"
อิ อิ ถึงกับต้องเปิดเพลงฟังไปด้วยอ่านไปด้วยเชียวแหละ
น่าเสียดายที่Karen Carpenter คนร้องเพลงนี้อายุสั้นจริงๆ

yayee2

  • บุคคลทั่วไป
เรื่องที่2
เพลงหวานปนเศร้าที่เราเคยชอบ I don't like to sleep alone
มาเป็นเรื่องหวานเศร้าปนหลอนซะแล้ว 
จะว่าไปก็น่าสงสารพี่นิลเขาเหมือนกันนะ เขาโดดเดี่ยวมานาน คงเหงามากเลย
เขาเลยเป็นฝ่ายเข้าหาน้องกานต์ก่อนก็คงเพราะเขา....
"....Oh I don't like to sleep alone
Sad to think some folks do
No I don't like to sleep alone
No one does do you"
ทุกคนก็คงรู้สึกเช่นเดียวกับพี่นิลแหละเนอะ
แต่ถ้าจะมีคนมานอนด้วยเป็นแบบพี่นิล เราก็คง... ขอบาย แหะ แหะ

yayee2

  • บุคคลทั่วไป
เรื่องที่3  "Kiss Me Googbye"
 :monkeysad: :monkeysad: :monkeysad:
เรื่องราวเศร้าเหมือนเพลงเลยอ้ะ
 "..........................................
I know now I must go now
Though my heart wants me to stay
That girl is your tomorrow
I belong to yesterday......"
คงเพราะความเป็นญาติด้วยแหละเนาะ 
จึงทำให้ทั้งสองไม่กล้าดำเนินความสัมพันธ์ฉันคนรักกันต่อ
ได้แต่รีๆรอๆ ไม่มีใครกล้าตัดสินใจ เลยต้อง....
จบลงด้วย Sad ending
 :monkeysad: :monkeysad: :monkeysad:

ป.ล. อ่านไปเปิดเพลงในอดีตฟังไปด้วย ทั้ง3เรื่อง โอ๊ยยย..สุขหลาย
       แต่แอบมีโหวงๆในใจก็เรื่องที่3นี่แหละจ้ะ

ออฟไลน์ Ju

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 556
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-2
ตอนแรกน่ารัก ตอนสองน่ากลัว ตอนสามเศร้า

หือออออออๆๆ ชอบตอนสองที่สุด และรักตอนสาม (ยังไงเนี่ย)

+เป็ด ชอบมากๆ คนเขียนเก่งจังเลย

ออฟไลน์ TONG

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2535
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-4
เรื่องที่สองอ่านแล้วดูแข็งๆฝืนๆ เรื่องที่สามอ่านสนุกกว่า

ไม่มีใครกล้าเริ่มมากไปกว่าจูบ สุดท้ายก็ได้แค่นั้น อินมาก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: [เรื่องสั้น - Love is All Around] Kiss Me Goodbye [pg.1, 6/8/55]
« ตอบ #19 เมื่อ: 07-08-2012 21:41:14 »





ออฟไลน์ nigiri-sushi

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 547
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1165/-8
    • Nigiri-Sushi Page

 :L1:Hurt Love :L1:


"Sad  Movie"


@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@




..คุณเคยดูหนังสักเรื่องไหม..

ภาพยนตร์ที่เราน่าจะคาดเดาเรื่องราวได้ การดำเนินเรื่องค่อยเป็นค่อยไป ตอนต้นมีความสุข หากตอนจบกลับพบว่ามันไม่ได้เป็น
อย่างที่เราหวัง

..ชีวิตของเราบางคนอาจเป็นเหมือนภาพยนตร์เรื่องนั้น..

..เสียแต่ว่า..มันย้อนเนื้อหากลับไปไม่ได้อีกแล้ว..

 

@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@



เสียงโทรศัพท์ที่แผดดังกลางดึกปลุกคนที่นอนอยู่ให้ตื่นขึ้น มือเล็กป่ายไปข้างหัวเตียงเพื่อรับสาย อาการร้องไห้ฟูมฟายทำเอาคนฟังใจไม่ดี

นานนับชั่วโมงที่มีแต่คำตัดพ้อและเสียงสะอื้น
   
“ใจเย็นๆนะ พรุ่งนี้ปอจะไปหาที่บ้าน” เขาปลอบโยนเพื่อนสนิท ทำอะไรไม่ได้นอกจากบอกว่าวันรุ่งขึ้นจะรีบไป อีกฝ่ายถึงยอมวาง
   
“ใครโทรมาป่านนี้” ชายหนุ่มที่นอนใกล้กันออกปากถาม
   
ปอถอนใจเฮือกใหญ่ พลิกตัวกลับมานอนซุกในอ้อมกอดของคนรัก
   
“หนิงโทรมา” เขาหมายถึงเพื่อนที่คบกันตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม
   
ร่างสูงไล้ปลายนิ้วลงบนแผ่นหลังเรียบเนียน รับรู้ถึงความไม่สบายใจของคนที่นอนอยู่ด้วยกัน “เกิดอะไรขึ้น”
   
“แฟนหนิงขอหย่า” ปอพูดด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล “เขามีผู้หญิงคนใหม่”
   
“ผู้ชายมันแย่” เขาส่ายหัว จูบแผ่วเบาบนไรผมอ่อน “นอนซะที่รัก เรื่องของคนอื่น ปอไม่ต้องกังวลมากเกิน พี่เชื่อว่าเดี๋ยวเธอก็ดีขึ้นเอง”
   
ปอพยักหน้า พยายามคลายความเป็นห่วงลงแต่ยังไม่วายสะกิดคนข้างกายที่ตั้งท่าจะเคลิ้มหลับ “พี่พัฒน์ว่าอะไรมั้ยถ้าปอจะชวนหนิงมาอยู่ด้วยกันก่อน”
   
“พี่ยังไงก็ได้” เขาพึมพำ “ถ้านั่นจะทำให้ปอสบายใจ”

   

@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@



นับจากวันที่ตัดสินใจชวนเพื่อนสนิทมาอยู่ด้วยกันที่บ้าน ปอคิดว่าตัวเองทำถูกต้องที่สุด ระยะแรก หนิงเอาแต่ร้องไห้ นอนซมอยู่บนเตียงไม่ขยับเขยื้อนไปไหน เธอพยายามโทรไปขอคืนดีกับสามีเก่าหากอีกฝ่ายปฏิเสธอย่างเย็นชา
   
“หญิงร้าย ชายเลว” หลังจมจ่อมอยู่กับเรื่องราวทั้งหมด สุดท้ายเธอก็ตั้งสติได้ เลิกฟูมฟาย เลิกอาลัยอาวรณ์ เลิกทำร้ายตนอย่างสิ้นคิด
   
ปอกอดเพื่อนสนิทไว้แน่น ตลอดเวลาสองเดือนที่ผ่านมา ถ้าเธอเศร้า เขาจะเศร้า ถ้าเธอร้องไห้ เขาก็ร้องไห้ ต่างคนต่างกอดกัน ต่างฝ่ายต่างสัญญา

..ว่าจะเป็นเพื่อนรักกันตลอดไป..

“หนิงเป็นคนดี เชื่อสิว่าอีกไม่นานก็ได้เจอคนดี” ปอยิ้มปลอบระหว่างชวนเพื่อนซื้อของในห้าง เขาจ่ายเงินค่าเครื่องใช้ส่วนตัวหลายอย่างให้เพราะหนิงไม่ได้ทำงาน เธอเป็นแม่บ้านให้สามีอย่างเดียวมาหลายปีแล้ว ดังนั้น เมื่ออีกฝ่ายขอหย่า หนิงเลยเหลือแต่ตัวกับเงินเก็บไม่เท่าไหร่ “ผู้ชายไม่ได้มีคนเดียวในโลก”

หนิงเหยียดมุมปาก “เข็ดจนตายแล้วปอ ใครไม่โดนไม่รู้หรอกว่าเจ็บแค่ไหน ฉันเป็นยัยเพิ้งทำงานงกๆอยู่กับบ้าน หูหนวกตาบอด วันๆเอาแต่เก็บเงินเพื่ออนาคต ใครจะไปรู้ โผล่อีกทีผัวไปคบชู้ซะแล้ว อีสวะนั่นก็อยากกินของเหลือเดน”

ปอไม่คิดจะทักท้วงการระบายอารมณ์ของเพื่อน ยิ่งห้ามจะเหมือนยิ่งยุ ยิ่งกดดันตัวเธอเองเปล่าๆ เขาเพียงแต่สอดมือลงไปกุมปลายนิ้วเรียวไว้ บีบกระชับแผ่วเบาอย่างให้กำลังใจ “หนิงยังมีเรานะ เราเป็นเพื่อนกันเสมอ”

“อย่าไปสนมันเลย เรื่องมันผ่านไปแล้ว” หญิงสาวยิ้มทั้งน้ำตา ยักไหล่เหมือนไม่แคร์แล้วชวนเพื่อนซี้เลือกของสด “พี่พัฒน์ชอบกินอะไรล่ะ”

“อะไรก็ได้” ปอเลือกมะเขือเทศกับหัวหอมใส่ถุง “เขากินง่าย อยู่ง่าย”

“ไม่เห็นเหมือนไอ้เวรนั่นเลย” เธอหัวเราะ “ทำอะไรให้กินมันไม่เคยชมสักคำ ทีไปก้อร่อก้อติกกับเมียน้อย ของเกลียดสุดๆมันยังกระเดือกลง”

ปอขยี้หัวเพื่อนเมื่อเห็นว่าเธอเริ่มจะน้ำตาคลออีกครั้ง

“ฉันไม่เป็นไรแล้ว” หนิงตีหน้าเรียบ “จะไม่โง่กับความรักอีกต่อไป”

เขาอมยิ้ม วันนี้ตั้งใจจะเลี้ยงฉลองกันสักครั้ง อย่างน้อยก็เพื่อแสดงความยินดีที่หนิงตัดใจจากคนรักเก่าได้ “อยากกินอะไรเลือกเต็มที่เลยนะ”

หนิงยืนมองเพื่อนจ่ายเงินซื้อของไปอย่างไม่แน่ใจนัก “สามพันเลยเหรอ” เธอถอนใจ “พี่พัฒน์จะว่ารึเปล่า ฉันมาอยู่ฟรีกินฟรีนี่เกะกะปอมั้ย”

“ถ้าพูดแบบนี้อีกจะโกรธจริงๆด้วย” ปอแกล้งทำหน้าบึ้ง

“ไอ้บ้า ฉันเกรงใจนี่ ห้องก็ติดกัน กลัวปอจะจู๋จี๋กับแฟนไม่สะดวก”

คนฟังแก้มแดงเรื่อ ทำทีไม่สนใจเสียงหยอกล้อจากคนด้านหลัง หนิงหัวเราะร่วน เธอรู้ว่าทั้งคู่คบกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ยังนึกชมว่าถึงแม้จะไม่ได้มีการแต่งงานเป็นข้อผูกมัด หากชีวิตคู่ของเพื่อนกลับยืนยาวกว่า

..อบอุ่น..มั่นคง..และเปี่ยมไปด้วยความห่วงหาอาทร..

..จนหัวใจที่บอบช้ำเริ่มเกิดความอิจฉา..



@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@




หนิงยืนปอกผลไม้อยู่ในครัวตอนที่พัฒน์กลับมาจากทำงาน ปอออกไปรับเหมือนทุกวันพลางยื่นน้ำดื่มเย็นๆให้ พัฒน์ยิ้มจนแก้มปริ สีหน้าเหนื่อยล้าคลายลงแทบจะทันที “น้อยๆหน่อยคู่นี้ คนโสดอิจฉาจะตายอยู่แล้วจ้า” เธอแซว
   
ปอผละจากอ้อมกอดของคนรักพร้อมกับใช้ฝ่ามือยันหน้าคนที่ก้มลงหมายจะจูบ แก้มขาวขึ้นสีเพราะความอาย “พี่พัฒน์หิวรึยัง”
   
“ไม่หิวข้าว” พัฒน์ส่ายหัว คล้องแขนลงบนเอวเล็ก “หิวแต่ปอ งั่ม งั่ม”
   
หนิงปรายตามองทุกกิริยา เธอเลี่ยงไปอีกทางเมื่อพัฒน์ฉวยโอกาสก้มลงจูบปากแฟน หัวใจที่คิดว่าหายดีแล้วกลับยิ่งเจ็บแปลบ
   
..ทำไมมีแต่เธอเท่านั้น..ที่ไม่ได้รับความรักจากใคร..
   
พวกเขาหายขึ้นไปด้านบนด้วยกันทั้งคู่ กว่าจะลงมาก็เกือบทุ่มกว่า หนิงนั่งรอด้วยสีหน้าเฉยเมย กระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าตรงบันไดถึงได้หันไปมอง
   
ดวงตาคมเฉี่ยวลอบดูรอยแดงตรงซอกคอของเพื่อน สีหน้ามีความสุขของปอและท่าทางอิ่มเอมของพัฒน์ทำให้ในกายเธอร้อนผ่าว
   
..บ่อยครั้ง..ที่เธอได้ยินเสียงครวญครางจากการร่วมรัก..
   
..เธอเองก็ยังมีความต้องการของปุถุชนไม่แพ้กัน..
   
“อะแฮ่ม” หญิงสาวแสร้งหยอก ชี้นิ้วบุ้ยใบ้ที่รอยจูบสีสดตัดกับผิวขาวนวล “พี่พัฒน์ไม่ต้องตีตราปอก็ได้ หนิงไม่กล้าแย่งปอมากอดเองหรอกค่ะ”

ปอเบิกตากว้าง ท่าทางเขินอายอย่างธรรมชาติไม่ได้เกิดจากการเสแสร้ง แก้มแดงเรื่อและกิริยาก้มหน้างุดๆนั่น เธอยอมรับว่าน่ารัก

..และเฝ้าคิดว่าถ้าตนเองน่ารักแบบนั้นบ้าง..สามีคงไม่ทิ้งไป..

พัฒน์หัวเราะ ยกมือคล้องคอคนข้างกาย “ถึงจะแย่งก็ไม่ยอมให้นะ”

หนิงบู้หน้าใส่ ปิดทีวีแล้วเดินไปจัดโต๊ะ “กินข้าวกันค่ะ”

ปอเลี่ยงมาตักอาหารนานแล้ว เขาบอกขอโทษที่ปล่อยให้เพื่อนรอนาน

“ฉันรู้หรอก..ภารกิจบนเตียงสำคัญกว่า” เธอแหย่อีกครั้ง

“พูดอะไรเนี่ย!”

ปอตักกับข้าวให้พัฒน์และหนิง ออกปากชมว่าผัดเปรี้ยวหวานจานนี้เพื่อนสาวเป็นคนทำ ส่วนมัสหมั่นไก่ปอลองทำตามตำราดู ไม่รู้ว่ากินได้มั้ย
   
“อร่อยที่สุด” พัฒน์ชมอาหารของปอ และแม้ว่าจะบอกว่าผัดเปรี้ยวหวานจานนั้นอร่อย แต่หนิงก็มองว่าความใส่ใจมันไม่เท่ากันอยู่ดี

“วันนี้ทำแตงโมปั่นแหละ” เธอยิ้มอ่อนหวานให้ “พี่พัฒน์ลองดูสิ”

ปอไม่ชอบแตงโมเท่าไหร่นัก เขาเลยได้แต่จิบ

“อืม..อร่อยจริง” พัฒน์รับมาดื่มแล้วชมเปาะ

ชั่ววินาทีหนึ่ง นัยน์ตาของสองหนุ่มสาวสบกัน พัฒน์นิ่งไปกับท่าทีดีอกดีใจของหนิง เธอยิ้มร่า โน้มตัวมาตักกับข้าวให้เขาด้วยท่าทางสบายๆ

“เออใช่..พรุ่งนี้หนิงจะขอติดรถพี่พัฒน์ไปด้วยน่ะครับ” ปอนึกขึ้นได้เลยหันมาบอกคนรัก “หนิงยื่นใบสมัครงานไป เขาเรียก
สัมภาษณ์พรุ่งนี้”

“เอาสิ” พัฒน์กระตือรือร้น เขาไม่ใช่คนใจดำ

“ถ้าโชคดีคงได้งาน หนิงไม่กล้ารบกวนพี่พัฒน์มากเกิน มีเงินแล้วจะได้ช่วยจ่ายอะไรบ้าง ถ้าเก็บได้เยอะๆ หนิงจะได้อยู่ด้วยตัวคนเดียวได้ซะที”

พัฒน์เห็นใจหญิงสาว เขามองสีหน้าเจื่อนๆ “หนิงอย่าคิดเล็กคิดน้อยเลย เราเป็นเพื่อนปอก็เท่ากับเป็นเพื่อนพี่ด้วย สองสามคนแค่นี้พี่เลี้ยงได้หรอก”

เธอเงยหน้ามองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยความซาบซึ้ง ความอบอุ่นที่ไม่เคยได้รับจากสามีถูกทดแทนด้วยน้ำเสียงและความห่วงหาจากคนทั้งคู่

สำหรับปอ เธอรู้ดีว่าเพราะความเป็นเพื่อน แต่สำหรับพี่พัฒน์ เธอคิดไม่ออกว่าเพราะอะไรเขาถึงดีด้วยทั้งที่เธอเป็นเพียงเพื่อนของคนรักเขาเท่านั้น

..เพราะพี่พัฒน์เป็นคนดี..ดีกว่าสามีเก่าที่เธอรักมากนักต่อนัก..



@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@




ออฟไลน์ nigiri-sushi

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 547
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1165/-8
    • Nigiri-Sushi Page

ปอกลับจากโรงเรียนอนุบาลที่เขาเป็นครูประจำตอนสี่โมงเย็น รถของพี่พัฒน์จอดอยู่หน้าบ้าน หลายวันมานี้เหมือนที่บริษัทจะเลิกงานเร็ว ผู้จัดการแผนกที่มีงานรัดตัวอยู่เสมอจึงถึงบ้านก่อนเวลาปกติบ่อยครั้ง

มีเสียงหัวร่อต่อกระซิกดังมาจากห้องรับแขก ปอถอดรองเท้าออก มือหิ้วของพะรุงพะรัง ทั้งของสดที่ซื้อมาทำกับข้าว ทั้งการบ้านเด็กที่เอามาตรวจ

“หนิง..พี่พัฒน์” เขาเรียกหา ได้ยินแต่เสียงทีวีกับเสียงหัวเราะ

ปอหอบสัมภาระหนักอึ้งเข้าไป เขากับพี่พัฒน์ใช้รถคันเดียวกัน แต่เวลาตอนเย็นเขาจะกลับเองทั้งที่พี่พัฒน์เคยบอกว่าอยากไปรับ เขาไม่อยากให้อีกคนเสียหน้าที่การงาน แค่นั่งรถเมล์เท่านี้ไม่ได้ลำบากอะไรมากมาย

“ทำอะไรกันอยู่” ปอถามยิ้มๆ มองทั้งคู่ที่กำลังนั่งดูทีวีด้วยกันบนโซฟา

หนิงชูดีวีดีที่เพิ่งซื้อมาใหม่ “หนังตลกทั้งนั้นเลยนะปอ วันนี้นั่งเซ็งๆน่ะ พอดีพี่พัฒน์กลับมาเร็วเลยแวะเข้าห้างกัน นี่พี่เขาซื้อให้ฉันดูแก้เครียด”

ปอดูดีวีดีนับสิบเรื่องที่ซื้อมาจากร้านแมงป่องด้วยความงุนงง ใบเสร็จราคาสองพันกว่ายังอยู่ในถุง “อ้อ..” เขาเพียงแต่พยักหน้า
เพื่อนรักทำหน้าเจื่อน “ฉันรบกวนเงินแฟนเธอมากไปรึเปล่า เอาไว้เงินเดือนออกเดี๋ยวคืนให้นะ ขอโทษด้วยจริงๆ”

ปอโบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน พี่พัฒน์เองก็บอกว่าไม่ต้องคิดมาก

“ปอมานั่งดูด้วยกันมั้ย” พัฒน์ตบเบาะให้คนรักเข้ามานั่งด้วย

หนิงขยับตัวไปชิดโซฟาด้านหนึ่ง พัฒน์นั่งคั่นกลางระหว่างเธอกับเพื่อนซี้ ผิวกายของทั้งคู่แนบชิด พัฒน์หันมามองเธอเพียงครู่แล้วเสหลบไป

ปอเอาขนมถ้วยไปใส่จาน เขาชวนอีกสองคนแต่หนิงปฏิเสธว่าไม่ชอบของหวาน ส่วนพัฒน์แตะไปเพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้นทั้งที่เป็นของโปรด

“เรื่องอะไรเหรอ” ปอหันมาถามคนรัก เห็นนั่งหัวเราะกันสนุกสนาน

“อะไรปอ หนังเขาออกจะดัง หรือว่าไม่ชอบดูแนวนี้” หนิงทัก

ปอส่ายหัว “ชอบหนังผีกับตื่นเต้นอะไรประมาณนั้นมากกว่า”

“แต่พี่พัฒน์เขาชอบคอมเมดี้นะ” 

พัฒน์หัวเราะ “พี่ดูได้ทุกเรื่องนั่นแหละ”

ปอได้แต่ยิ้มรับ เขายกเอาการบ้านของเด็กๆมาตรวจ หนิงชะโงกหน้ามอง เธอเอื้อมแขนผ่านตัวพัฒน์ เรือนผมเฉียดใบหน้าอีกคนไปเพียงแค่คืบ

“ขอดูหน่อยสิจ๊ะ”

พัฒน์นิ่งงัน กลิ่นน้ำหอมผู้หญิงติดค้างอยู่ปลายจมูก รอยยิ้มอ่อนหวานกับกิริยานุ่มนวลทำให้เขาคิดอะไรไม่ออกไปชั่วครู่ เธอเหลือบมองเขาพร้อมยิ้มมุมปาก ทั้งตัวขยับเข้าหาอย่างมีชั้นเชิง ไม่เร่งเร้า ไม่วู่วาม

“เด็กๆน่ารักดีนะ” เธอพึมพำก่อนจะเงยหน้ามองเพื่อนสนิท “ปอกับพี่พัฒน์..” ดวงตาสีเข้มจับจ้องที่ชายหนุ่มข้างกัน “ไม่คิดอยากมีลูกบ้างเหรอ”

ปอเงียบกริบ หันไปมองหน้าคนรักที่ไม่ได้เอ่ยปากอะไรออกมาเช่นกัน

“ไม่ได้ชวนเครียดนะ แค่ถามเฉยๆ ห่วงว่าเกิดแก่ตัวไปใครจะเลี้ยง”

พัฒน์เปลี่ยนเรื่อง “ดูหนังเถอะ”

ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก มีเพียงหนิงกับพัฒน์ที่ยังหัวเราะกับมุขตลกในจอโทรทัศน์เป็นระยะ เหลือแค่ปอคนเดียวเท่านั้นที่รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก



@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@


ความรู้สึกบางอย่างก่อร่างขึ้นอย่างเงียบงัน เหมือนคลื่นใต้น้ำที่สร้างความปั่นป่วนอยู่เบื้องลึก มีหลายสิ่งที่ติดอยู่ในใจ มีหลายเรื่องที่ไม่ควรเกิด
   
ปอไม่ได้ทำงานในวันเสาร์ เขาอยู่บ้าน ทำงานของตัวเองเงียบๆคนเดียว พี่พัฒน์ไปรับหนิงที่บริษัทเพราะทั้งคู่เลิกงานตอนเที่ยงเหมือนกัน
   
เขารอกินข้าวตั้งแต่นาฬิกาชี้เลขสิบสอง ปาล์มนี้บ่ายสาม ยังไม่เห็นวี่แววว่าจะมา ตอนแรกโทรหาแต่ไม่มีใครรับสาย พอลองติดต่ออีกทีพี่พัฒน์ถึงรับ
   
‘ขอโทษที หนิงเขาขอแวะมาซื้อของนิดหน่อยน่ะ’
   
“ครับ” ปอพยายามเข้าใจ เขาหันไปมองอาหารเย็นชืดบนโต๊ะ “แล้วนี่กินอะไรกันรึยัง ปอทำกับข้าวเอาไว้ จะให้อุ่น..”
   
‘พี่กับหนิงกินกันแล้ว เห็นบ่ายโมงพอดี ขอโทษที่ไม่ได้บอกนะครับ’
   
ปอนิ่งเฉย พี่พัฒน์น่าจะรู้ว่าเขาไม่ใช่คนชอบมีปากเสียงกับใคร อาจจะสงสัย ไม่เข้าใจ อยากรู้เหตุผล แต่เขามักเลือกที่จะเงียบมากกว่า
   
ทั้งที่บอกว่าจะกลับบ้านมาตอนบ่ายแต่ทั้งคู่ปรากฏตัวอีกครั้งตอนสี่โมงเย็น หนิงหอบข้าวของสารพัดที่ซื้อจากในห้างเดินเคียงคู่มากับพัฒน์ สองคนหัวเราะรื่น เหมือนมีความสุขกันเต็มประดา
   
“เป็นไงบ้าง” ปอทัก วางหนังสือในมือลงเพื่อเดินไปช่วยหิ้ว
   
“พี่พัฒน์พาไปกินอาหารญี่ปุ่นมา เสียดาย ปอน่าจะได้ไปด้วย”
   
คนฟังยิ้มเฝื่อน ฝ่ายหนิงขอเปิดดูแผ่นหนังตลกที่ซื้อมาใหม่ พวกเขานั่งตรงโซฟา ส่งเสียงหัวเราะดังลั่นกันสองคนจนปอที่กำลังวางแผนการสอนต้องเลี่ยงขึ้นไปตั้งสมาธิในห้องนอนแทน หญิงสาวหุบรอยยิ้มลงทันที
   
“ปอไม่พอใจอะไรรึเปล่าพี่พัฒน์” เธอขมวดคิ้ว “หรือว่าหึง”
   
พัฒน์นิ่งเงียบ “ปอไม่ใช่คนแบบนั้นหรอกน่า”
   
“ใครจะไปรู้ บางทีคงไม่ชอบใจที่เราไปกินข้าวกันสองคน” หนิงไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่ ปอไม่ควรคิดเล็กคิดน้อย เขาน่าจะรู้ว่าเธอไม่มีใคร
   
..ขอยืมแค่นี้ทำเป็นหวง..
   
..ถ้าเอามาจริงคงขาดใจตาย..
   
พัฒน์ตบไหล่เธอเบาๆอย่างปลอบโยน “เดี๋ยวพี่ไปคุยกับเขาเอง”
   
ชายหนุ่มเดินตามคนรักขึ้นไปชั้นสอง ปอนั่งอยู่ริมหน้าต่าง ดูเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรจนไม่ทันได้สนใจคนที่เพิ่งเข้ามาทีหลัง “ปอ”
   
เจ้าของชื่อสะดุ้งน้อยๆ “หนังจบแล้วเหรอครับ”
   
พัฒน์ส่ายหัว เดินมานั่งปลายเตียง “ปอไม่พอใจพวกเรารึเปล่า ถ้าเป็นเรื่องหนิง พี่ขอบอกว่าไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกับเพื่อนเราแม้แต่นิดเดียว”
   
ปอไม่ได้รู้สึกโกรธเคือง แต่เรื่องที่เขาสงสัยเกี่ยวกับพฤติกรรมของทั้งสองนั้นเป็นความจริง “ขอโทษครับ” ความรู้สึกละอายที่ครั้งหนึ่งมีเศษเสี้ยวของความหวาดระแวงคั่งค้างอยู่ในอกแล่นวาบ เขาน่าจะรู้ว่ามันไม่ควร 
   
ร่างสูงเดินมากอดอีกฝ่ายไว้ จูบแผ่วเบาบนเรือนผม “พี่รักปอนะ”
   
“วันไหนไม่รักแล้วก็บอกปอด้วย จะได้ทำใจแต่เนิ่นๆ” ปอแกล้งหยอก หากใจกลับคิดตรงตามที่พูดทุกอย่าง “อย่าปล่อยให้รู้เองเพราะมันคงเจ็บมาก”
   
“พูดอะไรอย่างนั้น” เขาหยิกแก้มนุ่ม “พี่ไม่มีวันทิ้งปอหรอกนะ”
   
ปอปล่อยงานที่ทำค้างเอาไว้ก่อนเมื่อพัฒน์ชวนให้ลงไปด้านล่าง พวกเขาได้ยินเสียงสะอื้นจากห้องรับแขก พัฒน์รีบเดินเข้าไป หนิงร้องไห้อยู่บนพื้น ในมือกำโทรศัพท์ไว้แน่น พอเห็นผู้ชายตรงหน้าเธอก็ผวาเข้ากอดทันที
   
“เขาปล่อยให้นังนั่นโทรมารังควานหนิง”
   
พัฒน์สบถเบาๆ ลูบผมเธอเป็นการปลอบ
   
“เห็นหนิงเป็นอะไร คิดจะทิ้งก็ทำ คิดจะเหยียบก็ทำงั้นเหรอ!” เธอฟูมฟาย ซบหน้าลงกับอ้อมอกแข็งแรง ปล่อยให้หยาดน้ำตาไหลชุ่มเสื้อของเขา 
   
ปอยืนมองภาพตรงหน้าด้วยความงุนงง เขาทำอะไรไม่ถูกจนพัฒน์ต้องเรียกให้เข้ามาช่วยปลอบโยนถึงจะได้สติ หากเมื่อเขาเอื้อมมือจะแตะตัว เธอกลับโผเข้าซบพัฒน์ไม่ยอมปล่อย ไม่หันมามองเขาแม้แต่นิด
   
“พี่พัฒน์พาหนิงขึ้นห้องหน่อยได้มั้ย หนิงไม่ไหวแล้ว” เธออ้อนวอน
   
พัฒน์ไม่ได้หันมาขอความเห็นคนรัก เขาช้อนตัวเล็กบางขึ้นอุ้ม พาเดินขึ้นไปบนชั้นสองท่ามกลางความรู้สึกย่ำแย่ที่ห้ามไม่ได้ของคนที่เหลือ



@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@



ปอจำไม่ได้ว่าหลังจากวันนั้นผ่านไปกี่อาทิตย์แล้ว เขารู้เพียงทุกอย่างยังดำเนินไปเหมือนเดิม พี่พัฒน์ใส่ใจเขาไม่เปลี่ยนหากสิ่งที่เพิ่มเติมคือเผื่อแผ่ความอาทรไปยังเพื่อนสนิทของเขาด้วย..และหนิงก็ดูจะเต็มใจรับความเอื้อเฟื้อนั้นตลอด
   
..ทั้งยังมากขึ้นจนเห็นได้ชัด..
   
“หนิงทำแกงเผ็ดหน่อไม้ พี่พัฒน์ลองกินดู” เธอตักกับข้าวตรงกลางให้ผู้ชายด้านหน้า “นี่ก็ด้วย..แกงเขียวหวาน หนิงมั่นใจฝีมือตัวเองนะ”
   
ปอกินข้าวของตัวเองไปเงียบๆ หนิงรู้ว่าเขาแพ้หน่อไม้เลยไม่ตักให้
   
..แต่ทั้งที่รู้ว่าเขากินไม่ได้..เธอก็ยังอยากจะทำจานนี้..
   
..เพื่อใคร..
   
พัฒน์ชมเปาะ เขาชอบกินอาหารเผ็ดแต่ปอชอบรสจืด ในบางครั้งปอพยายามทำให้แต่ก็อาจจะไม่ถูกปากนัก เพราะมันยังร้อนแรงได้ไม่เท่าที่ต้องการ
   
..รสชาติพลุ่งพล่านเป็นสิ่งยั่วเย้าเหมือนเปลวไฟ..
   
หลังมื้ออาหาร หนิงเก็บจานไปล้าง ปอเลี่ยงมาตรวจการบ้านเด็กต่อ
   
“พี่ช่วย” พัฒน์ขยับมาที่ซิ้งค์ หยิบจานใช้แล้วมาล้างน้ำเปล่า
   
หนิงไม่โต้ตอบอะไร เธอเพียงเอี้ยวตัวเพียงนิดให้อีกคนแทรกเข้ามาได้ใกล้มากขึ้น ดวงตาสีเข้มปรายมองผู้ชายอบอุ่นข้างกายอย่างพอใจ
   
“พี่พัฒน์รู้มั้ย ตอนอยู่กับเขา หนิงต้องทำงานบ้านเองคนเดียว”
   
“หืม..” เขาส่งจานให้เธอถูฟอง
   
“ผู้ชายดีๆอย่างพี่พัฒน์หายาก” เธอช้อนตาขึ้นมองเขา ประกายความปรารถนาบางอย่างแฝงเร้นไว้ภายใน ปลายนิ้วเรียวลอบแตะมือใหญ่ใต้สายน้ำ
   
ทั้งที่ด้านนอกเย็นรื่น หากใครคนหนึ่งกลับร้อนวาบในอกจนต้องล่าถอย พัฒน์ผละหนี เดินก้มหน้าออกไปนอกครัวโดยมีสายตาอีกหนึ่งมองตามไม่ละ
   
“ปอทำอะไรอยู่” เขาเข้ามาในห้องรับแขก นั่งลงข้างคนที่ตรวจการบ้านเด็กจนคิ้วผูกเป็นโบว์ เขาโอบแขนลงรอบเอวเล็ก ได้กลิ่นหอมอ่อนๆจากผิวขาว
   
..หอมอย่างไร..ก็หวานไม่เท่ากลิ่นกายหญิง..
   
..โดยเฉพาะกระดังงาลนไฟ..
   
ปอส่ายหัว ตั้งใจกับการทำงานจนเผลอเมินเฉยกับเรื่องบางอย่าง ฝ่ามือใหญ่ลูบคลึงหัวไหล่ เรื่อยมายังแผ่นหลังและสะโพก “อย่ากวนสิพี่พัฒน์”
   
หนิงยังล้างจานอยู่ในครัวเมื่อพัฒน์โน้มเข้ามากอดจูบ เขาสอดมือเข้าไปใต้เสื้อยืดตัวบาง ไล้ปลายนิ้วลงกับผิวกาย ปอเบือนหนีหากคนด้านข้างจับเข้าที่ปลายคาง บีบให้หันกลับมาเปิดปากรับจูบ ร่างเล็กกว่าพยายามถอยห่าง
   
“หนิงอยู่” ปอเตือน
   
“ขึ้นห้องกัน” เขากระซิบ กดจูบรุนแรงข้างพวงแก้ม
   
ฝ่ายที่เห็นว่ารั้งไปก็ป่วยการรีบเก็บข้าวของแล้วสาวเท้าขึ้นไปชั้นบน พัฒน์ตามขึ้นไปติดๆ หากจังหวะหนึ่ง เขาสบตากับหญิงสาวที่เดินสวนออกมาข้างนอก พัฒน์ชะงักกึก เลื่อนสายตาลงมองหยดน้ำที่พรมอยู่บนร่างบอบบาง
   
เธอยักคิ้วให้เขาอย่างรู้ความหมาย ปลายนิ้วที่ทัดผมอย่างมีจริตเลื่อนลงเกลี่ยขอบเสื้อยืดตัวเล็ก เกี่ยวมันลงพออวดเนินอกอวบ
   
“เบาเสียงหน่อยนะคะ” ริมฝีปากสีแดงขยับ “หนิงได้ยินบ่อย”
   
ความหมายน่าอายที่เธอพูดกลับเป็นตัวกระตุ้นเร้า ชายหนุ่มโถมเข้ากอดรัดคนรักในทันทีที่ขึ้นมาถึงห้องนอน เขาตระโบมจูบ ดึงรั้งเสื้อผ้าอีกฝ่ายจนเหลือแต่ตัวเปล่าเปลือย เขาแทรกกายเข้าไปอย่างตะกละตะกลาม
   
“เจ็บ!” ปอพยายามดันบ่ากว้างออกห่าง นึกประหลาดใจกับอารมณ์ดิบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เขาถอยหนีหากคนด้านบนกลับกระชากตัวเข้าหา
   
พัฒน์หลับตาแน่น โจนจ้วงกายสู่ความพึงพอใจลึกล้ำ เขาครางดัง ความต้องการพุ่งสูงเมื่อทำให้คนรักหวีดร้องออกมาแทบไม่เป็นภาษาได้
   
แขนแกร่งสอดเข้าใต้เอว กระชับร่างให้แนบชิด บังคับให้กลืนกินเขาจนสุด เสียดกายรุนแรง รวดเร็ว หนักแน่นด้วยความบ้าคลั่ง มากขึ้น..และมากขึ้น
   
ในวินาทีที่ความสุขหลั่งพล่าน พัฒน์มองเห็นใบหน้าของใครอีกคน
   
ร่างใหญ่โถมตัวลงทาบทับ เขาหอบหายใจถี่ กอดรัดร่างข้างใต้ไว้แนบอก ปอมุ่นคิ้วด้วยความงุนงง เบื้องล่างเจ็บจนขยับไม่ไหว
   
..และยิ่งเจ็บจนชาเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อใครบางคนข้างหู..
   
..ใครสักคนที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลกันเลย..



@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@



สายตาที่เฝ้ามองคนทั้งคู่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด ความจริงคือสิ่งที่ปรากฏต่อหน้า ไม่ใช่คำขอให้เชื่อใจของผู้ชายคนนั้น
เย็นวันศุกร์ ตอนที่พัฒน์ไปรับหนิงกลับ ปอรับโทรศัพท์บ้านจากหัวหน้าของพัฒน์อีกคน เขาโทรเข้ามาตามงานที่จะส่งเช้าวันจันทร์แต่พัฒน์ปิดมือถือ
   
“เดี๋ยวพรุ่งนี้เขาคงเอาเข้าไปส่งน่ะครับ”
   
‘เหมือนคุณพัฒน์จะลาพักร้อนเอาไว้นะ ลาตั้งแต่วันนี้แล้วนี่’
   
ปอถือโทรศัพท์ค้าง เขาไม่รู้มาก่อนว่าคนรักหยุดงานสองวันตั้งแต่ศุกร์ เสาร์ ยาวไปจนวันอาทิตย์ พัฒน์ไม่ได้บอกเขาแต่ยังแต่งตัวไปทำงานตามปกติ
   
เมื่อพัฒน์กลับมา ปอเลยลองเอ่ยปาก
   
“พรุ่งนี้ไปดูหนังกันมั้ย” เขาบอกชื่อภาพยนตร์ที่เข้าใหม่ เป็นคอมเมดี้อย่างที่หนิงบอกว่าพัฒน์ชอบ “เอารอบบ่ายโมง ไปกันสามคน”
   
หนิงไม่สบตา ฝ่ายพัฒน์ยังคงอ้ำอึ้ง
   
“พรุ่งนี้..พอดีพี่ต้องทำงานน่ะ ตั้งแต่เช้าเลย คงไม่ว่างจนมืด”   
   
ปอเพียงแต่พยักหน้า “หนิงล่ะ”
   
“ฉันว่าจะไปบ้านแม่” เธอยกน้ำขึ้นดื่ม ไม่หันมองหน้าเพื่อน

“งั้นไว้วันหลังดีกว่าเนอะ” เขายิ้มเฝื่อน “ถ้าไม่มีใครไป ปอจะได้ตรวจการบ้านให้เด็กๆต่อ ว่างเมื่อไหร่บอกด้วยนะจะได้ไปด้วยกัน”

“อืม..” พัฒน์ยิ้มออกมาได้

ทั้งที่ปอบอกว่าจะอยู่บ้านเพื่อทำงาน แต่ในเช้าวันเสาร์ หลังคนทั้งคู่ออกไปด้วยกัน เขากลับกังวลจนนั่งเฉยไม่ได้ คิดอยากจะให้คนตามเพื่อพิสูจน์ความจริง แต่ความละอายก็ยังมีมากมายกว่า

ปอเลือกที่จะไปเดินเล่นคนเดียวในห้างที่เขามักมากับพัฒน์บ่อยๆ นึกขำอยู่ว่าถ้าเจอพี่พัฒน์กับหนิงเดินควงแขนมาด้วยกัน ต่างฝ่ายต่างจับมือกัน

..เขาจะทำสีหน้าอย่างไร..

“ชักบ้าแล้ว” ปอส่ายหัว เขายกนาฬิกาขึ้นดู เห็นว่าอีกนานกว่าจะบ่ายโมงเลยเลือกที่จะขึ้นไปบนชั้นโรงหนัง ซื้อตั๋วและเลือกที่นั่งตรงกลางคนเดียว

มันเป็นการ์ตูนสามมิติของเด็กๆ หนิงเคยชวนมาด้วยกันสามคนตั้งแต่ยังไม่เข้าฉาย พอเขาอยากดูขึ้นจริง ทั้งสองคนกลับไม่ว่างเสียนี่

หน้าโรงหนังแจกแว่นให้ ปอเข้ามาก่อนใครเพื่อนและเข้าไปนั่งตรงที่เลือกไว้ ดูเหมือนการ์ตูนเรื่องนี้จะไม่ค่อยได้รับความนิยมเท่าไหร่หรือไม่ก็ฉายไปนานแล้ว ทั้งโรงจึงไม่ค่อยมีคน ทั้งยังถูกลดจนเหลือฉายแค่โรงเดียว

อีกประมาณสิบนาทีต่อมาเริ่มมีการฉายหนังตัวอย่าง ผู้คนทยอยกันเดินเข้า ปอหันไปมองตรงประตู มีแต่หนุ่มสาวควงแขนกันมาเป็นคู่

ในจังหวะหนึ่ง สายตาที่มองเลยผ่านกลับสะดุดกึกอยู่ที่คู่ของหญิงชายท่าทางคุ้นเคย แม้ว่าในโรงภาพยนตร์จะมืดจนมองยาก หากแสงที่สว่างขึ้นเป็นพักจากโฆษณาเบื้องหน้ากลับทำให้ดวงตาที่ซ่อนอยู่หลังแว่นนั้นนิ่งงัน

พวกเขาเดินเข้ามานั่งตรงเก้าอี้ห่างจากที่ปออยู่ไปแถวเดียว

ปอตัวแข็งเหมือนถูกสาป เสียงของหนังที่ฉายและเสียงหัวเราะของทุกคนผ่านเข้าหูแล้วเลยไป ทั้งร่างถูกตรึงแน่นก่อนหยดน้ำที่คลออยู่จะเริ่มไหล

เมื่อคนในโรงหนังระเบิดหัวเราะกันออกมา ชายหญิงด้านหน้ากลับหันเข้าหากัน และเมื่อผู้คนหัวเราะอีกครั้ง ทั้งสองกลับจุมพิตกันและกันแนบแน่น

ปอยิ้มมุมปากแม้ว่าน้ำตากำลังไหลไม่หยุด

“เราจะเป็นเพื่อนกันตลอดไป”

“ถึงเธอไม่มีใคร..แต่ให้จำไว้ว่ายังมีเรา”


คืนนั้น ปอกลับเข้าบ้านตอนสองทุ่ม พัฒน์และหนิงยังไม่ถึง เมื่อเขาลองโทรหา พัฒน์ตอบมาว่า เขายังอยู่ที่บริษัท กำลังเร่งงานที่จะส่งให้บอสจนหัวปั่น
   
“หนิงล่ะ..อยู่กับคุณมั้ย” ปอเปลี่ยนสรรพนามที่ใช้เรียก
   
ดูเหมือนปลายสายจะรับรู้อารมณ์ได้ ‘หนิงจะอยู่ที่ไหนมันเกี่ยวอะไรกับพี่ เขาบอกว่าไปเยี่ยมแม่ก็ตามนั้นสิ’ พัฒน์เสียงเครียด ‘แล้วปอน่ะ..ไม่พอใจอะไรก็อย่าเอามาลงกับคนทำงานได้มั้ย แค่นี้พี่ก็เครียดจะตายอยู่แล้ว’
   
“วันนี้คุณทำงานทั้งวันเลยเหรอ” ปอถามต่อด้วยเสียงเรียบนิ่ง
   
‘ถ้าจะมาหาเรื่องล่ะก็..อย่าโทรมายังดีกว่านะปอ’
   
“ผมจะถามคุณครั้งเดียว..ครั้งสุดท้าย คุณทำงานที่บริษัททั้งวันใช่มั้ย”
   
พัฒน์เหมือนจะนิ่งเงียบไปอีกพักใหญ่ เขาพยายามเปลี่ยนเรื่องและบอกให้อีกฝ่ายใจเย็น หากเมื่อปอยังถามย้ำ เขาจึงระเบิดอารมณ์แทน
   
‘ถ้าพูดกันไม่รู้เรื่องแบบนี้ พี่จะไม่คุยกับเราแล้ว เกิดจะมาหวงหึงอะไรล่ะ ปกติปอไม่เคยทำตัวอย่างนี้ไม่ใช่เหรอ ที่เคยเชื่อใจกันมันหายไปไหนหมด’
   
ปอยกมือขึ้นปาดน้ำตา “ขอโทษ..จะไม่ทำแบบนี้อีก”
   
‘ไปอาบน้ำแล้วนอนซะปอ พี่ก็จะกลับเหมือนกัน’
   
เขาวางสาย เริ่มต้นร้องไห้ตอนที่เก็บเสื้อผ้าของตัวเองลงกระเป๋า วันนี้เขาโทรไปถามหัวหน้าพี่พัฒน์ ฝ่ายนั้นยังยืนยันว่าพัฒน์ไม่ได้ไปทำงาน
   
และภาพถ่ายจากมือถือที่ถูกเพื่อนอีกคนส่งมาให้ดูก็ไม่ได้มีอะไรมาก
   
..แค่เป็นรถทะเบียนคุ้นเคยที่กำลังเลี้ยวเข้าม่านรูดเท่านั้น..
   
“หนิงเป็นคนดี..เชื่อสิว่าต้องได้เจอคนดีแน่”   

..คนดีคนนั้น..ก็คือคนดีของปอคนนี้..
   
ปอเขียนจดหมายไว้สั้นๆว่าจะไปหาแม่ที่ต่างจังหวัด เมื่อไหร่ที่พี่พัฒน์เลิกทำงานและหนิงกลับมาจากเยี่ยมบ้านแล้ว..ให้อยู่ด้วยกันไปเลย
   
..และถึงแม้ว่าจะมีลูกด้วยกัน..ก็ไม่จำเป็นต้องส่งข่าวดี..
   


@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@


นับจากวันที่ปอออกมาจากบ้านก็เกินกว่าสองปีแล้ว ช่วงแรก พัฒน์พยายามมาขอพบ พยายามตามตัวให้กลับไป และพยายามขอโทษในทุกสิ่งทุกอย่าง
   
ปอคิดว่าตัวเองอาจจะใจอ่อนถ้าไม่เพียงแต่รู้มาว่าสิ่งที่เขาคิดกลัวนั้นกลายเป็นความจริง พัฒน์ยืนยันว่าเขานอนกับเพื่อนสนิทของคนรักเพียงครั้งเดียว แต่ไม่ว่าพวกเขาจะยุ่งเกี่ยวกันมากี่ครั้งก็ตาม ผลสุดท้าย..

..ทั้งสองคนก็มีลูกชายที่น่ารักด้วยกันอยู่ดี..

ปอเผาจดหมายขอคืนดีของพัฒน์ทิ้ง ลบอีเมลทุกฉบับ เปลี่ยนเบอร์มือถือใหม่ เปลี่ยนงานทำและย้ายกลับมาอยู่กับแม่ของตนถาวร

แรกเริ่มนั้น เขาจมอยู่กับความทรงจำที่เจ็บปวด หากเมื่อผ่านมันมาได้และเรียนรู้ที่จะยอมรับความจริง ปอกลับพบว่าตัวเองเข้มแข็งกว่าหนิงมาก

สำหรับผู้ชายคนหนึ่งที่รักใครสักคนได้เต็มหัวใจ เทียบกับผู้หญิงแล้ว เธอจะรักมากกว่า อ่อนแอกว่า ทุ่มเทกว่า และต้องได้รับการปกป้องมากกว่า

หากวันหนึ่งปอจะเดินกลับเข้าไปในชีวิตคนรัก ขอคืนดี แย่งพ่อของลูกเธอกลับมา ปอคิดว่าตัวเองคงไม่ดีใจ อย่างน้อยเขาก็ไม่ร้ายพอจะทำลายครอบครัวคนอื่น และไม่ร้ายพอจะยืนมองความพินาศของคนที่ตนเคยรักทั้งคู่

อดีตคืออดีต อนาคตเป็นเรื่องข้างหน้า เขาไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะมีอะไรรออยู่ ทำได้เพียงเฝ้ารอให้ความเจ็บที่มีจางหายไป

..ไม่ช้าก็เร็ว..เรื่องนี้คงมีแต่ความสุขเสียที..





FIN





ขอบคุณทุกๆความคิดเห็นขะร้าบบ  :o8:

เรื่องนี้มันก็มาจากเพลง ตรงตัวเลย Sad Movie ที่ร้องว่าเข้าไปดูหนังตลกในโรงหนัง แต่กลับเจอเพื่อนกับแฟนเข้ามาจูบกัน  :fire: ฟังแล้วแอบแค้นเคือง 5555+



ออฟไลน์ nunnan

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2275
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-6
Re: [เรื่องสั้น - Hurt Love] Sad Movie [pg.1, 10/8/55]
«ตอบ #22 เมื่อ10-08-2012 09:56:00 »

อยากอ่าน Too Much Heaven ต่อค่ะะะ :-[ :-[

yayee2

  • บุคคลทั่วไป
Re: [เรื่องสั้น - Hurt Love] Sad Movie [pg.1, 10/8/55]
«ตอบ #23 เมื่อ10-08-2012 12:20:14 »

"............................................................................
He said he had to work, so I went to the show alone.
They turned down the lights and turned the projector on.
And just as the news of the world started to begin,
I saw my darling and my best friend walking in.

Although I was sitting right there they didn'n see me.
And so they both sat right down in the front of me.
And when he kissed her lips then I almost died.
And in the middle of the colour cartoon I started to cry

Oh Sad movies always make me cry
........................................................................................."

เรื่องนี้สอนให้รู่ว่า
"เพื่อนเราเผาเรือน" (เพื่อนที่เป็นชะนี(บางคน)ไว้ใจไม่ได้)
"ตบมือข้างเดียวไม่ดัง"
ดีนะที่ปอรักตัวเองมากพอ จึงล้มไปไม่นาน ก็สามารถยืนขึ้นได้ด้วยตัวเอง และอยู่ได้ด้วยตัวเอง

ป.ล. ชอบจังที่ผู้เขียน(ซึ่งน่าจะเป็นคนรุ่นใหม่)ฟังเพลงเก่าๆ 

ออฟไลน์ Ju

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 556
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-2
Re: [เรื่องสั้น - Hurt Love] Sad Movie [pg.1, 10/8/55]
«ตอบ #24 เมื่อ10-08-2012 17:44:19 »

คนที่ไว้ใจที่สุด สุดท้ายหักหลังกันได้

เรื่องนี้ดราม่าแบบที่ผมค่อนข้างชอบเลยทีเดียว

มันสะท้อนชีวิตจริงของชายรักชาย ที่สุดท้ายฝ่ายนึงก็ต้องอยากมีครอบครัว

+เป็ด สำหรับตอนนี้ (ที่จริงก็บวกทุกตอนนั่นแหละ)

บีบใจมากๆ ชอบ  o13

ออฟไลน์ TONG

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2535
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-4
Re: [เรื่องสั้น - Hurt Love] Sad Movie [pg.1, 10/8/55]
«ตอบ #25 เมื่อ13-08-2012 20:54:09 »

หญิงร้ายชายเลวของแท้ แอบคิดต่อไปว่าแล้วหนิงจะมีความสุขเหรอ


ออฟไลน์ Naenprin

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +203/-1
Re: [เรื่องสั้น - Hurt Love] Sad Movie [pg.1, 10/8/55]
«ตอบ #26 เมื่อ14-08-2012 02:19:11 »

เริ่องสุดท้ายเนี่ยแรงค่ะ เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด เรื่องอื่นก็น่ารักดีนะคะ ชอบทุกเรื่องที่อ่านมาเลย โดยเฉพาะเรื่องแรก น่ารักมากค่ะ

ออฟไลน์ ratnalin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 743
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-2
Re: [เรื่องสั้น - Hurt Love] Sad Movie [pg.1, 10/8/55]
«ตอบ #27 เมื่อ14-08-2012 15:21:33 »

หญิงชายใกล้ชิดกัน มันแน่นอนที่ต้องมีหวั่นไหวกันบ้าง โดยเฉพาะฝ่ายหญิงที่จิตใจยับเยิน มาเจอชายหนุ่มแสนดีคอยดูแล ไม่คิดไรเลยเป็นไปไม่ได้ ฝ่ายชายเองก็ไม่มั่นคง มันถึงกลายเป็นงี้ไง  :เฮ้อ:
ปอทั้งเป็นคนดี แล้วก็เข้มแข็ง ดีใจที่ยืนหยัดเพื่อตัวเองได้
ส่วนอีกสองหน่อนั่นก็ขอให้มีความสุขนะ ฮ่วย! :beat: :beat:

ออฟไลน์ nigiri-sushi

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 547
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1165/-8
    • Nigiri-Sushi Page
Re: [เรื่องสั้น - Hurt Love] Sad Movie [pg.1, 10/8/55]
«ตอบ #28 เมื่อ15-08-2012 23:09:55 »

 :L1:Lonely Love :L1:


"I Want to Hold Your Hand"



@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@


กระป๋องเบียร์เปล่าถูกโยนลงมาข้างถังขยะที่ผมนอนซุกตัวอยู่ เสียงกระทบของมันดังพอจะปลุกให้ลืมตาตื่นอย่างเกียจคร้านได้
   
ผมหาววอด บิดตัวด้วยความเมื่อยล้า จมูกได้กลิ่นเปียกชื้นของสายฝนที่กำลังโปรยปรายลงมาแผ่วเบา ใครหลายต่อหลายคนพากันวิ่งหลบ พ่อค้าแม่ค้ารีบกุลีกุจอเอาแผ่นพลาสติกคลุมข้าวของบนแผงขาย
   
ผมขยับออกจากซอกตึก ตามตัวมีแต่กลิ่นขยะเปียก เท้าเปล่าเปลือยสกปรกมอมแมมเหมือนไปคลุกโคลนมาเป็นเดือน หยาดฝนที่ตกลงบนพื้นถนนเป็นแอ่งน้ำขังให้ความรู้สึกสดชื่น ผมเดินย่ำความเย็นฉ่ำนั่นไปอย่างสบายใจ
   
แผงหมูปิ้งข้างทางของแม่ค้าตัวอ้วนกำลังดึงดูดความสนใจจากกัน ผมตรงดิ่งเข้าไปหาเธอ กระเพาะที่ว่างเปล่าร้องโคร่กเพราะไม่มีอะไรตกถึงท้องมาสามวันแล้ว ผมอาศัยแค่เพียงน้ำเปล่าตามก็อกที่อยู่ในวัดประทังชีพเท่านั้น

“ไป! สกปรก อย่ามาแถวนี้นะ!” ยังไม่ทันได้ประชิดตัว ดูเหมือนจะถูกแกแสดงความรังเกียจเข้าให้ “เหม็นสาบ ไปให้พ้นไป๊!”

ผมถอนหายใจ เดินคอตกกลับไปที่เดิม อยากจะล้มตัวลงนอนข้างถังขยะที่เก่า เผื่อจะอาศัยเศษข้าวกล่องของคนแถวนั้นที่โยนทิ้งมาแก้หิวได้ แต่ความแสบร้อนที่กำลังรบกวนอยู่ทำให้เปลี่ยนใจเดินบ่ายหน้าไปยังที่ชุมชนแทน

มีสาวออฟฟิศใส่กระโปรงสีน้ำเงินเข้มยืนรอรถเมล์อยู่ข้างร้านขายลูกชิ้นหมู ผมขยับเข้าไป หวังจะขอความช่วยเหลือจากเธอ แต่พอลมพัดโกรกเข้ามาแล้วหอบกลิ่นสาบสางของผม..ที่ไม่เคยอาบน้ำเลยไปทางเธอเท่านั้น ดูเหมือนว่าหญิงสาวจะเบ้หน้าแล้วรีบสาวเท้าหนีไปทางอื่นทันที

ผมขยับไปหาผู้ชายแต่งตัวดี หน้าตาหล่อเหลาอีกคนแต่เขาถอยกรูด ครั้นหันไปทางหญิงชราที่นั่งรอรถเมล์ แกก็เอาไม้เท้ามาขวางทางเดินไว้เป็นการปฏิเสธ และเพียงแค่การชายตามองหญิงวัยกลางคนที่กำลังนั่งดูดน้ำ หล่อนกลับเอาน้ำแข็งที่เหลือในแก้วสาดใส่ผมเสียอย่างนั้น

“นี่..” เสียงเล็กๆเสียงหนึ่งดังขึ้น ผมหันไปหาด้วยความดีใจเพราะเจ้าหนูตัวน้อยยื่นลูกชิ้นเนื้อไม้หนึ่งมาให้ “หิวใช่มั้ย กินสิ..กิน”

“อย่าทำอย่างนั้นค่ะน้องแจน!” สาวสวยที่ยืนอยู่ข้างเด็กหญิงคนนั้นร้องทัก เธอรีบดึงตัวลูกออกห่างจากผมที่กำลังจะเดินไปหา “อย่าไปยุ่งมัน”

..อา..นั่นสินะ..

ผมโอดครวญอยู่ในใจ น่าจะรู้อยู่แล้วว่าชีวิตจรจัดอับจนอย่างผมไม่เคยมีใครต้องการ ที่นอนที่เป็นซอกตึกร้างและเศษอาหารที่ใช้กินคือสิ่งยืนยัน

..ผมคือขยะ..คือสิ่งมีชีวิตที่ไร้คนสนใจ..

..จะอยู่ยังไง..จะหายใจหรือไม่..และจะตายเมื่อไหร่..

..ก็ไม่มีใครอยากรับรู้เลย..

“ดูทำหน้าเข้า” เสียงนุ่มนวลดังขึ้นเบื้องหลังพร้อมกับกลิ่นหอมกรุ่นของหมูปิ้งร้อนๆในถุงพลาสติกโชยเข้ามาเตะจมูก “สนใจมั้ย อร่อยน้า”

ผมท้องร้องจ๊อก เดินเชื่องช้าเข้าไปหาคนตรงหน้า พยายามทำตัวลีบไม่ให้กลิ่นเหม็นของตนทำให้อีกฝ่ายเดินหนี พยายามไม่ทำท่ากระหายหิวจนคนตรงข้ามต้องตกใจ และถ้าผมพูดได้..ก็คงจะบอกเขาไปแล้ว

..ว่าอย่ากลัวผมเลย..

“กินสิ” ชายหนุ่มยิ้มสดใส ผมเห็นดวงตาของเขาเป็นประกายแวววาว

ผมลงมือจัดการกับมื้อแรกในสามวันที่ผ่านมาอย่างหิวโหย รีบร้อนจนแทบจะกลืนไม้เข้าไปทั้งอัน สำลักก็หลายครั้งเพราะความตะกละของตน

และเมื่ออิ่มแล้ว ดูเหมือนว่าผมเพิ่งจะได้เงยหน้าขึ้นมา 

“อร่อยใช่มั้ยล่ะ” เขาฉีกยิ้มให้ เอื้อมมือหมายจะจับตัวกันแต่ผมผละหลบ เขาเองก็ไม่ได้ว่าอะไร นั่งยองๆดูผมอยู่อย่างนั้น

เขาเป็นผู้ชายวัยทำงาน สังเกตจากเชิ้ตแขนยาวและเนคไทที่คลายลงพอหลวมๆ มีกระเป๋าเป้สะพายอยู่ด้านหลัง ให้เดาแล้ว..เขาเองก็ใช่ว่าจะมีเงินมากมายพอแจกพวกจรจัดอย่างผมนักหรอก แต่อะไรบางอย่างในตัวเขาที่แตกต่างจากคนพวกนั้น..ทำให้เขาไม่มองเมินเหมือนผมเป็นแค่ขยะสังคม

“ไปก่อนนะ” เขาหันมายิ้มให้ โบกมือลาแล้วเดินจากไป

ผมคิดจะกลับไปนอนซุกตัวต่อเพราะอากาศตอนเย็นเริ่มหนาว แต่เพราะว่าติดใจในตัวของผู้ชายคนนั้น ผมเลยเลือกที่จะเดินตามเขาอย่างเงียบๆ

เขาหยุดอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่ง ไขกุญแจแล้วเดินเข้าไป ชั่วจังหวะนั้นเขาหันมามองตรงเพิงร้านขนมเหมือนจะนึกรู้ว่าถูกจับจ้องอยู่ แต่พอหันซ้ายหันขวาแล้วไม่เจอใครเขาเลยปิดประตูรั้วแล้วลงกลอนจนแน่นหนาแทน

ผมออกมาจากที่ซ่อน เดินผ่านพื้นที่ว่างหน้าบ้านเขาที่มีหญ้าขึ้นรก เท้าเหยียบเศษตุ๊กตานางรำหักๆแล้วตรงขึ้นไปนอนพักเอาแรงที่แคร่ไม้เก่าคร่ำใต้ต้นฉำฉา จากตรงนี้..ผมมองเห็นหน้าต่างชั้นสองของเขาได้ถนัดตา

อากาศยามดึกเริ่มหนาวเหน็บ ผมนอนขดตัว กระสับกระส่ายอย่างรำคาญยุงที่รุมกัดกินตามเนื้อ น้ำค้างลงจนผมจามครั้งแล้วครั้งเล่าอยู่ตามลำพัง

มีแสงไฟหน้ารถมอเตอร์ไซค์สาดเข้ามากลางความมืด ผมลุกขึ้นนั่ง เห็นชายวัยรุ่นถอดหมวกกันน็อคออก เขาลงจากรถ ดิ่งไปกดออดตรงกำแพงถี่ยิบ พร้อมกับตะโกนเรียกเจ้าของบ้านเสียงดังตอนที่ม่านหน้าต่างชั้นสองเลิกขึ้น

คนใจดีของผมรีบร้อนเดินมาเปิดรั้วให้ ไฟจากเสาสูงฉาบไล้ที่ร่างโปร่งบางในชุดนอนสีฟ้าอ่อน คนที่มาทีหลังก่นด่าอะไรหลายคำก่อนจะลากมอเตอร์ไซค์เข้าบ้านไป ผมได้แต่ชะเง้อคอมองผู้ชายคนเดิมคล้องแม่กุญแจปิด

ไฟที่เปิดไว้ในห้องทำให้ผมเห็นอะไรได้ชัดเจน ความเงียบในยามค่ำคืนทำให้หูผมได้ยินทุกอย่าง มีเสียงทะเลาะกัน..ไม่สิ น่าจะเป็นคำต่อว่าจากหนุ่มวัยรุ่นคนนั้นเพียงคนเดียวมากกว่า เพราะผมไม่ได้ยินเสียงคู่สนทนาเลย

ผมเห็น ‘เขา’ ยืนนิ่งอยู่ข้างหน้าต่าง อีกฝ่ายท่าทางหัวเสียพร้อมทั้งระเบิดอารมณ์มากมายใส่ ผมรู้สึกโกรธแทน ‘เขา’ ที่ไม่คิดโต้ตอบออกไป

ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ผมเห็นไอ้หมอนั่นเงื้อฝ่ามือตบหน้า ‘เขา’ คนใจดีของผมเสียหลักล้มหากแต่ถูกอีกคนกระชากแขนขึ้นมาก่อน ผมจ้องภาพตรงหน้าด้วยความตกใจ และเมื่อเด็กหนุ่มตัวสูงใหญ่ก้าวเข้ามากระชากม่านออกจนหมดแล้วผลัก ‘เขา’ ชิดกระจกหน้าต่าง ผมก็ยิ่งตกตะลึงอย่างคาดไม่ถึง

มันกดแผ่นหลังเล็กให้ก้มหน้าลงต่ำ ‘เขา’ ใช้มือยันขอบปูนไว้เพื่อทรงตัวตอนที่คนด้านหลังปลดเข็มขัดกางเกงออก ผมเห็นใบหน้าอ่อนโยนของ ‘เขา’ มีแววเจ็บปวดเมื่อมันกระแทกร่างเข้ามา ผิวสีขาวยิ่งขาวซีดขึ้นอีกหลายเท่า ทั้งดวงตาคู่เดิมก็มีหยาดน้ำร่วงหล่นเมื่อตัวไหวคลอนไปตามแรงยัดเยียด

‘เขา’ ร้องไห้ด้วยความหวาดกลัว มือที่หยิบยื่นความห่วงหาให้กำม่านจนแทบขาดคล้ายพยายามหาหลักยึดหากมันขยุ้มลงบนเรือนผมแล้วเค้นเสียงหัวเราะข้างหู ผมจ้องมองสีหน้าเยาะเย้ยของมันด้วยความเจ็บแค้นแทน

ในวินาทีที่มันลากตัว ‘เขา’ ออกห่างจากหน้าต่าง ดวงตาของเราสบประสานกัน ผมเห็น ‘เขา’ เอื้อมมือไขว่คว้าออกมาข้างหน้าด้วยท่าทางวิงวอน

..ผมไม่มีวันลืมดวงตาโศกเศร้าคู่นั้น..



__________________________________________________



เช้าวันถัดมา ผมเดินอย่างเซื่องซึมไปยังเพิงร้านขนม ก้มลงดื่มน้ำในถังสแตนเลสที่ตั้งไว้รองฝนจากชายคาเพื่อกำจัดความฝืดเฝื่อนในลำคอให้หายไป ภาพที่ได้เห็นเมื่อคืนนั่นยังคงติดค้างไม่จางหาย

แม่ค้าที่กำลังเช็ดใบตองทำขนมกล้วยร้องด่าโหวกเหวก แกขว้างไม้ใส่ผมด้วยความเข้าใจว่าสภาพจรจัดเช่นนี้คงคิดลักขโมยอะไรไปกิน
   
ผมได้แต่โผเผกลับมาซุกตัวใต้ต้นฉำฉาเช่นเดิม อาการแสบร้อนในท้องไม่ได้รบกวนผมมากเกินกว่าความเจ็บปวดที่ต้องทนมอง ‘เขา’ ทรมานอยู่ลำพัง
   
มีเสียงฝีเท้านุ่มนวลย่ำพงหญ้าเข้ามา ผมเงยหน้าขึ้นอย่างหวาดระแวง หากแต่เมื่อจมูกได้กลิ่นหอมเย็นของคนๆเดิม ผมก็ลุกขึ้นยืนด้วยความดีใจทันที

“หิวมั้ย” มือเรียวยื่นข้าวกล่องให้

‘เขา’ นั่งลงข้างกัน แกะโฟมออกแล้ววางไว้ตรงหน้า กลิ่นหอมกรุ่นของข้าวร้อนๆราดด้วยหมูทอดกระเทียมพริกไทยทำให้ผมกลืนน้ำลายอย่างหิวโหย

“กินสิ” คำอนุญาตนั้นทำให้ผมไม่คิดจะเกรงใจ

‘เขา’ หัวเราะเบาๆ ผมเหลือบมองคนข้างกายด้วยความสงสัย

..เพราะอะไร ‘เขา’ ถึงไม่รังเกียจกัน..

“กินเยอะๆนะจะได้อิ่ม” 

ผมฟังเสียงนุ่มๆนั้นแนะนำชื่อตัวเอง..กันย์

“มีชื่อรึเปล่า” กันย์เอียงหน้าเข้ามาหาแล้วเอ่ยปากถาม

ผมไม่รู้จะบอกชื่อของตัวเองว่าอะไรดี มันมีเยอะมากมายจนจำไม่หวาดไม่ไหว แต่ละคนเรียกผมต่างกัน ในเวลาที่ผมเดินอยู่เฉยๆ จะมีเสียงตามมาว่า ‘จรจัด’ ‘สกปรก’ ในเวลาที่ผมอยากขอความช่วยเหลือแล้วบังอาจเอาตัวเข้าไปใกล้ใครก็ตาม ชื่อผมจะยาวเป็นพิเศษ นั่นคือ ‘ไสหัวไปให้พ้น’   

แต่ถ้าผมหิวจัดแล้วเกิดสัญชาตญาณเอาตัวรอด ทันทีที่ผมลักขโมยลูกชิ้น ไก่ย่าง หรือหมูทอดที่แม่ค้าเผลอปล่อยทิ้งไว้ ผมจะมีอีกชื่อทันที
   
‘ไอ้สัตว์’ ‘ไอ้เลว’ ‘ไอ้ชาติชั่ว’ ‘ไอ้ระยำ’ กระทั่ง ‘ไอ้เหี้ย’
   
..สำหรับคนพวกนั้นแล้ว..ผมเป็นหลายต่อหลายอย่างจริงๆ..
   
“ทำไมต้องทำตาละห้อยแบบนั้นด้วย” กันย์หัวเราะ วางมือลงบนตัวผมอย่างไม่คิดรังเกียจ “ตั้งชื่อให้เอามั้ย ถามไปก็งั้นๆแหละเนอะ พูดไม่ได้นี่นา”
   
ผมมองตาเขาด้วยความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูก
   
“ไม่รู้จะเรียกอะไร เรียกตามไซส์ตัวดีกว่า” กันย์คะเนช่วงลำตัวของผม “ชื่อใหญ่เนอะ..พี่ใหญ่” เขาหัวเราะร่วน “พี่ใหญ่เป็นเพื่อนกับกันย์แล้วนะ”
   
ผมรับรู้ว่าดวงตาร้อนผ่าว ไม่แน่ใจนักหรอกว่าหยดน้ำที่คลออยู่กับความอึดอัดที่บีบขึ้นจากในช่องท้องมาจุกถึงลำคอนี้คืออะไร
   
..ผมมีชื่อแล้ว..ชื่อเรียกที่เขามอบให้แก่ผมเท่านั้น..
   
กันย์เอาข้าวมาให้ผมกินแล้วแต่ยังไม่กลับเข้าบ้าน เขาเริ่มสำรวจทั่วทั้งตัวผม ย่นจมูกไปนิดเมื่อได้กลิ่นเหม็นสาบ “อาบน้ำกันมั้ย”
   
ผมคิดว่าคงไม่มีปัญญาปฏิเสธเพราะกันย์ลากผมเข้าบ้านในทันทีนั้น ผมเกลียดการอาบน้ำ แต่ยอมรับว่ามือนุ่มนิ่มที่ค่อยๆลูบลงบนตัวกับความอ่อนโยนที่เพียรเอาใจใส่กัน ทำให้ผมเคลิ้มไปกับสัมผัสได้ไม่ยาก
   
“แปรงฟันด้วยดีกว่า นายปากเหม็นมาก!” กันย์บีบยาสีฟันจากหลอดแล้วรื้อเอาแปรงอันใหม่ให้ ผมมองอย่างเงอะงะ กระทั่งเขาบีบปากผมแล้วบริการให้นั่นแหละ “อย่ากลืนลงไปนะ อ้าปากอย่างนั้น..เก่งมาก”
   
กันย์ลงมาอาบด้วย ผมได้แต่นั่งนิ่งอยู่กับที่ ปล่อยเขาจัดการให้ทุกเรื่อง
   
“ดูซิเนี่ย น้ำดำปี๋เลย” เขาหัวเราะ บีบยาสระผมจนเต็มมือเพื่อชะล้างคราบสกปรกให้ผมอีกครั้ง แน่นอนว่าผมต้องอาบน้ำไม่ต่ำกว่าสาม
   
ในชั่วจังหวะที่กันย์หันหลังให้ ผมเหลือบเห็นรอยกัดเป็นจ้ำเลือดทั่วผิวเนื้อขาว รอยแดงที่เกิดจากฝ่ามือเค้นขยำยังปรากฏเด่นชัด
   
“มองอะไร หืม..” กันย์พึมพำ ชี้ร่องรอยบอบช้ำทั้งหมดอย่างไม่สนใจ หากแต่ผมรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดในน้ำเสียง “พวกนี้เหรอ..อย่าไปสนมันเลย ไม่เจ็บหรอก ชินแล้วล่ะ เป็นแบบนี้ตลอดเวลาเขาเมากลับมา”
   
ผมรู้สึกว่าเขากำลังปลอบใจตัวเอง

“เมื่อคืนเป็นพี่ใหญ่ใช่มั้ยที่มองอยู่” กันย์ยิ้ม เอื้อมไปหยิบผ้าขนหนูสีขาวสะอาดมาให้ “ถูกเห็นตอนน่าอายซะแล้วสิ”

ผมถูกเขาพาเข้ามาในห้องรับแขก กันย์เช็ดตัวให้อย่างอ่อนโยน ใจจริงแล้ว ผมอยากบอกเขาว่า ไม่ต้องใส่ใจกันมากมายขนาดนี้หรอก ผมเป็นแค่ขยะ

..ขยะที่ไม่มีค่าอะไรเลยในโลกใบนี้..

“ชอบทำหน้าตาอมทุกข์” นิ้วเรียวนวดคลึงที่หน้าผาก กันย์คงเห็นรอยยับย่นบนหน้าของผมบ่อยครั้งเกิน “เดี๋ยวแก่เร็วนะ ฮ่ะๆ”

ตั้งแต่เกิดมา..ไม่เคยมีใครทำให้ผมขนาดนี้มาก่อน ขยะชิ้นหนึ่งที่ถูกใครบางคนเก็บมันขึ้นมาทำความสะอาดเสียใหม่ ให้ข้าว ให้น้ำ ให้ชื่อ

..ผมยอมตายเพื่อเขา..

“พี่ใหญ่อยากอยู่ด้วยกันมั้ย” กันย์ถามผมตอนที่เรานั่งรับลมเล่นอยู่ตรงหน้าบ้าน “รับรองว่าจะดูแลอย่างดี ไม่ให้ลำบากเลย”

เสียงมอเตอร์ไซค์คันเดิมดังขึ้นตรงรั้ว ผมหันขวับไปมอง เห็นมันไขกุญแจบ้านเข้ามาโดยไม่เสียเวลาเรียกกันย์อย่างเมื่อคืน

“วันนี้ไม่ไปกับเพื่อนเหรอโจ้” กันย์ยิ้มรับอย่างฝืดเฝื่อน ผมสัมผัสได้ว่าเขาไม่ค่อยอยากสุงสิงกับมันเท่าไหร่นัก “กินอะไรมารึยัง”

“เงินไม่พอ” มันเดินเข้ามาหา แบมือขออย่างหน้าด้านๆ

“เมื่อวานเอาไปแล้วสามพันไม่ใช่เหรอ เงินพี่ยังไม่ออกนะ แล้วนี่ก็เพิ่งจะต้นเดือน เราใช้ฟุ่มเฟือยแบบนี้พี่จะเอาที่ไหนมาให้”

มันชักสีหน้า “เงินเดือนตั้งสองหมื่น เอาไปทำอะไรหมด ”
   
“ทุกอย่างในบ้านพี่จ่าย ค่ากิน ค่าอยู่ ค่าเทอมโจ้ ไหนจะค่าเที่ยว ค่าเปิดเหล้า ค่าเลี้ยงเพื่อนสารพัดอะไรของเรานั่น แบบนี้พี่จะมีเงินเหลือได้ยังไง”
   
“โธ่เว้ย!” มันเตะลังเปล่าแถวนั้นกระเด็น “แม่ง! ขอแค่นี้ไม่ให้ อย่าให้รู้นะว่าเอาเงินไปเลี้ยงเด็กที่อื่น กูเอาตายแน่!”
   
ผมจ้องมองมันด้วยความไม่ชอบใจ ดูเหมือนว่ามันจะเพิ่งเห็นการมีตัวตนของผมถึงได้หันขวับมามอง สีหน้าขยะแขยงปรากฏขึ้นในทันที
   
“นี่อะไร” มันชี้มือมาทางผม “ไปเก็บขยะที่ไหนเข้ามา!”
   
“เขามีชื่อนะ” กันย์ยิ้มอ่อนโยน “พี่เรียกเขาว่าพี่ใหญ่”

“ถุด!” มันถ่มน้ำลายลงพื้น “เงินไม่มีให้ แต่เที่ยวใจดีสงเคราะห์ไอ้พวกจรจัดไม่เลือก อีกหน่อยคงได้มันเป็นผัวด้วย คนอย่างกูมันเร้าใจไม่พอ”

กันย์มีสีหน้าเรียบนิ่ง และเพื่อเป็นการยุติเรื่องทั้งหมด ผมเห็นเขาหยิบกระเป๋าเงินออกมานับแบงค์พันให้อีกฝ่ายสองใบ “นี่ค่ากับข้าวพรุ่งนี้ โจ้จะเอาไปเที่ยวก็ตามใจ แต่ถ้าไม่มีข้าวกินจะโทษพี่ไม่ได้นะ”

มันยิ้มลิงโลด กระชากเงินในมือกันย์ออกไป “ไม่มีให้กินก็กินที่อื่นสิ” มันดมกลิ่นบนกระดาษสีเทานั้นคล้ายกับว่าหอมเสียเต็มประดา

“เอาไว้จะกลับมาบริการตอบแทนเงินสองพันให้แล้วกัน”

กันย์ถอนใจเฮือก เขาขยับเข้ามากอดผมไว้แนบแน่น “เบื่อเต็มทนแล้ว..อยากเลิก” ฝ่ามืออบอุ่นลูบไปตามเนื้อตัวผม “แต่ไม่รู้จะพูดยังไง โจ้ชอบโมโหร้าย อย่างเมื่อคืนนี้..” เขาพึมพำ “แค่ได้ยินว่าไปกับหัวหน้าเขาก็อาละวาดแล้ว”

ผมนั่งเฉย ไม่รู้วิธีปลอบใจอื่นใดนอกจากล้มตัวลงนอนแล้วอาศัยตักของเขานอนหนุน กันย์ดูยิ้มออกมาได้เมื่อคิดว่าผมกำลังอ้อน

“รู้มั้ย กันย์ชอบการแสดงความรักแบบนี้นะ ถึงพี่ใหญ่จะไม่ได้พูด แต่กันย์รู้ว่าพี่ใหญ่กำลังคิดอะไร มันดีกว่าโจ้ที่ชอบบอกรักบ่อยๆเวลาเรามีเซ็กซ์” เขายิ้มเศร้า “แต่จริงๆแล้ว..โจ้แค่รักเงินของกันย์เท่านั้นเอง”



_____________________________________________




ออฟไลน์ nigiri-sushi

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 547
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1165/-8
    • Nigiri-Sushi Page
Re: [เรื่องสั้น - Hurt Love] Sad Movie [pg.1, 10/8/55]
«ตอบ #29 เมื่อ15-08-2012 23:15:43 »



ผมพยายามขืนตัวเมื่อได้กลิ่นยาฉุนกึกโชยออกมาจากร้านด้านหน้าหากแต่กันย์ฉุดรั้งผมเต็มที่ เขาทั้งขู่ ทั้งปลอบให้ผมยอมตามและเชื่อฟัง
   
“โตจะตายแล้วยังกลัวหมออีกเหรอ” กันย์แสร้งว่า เขาลากผมเข้าไปในคลินิกถัดจากซอยบ้านสองคูหา “หมอที่นี่มือเบา เชื่อสิ”
   
ผมรู้สึกเป็นปรปักษ์กับชายชุดขาวที่เห็นเบื้องหน้าในทันที พยายามจะขืนตัวหลบแล้ววิ่งกลับบ้านหากแต่กันย์จับผมไว้แน่น
   
“ไม่ต้องกลัวหมอหรอกนะ..พี่ใหญ่” ชายหนุ่มคนนั้นยิ้มอ่อนโยน ดูเหมือนเขาจะรู้ประวัติของผมจากเอกสารที่กันย์เขียนไว้ให้ “บำรุงนิดเดียว”
   
ผมไม่รู้หรอกว่าโดนทำอะไรบ้าง รู้แต่เจ็บแปล็บในที่ที่ถูกเข็มฉีดยาจิ้มลง พวกจรจัดอย่างผมไม่มีวันป่วย ชีวิตร่อนเร่ไร้แก่นสารมันทรหดเหมือนเชื้อโรคดื้อด้าน ต่อให้มีอะไรหนักหนาสาหัสหรือร้ายแรงเท่าไหร่ผมก็ยังอยู่ต่อได้ ไม่ว่าจะอดข้าวอดน้ำ นอนกลางดินกินกลางทราย ถูกชาวบ้านเอาก้อนหินไล่ขว้างหรือถูกทุบตีสารพัดก็ตาม ประสาอะไรกับการพามาหาหมอเพื่อดูแลสุขภาพในตอนนี้กัน
   
“ผมจัดยาให้ในซองนี้แล้วนะครับ” เขาชี้ให้ดู “กินหลังอาหารทุกวันจนยาหมดนะ แล้วก็ยาทาคือตัวนี้ ทาตรงที่เป็นแผลจนแผลแห้ง”
   
ผมตัวแข็งเกร็งเมื่ออีกฝ่ายเอื้อมมือมาจับ หากแต่รอยยิ้มนุ่มนวลที่เขาส่งตรงมากลับทำให้ความหวาดระแวงของผมลดลงอย่างง่ายดาย
   
“อาทิตย์หน้ามาหาหมออีกนะพี่ใหญ่”
   
กันย์ยิ้มรับ บอกขอบคุณแล้วจ่ายค่ารักษาให้ ผมได้ยินกันย์เรียกเขาว่าหมอนพ คิดว่าคงรู้จักกันดีในระดับหนึ่ง ไม่อย่างนั้นหมอคงไม่ลดค่ายาให้อีก
   
..กันย์ทำเพื่อผมอีกแล้ว..
   
พวกเรายังไม่กลับบ้านในทันที กันย์พาผมมานั่งเล่นในสวนสาธารณะใกล้บ้าน ลมเย็นพัดเอื่อย หอบเอาเศษใบไม้พัดเป็นวง 
   
“อีกหน่อยพี่ใหญ่ต้องหล่อมากแน่ๆ” มือเล็กลูบตามเนื้อตัวผมอย่างนุ่มนวล ผมรับรู้ได้ถึงความเมตตาในทุกการสัมผัส
   
ผมจำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่มีใครให้ความใส่ใจเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เท่าที่พอจะระลึกก็มีแต่เสียงตวาดและสีหน้าแสดงความรังเกียจเท่านั้น
   
..ไม่เคย..และไม่มี..
   
“ขี่จักรยานกันมั้ย พี่ใหญ่นั่งข้างหน้า” กันย์ชวน
   
และโดยที่ไม่รอปฏิกิริยาตอบกลับ กันย์สั่งให้ผมนั่งรอก่อนที่จะกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปเช่าจักรยานมาคันหนึ่ง เขาดึงตัวผมขึ้นไปตรงเบาะแล้วขึ้นมานั่งซ้อนจากข้างหลัง พาขี่รับลมในสวนด้วยท่าทางมีความสุข
   
ผมสูดลมหายใจเข้าลึก ไม่ได้ตั้งใจจะเอาอากาศบริสุทธิ์ ไม่ได้ตั้งใจจะรับลมเย็นที่พัดผ่านหน้า ไม่ได้คิดจะตักตวงกลิ่นไอฝนที่กำลังก่อตัวด้านบน
   
..ผมกำลังเก็บกลิ่นอายของความทรงจำที่มีกันย์อยู่ใกล้ๆ..
   
..เก็บความอบอุ่น ความห่วงหา ความใส่ใจนี้ไว้..

..เพื่อว่าวันสุดท้าย..จะไม่นึกเสียดายในภายหลัง..
   
ฝนตกลงมาอย่างที่คิดไว้ กันย์รีบคืนจักรยานแล้วชวนผมกลับบ้าน เรากึ่งเดินกึ่งวิ่งคู่กันไป ผมรักเสียงหัวเราะสดใสของกันย์
   
“เย็นนี้กินอะไรดีพี่ใหญ่ เอาเนื้อตุ๋นมั้ย” เขาแวะซื้อของที่ตลาด ผมเห็นว่ากันย์มีเงินมากกว่าที่บอกไอ้หมอนั่น “ต้องกินผักหน่อยนะ กินแต่เนื้อไม่ดี”
   
ผมอยากบอกว่าแค่มีข้าวเปล่าหรือเศษอาหารที่ใครต่อใครทิ้งลงมาผมก็กินได้แล้ว แต่ดูเหมือนกันย์จะไม่ยอมปล่อยให้เป็นอย่างนั้น
   
“คืนนี้โจ้คงไม่กลับ” กันย์มีสีหน้าแช่มชื่น “พี่ใหญ่นอนด้วยกันนะ”
   
เป็นคืนแรกที่ผมมีใครสักคนอยู่เคียงข้าง นอกเหนือไปจากกำแพงแข็งๆที่ใช้ซุกตัวกับกลิ่นขยะสดที่มักกลายเป็นอาหารเช้าในทันทีที่ผมลืมตา
   
กันย์นอนหลับตาพริ้มทั้งที่แขนยังกอดก่ายอยู่บนตัวผม ตอนดึกอากาศหนาวกว่าที่เคย ผมนอนนิ่งอยู่ใต้ผ้าห่มอุ่นๆ หัวใจอิ่มเอิบไปด้วยความสุข

คืนนี้ไม่มีน้ำค้างลง ไม่มียุง ไม่มีเสียงเอะอะโวยวาย ไม่ต้องคอยกังวลว่าจะถูกพวกขี้เมาหาเรื่องทุบตีหรือจะถูกใครสาดน้ำใส่ตอนไหน
   
..ผมยอมตายได้เพื่อกันย์..



______________________________________________



อาทิตย์นั้นผมต้องไปหาหมอนพอีกหลายครั้ง เขาจัดยากินและยาทาให้ กันย์เป็นคนดูเรื่องนี้ให้ผมอย่างเอาใจใส่ ยังมีคนของหมอนพช่วยทำสิ่งที่กันย์เรียกว่า ‘เสริมหล่อ’ ให้ผม ทั้งอาบน้ำ เช็ดตัว ใส่น้ำหอม ตัดเล็บที่สกปรกและยาวจัดออก
   
“ไม่เหลือเค้าเดิมเลย” หมอนพหัวเราะ จับยืดแก้มผมไปที
   
“พี่ใหญ่หล่อมาก” กันย์ยิ้มสดใส เอื้อมมือมาลูบตัวผมในจังหวะเดียวกับที่หมอนพสำรวจดูว่าบาดแผลที่ผมเคยได้รับหายดีแล้วหรือยัง
   
หมอนพหัวเราะเบาๆแก้เก้อ ดึงมือที่วางทาบปลายนิ้วกันย์ออก พวกเขาสบตากันเพียงครู่แล้วต่างฝ่ายต่างหันหนีไปทางอื่น แก้มของกันย์ขึ้นสีแดงเรื่อ
   
“ยังเหลือวัคซีนอีกตัวนะครับ” หมอดันแว่นที่ตกลงบนจมูกขึ้น หลุบสายตาลงต่ำ ไม่ยอมมองหน้ากันย์อย่างเดิม
   
ผมหันไปย่นหน้าให้ นึกติเขาในใจว่า ขี้ขลาด
   
“พี่ใหญ่มีอะไรเหรอ” หมอนพขยี้หัวผม
   
..รักเขาก็บอกสิ..
   
กันย์ยิ้ม จ่ายเงินค่ายาแล้วพาผมเดินไปที่ประตูคลินิก ผมหันกลับไป ส่งเสียงในลำคอเป็นสัญญาณให้หมอนพทำอะไรสักอย่างก่อนที่จะหมดโอกาส
   
“คุณกันย์..” ในที่สุดเขาก็ฉลาดขึ้นบ้างแล้ว “เย็นนี้..กินข้าวมั้ยครับ”
   
..ถามอะไรอย่างนั้น..
   
“ครับ” กันย์เลิกคิ้ว “กินอยู่แล้ว กินทุกมื้อเลย”
   
หมอเลิ่กลั่ก ตั้งสติใหม่แล้วเอ่ยปาก “คือ..เย็นนี้ ผมหมายถึง..”
   
..ขี้ขลาด ขี้ขลาด ขี้ขลาด..
   
ผมดึงขากางเกงของกันย์เพราะหมั่นไส้หมอเต็มแก่
   
“เย็นนี้..พาพี่ใหญ่ไปกินข้าวด้วยกัน” เขาเกาแก้ม “..กับผม”
   
กันย์ยิ้มออกมาได้ “พี่ใหญ่ว่าไง ตกลงมั้ยครับ”
   
ผมส่งเสียงให้เขารู้เป็นการตอบรับ หันไปมองหน้าหมอนพอีกทีเพื่อจะทวงรางวัลจากเขา กันย์อาจจะไม่รู้ก็ได้ว่าหมอติดสินบนผมไว้ด้วยสเต็กชิ้นหนึ่ง
   
“พี่ใหญ่เป็นพ่อสื่อให้หมอกับคุณกันย์หน่อยนะ ถ้าเย็นนี้เขายอมไปกินข้าวด้วย หมอจะเลี้ยงพอร์คช็อพชิ้นโตๆเลย” ใครไม่รู้กระซิบบอกในห้องรักษา
   
หมอนพพาเราไปร้านอาหารกลางแจ้ง เขาไม่ลืมสัญญาที่ว่าจะเลี้ยงผม เพียงแต่ต้องรอกลับไปกินที่บ้าน ระหว่างนั้นผมได้แต่นั่งมองพวกเขาคุยกัน
   
ผมสังเกตสีหน้ากันย์ เขาดูมีความสุขและสดใสกว่าที่เคย ถ้าเทียบระหว่างหมอนพกับมันแล้ว ผมอยากให้กันย์อยู่กับหมอมากกว่า
   
“พี่ใหญ่ต้องมาหาหมออีกกี่ครั้งเหรอครับ”
   
“จริงๆแค่มาดูผลเลือดอีกแค่ครั้งเดียวก็พอแล้วล่ะฮะ” หมอยิ้ม “แต่..แต่ว่าถ้าคุณกันย์จะมาบ่อยๆ เอ่อ..พาพี่ใหญ่มาด้วย”
   
กันย์เลิกคิ้วอีกครั้ง ส่วนผมก็กระตุกขากางเกงหมอไปที

“แค่อยากบอกว่าถ้าคุณมา..” หมอนพหัวเราะแหะ “ผมก็จะ..ดีใจมาก”

ผมรู้สึกว่าตัวกันย์ร้อนผ่าว พอเงยหน้ามองก็เห็นแก้มขาวขึ้นเป็นสีเลือด กันย์ก้มหน้า หันมาถามผมเป็นเชิงขอที่พึ่ง แต่จะบอกอะไรให้ หมอนพแอบยื่นไส้กรอกให้ผมนานแล้ว ในเมื่อรับของเขามากินผมเลยส่งเสียงตอบรับเป็นการช่วย

“นั่นไง พี่ใหญ่ยังเห็นด้วยเลย”

กันย์หัวเราะ ไม่ตอบรับอะไร..แต่ก็ไม่ยอมปฏิเสธเสียทีเดียว
   
เรากลับเข้าบ้านอีกทีตอนหกโมงเย็น กันย์แยกกับหมอนพที่หน้าปากซอย ผมรู้ว่าใจจริงเขาอยากมาส่งแต่กันย์พาผมเดินออกมาก่อน

ผมเห็นมอเตอร์ไซค์คันเดิมจอดอยู่ริมรั้ว มันยืนสูบบุหรี่รออยู่ข้างกำแพง กันย์ตัวแข็งขึ้นมาทันทีเมื่อมันสาวเท้าเข้าหาอย่างรวดเร็ว
   
“ไปไหนมา” มันใช้เสียงตะคอกใส่ แต่พอคนแถวนั้นหันมองมันก็เปลี่ยนเป็นกระชากแขนกันย์เข้าหาตัว “บอกว่าไม่มีเงินแต่เสือกไปกินข้าวกับชู้”
   
กันย์ไม่ยอมเข้าบ้านตามที่มันสั่ง ผมรับรู้ได้ถึงแรงขัดขืน ก่อนหน้านั้น กันย์ไม่กล้าแม้แต่จะเถียงด้วยซ้ำ “พูดอะไรหัดให้เกียรติคนที่เลี้ยงนายซะบ้างนะ”
   
มันขบกรามกรอด บีบแขนหนักขึ้น “เดี๋ยวนี้ปากดีงั้นเหรอ”
   
กันย์ยื้อแขนออก เขาถอยมาก้าวหนึ่งตอนที่มันปราดเข้าหาแล้วเงื้อมือขึ้นหมายจะชก ผมถลันเข้าขวางกลาง อารมณ์โกรธพลุ่งพล่านจนขนทั่วตัวลุกชัน
   
มันชะงักกึก มีทีท่าลังเลเพราะท่าทางไม่เป็นมิตรที่ผมบอกทางอ้อม
   
“ฝากไว้ก่อนเถอะมึง”
   
กันย์รีบก้มลงลากผมตอนที่มันขี่มอเตอร์ไซค์พุ่งเข้ามา ผมส่งเสียงดังตามหลัง คนที่ยังเดินพลุกพล่านพากันมองตาม “เข้าบ้านเถอะพี่ใหญ่”
   
ผมก้มลงกินนมสดที่กันย์รินให้ ระหว่างนั้นเขานั่งลงข้างๆ กอดผมไว้ด้วยสองแขนพลางลูบตามเนื้อตัวที่ผ่านการดูแลมาอย่างดี
   
“พี่ใหญ่เท่มาก” กันย์ออกปาก มือไล้ที่ตัวผมด้วยความชื่นชอบ เขาชมว่าผมมีกล้ามปีกใหญ่ ตัวบึกบึนสมกับที่คิดไว้ “รักพี่ใหญ่มากเลย..รู้มั้ย”
   
ผมซุกตัวลงซบไหล่บางพร้อมกับหันหน้าไปหอมแก้มหนหนึ่งเพื่อบอกว่าผมเองก็รักเขาเช่นกัน กันย์หัวเราะสดใสเมื่อผมเลียหน้าเขา
   
“เชื่อมั้ยว่าแต่ก่อนกันย์ไม่กล้านะ แต่เดี๋ยวนี้รู้สึกมีพาวเวอร์ยังไงไม่รู้” เขายิ้ม “พอรู้ตัวว่าพี่ใหญ่จะอยู่ด้วยเสมอ กันย์ก็กล้าต่อยโจ้ด้วยซ้ำ”
   
ผมส่งเสียงในลำคอเมื่อเขาเกาคางให้
   
“น่าจะถึงเวลาบอกให้โจ้ออกไปจากชีวิตกันย์ซะที”



________________________________________________________



 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด